ข่าวทั้งหมด


[Vision Exclusive] ITTHI เป้าแบ็กล็อกไฟชนพันล้าน

[Vision Exclusive] ITTHI เป้าแบ็กล็อกไฟชนพันล้าน

          หุ้นวิชั่น - ITTHI ส่งซิกธุรกิจปี 68 สดใส จับตาผลงานโตก้าวกระโดด  ตั้งเป้า Backlog แตะพันล้านบาท จากปัจจุบันที่ 400 ล้านบาท ฟากผู้บริหาร "ธนเสฏฐ์ อัครบุญญาพัฒน์" จับโรงไฟฟ้า วิจัยภาคเกษตรเสริมแกร่ง จ่อบุ๊กงานใหม่โค้งแรกเพียบ           นายธนเสฏฐ์ อัครบุญญาพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิทธิฤทธิ์ ไนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITTHI เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ทิศทางธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากโครงการภาครัฐที่ทยอยออกมา ขณะเดียวกันบริษัทได้รับงานไฟถนนนวัตกรรมไทยของงานโครงการภาครัฐ จากต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 19 จังหวัด จากเดิม 11 จังหวัด ซึ่งจะช่วยเสริมการเติบโตในอนาคต โดยโครงการที่บริษัทดำเนินโครงการมา มีมูลค่า 194 ล้านบาท แบ่งเป็น งานภาคกลาง มูลค่า 128 ล้านบาท ภาคะตัวนตก มูลค่า 9 ล้านบาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 57 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน จากภาคกลาง 66% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 29% และ ภาคตะวันตก 5%           บริษัทมีศักยภาพในการรับงานเพิ่มเติม เนื่องจากมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งจากผลประกอบการที่ทำกำไรได้ดีและมีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ           และในไตรมาส 1/2568 บริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้จากการส่งมอบสินค้าจำนวนมาก โดยงานบางส่วนถูกเลื่อนมาจากปี 2567 ซึ่งมูลค่างานที่ถูกเลื่อนมาอยู่ที่ประมาณ 50-60 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีงานใหม่ที่เซ็นสัญญามาอีก 90 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้ทิศทางรายได้ของบริษัทในไตรมาสแรกปี 2568 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง           ITTHI ตั้งเป้าหมายการขยายงานในปี 2568 โดยคาดว่า Backlog หรือ งานในมือจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มี Backlog อยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านบาท หากบริษัทสามารถเพิ่ม Backlog ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ในปี 2568 คาดว่าแนวโน้มรายได้ของบริษัทจะเติบโตก้าวกระโดดจากปี 2567 โดยการขยายฐานลูกค้าและโครงการใหม่ๆ จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ           นายธนเสฏฐ์ กล่าวต่อว่า  ในปี 2568 บริษัทจะเห็นการเปิดตัวธุรกิจใหม่ที่ชัดเจน โดยจะมีการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าและโครงการวิจัยเกี่ยวกับภาคเกษตร ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการเติบโตของบริษัท นอกจากนี้ ธุรกิจเดิมของบริษัทยังคงเติบโตต่อเนื่องจากโครงการต่างๆ ที่ทยอยออกมา โดยบริษัทมั่นใจว่าโครงการใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2568 และเสริมความหลากหลายให้กับธุรกิจของบริษัทในระยะยาว           อนึ่ง ITTHI  ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าส่องสว่าง และอุปกรณ์ประเภท IET รวมทั้งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ           ขณะที่ 9 เดือนแรกปี 2567 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 470.14 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18.79 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

GPSC ปี 67 กำไรสุทธิโต 10% แตะ 4 พันลบ.

GPSC ปี 67 กำไรสุทธิโต 10% แตะ 4 พันลบ.

       หุ้นวิชั่น - บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) เปิดเผยผลประกอบการสำหรับปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 90,730 ล้านบาท ลดลง 349 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 91,079 ล้านบาท ในส่วนของค่าใช้จ่าย มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 88,106 ล้านบาท (รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน) มีรายได้จากการดำเนินงานอื่น รายได้อื่น เงินปันผลและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า จำนวน 2,147 ล้านบาท        ทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในปี 2567 จำนวน 4,062 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.44 บาท เพิ่มขึ้น 368 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 3,694 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 288,136 ล้านบาท และมีหนี้สินรวม 129,992 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 119,142 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.87 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายทางการเงินของบริษัท

RT คว้างานแขวงทางหลวงเชียงใหม่-ภูเก็ต รวม 38.35 ล้านบาท

RT คว้างานแขวงทางหลวงเชียงใหม่-ภูเก็ต รวม 38.35 ล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน RT แจ้งคว้างานใหม่รวม 38,356,000 ล้านบาท จาก งานก่อสร้างงาน Earth Work - Slope Protection แขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 2 และ แขวงทางหลวงภูเก็ต กรมทางหลวง           นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัท ไรท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) มีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า บริษัทได้รับงานโครงการใหม่ดังนี้ 1. งานก่อสร้างงาน Earth Work - Slope Protection ทางหลวงหมายเลข 1252 ตอน ปางแฟน-แม่ตอนหลวง ตอน 5 ระหว่าง กม.19+200 - กม.19+290 ขวาทาง เจ้าของโครงการ: แขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 2 กรมทางหลวง ผู้ว่าจ้าง: แขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 2 กรมทางหลวง มูลค่าโครงการ: 14,919,000.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สถานะโครงการ: ลงนามสัญญาก่อสร้างแล้วเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ระยะเวลาสัญญา: 7 กุมภาพันธ์ - 6 กรกฎาคม 2568 2. งานก่อสร้างงาน Earth Work - Slope Protection ทางหลวงหมายเลข 4028 ตอน ห้าแยกฉลอง-กะรน ตอน 1 ที่ กม.2+750 ซ้ายทาง เจ้าของโครงการ: แขวงทางหลวงภูเก็ต กรมทางหลวง ผู้ว่าจ้าง: แขวงทางหลวงภูเก็ต กรมทางหลวง มูลค่าโครงการ: 23,437,000.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สถานะโครงการ: ลงนามสัญญาก่อสร้างแล้วเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 ระยะเวลาสัญญา: 8 กุมภาพันธ์ - 6 สิงหาคม 2568

TASCO เผยยอดขายยางมะตอยรวมปี 67 ทะลุ 1.1 ล้านตัน

TASCO เผยยอดขายยางมะตอยรวมปี 67 ทะลุ 1.1 ล้านตัน

         หุ้นวิชั่น - นายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางมะตอย เพื่อใช้ในงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงทาง เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯประจำปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 28,220 ล้านบาท  และกำไรสุทธิ 1,417 ล้านบาท กำไรที่ลดลงส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของราคาขายและอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจยางมะตอยในประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากการอนุมัติงบประมาณล่าช้า โดยยอดขายยางมะตอยรวมปี 2567 อยู่ที่ 1.1 ล้านตัน          สำหรับไตรมาส 4 บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,824 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 576 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 6,916 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 232 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากความต้องการยางมะตอยภายในประเทศไทยที่ต่อเนื่องจากไตรมาส 3          สำหรับธุรกิจก่อสร้างนั้น มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,167 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 38.11 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 3 สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งอยู่ในช่วงท้ายของโครงการ อย่างไรก็ตามบริษัทฯสามารถส่งมอบงานโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 3 นี้ให้กับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) แล้วบางส่วนในเดือนพฤศจิกายน 2567          จากการที่รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณปี 2568 เมื่อปลายไตรมาส 3 บริษัทฯ คาดว่าความต้องการยางมะตอยจะกลับมาเป็นปรกติในปี 2568 ซึ่งจะเห็นได้จากความต้องการยางมะตอยในประเทศที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2568

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

PTTGC ไตรมาส 4/67 ขาดทุน1.1 หมื่นล.

PTTGC ไตรมาส 4/67 ขาดทุน1.1 หมื่นล.

                  หุ้นวิชั่น - PTTGC เผยไตรมาส 4/67 ขาดทุนสุทธิรวม 11,738 ล้านบาท ส่วนทั้งปีขาดทุน 29,811 ล้านบาท รายได้ปี 2567 ที่ 604,045 ล้านบาท พร้อมกลยุทธ์ Portfolio Transformation เตรียมงบลงทุน 840 ล้านเหรียญฯ (2568-2572) มุ่งขยายธุรกิจเคมีภัณฑ์และพลังงานใหม่คาดเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ดันความต้องการผลิตภัณฑ์เพิ่ม หนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.50บาทต่อหุ้น กำหนด วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 03 มี.ค. 2568 และ กำหนดวันที่จ่ายปันผล วันที่ 24 เม.ย. 2568           นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/2567ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 132,372 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 จากไตรมาส 3/2567 และ ลดลงร้อยละ 18 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจาก กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นที่ปรับตัวลดลง จากราคาผลิตภัณฑ์ของ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปที่ปรับลดลง สอดคล้องกับราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบโลกที่ปรับลง และ กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ราคาปรับตัวลดลงในไตรมาสนี้เป็นสำคัญ           นอกจากนี้ สถานการณ์ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงมีความท้าทายจากปัจจัยกดดันทาง เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าจะมีการประกาศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีน ผลประกอบการทางการเงิน           ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 2,663 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 68 โดยมีปัจจัยหลักจาก ธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังคงอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลต่ออุปสงค์ปลายทางของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี การเริ่มดำเนินการของกำลังการผลิตใหม่ในตลาด โดยเฉพาะจากประเทศจีน ส่งผลให้ราคาขายเม็ดพลาสติก โพลิเอทิลีนเฉลี่ยปรับตัวลดลง ส่วนต่างราคากลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวลดลง           สำหรับ ธุรกิจโรงกลั่น มี ค่าการกลั่น (GRM) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดย GRM ในไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 3.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษปรับลดลง เนื่องจากผลกระทบจาก กลุ่มบริษัท Vencorex การปรับลดตามฤดูกาลของธุรกิจอื่นๆ ในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาว โดยเฉพาะใน ทวีปยุโรปและอเมริกา ส่งผลให้ปริมาณการขายของ บริษัท allnex ปรับลดลง ผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบ           ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ รับรู้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับราคาสัญญาซื้อวัตถุดิบอีเทน จาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ย้อนหลังตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้น รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ • ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และกลับรายการการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV Reversal) รวมเป็นกำไร 941 ล้านบาท • กำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงด้านราคา 253 ล้านบาท • ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิและผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน รวมเป็นขาดทุน 1,033 ล้านบาท • รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในไตรมาสนี้ จำนวน 725 ล้านบาท โดย ผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนในธุรกิจปิโตรเคมียังคงอ่อนตัว โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโพลิโพรพิลีนเป็นหลัก กลยุทธ์การบริหารจัดการ Portfolio และผลกระทบทางการเงิน           ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ดำเนินยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ Portfolio เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ (Portfolio Transformation) แต่ต้องเผชิญความท้าทายจาก • สภาวะการแข่งขันอุตสาหกรรมที่รุนแรง • การปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัท Vencorex และบริษัท พีทีที อาซาฮี เคมิคอล จำกัด (PTTAC) บริษัทฯ ได้รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ไปในไตรมาส 3 ปี 2567 โดยใน ไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทฯ รับรู้ประมาณการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ซึ่งประกอบด้วย: • ประมาณการหนี้สินของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในอนาคตของกลุ่มบริษัท Vencorex จำนวน 1,455 ล้านบาท • ประมาณการหนี้สินของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในอนาคตของ PTTAC จำนวน 2,836 ล้านบาท ผลขาดทุนสุทธิ           เมื่อรวมปัจจัยทั้งหมดแล้ว บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 11,738 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2567           ผลประกอบการในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 604,045 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 2 โดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก รายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นที่ปรับตัวลดลง จากราคาผลิตภัณฑ์ของ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูป และ กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ลดลง แม้ว่าปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง เนื่องจากในปี 2566 มี การหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงโมโนเอทิลีนไกลคอลในช่วงครึ่งปีแรก และโรงงานฟีนอลหน่วยที่ 2           โดยภาพรวมในปี 2567 บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 31,766 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 17 จากปีก่อนหน้า เนื่องจากผลประกอบการของ กลุ่มผลิตภัณฑ์โรงกลั่นที่อ่อนตัวลงตาม GRM โดย ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบปรับลดลง เป็นหลัก และผลประกอบการของ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงได้รับแรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ทำให้อุปสงค์ยังคงชะลอตัวและอุปทานของภาคปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นในระหว่างปี นอกจากนี้ บริษัทฯ รับรู้ รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่           ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV) รวม 2,457 ล้านบาท กำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวม 383 ล้านบาท           ผลขาดทุนจากเงินลงทุนที่รับรู้ในปีนี้จำนวน 1,462 ล้านบาท โดยขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า เนื่องจาก ผลประกอบการของธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลง โดยเฉพาะธุรกิจโพลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) ซึ่งได้รับผลกระทบจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PVC ที่ลดลงเป็นหลัก กลยุทธ์และการปรับโครงสร้างธุรกิจ           ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินแนวทางตาม ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ Portfolio ของธุรกิจให้เข้มแข็ง (Portfolio Transformation) เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว โดยได้ปรับโครงสร้างธุรกิจของ 2 บริษัทหลัก ได้แก่ 1️กลุ่มบริษัท Vencorex – ผู้ผลิต HDI และ HDI Derivatives ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 100 2️ PTTAC – บริษัทในกลุ่มธุรกิจอะคริโลไนไตรล์และเมทิลเมทาคริเลต ซึ่งเป็นบริษัทร่วมค้าที่ยังถือหุ้นร้อยละ 50 • เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 Vencorex France และ Vencorex TDI ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เพื่อขอเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจในชั้นศาลตามกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส • เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 ศาลแพ่งได้มีคำสั่งรับคำร้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเบื้องต้น ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3-4 เดือน • เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ศาลมีคำสั่งขยายระยะเวลาของกระบวนการดังกล่าวไปจนถึงเดือนมีนาคม 2568 • บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของกลุ่มบริษัท Vencorex และประมาณการหนี้สินสำหรับกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจ รวม 10,028 ล้านบาท ปัจจุบัน Vencorex มีความคืบหน้าในการสรรหาผู้ซื้อสินทรัพย์ในฝรั่งเศส ไทย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 • เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ PTTAC มีมติอนุมัติแผนยุติการดำเนินกิจการ ทำให้บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนตามวิธีส่วนได้ส่วนเสียจาก PTTAC รวม 11,773 ล้านบาท ผลกระทบทางการเงิน           เมื่อรวมปัจจัยทั้งหมด บริษัทฯ รายงาน ขาดทุนสุทธิรวม 29,811 ล้านบาท (-6.62 บาท/หุ้น) ในปี 2567 พิจารณาจาก Adjusted EBITDA ในปี 2567 กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น มีผลประกอบการลดลงจาก ผลกระทบของ GRM ที่ลดลงมากกว่าครึ่ง จาก 9.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2566 เป็น 4.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2567 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจาก ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบที่ลดลง กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ทรงตัว           ผลประกอบการโรงโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อนหน้า ตามทิศทางของ ส่วนต่างผลิตภัณฑ์เอทิลีนและแนฟทาที่เพิ่มขึ้น ในปี 2567 บริษัทฯ มี การหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น ได้แก่โรงงานโอเลฟินส์หน่วยที่ 2/2 ในไตรมาส 1 และไตรมาส 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ           กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง มีผลประกอบการดีขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างมาก เนื่องจาก ปริมาณขายรวมที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก หลังจากปี 2566 มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของ โรงโมโนเอทิลีนไกลคอลในช่วงครึ่งปีแรก และโรงฟีนอลหน่วยที่ 2           กลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ มีผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกอ่อนตัวลง แม้ว่าราคาเฉลี่ยของ เม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีน (PE) จะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 และ ปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2           กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน มีผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณขายของผลิตภัณฑ์เมทิลเอสเทอร์ลดลงร้อยละ 10 โดยภาครัฐมีการปรับนโยบายลด ส่วนผสมไบโอดีเซลจาก B7 เป็น B5 ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป           กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ มีผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจาก Vencorex ได้รับแรงกดดันจากราคาผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันสูง รวมถึงอุปสงค์ของลูกค้าที่ชะลอตัวลง ขณะที่ allnex มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อนหน้า จากปริมาณขายที่เติบโตใน ภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก           แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2568 แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตในระดับคงที่ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตในระดับร้อยละ 3.2 เช่นเดียวกับในปี 2567 (IMF ตุลาคม 2567) โดยมีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัว มีปัจจัยสนับสนุนจากการลดลงของเงินเฟ้อ การฟื้นตัวของภาคการผลิตและการขนส่งในบางภูมิภาค รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากหลายประเทศทั่วโลก ทำให้การบริโภคและการลงทุนฟื้นตัวได้ดีขึ้น ช่วยลดแรงกดดันต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง           อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์หลังเข้ารับตำแหน่งที่อาจส่งผลต่อนโยบายกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและสร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจโดยรวม กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น           บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2568 อยู่ที่เฉลี่ย 73-78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยความต้องการน้ำมันดิบจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากปี 2567 เนื่องจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น           อย่างไรก็ตาม นโยบายการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกและการใช้พลังงานหมุนเวียนในหลายประเทศยังเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบ ด้านอุปทานน้ำมันดิบกลุ่มโอเปกพลัสเพื่อรักษาสมดุลของตลาด ในขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันดิบที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากประเทศนอกกลุ่มโอเปก เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล และกายอานา จะช่วยลดความตึงตัวของอุปทานในตลาดลง           สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของโรงกลั่น บริษัทฯ คาดว่าสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ในปี 2568 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปี 2567 เนื่องจากอุปทานผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตโรงกลั่นใหม่ในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีนและอินเดีย ด้านอุปสงค์คาดการณ์ว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีนจะช่วยสนับสนุนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น           บริษัทฯ คาดการณ์ว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล (10 ppm) กับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 14-17 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (Low Sulfur Fuel Oil: LSFO) กับน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 9-12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันแก๊สโซลีนกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 11-15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการยังคงบริหารจัดการรูปแบบการผลิต และสัญญาขายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการการจัดหาน้ำมันดิบในการผลิตและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ให้มีความเหมาะสม โดยบริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 91 กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง           แนวโน้มสถานการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์ฟีนอลในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอล (P2F) จะอยู่ที่ 230-250 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ใกล้เคียงกับปี 2567 อุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ฟีนอล อะซิโทน และบิสฟีนอลเอ ยังคงมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว และจะค่อยๆ มีทิศทางดีขึ้น ในส่วนของอุปทานกำลังการผลิตใหม่ในประเทศจีนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีผู้ผลิตบิสฟีนอลเอในญี่ปุ่นประกาศปิดกิจการไป           สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดของผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) บริษัทฯ คาดว่าราคา MEG จะอยู่ที่ 510-540 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน คาดว่าจะยังคงมีปัจจัยกดดัน ทั้งจากทางด้านอุปสงค์ที่ยังคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ อีกทั้งยังมีหน่วยการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นในปี 2568 ซึ่งยังเป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคา กลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์           แนวโน้มสถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะเฉลี่ยอยู่ที่ 980 – 1,010 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2567 คาดการณ์ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์จะฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นำโดยประเทศกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา และจีน           อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีความผันผวนและถูกกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในประเทศจีน ด้านอุปสงค์คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโพลิเอทิลีนในปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 107 กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ           คาดการณ์ว่าความต้องการของผลิตภัณฑ์กลุ่มสารเคลือบผิวอุตสาหกรรม (Coating Resin) มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2567 จากการเติบโตของความต้องการของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะยังคงสูงกว่าการเติบโตของ GDP โดยรวม เนื่องจากสัญญาณบวกของการฟื้นตัวในอุตสาหกรรมปลายทาง เช่น กลุ่มยานยนต์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่าจะเห็นการแข่งขันด้านราคามากขึ้น โดยเฉพาะจากกำลังการผลิตใหม่           ประมาณการงบลงทุนในช่วง 5 ปี (2568-2572) ของกลุ่มบริษัท จำนวนรวม 840 ล้านเหรียญฯ แบ่งเป็น 1.งบลงทุนของบริษัทฯ และบริษัทย่อย (ไม่รวม allnex)   ที่ 183 ล้านเหรียญฯ  ประกอบด้วยปี 2568  จำนวน 163  ล้านเหรียญฯ, ปี 2569 จำนวน 20 ล้านเหรียญฯ 2.งบลงทุนบริษัท Allnex  จำนวนรวม 657 ล้านเหรียญฯ  ประกอบด้วย ปี 2568 จำนวน 126 ล้านเหรียญฯ, ปี 2569 จำนวน 141 ล้านเหรียญฯ, ปี 2570 จำนวน 160 ล้านเหรียญฯ, ปี 2571 จำนวน 138 ล้านเหรียญฯ  และปี 2572 จำนวน 92 ล้านเหรียญฯ           ทั้งนี้ยังงบลงทุนที่ยังไม่ได้นับรวม ได้แก่ งบซ่อมบำรุงประจำปีประมาณ 400 ล้านเหรียญฯ (รวมบริษัท allnex Holding GmbH) , งบลงทุน เช่น โครงการเกี่ยวกับไอที & ดิจิทัล, โครงการปรับปรุงอาคารสำนักงาน, โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต เป็นต้น, งบลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจของ Allnex รวมถึงโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วและโครงการลงทุนที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาแต่ไม่รวมโครงการ M&A ขนาดใหญ่ และสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเหรียญสหรัฐต่อสกุลยูโรอยู่ที่ 1.12 สำหรับงบลงทุนของบริษัท allnex

SET ฟื้น หลังปิดตลาดภาคบ่าย หลายกลุ่มอุตสาหกรรมหนุน

SET ฟื้น หลังปิดตลาดภาคบ่าย หลายกลุ่มอุตสาหกรรมหนุน

         หุ้นวิชั่น - ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 1,256.48 จุด ลดลง 15.62 จุด หรือ 1.23% จากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยดัชนีปรับฟื้นขึ้นในการซื้อขายภาคบ่าย เนื่องจากราคาหลักทรัพย์ปรับสูงขึ้นกระจายในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มทรัพยากร เป็นต้น โดยหากไม่รวมการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ DELTA และ AOT ดัชนี SET Index ปรับบวกกว่า 15 จุด ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค          ทั้งนี้ ในช่วงเปิดตลาดภาคเช้าวันนี้ ดัชนี SET Index ปรับลดลง 2.5% สาเหตุหลักมาจากการปรับลงของราคาหลักทรัพย์ DELTA ที่ลดลงหลังข่าวผลประกอบการที่ลดลงต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และการปรับลดลงของหลักทรัพย์ AOT เนื่องจากข่าวสัญญาสัมปทาน อย่างไรก็ตามบริษัทได้ชี้แจงเพิ่มเติมมาแล้วเช้าวันนี้          ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ วิเคราะห์รอบด้าน และใช้วิจารณญาณในการพิจารณาซื้อขายให้เหมาะสมกับสถานการณ์

TASCO กำไรปี67 ลดลงเหลือ1,417ล. ยอดยางมะตอยชะลอตัว

TASCO กำไรปี67 ลดลงเหลือ1,417ล. ยอดยางมะตอยชะลอตัว

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน TASCO ประกาศงบปี 67 กำไรลดลงเหลือ 1,417 ล้านบาท จากปี 66 ที่ 2,306 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมที่ 28,220 ล้านบาท เผยเหตุยอดลดเกิดจากความล่าช้างบประมาณภาครัฐในการสร้างและซ่อมบำรุงถนน           นายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ขอรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ประจำปี 2567 ตามงบการเงินรวมที่ได้รับการตรวจสอบแล้วสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ภาพรวมธุรกิจ           ความต้องการยางมะตอยในตลาดประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัทฯ ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3 หลังจากที่รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณปี 2567 ในปลายเดือนเมษายน ซึ่งล่าช้าไป 7 เดือนจากกรอบการอนุมัติเบิกจ่ายปกติ ความต้องการตลาดยางมะตอยในภูมิภาคปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในบางประเทศหลัก เช่น อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ อย่างไรก็ตาม ราคายางมะตอยอ้างอิงภูมิภาคเฉลี่ยลดลงร้อยละ 9.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การลดลงของราคานี้เกิดจากความล่าช้าในงบประมาณภาครัฐในการสร้างและซ่อมบำรุงถนนในหลายประเทศหลัก รวมถึงการเพิ่มขึ้นของปริมาณการนำเข้ายางมะตอยราคาถูกจากภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นจำนวนมาก ผลการดำเนินงานไตรมาส 4           สำหรับไตรมาส 4 บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,824 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 576 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 6,916 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 232 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากความต้องการยางมะตอยภายในประเทศไทยที่ยังคงต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ผลการดำเนินงานประจำปี 2567           สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 28,220 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,417 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 31,352 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่จำนวน 2,306 ล้านบาท กำไรที่ลดลงส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของราคาขายและอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจยางมะตอยในประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากการอนุมัติงบประมาณล่าช้า ธุรกิจยางมะตอย           รายได้จากการขายและบริการ มีจำนวน 25,797 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.55 เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุมาจากปริมาณการขายที่ลดลงของตลาดต่างประเทศ โดยกลุ่มบริษัทฯ ยังคงใช้กลยุทธ์การขายแบบเลือกตลาดที่ให้กำไรสูง อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายในตลาดในประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการยางมะตอยที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 จากการอนุมัติงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้าของรัฐบาล           ต้นทุนขายและบริการ มีจำนวน 22,743 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 88.16 (ร้อยละ 85.96 ในปี 2566) ของรายได้จากการขายและบริการ ต้นทุนขายดังกล่าวเป็นยอดที่ไม่ได้รวมผลกระทบจากการกลับรายการสำรองค่าความเสี่ยงในมูลค่าของสินค้าคงเหลือและกำไรจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากราคาสินค้า อัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนเนื่องมาจากความต้องการยางมะตอยที่ลดลงในตลาดในประเทศในช่วงครึ่งปีแรก และราคายางมะตอยในประเทศลดลงอย่างเป็นสำคัญในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ บางประเทศในภูมิภาคได้รับผลกระทบจากการนำเข้ายางมะตอยจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้บริษัทย่อยในต่างประเทศที่เป็นตลาดหลักเผชิญกับการแข่งขันของสินค้าราคาถูก ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกาการกลับรายการสำรองค่าความเสี่ยงในมูลค่าของสินค้าคงเหลือจำนวน 13 ล้านบาท และมีกำไรจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากราคาสินค้าจำนวน 23 ล้านบาทในปี 2567 ธุรกิจก่อสร้าง           รายได้จากธุรกิจก่อสร้าง มีจำนวน 2,167 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 38.11 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 3 สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งอยู่ในช่วงท้ายของโครงการ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถส่งมอบงานโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 3 นี้ให้กับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) แล้วบางส่วนในเดือนพฤศจิกายน 2567           ต้นทุนของธุรกิจก่อสร้าง มีจำนวน 2,121 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 97.88 ของรายได้จากธุรกิจก่อสร้าง เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 95.38 ในปี 2566 กำไรขั้นต้นที่ลดลงเนื่องมาจากปริมาณงานที่ลดลงในขณะที่มีต้นทุนคงที่บางส่วน

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

ORI จับมือพันธมิตร ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ปิดดีลบิ๊กล็อตกว่า 1.2พันล้านบาท

ORI จับมือพันธมิตร ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ปิดดีลบิ๊กล็อตกว่า 1.2พันล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า ORI จับมือพันธมิตร ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ปิดบิ๊กล็อตโควต้าต่างชาติ So Origin Sukhumvit 105 มูลค่า 1,200 ล้านบาท สร้างแต้มต่อรุกตลาดอสังหาฯ 5 ประเทศในเอเชีย พบดีมานด์พุ่งต่อเนื่อง           นายธนกร วุฒิพงษ์ รองประธานกรรมการบริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการนำโครงการ So Origin Sukhumvit 105 คอนโดฯใหม่ใกล้ BTS สถานีแบริ่ง เพียง 200 เมตร* ไปโรดโชว์และจัดกิจกรรมขายต่างประเทศ โดยได้ลงนามแต่งตั้ง บริษัท ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (Thaiway Property) เป็นมาสเตอร์เอเจนท์ ขายห้องชุดในโครงการดังกล่าวนั้น ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมปิดยอดขายโควต้าต่างชาติ มูลค่า 1,200 ล้านบาท จากลูกค้าชาวต่างชาติใน 5 ประเทศแถบเอเชีย คือ ประเทศ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ใต้หวัน และเมียนม่า ลูกค้าที่ซื้อมีทั้งแบบ B2B และ B2C ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย เเละลงทุน(Investment ) รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุวัยเกษียณ(Retirement) ที่ต้องการโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาพำนักในประเทศไทย           ความสำเร็จจากการการขายห้องชุดโครงการ So Origin Sukhumvit 105 ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเพราะตลาดทั้ง 5 ประเทศดังกล่าวได้รู้จักอสังหาฯแบรนด์ ออริจิ้น ดีอยู่แล้ว จากการนำโครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์ต่างๆ ในเครือ ออริจิ้น ไปขายในช่วงก่อนหน้า ซึ่งได้รับการตอบรับดีเยี่ยม โดยแบรนด์โซ ออริจิ้น (SO ORIGIN) เป็นคอนโดมิเนียมที่มีดีไซน์เอกลักษณ์บนทำเลที่น่าสนใจใกล้รถไฟฟ้าเพื่อคน Gen Y และ Gen X การได้พันธมิตรไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำการตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศในแถบเอเชีย ได้ช่วยสร้างความแข็งแกร่งและสร้างชื่อให้กับ ออริจิ้น ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงสุดในประเทศไทย และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง           สำหรับ โครงการ So Origin Sukhumvit 105 ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท 105 ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีแบริ่ง เพียง 200 เมตร* ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 6 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดฯ LOW-RISE สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ยูนิตทั้งหมด 913 ยูนิต + 2 ร้านค้า โดยโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ อาทิ ห้องออกกำลังกาย, โถงต้อนรับ, สระว่ายน้ำ, Co-Working Space, Creativity&Craft space,Meeting room,Studio room,Co-Living Space,Sharing zone,Private zone,Garden,Pavilion,Rooftop Garden,Oxygen launch,Edible vegetable garden และOutdoor Theater เป็นต้น พร้อมอุ่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัย จากกล้องวงจรปิด CCTV 24 ชั่วโมง, ระบบ Access Control ด้วย Key Card เข้า-ออกอาคาร และพื้นที่จอดรถ และ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง โดยขนาดห้องมีตั้งแต่ 24-53 ตารางเมตร(ตร.ม) ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “CRAFTING A CLASSY MOMENTS ฟีลคลาสซี่ ได้ทุกโมเม้นต์” ราคาเริ่ม 2.81 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 2,540 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างปี 2569 คาดแล้วเสร็จทั้งโครงการในช่วงปี 2571           นอกจากนี้ โครงการ So Origin Sukhumvit 105 ยังมีจุดเด่นทำเลในซอยสุขุมวิท 105 ใกล้กับศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ บางนา ทำเลยอดนิยมสำหรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ที่แน่นไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ชอบเที่ยว ชิม ช้อป และ แฮงค์เอาท์ กับเพื่อนๆ ที่สำคัญเดินทางสะดวก 3 นาที ถึงรถไฟฟ้า BTS สถานีแบริ่ง ที่อยู่ใกล้โครงการเพียง 200 เมตร* อีกทั้งยังแวดล้อมไปด้วยโรงพยาบาล , ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และไลฟ์สไตล์ (Mega Project , Life style ) สถานศึกษาระดับนานาชาติ และอาคารสำนักงาน(OFFICE BUILDING) เป็นต้น           ด้านนางสาว เจสสิก้า เชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (Ms. Jessica Chao, CEO, Thaiway Property Company) กล่าวว่า บริษัทฯมีความยินดีและเป็นเกียรติที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเร็จ ทำการตลาดและขายคอนโดใหม่แบรนด์ So Origin Sukhumvit 105 จนสามารถทำยอดขายได้มากถึง 1,200 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของลูกค้าผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ ออริจิ้น ที่พัฒนาคอนโดมิเนียมคุณภาพในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 2.81 ล้านบาท บน Prime Area อยู่ใกล้ New CBD ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่กำลังมองหาคอนโดฯใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการกลุ่มคนซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง กลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายการลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งกลุ่มคนที่ซื้อไว้อยู่อาศัยหลัง Retirement ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ เชี่ยวชาญชำนาญ และมีฐานลูกค้าในมือ           พร้อมกันนี้ นายธนกร วุฒิพงษ์ ได้กล่าวในตอนท้ายว่า ในปี 2568 ORIGIN ยังคงเดินหน้าเจาะตลาดลูกค้าต่างชาติเพิ่มด้วยการจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งที่เป็น Agent รายเดิม และเปิดรับ Agent รายใหม่ๆ เข้าร่วม Origin Agent Club ด้วยการเดินสายโรดโชว์ไปยังตลาดประเทศใหม่ๆ รวมถึงการพิจารณาเปิดสำนักงานขายในต่างประเทศ ในประเทศที่มีลูกค้าให้ความสนใจ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงโครงการได้ง่ายขึ้น เป็นหนึ่งในแผนไต่ระดับการเติบโต ครองความเป็นผู้นำเจ้าตลาดส่งออกคอนโดฯ ชั้นนำ และการนำเอาโครงการ So Origin Sukhumvit 105 ไปขายที่ประเทศจีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, ใต้หวัน และเมียนม่า นั้น เพราะเป็นตลาดที่ยังมีดีมานด์ ขณะเดียวกันก็เพื่อรักษาฐานการเติบโตของตลาดประเทศในโซนเอเชียของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ [PR News]

ก.ล.ต. ปรับปรุงเกณฑ์เพื่อให้การจัดประเภทผู้ลงทุนในการติดต่อและรับบริการมีความชัดเจนขึ้น

ก.ล.ต. ปรับปรุงเกณฑ์เพื่อให้การจัดประเภทผู้ลงทุนในการติดต่อและรับบริการมีความชัดเจนขึ้น

           หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อให้นิยามผู้ลงทุนด้านการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (สัญญาฯ) สอดคล้องกันและสามารถให้บริการและปฏิบัติต่อผู้ลงทุนแต่ละประเภทได้เหมาะสมยิ่งขึ้น            ตามที่ ก.ล.ต. มีแนวคิดในการปรับปรุงนิยามผู้ลงทุน เพื่อลดภาระของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาฯ (ผู้ประกอบธุรกิจ) ในการจัดประเภทและให้บริการผู้ลงทุนด้วยนิยามผู้ลงทุนที่แตกต่างกันในหลักเกณฑ์บางเรื่อง และสามารถให้บริการและปฏิบัติต่อผู้ลงทุนแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้ร่วมแสดงความเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว ก.ล.ต. จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (1) กรณีการประกอบธุรกิจในภาพรวม: ปรับปรุงนิยามผู้ลงทุนสถาบันให้เป็นนิติบุคคลเท่านั้นเนื่องจากเป็นผู้ลงทุนที่สามารถดูแลตัวเองได้อย่างแท้จริง เพื่อให้สอดคล้องกันทั้งด้านการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาฯ รวมทั้งการให้บริการผลิตภัณฑ์ในประเทศและผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ (2) กรณีการให้บริการพาลูกค้าไปลงทุนในผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ: ปรับปรุงให้ใช้นิยามผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth: UHNW) เพื่อให้สอดคล้องกับนิยามผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษในหลักเกณฑ์เรื่องอื่น ๆ แทนการใช้นิยาม Qualified Investor (QI) ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งปัจจุบัน ธปท. ยกเลิกนิยามดังกล่าวแล้ว            นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์กรณีพาผู้ลงทุนทั่วไปไปลงทุนในผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศที่มีการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขายสัญญาฯ (ศูนย์ซื้อขาย) โดยศูนย์ซื้อขายดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับดูแลที่เป็นสมาชิกของ IOSCO ซึ่งเป็นพหุภาคีประเภท Signatory A ใน Multilateral Memorandum of Understanding Concerning Consultation and Cooperation and the Exchange of Information (MMOU) (IOSCO MMOU) หรือเป็นศูนย์ซื้อขายที่เป็นสมาชิกของ World Federation of Exchanges (WFE)            เมื่อหลักเกณฑ์ใหม่มีผลใช้บังคับ ผู้ประกอบธุรกิจต้องจัดประเภทผู้ลงทุนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ใหม่เมื่อถึงรอบการทบทวนการทำความรู้จักลูกค้า (Know Your Client: KYC) ครั้งถัดไปของผู้ลงทุน หรือเมื่อผู้ลงทุนประสงค์จะซื้อหลักทรัพย์หรือสัญญาฯ เพิ่มเติม            ทั้งนี้ ประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว* มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป หมายเหตุ: * ประกาศที่เกี่ยวข้องจำนวน 3 ฉบับ ดังนี้ (1) ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 7/2568 เรื่อง มาตรฐานการประกอบธุรกิจ โครงสร้าง การบริหารงาน ระบบงาน และการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 19) ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 (https://publish.sec.or.th/nrs/10630p_r.pdf) (2) ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 8/2568 เรื่อง การให้บริการแก่ลูกค้าในการลงทุนในผลิตภัณฑ์ ในตลาดทุนที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ (ฉบับที่ 6) ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 (https://publish.sec.or.th/nrs/10632p_r.pdf) (3) ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 2/2568 เรื่อง หลักเกณฑ์ ในรายละเอียดเกี่ยวกับการติดต่อและให้บริการลูกค้าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 15) ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 (https://publish.sec.or.th/nrs/10633p_r.pdf)  

PTTGC ชูเสื่ออัพไซเคิล MEGA MAT  ที่งานเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568

PTTGC ชูเสื่ออัพไซเคิล MEGA MAT ที่งานเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568

          หุ้นวิชั่น - 15 กุมภาพันธ์ 2568 กรุงเทพมหานคร – 6 พันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล  เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล มุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อ ความยั่งยืน ร่วมมือกับ สถานทูตเนเธอร์แลนด์ (NL) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA) กรุงเทพมหานคร (BMA) ศูนย์เชื่อมโยงอาเซียนด้านการออกแบบเมืองและสรรค์สร้าง (Urban Ally) และ บริษัทออกแบบจากเนเธอร์แลนด์ ผู้ให้คำปรึกษาเรื่องสถาปัตยกรรมและปัญหาในเขตเมือง (MVRDV) ในการสร้างสรรค์ MEGA MAT: Reimagining Waste into Wonder เสื่ออัพไซเคิลจากพลาสติกใช้แล้ว รังสรรค์เป็นผลงานศิลปะขนาดใหญ่ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญของผู้ทอเสื่อในการไล่เฉดสีของเสื่อเพื่อให้ถูกต้องตามการออกแบบ โดยมีแรงบันดาลใจจากหลังคาวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร อีกทั้งต้องประกอบและติดตั้งให้สามารถใช้งานได้จริง กลายเป็นที่สาธารณะสร้างสรรค์ให้กับคนเมืองในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568 ออกแบบพร้อมบวก+ (Bangkok Design Week 2025: Design Up+Rising) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนของ GC           นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC กล่าวว่า “MEGA MAT เป็นอีกผลงานศิลปะที่สะท้อนแนวคิด End-to-End Waste Management หรือ การจัดการขยะพลาสติกตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางของ GC โดยนำพลาสติกใช้แล้วกลับมาสร้างคุณค่าใหม่อย่างเป็นระบบ เสื่อทั้งหมดอัพไซเคิลจากเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีนรีไซเคิล (rPP) ที่มาจากเศษเส้นใยกระสอบใช้แล้วและเศษพลาสติกในประเทศไทย ถักทอเป็นเสื่อไทยได้อย่างประณีตและแข็งแรง กระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก แต่ยังเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้ และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรมไทยอีกด้วย           เราเชื่อว่าศิลปะสามารถเป็นสื่อกลางที่ทรงพลังในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม MEGA MAT จึงไม่ใช่แค่ผลงานศิลปะขนาดใหญ่ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเห็นถึงศักยภาพของการรีไซเคิลและอัพไซเคิลเพื่อสร้างสรรค์เป็นสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” MEGA MAT: Reimagining Waste into Wonder           MEGA MAT เป็นผลงานศิลปะเสื่ออัพไซเคิลขนาดใหญ่ มีความยาว 34.2 เมตร x กว้าง 25.2 เมตร ประกอบด้วย เสื่ออัพไซเคิลไซเคิล จำนวน 532 ผืน แต่ละผืนมีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม นำมาเย็บต่อกันอย่างประณีต มีน้ำหนักรวม 532 กิโลกรัม ได้รับแรงบันดาลใจจากหลังคาวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารกลายเป็นที่สาธารณะสร้างสรรค์ให้กับคนเมือง เสื่อเหล่านี้ผลิตจากเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีนรีไซเคิล (rPP) ซึ่งมาจากเศษเส้นใยกระสอบที่ผ่านการใช้งานแล้ว และเศษพลาสติกใช้แล้วในประเทศไทย นำมาผ่านกระบวนการอัพไซเคิล เปลี่ยนเป็นเม็ดพลาสติกที่มีคุณภาพสูง รีดเป็นเส้น ก่อนที่จะถูกนำมาสร้างสรรค์เป็นเสื่อไทยลวดลายทรงข้าวหลามตัดที่มีสีสันสวยงามและคงทน โดยการสร้างสรรค์นี้ต้องอาศัยความชำนาญของผู้ทอเสื่อในการไล่เฉดสีของเสื่อเพื่อให้ถูกต้องตามการออกแบบ การประกอบเสื่อต้องแข็งแรงแน่นหนา เนื่องจากถูกออกแบบโดยมีแรงบันดาลใจจากหลังคาวัด ทำให้การประกอบและติดตั้งต้องคำนึงถึงน้ำหนักและโครงสร้างที่ต้องถูกยกขึ้น อีกทั้งต้องสามารถใช้งานได้จริง           ภายหลังจบการแสดงผลิตภัณฑ์ในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568 ออกแบบพร้อมบวก+ (Bangkok Design Week 2025: Design Up+Rising) แล้ว MEGA MAT จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อ ตั้งแต่การบริจาคให้กับกรุงเทพมหานครเพื่อการใช้งานในพื้นที่สาธารณะต่อไป  การมอบให้พันธมิตรทางธุรกิจของ GC เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ และ การนำเข้าสู่คอลเลกชัน UPTOYOU Spring/Summer 2025 โดยนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น กระเป๋าถือ และ ของที่ระลึก อีกด้วย           GC และพันธมิตรขอเชิญชวนประชาชนร่วมสัมผัสประสบการณ์มหัศจรรย์ MEGA MAT ที่ซึ่งความคิดสร้างสรรค์และความยั่งยืนมาบรรจบกันอย่างลงตัว ให้ทุกคนได้ต่อยอดความคิด                 เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนไปด้วยกัน ในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568 ออกแบบพร้อมบวก+ (Bangkok Design Week 2025: Design Up+Rising) ระหว่างวันที่ 15-23 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร สามารถติดตามรายละเอียดของงานเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ https://www.bangkokdesignweek.com/bkkdw2025 [PR News]

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

MINT รายได้โต 6-8% ศึกษาตั้งกองรีท

MINT รายได้โต 6-8% ศึกษาตั้งกองรีท

          หุ้นวิชั่น - MINT เดินหน้ากลยุทธ์ Asset-light Model ขยายธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารทั่วโลก ตั้งเป้าเพิ่มพอร์ตโรงแรมเป็น 1,000 แห่งในปี 2572 จาก 562 แห่งในปี 2567 พร้อมขยายร้านอาหารเป็น 4,500 สาขา ตั้งงบลงทุนปีละ 10,000-12,000 ล้านบาท ศึกษาตั้งกอง REITs มูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 เร่งเพิ่มมูลค่าหุ้นให้สะท้อนศักยภาพธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่อง           นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตในช่วง 3 ปี (2568-2570) - อัตราการเติบโตของรายได้ต่อปี (CAGR) ที่ 6-8% (High Single Digit) - การเติบโตของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่ 15-20% - อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมากกว่า 12% - อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net IBD to Equity) ต่ำกว่า 0.75 เท่า จากปีก่อนอยู่ที่ 0.8 เท่า - อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (Net IBD to EBITDA) ลดลงเป็น 4 เท่า จากปีก่อนอยู่ที่ 4.3 เท่า           ทั้งนี้การเติบโตดังกล่าวมาจากการขยายธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร ภายใต้โมเดลธุรกิจที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light Model) หรือเป็นการเข้ารับบริหารโรงแรมให้กับเจ้าของโรงแรมเป็นหลัก หรือการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ โดยธุรกิจโรงแรม ในช่วง 3 ปีจากนี้ บริษัทจะเพิ่มพอร์ตโรแรมเป็น 850 โรงแรม และในปี 2572 จะมีพอร์ตโรงแรมภายใต้การบริหารเพิ่มเป็นมากกว่า 1,000 โรงแรม จากสิ้นปี 2567 ที่มีจำนวน 562 โรงแรม ผ่านการขยายไปในประเทศเป้าหมาย ได้แก่ อเมริกา แมกซิโก แอฟริกา เติร์ก โปรตุเกส ตะวันออกกลาง อย่าง ซาอุดิอาระเบีย บาร์เรน การ์ต้า โอมาน อินเดีย ตลอดจนญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เป็นต้น สำหรับในปี 2568 จะมีโรงแรมใหม่เปิดให้บริการจำนวน 54 โรงแรม ซึ่ง 80% เป็นโรงแรมภายใต้โมเดล Asset-light (รับจ้างบริหาร) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน MINT มีสัญญารับบริหารโรงแรมในมือมากกว่า 100 โรงแรม ส่วนธุรกิจร้านอาหาร ในช่วง 3 ปีจากนี้ บริษัทจะเพิ่มขยายสาขาร้านอาหารเป็น 4,000 สาขา และในปี 2572 จะเพิ่มเป็น 4,500 สาขา จาก ณ สิ้นปี 2567 ที่มีจำนวน 2,699 สาขา โดยจะเป็นการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ ซึ่งในปี 2568 นี้ จะเริ่มมีแฟรนไซส์ร้านอย่าง บอนชอน และกาก้า           นายดิลิป มองการท่องเที่ยวในประเทศไทยยังมีการเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากยังเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากการส่งเสริมของภาครัฐ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ก็เป็นปัจจัยหนุนให้นักท่องเที่ยวสหรัฐเดินทางไปทั่วโลก รวมถึงยังได้รับอานิสงส์จากการถ่ายทำซีรีย์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจากในช่วงต้นปีนี้ โรงแรมในสมุย และภูเก็ต ของบริษัททั้ง 4 แห่ง ได้รับอานิสงส์บวกแล้ว โดยอัตราค่าห้องพัก (ADR) ได้ปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่า 40%           ด้านธุรกิจร้านอาหาร มองว่ายังมีการเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ที่มียอดขายต่อสาขา (SSSG) โต 8% โดยรายได้หลักยังมาจากในไทยมากถึง 60%           บริษัทฯ วางงบลงทุนในช่วง 3 ปี ไว้ที่ 10,000-12,000 ล้านบาทต่อปี โดยปีนี้จะใช้ราว 11,000 ล้านบาท รองรับการ Repositioning และการรีแบรนด์ (Rebrand) เพื่อเพิ่มอัตราค่าห้องพักต่อคืนต่อห้อง (Room rent)           นอกจากนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ในประเทศไทย หรือสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ Asset-light Model ที่จะลดการใช้เงินลงทุนในการขยายธุรกิจ โดยคาดว่าจะได้เห็นการจัดตั้งกอง REITs ได้ภายในปี 2568 ซึ่งจะมีขนาดประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดให้บริษัทได้ประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ           นายดิลิป กล่าวว่า ด้านราคาหุ้น MINT ปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และสวนทางกับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทคาดหวังให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดทุนมีการกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดทุนไทยมากขึ้น เพื่อช่วยในการขับเคลื่อนการลงทุนให้มูลค่าหุ้นสอดคล้องกับมูลค่าที่แท้จริง

BGRIM ติด S&P Global Sustainability Yearbook 2025 ต่อเนื่องปีที่ 4

BGRIM ติด S&P Global Sustainability Yearbook 2025 ต่อเนื่องปีที่ 4

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ 17 กุมภาพันธ์ 2568: บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนด้วยการได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก S&P Global Sustainability Yearbook 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 พร้อมยกระดับสู่กลุ่ม Top 5% ของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้า จากระดับ Top 10% ในปีก่อนหน้า สะท้อนถึงการยอมรับในระดับสากลตลอดจนการยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อย่างต่อเนื่อง           ภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารีของ บี.กริม ซึ่งยึดถือมาตลอด 147 ปี บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ควบคู่กับการลงทุนในพลังงานสะอาด เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ภาคอุตสาหกรรม พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมถึงพัฒนาโซลูชั่นด้านพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร และปรับปรุงกระบวนการผลิตพลังงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ด้วยแนวทางการดำเนินธุรกิจบนรากฐานของความยั่งยืน บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการยอมรับจากผู้ประเมินทั้งในระดับประเทศและระดับสากล โดยได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ระดับสูงสุด AAA ประจำปี 2567 พร้อมครองอันดับหุ้นยั่งยืนเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงได้รับคัดเลือกให้อยู่ในดัชนี FTSE4Good Index Series ด้วยคะแนน 4.5 จาก 5 คะแนน และคะแนนเต็ม 5 ในมิติธรรมาภิบาล ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ยังคงมุ่งมั่นผสานความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินงาน สร้างสมดุลระหว่างคุณค่าทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม เสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมเดินหน้าบรรลุเป้าหมายการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593  

VIH เปิดความสำเร็จ 3 โครงการ  พัฒนาธุรกิจโรงพยาบาลสู่ความยั่งยืน

VIH เปิดความสำเร็จ 3 โครงการ พัฒนาธุรกิจโรงพยาบาลสู่ความยั่งยืน

          บริษัท ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) หรือ VIH ในนามกลุ่มโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ประกาศความสำเร็จอีกขั้นกับการได้รับการจัดอันดับ ESG Ratings ระดับ A จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่บริษัทฯ ได้รับการยอมรับในด้านความยั่งยืนทางธุรกิจ โดยเฉพาะในปีแรกที่ VIH เข้าร่วมการประเมินในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ VIH ในการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการกำกับดูแลกิจการที่ดี คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ อาทิ การดูแลสิ่งแวดล้อม การพัฒนาชุมชนและสังคม การดูแลพนักงาน และการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส           ภญ.ดร.ตีรวรรณ วนดุรงค์วรรณ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล และ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล หนองแขม กล่าวว่า ปัจจุบัน กลุ่มโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ประกอบด้วย โรงพยาบาลทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล อ้อมน้อย โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล หนองแขม โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาคร โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล แยกไฟฉาย รวมทั้งบริษัทฯ ยังมีบริษัทย่อย คือ บริษัท โรงเรียนศรีวิชัยอาชีวศึกษา จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อ โรงเรียนศรีวิชัยอาชีวศึกษา เพื่อผลิตผู้ดูแลผู้สูงอายุและเด็กเล็ก           VIH ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด เรามุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร พร้อมทั้งสร้างคุณค่าร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดยมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบ ESG เข้ากับกลยุทธ์หลักผ่านแผนงานที่สอดคล้องกับหลักการสำคัญ 14 ข้อ พร้อมดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคม และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อสร้างประโยชน์แก่ทุกภาพส่วน โดยมีส่วนร่วมต่อเป้าหมาย SDGs คือ The 14 Sustainable Development Goals ได้แก่ …. สำหรับกิจกรรมด้าน ESG ที่โดดเด่นของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมามี 3 โครงการด้วยกัน ได้แก่ โครงการขยะกำพร้า เป็นการจัดอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรของโรงพยาบาลและผู้มารับบริการผ่านสื่อต่าง ๆ โครงการนำแก้วมาแลกกล้า เปลี่ยนแก้วพลาสติกที่ใช้แล้วมาใช้ใหม่ เพิ่มประโยชน์สูงสุด ลดขยะโดยสมบูรณ์ มุ่งพัฒนาเป็นสังคมสีเขียว ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมจากความตั้งใจของบริษัทฯ ที่ช่วยลดใช้พลาสติก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามนโยบายของโรงพยาบาล โดยนำแก้วกาแฟที่ใช้งานแล้ว มาแลกพันธุ์กล้าผัก เพื่อนำไปปลูกที่บ้าน รวมถึงส่งต่อแก้วพลาสติกใช้แล้วกับอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ซึ่งจะนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกกล้าไม้ชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ บุคลากรของโรงพยาบาลยังได้ร่วมเพาะพันธุ์กล้าไม้ จากแก้วที่นำไปบริจาคร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในการส่งต่อต้นกล้าไม้ผ่านแก้วที่นำมาบริจาค เพื่อคืนสู่ผืนดินต่อไป กิจกรรมนี้เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดการใช้งานแก้วพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการลดขยะ และเพิ่มพื้นที่สีเขียว ถือเป็นการจัดการขยะที่สมบูรณ์ โครงการ Zero C Challenge จัดขึ้นเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์สุทธิของกลุ่มโรงพยาบาลให้เป็นศูนย์ภายในปี 2583 เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนให้กับองค์กร พร้อมทั้งเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน           นอกจาก 3 โครงการข้างต้นแล้ว กลุ่มโรงพยาบาลวิชัยเวช ยังร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ.2567 ซึ่งจัดโดยสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 10 สาขาเพชรบุรี โดยร่วมกันปลูกต้นไม้ จำนวน 600 ต้น ณ วัดห้วยกวางจริง ต.พุสวรรค์ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ซึ่งกลุ่มโรงพยาบาลวิชัยเวช ตระหนักถึงคุณค่าและประโยชน์ของต้นไม้ จึงเข้าร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่ต่าง ๆ ภายใต้โครงการเราปรับโลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เราทุกคนหวังว่าต้นไม้ที่ปลูกทุกต้นจะเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อคืนปอดให้กับโลก และสร้างอากาศบริสุทธิ์ร่วมกัน           ขณะที่โรงพยาบาลวิชัยเวชฯ อ้อมน้อย เข้าร่วมโครงการส่งขยะกลับบ้าน เป็นการบริจาคผ้าชำรุดที่ไม่ใช้งาน เพื่อเปลี่ยน “ขยะ” เป็น “พลังงาน” โดยได้รวบรวมผ้าและวัสดุใช้แล้ว อาทิ ชุดนอน ปลอกหมอน ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม ฯลฯ ที่หมดอายุการใช้งานและได้ทำการฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว จากนั้นส่งมอบให้กับบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด ณ อาคารสำนักงานใหญ่ BETTER GROUP นำไปใช้ประโยชน์แปรรูปเป็นเชื้อเพลิงพลังงานทดแทน ทำใหมีส่วนช่วยลดปัญหาขยะโดยนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการนำไปผ่านกระบวนการบำบัดทางกายภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำไปผลิตเชื้อเพลิงที่ได้มาตรฐานสำหรับใช้เป็นพลังงานทดแทน           ทั้งนี้ VIH มุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานความยั่งยืนในระดับสูง และพร้อมที่จะยกระดับการดำเนินงานด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย และเติบโตไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

OR เผยผลการดำเนินงานปี 2567 พร้อมแผนกลยุทธ์ปี 2568

OR เผยผลการดำเนินงานปี 2567 พร้อมแผนกลยุทธ์ปี 2568

ผลการดำเนินงานปี 2567 รายได้และผลกำไร รายได้จากการขายและบริการ 723,958 ล้านบาท ลดลง 5.9% จากปี 2566 (ลดลง 45,783 ล้านบาท) สาเหตุหลักมาจาก ปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่ลดลงและราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ในกลุ่มธุรกิจ Mobility กลุ่มธุรกิจ Lifestyle และ Global เติบโตแข็งแกร่ง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 8.2% และ 10.9% ตามลำดับ EBITDA จำนวน 17,666 ล้านบาท ลดลง จากกลุ่ม Mobility แต่ กลุ่ม Lifestyle และ Global ยังคงเติบโต ค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิปรับลดลง 11.7% จากการลดค่าใช้จ่ายด้านโฆษณาและส่งเสริมการขาย รวมถึงการทบทวนพอร์ตโฟลิโอ ยุติธุรกิจที่ไม่ทำกำไร ผลประกอบการไตรมาส 4/2567 รายได้จากการขายและบริการ 185,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% จากไตรมาสก่อน EBITDA เพิ่มขึ้น 100% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 4,887 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,999 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,608 ล้านบาท หรือมากกว่า 100% จากไตรมาสก่อน รางวัลและการรับรองความยั่งยืน OR ได้รับ SET ESG Ratings 2567 ระดับสูงสุด "AAA" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดอันดับ 1 DJSI (ดัชนีความยั่งยืนระดับโลก) ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก เป็นปีที่ 2 แผนกลยุทธ์และเป้าหมายปี 2568 แนวโน้มผลประกอบการ คาดว่าผลประกอบการจะ ปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การบริโภค และการลงทุน คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะ กลับสู่ระดับปกติ มุ่งใช้ Digitalization & Innovation เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ กลุ่มธุรกิจ Mobility รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดค้าปลีกน้ำมันในประเทศไทย ดึง Market Share กลับมา พร้อมยกระดับบริการให้เป็น Mobility Partner ผ่านเครือข่ายสถานีบริการ PTT Station ขยายจากธุรกิจน้ำมันสู่พลังงานสะอาด (New Energy-Based) เพิ่มเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ ติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) และพลังงานทางเลือกอื่น กลุ่มธุรกิจ Lifestyle รักษาความแข็งแกร่งของ Café Amazon ตลอดห่วงโซ่คุณค่า หาโอกาสลงทุนใหม่ ๆ ร่วมกับพันธมิตร เพื่อขยายธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และไลฟ์สไตล์ ศึกษาโอกาสในธุรกิจ Health & Wellness เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค กลุ่มธุรกิจ Global ขยายธุรกิจในกัมพูชา เป็น Second Home Base จากศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการสินค้า OR มองหาโอกาสขยายไปยังประเทศใหม่ ๆ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ งบลงทุนปี 2568 (รวม 18,886.9 ล้านบาท) Mobility – 7,656.7 ล้านบาท Lifestyle – 7,280.4 ล้านบาท Global – 2,771.8 ล้านบาท Innovation & New Business – 1,178.0 ล้านบาท หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR กล่าวว่า "OR ยังคงเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการขยายธุรกิจที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และพลังงานแห่งอนาคต พร้อมเสริมศักยภาพด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล"  

ก.ล.ต. ผนึกกำลังผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า

ก.ล.ต. ผนึกกำลังผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า

          หุ้นวิชั่น - วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 | ฉบับที่ 31 / 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำหนดมาตรการจัดการปัญหาบัญชีม้า เพื่อยกระดับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายในการสร้างมาตรฐานการประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลและร่วมมือในการสกัดกั้นบัญชีม้า           ก.ล.ต. เปิดเผยถึงการจัดการเกี่ยวกับบัญชีม้าว่า ได้ประสานการทำงานร่วมกับ TDO และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างใกล้ชิด และได้ร่วมกันกำหนดมาตรการจัดการบัญชีม้าเพิ่มเติมเพื่อยกระดับมาตรการคัดกรองและตรวจสอบบัญชีม้าให้เข้มข้น เท่าทัน และครอบคลุมลักษณะหรือพฤติกรรมเสี่ยงของบัญชีม้ายิ่งขึ้น โดยผู้ที่เป็นบัญชีม้าจะถูกจำกัดการทำธุรกรรมบางลักษณะที่เสี่ยงต่อการฟอกเงิน ผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล           นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช. สอท.) และ ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาจัดการบัญชีม้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย ตลอดจนสนับสนุนให้กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อสกัดกั้นการใช้บัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน โดยผ่านกลไกการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU) ในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล           สำหรับการดำเนินการที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ประสานการทำงานกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาบัญชีม้าและอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน รวมทั้งร่วมเสนอแนะแนวทาง ให้ข้อคิดเห็น และดำเนินการตามมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีการออกหนังสือเวียนให้ผู้ประกอบธุรกิจยกระดับการคัดกรองลูกค้าและธุรกรรมต้องสงสัยตามแนวทางที่จัดทำร่วมกับ TDO และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบและติดตามผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนร่วมเสนอและให้ข้อคิดเห็นในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

COCOCO ลงทุนฟิลิปปินส์เสริมแกร่ง  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 11.60 บาท

COCOCO ลงทุนฟิลิปปินส์เสริมแกร่ง โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 11.60 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า คาด COCOCO กำไรปกติใน 4Q24 ที่ 73 ลบ. (-68.5% QoQ, -60.1% YoY) อ่อนแอกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้าที่กรอบ 170 - 190 ลบ. เนื่องจาก GPM คาดอยู่ที่ 19.8% ลดลงจากทั้ง 24.8% ใน 3Q24 และ 26.6% ใน 4Q23 จากการรับรู้ผลของราคามะพร้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น กดดันอัตรากำไรของสินค้ากลุ่มน้ำกะทิและน้ำมะพร้าว รวมถึง SG&A/Sales ที่คาดว่าสูงขึ้นทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากมีการจ่ายโบนัสพนักงานในช่วงท้ายปี ประกอบกับบริษัทมีการนำสินค้าไปจัดแสดงในต่างประเทศมากขึ้น ในขณะที่รายได้ยังสามารถเติบโตได้ YoY จากฐานลูกค้ารายใหม่ที่สูงขึ้น และลูกค้ารายเดิมที่ยังมีการขยายออเดอร์ต่อเนื่อง แต่อาจลดลงหากเทียบ QoQ เนื่องจากเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจที่เป็นช่วงฤดูหนาว ยังมองเป็นบวกต่อแนวโน้มกำไรในปี 2025           ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มกำไรปกติในปี 2025 ที่คาดว่ายังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง YoY จากการเริ่มรับรู้รายได้ที่มากขึ้นจากลูกค้ารายใหม่สำหรับการรับจ้างผลิตสินค้ากลุ่มน้ำกะทิในยุโรป รวมถึงลูกค้ารายใหญ่สำหรับการรับจ้างผลิตสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐฯ นอกจากนี้ ลูกค้ารายเดิมของบริษัทยังมีแนวโน้มที่จะขยายยอดคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของอุปสงค์น้ำมะพร้าว, น้ำกะทิ และอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ GPM อาจชะลอตัวลง YoY เนื่องจากการรับรู้ผลของราคามะพร้าวที่ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เรามองว่าราคามะพร้าวมีโอกาสปรับตัวลงในระยะถัดไป เนื่องจากได้รับผลกระทบของลานีญาที่จะส่งผลให้อากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกมะพร้าวมากขึ้น ซึ่งเป็น Upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการของเรา ลงทุนโรงงานในฟิลิปปินส์ ... เสริมแกร่งธุรกิจน้ำกะทิ           บริษัทได้อนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อยในฟิลิปปินส์ชื่อ “Novacoconut” (บริษัทถือหุ้น 100%) สำหรับการจัดตั้งโรงงานในฟิลิปปินส์ด้วยเงินลงทุน 430 ลบ. คาดจะเริ่ม Commercial Run ได้ตั้งแต่ใน 1Q26 เป็นต้นไป โดยโรงงานดังกล่าวจะเน้นการผลิตน้ำกะทิ ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีลูกค้ารองรับแล้วในบางส่วน โดยเงินลงทุนของบริษัทจะแบ่งเป็น 1) เงินกู้จากสถาบันทางการเงิน 90% และ 2) เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท 10% ซึ่งอาจส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายในปี 2026 สูงขึ้น แต่คาดว่าจะชดเชยได้จากรายได้ที่เติบโตเด่น สุทธิแล้ว มองว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นบวกมากกว่าลบ คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 11.60 บาท           หากกำไรใน 4Q24 ออกมาตามคาด กำไรทั้งปีจะต่ำกว่าประมาณการกำไรปี 2024 ของเรา รวมถึงในปี 2025 ที่คาดว่า GPM ยังถูกกดดันจากราคามะพร้าวที่ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปี 2024 และ 2025 ลง 12.5% และ 16.5% เป็น 721 ลบ. (+26.2% YoY) และ 930 ลบ. (+29.1% YoY) ตามลำดับ จากการปรับสมมติฐาน GPM           นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ยังปรับ PE ในการประเมินมูลค่าลงเป็น 18.0 เท่า เพื่อสะท้อนสภาวะตลาดที่ผันผวน ทำให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ ณ สิ้นปี 2025 ที่ 11.60 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 เพียง 13.2 เท่า คิดเป็น PEG เพียง 0.45 เท่า จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว

abs

Hoonvision

S&P Global เลือก DELTA เข้า Sustainability Yearbook ปี68

S&P Global เลือก DELTA เข้า Sustainability Yearbook ปี68

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 17 กุมภาพันธ์ 2568 - บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำระดับโลกด้านการจัดการพลังงานและผู้ให้บริการโซลูชันสีเขียวอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย IoT ได้รับการจัดอันดับใน S&P Global Sustainability Yearbook ประจำปี 2568 นับเป็นปีที่แปดติดต่อกันที่บริษัทฯ ได้รับการยอมรับในฐานะบริษัทที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นและยอดเยี่ยมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ทั้งนี้ S&P Global Sustainability Yearbook เป็นทำเนียบรวบรวมรายชื่อบริษัทชั้นนำด้านความยั่งยืนตามการจัดอันดับดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) โดยเดลต้า ประเทศไทย เป็นบริษัทจดทะเบียนไทยเพียงรายเดียวในกลุ่มอุตสาหกรรม “ชิ้นส่วนอุปกรณ์ เครื่องมือและส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์” ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ทำเนียบนี้           เดลต้ามุ่งเน้นการดำเนินงานด้านความยั่งยืนด้วยแนวทางที่มุ่งเน้นการดำเนินงานที่เห็นผลจริงและวัดผลได้ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม โดยกลยุทธ์ด้าน ESG ของบริษัทฯ ตั้งอยู่บนหลักการของความโปร่งใส ความร่วมมือ และการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง           นายเคเค ชง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาความยั่งยืน บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) กล่าวถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า “เราเชื่อว่าความยั่งยืนคือการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่าในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้เดลต้าเติบโตไปพร้อมกับสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสิ่งแวดล้อม การที่เราได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ S&P Global Sustainability Yearbook และเข้าเป็นสมาชิกของดัชนี DJSI ไม่เพียงยืนยันถึงความก้าวหน้าของเรา แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาต่อไป เพื่อยืนหยัดในการขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วยแนวทางที่เป็นรูปธรรมและมีคุณค่าอย่างต่อเนื่อง”           ในปีนี้ S&P Global Sustainability Yearbook ได้ทำการประเมินบริษัทกว่า 7,690 แห่งจาก 62 อุตสาหกรรมทั่วโลก และคัดเลือกเหลือเพียง 780 บริษัทเพื่อบรรจุใน Yearbook การได้รับคัดเลือกในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเดลต้า ประเทศไทยในการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม           เดลต้า ประเทศไทย ได้ผนวกความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานมาอย่างยาวนาน โดยบริษัทฯ ลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงการต่าง ๆ เพื่ออนุรักษ์และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าทางธุรกิจในระยะยาว นับตั้งแต่ปี 2560 บริษัทฯ สามารถลดความหนาแน่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกไซต์งานลงได้กว่าร้อยละ 33 อีกทั้งร้อยละ 23 ของรายได้รวมของบริษัทฯ ยังมาจากโซลูชันเทคโนโลยีสะอาด (clean technology solutions) และบริษัทฯ ยังใช้วัสดุรีไซเคิลในกระบวนการผลิตกว่าร้อยละ 22 ของวัตถุดิบทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้กำกับดูแลให้ซัพพลายเออร์ทั้งหมดปฏิบัติตามหลักจรรยาบรรณแห่งพันธมิตรธุรกิจผู้มีความรับชอบ (RBA Code of Conduct) เพื่อเสริมสร้างการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมและยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน           ก้าวต่อไปสู่อนาคต เดลต้าจะยังคงมุ่งมั่นเสริมสร้างการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ กำลังศึกษาแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนในด้านต่าง ๆ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร การเพิ่มศักยภาพโครงการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน และการเร่งพัฒนานวัตกรรมโซลูชันคาร์บอนต่ำ และด้วยการผนวกความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานเหล่านี้ เดลต้าจึงสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการดำเนินงานตามหลักการ ESG ได้อย่างมีประสิทธิภาพ           แม้เดลต้า ประเทศไทย จะได้รับการยอมรับใน S&P Global Sustainability Yearbook ซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยันความก้าวหน้าที่สำคัญ แต่ความสำเร็จดังกล่าวถือเป็นเพียงก้าวหนึ่งบนเส้นทางอันยาวไกล บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันที่ช่วยสนับสนุนอนาคตที่ยั่งยืนและสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ก้าวไปไกลกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อตอกย้ำกับคำมั่นสัญญาของบริษัทที่ว่า “Smarter. Greener. Together.”

TU คาดยอดขายปี 2568 โต 3-4% ทุ่มงบลงทุน 5 พันล้าน

TU คาดยอดขายปี 2568 โต 3-4% ทุ่มงบลงทุน 5 พันล้าน

          นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ TU บริษัทฯ คาดว่ายอดขายจะเติบโต 3-4% จากปีก่อน จากการเติบโตของการดำเนินงานปกติในทุกกลุ่มธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้อาจถูกชดเชยบางส่วนด้วยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากบริษัทฯ คาดการณ์ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ อัตรากำไรขั้นต้น จะอยู่ที่ 18.5 – 19.5% คาดว่าจะสอดคล้องกับการเติบโตของยอดขาย ขณะที่ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 13.0 – 13.5% เป็นผลจาก transformation costs และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่มุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ สุดท้ายนี้ บริษัทฯ คาดว่า งบลงทุน (CAPEX) จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการขยาย ระบบอัตโนมัติในคลังสินค้าของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ที่4.5 – 5.0 พันล้านบาท

7 สินค้า SME ในเซเว่นฯ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน

7 สินค้า SME ในเซเว่นฯ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน

          หุ้นวิชั่น - ปี 2567 ที่ผ่านมา SME หลายเจ้าปล่อยสินค้าของดีของเด็ดให้เลือกมากมาย และเช่นเคย เซเว่นฯ จะมารวบรวมลิสต์สินค้า SME สุดปัง ฮิตติด Best Seller ที่ขาช้อปตัวยงต้องซื้อติดบ้าน เซเว่น อีเลฟเว่น (7-11) ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ในทุกมิติ เปิด 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ที่สู้ไม่ถอยสามารถปั้นรายได้พุ่ง เติบโตต่อเนื่อง ก้าวสู่ SME ยุคใหม่ ที่โตไกลไปด้วยกันกับเซเว่นฯ 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ชุดรวมขนมทองมงคล จาก “ขนมไทยบ้านทองหยอด”           กลายเป็นสินค้าได้รับความนิยมในหมู่คนไทยสายบุญ สายมู โดยชุดรวมขนมทองมงคล ถูกรังสรรค์ ขนาดไซส์มินิ น้ำหนักเบา ราคาเพียง 27 บาท โดดเด่นด้วยแพ็คเกจที่ทันสมัยออกแบบเพื่อให้สะดวกในการรับประทาน เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรับประทานเอง หรือทำบุญในวาระต่างๆ พิธีไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อของคนไทย ซึ่งประกอบไปด้วย ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุน จุดเด่นของชุดรวมขนมทองมงคล  เป็นการรวมขนมไทย 4 อย่างไว้ใน 1 กล่อง และผลิตสดใหม่ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ผ่านการผลิตระดับมาตรฐาน GHP&HACPP ที่ควบคุมให้ขนมสดใหม่ อร่อย กลมกล่อม กลิ่นหอมตามสูตรที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น สามารถดันยอดขายให้ ขนมไทยบ้านทองหยอด ทะลุ 100 ล้าน ปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างมาก ยิ่งหาซื้อได้ง่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศได้ ก็ยิ่งการันตีความปัง ผักโขมอบชีส “รีโอส์ เดลิ” แบรนด์นี้คุณแม่ปลื้มทำให้เรื่องทานผักเป็นเรื่องง่าย           ขอต้อนรับเข้าสู่วงการอาหารอิตาเลียนที่เข้าถึงง่ายมากกับ ผักโขมอบชีส รีโอส์ เดลิ เมนูระดับภัตตาคารสู่เซเว่นฯ ที่รสชาติดี มีคุณประโยชน์ และราคาที่เข้าถึงง่าย บรรจุในถาดเยื่อพืชย่อยสลายได้ในไซส์ที่กำลังอิ่มพอดี ขนาด 100g โดยมีจุดเด่นที่ทำให้ยอดขายปัง 3 หลักการด้วยกัน 1.วัตถุดิบคุณภาพดีที่ผ่านการคัดเลือก  ผักโขมปลอดภัย ผสมกับชีสแท้ๆ เกรดนำเข้า 2.นวัตกรรมการผลิตและรสชาติที่ตอบโจทย์คนไทย ใช้กระบวนการ No-bake process ที่ทำให้หลังอุ่นไมโครเวฟชีสยืดเหมือนสินค้าที่ทำในบ้าน 3.แพ็คเกจจิ้งใช้งานง่าย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บรรจุภัณฑ์ถาดเยื่อพืชที่สามารถลดพลาสติกลงได้ 90% ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มแม่และเด็ก ที่คุณแม่ต้องการให้ลูกๆ ทานผัก ในขณะที่ลูกๆ กลับมองว่าเป็นการทานชีส จึงเกิดเป็นทางออกที่ win win ทั้งคู่ กิมจิผักกาดขาว “คิงเชฟ” เครื่องเคียงตัวดัง สูตรต้นตำรับ ที่สายเกาหลีเกาใจเลิฟมาก           ยังคงอยู่ในหมวดหมู่อาหารนานาชาติ โดนใจสายเกากับ กิมจิผักกาดขาว ในรูปแบบซองพรีเมียมโดดเด่นด้วยสีเขียวสะท้อนแสง ด้วยคอนเซ็ปต์ “ฉีกปากถุง วางตั้ง ตักได้เลย” สามารถทานได้ทุกที่ทุกเวลา แม้แต่ทานในรถก็ยังสะดวก โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการถนอมอาหารที่สามารถเก็บในบรรจุภัณฑ์ได้ถึง 90 วัน ซึ่งจุดเด่นของคิงเชฟ คือ รสชาติจากสูตรต้นตำรับของประเทศเกาหลี แต่นำมาพัฒนารสชาติให้จัดจ้านถูกปากคนไทย สามารถเลือกรับประทานได้หลายหลายโอกาส โดยลูกค้าเซเว่นส่วนใหญ่ซื้อติดบ้าน บ้างก็ทานเป็นเครื่องเคียงทาน ทานเล่นเป็นของว่าง หรือ นำไปปรุง เช่น คลุกหรือผัดกับข้าว ใส่ในอาหารจานด่วน ใส่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือ ทำเป็นซุปกิมจิ ก็ง่าย สะดวก กิมจินอกจากดีสุขภาพรสชาติดี ยังช่วยส่งเสริมด้านการขับถ่าย มีโพรไบโอติกอีกด้วย เกรนเน่ย์ กราโนล่าบาร์ สแน็กแบบแท่ง สุขภาพดีเอื้อมถึงได้           สแน็กเพื่อสุขภาพจากข้าวและธัญพืช ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเจ้าของแบรนด์เกรนเน่ย์ (Grainey)  เจิ้น-โสรัจ มหรรณพกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูลเกิ้ล จำกัด จากที่เคยน้ำหนักมากถึง 130 กิโลกรัม ตอนนั้นเรียนอยู่ที่อเมริกา เห็นว่าตัวเลือกในการลดน้ำหนักที่นั่นมีมากมาย ทั้งน้ำ โปรตีน และขนม เมื่อเลือกกินของเพื่อสุขภาพผสานกับการออกกำลังกาย สามารถลดน้ำหนักได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน พอกลับมาเมืองไทย จึงเห็นโอกาสในการทำขนมเพื่อสุขภาพ จุดเริ่มต้นมาจากข้าวป๊อป จากนั้นมาพัฒนาให้รสชาติเข้าถึงคนไทย จนมีโอกาสเข้ามาจำหน่ายในเซเว่นฯ ก็ได้รับคำแนะนำให้ผลิตแบบแท่งในราคาเบาๆ 10 บาท เพื่อควบคุมคุณภาพได้ และราคาที่จับต้องได้ ปัจจุบันพัฒนาสูตรตัวแบบแท่งจนเป็นสินค้าขายดีในเซเว่นฯ อย่าง เกรนเน่ย์ กราโนล่าบาร์ ช็อคโกแลตชิพ อัลมอนด์ 25 กรัม และ เกรนเนย์ กราโนล่าบาร์ ไวท์ช็อคแครนเบอร์รี่ 25 กรัม ราคา 15  บาท ตัวเด็ดอีกตัวมัดใจชาว Gen Z, Alpha, First Jobber สามารถทานทุกวันได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ชินเซน น้ำส้มคั้น 100% คั้นสดจากใจใคร ๆ ก็ดื่มได้           ตามมาตำเครื่องดื่มที่เพิ่มความสดชื่นกันบ้าง กับน้ำส้มแบรนด์ SME ไทย แต่ชื่อญี่ปุ่น โดย Shinsen (ชินเซน)  เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า สดชื่น ผลิตจากส้มหลากหลายสายพันธุ์ หลายเบอร์ เพื่อเบลนด์รสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น ด้วยเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ที่หลายคนต้องการเพิ่มความสดชื่น “น้ำส้ม” จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ลูกค้าคว้าติดมือ ที่สำคัญตอบโจทย์สายรักสุขภาพที่ต้องการวิตามินซี รสชาติสดเหมือนคั้นดื่มเองที่บ้าน อีกหนึ่งเทคนิคความอร่อย ยิ่งเก็บในตู้เย็นเพิ่มความสดชื่นและยังรักษาไว้ได้นาน เพราะมีอายุ Shelf Life นานถึง 2 สัปดาห์ ผลิตโดย บริษัท ยูชิ เอฟ แอนด์ บี จำกัด มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยนำผลไม้ไทยมาแปรรูปด้วยนวัตกรรมจากญี่ปุ่น ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต สะอาด ปลอดภัย ตรวจสอบคุณภาพก่อนถึงมือลูกค้า และยังคงพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคสายสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นไป พยัคฆ์ เครื่องดื่มรสชาไทยผสมนม อร่อยเข้มหอมชาหวานน้อยในรูปแบบขวด           ชมรมคนรัก “ชาไทย” ต้องติดใจ! กับแบรนด์คนไทย ชื่อไทยๆ ว่า “พยัคฆ์” มากับโลโก้หัวเสือ ดูมีมนต์ขลัง แต่ราคาน่ารัก 20 บาท ดื่มเย็นๆ จากขวดก็สดชื่น ได้รสชาติเข้มข้น กลิ่นชาเตะจมูก หรือจะเทใส่น้ำแข็งก็หวานหอมกลมกล่อม สินค้าเกิดจากเจ้าของแบรนด์คุณธิติ พัววรานุเคราะห์ CEO บริษัท เก้าหมิง กรุ๊ป จำกัด ที่ชื่นชอบการดื่มชาเป็นชีวิตจิตใจเห็นถึงปัญหาการรอต่อคิวชงทีละแก้ว และการคงรสชาติแบบหวานน้อยให้คงที่ทุกขวด รวมถึงแบบขวดสามารถซื้อเก็บไว้ได้ อยากดื่มตอนไหนก็สะดวก ทำให้ได้รับความนิยมเป็นกระแสบอกกันแบบปากต่อปากในโลกโซเชียล ส่งผลให้ชาไทยพยัคฆ์ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างรวดเร็ว โดยความสำเร็จเกิดจากความตั้งใจในมาตรฐานการคัดเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิต มีความสะอาด และทุกขวดรสชาติคงที่ ที่สำคัญมีลูกค้าประจำ จนเกิดการแนะนำ และกลายเป็น marketing tool ที่ดีที่ทำให้สินค้ามีความยั่งยืน ทรีทเมนต์กรีนไบโอ ซองสีน้ำเงิน จากตัวตึงร้านขายส่งและร้านเสริมสวย สู่ตัวจี๊ดในเซเว่นฯ ไอเทมสุดท้าย เอาใจสายบิวตี้กันบ้างกับทรีทเมนต์บำรุงผมแบบซอง ทรีทเมนต์ กรีนไบโอ ซองสีน้ำเงินโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ผลิตโดยบริษัท วีชมาร์ต จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้แบรนด์ถือเป็นขวัญใจช่างทำผม และร้านค้าส่ง ได้วางจำหน่ายรูปแบบซองในเซเว่นฯ เมื่อปี 2564 จากคำแนะนำจากผู้บริหารเซเว่นฯ ให้ผลิตกล่องบรรจุจำนวน 6 ซอง เพื่อวางขายบนเชลฟ์ง่ายขึ้น และหากลูกค้าซื้อยกกล่องก็พกง่ายดี ที่ได้รับความนิยมไม่เคยแผ่ว เนื่องจากคุณภาพสินค้าที่ได้รับการยอมรับ หลายคนใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรก สินค้าเหมาะสำหรับผมที่ผ่านการหนีบ ยืด ดัด ทำสีมาอย่างหนักหน่วง ทำให้ผมนุ่ม ลื่น ลดผมแตกปลาย ลดการชี้ฟู มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผู้ชายใช้ได้ ผู้ใหญิงใช้ดี ฐานลูกค้าตอนนี้ครอบคลุมไปต่างประเทศแล้ว อาทิ มาเลเซีย  อินโดนีเซีย สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ที่สำคัญ ทรีทเมนต์กรีนไบโอ เป็นสินค้า Best Seller ในเซเว่นฯ ที่นักท่องเที่ยวเลือกซื้อเป็นของฝากในอันดับต้นๆ โดย คุณศิรดา ศรีประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท วีชมาร์ต จำกัด เจเนอเรชันที่ 2 ฝากไว้ว่า “เราพยายามทำสินค้าให้ถูกและดี มีคุณภาพ ทุกคนเข้าถึงได้ และคงราคาให้ย่อมเยาอยู่เสมอ เพื่อคนไทยค่ะ” ทั้งหมดนี้คือ 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ที่สามารถปั้นแบรนด์จนเป็นที่รู้จักทั้งไทยและต่างชาติ สามารถนำแบรนด์ไปได้ไกลและยั่งยืน ที่สำคัญยังเข้าใจเข้าถึงผู้บริโภค ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ และรักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ สู่ความสำเร็จในระยะยาว สำหรับกุญแจสำคัญในความสำเร็จ คือ ทุกแบรนด์ให้ความสำคัญกับ คุณภาพ ราคา และนวัตกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตระดับสากล จนเป็นที่ยอมรับว่าแบรนด์ไทยสามารถแข่งขันและเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้

KH Academy ชู ‘Prep for Financial Advisor’ ปิดหลักสูตร รุ่น 3 พร้อมมอบทุน

KH Academy ชู ‘Prep for Financial Advisor’ ปิดหลักสูตร รุ่น 3 พร้อมมอบทุน

          สถาบัน KH Academy จัดพิธีปิดหลักสูตร Prep for Financial Advisor เตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพที่ปรึกษาทางการเงิน รุ่นที่ 3 พร้อมมอบทุนการศึกษา 50,000 บาท แก่ทีมผู้ชนะกิจกรรมเวิร์คช้อปนำเสนอแผนการลงทุน  และมอบประกาศนียบัตรสำหรับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรเกือบ 60 ชีวิต ตอกย้ำความเป็นสถาบันบ่มเพาะเยาวชนสู่เส้นทางวิชาวิชาชีพการเงินการลงทุนมืออาชีพ ฟากพันธมิตรองค์กรที่ปรึกษาทางการเงินร่วมเป็นสักขีพยานความสำเร็จก้าวแรกของเยาวชนคนรุ่นใหม่อย่างคับคั่ง           วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 KH Academy สถาบันการเรียนรู้ชั้นนำด้านการพัฒนาทักษะวิชาชีพการเงินการลงทุนสำหรับนิสิตนักศึกษา จัดพิธีปิดหลักสูตร Prep for Financial Advisor เตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพที่ปรึกษาทางการเงิน รุ่นที่ 3 ณ KH Academy Ratchathewi Campus โดยได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินชั้นนำของประเทศหลากหลายองค์กร  ร่วมเป็นสักขีพยานความสำเร็จของนิสิตนักศึกษาและบุคลากรจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรฯ ครั้งนี้กันอย่างคับคั่ง อาทิ ดร.สมภพ  ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปรแมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) คุณสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ. แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) คุณธีมนัส เกียรติเดชปัญญา Associate Director บริษัท ไพร์มสตรีท แอดไวเซอรี่ (ประเทศไทย)  จำกัด คุณดาริน  กาญจนะ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด โดยมีคุณบูรพา สงวนวงศ์ ผู้บริหารสถาบัน KH Academy ให้การต้อนรับ           บรรยากาศในงานเริ่มต้นด้วยคุณชาญชัย สงวนวงศ์ ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวขอบคุณพันธมิตรภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนสถาบัน KH Academy ประกอบด้วย บริษัท บี.กริม พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM)  บริษัท ไพร์มสตรีท แอดไวเซอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด  ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB)  บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) (MGC)  บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE)  บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน)  บริษัท ฟู้ดโมเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) (GABLE) และบริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) รวมถึงผู้สนับสนุนหลักสูตรเตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพฯ อย่าง กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน Thailand Capital Market Development Fund หรือ CMDF ( https://www.facebook.com/cmdf.or.th/ )           ตลอดจนบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ได้แก่ บริษัท.แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) , บริษัท ไพร์มสตรีท แอดไวเซอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด ,บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นเนล (ประเทศไทย) จำกัด (CGSI) และบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KGI)  ที่ส่งทีมวิทยากรร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์การทำงานจริงที่หาไม่ได้ในตำราเรียน เพื่อบ่มเพาะและผลักดันเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีความพร้อมก่อนก้าวสู่การประกอบวิชาชีพสายการเงินการลงทุนในอนาคต           ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาไฮไลท์ของการประกาศผลทีมผู้ชนะจากกิจกรรมเวิร์คช้อป การนำเสนอแผนการลงทุนโดยจัดโครงสร้างกลุ่มบริษัทและประเมินมูลค่ากิจการ ชิงทุนการศึกษา มูลค่า 50,000 บาท ซึ่งได้แก่ ทีม B สมาชิกในทีมประกอบด้วย นายนนทพัทธ์ สีมาเงิน คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายศุภฤกษ์ อัศวไพบูลย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  นายศุภวิชญ์ กฤษณยรรยง คณะเศรษฐศาสตร์ ปี 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายวิสุทธิ์ เกิดลาภผล คณะบริหารธุรกิจ ปี 3 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายวงศธร จันทร์ฟัก คณะบริหารธุรกิจ ปี 2 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายลาภวัต เชาวนะ คณะวิศวะกรรมศาสตร์ ปี 2 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  และนางสาวชนาณุพิพิศ ปกรณ์เกียรติ คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม ปี 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ           นอกจากนี้ ยังมีการมอบรางวัลในอีกหนึ่งกิจกรรมพิเศษประเภททีม FA Influencer Competition (KH Academy x Partners) อีกหนึ่งรางวัล มูลค่า 5,000 บาท โดยกิจกรรมนี้สถาบัน KH Academy จัดขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์ในการมุ่งมั่นส่งเสริมและสนับสนุนให้นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาสสร้างมิตรภาพ คอนเนคชั่นใหม่ ๆ ตลอดจนได้ความรู้รอบตัว รวมถึงอัพสกิลในสายวิชาชีพ ซึ่งจะสามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในชีวิตการเรียนและการทำงานในอนาคต           โอกาสนี้ ดร.สมภพ  ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปรแมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ให้เกียรติขึ้นกล่าวให้โอวาทแก่ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรฯ พร้อมแนะเคล็ดลับเส้นทางสู่ความสำเร็จในสายวิชาชีพที่ปรึกษาทางการเงินว่า  “หากอยากเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีองค์ประกอบ 3 สิ่ง คือ กินอย่างหมู นอนอย่างหมา ทำงานอย่างควาย” ซึ่งถือเป็นคำแนะนำที่โดนใจเหล่าว่าที่ที่ปรึกษาทางการเงินรุ่นใหม่อย่างมาก           ปิดท้ายด้วยพิธีมอบประกาศนียบัตร ให้กับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรฯ จำนวนทั้งสิ้น 57 คน จาก 6 มหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มหาวิทยาลัยรามคำแหง  และบุคลากรจากบริษัทหลักทรัพย์ ได้แก่           บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด โดยคุณสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ให้เกียรติเป็นผู้มอบ           สำหรับสถาบัน KH Academy เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสานต่อพันธกิจของ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ในการเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณชนทั่วไป โดย KH Academy เป็นผู้รับบทบาทในการทำงานร่วมกับองค์กรเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และสถาบันศึกษา เพื่อสร้างหลักสูตรสำหรับการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ในการเตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพการเงินการลงทุนสำหรับนิสิตนักศึกษาโดยไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น [PR News]  

NEO ทุ่มงบ 2,464 ล้านบาท  ผนึก “ฤทธา-เมตริก” สร้าง “โรงงานแห่งอนาคต”

NEO ทุ่มงบ 2,464 ล้านบาท ผนึก “ฤทธา-เมตริก” สร้าง “โรงงานแห่งอนาคต”

          บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) ผนึก บริษัท ฤทธา จำกัด และ บริษัท เมตริก วิศวกร ที่ปรึกษา และสถาปนิก จำกัด สร้าง “โรงงานแห่งอนาคต” ด้วยงบลงทุนกว่า 2,464  ล้านบาท ครบครันด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ปักธงยกระดับประสิทธิภาพด้วยระบบการผลิตที่ทันสมัย รองรับการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน และตอบสนองความต้องการของตลาดที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งเป้าแล้วเสร็จเฟสแรกปลายปี 2569           นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) และ บริษัท นีโอ แฟคทอรี่ จำกัด กล่าวว่า “นีโอ มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในตลาด FMCG ของไทยและเอเชีย ด้วยการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การลงทุนขยายโรงงานครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการผลิตภายใต้กลยุทธ์ “Efficient Supply Chain” เสริมศักยภาพการแข่งขันและรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยวางงบลงทุนตามแผนการขยายโรงงานกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก อยู่ที่ ประมาณ 2,464 ล้านบาท มุ่งพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผ้า (Fabric Care) และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิวภายในบ้าน (Home Cleaning) รวมถึงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby & Kids) ให้สอดคล้องกับตลาดที่เติบโตขึ้น ทั้งหมดนี้ดำเนินการตามมาตรฐานคุณภาพ ความปลอดภัย และหลัก ESG เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม           นายปณิธาน เทพนิกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฤทธา จำกัด กล่าวเสริมว่า “การร่วมมือกับนีโอและเมตริกในโครงการนี้ จะประสานประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมและก่อสร้างของฤทธาในการพัฒนาโรงงานที่รองรับระบบการผลิตที่ทันสมัย การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และเทคโนโลยีการผลิตเฉพาะทาง โดยมุ่งเน้นประสิทธิภาพสูงสุด ตอบโจทย์ความต้องการของนีโอทั้งในการเพิ่มกำลังการผลิตบรรลุเป้าหมายในการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรม FMCG ของไทย”           นายณรงค์ฤทธ กุศลมนิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมตริก วิศวกรที่ปรึกษา และสถาปนิก จำกัด กล่าวว่า “เมตริกมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ ซึ่งเราได้นำความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการออกแบบอาคารประหยัดพลังงาน และการใช้เทคโนโลยี BIM มาใช้ในการออกแบบและก่อสร้างโรงงานแห่งนี้ให้มีความทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้เป็นโรงงานต้นแบบที่ผสานนวัตกรรมและความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกัน ตลอดจนส่งเสริมการเติบโตของนีโอในระยะยาว”           โครงการขยายโรงงานแห่งนี้ จะใช้เวลาก่อสร้าง 36 เดือน แบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรกจะเริ่มก่อสร้างในเดือน กุมภาพันธ์ 2568  ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่โรงงานในปัจจุบันของนีโอ ในอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี มีพื้นที่ ใช้สอยกว่า 71,307 ตารางเมตร บทพื้นที่กว่า 16  ไร่  และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนพฤศจิกายน 2569 ส่วนเฟสที่สองจะเริ่มก่อสร้างในเดือน ตุลาคม 2569  และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนเมษายน 2571 ใช้งบประมาณลงทุนในการออกแบบและก่อสร้างประมาณ 2,464 ล้านบาท คาดว่าโครงการดังกล่าวสามารถรองรับกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มของใช้ในครัวเรือนซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็กอย่างน้อย 359,086 ตันต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 215,318  ตันต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 67% นอกจากนี้ การแบ่งการขยายออกเป็น 2 เฟส ยังช่วยลดภาระทางการเงิน และส่งผลดีต่อการงบการเงินรวมของบริษัทอีกด้วย           การลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของรายได้ พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เช่น เครื่องผสม (Mixing Machine) ที่เพิ่มประสิทธิภาพและลดของเสียในกระบวนการผลิต ประหยัดพลังงาน รวมถึงระบบการจัดการพลังงานและการใช้น้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐาน ISO 14001 การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม และมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ทั้งทางตรงและทางอ้อม ก่อให้เกิดการจ้างงานทั้งในส่วนการก่อสร้าง การจ้างงานในโรงงานเมื่อเปิดดำเนินการ และกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนโดยรอบ [PR News]

MGI ได้มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ซื้อลิขสิทธิ์จาก JKN

MGI ได้มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ซื้อลิขสิทธิ์จาก JKN

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน MGI บอร์ดอนุมัติเข้าลงทุนซื้อลิขสิทธิ์จัดประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) คาดใช้เงิน 180 ล้านบาท 5 ปี จาก JKN Global Content Pte. Ltd.           นายณวัฒน์ อิสรไกรศีลประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2568 ซึ่งประชุมในวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติอนุมัติเรื่องสำคัญจำนวน 2 รายการ ดังต่อไปนี้ รายการที่ 1 อนุมัติการเข้าลงทุนโดยการซื้อลิขสิทธิ์การจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 180 ล้านบาท รวมถึงการเข้าทำสัญญาซื้อลิขสิทธิ์และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเข้าลงทุนดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้           บริษัทเข้าซื้อลิขสิทธิ์การจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) สำหรับปี 2568 ถึงปี 2572 รวมทั้งสิ้น 5 ปี จาก JKN Global Content Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)           มูลค่าเงินลงทุน บริษัทจะต้องชำระค่าลิขสิทธิ์เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 180 ล้านบาท ให้กับ JKN Global Content Pte. Ltd. โดยวัตถุประสงค์ในการลงทุน เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจภายในของกลุ่มบริษัท โดยการขยายฐานการประกวดนางงามไปยังเวทีการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ซึ่งเป็นเวทีระดับโลก นอกเหนือจากเวทีการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนลที่บริษัทดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน การลงทุนในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ในระดับสากล นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการและผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นในระยะยาว บริษัทจะชำระค่าลิขสิทธิ์จำนวน 150 ล้านบาท จากแหล่งเงินทุนดังนี้ (1) เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทจำนวน 30 ล้านบาท และ (2) การกู้ยืมเงินจากนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัท โดยไม่มีหลักประกันในวงเงินกู้ 150 ล้านบาท           รายการที่ 2 อนุมัติการกู้ยืมเงินจากบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน โดยไม่มีหลักประกันในวงเงินกู้ไม่เกิน 150 ล้านบาท รวมถึงการเข้าทำสัญญากู้เงินและเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียดดังนี้ บริษัทจะกู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัท โดยไม่มีหลักประกัน วงเงินกู้ไม่เกิน 150 ล้านบาท ("วงเงินกู้") มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.5 ต่อปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าดอกเบี้ยที่บริษัทจะต้องชำระตลอดช่วงเวลาที่กู้ยืมเงินตามสัญญาจำนวนไม่เกิน 7.5 ล้านบาท โดยมีกำหนดการชำระคืนเงินกู้ภายใน 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ผู้กู้ขอเบิกใช้วงเงินกู้ ผู้ให้กู้ : นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ผู้กู้ : บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ความสัมพันธ์ : ผู้ให้กู้เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัท กล่าวคือ เป็นกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในฐานะผู้กู้ โดย ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 42.88 ของทุนจดทะเบียนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้วของบริษัท วัตถุประสงค์ในการกู้ยืมเงิน : เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการซื้อลิขสิทธิ์การจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) (รายละเอียดตามรายการที่ 1)

TU ปี67 พลิกมีกำไร 4,985 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 135.8%

TU ปี67 พลิกมีกำไร 4,985 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 135.8%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน TU ประกาศงบปี 67 พลิกกำไร 4,985 ล้านบาท จากปี 66 ขาดทุน 13,933 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 135.8% พร้อมกวาดยอดขาย 138,433 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 68 ไฟเขียวจ่ายเงินปันผล 0.35 บาทต่อหุ้น รวมปี 67 จ่ายทั้งหมด 0.66 บาท           บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ประกาศผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทฯ รายงานยอดขายอยู่ที่ 35,090 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบเชิงลบจากอัตราแลกเปลี่ยน 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการที่เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักทุกสกุล โดยเฉพาะเงินยูโร (เฉลี่ยที่ 36.26 บาทต่อยูโร ลดลง 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) และเหรียญสหรัฐ (เฉลี่ยที่ 34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) อย่างไรก็ดียอดขายที่ลดลงได้ถูกชดเชยบางส่วนจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติที่เพิ่มสูงขึ้น 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน           นอกจากนี้ ปริมาณขายเพิ่มสูงขึ้น 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากความต้องการที่สูงขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้น ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจอาหารทะลแปรรูป ธุรกิจอาหาร สัตว์เลี้ยง และธุรกิจอาหารสัตว์ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้เติบโต 0.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 18.7% ซึ่งเป็นอัตรากำไรขั้นต้นรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นอันดับ 3 ในรอบ 14 ไตรมาสที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 4,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน           ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้น และค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นซึ่งสอดคล้องกับปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจึงเพิ่มขึ้นเป็น 14.1% จาก 11.8% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวม transformation costs อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจะอยู่ที่ 13.3% จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ทำให้กำไรจากการดำเนินงานลดลงมาอยู่ที่ 1,590 ล้านบาท           บริษัทฯ บันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 118 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 4 ปี 2566 จำนวน 68 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพในไตรมาสนี้           รายได้อื่นอยู่ที่ 236 ล้านบาท ลดลง 18.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากฐานที่สูงในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งรวมถึงการเคลมประกันภัยครั้งเดียว           ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 157 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ Avanti Group           ต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ 598ล้านบาท ลดลง5.1%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั่วโลกในไตรมาส4 ปี 2567           ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้อยู่ที่ 50 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 เทียบกับเครดิตภาษีเงินได้จำนวน 40 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นี้ส่วนใหญ่เป็นผลจากการ ไม่ได้รับประโยชน์เครดิตภาษีจาก RL หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนทั้งหมดใน RL ในไตรมาส 4 ปี 2566           ด้วยเหตุนี้กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,213 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3.5% อย่างไรก็ตาม หากไม่รวม transformation costs กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1,512 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ยอดขายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.7% โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบตามฤดูกาลของทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลงเล็กน้อย 0.8% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 18.7% ในไตรมาส 4 ปี 2567 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 5.2% จากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจาก transformation costs ค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น เนื่องด้วยผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิปรับตัวลดลง 23.3% และ 13.4% จากไตรมาสก่อน ตามลำดับ           ส่งผลให้ยอดขายในปี 2567 ซึ่งกลับมาเติบโตโดยทำสถิติรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา พร้อมด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% รวมถึง EBITDA สูงสุดเป็น อันดับ 2 ตั้งแต่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมา • บริษัทฯ รายงานยอดขายที่ 138,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน เป็นผลจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า • อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% • EBITDA สูงขึ้น 8.6% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 13,361 ล้านบาท สะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ • กำไรสุทธิอยู่ที่ 4,985 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.08 บาท เพิ่มขึ้น 7.2% และ 134% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ทั้งนี้หากไม่รวม transformation costs กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 22.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 5,685 ล้านบาท • กระแสเงินสดอิสระของบริษัทฯ อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ มีสภาพคล่องสูงพร้อมรองรับการลงทุนในอนาคตและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้งบฐานะทางการเงินพัฒนาการของธุรกิจที่สำคัญในไตรมาส 4 ปี 2567 การใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 6,000ล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายน 2567 • เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 6,000 ล้านบาทเพื่อ ลดผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หลังจากการทำธุรกรรมในครั้งนี้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจะถูกเปลี่ยนการบันทึกบัญชีจากส่วนของผู้ถือหุ้นมาเป็นหนี้สิน โดยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะถูกบันทึกในงบกำไรขาดทุนแทนกำไรสะสมในงบฐานะทางการเงิน ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพิ่มขึ้นเป็น 0.94 เท่า แต่ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 1.0-1.1 เท่า ทั้งนี้บริษัทฯกำลังพิจารณาออกเงินกู้ส่งเสริมความยั่งยืนใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนภายในปี 2568การจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 4 • เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินในจำนวนไม่เกิน 200 ล้านหุ้นหรือ 4.49% ของจำนวนทุนที่ชำระแล้ว โดยโครงการซื้นหุ้นคืนครั้งนี้มีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 การจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้น • เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจำนวน 0.35 บาทต่อหุ้นสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2567 ถ้านับรวมทั้งปี 2567 บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 0.66 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 59.96% และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ระดับ 5.7% ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลต้องได้รับการอนุมัติจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในวันที่ 8 เมษายน 2568 โดยสรุปใน ปี2567 บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมา อยู่ที่ 138,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน มีสาเหตุหลักจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 18.5% ในปี 2567           ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวสูงขึ้น 12.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs ของกลุ่มบริษัท รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจาก Avanti Group และ Lucky Union Foods ถึงแม้ว่าบริษัทฯ ได้หยุดการรับรู้กำไรจาก LDH จากการถอนการลงทุนตั้งแต่ต้นปีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 8.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั่วโลกในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 430 ล้านบาท ในปี 2567 เนื่องจากบริษัทฯ ไม่ได้รับประโยชน์ทางภาษีจาก Red Lobster (RL) หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนทั้งหมดใน RL ในไตรมาส 4 ปี 2566 ด้วยเหตุนี้กำไรสุทธิฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมาอยู่ที่ 4,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิตามที่ปรับปรุงในปี2566 ซึ่งไม่รวมรายการที่เกี่ยวข้องกับ RL ได้แก่ ส่วนแบ่งขาดทุน รายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียว และรายได้ภาษีเงินได้จาก RL

MOTHER ลุย “ชำระหนี้-ขยายสาขา” ลดต้นทุนการเงิน ดันผลงานโต

MOTHER ลุย “ชำระหนี้-ขยายสาขา” ลดต้นทุนการเงิน ดันผลงานโต

          หุ้นวิชั่น - MOTHER เดินหน้าสร้างการเติบโตธุรกิจตามแผน! นำเงินระดมทุนคืนหนี้ ลดภาระต้นทุนทางการเงิน สร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมรุกเปิดสาขาเพิ่ม 3 แห่ง เจาะทำเลยุทธศาสตร์ท่องเที่ยว รองรับกลุ่มลูกค้าคนไทย-ต่างชาติ ด้านกลุ่มผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร ยืนยันชัดเจนไม่มีใครขายหุ้นออก มั่นใจธุรกิจสดใส หนุนรายได้ปี 68 โต 5-10% ตามเป้า           นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ "Mother Supermarket" และ "Mother Marche" ในจังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง ในจังหวัดกระบี่ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า ภายหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัท ช่วยลดภาระหนี้ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต และเพิ่มศักยภาพการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ           ทั้งนี้ บริษัทพร้อมเดินหน้าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับนักลงทุน นำเงินจากการระดมทุนไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน เพื่อให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน ส่งผลให้ธุรกิจคล่องตัว มีผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทไม่มีภาระต้นทุนทางการเงิน โดยวางเป้าหมายรายได้ปี 2568 เติบโต 5-10% จากปี 2567           นอกจากนี้ บริษัทจะขยายสาขาเพิ่มตามแผนที่กำหนดในปี 2568 อย่างน้อย 3 สาขา บนทำเลศักยภาพสูงในแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าในพื้นที่ นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ สนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และทำให้เกิด Economies of Scale เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันและอำนาจการต่อรอง ช่วยทำให้ต้นทุนลดลงในอนาคต และสนับสนุนให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนเงินที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รองรับการขยายธุรกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุนอย่างมั่นคง           โอกาสนี้ บริษัทขอยืนยันว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของ MOTHER ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร ไม่มีการขายหุ้นออกแต่อย่างใด โดยพร้อมใจร่วมกัน Lock up หุ้น 100% เนื่องจากมีความเชื่อมั่นต่อปัจจัยพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่องไปในระยะยาว ด้วยจุดเด่นของบริษัท มีสาขาตั้งอยู่ทำเลยุทธศาสตร์ของการท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทย และต่างชาติได้เป็นอย่างดี สะท้อนภาพจากอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (same store sales growth) ที่เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ตลอดจนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อทิศทางการเติบโตของ MOTHER ในระยะยาว           “การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต โดยพื้นฐาน MOTHER  ทำธุรกิจครอบครัว จึงพร้อมใจ Lock up หุ้น 100% โดยไม่มีการขายหุ้น เพราะมั่นใจธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง และพร้อมดำเนินธุรกิจที่ควบคู่ไปกับหลักธรรมาภิบาล จึงทำให้ได้รับการยอมรับของคนในท้องถิ่น จึงขอให้นักลงทุนเชื่อมั่น โดยผู้บริหารทุกคนพร้อมดูแลธุรกิจและสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน” นายเอกพงศ์ กล่าว [PR News]

นิด้าโพลชี้ คนไทย 60.92% เชื่อ! ตัดท่อน้ำเลี้ยงแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์

นิด้าโพลชี้ คนไทย 60.92% เชื่อ! ตัดท่อน้ำเลี้ยงแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์

         หุ้นวิชั่น - ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “War on Scam Gang” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลในการจัดการกับปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ที่มีฐานในเมียนมา การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0          จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อมาตรการของรัฐบาลในการตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งออกน้ำมัน เพื่อจัดการปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 70.54 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 21.07 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 5.34 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 3.05 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย          ด้านมาตรการของรัฐบาลในการตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งออกน้ำมันกับการช่วยแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.92 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง รองลงมา ร้อยละ 17.71 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก ร้อยละ 15.95 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก และร้อยละ 5.42 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรเลย          สำหรับการมีส่วนเกี่ยวข้องหรือการสนับสนุนแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมาจากเจ้าหน้าที่รัฐของไทยบางคนพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 69.85 ระบุว่า มีแน่นอน รองลงมา ร้อยละ 26.87 ระบุว่า ไม่แน่ใจ และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มี          ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผู้ที่ทำงานในแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมาถูกหลอก หรือสมัครใจมากกว่ากัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 49.77 ระบุว่า น่าจะมีจำนวนพอ ๆ กันทั้งคนที่ถูกหลอกและเต็มใจไปทำงาน รองลงมา ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ส่วนใหญ่ไปทำงานด้วยความเต็มใจ ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ส่วนใหญ่ถูกหลอกไปทำงาน และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่แน่ใจ รายละเอียดเพิ่ม คลิก https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=740

Blockchain โปร่งใส-ตรวจสอบได้สำหรับ Supply Chain [HoonVision x TokenX]

Blockchain โปร่งใส-ตรวจสอบได้สำหรับ Supply Chain [HoonVision x TokenX]

บันไดแห่งความโปร่งใส : ทำบัญชีอย่างไรให้ถูกใจสาย Supply Chain Supply Chain Management and Blockchain Technology Series: Episode 2           ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และ ซับซ้อน การที่เราจะอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่นั้นๆ ก็ไม่ต่างจากการปีนบันไดแห่งความโกลาหลที่มองไม่เห็น เหมือนกับที่ Petyr Baelish หรือ Littlefinger เจ้านิ้วก้อยผู้เจ้าเล่ห์จากซีรีย์เรื่อง Game of Thrones ได้กล่าวไว้ว่า “Chaos is a ladder” ความโกลาหลนั้นไม่ได้เป็นเพียงความวุ่นวายที่ไม่มีจุดหมาย แต่มันคือบันไดสำหรับผู้ที่ฉลาดพอที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้ Lord Baelish มองความไม่แน่นอนของโลกใบนี้เป็นโอกาสที่ซุกซ่อนอยู่ ซึ่งผู้ที่มองเห็นโอกาสในโครงสร้าง และ เส้นทางในความยุ่งเหยิงนั้นจะสามารถไต่ขึ้นไปยังจุดสูงสุดได้           อย่างในโลกของการเงิน ความโกลาหลเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในระบบ แม้จะมีการกำกับดูแล และ มาตรการควบคุมจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ความซับซ้อนของกฎระเบียบ ธุรกรรมที่ไม่โปร่งใส และ การพึ่งพาคนกลาง ทำให้เกิดจุดบอด และ มีช่องว่างอยู่เสมอ           แต่ด้วยการกำเนิดของสิ่งที่ Satoshi Nakamoto ได้คิดค้นขึ้นมาสิ่งที่เรียกว่า Blockchain และ Bitcoin มาเพื่อช่วยให้ความยุ่งเหยิงนี้สามารถถูกแปรเปลี่ยนเป็นความโปร่งใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน           ความเจ๋งของ Satoshi คือ การนำเสนอระบบที่ทำให้ทุกธุรกรรมถูกบันทึก และ ยืนยันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนกลาง ทำให้เส้นทางการเงินถูกติดตามได้อย่างแม่นยำ และ ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เหมือนกับการควบคุมความโกลาหลให้อยู่ในมือ และ ได้สร้างรากฐานใหม่ ที่ทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมั่นในระบบที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของทุกคน           ในเกมแห่งอำนาจ ความโกลาหล เป็นได้ทั้งอุปสรรค และ โอกาส เช่นเดียวกันกับโลกของ Supply Chain ที่มีความโกลาหลอยู่มากมายโดยเฉพาะเรื่องการสร้าง Traceability และ จัดการข้อมูลที่ซับซ้อน และ แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือนการปีนบันไดแห่งความโกลาหลนี้ ถ้าเราสามารถใช้ความไม่แน่นอน และ ความวุ่นวายให้เกิดประโยชน์ มันจะพาเราไปสู่จุดที่กลายเป็นผู้ไม่พร้อมจะตกจากบันไดแห่งเกมนี้           ใน Episode ที่ 2 นี้ผู้เขียนจะพาทุกท่านไปดูกันว่าการสร้าง Traceability ในโลกของ Supply Chain ด้วยกันกับคู่หูอย่าง Blockchain จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ด้วยการประยุกต์ใช้หลักการทำบัญชีของ Bitcoin           จากที่ได้เกริ่นไปเบื้องต้นถึงต้นกำเนิดของเทคโนโลยี Blockchain และ Bitcoin ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะมาช่วยเปลี่ยนความโกลาหล ยุ่งยากในการทำ Traceability ให้กลายเป็น Solution ที่มีคุณค่า และ มีประสิทธิภาพ           โดยการนำหลักการทำบัญชีของ Bitcoin มาเป็นสารตั้งต้น หรือที่เรียกกันว่า UTXO ด้วยการบันทึกข้อมูลที่โปร่งใส และ เชื่อถือได้ ในทุกขั้นตอนของ Supply Chain จะถูกติดตามและยืนยันได้อย่างแม่นยำ ยิ่งในปัจจุบันที่ทุกคนมีสิทธิที่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างเสรี เราจะเห็นว่าการสร้าง Traceability จะไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Supply Chain เท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และ สังคมในวงกว้างอีกด้วย UTXO (Unspent Transaction Output)           หลักการทำงานของการจดบัญชีแบบ UTXO อาจดูซับซ้อน แต่ถ้ามองดีๆ แล้วมันมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เราใช้กันเป็นปกติในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ซึ่งก็คือการใช้เงินที่เป็น เหรียญ หรือ ธนบัตร นั่นเอง           ลองนึกภาพการจดบัญชีแบบ UTXO เป็นการบันทึกการใช้เหรียญ หรือ ธนบัตรที่เหลือหลังจากที่เราใช้จ่ายเงินแต่ละครั้ง โดยจะบันทึกไว้ว่าเราได้รับเงินมาเท่าไหร่ และใช้จ่ายเท่าไหร่ โดยไม่สนใจว่าจำนวนเงินทั้งหมดในกระเป๋าของเรามีเท่าไหร่ ณ เวลานั้น เพื่อให้เห็นภาพง่าย ๆ ลองดูตัวอย่างนี้ครับ ตัวอย่างแบบง่ายๆ ครับ สมมติว่า คุณมีธนบัตร 100 บาท จำนวน 1 ใบ ในทางบัญชีจะมีการบันทึกว่า คุณมีธนบัตร 1 ใบที่ยังไม่ได้ใช้งาน ซึ่งมีมูลค่า 100 บาท ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) -> เจ้าของคือ คุณ ยอดคงเหลือของคุณคือ 100 บาท คุณต้องการซื้อของจากร้านอาหาร ราคา 70 บาท แต่ธนบัตรที่คุณมีนั้นเป็นธนบัตรที่มีมูลค่า 100 บาท จำนวน 1 ใบ ดังนั้นคุณต้องใช้ธนบัตรนี้เต็มมูลค่า ในการทำธุรกรรม โดยในทางบัญชี จะทำการบันทึกธุรกรรมในลักษณะนี้ บันทึกว่า ธนบัตร 100 บาท ถูกใช้งานไปแล้ว ซึ่งธนบัตรนั้นมีมูลค่า 100 บาท แต่ของที่ต้องการซื้อนั้น มีราคา 70 บาท ฉะนั้นมันจะมีส่วนต่างที่เป็นจำนวน 30 บาท ในทางบัญชีจะทำการสร้างธนบัตรใหม่ขึ้นมา 2 ใบให้สอดคล้องกับ usecase และ ยอดคงเหลือรวมดังนี้ ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ใช้งานไปแล้ว) ธนบัตร 70 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ธนบัตร 30 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ยอดคงเหลือของคุณคือ 100 บาท ยอดคงเหลือของร้านค้าคือ 0 บาท ซึ่งจะมีการบันทึกว่าทั้ง 2 ธนบัตรนี้เป็นธนบัตรที่ยังไม่ถูกใช้งาน และ ทำการบันทึกความเป็นเจ้าของของ ธนบัตรมูลค่า 70 บาท คือ ร้านอาหาร และ ความเป็นเจ้าของของ ธนบัตรมูลค่า 30 บาท คือ คุณ ธนบัตรมูลค่า 70 บาท จำนวน 1 ใบ ก็คือเงินที่คุณใช้จ่ายให้ร้านอาหารไป และ ธนบัตรมูลค่า 30 บาท จำนวน 1 ใบ คือ เงินที่เหลือ ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ใช้งานไปแล้ว) ธนบัตร 30 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ยอดคงเหลือของคุณคือ 30 บาท ยอดคงเหลือของร้านค้าคือ 70 บาท ดังนั้นหลังจากการซื้อของจากร้านอาหาร 70 บาท ทางบัญชีแสดงผลออกมาว่า คุณมี ธนบัตรมูลค่า 30 บาท 1 ใบที่ยังไม่ได้ใช้งาน และ มีธนบัตรมูลค่า 100 บาท 1 ใบ ที่ใช้งานไปแล้ว ซึ่งธนบัตรมูลค่า 30 บาท 1 ใบสามารถนำไปใช้ในการทำธุรกรรมครั้งถัดไปได้ แต่ ธนบัตรมูลค่า 100 บาท 1 ใบจะไม่สามารถใช้ทำธุรกรรมใดๆ ได้อีก           จะเห็นได้ว่าการจดบัญชีแบบ UTXO นั้นมีความซับซ้อน และ ยุ่งยากกว่าการจดบัญชีทั่วๆไป เนื่องจากในระบบ UTXO เราไม่สามารถ แบ่งเหรียญ ออกมาได้ตรงๆ เช่น การใช้ธนบัตร 100 บาทแค่บางส่วน จึงจำเป็นต้องใช้ทั้ง UTXO ที่มีมูลค่ารวมกันเพียงพอเพื่อครอบคลุมยอดชำระ หากมีเศษเหลือก็จะถูกสร้างเป็นเหรียญใหม่เหมือนเงินทอน ซึ่งทำให้การจดบัญชีแบบนี้บน Blockchain สามารถติดตามเหรียญแต่ละเหรียญได้อย่างแม่นยำ และในระบบบัญชีบน Blockchain ทุกธุรกรรมจะมีการบันทึกว่า UTXO ไหนถูกใช้แล้วบ้าง ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ และบันทึกการสร้าง UTXO ใหม่ ทำให้สามารถตรวจสอบการถือครอง และ ความถูกต้องของเหรียญได้อย่างแม่นยำ และเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการทั้งหมด           การนำหลักการของ UTXO มาใช้สร้าง Traceability ให้กับ Asset ใน Supply Chain สามารถช่วยให้แต่ละ สินทรัพย์ หรือ วัตถุดิบถูกติดตามได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยหลักการนี้สามารถทำให้เห็นได้ว่าในแต่ละช่วงเวลาใครเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นบ้าง และ สินทรัพย์นั้นถูกเปลี่ยนมือหรือตรวจสอบสถานะในแต่ละขั้นตอนอย่างไรบ้าง Asset Tracking & Traceability           ในระบบ UTXO ในแต่ละหน่วยที่ยังไม่ถูกใช้งานจะมีตัวตนเฉพาะตัว ดังนั้นสินทรัพย์ใน Supply Chain ก็สามารถบันทึกเป็นหน่วยในลักษณะแบบนี้ได้ ซึ่งมีประโยชน์ดังนี้:           การบันทึกความเป็นเจ้าของ เมื่อสินค้าถูกส่งต่อจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เช่น จากผู้ผลิตไปยังผู้จัดจำหน่าย จะต้องมีการจดบันทึกโดยอ้างอิงมาจากหลักการของ UTXO ที่แสดงถึงการโยกย้ายความเป็นเจ้าของของสินทรัพย์นั้นๆ           การติดตามสถานะ ทุกการเคลื่อนย้าย หรือ เปลี่ยนสถานะของสินค้าจะต้องมีการจดบันทึกข้อมูลสถานะของสินทรัพย์นั้นๆ ในลักษณะที่ทำให้ระบบสามารถติดตามได้ว่าสินค้าชิ้นนั้นผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้างและสถานะล่าสุดอยู่ที่ไหน รวมถึงใครเป็นเจ้าของ หรือ ดูแลในแต่ละช่วงเวลา           การป้องกันการใช้ซ้ำ เช่นเดียวกับการลงบัญชีแบบ UTXO การใช้สินทรัพย์หรือ UTXO หนึ่งไปแล้วจะไม่สามารถใช้อีกได้ เช่น สินค้าที่ถูกส่งออกแล้วจะไม่มีอยู่ในคลังเดิมอีก ทำให้ระบบสามารถป้องกันการใช้สินค้าซ้ำ หรือ สินค้าสูญหายได้           ความโปร่งใส และ การตรวจสอบ ในทุกๆ สินค้าจะมีบันทึกสถานะและเวลา ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องใน Supply Chain สามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าผ่านการตรวจสอบหรือขั้นตอนใดมาแล้วบ้าง และใครเป็นผู้รับผิดชอบในช่วงเวลานั้นๆ โดยอาจจะมีกระบวนการ Transaction History Tracing ที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกทั้งหมดใน Supply Chain เพิ่มเติมเข้ามาด้วย Transaction History Tracing เป็นกระบวนการตรวจสอบ และ ติดตามประวัติธุรกรรมย้อนหลังของสินทรัพย์บน Blockchain เพื่อหาว่าเงิน หรือ สินทรัพย์นั้นเคยถูกโอนผ่านใคร หรือ ใช้ในธุรกรรมใดบ้างตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง การทำงานนี้ใช้ได้กับระบบ Blockchain ที่มีการบันทึกข้อมูลธุรกรรมทั้งหมด และ ข้อมูลเหล่านั้นเชื่อมโยงกันในลักษณะเป็น Chain           จบกันไปแล้วครับกับ Episode 2 Accounting อย่างไรให้ถูกใจสาย Chain จากเนื้อหาทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า การใช้หลักการทำบัญชีของ Bitcoin หรือ UTXO ใน Supply Chain นั้นจะช่วยให้เรามี ระบบ Tracking & Traceability ที่โปร่งใสมากโดยทุกคนสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำได้ ลดปัญหาการปลอมแปลงข้อมูลใน Supply Chain และทำให้ทุกขั้นตอนของการเคลื่อนย้าย หรือ เปลี่ยนสถานะของสินค้าถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนทั้งหมด ผู้เขียน Tinnakorn Pornsontisakul รายละเอียดเพิ่ม คลิก

TOP พุ่ง 5.69% รับกำไร 4Q67 สูงกว่าคาด

TOP พุ่ง 5.69% รับกำไร 4Q67 สูงกว่าคาด

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ดาโอ ระบุ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท โดยใช้ 2025E PBV ที่ 0.47x (ประมาณ -2.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง)           TOP รายงานกำไรสุทธิใน 4Q67 ที่ 2.8 พันล้านบาท เทียบกับกำไร 2.9 พันล้านบาทใน 4Q66 และขาดทุน 4.2 พันล้านบาทใน 3Q67 ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของ consensus และฝ่ายวิจัยคาดไว้ที่ 18% และ 37% ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน (lube base oil) ที่สูงกว่าคาด และผลขาดทุนจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาด           ทั้งนี้ กำไรลดลงเล็กน้อย YoY เนื่องจากการรับรู้ผลขาดทุนจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน แต่ฟื้นตัว QoQ ตามแนวโน้มของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ดีขึ้น รวมถึงการรับรู้กำไรจากสต็อก (stock gain net of NRV) ที่ดีขึ้น           เชื่อว่าบริษัทอาจจะเห็นกำไรที่อ่อนตัว YoY ใน 1Q68 เนื่องจากค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่ลดลง อย่างไรก็ตามเชื่อว่า downside ของ crack spread ในปัจจุบันจะมีจำกัดแล้ว           คงประมาณการกำไรสุทธิปี 68 ไว้ที่ 9.8 พันล้านบาท (ทรงตัว YoY) โดยคาดว่าค่าการกลั่นทางบัญชี (accounting GRM) จะสูงขึ้นและช่วยชดเชยกำไรจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่ลดลง ในขณะเดียวกัน ประเมินกำไรปี 69 ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท (+8% YoY) ตามการฟื้นตัวของ market GRM และ stock loss (net of NRV) ที่ลดลง           ราคาหุ้นปรับตัวลง 52% และ underperform SET 50% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากผลกระทบของการก่อสร้างโครงการ CFP ที่ล่าช้า ราคาปิดล่าสุดสะท้อนมูลค่าหุ้นที่ไม่แพงที่ 2025E PBV 0.32x (ประมาณ -2.8SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) แม้ว่าเราจะยังเห็นความไม่แน่นอนจากการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP แต่เรามองว่าราคาปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงจากโครงการ CFP ไปมากแล้ว นอกจากนี้ บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการ 2H67 ที่ 0.7 บาทต่อหุ้น สะท้อนอัตราตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 2.8% โดยจะขึ้น XD ในวันที่ 27 ก.พ.68  

EA ถูกจัดอันดับกลุ่มบริษัท Top 10% โลกด้านความยั่งยืน ESG

EA ถูกจัดอันดับกลุ่มบริษัท Top 10% โลกด้านความยั่งยืน ESG

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) หนึ่งในธุรกิจพลังงานทดแทนชั้นนำของประเทศ ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มบริษัท 10% ที่ดีที่สุดของโลกจากการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) ในกลุ่มสาธารณูปโภคไฟฟ้าในปี 2568 จาก S&P Global Corporate Sustainability Assessment องค์กรชั้นนำด้านการประเมิน ESG ผู้จัดทำดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) โดยมีผู้เข้รับการประเมิน 7,690 บริษัทจาก 62 อุตสาหกรรมทั่วโลก           นายฉัตรพล ศรีประทุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การได้รับความยอมรับในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของ EA ในเรื่องความเป็นเลิศทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลหรือธรรมาภิบาล (ESG) ตอกย้ำจุดยืนของ EA ในฐานะผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด ซึ่งทั้งหมดนี้ยืนยันถึงเจตนารมย์ของบริษัทที่มุ่งสร้างสรรค์พลังงานสะอาดและการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม”           นายฉัตรพลกล่าวเพิ่มเติมว่า "เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในบริษัทระดับท็อปของโลกในเรื่องของความยั่งยืน และเป็นเพียงหนึ่งใน 2 บริษัทจากประเทศไทยที่คว้ารางวัลในกลุ่มสาธารณูปโภคไฟฟ้า รางวัลนี้ไม่ได้เป็นเพียงความภาคภูมิใจของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นความภูมิใจของประเทศที่แสดงถึงศักยภาพของคนไทยที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับโลก เราจะยังคงเดินหน้าในการพัฒนาแหล่งพลังงานทดแทนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยจะมุ่งมั่นและยึดถือเป็นค่านิยมหลักของบริษัทต่อไป"           ในฐานะผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด EA เดินหน้าผลักดันการใช้พลังงานทดแทน ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยี Battery Energy Storage System เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของโลกไปสู่อนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (low-carbon) โดยบริษัทมีการดำเนินโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และลมขนาดใหญ่ การติดตั้งระบบจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่ และการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการสร้างโลกที่ยั่งยืนและมีใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ           ด้วยความมุ่งมั่นภายใต้แนวคิด “Energy Absolute, Energy for the Future” EA จะยังคงเป็นผู้นำนวัตกรรมที่ยั่งยืนเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยและการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลกต่อไป

RPH กำไรปี 2567 แตะ 172.53 ลบ. ลดลง 6.46%

RPH กำไรปี 2567 แตะ 172.53 ลบ. ลดลง 6.46%

         บริษัท โรงพยาบาลราชพฤกษ์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (“บริษัทฯ”) หรือ RPH รายงานกำไรปี 2567 มีกำไรที่ 172.53 ล้านบาท ลดลง 6.46% จากงวดปี 2566 ที่ 184.45 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 4/2567 กำไรสุทธิเท่ากับ 34.02 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 4/2566 ร้อยละ 7.25 ตามรายได้ที่ลดลง แม้ว่าต้นทุนจะลดลง แต่กำไรสุทธิลดลงจากไตรมาส 3/2567 ร้อยละ 47.57 เนื่องจากไตรมาส 3 เป็น High Season อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 12.30 ใกล้เคียงกับร้อยละ 12.37 ในปีที่แล้ว และลดลงจากร้อยละ 19.93 ในไตรมาสที่แล้ว สรุปภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 ภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม          ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2567 มีทิศทางดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยบวกของภาคบริการและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงรายจ่ายลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน          สำหรับเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือในไตรมาส 4/2567 ขยายตัวจากรายได้เกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่อง ภาคบริการในส่วนของการท่องเที่ยวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ตามกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวและเทศกาลสิ้นปี แต่ยังมีความกังวลจากการบริโภคภาคเอกชนที่หดตัวในบางเดือน          สำหรับอุตสาหกรรมโรงพยาบาลในประเทศไทย ในไตรมาส 4/2567 มีการเข้าใช้บริการโดยรวมลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็น High Season ที่มีโรคระบาดในฤดูฝน ในส่วนภาพรวมของธุรกิจนี้ ยังมีศักยภาพในการเติบโตและฟื้นตัวได้ดีหลังช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ด้วยคุณภาพในการรักษาที่ได้มาตรฐานดี และค่ารักษาพยาบาลที่ได้เปรียบประเทศอื่น ๆ แต่ยังมีปัจจัยที่ท้าทาย เช่น ปัญหากำลังซื้อในประเทศ ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งการฟื้นตัวของจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่มีการชะลอตัว

ITC คาดกำไรปี 68 ที่ 3,825 ลบ.  หุ้นมี Upside โบรกแนะซื้อ เป้า 23บาท

ITC คาดกำไรปี 68 ที่ 3,825 ลบ. หุ้นมี Upside โบรกแนะซื้อ เป้า 23บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า มอง ITC เป็นบวกมากขึ้นหลังเข้าประชุมนักวิเคราะห์ แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 เบื้องต้นคาดจะกลับมาเติบโตทั้ง QoQ และ YoY แม้จะเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจและได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีจ่ายที่จะสูงขึ้นตามกฎ Global Minimum Tax (GMT) ก็ตาม แต่เราคาดรายได้จะทรงตัวถึงเติบโตเล็กน้อยได้ QoQ จากปริมาณขายที่ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง และมีคำสั่งซื้อบางส่วนที่เลื่อนการรับรู้รายได้มาจาก 4Q24 โดยบริษัทมีการ Secured คำสั่งซื้อของลูกค้าไว้ 90% ของเป้าหมายแล้ว ประกอบกับเราคาด GPM จะฟื้นตัวขึ้น QoQ และ YoY จากการรับรู้ผลจากการทำ Transformation (Tailwind project) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการควบคุมต้นทุน ประกอบกับคาด SG&A/Sales จะดีขึ้น QoQ เนื่องจากไตรมาสก่อนมีการใช้ค่าใช้จ่ายการตลาดที่สูง และมีค่าที่ปรึกษาอื่นๆ เพิ่มเติม ผลกระทบจาก GMT หนุนอัตราภาษีสูงเป็น 7.0 - 8.5% น้อยกว่าที่ตลาดกังวล           ในส่วนผลกระทบของ GMT บริษัทให้ข้อมูลว่าผลกระทบจริงจากกฎดังกล่าวที่จะถูกจัดสรรมาจากบริษัทแม่ (TU) จะกระทบอัตราภาษีจ่ายในปี 2025 ของ ITC เพิ่มขึ้นเป็น 7.0 – 8.5% (ปี 2024 อยู่ที่ 3.8%) เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าที่เราและตลาดมองไว้ที่ระดับ 15% และยังมีโอกาสลดลงอีกหากมีความชัดเจนด้านการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากทางภาครัฐฯ           นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตรายได้ปี 2025 ที่ 13-15% YoY จากการเน้นลูกค้ากลุ่ม Private Label และได้คำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงตั้งเป้าการเติบโตของกำไรขั้นต้นที่ 10 – 12% YoY และ SG&A/Sales ที่ 9 - 10% ปรับประมาณการกำไรปี 2025 ลง เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง และสะท้อน GMT           ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2025 ลง 17.6% เป็น 3,825 ลบ. (-0.1% YoY) เพื่อเพิ่มความ Conservative ซึ่งใกล้เคียงกับกรอบล่างของเป้าหมายของบริษัท และสะท้อนอัตราภาษีจ่ายที่สูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ Trade War โดยหากสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากไทยในอัตราที่น้อยกว่ายุโรปหรือจีน อาจทำให้ได้ประโยชน์จากคำสั่งซื้อที่ย้ายมาไทยมากขึ้น แต่หากขึ้นอัตราภาษีจากไทยสูงกว่า อาจเป็น Downside risk ซึ่งบริษัทมีแผนในการลงทุนโรงงานในสหรัฐฯ หากเกิดกรณีดังกล่าว แม้ปรับกำไรและ PER ลง แต่ราคาเหมาะสมใหม่ยังมี Upside คงคำแนะนำ “ซื้อ”           ผลจากการปรับประมาณการกำไรปกติลง และเราปรับลด PER ในการประเมินมูลค่าลงจาก 20.2 เท่าเป็น 18.1 เท่า เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง, สะท้อนภาวะตลาดปัจจุบัน และความเสี่ยงจาก Trade War ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 23.00 บาท ยังมี Upside gain 27.8% และราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 เพียง 14 เท่า จากเฉลี่ยในอดีตที่ 20 เท่า สะท้อนราคาหุ้นตอบรับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”  

SCB ยัน King Power จ่ายดอกเบี้ยไม่ขาด โบรกชี้ไม่กังวล แนะ “ซื้อ” เป้า 130 บ.

SCB ยัน King Power จ่ายดอกเบี้ยไม่ขาด โบรกชี้ไม่กังวล แนะ “ซื้อ” เป้า 130 บ.

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุว่า วันศุกร์ที่ผ่านมาราคาหุ้น SCBX (SCB) ปรับตัวลง 3.2% DoD หลังมีกระแสข่าวเกี่ยวกับยอดลูกหนี้ไม่หมุนเวียนของ AOT ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดมองว่าลูกหนี้สำคัญที่มีการค้างชำระคือกลุ่ม King Power ซึ่งมีการขอเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) เดือน ส.ค. 2024 ถึง ก.พ. 2025 ออกไป 18 เดือน โดยยอมจ่ายค่าปรับ 9% ต่อปี สร้างความกังวลว่าจะมีผลส่งต่อมายัง SCB ซึ่งตลาดคาดจะเป็นหนึ่งในธนาคารที่เป็นผู้ออก Bank Guarantee และมี King Power เป็นลูกค้าสินเชื่อบริษัท Our Take           ► เบื้องต้นเราสอบถามไปยัง SCB และพบว่า King Power ยังถูกจัดเป็นลูกหนี้ปกติ แม้จะมีประเด็นค้างชำระค่า Minimum Guarantee กับ AOT ทำให้ธนาคารมีการตั้งสำรองสำหรับกรณีดังกล่าวเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ ข้อมูลลูกค้าถือว่าเป็นข้อมูลที่ Sensitive ทำให้ธนาคารไม่สามารถเปิดเผยมูลหนี้รวมของ King Power ที่มีกับธนาคารได้ แต่ยืนยันว่า King Power ยังมีการชำระดอกเบี้ยเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ           ► จากการสืบค้นข้อมูลงบการเงินปี 2023 ของบริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี และคิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับ AOT มีจำนวนหนี้สินรวม (Total Liabilities) 16,459 ลบ. และ 7,990 ลบ. ตามลำดับ หากประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นภายใต้สมมติฐานเลวร้าย นั่นคือทั้ง 2 บริษัทมีมูลหนี้สินเชื่อรวมที่ 24,449 ลบ. (ราว 1% ของสินทรัพย์เสี่ยง) หากมีการปรับชั้นลูกหนี้ลงเป็น Stage 2 ตามสัญญาณความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น คาดจะมีการตั้งสำรองราว 3,825 ลบ. (สมมติให้หนี้สินดังกล่าวเป็นหนี้สินที่มีหลักประกันครอบคลุมมูลหนี้ 50% และมีการตั้งสำรอง 31.3% ของมูลหนี้หลังหักมูลค่าหลักประกัน ใกล้เคียงกับการตั้งสำรองที่เกิดขึ้นใน 4Q24) คิดเป็น 8.4% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 แต่หากมีการผิดนัดชำระหนี้จนกลายเป็นหนี้ Stage 3 (NPLs) คาดจะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 6,957 ลบ. คิดเป็น 15.3% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงอาจรุนแรงน้อยกว่าที่เราประเมินเพราะบางส่วนจะถูกชดเชยด้วย Management Overlay แต่จะทำให้แนวโน้มการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในระยะยาวเพื่อสร้าง Management Overlay ใหม่ขึ้นมาชดเชย           ► ปัจจุบันเรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ของ SCB ไว้ที่ 45,435 ลบ. โต 3.4% YoY ตามประมาณการเดิม เพราะมองประเด็นดังกล่าวจะไม่กระทบต่อผลดำเนินงานของบริษัท เนื่องจาก King Power ยังมีการดำเนินธุรกิจและสามารถชำระคืนหนี้แก่ธนาคารได้ตามปกติ แต่มีโอกาสที่ธนาคารจะเพิ่มอัตราการตั้งสำรองสำหรับ King Power มากขึ้นกว่าลูกหนี้ปกติ หากมีการค้างชำระแก่ AOT นานขึ้นเรื่อยๆ           ► เรามองราคาหุ้น SCB ที่ปรับตัวลงมาเป็นจังหวะสะสม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการหุ้นธนาคารที่มีเงินปันผลน่าสนใจ เพราะแม้ประเมินผลจากการตั้งสำรองในกรณีที่ทั้ง 2 บริษัทกลายเป็นหนี้เสีย SCB ก็ยังสามารถจ่าย Div. Yield ปี 2025 ได้ในระดับสูงกว่า 5.7% ส่วนช่วงสั้นเราคาด SCB จะยังจ่ายปันผลสำหรับกำไรสุทธิ 2H24 จำนวนหุ้นละ 7 บาท คิดเป็น Div. Yield 5.9% ตามประมาณการเดิม เพราะมองประเด็นดังกล่าวไม่ได้ทำให้เงินกองทุนลดลงจนถึงระดับที่น่ากังวล จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานปี 2025 เดิมที่ 130 บาท

ตลท.แจงหุ้นร่วง เหตุราคาหุ้น DELTA รับข่าวผลงานต่ำคาด-AOT ข่าวสัมปทาน

ตลท.แจงหุ้นร่วง เหตุราคาหุ้น DELTA รับข่าวผลงานต่ำคาด-AOT ข่าวสัมปทาน

         ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) เปิดภาคเช้าวันนี้ (17 ก.พ. 2568) ปรับลดลง 31.96 จุด หรือ 2.51% ลดลงจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 1,240.14 จุด สาเหตุหลักมาจากการปรับลงของราคาหุ้น DELTA ที่ลดลงหลังข่าวผลประกอบการที่ลดลงต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และการปรับลดลงของหุ้น AOT เนื่องจากข่าวสัญญาสัมปทาน อย่างไรก็ตามบริษัทได้ชี้แจงเพิ่มเติมมาแล้วเช้าวันนี้ โดยล่าสุด (ณ เวลา 10.28 น.) ดัชนี SET Index อยู่ที่ 1,248.57 จุด ปรับลดลง 1.85% หรือ 23.53 จุด

TEGH คาดกำไร Q4/67 ที่ 248 ลบ. ปีนี้ Bio gas หนุนกำไรโต เคาะเป้า 5 บาท

TEGH คาดกำไร Q4/67 ที่ 248 ลบ. ปีนี้ Bio gas หนุนกำไรโต เคาะเป้า 5 บาท

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า คาด TEGH กำไรปกติ 4Q24 ทำระดับสูงสุดของปี หนุนจากธุรกิจยางพารา เราคาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 248 ลบ. (+13.1% QoQ, +1,043.7% YoY) เป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 ไตรมาส หนุนจากธุรกิจยางพาราเป็นหลัก โดยปริมาณขายยาง (ยางแท่ง + น้ำยาง) คาดเติบโตเป็น 68,000 ตัน จาก 59,500 ตัน ใน 3Q24 จาก Demand ที่แข็งแกร่งและรับรู้กำลังการผลิตใหม่ (+25%) ส่วนปริมาณขายยาง EUDR คาดสูงขึ้นเป็น 25,000 ตัน (จาก 3Q24 ที่ 16,000 ตัน) คิดเป็นสัดส่วนราว 35-40% ของปริมาณขายยางแท่งทั้งหมด หนุนราคาขายเฉลี่ย และ GPM           ส่วนธุรกิจ CPO คาดปริมาณขายยังลดลง QoQ เนื่องจากปริมาณผลผลิตปาล์มที่ยังชะลอตัว ทำให้เข้าสู่กระบวนการสกัดได้ไม่มากนัก แต่ชดเชยได้บางส่วนจากราคาขายเฉลี่ยน้ำมันปาล์มดิบที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มการรับรู้การขาย Bio gas ให้กับ GGC คาดหนุนรายได้ราว 20-30 ลบ. และเราประเมิน GPM ใน 4Q24 ที่ 12.1% จาก 10.9% ใน 3Q24 และ 8.4% ใน 4Q23 แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 ดีต่อเนื่อง ตามราคายางพารา           ยังคงมุมมองบวกต่อภาพอุตสาหกรรมยางพาราที่จะดีขึ้นต่อในปี 2025 และเห็นสัญญาณบวกของราคายาง SICOM ที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ราว 200 Cent/kg จะเป็นปัจจัยที่หนุนราคาขายเฉลี่ยธุรกิจยางพาราให้สูงขึ้นต่อถึง 2Q25 เป็นอย่างน้อย ขณะที่ธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบปัจจุบันปริมาณผลผลิตปาล์มยังออกมาไม่มากนัก คาดจะเห็นการฟื้นตัวได้ใน 2Q25 เป็นต้นไป           และปี 2025 TEGH จะรับรู้รายได้ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นจากการรับรู้การขาย Bio gas ให้ GGC ได้เต็มปี แม้คาดจะหนุนรายได้ไม่มากราว 120 ลบ./ปี แต่เป็นธุรกิจที่มี GPM และ NPM สูงกว่าค่าเฉลี่ยมาก จะช่วยหนุนกำไรสุทธิของบริษัท ระยะสั้นเราประเมินแนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 ของ TEGH จะเติบโตต่อทั้ง QoQ และ YoY จากธุรกิจยางพาราที่คาดเติบโต QoQ ได้ต่อแม้มีฐานที่สูงก็ตาม ปรับกำไรปี 2025 ขึ้น บนสมมติฐานที่ Conservative กว่าเป้าบริษัท           ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2025 ขึ้น 25% เป็น 723 ลบ. (+38.3% YoY) สะท้อนแนวโน้มราคาขายเฉลี่ยยางพาราที่สูงกว่าคาด และปรับสมมติฐานปริมาณขายธุรกิจยางที่ 257,000 ตัน (+12% YoY) ซึ่งยัง Conservative กว่าเป้าของบริษัทที่ 20% YoY ทำให้ประมาณการของเรายังมี Upside คาด Div. Yield 6.5% คงราคาเหมาะสมที่ 5.00 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ”           แม้เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2025 ขึ้น แต่เรายังคงราคาเหมาะสมตามเดิมที่ 5.00 บาท จากการปรับลด PER ในการประเมินมูลค่าลงเป็น 7.2 เท่า (จากเดิม 9.3 เท่า) เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง และสะท้อนภาวะตลาดในปัจจุบัน ซึ่งยังมี Upside gain 63.4% จากราคาปัจจุบัน มองว่าราคาหุ้นอยู่โซนถูกมาก และเราคาดเงินปันผลจ่ายงวดปี 2024 ที่ 0.20 บาท คิดเป็น Div. Yield 6.5% ช่วยจำกัด Downside risk คงคำแนะนำ “ซื้อ”

GDP ไทยปี67 โต2.5% โตต่ำคาด แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกลงเยอะ CPALL, BDMS, IVL, SCGP, MINT, LH, HMPRO, AP

GDP ไทยปี67 โต2.5% โตต่ำคาด แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกลงเยอะ CPALL, BDMS, IVL, SCGP, MINT, LH, HMPRO, AP

         หุ้นวิชั่น - GDP ไทย 4Q67 +3.2%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.8%YoY) และ +0.4%QoQ (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.5%QoQ) ทำให้ตลอดทั้งปี 2567 ขยายตัว +2.5%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.7%YoY) เศรษฐกิจไทยปี 2567 เร่งตัวจากปี 2566 โดยมีแรงหนุนเด่นๆ มาจากการบริโภคภาคเอกชน (+4.4%YoY), การลงทุนภาครัฐ (+4.8%YoY), การใช้จ่ายภาครัฐ (+2.5%YoY), การส่งออก (+6.3%YoY) ขณะที่การลงทุนเอกชนหดตัว (-1.6%YOY) สศช. คาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2568 ขยายตัว 2.8% (2.3 – 3.3%) ประเมินปัจจัยหนุนมาจากการบริโภคภาครัฐ-เอกชนเพิ่มขึ้น บวกกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว และการส่งออกสินค้าขยายตัว เศรษฐกิจบ้านเราที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด ขณะที่ระยะถัดไป GDP ไทย มีโอกาสเปิด Downside จากนโยบายตั้งกำแพงภาษีสหรัฐฯ อาจเป็น Sentiment กดดันตลาดหุ้นได้ อย่างไรก็ตาม ยังคาดหวังแรงกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐเพิ่มเติม และการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ผ่านการลดดอกเบี้ย         แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกลงเยอะ CPALL, BDMS, IVL, SCGP, MINT, LH, HMPRO, AP  

IPhone SE ใหม่ จ่อเปิดตัว 19 ก.พ.นี้ หุ้นไหนรับทรัพย์ เช็กเลย!

IPhone SE ใหม่ จ่อเปิดตัว 19 ก.พ.นี้ หุ้นไหนรับทรัพย์ เช็กเลย!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) Bloomberg เผย Tim cook โพสข้อความลงใน X จะเป็นการเปิดตัว IPhone SE รุ่นใหม่ คือ SE 4 (หรือ iPhone 16E หรือ iPhone รุ่นประหยัดที่สุดของ Apple 19 ก.พ.2025 ดีไซน์เหมือน iPhone 14 หน้าจอ LTPS OLED ขนาด 6.06 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ที่มีรีเฟรชเรต 60Hzและมีรอยบากส าหรับ Face ID กับกล้องหน้า ส่วนด้านหลังจะมีกล้องเพียงตัวเดียว ซึ่งอาจเป็นกล้องตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 16 รองรับฟีเจอร์ AI KSS มองการเปิดตัวสินค้าใหม่ IPhone SE จะเป็นบวกต่อหุ้นที่เน้นขาย Iphone อาทิ COM7, CPW, JMART

AOT ร่วง 7.45% โบรกฯ แห่หั่นเป้า เหลือเฉลี่ย 51 บ./หุ้น

AOT ร่วง 7.45% โบรกฯ แห่หั่นเป้า เหลือเฉลี่ย 51 บ./หุ้น

         หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ จากการรวบรวมข้อมูลเช้านี้พบว่า ตลาดหรือ Consensus มีการปรับลดราคาเป้าหมายเฉลี่ยของ AOT เหลืออยู่ที่ 51.00 บาท/หุ้น ประกอบด้วย - INVX ปรับลงสู่ Neutral และลดเป้าหมายสู่ 57.00 บาท/หุ้น - ASP ปรับลงสู่ Neutral เป้าหมายที่ 52.00 บาท/หุ้น - Kingsford ปรับลงสู่ Hold เป้าหมายที่ 60.00 บาท/หุ้น - PI คงที่ Hold และลดเป้าหมายสู่ 50.00 บาท/หุ้น - Maybank ปรับลงสู่ Sell ลดเป้าหมายสู่ 42.00 บาท/หุ้น - KGI ปรับลงสู่ Neutral และลดเป้าหมายสู่ 50.00 บาท/หุ้น - UOB KayHian ปรับลงสู่ Hold เป้าหมายที่ 52.00 บาท/หุ้น - CGS ปรับลงสู่ Reduce เป้าหมายที่ 45.00 บาท/หุ้น          ทั้งนี้ตลาดมีมุมมองกังวล AOT อาจต้องตั้งสำรอง หาก KPD ประสบปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งจะทำให้รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ลดลงและกังวลปัญหาลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น          มองปัจจัยลบข้างต้นจะเป็น overhang กดดันราคาหุ้น AOT ในระยะสั้นนี้ จึงแนะนำหลีกเลี่ยงลงทุนระยะสั้นออกไปก่อน ทั้งนี้นักลงทุนที่สนใจหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว แนะนำ MINT ERW เป็นทางเลือกลงทุน  

NDR ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1 พันลบ. รุกตลาดอังกฤษ-ญี่ปุ่น

NDR ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1 พันลบ. รุกตลาดอังกฤษ-ญี่ปุ่น

         บมจ. เอ็น.ดี. รับเบอร์ หรือ NDR วางเป้ารายได้ในปีนี้ ไว้ที่  1,000 ล้านบาท เล็งขยายตลาดยางรถจักรยานยนต์ไปยังอังกฤษ – ญี่ปุ่น ลุยศึกษาความเป็นไปได้ในสหรัฐฯ พร้อมยังมุ่งเสริมศักยภาพการเติบโตผ่านธุรกิจใหม่ ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ คาดติดตั้งเครื่องจักรในไตรมาส 2/2568  เริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ สนับสนุนการเติบโตระยะยาว          นายชัยสิทธิ์  สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี. รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR ผู้ผลิตและจำหน่ายยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์ N.D.Rubber  เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 2568 ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจหลัก คือ ผลิตและจำหน่ายยางในและยางนอกรถจักรยานยนต์ ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 90-95% โดยบริษัทฯมีแผนขยายตลาดไปยังประเทศอังกฤษและญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น หลังจากได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดีจากการเข้าสู่ตลาดในปีที่ผ่านมา  อีกทั้งยังเตรียมศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายตลาดไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม          ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังมุ่งเสริมศักยภาพการเติบโตผ่านธุรกิจใหม่ โดยให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด ผ่านการลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจและสอดคล้องกับเทรนด์สิ่งแวดล้อมที่ทุกอุตสาหกรรมให้ความสำคัญ การขยายเข้าสู่ธุรกิจชีวมวลนี้จะช่วยสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจหลัก และคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทในระยะยาว โดยธุรกิจนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้  ประมาณ 5% ของรายได้รวม          “เราได้ขยายโอกาสการลงทุนไปยังธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต ได้แก่ ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอ BOI คาดว่าเครื่องจักรจะเข้ามาประมาณไตรมาส 2/2568  และจะเริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นการต่อยอดธุรกิจของ NDR เพื่อสร้างความยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวโน้มพลังงานสะอาดของโลก” นายชัยสิทธิ์ กล่าว          กรรมการผู้จัดการ NDR กล่าวเพิ่มว่า แผนการลงทุนในปี 2568 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ ประมาณ 150 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบลงทุนในธุรกิจยางรถจักรยานยนต์ประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งจะใช้สำหรับการเปลี่ยนเครื่องจักรเป็นระบบ Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุน ควบคุมการสูญเสีย และลดการใช้แรงงาน ส่วนอีก 100 ล้านบาทจะใช้สำหรับการลงทุนในเครื่องจักรสำหรับธุรกิจชีวมวล เพื่อรองรับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพในอนาคต [PR News]

MINT โกยกำไร Q4 ที่ 3.6 พันลบ. ปีนี้โรงแรมหนุน โบรกแนะซื้อเป้า 36 บาท

MINT โกยกำไร Q4 ที่ 3.6 พันลบ. ปีนี้โรงแรมหนุน โบรกแนะซื้อเป้า 36 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุ MINT รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 3.6 พันลบ. หากตัดรายการพิเศษ ได้แก่ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวรวม 0.8 พันลบ. กำไรปกติจะอยู่ที่ 2.9 พันลบ. (+9% QoQ, +15% YoY) ออกมาใกล้เคียงที่เราและตลาดคาด           ► รายได้ธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 3.1 หมื่นลบ. (-2% QoQ, +5% YoY) รายงาน RevPar เฉลี่ยที่ 3.9 พันบาท/คืน ลดลง 1% QoQ แต่เติบโต 3% YoY หนุนจากตลาดไทย +14% YoY, ยุโรป +8% YoY และมัลดีฟส์ +15% YoY (ผลกระทบ THB/USD และ THB/EUR ที่แข็งค่า YoY ทำให้รายได้เติบโตไม่มากเมื่อแปลงเป็นเงินบาท) ขณะที่ตลาดออสเตรเลีย RevPar ทรงตัว YoY           ► NHHOTEL (กลุ่มโรงแรมในยุโรป) รายงานกำไรปกติ 4Q24 ที่ 66 ล้านยูโร (ราว 2.5 พันลบ.) RevPar เติบโต 6% YoY ได้จากฐานสูง หนุนจาก ADR +4% YoY ขณะที่ Occ. Rate อยู่ในระดับสูงที่ 70% เพิ่มขึ้นจาก 68% ในปีก่อน ทำให้กำไรปกติของ NHHOTEL เติบโตเด่น 132% YoY จากรายได้, การทำกำไรที่ดีขึ้น รวมถึงมีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของโรงแรมในสเปน           ► รายได้ธุรกิจอาหารอยู่ที่ 7.6 พันลบ. (+2% QoQ, +4% YoY) ยอดขายเติบโตจากการขยายสาขาในไทยเป็นหลัก เนื่องจาก SSSG เฉลี่ยทั้งกลุ่ม -0.5% YoY (ธุรกิจในไทย +1.5% YoY, ออสเตรเลีย -1.2% YoY ขณะที่จีน -10.9% YoY แต่ติดลบน้อยลงเทียบ -20% YoY ใน 3Q24)           ► ด้านต้นทุน EBITDA Margin ของธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 27.1% ลดลง 660bps YoY เป็นผลจากการปรับปรุงบัญชีใน 4Q23 หากหักรายการดังกล่าวออก อัตราการทำกำไรจะทรงตัว YoY ขณะที่ธุรกิจร้านอาหาร EBITDA Margin อยู่ที่ 22.6% เพิ่มขึ้น 110bps YoY หนุนจากการประหยัดต่อขนาดและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพของพอร์ตในไทย           ► ต้นทุนการเงินอยู่ที่ 2.6 พันลบ. (-18% QoQ, -13% YoY) ลดลงทั้ง QoQ และ YoY ผลบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสกุลเงิน EUR, THB รวมถึงมีการลดหนี้สินก่อนครบกำหนด จากงบดุลสะท้อนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่าย ณ สิ้นปี 2024 ลดลงราว 1.0 หมื่นลบ. เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2023 ทำให้ Net IBD/E ลงเป็น 0.8x ได้ตามเป้าหมายของบริษัท           ► ทั้งปี 2024 กำไรปกติอยู่ที่ 8.4 พันลบ. (+18% YoY) ดีกว่าคาดการณ์ของเราเล็กน้อย 4% Our Take           ► ภาพรวมยอดจองใน 1Q25 สะท้อนว่ารายได้ธุรกิจกลุ่มโรงแรมในยุโรปยังเติบโตดี 5% YoY โรงแรมในไทย +9% YoY ดังนั้นเราคาดผลขาดทุนปกติ 1Q25 จะลดลง YoY หรือมีโอกาสคืนทุนได้ หนุนจากการเติบโตของรายได้ และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังบริษัทคืนหนี้ไปมากในช่วงปลาย 4Q24 อย่างไรก็ดี ผลประกอบการเทียบ QoQ เราคาดอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ กดดันจากกลุ่มโรงแรมในยุโรปเข้าสู่ช่วง Low Season เต็มไตรมาส           ► เราคงประมาณการปี 2025 คาดกำไรปกติที่ 9.5 พันลบ. (+13% YoY) และคงคำแนะนำ “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสม 36.00 บาทต่อหุ้น (อิง EV/EBITDA ที่ 7 เท่า หรือเทียบเท่า -0.75SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีช่วง Pre COVID-19)           ► บริษัทจะจัดประชุมนักวิเคราะห์ในวันนี้ (17 ก.พ.) ผู้บริหารจะแถลงแผนการดำเนินธุรกิจ, เป้าหมายการเติบโตของผลประกอบการ, ความคืบหน้าการจัดตั้งกอง REIT และแผนการลดภาระหนี้สิน เรามองเป็น Catalyst ช่วยหนุนให้ราคาหุ้นฟื้นตัวในระยะถัดไป           ► ความเสี่ยงสำคัญ: นักท่องเที่ยวต่ำกว่าคาดการณ์, เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงทั่วโลก, ภาวะสงค

TOP จ่อเปิด SPM หนุนกำไร 1.4 พันลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 31.00 บาท

TOP จ่อเปิด SPM หนุนกำไร 1.4 พันลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 31.00 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุว่า TOP รายงานงบ 4Q24 พลิกเป็นกำไร QoQ หนุนจากธุรกิจการกลั่นน้ำมันหล่อลื่น ประกาศกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท (พลิกจาก -4.2 พันล้านบาทใน 3Q24 แต่ -6% YoY) สูงกว่าที่เราและตลาดประเมินไว้ 13-18% สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายน้อยกว่าคาด รวมทั้งกำไรสต็อกน้ำมัน และ Hedging สูงกว่าคาด หากหักรายการพิเศษ (กำไรสต็อกน้ำมันรวม NRV 95 ล้านบาท, กำไร Hedging 230 ล้านบาท, ขาดทุน FX 487 ล้านบาท) ผลการดำเนินงานปกติทำได้ 3.0 พันล้านบาท ใกล้เคียงคาด (เติบโตสูง QoQ จากฐานต่ำ แต่ -16% YoY) เมื่อเทียบกับ 3Q24 กำไรปกติฟื้นตัว QoQ โดย Market GIM ทำได้ US$7.1/bbl (+31% QoQ) จากผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันหล่อลื่น สาระสำคัญดังนี้ แม้ค่าใช้จ่าย OPEX เพิ่มขึ้น QoQ เป็น US$2.5/bbl (vs US$1.9/bbl) ตามปัจจัยฤดูกาล Spread อะโรเมติกส์ PX และ BZ ถูกกดดันจากอุปสงค์เสื้อผ้า และปริมาณสต็อกในจีนระดับสูง อย่างไรก็ตาม กำไรปกติฟื้นตัว QoQ หนุนจาก ค่าการกลั่นทำได้ US$5.1/bbl (+38% QoQ) จากอุปสงค์ Heating Oil และการท่องเที่ยว หนุน Spread ดีเซล และน้ำมันอากาศยาน อัตรากำไรน้ำมันหล่อลื่นทำได้ US$1.1/bbl (vs US$0.5/bbl) จากความต้องการใช้เพิ่มขึ้นหลังผ่านฤดูมรสุม และผู้ผลิตในเกาหลีใต้ปิดซ่อมบำรุง แนวโน้ม 1Q25 ไม่เด่น            แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 ไม่เด่น ลดลงจากฐานสูง YoY และประคองตัวถึงลดลง QoQ เนื่องจากประเมินว่า การปรับตัวลงของค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล และ PX Spread เพิ่มขึ้นจาก Restocking หลังตรุษจีน – อุปสงค์ PET ช่วงฤดูร้อน จะถูกชดเชยด้วย Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันหล่อลื่น และต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้น คงประมาณการปี 2025…ติดตามความคืบหน้าเปิดใช้งาน SPM            เดือน ก.ค. TOP จะปิดซ่อมใหญ่ CDU #3 30 วัน (กำลังผลิต 180 kbd vs รวม 275 kbd) รวมทั้งหน่วยเพิ่มคุณภาพน้ำมัน, อะโรเมติกส์, น้ำมันหล่อลื่น, LAB อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ให้ข้อมูลว่าอัตรากลั่นปี 2025 จะไม่ต่ำกว่า 100% (vs สมมติฐานเราที่ 100% และปี 2024 ที่ 111%) เราคาดค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นราว US$0.4/bbl (ส่วนที่เหลือจะ Capitalized)            เรามีมุมมองบวกต่อความคืบหน้าการเปิดใช้งานท่อรับน้ำมันกลางทะเล (SPM) โดยบริษัทฯ ได้เปลี่ยนอุปกรณ์แล้ว ปัจจุบันคาดอยู่ระหว่างทดสอบการใช้งาน และขออนุมัติจากหน่วยงานภาครัฐ ช่วยลดค่าขนส่ง Ship-to-ship US$0.5/bbl และเพิ่มกำไรราว 1.4 พันล้านบาทในปี 2025 (ยังไม่รวมในประมาณการ) คงประมาณการปี 2025 ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท +15% YoY ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบมากแล้ว            แม้โมเมนตัมงบ 1Q25 ไม่เด่น และ Overhang ผลประชุม EGM 21 ก.พ. อย่างไรก็ตาม หุ้น -40% ในช่วง 3 เดือน ปัจจุบันซื้อขายบน PBV 0.3 เท่า (-2.2 SD) ถือว่าสะท้อนปัจจัยลบจากงบลงทุนเพิ่มเติมของ CFP และถูกปรับออกจากดัชนี MSCI Standard (Effective 28 ก.พ.) ไปมากแล้ว ปัจจุบัน Risk vs Reward เริ่มน่าสนใจ ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ราคาเหมาะสมใหม่ 31.00 บาท จาก ประกาศ DPS งวด 2H24 ที่ 0.70 บาท/หุ้น (Yield 2.8%) ขึ้น XD 27 ก.พ. จ่ายเงิน 28 เม.ย. ช่วยจำกัด Downside คาดรายจ่ายลงทุน CFP ปี 2025 ไม่สูง ไม่กระทบต่อการจ่ายเงินปันผลอย่างมีนัยสำคัญ ปี 2026 – 2027 กำลังผลิตโรงกลั่นใหม่ในภูมิภาคจะลดลงอย่างมีนัยยะ ติดตามการเปิดใช้ SPM และเรียกร้องสิทธิตามหนังสือค้าประกันงานรับเหมา EPC เพิ่มเติม (ได้รับแล้ว 1.2 หมื่นล้านบาทจากทั้งหมดราว 1.6 หมื่นล้านบาท) ความเสี่ยง – ผลประชุม EGM ขออนุมัติเดินหน้าโครงการ CFP – ทิศทางราคาน้ำมัน และ Crude Premium – หยุดเดินเครื่องนอกแผน – การเปิดใช้งาน SPM – การก่อสร้างโครงการ CFP

WHA Group องค์กรยั่งยืนระดับโลก “Top 1%” จาก S&P Global

WHA Group องค์กรยั่งยืนระดับโลก “Top 1%” จาก S&P Global

           หุ้นวิชั่น - 17 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เป็นสมาชิกของ S&P Global Sustainability Yearbook ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และได้คะแนนสูงสุดอันดับ 1 ในการจัดอันดับความยั่งยืนของ S&P Global หรือ Top 1% S&P Global CSA Score ปี 2567 เป็นปีแรกในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Management & Development)            นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า “รู้สึกภาคภูมิใจกับความสำเร็จในครั้งนี้ ด้วยเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ WHA Group ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลัก สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG : Environmental, Social, Governance) พร้อมตอกย้ำให้เห็นถึงบทบาทขององค์กรที่พร้อมขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนตามมาตรฐานสากล”            นอกจากนี้ WHA Group ยังให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยการทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่การเป็น “Tech Driven Organization” โดยนำเทคโนโลยีล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจได้แก่ ธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ (Logistics Business) ธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม (Industrial Development Business) ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงาน (Utilities & Power Business) ธุรกิจดิจิทัล (Digital Business)            และธุรกิจโมบิลิตี้ (Mobility) โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Mobilix นอกจากนี้ยังได้ยกระดับศักยภาพขององค์กรให้มีโอกาสเติบโต ผ่านการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น New S-Curve บริษัทฯ ยังมีความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการพัฒนาองค์กรในทุกด้าน เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงทุกมิติ (High Performance Organization) สอดคล้องกับการสร้างสังคม และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกันตามพันธกิจ “WHA: We Shape the Future” และความตั้งใจในการเป็น The Ultimate Solution for Sustainable Growth [PR News]

บล.พาย คาด SET สัปดาห์นี้ผันผวน เพิ่มความระมัดระวัง-เลือกหุ้นผลประกอบการยังดี

บล.พาย คาด SET สัปดาห์นี้ผันผวน เพิ่มความระมัดระวัง-เลือกหุ้นผลประกอบการยังดี

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.พาย ระบุ ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดลบ 165 จุด (-0.37%) แต่อย่างไรก็ตามดัชนี Nasdaq ปรับขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากหุ้น NVIDIA ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.7% เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะมีการทำข้อตกลงสันติภาพระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ช่วยบรรเทาปัญหา            คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานยอดค้าปลีกประจำเดือน ม.ค. พบว่าหดตัวราว -0.9%MoM แย่กว่าที่ Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ -0.2%MoM ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลงมาทดสอบ 4.26% จากก่อนหน้าที่ระดับ 4.4% ทั้งนี้ในส่วนของยอดค้าปลีกพบว่ายอดค้าปลีกที่ไม่รวมสินค้ายานยนต์อยู่ที่ราว -0.4%MoM สะท้อนว่ายอดค้าปลีกที่ย่ำแย่มาจากสินค้าเกี่ยวข้องกับยานยนต์ โดยสินค้าเกี่ยวข้องกับยานยนต์และอุปกรณ์ (-2.8%MoM) บ่งชี้ถึงการชะตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามเป็นเพียงปัจจัยกดดันระยะสั้นมากกว่า            กลับมาที่ปัจจัยในประเทศวันศุกร์ที่ผ่านมาพบว่า SET INDEX ปรับลง (-0.94%) รับแรงกดดันหลักๆจาก AOT CPN ในกรณีของ AOT พบว่าผลประกอบการช่วงไตรมาสแรก (1Q68) รายงานแล้วต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์หลักๆ เกิดจากรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ขยายตัวเพียงเล็กน้อย (+2%YOY) ขณะที่ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้นถึง 16%YOY ทำให้กำไรสุทธิขยายตัวเพียง 15%YoY และหลังจากนั้นพบว่ามีประชุมนักวิเคราะห์ทางบริษัทได้ให้ข้อมูลว่าหนึ่งในผู้ประกอบการในสนามบินได้ขอผ่อนผันการชำระเงินออกไปเพราะติดปัญหาสภาพคล่องและยังต้องติดตามว่าจากนี้การขยายตัวของรายได้ที่มิใช่การบินจะกลับมาขยายตัวได้มากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันมีแรงกดดันจากหุ้น DELTA หลังรายงานกำไรแย่กว่านักวิเคราะห์คาดการณ์            ปัจจัยสัปดาห์นี้รอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วย 1. การแถลงนโยบายการเงินของ FED ในรอบล่าสุด (FED Minutes) ในคืนวันพฤหัสบดี 2. ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯในคืนวันศุกร์ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 4.1 ล้านหลังคาเรือน ด้านปัจจัยในประเทศรอติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่จะทยอยรายงานออกมารวมไปถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในวันจันทร์ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 2.7%YoY หากมากกว่าที่คาดการณ์จะเป็นปัจจัยหนุน            สัปดาห์นี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,250 - 1,290 จุด ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความผันผวนแม้ Valuation จะไม่แพงแต่อาจใช้ความระมัดระวังมากขึ้นและเน้นเลือกหุ้นที่ผลประกอบการยังดี อาทิ ส่งออก (ITC TU) โรงแรม (MINT) ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CRC HMPRO) เนื้อสัตว์ (CPF) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA)       CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.75 บาท) ปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q67 ต่อเนื่องถึง 1Q68 จะยังเห็นการเติบโตได้ต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลดีจากราคาเนื้อสัตว์ในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูงได้ โดยเราคาดกำไรสุทธิงวด 4Q67 ที่ระดับ 4,000 ล้านบาท เพิ่มมากจากปีก่อนเพราะราคาเนื้อสัตว์ดีขึ้น แต่ลดลงกว่า 44%QoQ ซึ่งเป็นผลตามฤดูกาล Low Seasons ของธุรกิจสัตว์น้ำ   ITC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท) มองว่า ITC อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่ยังมีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯและยุโรป รวมถึงการพัฒนาสินค้าใหม่ๆที่ในปี 68 มีโครงการพัฒนาสินค้ามูลค่ากว่า 30 ล้านบาทอยู่ในมือแล้ว โดยเราคาดรายได้ปี 68 อยู่ที่ 20,079 ล้านบาท (+13%YoY) แต่มีการปรับกำไรสุทธิลง 15% มาอยู่ที่ 3,624 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 67 เพื่อสะท้อนถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นตามโครงการพัฒนาบริษัทและภาษีจ่ายที่คาดว่าจะจ่ายเพิ่มเป็น 7-8.5% ส่วนกำไรสุทธิงวด 4Q67 ออกมาตามคาดที่ 790 ล้านบาท  

AUCT กำไรปี67ทำได้341ล้าน โต 6.7% ตามปริมาณรถจบประมูลเพิ่มขึ้น

AUCT กำไรปี67ทำได้341ล้าน โต 6.7% ตามปริมาณรถจบประมูลเพิ่มขึ้น

            หุ้นวิชั่น - บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT  รายงานผลการดำเนินปี 2567 เผยมีรายได้จากการให้บริการ 1,290.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.96 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 4.7 โดยมีรายได้จากการประมูล 1,094.93 ล้านบาท รายได้ค่าขนย้ายและบริการเสริม 195.32 ล้านบาท ส่งผลมีกำไรสุทธิเท่ากับ 371.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.36 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 6.7             นายวรัญญู ศิลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ (AUCT) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ที่ผ่านมาว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 317.55 ล้านบาท ลดลง 11.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยมีรายได้จากการประมูลเท่ากับ 270.90 ล้านบาท ลดลง 9.85 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 7.46 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนรายได้ค่าขนย้ายและบริการเสริมในไตรมาส 4/2567 เท่ากับ 46.65 ล้านบาท ลดลง 1.95 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 0.16 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากจำนวนรถที่เข้าสู่ลานประมูลและรถที่จบประมูลเริ่มชะลอตัวลงในช่วงปลายของไตรมาส 4/2567              สำหรับผลประกอบการปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 1,290.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.96 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 4.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายได้จากการประมูลเท่ากับ 1,094.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.70  ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.8 เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีรายได้ค่าขนย้ายและบริการเสริมเท่ากับ 195.32 ล้านบาท ลดลง 1.74 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.9 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถเข้าประมูลและรถจบประมูลในภาพรวมทั้งปี ส่งผลให้ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 371.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.36 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับปีก่อนตามปริมาณรถจบประมูลที่เพิ่มขึ้น             นายสุธี สมาธิ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มของธุรกิจว่า  จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมา ทั้งการแจกเงินหมื่นให้ผู้สูงอายุ การช่วยเหลือชาวนาไร่ละหนึ่งพันบาท Easy E-Receipt และมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ตลอดจนการคงนโยบายอัตราดอกเบี้ย และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น ปัจจัยบวกต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคม 2567 ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะช่วยผ่อนคลายให้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นในอนาคตได้ แต่ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ยังมีความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง และเศรษฐกิจไทยที่แม้จะปรับตัวดีขึ้นแต่ยังฟื้นตัวช้า             นอกจากนี้แล้ว การอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินยังคงมีความเข้มงวด สอดคล้องกับทิศทางการชะลอตัวของยอดจัดสินเชื่อรถยนต์ใหม่ เห็นได้จากยอดขายรถยนต์ใหม่ปี 2567 ที่ลดลงร้อยละ 26.2 เมื่อเทียบกับปี 2566 ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกันยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แสดงถึงความต้องการใช้เงินสดหมุนเวียนเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือเพื่อเป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ยังมีปริมาณรถไหลเข้าสู่ธุรกิจประมูลอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปี 2568 ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตามสถานการณ์ควบคู่กันไปอย่างใกล้ชิด โดยบริษัทฯ ยังคงแผนการเพิ่มคู่ค้าทางธุรกิจทั้งที่เป็นสถาบันการเงินและที่ไม่ใช่สถาบันการเงินอย่างสม่ำเสมอ

ANI ปี 67 มีกำไรที่ 664.4 ล้านบาท ส่วนรายได้ทำได้ 8,426.9 ล้านบาท

ANI ปี 67 มีกำไรที่ 664.4 ล้านบาท ส่วนรายได้ทำได้ 8,426.9 ล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ANI ผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัท และบริษัทย่อย (รวมเรียกว่า “บริษัทฯ”) มีการเติบโตของรายได้ที่โดดเด่น โดยมีรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 42.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีมูลค่ารวม 8,426.9 ล้านบาท การเติบโตนี้เป็นผลจากกลุ่มประเทศฮ่องกง จีน เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ฐานการผลิตและการส่งออกที่มีการเติบโตสูง ตลอดจนการเพิ่มของสัญญาสายการบินในช่วงที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ ยังสามารถใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานจากการขนส่งทางทะเลไปยังการขนส่งทางอากาศ เนื่องจากความแออัดของการขนส่งทางทะเลที่เกิดจากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สถานการณ์ในทะเลแดง และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของสินค้า e-Commerce ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 134,844 ตัน เพิ่มขึ้น 21.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว           ทั้งนี้ ในครึ่งแรกของปี 2567 การดำเนินงานของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมากจากข้อจำกัดของพื้นที่บรรทุกสินค้าบนเส้นทางการขนส่งไปยังยุโรป อเมริกา และเส้นทางภายในเอเชียที่มีความต้องการสูงบางเส้นทาง ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม ในครึ่งหลังของปี 2567 ความแออัดของการขนส่งได้ลดลง และความสามารถในการขนส่งสินค้าทางอากาศกลับมาเป็นปกติหลังจากการฟื้นตัวของห่วงโซ่อุปทานหลังโควิด การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ขนส่งสินค้าทำให้ตลาดมีการแข่งขันมากขึ้น ทำให้ในปี 2567 นี้ อัตราผลตอบแทนและกำไรขั้นต้นกลับสู่ภาวะปกติ แม้ว่าจะทำให้กำไรขั้นต้นลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมปกติ เปรียบเทียบกับช่วงปี 2566 ที่ยังได้รับอานิสงส์จากการขาดแคลนชั่วคราวของอุปทาน ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการปรับตัวจากสถานการณ์ดังกล่าว และพยายามเพิ่มสัญญาสายการบินเพื่อเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้า และชดเชยกำไรที่สูญเสียไปจากการแข่งขันข้างต้น           ด้วยการเพิ่มขึ้นของรายได้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารก็เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของธุรกิจเช่นกัน ซึ่งเกิดจากการจัดตั้งสถานีใหม่ การขยายการดำเนินงานที่มีอยู่เพื่อรองรับสัญญาสายการบินใหม่ๆ ของบริษัทฯ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับปีนี้ ซึ่งกลับรายการจากกำไรของปีที่แล้ว โดยรายการดังกล่าวเป็นรายการระหว่างกันภายในบริษัทฯ เกี่ยวกับเงินปันผลคงค้าง จากปัจจัยเหล่านี้ บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิที่เป็นส่วนของเจ้าของปี 2567 จำนวน 664.4 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า           สำหรับกลยุทธ์ของธุรกิจ เพื่อตอบสนองต่ออุปทานที่จำกัดและความต้องการที่เพิ่มขึ้น บริษัทฯ ได้ดำเนินการเชิงรุกในการขยายอุปทานการขนส่งในฐานะตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบิน (“GSA”) โดยการเพิ่มสัญญา GSA ทั้งจากสายการบินเดิมในประเทศใหม่ และในประเทศอื่นเพิ่มเติม แม้จะมีการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น แต่ผู้บริหารยังคงพยายามจัดหาสัญญาใหม่เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด โดยในปี 2567 บริษัทฯ ได้จัดหาสัญญาเพิ่มเติม 6 ฉบับ ซึ่งบรรลุเป้าหมายในการจัดหาสัญญา GSA ใหม่ ตามแผนที่วางไว้ ตลอดจนการขยายประเทศที่ให้บริการ โดยเข้าไปลงทุนในกิจการร่วมค้าในประเทศอินเดีย โดยบริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายในการขยายประเทศที่ให้บริการในปี 2568 นี้ ในตลาดหลัก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และทวีปยุโรป

DELTA ดิ่งฟลอร์ โบรกฯ แนะเลี่ยงลงทุนระยะสั้น

DELTA ดิ่งฟลอร์ โบรกฯ แนะเลี่ยงลงทุนระยะสั้น

        หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ แนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนใน DELTA ในระยะสั้น หลังจากที่ ตลาดได้ตอบรับผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาดการณ์ใน 4Q67 เนื่องจากกำไรของ DELTA ในไตรมาสนี้อยู่ต่ำกว่าประมาณการของตลาดและของบล.กรุงศรี อย่างมากถึง 60% โดยลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียง 2 พันล้านบาท (-53% yoy, -67% qoq) ซึ่งเป็นกำ ไรรายไตรมาสทต่ำที่สุดในรอบสามปี คำแนะนำปัจจุบันคือ “ขาย” ที่ราคาเป้าหมาย 110 บาท *กำไร 4Q67 ออกมาต่ำคาดอย่างมาก         รายได้ของ DELTA ใน 4Q67 อ่อนตัวลง 3% qoq สู่ระดับ 41.7 พันล้านบาท (+11% yoy) ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัยเล็กน้อย แต่ GPM อยู่ที่เพียง 22.5% เทียบกับ 27.6% ใน 3Q67 ต่ำกว่าประมาณการที่ 25.5% ซึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่บันทึกในไตรมาสนี้อยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) พุ่งสูงขึ้นสู่ระดับ 7 พันล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา โดยมีผลมาจากค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นให้กับ DELTA ไต้หวัน หลังจากมีการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน *มีความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรปี 68         ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอใน 4Q67 ทำให้กำไรของ DELTA ในปี 67เติบโตเพียง 4.5% yoy สู่ระดับ 1.89 หมื่นล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของเรา 17% สิ่งนี้ส่งผลให้มีความเสี่ยงด้านลบต่อประมาณการกำไรสำหรับปี 68 ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท (+34% yoy) ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างรอการอัพเดทเพิ่มเติมจากบริษัทเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ก่อนที่จะปรับปรุงประมาณการกำไร *หลีกเลี่ยงในระยะสั้น         ราคาหุ้นของ DELTA มักจะได้รับการประเมินมูลค่าที่พรีเมี่ยมเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่ม เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์แนวโน้มการเติบโตในอนาคต ได้แก่ AI และ data centerอย่างไรก็ตาม ด้วยผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาดการณ์ใน 4Q67 และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับต้นทุนในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่าย SG&A และ GMT ซึ่งจะกดดันการเติบโตในปี 68         แนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนใน DELTA ในระยะสั้น แม้ว่าราคาหุ้นจะลดลงมากกว่า 35% จากระดับสูงสุดและซื้อขายใกล้เคียงกับราคาเป้าหมาย ทั้งประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) และ P/E มีความเสี่ยงด้านลบ ราคาเป้าหมาย 110 บาท อิงจาก P/E 57 เท่า(+0.5SD) และมีประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 67 ที่ 0.46 บาทต่อหุ้น

MEDEZE คาดกำไรปี 68-69 โต 25% ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมหนุน

MEDEZE คาดกำไรปี 68-69 โต 25% ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมหนุน

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุว่า MEDEZE จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว “MEDEZE Hair Renaissance” ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมแห่งแรกในเอเชีย ที่ให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์รากผม ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุด ในการเก็บเซลล์รากผมในช่วงที่แข็งแรงและสมบูรณ์ที่สุด สามารถรองรับการเก็บเซลล์ในบุคคลทุกช่วงวัย สามารถเก็บเซลล์ไว้ใช้ในอนาคตได้ โดยใช้เทคโนโลยี Cryopreservation ในการแช่แข็งเซลล์รากผมที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ปราศจากการปนเปื้อน พร้อมระบบความปลอดภัยสูง และการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด ใช้เส้นผมเพียง 50 เส้น สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ได้ถึง 50 ล้านเซลล์ เพื่อรักษาคุณภาพและความสามารถในการเจริญเติบโตของเซลล์            ► สำหรับธุรกิจ MEDEZE Hair Renaissance บริษัทตั้งเป้าให้บริการลูกค้า 500 เคส ภายในปี 2025 และเพิ่มเป็น 5,000 เคส ภายในปี 2030 Our Take            ► เรามีมุมมองเป็นบวกต่อการเปิดตัว “MEDEZE Hair Renaissance” ซึ่งถือว่าเป็นไปตามแผนที่บริษัทได้แจ้งไว้ในตอนระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นให้ประชาชน (IPO) ที่จะช่วยขยายฐานรายได้และลูกค้ากลุ่มใหม่มากขึ้น            ► ด้านแนวโน้มผลประกอบการยังคงเติบโตดีต่อเนื่อง YoY ใน 4Q24 เราคงประมาณการกำไรปี 2024 ที่ 332 ล้านบาท (+39%YoY) ปัจจัยหลักจากการเติบโตของธุรกิจ Stem Cells จากการบริการรับฝากเซลล์และเพิ่มจำนวนเซลล์ต้นกำเนิดจากเนื้อเยื่อสายสะดือ และรายได้จากการเพิ่มจำนวนเซลล์เนื้อเยื่อไขมันเพิ่มขึ้น จากการขยายขนาดทีมขายของกลุ่มบริษัทฯ ทำให้สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับรายได้จากบริการทดสอบศักยภาพ NK Cells เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มจำนวนตัวแทนการให้บริการทั้ง Dealer และ Agent            ► คาดกำไรปี 2025-2026 เติบโตเฉลี่ย 25% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1. การเติบโตจาก Organic Growth ราว 20% รับผลบวกจากการเติบโตของธุรกิจตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells) 2. เติบโตจากการขยายธุรกิจใหม่ MEDEZE Hair Renaissance ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมแห่งแรกในเอเชีย            ► คงคำแนะนำ “ซื้อ” เรามองว่าราคาปรับลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว ประเด็นที่ธุรกิจ Stem Cells เคยถูกโจมตี ทางแพทยสภาได้ให้การยอมรับแล้ว ขณะที่ทางรัฐบาลให้การสนับสนุน จากการประชุมวงการแพทย์และสาธารณสุข ได้จัดให้อยู่ในกลุ่มนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ด้านผลประกอบการยังทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง เราคงมูลค่าพื้นฐานปี 2025 ที่ 12.60 บาท

ดร.คงกระพัน ติดอันดับ 1 ใน 100 ซีอีโอชั้นนำของโลก PTTบริษัทเดียวในไทยที่ติดอันดับมูลค่าแบรนด์สูงสุดใน Brand Finance Global 500 ปี 2568

ดร.คงกระพัน ติดอันดับ 1 ใน 100 ซีอีโอชั้นนำของโลก PTTบริษัทเดียวในไทยที่ติดอันดับมูลค่าแบรนด์สูงสุดใน Brand Finance Global 500 ปี 2568

         หุ้นวิชั่น - ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ได้รับการจัดอันดับที่ 66 จาก 100 CEO ชั้นนำของโลก และอยู่ในอันดับที่ 4 ของผู้นำในกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซ ที่ส่งเสริมการสร้างมูลค่าแบรนด์องค์กรจาก Brand Guardianship Index 2025 โดย Brand Finance ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำของโลก โดยได้รับคะแนน 76.4 จาก 100 คะแนน ในดัชนี Brand Guardianship Index ผลการจัดอันดับสะท้อนถึงคุณลักษณะที่สำคัญของ CEO ในด้านต่างๆ ได้แก่ 1) ใส่ใจพนักงานอย่างแท้จริง 2) เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก 3) มีความน่าเชื่อถือ 4) เข้าใจความต้องการของลูกค้า 5) เป็นผู้นำด้านความยั่งยืน 6) มุ่งเน้นคุณค่าในระยะยาว 7) มีกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน 8) เข้าใจความสำคัญของแบรนด์และชื่อเสียงองค์กร และ 9) มีไหวพริบทางธุรกิจ          นอกจากนี้ CEO ปตท. ยังได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 2 ของโลกด้านการรับรู้เรื่องความยั่งยืน ตามผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างประมาณ 5,000 คน ในกว่า 30 ประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำที่บริหารธุรกิจอย่างยั่งยืนในระดับโลก        โดยในปีนี้ ปตท. ยังคงได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ติดหนึ่งใน 500 แบรนด์แรกของโลกที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด โดยอยู่ในอันดับที่ 249 สูงขึ้นจากอันดับ 267 ในปี 2567 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้รับการประเมินมูลค่าแบรนด์สูงกว่าเก้าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตกว่าร้อยละ 11 ซึ่งมีเกณฑ์ในการพิจารณา อาทิ ผลการดำเนินงาน ความแข็งแกร่งของแบรนด์ และความยึดมั่นในแบรนด์ที่ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ        Mr. Alex Haigh, Managing Director – Asia Pacific of Brand Finance กล่าวว่า ดร.คงกระพัน แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และการขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน โดยความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าระยะยาว การพัฒนาอย่างยั่งยืน และความเป็นเลิศทางธุรกิจ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้ ปตท. เป็นแบรนด์ไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ติดอันดับ Brand Finance Global 500 และมีชื่อเสียงระดับสากลในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคพลังงาน        ดร.คงกระพัน กล่าวเพิ่มเติมว่า การได้รับการจัดอันดับบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดของโลกเป็นผลเนื่องมาจากพันธกิจขององค์กรที่ชัดเจนในการมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องบนหลัก “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ตลอดจนการสนับสนุนจากคนไทยทุกภาคส่วนที่ให้ความเชื่อมั่นในการดำเนินงานของ ปตท.         นอกเหนือไปจากการดูแลรักษาเสถียรภาพทางด้านพลังงานแล้ว ปตท. ยังคงดูแลสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย และพร้อมช่วยเหลือประเทศชาติในยามที่เกิดภาวะวิกฤติ และดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ทั้งนี้ เพื่อเติบโตและมุ่งสู่การเป็นขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งยกระดับขีดความสามารถขององค์กรสู่ระดับสากล  

PIS ควง SKY คว้างาน NT มูลค่า 992 ลบ. เดินหน้านโยบาย “LEVEL-UP THAILAND”

PIS ควง SKY คว้างาน NT มูลค่า 992 ลบ. เดินหน้านโยบาย “LEVEL-UP THAILAND”

           หุ้นวิชั่น - บมจ.โปร อินไซด์ (PIS)  ฟอร์มเจ๋ง! กิจการค้าร่วม SP ที่ร่วมกับ SKY คว้างาน NT มูลค่ากว่า 992 ล้านบาท เดินหน้านโยบาย “LEVEL-UP THAILAND” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยด้วยเทคโนโลยี ดัน Backlog พุ่งแตะ 3,000  ล้านบาท  ฟากผู้บริหาร "เบญญาภา เฉลิมวัฒน์" แย้มอยู่ระหว่างร่วมประมูลงานภาครัฐหลายโปรเจค หลังจากได้เงินไอพีโอ เพิ่มโอกาสคว้างานใหญ่เติมพอร์ต มั่นใจรายได้ปี 68 เติบโตเกิน 15% ตามนัด            นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) ผู้ให้บริการ ICT Solution ครบวงจร เปิดเผยว่า กิจการค้าร่วม เอสพี (SP Consortium) ของ PIS ที่จับมือร่วมกับ บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) (SKY) โดยแบ่งสัดส่วนรับผิดชอบดำเนินโครงการ PIS 49% และ SKY 51% ได้มีการลงนามในสัญญาโครงการจัดซื้อระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทยกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) มูลค่า 992 ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย กิจกรรมที่ 1 การพัฒนาระบบบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ โดยมีระยะเวลาการดำเนินงาน 180 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา            ระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข คือ การนำระบบและเทคโนโลยีดิจิทัลในรูปแบบแพลตฟอร์มกลางเข้ามาใช้ เพื่อเชื่อมโยงระบบการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัล โดยข้อมูลสุขภาพของประชาชนจะสามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ไร้รอยต่อ ตามแนวทางของเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ (eHealth Strategy) กระทรวงสาธารณสุข ในการนำพาประเทศไปสู่ Health 4.0 โดยมีเป้าหมายสำคัญ เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้เข้าถึงการบริการและการรักษาได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น            โดยหน่วยบริการสุขภาพสามารถเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับการวินิจฉัย วางแผนการรักษา เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งต่อการรักษาในกรณีฉุกเฉิน รองรับการให้บริการทางการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ลดความแออัดในโรงพยาบาล ช่วยยกระดับคุณภาพการให้บริการด้านสุขภาพให้มีมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตนเองได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น            "การได้รับงานของ NT ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานภาครัฐ ที่ให้ความไว้วางใจ PIS ในฐานะผู้นำการให้บริการ ICT Solution ครบวงจร ภายใต้ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และเป็นมืออาชีพ มีประสบการณ์มายาวนาน"            ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PIS กล่าวอีกว่า หลังการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯผ่านการขายไอพีโอ ทำให้บริษัทฯมีเงินทุนพร้อมเข้าร่วมประมูลงานของภาครัฐที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น เพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต หลังจากได้รับงาน NT ในครั้งนี้ ทำให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) แตะ 3,000 ล้านบาท รวมทั้งอยู่ระหว่างการประมูลงานและรอผลประมูลงานในหลายโปรเจค ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแนวโน้มรายได้ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เติบโตอย่างก้าวกระโดด และมั่นใจว่ารายได้ในปี 2568 จะเติบโตเกิน 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้            ก่อนหน้านี้ กิจการค้าร่วม พี ที เอ็น พี ใอ (PTNPI) ที่ PIS ได้จับมือกับบริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด (PORTALNET) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท สามารถเทเลคอม จำกัด (มหาชน) (SAMTEL) ได้มีการลงนามสัญญาจ้างกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำหรับงานจ้างดูแลบำรุงรักษาระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป สำหรับธุรกิจหลัก (รชธ.) และบูรณาการระบบงานที่เกี่ยวข้อง มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ PIS 46% และ PORTALNET 54%            ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการในเดือนเมษายน 2568 ระยะเวลาการดำเนินงาน 24 เดือน ซึ่งPIS จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่เริ่มให้บริการ            อนึ่ง บมจ.โปร อินไซด์ (PIS)  เป็นผู้นำในธุรกิจ ICT Solution  ให้บริการด้านการให้คำปรึกษา ออกแบบพัฒนา และติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารครบวงจร ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) SKY หรือ สกาย กรุ๊ป

JR สุดฮอต! คว้างานใหม่ของ“ ซิโน-ไทยฯ”มูลค่า 98 ลบ.

JR สุดฮอต! คว้างานใหม่ของ“ ซิโน-ไทยฯ”มูลค่า 98 ลบ.

          บมจ. เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ (JR) แจกข่าวดี! คว้างานใหม่ของบริษัท ซิโน-ไทยฯ ในโครงการ Solar Power Plant มูลค่า 98 ล้านบาท ระยะเวลา 13 เดือน สอดรับกลยุทธ์รับงาน Quick Win และ Oil & Gas  ดันผลงานเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน มั่นใจปี 68 Backlog ทะลุ 9,000 ล้านบาท ตามแผนที่วางไว้           นายสุรเดช อุทัยรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) (JR) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้รับแจ้งลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงสั่งจ้างงาน จาก บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)  สำหรับโครงการ Supply and Installation of Electrical Package โครงการ SB – PYO1 Solar Power Plant มูลค่าโครงการ 98,200,000 บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 13 เดือน นับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญา           "การได้รับงานใหม่จากซิโน-ไทยฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของคู่ค้า ที่มีต่อ JR ในฐานะผู้รับเหมาฯ ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจงานระบบไฟฟ้าและไอซีที"           ภายหลังการได้รับงานในครั้งนี้ ส่งผลให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มเป็น 8,062.2 ล้านบาท ทยอยรับรู้ภายใน 1-3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทฯ ยังคงสานต่อกลยุทธ์ Quick Win ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับธุรกิจ Oil & Gas ที่ทีมงานมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งถือเป็นจุดแข็ง และคู่แข่งในตลาดมีน้อย อีกทั้งมาร์จิ้นยัง อยู่ในระดับสูง รวมทั้งงานที่เป็นประเภท Green Energy เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตมั่นคง           รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JR กล่าวอีกว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังภาครัฐและเอกชนเดินหน้าขยายการลงทุน ซึ่งส่งผลดีกับบริษัทฯในฐานะผู้ให้บริการงานด้านระบบไฟฟ้าและไอซีทีของ JR ซึ่งเติบโตตามเทรนด์โลกที่ทุกภาคส่วนล้วนมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับองค์กร หนุน Backlog ในปีนี้ แตะ 9,000 ล้านบาท ตามแผนงานที่วางไว้           ทั้งนี้ งานบริการหลักของ JR ประกอบด้วย ธุรกิจรับเหมาวางระบบ (Turnkey Project) ทั้งงานระบบไฟฟ้า (Electrical Power System) ที่ให้การออกแบบ จัดหา ก่อสร้าง และติดตั้งระบบไฟฟ้าครบวงจร รวมถึงสายส่งไฟฟ้าแรงสูง (High Voltage Transmission Line System) และสถานีไฟฟ้าย่อย (High Voltage Substation) รวมถึงงานเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (Telecom & ICT) ซึ่งรวมถึงการออกแบบ จัดหา ติดตั้งอุปกรณ์ วางระบบรวมทั้งให้คำปรึกษาด้านระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจการให้บริการซ่อมบำรุงรักษา (Maintenance) โดยบริษัทฯ ให้บริการซ่อมและบำรุงรักษาอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจการจำหน่ายอุปกรณ์ (Supply) บริษัทฯ จำหน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ [PR News]

AU ขนมหวานซ่อนมูลค่า โกลเบล็กแนะ

AU ขนมหวานซ่อนมูลค่า โกลเบล็กแนะ "ซื้อ" อัพไซต์ 60%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง AU ว่า "ซื้อ" (ราคาเหมาะสม 13.50 บาท) มีอัพไซต์ 60% แนวโน้มกำไร 4Q67 อาจต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม แต่อมองบวกต่อแนวโน้มปี 68           • คาดแนวโน้มกำไร 4Q67 คงเติบโตต่อเนื่อง YoY แต่อาจทรงตัว QoQ (จากเดิมคาดโต QoQ) โดยแม้เข้าสู่ High Season ของธุรกิจ แต่คาดจะได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักในโซนภาคเหนือและภาคใต้ อย่างไรก็ตาม คาดยังคงเติบโต YoY จากการขยายสาขาใหม่ต่อเนื่องสู่ 63 แห่ง (+3 แห่ง YoY +2 แห่ง QoQ) รวมทั้งการเริ่มวางขายสินค้าใน 7-Eleven เมื่อช่วง ก.ค. 67 โดยเดิมเราประมาณการกำไรปี 67 ราว 296 ลบ. +66% YoY (9M67 คิดเป็น 71%) ซึ่งอาจมี Downside Risk จากประมาณการดังกล่าว (คาดประกาศงบ 4Q67 วันที่ 24 ก.พ. 68)           • ความเห็น : ฝ่ายวิเคราะห์มองเป็นกลางต่อแนวโน้ม 4Q67 ที่อาจต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม แต่ยังคงมองบวกต่อแนวโน้มปี 68 ที่คาดจะเติบโตต่อเนื่อง โดยผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 68 เติบโตราว 25-30% ซึ่งมีความกระตือรือร้นกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10-15% โดยคาดจะเติบโตดีตั้งแต่ 1Q68 เป็นต้นไป โดยมีเหตุผลสนับสนุนคือ 1) ผลิตภัณฑ์ใหม่ "ขนมปังคัสตาร์ดไข่เค็มหน้าฝอยทอง" ที่เพิ่งออกมีกระแสดี 2) เพิ่งรองรับสิทธิ์ Easy E-Receipt ได้เป็นปีแรก 3) โรงงานสำหรับผลิตสินค้าเพื่อส่งร้าน 7-Eleven เสร็จแล้ว และยังมีแผน OEM หรือร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อส่งสินค้าเข้าสู่ร้าน 7-Eleven เพิ่มเติม 4) ขยายสาขา After You อีก 8-10 แห่ง และ 5) แผนขยายแฟรนไชส์ไปยังต่างประเทศอีก 2 แห่ง ทั้งนี้คงประมาณการกำไรปี 68 ราว 332 ลบ. +15% YoY และราคาเหมาะสม 13.50 บาท มีอัพไซต์ 60% แนะนำ "ซื้อ"

[ภาพข่าว] IHL  ร่วมออกบูธแสดงสินค้าในงานระดับโลก NW Material Show February 2025

[ภาพข่าว] IHL ร่วมออกบูธแสดงสินค้าในงานระดับโลก NW Material Show February 2025

          หุ้นวิชั่น - คุณองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหาร (คนที่ 1 จากซ้าย) และคุณวศิน ดำรงสกุลวงษ์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไป (คนที่ 2 จากซ้าย) บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายหนังสำหรับรถยนต์ รองเท้า ร่วมออกบูธแสดงสินค้าของบริษัทในงานระดับโลกอย่าง NW Material Show February 2025 ที่เมือง Portland และ Oregon ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นงานแสดงวัสดุและเทคโนโลยีชั้นนำที่มีผู้ประกอบการจากหลากหลายประเทศเข้าร่วม โดย IHL ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์หนังคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดสากล

จับตา GPSC 4Q24 เติบโตเด่น Bloomberg ให้เป้า 40.56 บาท

จับตา GPSC 4Q24 เติบโตเด่น Bloomberg ให้เป้า 40.56 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง GPSC ว่า แนวโน้มผลงาน 4Q24 เติบโตเด่น            แนวโน้มผลประกอบการ 4Q24 จาก Bloomberg ราว 1.0-1.1 พันล้านบาท ขยายตัว QoQ และ YoY เนื่องจาก 1. ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ และราคาถ่านหินที่ลดลง ในขณะที่ค่า Ft ยังคงที่ 4.18 บาท/หน่วย จากไตรมาสก่อน ทำให้แนวโน้ม margin ของโรงไฟฟ้า SPP ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 25% (จาก 3Q24 ที่23%) 2. ปริมาณการขายไฟที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าเก็คโค-1 กลับมาเดินเครื่องเกือบเต็มไตรมาส หลังปิดซ่อมตามแผนใน 3Q24 3. รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการไซยะบุรีที่ดีขึ้น จากการดำเนินงานที่ราบรื่น ไม่มีการหยุดการดำเนินงาน ส่วนภาพทั้งปีคาดการณ์ที่ 4.2 พันล้านบาท +12%YoY            สำหรับแนวโน้มปี 25F ยังมีปัจจัยบวลบผสมผสานกัน โดยมีปัจจัยหนุนจากการปรับเพิ่มสัญญา Gas-linked ของลูกค้าแตะระดับ 70% และพร้อมขานรับการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ยังประเมินการกลับมาดำเนินงานอย่างราบรื่นของโครงการไซยะบุรี รวมถึงโครงการร่วมทุน อื่นๆ และการขยายธุรกิจไปยังอินเดีย (Avaada) ส่วนปัจจัยลบ โอกาสในการปรับลดค่า Ft ในปีนี้ยังมีอยู่            ในเชิง sentiment รับปัจจัยบวกจาก GPSC ถูกเพิ่มเข้าสู่ดัชนี MSCI Global Small Cap ซึ่งจะปรับน้ำหนักดัชนีในวันที่ 28 ก.พ. และตลาดได้ปรับลดประมาณการกำไรในปี 24-25F พอสมควรแล้ว โดยราคาเป้าหมายเฉลี่ยปัจจุบันจาก Bloomberg อยู่ที่ 40.56 บาท            แนวรับ 27/25.75 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา แนวต้าน 28/30/31

AOT แจงยิบ ไม่ได้แก้ไขสัญญาสัมปทาน “คิง เพาเวอร์” ยังดำเนินการตามสัญญา

AOT แจงยิบ ไม่ได้แก้ไขสัญญาสัมปทาน “คิง เพาเวอร์” ยังดำเนินการตามสัญญา

         หุ้นวิชั่น - บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่ปรากฏหัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์รายวัน “ข่าวหุ้นธุรกิจ” เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ระบุว่า “คิงเพาเวอร์เผชิญสภาพคล่องตกต่ำ จับตาอาจต้องแก้สัญญาเพิ่ม” นั้น บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า ทอท.มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์จากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดย ทอท.ขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ดังนี้          1.สารสนเทศดังกล่าวได้ระบุถึง ความเห็นของนักวิเคราะห์ที่ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารของ ทอท. โดย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุว่า ปัญหาสภาพคล่องของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์อาจมีผลกระทบต่อรายได้ของ ทอท. หากสถานการณ์นี้ยังยืดเยื้อ ซึ่งอาจนําไปสู่การเจรจาปรับเงื่อนไข เกี่ยวกับข้อตกลงสัมปทาน โดยเฉพาะในเรื่องค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของ ทอท.จากการสัมปทานดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันรายได้จากสัมปทานมีสัดส่วนประมาณ 33% ของรายได้รวมที่ ทอท. คาดว่าจะได้รับในปีงบประมาณ 2568 และยังเป็นแหล่งกําไรหลักของ ทอท. หากมีการปรับเงื่อนไขสัมปทานจริง อาจส่งผลกระทบต่อประมาณการกําไรของ ทอท. ในด้านการลงทุน CGSI มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่แน่นอน ซึ่งอาจทำให้เกิดความกังวลจากนักลงทุน โดยคาดว่าราคาหุ้นของ ทอท.อาจได้รับแรงกดดันในเชิงลบในระยะสั้น เช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) หรือ KS ระบุว่า ทอท.กําลังเผชิญกับปัญหาลูกหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้น จากการที่ผู้รับสัมปทานขอเลื่อนการชําระเงินออกไปอีก 18 เดือน โดยระหว่างนี้ผู้รับสัมปทานจะต้องจ่ายค่าปรับในอัตราประมาณ 18% ต่อเดือน          2. ทอท.ขอชี้แจงว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) มีหนังสือถึง ทอท. ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2567 เรื่อง ขอความอนุเคราะห์เลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากการประกอบกิจการจำหน่าย สินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) โดยระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในหลายประเทศตั้งแต่ต้นปี 2563 ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะต่อ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย รวมถึง KPD ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรง เนื่องจากรัฐบาล ได้ออกข้อกำหนดในการจำกัดและควบคุมการเดินทางอย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้จำนวน เที่ยวบินและผู้โดยสารลดลงอย่างมาก ทำให้ KPD ไม่สามารถดำเนินธุรกิจตามสัญญาได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ KPD ประสบปัญหาสถานการณ์โควิด-19 นั้น KPD ก็พยายามประคับประคองธุรกิจให้ดำเนินการต่อ เพื่อให้ธุรกิจรวมถึงพนักงานทุกคนสามารถอยู่รอดในสภาวะที่ยากลำบากนี้ อันเกิดจากการที่ร้านค้าจำหน่ายสินค้า ปลอดอากรต้องปิดร้านค้าชั่วคราวตามคำสั่งของรัฐบาลอันเนื่องมาจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 และเป็นเหตุให้พนักงานขายต้องขาดรายได้หลัก และส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพอย่างมาก แต่ด้วยความอนุเคราะห์ของ ทอท. ที่ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการฯ ในสนามบิน โดยการให้ผู้ประกอบการฯ เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ ตอบแทนเพื่อให้สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ จากการที่ KPD ได้รับมาตรการการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน จาก ทอท. KPD จึงสามารถดูแลและเยียวยาพนักงานของ KPD ได้จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ของ โรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่ KPD ยังคงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง และไม่สามารถฟื้นคืนธุรกิจได้อย่าง เต็มที่ตามที่เคยประเมินไว้ รวมถึงความจําเป็นที่ต้องลงทุนเป็นจำนวนมากเพื่อการปรับปรุง ก่อสร้าง ติดตั้งระบบต่าง ๆ ภายในอาคารผู้โดยสาร ทสภ., ทภก. และ ทดม. เป็นผลให้ KPD ประสบปัญหาสภาพคล่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกเหนือจากนั้น การที่สถาบันการเงินมีนโยบายไม่ปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติม รวมถึงการทยอยครบกำหนดชำระหนี้ต่าง ๆ กับสถาบันการเงิน และค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่ครบกำหนดชำระให้แก่ ทอท. (งวดปกติและงวดที่ถึงกำหนดชําระ จากการเลื่อนชําระ) และการชําระค่าสินค้าที่ได้สั่งซื้อไว้กับ Supplier (ซึ่งเป็นหัวใจหลักเพื่อให้มีสินค้าไว้จําหน่าย) ทำให้สถานะทางการเงินของ KPD ที่มีภาระต้องชําระค่าภาระต่าง ๆ เกิดการกระจุกตัวในช่วงที่ผ่านมาเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น จำนวนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ KPD ต้องชําระให้แก่ ทอท.นั้น คิดเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง จากการที่ประมาณการเติบโตของยอดใช้จ่ายของผู้โดยสารไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เนื่องจากประมาณการที่เติบโตฯ ดังกล่าวประเมินจากสถานการณ์ก่อนเกิดวิกฤตการณ์โรคโควิด-19 เป็นผลให้สัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับรายได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตาม เป้าหมายที่กำหนดไว้ เนื่องจากการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้โดยสารระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และการใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าปลอดอากรก็เติบโตน้อยลงกว่าที่ได้ประมาณการไว้ จากเหตุผลดังกล่าวเป็นเหตุให้รายได้ ของ KPD ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และประสบกับปัญหาขาดทุน โดยในปี 2566 ขาดทุนถึง จำนวน 651,512,785 บาท ซึ่ง KPD ได้พยายามดำเนินการในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 จนถึงปัจจุบัน KPD ก็ยังคงประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด จากข้อเท็จจริงดังกล่าว KPD จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องขอความอนุเคราะห์จาก ทอท. ในการเลื่อนการชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำซึ่งครบกำหนดชําระตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 จนถึง เดือนกรกฎาคม 2568 (รวม 12 งวด) ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน ซึ่งจะทำให้ KPD มีระยะของช่องว่าง ทางการเงินที่เพียงพอกับการฟื้นฟูให้สภาพคล่องของ KPD กลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง รวมถึงการขอเลื่อน ชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนนับแต่งวดชําระปลายเดือนสิงหาคม 2567 นั้น สืบเนื่องมาจากช่วงดังกล่าวเริ่มเข้าสู่ ฤดูท่องเที่ยว (Peak Season) KPD คาดการณ์ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ในช่วง Peak Season ดังนั้น KPD จึงต้องเตรียมความพร้อมเพื่อการสั่งซื้อสินค้ามาจําหน่ายเพิ่มเติม เพื่อรองรับ ผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ณ ทสภ. ทภก. และ ทดม. ในช่วงดังกล่าว และเพื่อให้สามารถผลักดันยอดรายได้จากฤดูกาล ท่องเที่ยวที่กําลังจะมาถึงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถกระทำได้ นอกจากนี้ การเลื่อนชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทน ขั้นต่ำดังกล่าวจะทำให้ KPD ไม่มีภาระเพิ่มเติมในช่วงระหว่างการเลื่อนชําระ และจะทำให้KPD สามารถแก้ปัญหา สภาพคล่องในปัจจุบันตามที่กล่าวข้างต้นได้ โดย KPD คาดหวังว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น และจะทำให้สภาพคล่อง ทางการเงินดีขึ้นตามลำดับ และกลับเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงปี 2569 ทั้งนี้ KPD ใคร่ขอเรียนว่าการขอเลื่อนการชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตามที่กล่าว ข้างต้นนั้น เกิดจากผลกระทบจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นพร้อมกันและต่อเนื่อง (ตามข้อเท็จจริงที่เรียนไว้ข้างต้น) อันเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ของสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ไม่คาดคิดและเป็นเหตุสุดวิสัยที่ KPD ไม่สามารถควบคุมได้ จนส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (ถึงแม้สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับก็ตาม) ทำให้รายได้ของ KPD ไม่เป็นไปตามที่ KPD คาดการณ์ไว้และนํามาสู่ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้          3.ทอท.ได้พิจารณาหนังสือดังกล่าวจาก KPD ตามข้อ 2 แล้ว และได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจาก ผลประกอบการตามสัญญา พบว่าสัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของ KPD อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับ รายได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้จึงมีความเห็นว่า KPD ประสบปัญหาสภาพคล่องตามที่ได้ระบุในหนังสือฯ จริง และการดำเนินการดังกล่าวเป็นการแจ้งการผิดนัดชำระหนี้ ตามเงื่อนไขในสัญญา ซึ่งไม่เกิดความเสียหายแก่ ทอท. แต่เนื่องจากสัญญาได้ระบุค่าปรับผิดนัดชำระไว้ที่ร้อยละ 18 ทอท.จึงแจ้งต่อคู่สัญญา ตามหนังสือที่ ทอท.16818/2567 อนุญาตให้KPD เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ของเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน โดยไม่ยกเว้นการเรียกเก็บ ค่าปรับจากการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าว          4.ที่ผ่านมา ในปี 2567 ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง เช่น กลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าเชิงพาณิ ชย์ ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) กลุ่มผู้ประกอบการรถเช่า สายการบินบางราย และบริษัทร่วม ต่างประสบปัญหาในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ดังระบุในข้อ 3 เป็นผลให้ในปี 2567 มีผู้ประกอบการกว่า 70 ราย ขอเลื่อนชำระ/ผ่อนชำระ ขอยกเลิก ประกอบกิจการ ขอลดขนาดพื้นที่ จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ประกอบการฯ สายการบิน หรือคู่ค้าอื่น ๆ ของ ทอท. ประสบปัญหาจากการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ทอท. เช่น ผลประกอบการขาดทุน จนทำให้สภาพคล่อง ไม่เพียงพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายให้แก่ ทอท.ตามกำหนด ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการฯ ของ ทอท.โดยเฉลี่ยมีการชำระ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำสูงกว่าอัตราส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) เกินกว่าร้อยละ 50 ในการนี้ ผู้ประกอบการฯ บางส่วนจึงได้แสดงเจตนาพร้อมเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนเพื่อขอผ่อนชำระ ขยายระยะเวลา การชำระเงิน หรือปรับโครงสร้างการชำระเงิน โดย ทอท.ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อ ทอท.แล้ว พบว่าการอนุญาตให้ ผู้ประกอบการฯ ปรับโครงสร้างการชำระเงินจะเป็นประโยชน์กับ ทอท.มากกว่าการไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการฯ ดำเนินการตามที่ร้องขอ รวมทั้งดีกว่าการยกเลิกสัญญาและทำการประมูลใหม่ เนื่องจากอาจทำให้ ทอท.ได้รับ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนต่ำกว่าที่เคยได้รับอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ผ่านมา ทอท.จะเรียกเก็บค่าปรับจากการผิดนัดชำระ ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขสัญญาในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราค่าปรับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเบี้ยปรับของรัฐวิสาหกิจอื่น และสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2564 ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี อย่างมีนัยสำคัญ          5.ดังนั้น เพื่อให้ ทอท.ยังสามารถรักษาผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่มีศักยภาพ แต่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง ภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์สงครามในยูเครนและอิสราเอล ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ทอท.จึงได้จัดทำ โครงการขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ประกอบการฯ และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ที่เผชิญ สภาพคล่องตกต่ำ เสนอคณะกรรมการ ทอท. ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ซึ่งที่ประชุม ได้มีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ ดังกล่าว โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ 5.1.1 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะต้องมีหนังสือแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ล่วงหน้าก่อนวันครบกำหนดชำระเงินตามสัญญา พร้อมทั้งต้องแสดงเหตุผลของการขาดสภาพคล่องให้ ทอท.พิจารณา ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 5.1.2 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่ขอเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีหลักประกันสัญญา และวงเงินของหลักประกันสัญญาต้องครอบคลุมเงินต้นรวมกับค่าปรับจากการผิดนัดชำระในอัตรา 18% ต่อปี 4 5.1.3 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะสามารถเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระค่าผลประโยชน์ ตอบแทน หรือค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) โดยระยะเวลาที่ขอเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระ งวดสุดท้ายจะต้องสิ้นสุดไม่เกินอายุสัญญาและไม่เกิน 24 เดือน นับถัดจากเดือนที่ ทอท.มีมติอนุมัติโครงการฯ (มกราคม 2570) 5.1.4 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินต้องชำระดอกเบี้ยของยอดเงินที่ขอเลื่อน และ/หรือ แบ่งชำระทุกเดือน ตามอัตราที่ ทอท.กำหนด โดยอัตราดอกเบี้ย (ร้อยละต่อปี) คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย ที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (Minimum Loan Rate : MLR) ของธนาคารพาณิชย์ ขนาดใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบวกเพิ่มอีก 2% ต่อปีซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าต้นทุนทางการเงิน (Weighted Average Cost of Capital : WACC) ของ ทอท. โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR และ WACC ณ วันที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินแต่ละราย ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ทอท.อนุมัติเป็นต้นไป โดยไม่มีผลย้อนหลัง (ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องชำระดอกเบี้ยให้ ทอท. ทุกเดือน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง ซึ่งโดยปกติแล้ว ทอท.จะเรียกเก็บดอกเบี้ยกรณีผิดนัดชำระพร้อมกับเงินต้น ในคราวเดียวกัน) 5.1.5 ในกรณี ที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินผิดนัดชำระเงินของโครงการฯ งวดใดงวดหนึ่งหรือมีหนี้สินเกิดขึ้นใหม่ ให้ถือว่าสิทธิ์ตามโครงการนี้สิ้นสุดลงทันที และ ทอท.จะดำเนินการตามเงื่อนไข สัญญาต่อไป 5.1.6 ทอท.ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตามความเหมาะสมและยกเลิกโครงการฯ ได้และ ให้ผลการพิจารณาของ ทอท. ถือเป็นที่สุด จากการชี้แจงดังกล่าว ทอท.ขอยืนยันว่า ทอท.มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดย ปฏิบัติตาม หลักธรรมาภิบาล และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างเคร่งครัด

คัด 8 หุ้น Laggard คาดดัชนี้ SET ผันผวน

คัด 8 หุ้น Laggard คาดดัชนี้ SET ผันผวน

          หุ้นวิชั่น  - บล.เอเซียพลัส ประเมินดัชนีดูผันผวน แต่..หุ้นรายตัวมีโอกาสฟื้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง -12 จุด มาอยู่ที่ 1272 จุด โดยหลักถูกกดดันจาก 2 บริษัท ถึง 11 จุด จาก AOT -8.56 จุด และ DELTA -2.5 จุด ความผันผวนจากทั้ง 2 บริษัทยังมีต่อในวันนี้จาก DELTA กำไรต่ำคาด -60% และ AOT กังวลประเด็นลูกหนี้ขยาย ระยะเวลาในการชำระ ประเมินทุกๆ การเปลี่ยนแปลง 1 บาท ของ AOT กดดัน SET -1.15 จุด กดดัน SET50 -1 จุดและทุกๆ การเปลี่ยนแปลง DELTA กดดัน SET -1 จุด กดดัน SET50 -0.9 จุด           แม้ดัชนี SET Index จะผันผวน แต่หากลงรายละเอียดเป็นรายหุ้นผ่าน AD Line พบว่า เริ่มมีจำนวนหุ้นที่ปรับตัวลงน้อยลง (ลงกระจุก) และจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากขึ้น (ขึ้นกระจายตัวมากขึ้น) ขณะเดียวกันต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินไทยมากขึ้น โดยซื้อสุทธิทุกตลาดในเดือน ก.พ. (mtd) เริ่มจากต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1.4 พันล้านบาท (mtd) , ซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย 5.6 พันล้านบาท (mtd), ซื้อสุทธิ SET50Futures 75,769 สัญญา ตรงกันข้ามกับสถาบันในประเทศ ขายสุทธิหุ้นไทย -8.2 พันล้านบาท (mtd)           กลยุทธ์การลงทุนเริ่มเห็น Rotation มาที่หุ้น Laggard แนะนำ CPALL, HMPRO, BDMS, GPSC, MINT, IVL, SCGP, AP    

AOT ยันไม่แก้ไขสัญญาสัมปทาน คิงเพาเวอร์แค่เลื่อนจ่าย

AOT ยันไม่แก้ไขสัญญาสัมปทาน คิงเพาเวอร์แค่เลื่อนจ่าย

         หุ้นวิชั่น – AOT หรือ ทอท.ยัน มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง แค่เลื่อนจ่ายผลประโยชน์ และชำระค่าปรับ 18 % ตามสัญญา นายกฤช ภาคากิจ เลขานุการบริษัท ทอท. หรือ AOT ได้ชี้แจงมายังตลาดหลักทรัพย์ว่า ได้พิจารณาหนังสือดังกล่าวจาก บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด หรือ KPD เรื่อง ขอความอนุเคราะห์เลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากการประกอบกิจการจำหน่าย สินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)          โดยระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในหลายประเทศตั้งแต่ต้นปี 2563 ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะต่อ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย รวมถึง KPD ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรง          และได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจาก ผลประกอบการตามสัญญา พบว่าสัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของ KPD อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับ รายได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงมีความเห็นว่า KPD ประสบปัญหาสภาพคล่องตามที่ได้ระบุในหนังสือฯ จริง          และการดำเนินการดังกล่าวเป็นการแจ้งการผิดนัดชำระหนี้ ตามเงื่อนไขในสัญญา ซึ่งไม่เกิดความเสียหายแก่ ทอท. แต่เนื่องจากสัญญาได้ระบุค่าปรับผิดนัดชำระไว้ที่ร้อยละ 18 ทอท.จึงแจ้งต่อคู่สัญญา ตามหนังสือที่ ทอท.16818/2567 อนุญาตให้ KPD เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ของเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน โดยไม่ยกเว้นการเรียกเก็บ ค่าปรับจากการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าว          ที่ผ่านมา ในปี 2567 ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ ง 6 แห่ง เช่น กลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าเชิงพาณิชย์ ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) กลุ่มผู้ประกอบการรถเช่า สายการบินบางราย และบริษัทร่วม ต่างประสบปัญหาในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์  เป็นผลให้ในปี 2567 มีผู้ประกอบการกว่า 70 ราย ขอเลื่อนชำระ/ผ่อนชำระ ขอยกเลิก ประกอบกิจการ ขอลดขนาดพื้นที่ จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ประกอบการฯ สายการบิน หรือคู่ค้าอื่น ๆ ของ ทอท. ประสบปัญหาจากการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ทอท. เช่น ผลประกอบการขาดทุน จนทำให้สภาพคล่อง ไม่เพียงพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายให้แก่ ทอท.ตามกำหนด          ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการฯ ของ ทอท.โดยเฉลี่ยมีการชำระ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำสูงกว่าอัตราส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) เกินกว่าร้อยละ 50 ในการนี้ ผู้ประกอบการฯ บางส่วนจึงได้แสดงเจตนาพร้อมเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนเพื่อขอผ่อนชำระ ขยายระยะเวลา การชำระเงิน หรือปรับโครงสร้างการชำระเงิน          โดย ทอท.ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อ ทอท.แล้ว พบว่าการอนุญาตให้ ผู้ประกอบการฯ ปรับโครงสร้างการชำระเงินจะเป็นประโยชน์กับ ทอท.มากกว่าการไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการฯ ดำเนินการตามที่ร้องขอ รวมทั้งดีกว่าการยกเลิกสัญญาและทำการประมูลใหม่ เนื่องจากอาจทำให้ ทอท.ได้รับ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนต่ำกว่าที่เคยได้รับอย่างมีนัยสำคัญ          โดยที่ผ่านมา ทอท.จะเรียกเก็บค่าปรับจากการผิดนัดชำระ ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขสัญญาในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราค่าปรับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเบี้ยปรับของรัฐวิสาหกิจอื่น และสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2564 ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี อย่างมีนัยสำคัญ          ดังนั้น เพื่อให้ ทอท.ยังสามารถรักษาผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่มีศักยภาพ แต่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่องภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์สงครามในยูเครนและอิสราเอล ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้          ทอท.จึงได้จัดทำ โครงการขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ประกอบการฯ และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ที่เผชิญ สภาพคล่องตกต่ำ เสนอคณะกรรมการ ทอท. ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ซึ่งที่ประชุม ได้มีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ ดังกล่าว โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะต้องมีหนังสือแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ล่วงหน้าก่อนวันครบกำหนดชำระเงินตามสัญญา พร้อมทั้งต้องแสดงเหตุผลของการขาดสภาพคล่องให้ ทอท.พิจารณา ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่ขอเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีหลักประกันสัญญา และวงเงินของหลักประกันสัญญาต้องครอบคลุมเงินต้นรวมกับค่าปรับจากการผิดนัดชำระในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี 4 5.1.3          ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะสามารถเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระค่าผลประโยชน์ ตอบแทน หรือค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) โดยระยะเวลาที่ขอเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระ งวดสุดท้ายจะต้องสิ้นสุดไม่เกินอายุสัญญาและไม่เกิน 24 เดือน นับถัดจากเดือนที่ ทอท.มีมติอนุมัติโครงการฯ (มกราคม 2570)          ผู้ประกอบการฯ และสายการบินต้องชำระดอกเบี้ยของยอดเงินที่ขอเลื่อน และ/หรือ แบ่งชำระทุกเดือน ตามอัตราที่ ทอท.กำหนด โดยอัตราดอกเบี้ย (ร้อยละต่อปี) คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย ที่ ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (Minimum Loan Rate : MLR) ของธนาคารพาณิชย์ ขนาดใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบวกเพิ่มอีกร้อยละ 2 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าต้นทุนทางการเงิน (Weighted Average Cost of Capital : WACC) ของ ทอท. โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR และ WACC ณ วันที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินแต่ละราย ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ทอท.อนุมัติเป็นต้นไป โดยไม่มีผลย้อนหลัง (ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องชำระดอกเบี้ยให้ ทอท. ทุกเดือน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง ซึ่งโดยปกติแล้ว ทอท.จะเรียกเก็บดอกเบี้ยกรณีผิดนัดชำระพร้อมกับเงินต้น ในคราวเดียวกัน)          ในกรณีที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินผิดนัดชำระเงินของโครงการฯ งวดใดงวดหนึ่งหรือมีหนี้สินเกิดขึ้นใหม่ ให้ถือว่าสิทธิ์ตามโครงการนี้สิ้นสุดลงทันที และ ทอท.จะดำเนินการตามเงื่อนไข สัญญาต่อไป 5.1.6 ทอท.ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตามความเหมาะสมและยกเลิกโครงการฯ ได้ และ ให้ผลการพิจารณาของ ทอท. ถือเป็นที่สุด          จากการชี้แจงดังกล่าว ทอท.ขอยืนยันว่า ทอท.มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิบัติตาม หลักธรรมาภิบาล และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างเคร่งครัด

ASL คาด SET แกว่งตัว “Sideway” กรอบ 1,260-1,292 จุด ชี้ GPSC เด่น!

ASL คาด SET แกว่งตัว “Sideway” กรอบ 1,260-1,292 จุด ชี้ GPSC เด่น!

          หุ้นวิชั่น - บล.เอเอสแอล ประเมินแนวโน้ม SET Index แนวโน้ม SET Index ประเมินแกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,260-1,292 จุด โดยตลาดซึมซับแผนเก็บภาษีตอบโต้ของทรัมป์ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ จะพิจารณาแต่ละประเทศเป็นรายกรณีและคาดว่าการศึกษาในประเด็นนี้จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 เม.ย. ทั้งนี้ตลาดให้ความสำคัญกับทรัมป์ว่าเขาจะทำอะไร และทิศทางการตอบโต้ทางด้านภาษีจะเป็นไปในทิศทางไหน รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งแรกของปีนี้หลังเจอปัจจัยกดดันมั้งการเก็บภาษีเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25%, การเพิ่มขึ้นของ CPI ที่สูงกว่าคาด และความเห็นในเชิงคุมเข้มนโยบายของพาวเวล ทำให้คาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงดอกเบี้ยจนถึงมิ.ย.           สำหรับปัจจัยในประเทศมีมาตรการ Jump+ จาก ตลท. ที่จะเสนอแก่ก.คลัง ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นตลาดระยะกลาง โดยจะมีการเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเสนอยกเว้นภาษีกำไรส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นระหว่างร่วมโครงการหากสามารถเติบโตได้ตามแผน รวมทั้งไม่เก็บภาษีย้อนหลังกับบริษัทนอกตลาดที่ถูกควบรวมหรือซื้อกิจการกับบริษัทในโครงการ           นอกจากนี้ยังสนับสนุนการทำ M&A เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของผลประกอบการบจ. ขณะที่มาตรการระยะสั้น จะมีการรื้อฟื้น กองทุน LTF ซึ่งจะศึกษาและนำเสนอแนวทางการย้ายกองมายัง TESG เพื่อสนับสนุน Trust & Confidence รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนใน ESG มองเป็นบวกต่อกลุ่ม Big cap. ส่วนด้าน Earnings season มีรายงานงบ DELTA ต่ำคาด 60% และ TOP ดีกว่าคาด 23% รวมถึงประเด็นของ AOT ที่อาจกระทบต่อกลุ่มธนาคาร           นอกจากนี้ติดตาม  PMI สหรัฐฯ ยุโรป, ข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯ ตัวเลข GDP ของไทย และฝันสุดท้ายของการ Hearingเกณฑ์ Cap weigh.           Stock Pick: GPSC แนวโน้มผลงาน 4Q24 เติบโตเด่น เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 31.00 บาท

SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าหลังเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือนมกราคม ออกมาที่ -9%MOM ต่ำกว่าตลาดคาดและต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี จากกลุ่มยานยนต์และอุปกรณ์กีฬา ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าต่อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มยานยนต์ในวันที่ 2 เมษายน ขณะที่นายกฯ เยอรมนีออกมาเตือนว่าพร้อมขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ หากสหรัฐฯเริ่มใช้ Tariffs ต่อ EU เศรษฐกิจยูโรโซนไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โต 1%QOQ สูงกว่าคาดการณ์

ราคาทองเช้าวันนี้ +50 ทองรูปพรรณ ขายออก 46,700 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ +50 ทองรูปพรรณ ขายออก 46,700 บ.

           หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  17 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 50 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 46,100.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,200.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 45,267.76 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 46,700.00 บาท

AOT โบรกมองราคาหุ้นปรับลง  โอกาส หรือ ความเสี่ยง?

AOT โบรกมองราคาหุ้นปรับลง โอกาส หรือ ความเสี่ยง?

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินหุ้น AOT โดยฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย (TP25F) 64.50 บาท ราคาหุ้น AOT ลดลง -14%dd มาปิดที่ 47 บาท ใกล้กรณีWorst case หากต้องยกเลิกสัญญา King Power ขณะที่ฝ่ายวิจัยประเมินมีความเป็นไปได้น้อย จากอุตฯการบินฟื้นตัวหนุน King Power กลับมาชำระหนีได้ตามปกติ           นอกจากนี้หุ้น AOT ยังมีUpside 10-20% จากการเรียกเก็บ PSC transit/transfer และขึ้น ค่า PSC ฝ่ายวิจัยงมองเป็นโอกาส “ทยอยสะสม” ราคาหุ้น AOT ถูกกดดันจาก Sentiment ลบความเสี่ยงหากต้องประมูลสัมปทาน Duty Free สุวรรณภูมิใหม่ และได้MG ต่ำกว่าสัญญาปัจจุบัน           อย่างไรก็ตาม ประเมินมีโอกาสน้อยที่จะเกิดการประมูลใหม่ และกรณีWorst case หากประมูลใหม่แล้ว MG กลับไปเท่ากับสัญญาสัมปทานก่อนหน้ามูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 46.18 บาท ใกล้เคียงราคาปิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา           นอกจากนี้ราคาเป้าหมายมีโอกาสเกิด Upside +6.75 ถึง +13.75 บาท/หุ้น จากการเก็บค่า PSC transit/transfer และการขึ้นค่า PSC ที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีปฎิทิน 2025 (คาดผลการศึกษาแล้วเสร็จกลางปี2025)           ฝ่ายวิจัยจึงมองราคาหุ้น AOT ที่ลดลงจากความกังวลข้างต้นเป็นโอกาส “ทยอยสะสม” หุ้น AOT ที่เป็นผู้ให้บริการสนามบินหลักของ ประเทศซึ่งมีโอกาสเติบโตตามอุตฯ ท่องเที่ยวไทย

คัด 3 หุ้นผ่าทางตัน ท้าชน LTF รินขาย

คัด 3 หุ้นผ่าทางตัน ท้าชน LTF รินขาย

หุ้นวิชั่น - บล. กรุงศรี ประเมินทิศทางการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ฯสัปดาห์นี้ ว่า ดัชนีหุ้นไทย มีสัญญาณ “ฟื้นตัว” ต้าน 1286/1298 จุด รับ 1262/1252 จุด และต้องติดตามรายงาน GDP งวด 4Q24 คาดขึ้นทำจุดสูงสุดของปีที่ 3.8% y-y นอกจากนี้ ติดตามรายงานกำไร 4Q24F หุ้น Real Sector คาดหุ้นรายงานกำไรเด่นสัปดาห์นี้ อาทิ MTC, BBIK, BCPG หุ้นเด่น TRUE, MTC, BA • TRUE(TP25F-14.7): คาดกำไร 4Q24 จะเด่นในทิศทางเดียวกับ ADVANC + Yield ลดลง • MTC(TP25F-58.0): กำไร 4Q24 เด่น เติบโต y-y, q-q และปี 2025 ทำ New high ใหม่ • BA(TP25F-28.75): น้ำมันมีแนวโน้มขาลง + Valuation ถูกซื้อขายที่ P/E’25F ที่ 11.8x ใกล้เคียง -1SD ของค่าเฉลี่ย • LTF: สัปดาห์ที่ผ่านมา (จ. – พฤ.) กองทุน LTF ขายออกมาราว -2.4 พันล้านบาท ทำให้ยอด YTD ขายออกประมาณ -2.43 หมื่นล้านบาท ส่วนหุ้นใหญ่หลักๆในกลุ่มโรงกลั่นน่าจะฟื้นตัว y-y, q-q ขณะที่ต่างประเทศเน้นติดตาม Flash PMI ก.พ. 25 ฝั่งสหรัฐฯ ภาคบริการมีโอกาสทรงๆ m-m ตามองค์ประกอบเงินเฟ้อ PPI หนุน Yield สหรัฐฯ ยังซึมลงต่อ คาดหุ้นนำสัปดาห์นี้ หุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว) ผสาน หุ้น Yield ลดลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง High Growth) และหุ้นเกาะกระแส Domestic Long Term Fund มีสัญญาณบวก ฝั่ง 7 Value ICT, ชิ้นส่วน, โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง High Growth

DOD เร่งปั๊มผลงานฟื้น-เป้ารายได้800ล.

DOD เร่งปั๊มผลงานฟื้น-เป้ารายได้800ล.

        หุ้นวิชั่น - DOD เร่งปั๊มผลงานปี 68 ฟื้น ด้านผู้บริหาร "ต่อลาภ ไชยเชาวน์" สั่งลุยขยายฐานลูกค้าเพิ่มยอด ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะ 800 ล้านบาท ฉายภาพธุรกิจ AWL ไปได้สวย พร้อมเปิดโอกาสลงทุนเสริมทัพ         นายต่อลาภ ไชยเชาวน์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ในปี 2568 บริษัทจะมุ่งเน้นธุรกิจหลักคือการผลิตอาหารเสริม โดยจะเน้นขยายฐานลูกค้าและหาลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการแข่งขันในตลาดสูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าการได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่จะยากขึ้นกว่าที่ผ่านมา แต่จะยังคงพยายามสนับสนุนลูกค้าเก่าที่มีศักยภาพและช่องทางการขายที่ดี เพื่อผลักดันให้ลูกค้าเหล่านั้นกลายเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม         DOD ได้ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยมีการยุติการดำเนินงานของบริษัท สยาม เฮอเบิล เทค จำกัด (SHT) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต ขณะเดียวกันธุรกิจในกลุ่มของ DOD ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัท ออสเวลไลฟ์ จำกัด (AWL) ซึ่งสามารถทำผลประกอบการได้ดีในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าในปี 2568 ธุรกิจของ AWL จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง         บริษัทวางแผนการลงทุนในปี 2568 ด้วยงบประมาณ 30-40 ล้านบาท เพื่อลงทุนในเครื่องจักรสองประเภท ได้แก่ เครื่องจักรทดแทนแรงงานคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดระยะเวลาในการทำงาน และเครื่องจักรสำหรับผลิตอาหารเสริมในรูปแบบกัมมี่ ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศในขณะนี้         ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายในการผลักดันผลประกอบการให้กลับมาเป็นบวกในปี 2568 หลังจากขาดทุนติดต่อกันและไม่สามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนการผลิตให้มากที่สุด เพื่อให้ผลการดำเนินงานในปีนี้กลับสู่สถานะกำไร         DOD ตั้งเป้ารายได้รวมในปี 2568 ไว้ที่ประมาณ 700-800 ล้านบาท โดยคาดว่ารายได้จาก DOD จะอยู่ที่ 350-400 ล้านบาท และรายได้จากบริษัท ออสเวลไลฟ์ จำกัด (AWL) จะอยู่ที่ประมาณ 250-270 ล้านบาท         สำหรับแผนการขยายธุรกิจ บริษัทไม่ได้ปิดกั้นโอกาสในการลงทุนผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) โดยยังคงมองหาโอกาสเพื่อสร้างฐานการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอาหารเสริม หรือธุรกิจที่ใกล้เคียงกับ AWL รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

WARRIX “เสื้อโปโล” ฮอต! พุ่งเป้าโกอินเตอร์

WARRIX “เสื้อโปโล” ฮอต! พุ่งเป้าโกอินเตอร์

https://youtu.be/-XC4zLWjpLk?si=OzPSeBzzXPZ5fVLM

ส่อง 15 หุ้นเด่น ช่วงเปลี่ยนผ่าน LTF สู่ ThaiESG2

ส่อง 15 หุ้นเด่น ช่วงเปลี่ยนผ่าน LTF สู่ ThaiESG2

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.เอเซียพลัส ระบุว่า รมต.คลัง พบแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย ด้วยการยกระดับเก็บภาษีคนลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสกัดเงินไหลออก และเตรียมจัดตั้งกองทุนประหยัดภาษี ThaiESG2 เป้าหมายลงทุนหุ้นไทย 100% ซึ่งจะเป็นการนำเงินกองทุน LTF ที่ครบอายุมาลงทุน โดยคาดว่าระยะเวลาถือครองกองใหม่อยู่ที่ 5 ปี           กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หวังจะได้เม็ดเงินจากต่างชาติหนุน และกองทุนในประเทศหากมีการเปลี่ยนผ่านจาก LTF สู่ ThaiESG2 เน้นหุ้นขนาดใหญ่ Top 3 ในแต่ละ Sector ที่มี ESG Rating A ขึ้นไป รวมถึงยังมี P/E, PBV ต่ำกว่าปกติ อาทิ PTT CPALL BDMS CPN SCC CPF IVL TLI HMPRO PTTGC GPSC SCGP SAWAD TU AP เป็นต้น วันจันทร์นี้ ติดตาม GDP 4Q67 ไทย คาดโต 3.8% YoY และนักลงทุนเตรียมเฮรับกองทุน ThaiESG2 คาดลงทุนหุ้นไทย 100% คาดหนุนให้ SET สดใสในวันนี้           วันจันทร์นี้ ติดตาม GDP 4Q67 ไทย ซึ่ง Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ +3.8% YoY ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก รัฐบาลไทย ที่พยายามเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่างๆ ในไตรมาสดังกล่าว อาทิ แจกเงินเฟส 1, เติมเม็ดเงินให้ชาวนาไร่ละ 1000 บาท อีกทั้งไตรมาสนี้เป็น High Season ที่มีการจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้ว ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าว ออกมาเท่าคาด จะหนุนให้ GDP ทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ +2.65% YoY           ขณะที่ในปีหน้าสำนักเศรษฐกิจต่างๆ คาดการณ์ GDP 2568F ใกล้เคียงกับการประมาณการล่าสุดของ IMF และ WORLD BANK โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ +2.9% จากแรงหนุนภาคครัวเรือน (C) ทั้งการปรับขึ้นค่าจ้าง 400 บาท นำร่อง 4 จังหวัดเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 68 โครงการ EASY E-RECEIPT, แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2-3 รวมถึงภาคท่องเที่ยวไทยที่คาดหวังปัจจัยหนุนจากกระทรวงท่องเที่ยวออกโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ภายใต้ “โครงการไทยเที่ยวด้วยกัน” เฟส 6 ซึ่งจะเริ่มเปิดใช้สิทธิได้ในช่วงเดือน มิ.ย. 68           ขณะที่อีก 1 ประเด็นหนุน คือ รมต.คลังพบแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย ด้วยการยกระดับเก็บภาษีคนลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสกัดเงินไหลออก แล้วได้เม็ดเงินกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย ซึ่งล่าสุดมูลค่า Foreign Currency Deposit (FCD) อยู่ไทยยังอยู่ระดับสูงมากราว 8.2 แสนล้านบาท อีกทั้งเตรียมจัดตั้งกองทุนประหยัดภาษี ThaiESG2 เป้าหมายลงทุนหุ้นไทย 100% ซึ่งจะเป็นการนำเงินกองทุน LTF ที่ครบอายุมาลงทุน (มูลค่า AUM คงเหลือประมาณ 1.8 แสนล้านบาท) โดยคาดว่าระยะเวลาถือครองกองใหม่อยู่ที่ 5 ปี ซึ่ง รมต.คลัง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 1-2 สัปดาห์นี้           ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หวังจะได้เม็ดเงินจากต่างชาติหนุน และกองทุนในประเทศหากมีการเปลี่ยนผ่านจาก LTF สู่ ThaiESG2 เน้นหุ้นขนาดใหญ่ Top 3 ในแต่ละ Sector ที่มี ESG Rating A ขึ้นไป รวมถึงยังมี P/E, PBV ต่ำกว่าปกติ อาทิ PTT CPALL BDMS CPN SCC CPF IVL TLI HMPRO PTTGC GPSC SCGP SAWAD TU AP เป็นต้น  

โบรกคาดการณ์ งบ NER ไตรมาส4/2567

โบรกคาดการณ์ งบ NER ไตรมาส4/2567

           หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ระบุถึง NER ว่า คาดกำไรปกติ 4Q24F ที่ 470 ล้านบาท (+9% y-y, +113% q-q) และรายได้ที่ 8,842 ล้านบาท (+34% y-y, +44% q-q) ซึ่งเป็นจุดสูงสุดใหม่ คาดปริมาณการขายราว 136,000 ตัน (+7% y-y, +39% q-q) ได้แรงหนุนจากปัจจัยฤดูกาล เนื่องจาก Q4 เป็น High Season ของการส่งออกยาง มีวัตถุดิบมาก คาดราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 65 บาท/กก. (+26% y-y, +3% q-q) อย่างไรก็ตาม คาดว่า GPM จะอยู่ที่ 8.8% ต่ำกว่าที่คาดไว้เดิมที่มองว่าจะฟื้นตัวเป็นตัวเลขสองหลัก (เทียบกับ 11.3% ใน 4Q23 และ 8.3% ใน 3Q24) เนื่องจากราคาต้นทุนยางเร่งตัวขึ้น ทั้งนี้ คาด FX loss ประมาณ -100 ล้านบาท ส่งผลให้คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 370 ล้านบาท (-20% y-y, +3% q-q)            สำหรับปี 2024F คาดกำไรปกติอยู่ที่ 1,660 ล้านบาท (+5% y-y) ต่ำกว่าประมาณการปัจจุบันที่คาดไว้ -13% หรือ 1,900 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการคาดการณ์ว่า GPM ปี 2024F จะอยู่ที่ 10.1% ต่ำกว่าสมมติฐานเดิมที่ 11.8% เนื่องจากราคาต้นทุนวัตถุดิบใน 4Q24F ปรับขึ้นเร็วกว่าคาด เบื้องต้นคำนวณว่า ทุกๆ -0.1% การลดลงของ GPM จะกระทบกำไรปกติปี 2024F -1.4% หากตัวแปรอื่นคงที่ ขณะที่ปริมาณการขายปี 2024F คาดว่าจะอยู่ที่ 439,000 ตัน ใกล้เคียงเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ที่ 440,000 ตัน            คำแนะนำเป็น “Buy” คง TP ที่ 5.85 บาท อิง PER 6.4 เท่า (เดิม Trading Buy) จาก upside ที่เปิดกว้างขึ้น และมองว่าเป็นหุ้นปันผลสูง คาด เงินปันผลที่ 0.32 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield สูงถึง 6.8% คาด XD ช่วงเดือนเมษายน และจ่ายปันผลในเดือนพฤษภาคมนี้

SSP ตอกย้ำกำไรแกร่ง ทุ่ม 200 ล้านซื้อหุ้นคืน 

SSP ตอกย้ำกำไรแกร่ง ทุ่ม 200 ล้านซื้อหุ้นคืน 

          หุ้นวิชั่น - SSP ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน จำนวน 2.73% ของทุนจดทะเบียน วงเงิน 200 ล้าบาท           นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บัญชีและการเงิน บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") หรือ SSP ขอแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ("ตลาดหลักทรัพย์ฯ") ให้ทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัท เพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ภายในวงเงินจำนวนไม่เกิน 200 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 35,000,000 หุ้น ซึ่งจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็นร้อยละ 2.73 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท           บริษัทจึงขอเปิดเผยข้อมูลโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน และโปรดพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแบบรายงานการเปิดเผยการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (แบบ TS-1.2) และแบบแสดงรายงานการกระจายหุ้น ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย เหตุผลในการซื้อหุ้นคืน 3.1 เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3.2 เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) รวมถึงเพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) 3.3 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท  

SMPC ถังแก๊สกำไรพุ่ง61% จัดเต็มจ่ายปันผล 0.27 บาท 

SMPC ถังแก๊สกำไรพุ่ง61% จัดเต็มจ่ายปันผล 0.27 บาท 

          หุ้นวิชั่น - บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC แจ้งมายังตลาดหลักทรัพย์ว่า ผลประกอบการปี 2567 มีกำไรทั้งสิ้น 597.55 ล้านบาท หรือ 1.12 บาทต่อหุ้น จากปีก่อนมีกำไรทั้งสิ้น 371.23 ล้านบาท หรือ 0.69 บาทต่อหุ้น เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 61% พร้อมจ่ายปันผล 0.27 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 4 เม.ย. 2568 สาเหตุกำไรโต            1. รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 766.06 ล้านบาท (20.1%) จาก 3,810.87 ล้านบาท เป็น 4,576.93 ล้านบาท จากความต้องการต่อเนื่องเพื่อใช้ถังเป็นบรรจุภัณฑ์ในการขายแก๊สและทดแทนถังเดิมบางส่วน ต้นทุนวัตถุดิบ (เหล็ก) ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 15% แต่ราคาขายใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากยอดขายถังสามส่วนที่ราคาขายสูงกว่าถังสองส่วนเพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทอ่อนลงเล็กน้อย           2. ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 406.35 ล้านบาท (12.9%) จาก 3,139.59 ล้านบาท เป็น 3,545.94 ล้านบาท สอดคล้องกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่วนต้นทุนวัตถุดิบ (เหล็ก) ลดลงจากปีก่อน 15% และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 20% ทำให้ต้นทุนผลิตต่อหน่วยลดลง           3. กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 359.71 ล้านบาท (53.6%) จาก 671.28 ล้านบาท เป็น 1,030.99 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 17.6% เป็น 22.5% เป็นผลจากปีก่อนสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงถดถอยส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ในขณะที่ปีนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้น บริษัทได้รับคำสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก การแข่งขันด้านราคาจึงลดลง ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ทำให้อัตราการทำกำไรดีขึ้น           4. รายได้อื่นเพิ่มขึ้น 43.62 ล้านบาท (20.7%) จาก 211.00 ล้านบาท เป็น 254.62 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าขายเศษเหล็กเพิ่มขึ้นตามปริมาณผลิตที่เพิ่มขึ้น และจากกำไรจากเงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนอื่น สุทธิกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง           5. ค่าใช้จ่ายในการขายและการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 146.75 ล้านบาท (75.7%) จาก 193.86 ล้านบาท เป็น 340.61 ล้านบาท สอดคล้องกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นและอัตราค่าระวางเรือปรับขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งในหลายภูมิภาค           6. ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 77.55 ล้านบาท (37.1%) จาก 209.09 ล้านบาท เป็น 286.64 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากค่าบริจาคการกุศลตามโครงการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้านการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นด้านสาธารณสุข ซึ่งบริษัทมีสิทธิหักภาษีได้สัดส่วนร้อยละ 200 ของเงินลงทุนดังกล่าว นอกจากนี้ยังเกิดจากค่าส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้นตามยอดขาย และจากโบนัสจ่ายพนักงานเพิ่มขึ้นตามผลประกอบการที่ดีขึ้น           7. ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 11.56 ล้านบาท (59.8%) จาก 19.33 ล้านบาท เป็น 30.89 ล้านบาท สอดคล้องกับภาระหนี้จากการซื้อวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามอัตราตลาด           8. ภาษีเงินได้ลดลง 58.84 ล้านบาท (66.3%) จาก 88.76 ล้านบาท เหลือ 29.92 ล้านบาท ในขณะที่ผลประกอบการดีขึ้น เนื่องจากการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากโครงการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้านการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นด้านสาธารณสุข โดยมีอัตราภาษีคงเดิมที่ 20%           9. กำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้น 226.31 ล้านบาท (61.0%) จาก 371.24 ล้านบาท เป็น 597.55 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น อัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น และภาษีลดลง  

SCGP กำไรปี67 ทรุด 30% กัดฟันปันผลอีก 30 สตางค์ 

SCGP กำไรปี67 ทรุด 30% กัดฟันปันผลอีก 30 สตางค์ 

          หุ้นวิชั่น- SCGP ยอมรับตันทุนกระดาษรีไซเคิล ความผันวน ของค่าเงินกดกำไรปี 2567 ลดลง 30% จากปีก่อน พร้อมอนุมัติจ่ายปันผลปลอบใจนักลงทุน 0.30 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 21 เมษายน 2568 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน 2568 ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 1 เมษายน 2568           นาย ดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงินบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP แจ้งมายังตลาดหลักทรัพย์ฯว่า มีกำไรสำหรับปี 2567 เท่ากับ 3,699 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30 จากปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 3           EBITDA ลดลงร้อยละ 9 จากปีก่อน และมี EBITDA margin อยู่ที่ร้อยละ 12 ทั้งนี้ EBITDA และกำไรสำหรับปีลดลงจากปีก่อน มีสาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานของธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ ที่ลดลงซึ่งเป็นผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ที่สูงขึ้น รวมถึงมีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีนัยสำคัญในภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567           นอกจากนี้ กำไรสำหรับปีรวมผลการดำเนินงานของธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียในสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 แม้ว่าอัตรากำไรจะลดลง บริษัทยังคงมีความมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้กำลังการผลิต การดำเนินงาน เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ และการบริหารจัดการต้นทุนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า รายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปีก่อน             รายได้จากการขายเติบโตขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของอุปสงค์ในประเทศซึ่งส่งผลให้ปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ และบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้น ประกอบกับการฟื้นตัวของตลาดส่งออกโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นความต้องการบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าคงทนให้สูงขึ้นด้วย จ่ายเงินปันผลอีก 0.30 บาท            จากผลการดำเนินงานของปี 2567 คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลงวดระหว่างกาลไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ในวันที่ 21 เมษายน 2568 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 เมษายน 2568  

หุ้นกู้ SENA ผู้เล่นอสังหาฯที่ปรับตัวตาม เมกะเทรนด์ [HoonVision x FynnCorp]

หุ้นกู้ SENA ผู้เล่นอสังหาฯที่ปรับตัวตาม เมกะเทรนด์ [HoonVision x FynnCorp]

หุ้นวิชั่น - หุ้นกู้ SENA ผู้เล่นอสังหาฯที่ปรับตัวตาม เมกะเทรนด์ กว่า 40 ปีในการดำเนินธุรกิจที่เน้นกลุ่ม Low-Middle Income โดยเฉพาะแบรนด์ SENA Kith และ Cozi ซึ่งที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางลงมา ยังเป็นที่ต้องการและเป็นกลุ่มใหญ่ในประเทศ ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงในภาวะหนี้สินครัวเรือนสูง ท่ามกลางราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้น ผ่านโครงการ LivNex, LivNex Gold และ RentNex ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น เสนอขายหุ้นกู้ แก่ผู้ลงทุนทั่วไป เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย [5.70-5.95%] ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยให้จองซื้อระหว่างวันที่ 14 และ 17-18 มีนาคม 2568 ภาพรวมธุรกิจ โครงสร้าง SENA Group ที่มี 3 กลุ่มบริษัท ได้แก่ SENA Development, SENX และ SENA Green Energy  ในปัจจุบัน ภาพรวมของโครงสร้างกลุ่มบริษัท (SENA Group) ประกอบด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจหลัก ภายใต้ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ถัดมาเป็นบริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (Sen X) ซึ่งชื่อเดิม คือ SENAJ ทำธุรกิจอสังหาฯ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย พร้อมให้บริการด้านการบริหารอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร และบริษัทเสนา กรีน เอนเนอร์ยี่ จำกัด ผู้บุกเบิกพลังงานโซลาร์ครบวงจร โดยทั้งสองบริษัท อยู่ภายใต้การบริหารของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ SENA Development (SENA) บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เดิมชื่อ บริษัท กรุงเทพเคหะกรุ๊ป จำกัด ก่อตั้งในปี 2536 โดยคุณธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์ ซึ่งเริ่มต้นธุรกิจจากการจำหน่ายและติดตั้งวัสดุก่อสร้างประเภทไม้ ก่อนที่จะทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ เป็นโครงการแรกในปี 2527 หลังจากนั้น ก็ได้เปิดโครงการประเภทอื่นเพิ่ม อย่าง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด คอนโดมิเนียม และอาคารพาณิชย์ จนได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนในปี 2552 เพื่อระดมทุนไปใช้ในธุรกิจหลักอย่างพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีกลุ่มลูกค้าหลักระดับรายได้ปานกลางลงมา ต่อมาได้ขยายธุรกิจสู่พลังงานแสงอาทิตย์และธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าในปี 2558 ปัจจุบัน SENA ดำเนินธุรกิจโดยมีบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 หน่วยธุรกิจ (ตามแหล่งรายได้ในงบการเงินรวม) ได้แก่ 1) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยเพื่อขาย และให้บริการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ อาคารพาณิชย์ และคอนโดมีเนียม ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลเป็นหลัก ภายใต้แบรนด์ตามรูปด้านล่าง อีกทั้ง ให้บริการหลังการขายแบบครบวงจร เช่น การดูแลด้านความปลอดภัย รับบริหารดูแลสาธารณูปโภคส่วนกลาง ในรูปแบบรับจ้างบริหารนิติบุคคล หรือ โครงการ ภายใต้การบริหารโดยบริษัทย่อย 2) ธุรกิจให้เช่าและบริการ ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งอพาร์ทเม้นให้เช่า คลังสินค้าให้เช่า ศูนย์การค้าขนาดเล็ก (Community Mall) ให้เช่า รวมถึงสนามกอล์ฟ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง 3) ธุรกิจโซลาร์ ประกอบด้วย โซลาร์รูฟ โกดังสุขุมวิท 50 กำลังการผลิต 0.75 MW โซลาร์ฟาร์มในจังหวัดสระบุรี และนครปฐม รวม 46.5 MWp รวมถึงธุรกิจลงทุนติดตั้งและขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รูปแบบ Private PPA และธุรกิจรับติดตั้ง จำหน่ายอุปกรณ์ แผงโซลาร์ 4) ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ ผ่านตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า Brand NETA ภายใต้ บริษัท เสนา กรีน ออโตโมทีฟ จำกัด (บริษัทในเครือ) โดยเริ่มดำเนินธุรกิจนี้ในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่ง ณ ไตรมาสนั้น ทำยอดขายได้ 156 คัน หรือมูลค่าประมาณ 85 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายสูงสุดอันดับ 2 ของตัวแทนจำหน่ายแบรนด์นี้ในไทย โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย หรือคิดเป็น 48.6% ของรายได้จาก 4 กลุ่มธุรกิจในช่วง 9M2567 ตามมาด้วยรายได้จากการให้เช่าและบริการ 45% รายได้ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ 5.4% และจากธุรกิจโซลาร์ 1% ตามลำดับ ซึ่งหากเปรียบเทียบ โครงสร้างรายได้จากปี 2566 จะพบว่า ธุรกิจให้เช่าและบริการจะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็น 45% ของรายได้รวมจาก 4 กลุ่ม แผนการเติบโตในปี 2568 ผ่านกลยุทธ์ 3 ข้อ ในปี 2568 บริษัทคาดว่า ยังคงระบายโครงการเดิมและจำกัดการเปิดตัวโครงการใหม่ เนื่องจากกำลังซื้อยังเปราะบาง จำเป็นต้องอาศัยมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ ขณะที่ยังมีความเข้มงวดเรื่องการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินให้กับรายย่อย อย่างไรก็ตาม บริษัทได้วางแผนผ่านกลยุทธ์หลัก ดังนี้ เน้นส่งเสริม Ecosystem ภายในกลุ่มบริษัทหลัก เพื่อสร้างมูลค่าให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน ได้แก่ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) ผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยครบวงจร, เซ็นเอกซ์ (SENX) ธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายและบริการ, และ เสนา กรีน เอนเนอร์ยี่ (SENA Green Energy) ที่ดำเนินธุรกิจพลังงานสะอาดครบวงจร ดำเนินธุรกิจตาม Mega Trend เพื่อกระจายความเสี่ยงและยังเป็นการส่งเสริมธุรกิจหลัก อย่าง 1) การดำเนินธุรกิจพลังงานสะอาดมาต่อเนื่องกว่า 10 ปี ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์ (PPA) กว่า 1,000 หลังคาเรือน และขยายธุรกิจ EV Business ทั้งการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าและสถานีชาร์จไฟ รวมทั้งดำเนินธุรกิจ Carbon Credit Trading ทั้งในและต่างประเทศ 2) ให้บริการที่ช่วยสนับสนุนการขายในธุรกิจอสังหาฯ ตั้งแต่ การบริหารจัดการโครงการนิติบุคคล จนถึงบริการเสริมประสบการณ์ลูกค้า 3) ร่วมมือกับ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ลงทุนร่วมกันกันมาตลอดกว่า 8 ปี รวมจำนวน 69 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 86,200 บาท 4) พัฒนา Livnex และ Rentnex ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าที่ต้องการเวลาในการเตรียมความพร้อมด้านการเงิน โดย LivNex ออกแบบให้ลูกค้าสามารถสะสมเงินค่าเช่าเพื่อใช้เป็นเงินดาวน์ในอนาคต โดยมี บริษัท เงินสดใจดี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเสนา ช่วยวางแผนการขอสินเชื่อ และมีพันธมิตรเป็น ธอส. ขณะที่ RentNex ตอบโจทย์กลุ่มผู้เช่าและลูกค้าสามารถย้ายที่อยู่ได้ตามทำเลของโครงการที่เข้าร่วมโปรแกรม เช่าออมบ้าน (Livnex) เกิดขึ้นเพื่อดูแลลูกค้าที่สถาบันการเงินยังไม่อนุมัติวงเงินกู้ แต่มีแนวโน้มที่จะมีความสามารถในการกู้ได้ภายในช่วงเวลา 3 ปี ให้ความสำคัญในการบริหารสภาพคล่อง ซึ่งจากความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับพันธมิตร ส่งผลให้บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจากธนาคารต่างชาติในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และเงื่อนไขการเบิกจ่ายที่ยืดหยุ่น นอกจากนั้น บริษัทขยายธุรกิจตามแนวทาง ESG และธรรมาภิบาล เพื่อรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินในระยะยาว Financial Performance ธุรกิจอสังหาฯ ทั้งกลุ่ม ซึ่งรวม SENA, JV, SENX ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท แม้จะมียอดโอนกรรมสิทธิ์ลดลง แต่มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นดีขึ้น โดยมีรายได้ 9M2567 อยู่ที่ 2,180 ล้านบาท กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนเพิ่มขึ้น 10.2% มาอยู่ที่ 346 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่น และบริษัทมีการจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี สอดคล้องไปกับแผนการขายและโอน รวมถึง อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้มีแนวโน้มดีขึ้น งบกำไรขาดทุนรวม งวด 9 เดือน ปี 2567 ตัวโครงการ Livnex เป็นการเพิ่มฐานลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ (ซึ่งจะรับรู้รายได้เป็นค่าเช่า) จากยอดโอนในอนาคตได้ และในช่วง 9 เดือนแรกในปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดทำสัญญาจำนวน 186 ยูนิต มูลค่า 330 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดทำสัญญาสะสมทั้งหมด 381 ยูนิต มูลค่า 700 ล้านบาท คิดเป็นรายได้ประมาณ 3-4 ล้านบาทต่อเดือน และบริษัทคาดว่ารายได้จะทยอยรับรู้ได้ในช่วง 3 ปี ยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 5,815 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่พร้อมจะโอนและรับรู้รายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 3,338 ล้านบาท และรับรู้รายได้ภายในปี 2568 และ 2569 เป็นจำนวน 559 ล้านบาท และ 1,918 ล้านบาท ตามลำดับ อีกทั้ง บริษัทมีสินค้าคงเหลือขายมูลค่า 52,362 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินค้าที่สร้างเสร็จพร้อมขาย มูลค่า 13,941 ล้านบาท Backlog As of 30 Sep 2024 Total 5,815MB. หุ้นกู้ SENA ไม่มีประวัติเลื่อนหรือผิดนัดชำระ ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ระดับ BBB- ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิตคงที่ จากการเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางลงมาที่ได้รับการยอมรับ ประกอบกับเงินได้จำนวนมากมาจากการลงทุนในกิจกรรมร่วมทุน (Joint Venture) และบริษัทยังคงบริหารจัดการสภาพคล่องได้ อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งบริษัทได้เผชิญกับผลกระทบเชิงลบจากอัตราดอกเบี้ยมาเป็นระยะเวลานานและหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ซึ่งทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารสูงขึ้นตาม ส่งผลต่อการชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางลงมา ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท โดยเหตุผลดังกล่าวนี้ ทำให้ทริสได้เคยลดอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้จากระดับ BBB เป็น BBB- เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 และคงอันดับดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน ประวัติอันดับเครดิต ข้อกำหนดการดำรงอัตราส่วนทางการเงิน บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Interest Bearing Debt to Equity Ratio) ไม่เกิน 2.5 เท่า ณ วันสิ้นงวดบัญชีรายไตรมาสตลอดอายุของหุ้นกู้ โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัท SENA มีอัตราส่วนดังกล่าวเท่ากับ 1.72 เท่า ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2566 ที่มีค่า 1.45 เท่า เป็นผลจากการกู้ยืมสถาบันการเงินและการออกหุ้นกู้เพิ่มเติม หุ้นกู้คงค้างของบริษัท (Outstanding bonds) จากในอดีตจนถึงปัจจุบัน SENA จะมีระดับหนี้สินจากหุ้นกู้อยู่ที่ประมาณ 6,000 - 8,000 ล้านบาทในแต่ละปี ซึ่งบริษัทเคยออกหุ้นกู้มาแล้วทั้งหมด 23 รุ่น โดยเป็นหุ้นกู้ที่คงค้างอยู่ในตลาดปัจจุบันจำนวน 5 รุ่น รวมมูลค่า 6,625 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระภายในปี 2568 มูลค่าเงินต้น 2,730 ล้านบาท หุ้นกู้เสนอขายใหม่ แก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย [5.70-5.95%] ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยให้จองซื้อระหว่างวันที่ 14 และ 17-18 มีนาคม 2568 วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ ปัจจัยเสี่ยง ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนเเรกเริ่มโครงการสูงและจะได้รับเงินในวันโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งใช้ระยะเวลานานเป็นปี จึงทำให้มีความเสี่ยงในการขาดแคลนสภาพคล่องสูง บริษัทจึงได้ดำเนินนโยบายเพิ่มสภาพคล่องในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับสถาบันการเงินหลายแห่ง ซึ่งบริษัทได้รับความไว้วางใจ ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อตลอดมา ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย หากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะใช้เงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย จะส่งผลต่อการชะลอการตัดสินใจซื้อได้ ซึ่งบริษัทมีการศึกษาสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยและพฤติกรรมลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประสานงานกับสถาบันการเงินเพื่อติดตามนโยบายสินเชื่อแต่ละแห่งอย่างใกล้ชิดทำให้จัดเงื่อนไขการซื้อและผ่อนดาวน์ของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม สะท้อนจากการเปิดโครงการ LivNex การเช่าออมบ้านให้ลูกค้าที่มีศักยภาพ ซึ่งในระหว่างนี้บริษัทก็จะมีรายได้จากค่าเช่าอีกด้วย ความเสี่ยงจากภาระหนี้สิน ของบริษัทยังอยู่ในระดับสูงจากระยะเวลาในการทยอยขายสินค้า ใช้เวลามากขึ้น โดยมูลค่าโครงการที่เหลือขายอยู่ที่ประมาณ 52,000 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน ปี 2567 จากประมาณ 29,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://app.visible.vc/shared-update/190a7079-4032-4513-8c16-b322fe9c89d8

SUN คาดปี68 โต 16% ชี้ราคาหุ้นไม่แพง เคาะ “ซื้อ”

SUN คาดปี68 โต 16% ชี้ราคาหุ้นไม่แพง เคาะ “ซื้อ”

           หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ประเมินหุ้น SUN โดยคงแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายเป็นปี 2025E ที่ 4.40 บาท อิง 2025E PER 9.6x (เดิม 4.60 บาท อิง 2024E PER 11.5x)            ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิ 4Q24E ที่ 46 ล้านบาท (-61% YoY, -67% QoQ) ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์เดิม กำไรชะลอตัว YoY จาก 1) GPM ปรับตัวลดลง จากปริมาณ วัตถุดิบที่เข้าสู่ไลน์การผลิตลดลงจากผลกระทบน้ำท่วมในเดือน ก.ย.- ต.ค. และ utilization rate ลดลง, 2) FX loss ที่ -15 ล้านบาท (4Q23 = 40 ล้านบาท) ด้านกำไรที่ชะลอตัว QoQ เป็นไปตามฤดูกาลโดย 4Q เป็น low season และ ใน 3Q24 มี FX gain ที่ 62 ล้านบาท            ฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 307 ล้านบาท (-14% YoY) สำหรับปี 2025E ปรับประมาณการกำไรสุทธิลง -8% เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศที่ช้ากว่าคาด โดยประเมินกำไรสุทธิปี 2025E ที่ 357 ล้านบาท (+16% YoY) ราคาหุ้น underperform SET -3% ใน 1เดือนที่ผ่านมา สะท้อนกำไร 4Q24E ที่ชะลอตัว            ฝ่ายวิจัยชอบ SUN จาก valuation ที่ไม่แพงโดยเทรดที่ 2025E PER 7.1x และเป็นผู้นำข้าวโพดหวานส่งออกของไทย

ORI ปิดยอดขายหุ้นกู้ เต็มจำนวน 1,500 ล้านบาท ตามเป้า

ORI ปิดยอดขายหุ้นกู้ เต็มจำนวน 1,500 ล้านบาท ตามเป้า

        หุ้นวิชั่น - ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ประสบความสำเร็จหลังเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 จำนวน 3 ชุด นักลงทุนจองซื้อทะลุเต็มจำนวน 1,500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 5.15% ต่อปี สะท้อนความมั่นใจในธุรกิจ           นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 ทั้งหมด 3 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 1 เดือน 8 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.50% ต่อปี , หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.85% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 5.15% ต่อปี ซึ่งเสนอขายระหว่างวันที่ 10, 11 และ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมานั้น ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่อเนื่องทำให้มียอดจองล้นและสามารถปิดการจองซื้อเต็มจำนวน 1,500 ล้านบาท         “การเปิดขายหุ้นกู้ครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการสร้างความมั่นคงทางการเงินและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว ขอบคุณทุกความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุนทุกราย เรามุ่งหวังที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพ การแข่งขันในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ออริจิ้นฯ ได้เตรียมเงินทุนพร้อมสำหรับการชำระหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนเมษายนนี้เรียบร้อยแล้ว” นายพีระพงศ์ กล่าว         หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” ความสำเร็จจากการปิดการซื้อจองหุ้นกู้เต็มจำนวนครั้งนี้ สะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อธุรกิจของบริษัทออริจิ้นฯ จากผลงาน ที่แข็งแกร่ง โดยในปี 2567 บริษัทฯมียอดขายหรือ Presale จากโครงการที่อยู่อาศัยจำนวน 35,442 ล้านบาท ตามเป้าหมาย และ มี Backlog ในมือ 47,329 ล้านบาท ที่รอรับรู้สร้างรายได้ต่อเนื่อง 5 ปี อีกทั้งยังมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจเคียงข้าง การพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

DELTA ทุ่มงบกว่า 3,424 ล้าน ลุยสร้างโรงงานใหม่ในบางปู

DELTA ทุ่มงบกว่า 3,424 ล้าน ลุยสร้างโรงงานใหม่ในบางปู

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายเจิ้ง อัน กรรมการบริษัท บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติอนุมัติการทำรายการ อนุมัติการซื้อเครื่องจักรกับบุคคลเกี่ยวโยง ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 ผู้ซื้อ : บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”)ผู้ขาย : บริษัท Delta Electronics, Inc (DEI) เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 5.54 ของบริษัทฯ บริษัท Delta Electronics Int’l (Singapore) Pte. Ltd. เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นร้อยละ 42.85 ของบริษัทฯ และเป็นบริษัทย่อยของ Delta Electronics, Inc (DEI) ที่ถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 100 ของทุนชำระแล้ว บริษัท Cyntec Electronics (Suzhou) Co., Ltd. บริษัทย่อยของ Delta Electronics, Inc (DEI) ที่ถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 100 ของทุนชำระแล้ว การซื้อเครื่องจักรใหม่ • ประเภทและมูลค่ารายการ: การซื้อเครื่องจักรใหม่มูลค่าสิ่งตอบแทนรวมประมาณ 432.18 ล้านบาท (หรือประมาณ 12.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีรายละเอียดดังนี้ ➢ การซื้อเครื่องจักรจากบริษัท Delta Electronics, Inc มูลค่าสิ่งตอบแทนประมาณ 177.29 ล้านบาท (หรือประมาณ 5.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เท่ากับราคาที่ประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ ➢ การซื้อเครื่องจักรจากบริษัท Delta Electronics Int’l (Singapore) Pte. Ltd. มูลค่าสิ่งตอบแทนประมาณ 254.89 ล้านบาท (หรือประมาณ 7.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เท่ากับราคาที่ประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ • ขนาดรายการรวม: คิดเป็นร้อยละ 0.549 ของสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 • แหล่งเงินทุน: เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ • เงื่อนไขการชำระเงิน: ภายใน 70 วันหลังจากได้รับเครื่องจักร • ประโยชน์ที่บริษัทจดทะเบียนจะได้รับ: เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การผลิตของบริษัทในการเปลี่ยนแปลงสู่โรงงานอัจฉริยะ Delta Smart Manufacturing ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิในการผลิตให้กับบริษัทฯ มากขึ้น การซื้อเครื่องจักรเก่า • ประเภทและมูลค่ารายการรวม: การซื้อเครื่องจักรเก่าจากบริษัท Cyntec Electronics (Suzhou) Co., Ltd. มูลค่าสิ่งตอบแทนประมาณ 49.03 ล้านบาท (หรือประมาณ 1.45 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เท่ากับราคาที่ประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ • ขนาดรายการรวม: คิดเป็นร้อยละ 0.062 ของสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 • แหล่งเงินทุน: เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ • เงื่อนไขการชำระเงิน: ภายใน 70 วันหลังจากได้รับเครื่องจักร • ประโยชน์ที่บริษัทจดทะเบียนจะได้รับ: การซื้อเครื่องจักรข้างต้นเป็นการรับโอนเครื่องจักรมาผลิตในประเทศไทยเพื่อตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการให้ย้ายการผลิตมาจากประเทศจีนมายังประเทศไทยของกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (CPBG) ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มียอดคำสั่งซื้อในกลุ่มผลิตภัณฑ์ข้างต้นมากขึ้น และอนุมัติการซื้อเครื่องจักรของบริษัทย่อยกับบุคคลเกี่ยวโยง ในไตรมาส 1 ปี 2568 โดยคู่สัญญาที่เกี่ยวข้องและความสัมพันธ์กับบริษัทจดทะเบียน ผู้ซื้อ: บริษัท Delta Electronics India Pvt. Ltd. (DIN) เป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียนแล้ว ผู้ขาย: บริษัท Delta Electronics Int’l (Singapore) Pte. Ltd. เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นร้อยละ 42.85 ของบริษัทฯ และเป็นบริษัทย่อยของ Delta Electronics, Inc (DEI) ที่ถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียนแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สัญญา กลุ่มบริษัท DEI เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ โดย ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2567 ถือหุ้นในบริษัทฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อมประมาณร้อยละ 63.07 ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วของบริษัทฯ          นอกจากนี้ยังอนุมัติการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ (โรงงาน D16, D17 และ D18) ในเขตบางปู จ.สมุทรปราการของบริษัทฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้ • วัน เดือน ปี ที่ก่อสร้าง – คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 และจะแล้วเสร็จภายในกันยายน ปี 2569 • ขนาดและที่ตั้งของที่ดิน โรงงาน D16: อาคาร 4 ชั้น ขนาดอาคารรวม 25,500 ตารางเมตร ในเขตบางปู จ.สมุทรปราการ โรงงาน D17: อาคาร 7 ชั้น (อาคารจอดรถและโรงอาหาร) ขนาดอาคารรวม 26,500 ตารางเมตร ในเขตบางปู จ.สมุทรปราการ โรงงาน D18: อาคาร 4 ชั้น ขนาด 55,000 ตารางเมตร ในเขตบางปู จ.สมุทรปราการ • มูลค่ารายการ – ประมาณ 3,424 ล้านบาท • ขนาดของรายการ – ประมาณร้อยละ 2.78 ของสินทรัพย์รวมของบริษัทฯ ตามงบการเงินรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 • ผู้รับเหมาก่อสร้าง – อยู่ระหว่างการพิจารณาแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับบริษัทฯ • เงื่อนไขการชำระเงิน – ตามความคืบหน้าของงาน • ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ – ตอบสนองต่อศักยภาพการเติบโตสูงของกลุ่มธุรกิจเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ กำลังและระบบ (PSBG) และกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICTBG) ของกลุ่มบริษัทเดลต้า รวมถึงรองรับการขยายตัวด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติม • แหล่งเงินทุนที่ใช้ – เงินหมุนเวียนจากการดำเนินงานของบริษัทฯ

DELTA กำไรสุทธิปี 67 แตะ 1.9 หมื่นลบ. รับอานิสงค์ AI

DELTA กำไรสุทธิปี 67 แตะ 1.9 หมื่นลบ. รับอานิสงค์ AI

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) รายงานผลประกอบการ ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 18,939 ล้านบาท เทียบกับ 12.6% และ 12.9% ในปี 2566 และ 2565 กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.52 บาทในปี 2567 เทียบกับ 1.48 บาทในปี 2566 และ 1.23 บาทในปี 2565           และมีกำไรจากการดำเนินงานในปี 2567 อยู่ที่ 10.8% เทียบกับ 12.3% และ 12.2% ในปี 2566 และ 2565 ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้           บริษัทฯ มียอดขายจำนวน 164,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.5% และ 39% จากปี 2566 และปี 2565 ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์กำลังไฟฟ้า โดยได้รับแรงหนุนจากโซลูชันการจัดการพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูลและ DC-DC คอนเวอร์เตอร์สำหรับไมโครโปรเซสเซอร์ที่มีความต้องการสูง เพื่อรองรับแนวโน้มการใช้งานที่ขับเคลื่อนด้วย AI กล่าวโดยสรุป เทคโนโลยี AI ได้เร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลและเครือข่ายเพื่อรองรับความต้องการในการประมวลผลประสิทธิภาพสูง           ในปี 2567 สัดส่วนรายได้จากการขายในตลาดเอเชียเพิ่มขึ้นจาก 39% เป็น 44% ในทางกลับกัน สัดส่วนรายได้จากการขายในภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปลดลงจาก 32% เป็น 29% และจาก 28% เป็น 26% ตามลำดับ *ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน           การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 70 ล้านบาทในปี 2567 เทียบกับกำไรจำนวน 675 ล้านบาทในปี 2566 เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอย่างมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2568 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงปฏิบัติตามนโยบายที่รอบคอบในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิของแต่ละสกุลเงินเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน           ต้นทุนขายในปี 2567 คิดเป็น 75.4% ของยอดขายรวม เทียบกับ 77.1% และ 76.4% ในปี 2566 และ 2565 ตามลำดับ โดยในปี 2567 อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมานั้น เนื่องจากมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลังให้มีอัตราการหมุนเวียนสินค้าคงคลังสูงขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์กำลังไฟฟ้าสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ออกแบบเฉพาะสำหรับการประมวลผลประสิทธิภาพสูง           ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมถึงการวิจัยและพัฒนา) ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 46.2% และ 68.3% จากปี 2566 และ 2565 ตามลำดับ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย พร้อมกับค่าธรรมเนียมการสนับสนุนทางเทคนิคที่เกี่ยวกับ AI เพื่อรองรับความต้องการตลาดที่เพิ่มขึ้นในแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI

DELTA ปันผล 0.46 บาท XD 27 ก.พ. 2568

DELTA ปันผล 0.46 บาท XD 27 ก.พ. 2568

         หุ้นวิชั่น - บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติ อนุมัติการจ่ายเงินปันผล 0.46 บาทต่อหุ้น วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 27 ก.พ. 2568 และกำหนด วันที่จ่ายปันผล : 28 เม.ย. 2568

อัยการสั่งฟ้อง

อัยการสั่งฟ้อง "หมอบุญ" ตามความเห็น DSI สั่งการส่งมอบทรัพย์ที่อายัดไว้ให้ ปปง. คืนผู้เสียหาย

          หุ้นวิชั่น - พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ติดตามความคืบหน้าการพิจารณาของพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ซึ่งได้รับการยืนยันว่า พนักงานอัยการได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว           โดยมีความเห็นสั่งฟ้อง นายแพทย์บุญ กับพวก รวม 16 คน ต่อศาลอาญา ตามความเห็นของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในข้อกล่าวหา ฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และประมวลกฎหมายอาญา โดยนายแพทย์บุญ (สงวนนามสกุล) นางสาวกชพร (สงวนนามสกุล) และนางสาวฐิติพร (สงวนนามสกุล) ซึ่งพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษมีคำสั่ง สั่งฟ้อง แต่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง จึงได้แจ้งให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จัดการให้ได้ตัวมาดำเนินคดีภายในกำหนด อายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิดได้มีความเห็นสั่งฟ้อง           หลังจากนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ดำเนินการให้ได้ตัวนายแพทย์บุญฯ มาดำเนินคดีภายในอายุความ โดยได้ประสานงานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในต่างประเทศผ่านขั้นตอนทางกฎหมาย           นอกจากนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการประสานส่งมอบทรัพย์คดีหมอบุญที่อายัดได้เพิ่มกว่า 1,000 ล้านบาท ให้ ปปง. เฉลี่ยทรัพย์คืนผู้เสียหายเช่นบัญชีกองทุนมูลค่ารวม 303,218,795.66 บาท บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ มูลค่ารวม 17,080,985.00 บาท บัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ มูลค่ารวม 37,607,388.40 บาท การทำประกันชีวิต มูลค่ารวม 398,483 บาท อสังหาริมทรัพย์ได้แก่ โฉนดที่ดิน จำนวน 282 แปลง ห้องชุด จำนวน 182 ห้อง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก., น.ส.3) จำนวน 11 แปลง และรถยนต์ที่ถูกอายัด จำนวน 71 คัน           ส่วนกรณีผู้เสียหายรายใหม่ที่ประสงค์จะร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดี นายแพทย์บุญฯ กับพวก กรมสอบสวนคดีพิเศษจะเปิดให้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมได้ในสัปดาห์หน้าโดยจะแจ้งวันเวลาและสถานที่ให้ทราบต่อไป           ทั้งนี้ การดำเนินการสอบสวนคดีพิเศษให้มีความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม เป็นนโยบายหลักประการสำคัญของ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการสอบสวน คดีพิเศษและให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของสังคมในการป้องกันปราบปราม สืบสวนสอบสวนคดีในความรับผิดชอบเพื่อให้การบริหารองค์การมีความยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลต่อไป

กัลฟ์ จับมือ ทันตะ จุฬาฯ โครงการ GULF Sparks Smiles ปีที่ 5

กัลฟ์ จับมือ ทันตะ จุฬาฯ โครงการ GULF Sparks Smiles ปีที่ 5

          หุ้นวิชั่น - บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ กัลฟ์ ร่วมกับ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินหน้าโครงการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ "GULF Sparks Smiles มอบรอยยิ้มสดใสให้ชุมชน" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยในปีนี้มีกำหนดการออกหน่วยฯ ทั้งหมด 4 ครั้ง สำหรับครั้งแรกของปีนี้ จัดขึ้นในวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่โครงการทันตกรรมปากเกร็ด ศูนย์สุขภาพสงเคราะห์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อบริการทำฟันฟรีให้กับน้องๆ กลุ่มพิเศษจากบ้านนนทภูมิ, บ้านเฟื่องฟ้า, บ้านราชาวดีชาย และบ้านราชาวดีหญิง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพช่องปาก และกิจกรรมพิเศษอีกมากมายที่ช่วยส่งเสริมทักษะและความรู้ให้กับเยาวชน           ศ.ทพ.ดร.พรชัย จันศิษย์ยานนท์ คณบดี คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า “คณะทันตะ จุฬาฯ และกัลฟ์ ร่วมกันดำเนินโครงการ GULF Sparks Smiles มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสในการรักษาสุขภาพช่องปากอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง โดยหน่วยแรกของปีนี้จัดขึ้นพิเศษในวันแห่งความรัก เพื่อให้บริการทำฟันฟรีกับเด็กและเยาวชนในสถานสงเคราะห์บริเวณพื้นที่ อ.ปากเกร็ด ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงการรับบริการด้านทันตกรรมจึงเป็นผู้ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ต้องขอขอบคุณทีมกัลฟ์อาสา ทันตแพทย์อาสา และจิตอาสาประชาชนทั่วไป ที่ร่วมมือกันทำให้กิจกรรมในวันนี้เกิดขึ้นได้ หวังว่ากิจกรรมในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน และสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคน”           “กิจกรรมวันนี้มีอาสาสมัครร่วมมือกันจากหลายภาคส่วน ซึ่งทุกคนได้มาเติมเต็มและมอบความรักให้กันและกันในรูปแบบต่างๆ ผ่านความถนัดของแต่ละคน โดยหมอฟันก็จะส่งความรักผ่านการให้ความรู้เรื่องทันตสุขศึกษา และการให้บริการทางทันตกรรม สำหรับอาสาสมัครคนอื่นๆ ก็จะส่งความรักผ่านการทำกิจกรรมมากมาย อาทิ การทำหมอนช้างที่ช่วยส่งเสริมกล้ามเนื้อมือ การสอนเด็กๆ ปั้นดินน้ำมัน และการทำกิจกรรมเล่นเกมพัฒนาความรู้ให้กับผู้ที่มาร่วมกิจกรรมในวันพิเศษนี้” ทพ.วริศ วัฒนวงศ์วรรณ ทันตแพทย์อาสา กล่าวเสริม           น.ส.เพาพงา ตันบริภัณฑ์ อาสาสมัคร กล่าวว่า “ที่ผ่านมาได้มาร่วมทำกิจกรรมจิตอาสากับโครงการทันตกรรมปากเกร็ดมา 15 ปีแล้ว รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาร่วมทำกิจกรรมจิตอาสา โดยเด็กที่มาส่วนใหญ่ ต้องการความรักความอบอุ่น ซึ่งในวันนี้ทุกคนคงจะได้รับความสุขและรอยยิ้มกลับบ้านไป ไม่ใช่เพียงแค่เด็กๆ แต่รวมถึงจิตอาสาทุกคนด้วย”           น.ส.วริศรา สมบุญ อาสาสมัคร กล่าวว่า “ทราบว่ากัลฟ์เปิดรับอาสาสมัครมาร่วมกิจกรรม GULF Sparks Smiles จึงได้ชวนน้องสาวมาทำกิจกรรมจิตอาสาด้วยกัน ซึ่งวันนี้ได้ร่วมทำหมอนช้างจับมือเพื่อให้น้องๆ ได้ใช้จับหรือบีบระหว่างที่ทำฟัน จะได้รู้สึกผ่อนคลายความกลัวของน้องๆได้ ขอบคุณกัลฟ์และคณะทันตะ จุฬาฯ ที่จัดโครงการดี ๆ แบบนี้"           โครงการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ GULF Sparks Smiles จะให้บริการตรวจรักษาปัญหาสุขภาพช่องปากในเบื้องต้น อาทิ อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน เคลือบฟลูออไรด์ และเอ็กซเรย์ รวมไปถึงทันตกรรมที่ซับซ้อนอย่างการผ่าฟันคุด มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมสุขภาพช่องปากที่ดีให้กับประชาชน และลดปัญหาการเข้าถึงบริการทางทันตกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของกัลฟ์ ในด้านสังคม (Social) ที่มุ่งเน้นการสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน โครงการ GULF Sparks Smiles มอบรอยยิ้มสดใสให้ชุมชน ปี 5 จะเดินทางออกหน่วย อีก 3 ครั้ง สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ GULF Spark: https://www.facebook.com/GULFSPARK.TH/ และ ช่องทาง Tiktok: https://www.tiktok.com/@GULFspark  

TOP ปี67มีกำไรที่9.9พันล. ไฟเขียวปันผลอีก 0.70 บาท

TOP ปี67มีกำไรที่9.9พันล. ไฟเขียวปันผลอีก 0.70 บาท

          หุ้นวิชั่น - TOP โชว์ฟื้นตัวในไตรมาส 4/67 มีกำไรสุทธิ 2,767 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 4,218 ล้านบาท ส่วนทั้งปีทำกำไรสุทธิ 9,959 ล้านบาท ขณะที่โครงการ Clean Fuel Project (CFP) เดินหน้าต่อเนื่อง หลังขยายงบลงทุนเพิ่ม รวมกว่า 18,165 ล้านบาท พร้อมอนุมัติ ปันผล 0.70 บาท/หุ้น XD 27 ก.พ. 68 และกำหนดจ่าย 28 เม.ย. นี้           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลประกอบการ ในไตรมาส 4/2567 กลุ่มไทยออยล์มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้จากการขาย 111,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,944 ล้านบาท จากปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น กลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม ไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 7.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากไตรมาสที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากกำไรขั้นต้นจากการกลั่นที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น           ปัจจัยหลักที่หนุนให้กำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน, น้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด, น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตากับน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะ ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินกับน้ำมันดิบดูไบ ที่เพิ่มขึ้นจากอุปทานในภูมิภาคที่มีแนวโน้มตึงตัวขึ้น เนื่องจากการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของจีนมีแนวโน้มลดลงจากการปรับลดส่วนลดภาษี ขณะที่ ส่วนต่างน้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าดกับน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามการท่องเที่ยวช่วงสิ้นปี รวมถึง ส่วนต่างน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบ ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อผลิตความร้อนในช่วงฤดูหนาว นอกจากนี้ ส่วนต่างน้ำมันเตากำมะถันสูงกับน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น จากอุปทานที่ลดลงจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ OPEC+           ด้าน Crude Premium ในไตรมาสนี้ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากความกังวลต่อความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม กำไรขั้นต้นจากธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลง จาก ส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่ลดลง เนื่องจากความต้องการเสื้อผ้าและสิ่งทอไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ประกอบกับ กำไรจากธุรกิจปลายน้ำ เช่น สาร PTA ยังคงถูกกดดัน ขณะที่ ส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวลดลง จากปริมาณสารเบนซีนคงคลังของจีนที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี และการเปิดดำเนินการของโรงผลิตสารเบนซีนหลังปิดซ่อมบำรุงในไตรมาสก่อนหน้า สำหรับ กำไรขั้นต้นจากกลุ่มธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับทำความสะอาดปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นหลังสิ้นสุดฤดูมรสุม ขณะที่ กำไรขั้นต้นจากธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับเพิ่มสูงขึ้น จากความต้องการใช้ที่ฟื้นตัวหลังผ่านฤดูฝน และอุปทานที่ยังคงตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกลุ่มที่ 1 ในเกาหลีใต้           ด้าน ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยใน Q4/67 เทียบกับ Q3/67 ปรับลดลง ส่งผลให้ใน Q4/67 กลุ่มไทยออยล์มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 2,010 ล้านบาท หรือ 2.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันลดลง 3,370 ล้านบาท ส่งผลให้ กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 5.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจาก Q3/67           เมื่อรวม การกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 2,105 ล้านบาทใน Q4/67 เทียบกับ รายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 2,097 ล้านบาทใน Q3/67 และ ผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ 224 ล้านบาท (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) แล้ว กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA อยู่ที่ 6,472 ล้านบาท เทียบกับ ผลขาดทุน EBITDA 4,268 ล้านบาทในไตรมาสก่อน           นอกจากนี้ ใน Q4/67 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน 6 ล้านบาท ลดลง 56 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้า และมี ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 487 ล้านบาท (โดยเป็นผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิของสินทรัพย์และหนี้สินที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ 233 ล้านบาท) เทียบกับ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 1,645 ล้านบาทใน Q3/67 เมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว ส่งผลให้ ใน Q4/67 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 2,767 ล้านบาท หรือ 1.24 บาทต่อหุ้น เทียบกับ ขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาทใน Q3/67           เมื่อเทียบปี 2567 กับปี 2566 กลุ่มไทยออยล์มีอัตราการใช้กำลังการกลั่นลดลง เนื่องจากมีการหยุดเดินเครื่องนอกแผนของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 3 (Crude Distillation Unit 3: CDU-3) เป็นเวลา 13 วัน ในเดือนมกราคม 2567 และมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 1 (Crude Distillation Unit 1: CDU-1) และหน่วยที่เกี่ยวข้องเป็นเวลา 11 วัน ในเดือนพฤษภาคม 2567 ประกอบกับราคาขายผลิตภัณฑ์หลายรายการที่ปรับลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 455,857 ล้านบาท ลดลง 3,545 ล้านบาท           ด้าน กำไรขั้นต้นจากการกลั่นปรับลดลง จากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน, น้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด และน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบที่ปรับลดลง อันเนื่องมาจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นใหม่ที่เริ่มดำเนินการ ขณะที่ กำไรขั้นต้นจากธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวสูงขึ้น จาก ส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณเบนซีนคงคลังของจีนอยู่ในระดับต่ำในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี อย่างไรก็ตาม กำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดปรับลดลง จากอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง ประกอบกับ อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับลดลง เช่นกัน           ส่งผลให้ กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลง 2.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 7.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2567 เทียบกับปี 2566 ปรับลดลง จากความกังวลต่อ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้ กลุ่มไทยออยล์รับรู้ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 5,913 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 5,105 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า           ขณะที่มี รายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 80 ล้านบาท ลดลง 45 ล้านบาท จากปี 2566 เมื่อรวมกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ 626 ล้านบาท (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) ส่งผลให้ กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA 22,026 ล้านบาท ลดลง 13,427 ล้านบาท นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์มีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงิน 265 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 52 ล้านบาท และมีกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ 1,134 ล้านบาทเมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว ส่งผลให้ ปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 9,959 ล้านบาท ลดลง 9,484 ล้านบาท เทียบกับปี 2566           บริษัทฯและบริษัทในกลุ่มมีแผนการลงทุนโครงการในอนาคตที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2570 รวมจำนวนทั้งสิ้น 438 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยประกอบด้วยโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) 69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์ของบริษัทฯ ผ่านการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk ประมาณ 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงโครงการอื่นของบริษัทฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ตามรายละเอียดประมาณการรายจ่ายสำหรับแผนการลงทุนปี 2568 – 2570 สรุปแผนการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP)           โครงการ CFP มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทฯ โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต เพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และขยายกำลังการกลั่นน้ำมัน เพื่อให้สามารถ กลั่นน้ำมันดิบได้มากขึ้นและหลากหลายชนิดขึ้น ซึ่งช่วยให้เกิด การประหยัดด้านขนาด (Economies of Scale) ลดต้นทุนวัตถุดิบ และเสริมสร้าง ความมั่นคงด้านพลังงาน รวมถึง สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว           บริษัทฯ ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 ให้เข้าลงทุนในโครงการ CFP โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 4,825 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 160,279 ล้านบาท และ ดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,016 ล้านบาท บริษัทฯ ได้ลงนามใน สัญญาออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (Engineering, Procurement and Construction - EPC) กับผู้รับเหมาหลัก ได้แก่ • PSS Netherlands B.V. สำหรับงานออกแบบวิศวกรรมและการจัดหาวัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรในต่างประเทศ • กิจการร่วมค้า (Unincorporated Joint Venture) ของ o Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. o Petrofac South East Asia Pte. Ltd. o Saipem Singapore Pte. Ltd. สำหรับงานก่อสร้างและการจัดหาวัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรในประเทศไทยผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19           สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อโครงการ CFP ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ทั้งในขั้นตอนการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาอุปกรณ์ และการก่อสร้าง ซึ่งต้องดำเนินการภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงาน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบดังกล่าว ทำให้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการเพิ่มขึ้น และต้อง ขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปจากที่คาดการณ์ไว้เดิม ที่ประชุม คณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 9/2564 ได้พิจารณาอนุมัติ • การขยายกรอบวงเงินดอกเบี้ยระหว่างก่อสร้างของโครงการ CFP จาก 151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,016 ล้านบาท • เพิ่มขึ้นอีก 422 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 14,278 ล้านบาท ต่อมา ในการประชุม คณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2565 ได้พิจารณาอนุมัติ • งบประมาณเพิ่มเติมในการดำเนินโครงการ CFP • เพิ่มงบประมาณของโครงการอีกประมาณ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 18,165 ล้านบาท • ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการไปอีก 24 เดือน ตามเงื่อนไขในสัญญา EPC การปรับปรุงแผนงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้โครงการ CFP สามารถดำเนินต่อไปจนแล้วเสร็จ และ เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีการอนุมัติ TOP ปันผล 0.70 บาท ขึ้น XD 27 กุมภาพันธ์ 2568 กำหนดการจ่ายเงิน 28 เมายน 2568

SIS กำไรสุทธิปี 67 โต 8.1% เน้นขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม

SIS กำไรสุทธิปี 67 โต 8.1% เน้นขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (SIS) รายงานผลการดำเนินงานปี 2567 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้รวมปี 2567 เท่ากับ 28,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,123 ล้าน บาทหรือ 4.1% ประกอบด้วย รายได้จากส่วนงานขายและบริการ 28,795 ล้านบาท และรายได้อื่นจำนวน 38 ล้านบาท สรุปโดยภาพรวม ปี 2567 มีดังนี้ - สินค้าเชิงพาณิชย์ยอดขายลดลง 1,143 ล้านบาท หรือ 14.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจาก ความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณของภาครัฐ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายในครึ่งปีแรกที่ลดลงถึง 1,554 ล้านบาท แม้ว่ายอดขายในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นหลังการอนุมัติงบประมาณ แต่ยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่เข้ามาสนับสนุนให้ ยอดขายกลับมาสู่ระดับเดิมเหมือนปีก่อน - สินค้าสำหรับผู้บริโภค ยอดขายเพิ่มขึ้น 235 ล้านบาท หรือ 2.8% ถึงแม้ว่ายอดขายโดยรวมจะดีขึ้น แต่ ยอดขายยังคงผันผวนตามภาวะตลาดและปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อ การใช้จ่ายของผู้บริโภค การฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น โครงการกระตุ้น เศรษฐกิจ 10,000 บาท และบางส่วนมาจากการขายให้กับภาครัฐ - สินค้ามูลค่าเพิ่ม ยอดขายเพิ่มขึ้น 568 ล้าน หรือ 12.1% โดยสินค้ามูลค่าเพิ่มส่วนใหญ่เป็นสินค้าโซลูชั่น ชั้นสูง เช่น ระบบไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่ตลาดยังเติบโตอยู่ - สินค้าโทรศัพท์ ยอดขายเพิ่มขึ้น 874 ล้าน หรือ 20.8% เนื่องจากในปี 2567 มีโทรศัพท์รุ่นใหม่ในราคาประหยัดออกสู่ตลาดหลายรุ่น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของยอดขายนี้ส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่อทดแทนรุ่นเดิมที่ใช้อยู่ - สินค้าจากส่วนงานอื่น ยอดขายเพิ่มขึ้น 614 ล้าน หรือ 25.7% มาจากสินค้าประเภท Surveillance, บริการ Cloud, Energy เป็นหลัก ซึ่งสินค้าเหล่านี้ เป็นสินค้ากลุ่มใหม่ที่ผู้ใช้ยังคงมีความต้องการสูง ส่งผลให้รายได้เติบโต อย่างต่อเนื่อง           นอกจากการแบ่งสินค้าตามส่วนงานข้างต้นแล้ว บริษัทฯ ยังได้แบ่งประเภทสินค้าที่จำหน่ายออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ตามลักษณะสินค้าที่ต้องการการจัดการที่แตกต่างกัน ดังนี้ 1. สินค้า Volume คือ กลุ่มสินค้าที่มียอดขายจำนวนมาก แต่กำไรต่ำ โดยเป็นสินค้าที่ได้รับการพัฒนาจน สมบูรณ์ ใช้งานง่าย ตลาดอิ่มตัว อัตราการเติบโตน้อย กำไรต่ำ และมีการแข่งขันสูง สินค้ากลุ่มนี้มาจาก 3 ส่วนงานหลัก คือ สินค้าเชิงพาณิชย์ สินค้าสำหรับผู้บริโภค และสินค้าโทรศัพท์ กลยุทธ์หลักของสินค้าในกลุ่มนี้ คือ จะเน้นการขยายการจำหน่ายให้ครอบคลุม เพิ่มประสิทธิภาพในการ ดำเนินงาน และลดค่าใช้จ่าย เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน 2. สินค้า Value คือ กลุ่มสินค้าที่มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นสูง แต่ยอดขายน้อย โดยเป็นสินค้าเทคโนโลยีใหม่ที่อยู่ ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ซึ่งอาจยังไม่มีมาตรฐานในการขายและใช้งานได้ยาก มักต้องมีบริการควบคู่ไป ด้วย สินค้ากลุ่มนี้มาจากส่วนงานสินค้ามูลค่าเพิ่ม และสินค้าจากส่วนงานอื่น ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้จะเป็นสินค้าที่ อยู่ในช่วงเติบโต แม้ว่าตลาดจะมีขนาดเล็กกว่า แต่มีศักยภาพในการสร้างกำไรได้ดีกว่า โดยในระยะยาว เมื่อ พัฒนาจนสมบูรณ์แล้ว สินค้าเหล่านี้ก็สามารถปรับไปจัดการแบบสินค้า Volume ได้           ในปี 2567 หากพิจารณาแยกตามประเภทสินค้าที่เป็น Volume กับ Value พบว่า แม้ยอดขายสินค้าประเภท Volume จะยังสูงกว่า แต่สินค้าประเภท Value กลับทำกำไรได้มากกว่า ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการ ดำเนินธุรกิจ           บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิรวมจากการดำเนินงานในปี 2567 เท่ากับ 697 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 52 ล้านบาท หรือ 8.1% โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้ 2.1 กำไรขั้นต้น: กำไรขั้นต้นสำหรับปี 2567 เท่ากับ 2,178 ล้านบาท คิดเป็น 7.6% ของยอดขาย ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน อันเป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นขยายและเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าในส่วนงานที่เป็น Value เช่น สินค้ามูลค่าเพิ่ม, สินค้ากลุ่ม Surveillance, บริการ Cloud และกลุ่ม Energy ซึ่งสินค้าเหล่านี้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าสินค้าในส่วนงานที่เป็น Volume เช่น สินค้าพาณิชย์, สินค้าสำหรับผู้บริโภค และสินค้าโทรศัพท์ 2.2 ค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่าย: ค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายสำหรับปี 2567 มีจำนวน 842 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 132 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายพนักงานจำนวน 74 ล้านบาท เนื่องจากการขยายกำลังคนเพื่อรองรับธุรกิจกลุ่มใหม่ รวมทั้งบริษัทฯ ได้เริ่มต้นโครงการร่วมลงทุนระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง (EJIP) ในปี 2567 นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายทางการตลาดจำนวน 54 ล้านบาท เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว 2.3 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร: ค่าใช้จ่ายในการบริหารสำหรับปี 2567 มีจำนวน 442 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 64 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มค่าใช้จ่ายพนักงานจำนวน 31 ล้านบาท 2.4 ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน: ปี 2567 บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 16 ล้านบาท เนื่องจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ปีก่อน บริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 35 ล้านบาท 2.5 กลับรายการขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงิน: ปี 2567 บริษัทฯ มีการกลับรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงินจำนวน 12 ล้านบาท เนื่องจากได้รับชำระหนี้จากลูกค้า ขณะที่ปีก่อนมีขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงินจำนวน 29 ล้านบาท 2.6 ต้นทุนทางการเงิน: ต้นทุนทางการเงินสำหรับปี 2567 มีจำนวน 81 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนจำนวน 15 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง และบริษัทฯ มีการลดการถือครองสินค้าคงเหลือ ส่งผลให้สภาพคล่องดีขึ้น ทำให้การกู้ยืมเงินลดลง *ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือการเติบโตในอนาคต           ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการดำเนินงานหรือการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต มีหลายด้าน ได้แก่ - ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ เช่น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจของคู่ค้า และการปรับตัวต่อเทคโนโลยีใหม่ - ความเสี่ยงจากการดำเนินงาน เช่น การบริหารสินค้าคงคลังที่มีความล้าสมัยง่าย และการแข่งขันที่รุนแรงใน ตลาด - ความเสี่ยงด้านการเงิน เช่น ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และความสามารถของลูกค้าในการชำระหนี้ - ความเสี่ยงด้านความยั่งยืน เช่น ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลง อย่างต่อเนื่อง           เพื่อรับมือกับปัจจัยเหล่านี้ บริษัทฯ ได้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุม เช่น การสร้างความสัมพันธ์ เชิงกลยุทธ์กับคู่ค้า การปรับกลยุทธ์สินค้าและการให้บริการที่แตกต่าง การติดตามแนวโน้มตลาด และการปรับตัวให้ สอดคล้องกับกฎระเบียบสากล นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงติดตามและเฝ้าระวังความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน

WINNER ยกเลิก “AT-ZE” ยันไม่ผลกระทบธุรกิจ

WINNER ยกเลิก “AT-ZE” ยันไม่ผลกระทบธุรกิจ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน WINNER ปรับโครงสร้างธุรกิจ รับโอน “AT-ZE” ทั้งหมด และยกเลิกบริษัทดังกล่าว ยันไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท           นางสาวกนกพรรณ เกรียงไกรกฤษฎา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ WINNER แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ตามที่ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ของบริษัท วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”)           เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ได้มีมติอนุมัติการรับโอนกิจการทั้งหมดจาก บริษัท เอสเธติค ซีเครท (แอท-ซี) จำกัด (“AT-ZE”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิวเครื่องสำอาง อาหารเสริม สมุนไพร และผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างภายในกลุ่มบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมเดียวกันให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวมากขึ้น           รวมถึงช่วยลดกิจกรรมการทำงานที่ซ้ำซ้อน ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานนั้นบริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการรับโอนกิจการทั้งหมดจาก AT-ZE แล้วเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในวันเดียวกัน AT-ZE ได้ดำเนินการจดทะเบียนเลิกบริษัทต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์และจะดำเนินการชำระบัญชีตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดต่อไป ทั้งนี้ การเลิกบริษัทย่อยดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ แต่อย่างใด

SIS กำไรปี 67 โต 8.1% แตะ 697 ลบ. รับดีมานด์สินค้าเทคฯ-โซลูชันใหม่

SIS กำไรปี 67 โต 8.1% แตะ 697 ลบ. รับดีมานด์สินค้าเทคฯ-โซลูชันใหม่

          หุ้นวิชั่น - SIS มีกำไรสุทธิรวมจากการดำเนินงานในปี 2567 เท่ากับ 697 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 52 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8.1 มีรายได้รวมประจำปี 2567 เท่ากับ 28,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,123 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4.1 ประกอบด้วย รายได้จากส่วนงานขายและบริการ 28,795 ล้านบาท และ รายได้อื่นจำนวน 38 ล้านบาท สรุปโดยภาพรวม ปี 2567 มีดังนี้ • สินค้าเชิงพาณิชย์ ยอดขายลดลง 1,143 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 14.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจาก ความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณของภาครัฐ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายในครึ่งปีแรกที่ลดลงถึง 1,554 ล้านบาท แม้ว่ายอดขายในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นหลังการอนุมัติงบประมาณ แต่ยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่เข้ามาสนับสนุนให้ยอดขายกลับมาสู่ระดับเดิมเหมือนปีก่อน • สินค้าสำหรับผู้บริโภค ยอดขายเพิ่มขึ้น 235 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2.8 ถึงแม้ว่ายอดขายโดยรวมจะดีขึ้น แต่ยอดขายยังคงผันผวนตามภาวะตลาดและปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค การฟื้นตัวในครึ่งปีหลังมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท และบางส่วนมาจากการขายให้กับภาครัฐ • สินค้ามูลค่าเพิ่ม ยอดขายเพิ่มขึ้น 568 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 12.1 โดยสินค้ามูลค่าเพิ่มส่วนใหญ่เป็น สินค้าโซลูชันขั้นสูง เช่น ระบบไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ที่ตลาดยังเติบโตอยู่ • สินค้าโทรศัพท์ ยอดขายเพิ่มขึ้น 874 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 20.8 เนื่องจากในปี 2567 มีโทรศัพท์รุ่นใหม่ในราคาประหยัดออกสู่ตลาดหลายรุ่น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของยอดขายนี้ส่วนใหญ่เป็น การซื้อเพื่อทดแทนรุ่นเดิมที่ใช้อยู่ • สินค้าจากส่วนงานอื่น ยอดขายเพิ่มขึ้น 614 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 25.7 มาจากสินค้าประเภท Surveillance, บริการ Cloud, Energy เป็นหลัก ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็น สินค้ากลุ่มใหม่ที่ผู้ใช้ยังคงมีความต้องการสูง ส่งผลให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

TPIPL กำไรสุทธิปี 67 ลดลง 43.66% เหลือ 1.4 พันลบ.

TPIPL กำไรสุทธิปี 67 ลดลง 43.66% เหลือ 1.4 พันลบ.

         หุ้นวิชั่น - บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) รายงานผลประกอบการ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายจำนวน 35,770 ล้านบาท ลดลง 16.44% จากจำนวน 42,807 ล้านบาทในปี 2566 โดยในปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมจำนวน 37,862 ล้านบาท ลดลง 15.79% จากจำนวน 44,963 ล้านบาท ในปี 2566 บริษัทฯ บันทึกกำไรสุทธิ จำนวน 2,425 ล้านบาท (โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 1,442 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 0.076 บาท) ลดลงจำนวน 1,880 ล้านบาท หรือลดลง 43.66% จากกำไรจำนวน 4,305 ล้านบาท (โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 3,218 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 0.170 บาท) ทั้งนี้ กำไรในปี 2567 จำนวน 2,425 ล้านบาท ประกอบด้วยกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 2,822 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิจำนวน 88 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 485 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรในปี 2566 จำนวน 4,305 ล้านบาท ประกอบด้วยกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 4,509 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิจำนวน 88 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 292 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีมูลค่ารวมสินทรัพย์จำนวน 159,687 ล้านบาท และรวมส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 64,824 ล้านบาท โดยมีมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นเท่ากับ 3.42 บาท ผลการดำเนินงานด้าน ESG ในปี 2567 บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้การพัฒนาที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยมีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่สำคัญในปี 2567 ดังนี้ ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental): บริษัทฯ นำเชื้อเพลิงขยะจำนวน 233,728.42 ตัน มาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านหินในกระบวนการผลิตปูนซิเมนต์ หรือประมาณ 12% ของปริมาณความร้อนที่ต้องการ บริษัทฯ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงปูนซิเมนต์ลงจำนวน 1,580,430.38 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือลดลงร้อยละ 18.46 จากเดิมจำนวน 8,559,903.20 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2566 เป็นจำนวน 6,979,472.82 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2567 บริษัทฯ สามารถลดการใช้พลังงานลงจำนวน 6,812,561.90 จิกะจูล หรือลดลงร้อยละ 20.27 จากเดิมจำนวน 33,609,161.81 จิกะจูล ในปี 2566 เป็นจำนวน 26,796,599.91 จิกะจูล ในปี 2567 บริษัทฯ ลงทุนในด้าน Green Mining / Green Quarry โดยการเปลี่ยนรถเจาะ รถตัก รถดัมพ์ และรถขุดในเหมืองที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมาเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด (จำนวน 71 คัน) และด้าน Green Packing Line / Warehouse ใช้รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า 100% (จำนวน 65 คัน) ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งพร้อมกับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการเกิดฝุ่น PM 2.5 บริษัทฯ นำน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิตกลับมากรองใช้ใหม่ รวม 1,110,051 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 46.82% ของปริมาณการใช้น้ำรวม 2,371,070 ลูกบาศก์เมตร บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายให้สามารถใช้ประโยชน์จากกากอุตสาหกรรมได้ 95% ของปริมาณกากอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นรวม ซึ่งในปี 2567 บริษัทฯ ได้นำกากอุตสาหกรรมที่เกิดจากกระบวนการผลิตมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นเชื้อเพลิงทดแทน วัสดุทดแทน และนำไปรีไซเคิลรวมจำนวน 2,876.46 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.70 ของปริมาณกากอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นรวม ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งไว้ กลุ่มทีพีไอ โพลีน ได้สนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567 โดยร่วมกับหน่วยงานและชุมชนในจังหวัดสระบุรีในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น กิจกรรมวันอนุรักษ์ลำน้ำมวกเหล็ก ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย ร่วมกับ อ.มวกเหล็ก การปลูกต้นไม้ฟื้นฟูป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียวร่วมกับสถานีวิจัยทับกวาง คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และการปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบในหลายพื้นที่ รวมถึงบริเวณป่าชุมชน ป่าสงวนแห่งชาติ และสถานศึกษา โดยปลูกต้นไม้จำนวนรวมมากกว่า 10,667 ต้น ครอบคลุมพื้นที่ปลูกป่ารวม 150 ไร่ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่สีเขียว ลดก๊าซเรือนกระจก ลดมลพิษทางอากาศ ป้องกันการพังทลายของดิน และช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ในช่วงปลายปี 2567 ทีพีไอ โพลีน ได้ลงนามสัญญากับกรมโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อดำเนินการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอส (Aluminum Dross) ปริมาณ 7,000 ตัน ซึ่งเป็นตะกรันที่เกิดจากกระบวนการผลิตอะลูมิเนียม โดยบริษัทภายนอก โดยมีสารบางชนิดระเหยออกมาเป็นไอกรดในระหว่างการผลิตและถูกลักลอบทิ้งฝังกลบ ส่งผลให้ชาวบ้านในพื้นที่เผชิญกับผลกระทบจากพิษของกากอุตสาหกรรมที่ปนเปื้อนทั้งในดิน น้ำ และอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฝนตก ซึ่งกากอุตสาหกรรมจะระเหยกลิ่นและสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนบ้านหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดย ทีพีไอ โพลีน ได้ช่วยขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสจากพื้นที่ดังกล่าวไปกำจัดที่โรงงานปูนซีเมนต์ของบริษัทฯ ณ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี อย่างถูกต้องตามกฎหมายและมาตรฐานสากล โดยไม่คิดค่ากำจัดใดๆ ทั้งสิ้น อนึ่ง ทีพีไอ โพลีน ได้รับใบอนุญาตประเภทโรงงาน 101 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างยั่งยืนในฐานะองค์กรที่มีจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะมีบทบาทในการแก้ปัญหาของเสียที่เกิดจากอุตสาหกรรมโดยไม่มุ่งหวังผลกำไร

AUCT ธุรกิจประมูลรถสดใส ปี67กำไร 371.29 ล้านบาท หรือโต 6.7%

AUCT ธุรกิจประมูลรถสดใส ปี67กำไร 371.29 ล้านบาท หรือโต 6.7%

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน AUCT ปี 67 มีกำไร 371.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 66 จำนวน 23.36 ล้านบาท หรือเติบโต 6.7% ส่วนรายได้รวมทำได้ 1,290.25 ล้านบาท ชี้นโยบายรัฐหนุนความเชื่อมั่นผู้บริโภค บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2567 จำนวน 75.13 ล้านบาท ลดลง 18.03 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 17.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สำหรับปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 371.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.36 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามปริมาณรถจบประมูลที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการในไตรมาส 4/2567 เท่ากับ 317.55 ล้านบาท ลดลง 11.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการประมูลเท่ากับ 270.90 ล้านบาท ลดลง 9.85 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 7.46 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนรายได้ค่าขนย้ายและบริการเสริมในไตรมาส 4/2567 เท่ากับ 46.65 ล้านบาท ลดลง 1.95 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 0.16 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากจำนวนรถที่เข้าสู่ลานประมูลและรถที่จบประมูลเริ่มชะลอตัวลงในช่วงปลายของไตรมาส 4/2567 สำหรับปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 1,290.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.96 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายได้จากการประมูลเท่ากับ 1,094.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.70 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.8 เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีรายได้ค่าขนย้ายและบริการเสริมเท่ากับ 195.32 ล้านบาท ลดลง 1.74 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.9 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถเข้าสู่ประมูลและรถจบประมูลในภาพรวมทั้งปี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมา ทั้งการแจกเงินหมื่นให้ผู้สูงอายุ การช่วยเหลือชาวนาไร่ละหนึ่งพันบาท, Easy E-Receipt และมาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ตลอดจนการคงนโยบายอัตราดอกเบี้ยและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น ปัจจัยบวกต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคม 2567 ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะช่วยผ่อนคลายให้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นในอนาคตได้ แต่ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ยังมีความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง และเศรษฐกิจไทยที่แม้จะปรับตัวดีขึ้นแต่ยังฟื้นตัวช้า ด้านการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินยังคงมีความเข้มงวด สอดคล้องกับทิศทางการชะลอตัวของยอดจัดสินเชื่อรถยนต์ใหม่ เห็นได้จากยอดขายรถยนต์ใหม่ปี 2567 ที่ลดลงร้อยละ 26.2 เมื่อเทียบกับปี 2566 ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกันยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แสดงถึงความต้องการใช้เงินสดหมุนเวียนเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือเพื่อเป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ยังมีปริมาณรถไหลเข้าสู่ธุรกิจประมูลอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ยังมีแผนการเพิ่มคู่ค้าทางธุรกิจทั้งที่เป็นสถาบันการเงินและที่ไม่ใช่สถาบันการเงินอย่างสม่าเสมอ และมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท วันที่ 14 ก.พ.68 มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้น จากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ก.ค. 2567 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2567 โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 16 เม.ย. 2568 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 11 เม.ย. 2568 ในอัตรา 0.32 บาทต่อหุ้น และจะจ่ายปันผล วันที่ 2 พ.ค. 2568

ดร.คงกระพัน ซีอีโอ ปตท. ร่วมเวทีผู้นำยุคใหม่ ในงาน FTI EXPO 2025

ดร.คงกระพัน ซีอีโอ ปตท. ร่วมเวทีผู้นำยุคใหม่ ในงาน FTI EXPO 2025

         หุ้นวิชั่น - ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ร่วมเสวนากับผู้นำองค์กรชั้นนำระดับประเทศ ในหัวข้อ “รวมพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย สู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ในงาน FTI EXPO 2025 รวมทั้ง กลุ่ม ปตท. ได้จัดแสดงนิทรรศการนำเสนอวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนองค์กรบนพื้นฐานของความสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ ESG ควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero          ภายในงานเสวนา ดร.คงกระพัน ได้แสดงวิสัยทัศน์การบริหารธุรกิจด้วยหลักความยั่งยืน โดยกลุ่ม ปตท. ได้บูรณาการความยั่งยืนเข้าสู่ธุรกิจ สร้างสมดุลระหว่างผลลัพธ์ทางธุรกิจ และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน โดยได้นำเสนอทิศทางกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน (PTT Sustainability Strategic Direction) ครอบคลุม ESG ดูแลผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึงและสมดุล ตลอดจนขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของกลุ่ม ปตท. ผ่านแนวทาง C3 ได้แก่ Climate-resilience business ปรับ Portfolio ธุรกิจให้เติบโต ควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอน Carbon-conscious asset ปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด Coalition, co-creation and collective efforts for all ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก ใช้เทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติผ่านการปลูกป่า          โดย ปตท. ได้ผลักดันธุรกิจใหม่ด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) และธุรกิจไฮโดรเจน โดยเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการกักเก็บคาร์บอนจากกระบวนการผลิต อีกทั้งยังมีการลงทุนในธุรกิจไฮโดรเจนต่างประเทศ รองรับการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มเติม และมีเป้าหมายนำไฮโดรเจนเข้ามาผสมกับเชื้อเพลิงหลักเพื่อลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในอนาคต          ในปีนี้กลุ่ม ปตท. ร่วมจัดแสดงนิทรรศการภายใต้วิสัยทัศน์ “Together for Sustainable Thailand, Sustainable World ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” โดยไฮไลต์นิทรรศการของกลุ่ม ปตท. ประกอบด้วย • บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับการวางรากฐานในการขับเคลื่อนองค์กร ด้วยการสร้างสมดุล ESG ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ด้วยการบูรณาการทั้งกลุ่ม ปตท. ร่วมกัน โดยมีกุญแจสำคัญ นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรม • บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) มุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ด้วยการลงทุนในโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) พร้อมขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน เช่น ไฮโดรเจนและพลังงานชีวภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม • บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นำเสนอนวัตกรรมพลาสติกยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ต่อยอดแนวคิด Circular Economy ผ่านผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น Bioplastics วัสดุรีไซเคิล และผลิตภัณฑ์ GC YOU เทิร์น (End-to-End Waste Management) รวมถึงพัฒนา SAF (Sustainable Aviation Fuel) เพื่อต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านการกลั่นและเคมีภัณฑ์ชั้นสูง มาสู่นวัตกรรมพลังงานสะอาดสำหรับอุตสาหกรรมการบิน • บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ปรับกลยุทธ์ขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยกลยุทธ์ 3Cs (Cut Down Emission, Compensate Residual Emission, Control Future Emission) พร้อมพัฒนาโครงการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen Production) พลังงานสะอาดแห่งอนาคตที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม • บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) พัฒนานวัตกรรมพลาสติกเพื่อความยั่งยืน เช่น Dura-Pro วัสดุแข็งแรงทนทาน Life-Pro วัสดุที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ Eco-Pro วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมุ่งพัฒนา Reinofex วัสดุสะท้อนความร้อน Ultraome วัสดุรองรับ 3D Printing และ KleanteQ วัสดุขั้นสูงสำหรับ RFID และ Temperature Sensor • บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) เร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาดเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยนำโซลูชันล้ำสมัย เช่น Hydrogen Technology, Carbon Capture and Storage (CCS) และ Small Modular Reactor (SMR) มาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในภาคพลังงานและอุตสาหกรรม • บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ขับเคลื่อนโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ นำเสนอแผนงานด้านความยั่งยืนผ่านโครงการต่างๆ เช่น PTT Station / EV Station PluZ ที่สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน EV โครงการ "แยก แลก ยิ้ม" ส่งเสริมการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการ Café Amazon Circular Economy ที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืนผ่านโครงการ Café Amazon for Chance          กลุ่ม ปตท. มุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน พร้อมสร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และขอเชิญชวนร่วมงาน FTI EXPO 2025 ตั้งแต่วันนี้ - 15 กุมภาพันธ์ 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 19.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ชั้น LG ฮอลล์ 5-8

COCOCO ดิ่ง 15.66% รับกำไร Q4/67 หด 49.8%

COCOCO ดิ่ง 15.66% รับกำไร Q4/67 หด 49.8%

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์ เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ ประเมินกำไรสุทธิ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) (COCOCO) งวด 4Q67 ที่ 95 ล้านบาท ลดลง 49.8% yoy และ 44.9% qoq โดยหากไม่รวม FX gain คาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ 85 ล้านบาท ลดลง 53.9% yoy และ 63.6% qoq ตามฐานรายได้ที่ลดลงตาม seasonal บวกกับ ฐาน 4Q66 ที่สูงกว่าปกติ ประกอบกับ ต้นทุนผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น  

"กกพ. ดันไฟฟ้าสะอาด – เปิดเสรีก๊าซ เดินหน้าสร้างเศรษฐกิจพลังงานไทย

          หุ้นวิชั่น - ดร.พูลพัฒน์ แถลงแผนปฏิบัติการงานกำกับกิจการพลังงาน ปี 68 ดัน “ไฟฟ้าสะอาด” เต็มรูปแบบเสร็จก่อนสิ้นปี เดินหน้าเปิดเสรีก๊าซระยะ 2 ต่อเนื่อง ย้ำชัด ทุกอย่างต้องไม่กระทบค่าไฟประชาชน ชี้ ยุคเปลี่ยนผ่านพลังงานกำกับฯ ยาก แต่มั่นใจพาพลังงานไทยผ่านฉลุย ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. อยู่ระหว่างการพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการกำกับกิจการพลังงานของประเทศ โดยมีเป้าหมายในการรักษาสมดุลในภาคพลังงาน คู่ขนานกับการเพิ่มการแข่งขันในกิจการไฟฟ้าและกิจการก๊าซธรรมชาติ รองรับการเปิดเสรีในอนาคต เพื่อให้เปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่นและยั่งยืนในระยะยาว โดยในปี 2568 จะมุ่งดำเนินการ ใน 4 ประเด็นหลักประกอบด้วย การผลักดันการสร้างตลาดกลาง (Market Place) เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสีเขียว สนับสนุนการซื้อขายพลังงานสีเขียว ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณความต้องการพลังงานสีเขียวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตามทิศทางพลังงานสากล การเตรียมความพร้อมด้านกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการกำกับดูแลและสร้างความคล่องตัวในกระบวนการรับรองไฟฟ้าสีเขียว การสร้างความร่วมมือและการแข่งขันที่เป็นธรรม เพื่อให้พลังงานความมั่นคงและเอื้อต่อการขยายตัวด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของประเทศ เชื่อมโยงกับสากลได้ การเป็นกลไกกำกับกิจการพลังงานที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีด้านพลังงาน ได้อย่างรวดเร็ว รองรับได้ทั้งรูปแบบพลังงานใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงรองรับปริมาณความต้องการพลังงาน ในอนาคตของผู้ใช้พลังงาน “เป็นที่ทราบกันดีว่า เราอยู่ในเทรนด์ของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจากพลังงานดั้งเดิมไปสู่พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดเปลี่ยนเร็วมาก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสุดท้ายคือให้พลังงานสะอาดเข้ามาทดแทนพลังงานดั้งเดิมได้ทั้งหมด และต้องตอบโจทย์ของการทำให้เกิดความมั่นคงและความมีเสถียรภาพให้ได้ ผมมองว่าวันนี้เทคโนโลยีไปถึงเป้าหมายแล้ว แต่ราคายังไม่สามารถ ไปถึงเป้าหมาย เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนบางอย่างเช่น แสงแดดและลม ถูกลงเรื่อยๆ แต่บางชนิดก็ยังแพงเช่น ไฮโดรเจนสีเขียว หรือเรียกสั้นๆ ว่า กรีนไฮโดรเจน (Green Hydrogen) และเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน ก็ยังแพงอยู่มากสำหรับประเทศไทย” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว ดร.พูลพัฒน์ กล่าวว่า “การกำกับกิจการพลังงานของไทยอยู่ภายใต้หลายๆ ปัจจัยหลักหลายๆ อย่าง ที่ยังมีความย้อนแย้งกันเองอยู่ การที่ไทยที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ขนาดเศรษฐกิจและรายได้ประชากรยังไม่ได้สูงเท่ากับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ระดับราคาพลังงานโดยเฉพาะไฟฟ้าที่เป็นพลังงานพื้นฐานต้องอยู่ ในอัตราที่เหมาะสมประชาชนผู้ใช้พลังงานส่วนใหญ่ของประเทศและรับได้ เป็นข้อจำกัดที่ยังไม่สามารถนำเอาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน หรือระบบกักเก็บพลังงานใหม่ๆ เข้ามาสู่ระบบได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่สามารถผลักภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นให้กับประชาชนได้ทั้งหมดในทันที”   ในขณะที่อีกด้านหนึ่งประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาระดับเดียวกันกับเราหลายประเทศ ต่างเผชิญกับกระแสของการกดดันและกีดกันการใช้พลังงานฟอสซิลจากกลุ่มประเทศผู้นำเศรษฐกิจของโลก ที่มีความจำเป็นต้องเอาตัวรอดจากมาตรการกีดกันทางการค้าด้วยภาษี อย่างเช่น มาตรการการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนข้ามแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) และคาดว่าจะมีมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีใหม่ๆ ทยอยประกาศใช้ตามมาอย่างเข้มข้นมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากความตกลงของประเทศมหาอำนาจที่ไม่เป็นไปในทิศเดียวกัน นอกจากนี้ความจำเป็นที่ต้องพัฒนาและมีแหล่งพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่องในระดับราคาและเงื่อนไขที่ดีกว่าประเทศคู่แข่งขัน เพื่อเป็นการจูงใจสนับสนุนให้เกิดการขยายการลงทุนให้กับธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่เพื่อสร้างโอกาสให้กับภาคเศรษฐกิจของประเทศในอีกด้านหนึ่งด้วย ดร.พูลพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากเหตุผลและปัจจัยข้างต้น สำนักงาน กกพ. วางกรอบแนวทางการดำเนินงานในระยะต่อไปภายใต้หลักการ แยกโครงสร้างต้นทุนส่วนที่เพิ่มขึ้นออกมา กำกับวิธีการคำนวณ รูปแบบการเรียกเก็บค่าบริการ ภายใต้เพดานที่เหมาะสม อย่างโปร่งใส เป็นธรรม สำนักงาน กกพ. กำหนดเงื่อนไขดังนี้ (1) แนวทางการจัดหาไฟฟ้าหรือพลังงานสะอาดจะต้อง ไม่กระทบต่อค่าไฟเฉลี่ยโดยรวมที่เรียกเก็บกับประชาชนผู้ใช้พลังงานตามปกติ (2) สำหรับค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มเติมต้องเป็นภาระของผู้ที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสะอาดเป็นหลัก (3) กำกับดูแลผู้ประกอบการรับอนุญาตตั้งแต่ต้นทาง เริ่มตั้งแต่วิธีคิดคำนวณต้นทุนมีเพดานที่เหมาะสม แยกแยะประเภทค่าบริการ และวิธีการเรียกเก็บอัตราค่าบริการส่วนเพิ่มให้เหมาะสม (4) ดูแลการแข่งขันให้เกิดความเหมาะสมเพื่อผู้ใช้พลังงานได้ประโยชน์สูงสุดจากการแข่งขัน และ (5) อัตราค่าบริการต้องหนุนเสริมภาคเศรษฐกิจการค้า การลงทุน ของประเทศเป็นสำคัญ  สำหรับแผนงานในปี 2568 ภายใต้กรอบ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ การเริ่มให้บริการ-ไฟฟ้าสีเขียวแบบผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เจาะจงแหล่งที่มา (Utility Green Tariff1: UGT1) ในเดือนเมษายน 2568 ซึ่ง กฟผ. กฟน. และ กฟภ. จัดเตรียม UGT1 ไว้รองรับความต้องการเป็นปริมาณรวมประมาณ 2,000 ล้านหน่วยต่อปี สำหรับการเปิดให้บริการไฟฟ้าสีเขียวแบบผู้ใช้ไฟฟ้าเจาะจงแหล่งที่มา (Utility Green Tariff2: UGT2) ที่รองรับความต้องการเป็นปริมาณรวมประมาณ 8,000 ล้านหน่วยต่อปี จะเริ่มเปิดให้ผู้ใช้ไฟฟ้าลงทะเบียนสมัครใช้บริการภายในเดือนมิถุนายน 2568 รวมถึงการกำหนดกฎเกณฑ์และแนวทางในการรับรองแหล่งที่มาของไฟฟ้าสีเขียวตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นสะพานไปสู่การพัฒนาตลาดไฟฟ้าสีเขียวและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องในอนาคต กำกับกิจการไฟฟ้าตามนโยบายโครงการนำร่องการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA ได้แก่ จัดทำหลักเกณฑ์และแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการการใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าแก่บุคคลที่สาม และการกำกับติดตามการเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (TPA Code) ตามนโยบาย Direct PPA ซึ่งปัจจุบัน อยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เพื่อกำหนดกรอบการดำเนินการร่วมกันตามมติ กพช. ซึ่งในส่วนงานที่สำนักงาน กกพ. รับผิดชอบ คาดว่าแล้วเสร็จภายในกันยายน 2568 กำกับกิจการก๊าซธรรมชาติตามแนวทางการส่งเสริมการแข่งขันกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 โดย จัดทำแนวทางการบริหารการใช้ LNG Terminal แบบเสมือน (Virtual Inventory) และเสนอต่อภาคนโยบายภายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการใช้งาน LNG Terminal ร่วมกันระหว่างผู้ใช้บริการหลายราย ตลอดจนจัดทำระบบข้อมูลราคาก๊าซ (Pool Gas) ทั้งประมาณการราคา และราคา Pool Gas จริง เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาต ผู้ใช้พลังงานสามารถเข้าถึงข้อมูลและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ ในมิติของความมั่นคงทางพลังงาน ภายหลังจากที่ กกพ. มีการออกระเบียบ กกพ. ว่าด้วยมาตรฐานวิศวกรรมและความปลอดภัยในการประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567 ก็จะมีการกำกับผู้รับใบอนุญาตที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซธรรมชาติ ให้ดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนดภายในปี 2568 ดำเนินการพัฒนากลไกการกำกับกิจการพลังงานเพื่อรองรับการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีพลิกโฉม (Disruptive Technology) โดยดำเนินการศึกษารูปแบบการดำเนินการสำหรับ Disruptive Technology ต่างๆ ในต่างประเทศ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้สำหรับประเทศไทย ได้แก่ การตอบสนองด้านโหลด (Demand Response), Microgrid, RE Forecast, Aggregator, Battery Storage และ EV และจัดทำข้อกำหนดหรือปรับปรุงแก้ไขระเบียบหรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องรองรับ Disruptive Technology ต่างๆ รวมถึงจัดทำคู่มือการกำกับกิจการพลังงานรองรับ Disruptive Technology ตามแผนการขับเคลื่อน Smart Grid คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในกันยายน 2568

SCB ร่วง 4% รับ “เจพี มอร์แกน” หั่นเป้า- King Power ชำระหนี้ AOT ล่าช้า

SCB ร่วง 4% รับ “เจพี มอร์แกน” หั่นเป้า- King Power ชำระหนี้ AOT ล่าช้า

         หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.เอเซียพลัส ระบุ ราคาหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ปรับตัวลดลงในวันนี้ โดยมีปัจจัยหลักมาจาก เจพี มอร์แกน ปรับลดน้ำหนักการลงทุน          บริษัทหลักทรัพย์ เจพี มอร์แกน ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนของหุ้น SCB ลงจาก "Neutral" หรือ "คงเดิม" มาเป็น "Underweight" หรือ "ต่ำกว่าตลาด" พร้อมกับปรับลดราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 105 บาท จากเดิมที่ 122 บาท โดยให้เหตุผลว่า หุ้นกลุ่มธนาคารไทย รวมถึง SCB มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมือง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบาง สำหรับการปรับลดเป้าหมายในครั้งนี้ ประเมินจากค่า PBV ที่ 0.75 เท่า ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2568 ใหม่ที่ 118 บาท ลดลงจากเดิมที่ 127 บาท          อย่างไรก็ตาม SCB ยังคงเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง โดยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 7% อิงจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 65% ในปี 2567-2568 ลดลงจาก 80% ในปี 2566          นอกจากนี้ตลาดยังกังวลต่อประเด็น King Power ที่มีการชำระหนี้แก่ AOT ล่าช้า ซึ่งตลาดคาด SCB จะเป็นธนาคารที่เป็นคนให้ Bank Gurantee กับ King Power ทั้งนี้ปัจจุบันยังติดต่อกับทางบริษัทไม่ได้ เบื้องต้นยอดลูกหนี้ค้างจ่ายของ AOT ที่เพิ่มขึ้นมาจากกรณีดังกล่าวยังอยู่ที่ราว 4 พันล้านบาท

PTT Station & Café Amazon คว้ารางวัล World Branding Awards 8 ปีซ้อน!

PTT Station & Café Amazon คว้ารางวัล World Branding Awards 8 ปีซ้อน!

           หุ้นวิชั่น - PTT Station และ Café Amazon ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR สร้างประวัติศาสตร์คว้ารางวัล World Branding Awards 2024-2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8     ในฐานะแบรนด์แห่งปี (Brand of the Year) สะท้อนความสำเร็จของแบรนด์ไทยบนเวทีระดับโลก โดย PTT Station ได้รับรางวัลในหมวด Petrol/Gas Stations และ Café Amazon ได้รับรางวัลในหมวด Retailer – Coffee ซึ่งทั้งสองเป็นแบรนด์ไทยเพียงแบรนด์เดียวที่ได้รับรางวัลในแต่ละหมวดหมู่            ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เปิดเผยว่า รางวัลนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อ PTT Station และ Café Amazon เรามุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Empowering All toward Inclusive Growth” หรือ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน”           ตลอดเวลาที่ผ่านมา PTT Station เป็นผู้นำสถานีบริการน้ำมันที่ผู้บริโภคไว้วางใจด้วยส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 และมาตรฐานคุณภาพน้ำมันระดับสากลที่ผ่านการคัดสรรสารเติมแต่งจากบริษัทชั้นนำระดับโลก พร้อมตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วยการควบคุมคุณภาพน้ำมันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่น้ำมันออกจากโรงกลั่นจนถึงมือผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพระดับสากลและมาตรฐานเดียวกันใน PTT Station ทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมนำเสนอสินค้าและบริการที่ครบครันภายในสถานีบริการ เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และเป็นพื้นที่ดูแลผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ขณะที่ Café Amazon แบรนด์กาแฟที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในประเทศไทย ด้วยยอดขายที่สูงที่สุดในตลาดกว่า 400 ล้านแก้วต่อปี พร้อมสร้างประสบการณ์การบริโภคที่ครบวงจรและตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้บริโภคได้อย่างรอบด้าน จากแนวคิด “กาแฟที่แฟร์กับคนทั้งโลก” โดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งแฟร์กับสิ่งแวดล้อม ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ แฟร์กับผู้ขาดโอกาส ผ่านการสนับสนุนเกษตรกรและการจ้างงานผู้ด้อยโอกาส และแฟร์กับผู้บริโภค ด้วยเครื่องดื่มคุณภาพ         สำหรับ World Branding Awards จัดขึ้นโดย World Branding Forum องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลก ซึ่งพิจารณารางวัลจาก การประเมินคุณค่าของแบรนด์ (Brand Valuation) การได้รับการยอมรับจากสาธารณชน ผ่านการโหวตออนไลน์ (Public Online Voting) และการวิจัยผู้บริโภคในตลาดนั้น ๆ (Consumer Market Research) โดย PTT Station และ Café Amazon เป็นแบรนด์ไทยเพียงแบรนด์เดียว ที่ได้รับรางวัลในหมวดของตน สะท้อนถึงการเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคทั่วโลก [PR News]

MINTกวาดกำไร 7,750 ล้านบาท โต 43% โรงแรม-ร้านอาหารแกร่ง

MINTกวาดกำไร 7,750 ล้านบาท โต 43% โรงแรม-ร้านอาหารแกร่ง

            หุ้นวิชั่น - บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) สร้างผลการดำเนินงานทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 7,750 ล้านบาทในปี 2567 ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นนี้สะท้อนถึงการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม ความต้องการเดินทางทั่วโลกที่ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง และสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น             ความแข็งแกร่งต่อเนื่องในธุรกิจโรงแรมขับเคลื่อนโดยการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนและการขยายตัวของตลาด ควบคู่ไปกับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับแรงหนุนจากนวัตกรรมของแบรนด์และจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังประสบความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิการดำเนินงาน โดยได้รับประโยชน์จากโมเดลธุรกิจที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light Model) ที่เติบโตขึ้น ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงวินัยทางการเงินผ่านการลดหนี้             ปิดท้ายปีด้วยผลงานที่น่าประทับใจ MINT มีกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 269 เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 3,632 ล้านบาท ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำหรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในปี 2568 ธุรกิจโรงแรม: รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเติบโตแข็งแกร่ง และการขยายตลาดผลักดันผลการดำเนินงาน ธุรกิจโรงแรมของ MINT ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการเดินทางทั่วโลกและการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในตลาดสำคัญ ยุโรปและอเมริกา: รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน นำโดยราคาห้องพักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากวินัยด้านการกำหนดราคาและการเดินทางในภูมิภาคที่สม่ำเสมอ โดยสเปนเป็นประเทศที่มีผลงานการเติบโตดีที่สุด รองลงมาคือยุโรปกลาง เบเนลักซ์ และอิตาลี ประเทศไทย: รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนพุ่งสูงขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น การขยายเส้นทางการบิน และกลยุทธ์การขายแบบกำหนดเป้าหมายที่ดึงดูดนักเดินทางคุณภาพสูงจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย             MINT ยังคงขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง โดยเปิดโรงแรมใหม่ 30 แห่งที่มีห้องพักกว่า 3,000 ห้องในปี 2567 ภายใต้โมเดลธุรกิจ Asset-light Model เป็นหลัก ส่งผลให้ MINT มีฐานการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในเมืองสำคัญต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และโอเชียเนีย โดยการเปิดตัวโรงแรมครั้งสำคัญ ได้แก่ โรงแรม NH Collection Helsinki Grand Hansa ในประเทศฟินแลนด์ โรงแรม Anantara Stanley & Livingstone Victoria Falls ในประเทศซิมบับเว และ Anantara Jewel Bagh Jaipur Hotel ในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของ MINT ในตลาดใหม่ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง ธุรกิจร้านอาหาร: นวัตกรรมและแฟรนไชส์ขับเคลื่อนการเติบโต             ไมเนอร์ ฟู้ดประสบความสำเร็จในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกปี โดยมียอดขายโดยรวมทุกสาขา (TSS) ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และสิงคโปร์มียอดขายรวมเติบโตขึ้นร้อยละ 12 เป็นผลมาจากการขยายตัวของยอดขายต่อร้านเดิมและจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น             ความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนานวัตกรรมและแนวคิดที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภคนำไปสู่การเปิดตัวแบรนด์และรูปแบบร้านค้าใหม่ๆ ที่ประสบความสำเร็จ เช่น ร้าน สเต็ก แอนด์ มอร์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นตัวเลือกการรับประทานอาหารระดับพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้ และร้าน แบทเทอร์แคช (สิงคโปร์) ซึ่งเป็นแนวคิดร้านฟิชแอนด์ชิปส์สมัยใหม่ที่ดึงดูดผู้บริโภคในเมือง             ในขณะเดียวกัน ไมเนอร์ ฟู้ดได้เร่งการขยายธุรกิจด้วย Asset-light Model ผ่านความสำเร็จของการขายแฟรนไชส์ทรัพย์สินทางปัญญาระดับโลกที่บริษัทเป็นเจ้าของ เช่น เบนิฮานา, ซิซซ์เล่อร์ และกาก้า โดยมีการเปิดร้านเบนิฮานาที่กรุงปารีส การเปิดสาขาซิซซ์เล่อร์หลายแห่งในประเทศญี่ปุ่นและเวียดนาม และการขยายสาขาร้านกาก้าทั่วประเทศไทย ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นสนับสนุนการเร่งการเติบโต ความมุ่งมั่นของ MINT ในการรักษาวินัยทางการเงินช่วยลดภาระหนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญดังต่อไปนี้ อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นปรับตัวดีขึ้นจาก 0 เท่าในปี 2566 เป็น 0.8 เท่าในปี 2567 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมลดลงจาก 9 เท่าเป็น 4.3 เท่า การลดภาระหนี้สินจำนวน 1 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และเพิ่มศักยภาพในการสนับสนุนโครงการเติบโตที่ให้ผลตอบแทนสูง มองไปข้างหน้า: ปี 2568 และอนาคต – เส้นทางที่ชัดเจนสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม             MINT เตรียมพร้อมก้าวสู่อีกปีที่แข็งแกร่งในปี 2568 โดยใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 นอกจากนี้ MINT อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวโรงแรมเชิงกลยุทธ์ในประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายการดำเนินงานในตลาดสำคัญที่มีการเติบโตสูง ตลอดจนการเติบโตของร้านอาหารผ่านนวัตกรรมของแบรนด์ การปรับรูปแบบร้านค้าให้มีความหลากหลาย และการขยายแฟรนไชส์ ส่วนหนึ่งของแผนงานเชิงกลยุทธ์สำหรับปี 2567–2570 MINT ตั้งเป้า อัตราการเติบโตของรายได้ต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ร้อยละ 6-8 การเติบโตของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่ร้อยละ 15-20 อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมากกว่าร้อยละ 12 การขยายกลุ่มธุรกิจทั่วโลกสู่โรงแรม 850 แห่งและร้านอาหาร 4,000 แห่งภายในปี 2570 สารจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร             นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT แสดงความมั่นใจในแนวโน้มการเติบโตของบริษัท โดยกล่าวว่า “ผลการดำเนินงานที่เป็นประวัติการณ์ของ MINT ตอกย้ำความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจและการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ของเรา ด้วยงบแสดงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เราพร้อมที่จะเร่งการเติบโตในปี 2568 และในอนาคต เราจะยังคงใช้ประโยชน์จากแนวโน้มการท่องเที่ยวทั่วโลก ขยายโมเดลธุรกิจ Asset-light Model และขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารของเราต่อไป เราจะมุ่งเน้นไปที่การส่งมอบผลกำไรที่ยั่งยืนและเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวขณะที่เราขยายฐานการดำเนินงานไปทั่วโลก”

CHEWA ปี 67 ขาดทุน 356.90 ล้านบาท ชี้ภาวะอสังหาฯหดตัว

CHEWA ปี 67 ขาดทุน 356.90 ล้านบาท ชี้ภาวะอสังหาฯหดตัว

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน CHEWA ขาดทุน 356.90 ล้านบาท เทียบกับปี 666 ขาดทุน 68 ล้านบาท ส่วนรายได้ทำได้ 1,903.31 ล้านบาท ใกล้เคียงเป้า 2,000 ล้านบาท ชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์หดตัว           นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า จากผลการดำเนินงานประจำปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีการขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานสำหรับปีจำนวน 356.90 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 288.90 ล้านบาท จากปี 2566 ขาดทุน 68 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมปี 2567 ทำได้ 1,903.31 ล้านบาท เทียบกับปี 2566 ที่ 1,878.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.35 ล้านบาท หรือโต 1.30%           สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในภาวะหดตัวอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ แม้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐที่ลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองจากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 2.0 และขยายเพดานราคาสินทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการจาก 3 ล้านบาทเป็น 5 ล้านบาทจนถึงสิ้นปี 2567 ก็ตาม นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยโยบายที่ปรับลดลงแล้ว และมีแนวโน้มปรับลดเพิ่มเติมในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้นยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค           อย่างไรก็ตามในส่วนของทางบริษัทนั้น แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากกระแสของลูกค้าที่ชะลอตัว จากสถิติที่ผ่านมาทางบริษัทพบว่า จำนวนลูกค้าที่เข้าชมโครงการไม่ได้มีอัตราลดลง แต่ลูกค้าใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจนานขึ้น รวมถึงโอกาสในการขอสินเชื่อสำเร็จลดลง ทางบริษัทจึงมีการปรับนโยบายและโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับสถานการณ์รวมถึงกระแสของธุรกิจ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในการขอสินเชื่อแก่ลูกค้าในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ทางบริษัทยังมีการจัดเก็บข้อมูลและสอบถามความคิดเห็นจากลูกค้าอย่างใส่ใจ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ทำให้ลูกค้าทุกคนประทับใจทั้งก่อนการขายและหลังการขาย           ในปี 2567 บริษัทได้ขยายโครงการแนวสูงในโครงการคอนโดมิเนียม "ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา" มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท ภายใต้การร่วมทุนกับบริษัท นิปปอน สตีล โควะ เรียลเอสเตท จำกัด (NIPPON STEEL KOWA REAL ESTATE) ผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น โดยเปิดให้เข้าชมโครงการและเปิดจองสำหรับลูกค้าเป็นครั้งแรกในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าในพื้นที่เป็นอย่างดี มียอดจองในวัน Soft launch แรกของงานมากกว่า 300 ล้านบาท และในปัจจุบันยังคงได้รับการตอบรับที่ดี มียอดจองเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คาดว่างานก่อสร้างจะแล้วเสร็จในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 และสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงไตรมาสที่ 4           นอกจากการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทมีแผนขยายโครงการอย่างต่อเนื่องในปี 2568 โดยมุ่งเน้นทั้งโครงการแนวสูงและโครงการโรงงานให้เช่าภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่หลากหลาย

MOTHER มั่นใจธุรกิจแกร่ง ท่องเที่ยวหนุนโต

MOTHER มั่นใจธุรกิจแกร่ง ท่องเที่ยวหนุนโต

          หุ้นวิชั่น -  MOTHER มั่นใจในพื้นฐานธุรกิจแกร่ง คาดยอดขายปี 68 โตสองหลัก "เอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์" เร่งเครื่องผุดสาขาใหม่ทำเงิน ปักธงขยายสาขาพื้นที่กระบี่เพิ่ม 3 แห่ง เล็งเห็นโอกาสเติบโตภาคใต้ ชี้ท่องเที่ยวฟื้นตัว            นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคภายใต้แบรนด์ “Mother Supermarket” และ “Mother Marche” เปิดเผยกับ ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า บริษัทมั่นใจในความแข็งแกร่งของพื้นฐานธุรกิจ โดยเฉพาะการจำหน่ายสินค้าขายส่ง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทสามารถจำหน่ายสินค้าได้ในปริมาณที่สอดคล้องกัน           นอกจากนี้ สถานการณ์ท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียง ที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง ได้ส่งผลดีต่อทุกกลุ่มผู้ประกอบการ รวมถึงธุรกิจของ MOTHER ซึ่งคาดว่าจะเติบโตได้ไม่แพ้กับการเติบโตของสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงนี้           สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2568  MOTHER คาดว่าจะมีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจดีกว่าช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากหลังจากที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้มีการเสริมสร้างเงินทุนหมุนเวียนเพื่อขยายกิจการมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าในปี 2568 จะมีการเติบโตในแง่ยอดขาย อัตราสองหลัก หรือ 2 ดิจิ โดยมาจากการขยายสาขาเพิ่มเติมในปีนี้อีก 2-3 สาขาในเขตจังหวัดกระบี่           นายเอกพงศ์ กล่าวถึง การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น MOTHER ว่า เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างหนัก ซึ่งทางบริษัทมองว่าเป็นเรื่องปกติของการซื้อขายหุ้น โดยทางผู้บริหารยังคงมีความเชื่อมั่นในผลประกอบการและการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัท พร้อมยืนยันว่าในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ บริษัทจะจัดประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เพื่อพิจารณาและอนุมัติผลการดำเนินงาน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

บอร์ด TFM ไฟเขียวแตกพาร์ เป็น 1.00 บาท/หุ้น

บอร์ด TFM ไฟเขียวแตกพาร์ เป็น 1.00 บาท/หุ้น

           หุ้นวิชั่น -  “บอร์ด TFM” ไฟเขียวแตกพาร์เหลือ 1.00 บาทต่อหุ้น จากเดิมหุ้นละ 2.00 บาทต่อหุ้น เพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนให้เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น โดยหลังเปลี่ยนพาร์จำนวนหุ้นจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้น 500,000,000 หุ้น เป็น 1,000,000,000 หุ้น โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่กระทบต่อทุนจดทะเบียน ทุนชำระแล้วและสัดส่วนการถือหุ้นในปัจจุบัน”            บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทย แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 4 เมษายน 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติ การเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญ จากเดิม 2.00 บาทต่อหุ้น เป็น 1.00 บาทต่อหุ้น เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นสามัญของบริษัท พร้อมทั้งดึงดูดนักลงทุนให้สามารถเข้าถึงหุ้นได้มากยิ่งขึ้น            โดยภายหลังเปลี่ยนแปลงพาร์ จะส่งผลให้บริษัทมีหุ้นจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 500,000,000 หุ้น จากเดิมจำนวน 500,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 2.00 บาท เป็นจำนวน 1,000,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถือครองอยู่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 2 หุ้นสามัญใหม่

AOT ราคาร่วงแรง กังวลรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ต่ำ-ยอดลูกหนี้ค้างจ่ายสูง

AOT ราคาร่วงแรง กังวลรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ต่ำ-ยอดลูกหนี้ค้างจ่ายสูง

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) ราคาหุ้นลงแรงหลังประชุมบ่ายวันนี้ โดยมีประเด็นกังวล 2 ประเด็น - รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์โตต่ำกว่าคาดเนื่องจากมีรายได้บางส่วนที่ไม่ได้เพิ่มตามปริมาณผู้โดยสาร - ยอดลูกหนี้ค้างจ่ายสูงขึ้นจากผู้ประกอบการในสนามบินมีปัญหาสภาพคล่อง แต่อย่างไรก็ตาม ระยะเวลายังไม่เกินวงเงินประกันที่ AOT เรียกเก็บจากผู้ประกอบการ           อย่างไรก็ตาม ลุ้นเรียกเก็บ PSC transit/transfer และขึ้นค่า PSC ในปีนี้

SPVI กวาดรายได้ 6,831 ล้านบาท iStudio - ออนไลน์ขายดี

SPVI กวาดรายได้ 6,831 ล้านบาท iStudio - ออนไลน์ขายดี

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า SPVI แจ้งรายได้ปี 67 ที่ 6,831.40 ล้านบาท iStudio - ออนไลน์ดันยอดโตเล็กน้อย จากปี 66 ที่ 6,770.05 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 48.39 ล้านบาท           SPVI ประกาศผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า SPVI กำไรสุทธิสำหรับปี 2567 มีจำนวน 48.39 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนจำนวน 51.80 ล้านบาท คิดเป็นการลดลงร้อยละ 51.70 ขณะที่กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 4/2566 มีจำนวน 13.26 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 5.53 ล้านบาท คิดเป็นการลดลงร้อยละ 29.43 โดยอัตรากำไรสุทธิสำหรับปี 2567 และสำหรับไตรมาส 4/2567 เท่ากับร้อยละ 0.71 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่เท่ากับร้อยละ 1.48 และร้อยละ 0.99 ตามลำดับ           นอกจากนี้ รายได้จากการขายและการบริการสำหรับปี 2567 มีจำนวน 6,831.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 61.35 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.91 จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในช่องทาง iStudio และออนไลน์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ iPhone ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายและการบริการสำหรับไตรมาส 4/2567 มีจำนวน 1,847.75 ล้านบาท ลดลง 39.18 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.08 จากช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากรายได้ในช่องทาง Corporate ที่ลดลง เนื่องจากบริษัทฯ ไม่มีงานโครงการขนาดใหญ่เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา และมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท วันที่ 13 ก.พ.68 มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้น จากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2567 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2567 โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 6 มี.ค. 68 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 5 มี.ค.68 ในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น และจะจ่ายปันผล วันที่ 25 เม.ย.68

พีระพันธุ์ ดันค่าไฟต่ำ 4 บาท – โซลาร์ถูก 10,000 เครื่อง วางขายปีนี้!

พีระพันธุ์ ดันค่าไฟต่ำ 4 บาท – โซลาร์ถูก 10,000 เครื่อง วางขายปีนี้!

          หุ้นวิชั่น - พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แจงความคืบหน้าร่างกฎหมายกํากับกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ เผยวิธีลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่า 4 บาท เตรียมเร่งผลิตระบบโซลาร์ราคาถูกวางจำหน่ายในปีนี้ 10,000 เครื่อง           เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์พิเศษโดยเปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างกฎหมายกํากับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซว่า ภาพรวมเป็นไปด้วยดี แต่ก็มีข้อท้วงติงจากผู้เชี่ยวชาญว่าอาจมีช่องโหว่ในเรื่องของการกำหนดราคาก๊าซ เพราะกฎหมายฉบับนี้จะดูแลประชาชนไปถึงเรื่องของก๊าซด้วย นั่นคือ กรณีของก๊าซหุงต้ม LPG และก๊าซที่ใช้สำหรับรถยนต์ ตนจึงได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รวมทั้งผู้ชำนาญการช่วยกันทบทวนเพื่อปรับปรุงร่างกฎหมายในส่วนของก๊าซ เพื่อดูแลการกำหนดราคาให้ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งขณะนี้ก็ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว           ส่วนร่างกฎหมายเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการติดตั้งโซลาร์เซลล์นั้น นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า ทางพรรครวมไทยสร้างชาติได้ยื่นร่างกฎหมายนี้เข้าสภาฯไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่ทางรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานก็จะเสนอร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เข้าสู่สภาฯ ในเร็ว ๆ นี้ โดยขณะนี้กำลังรอให้ทางสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบร่างฯ ของกระทรวงพลังงานแล้วเสร็จ และจะเร่งนำเข้าสู่กระบวนการทำประชาพิจารณ์โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15-20 วัน ก่อนนำส่งเข้าสภาฯ เพื่อพิจารณาประกอบกับร่างฯ ที่เสนอจากพรรคการเมือง           ในส่วนของการปรับลดค่าไฟนั้น นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อหาแนวทางปรับลดค่าไฟมาตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2567 ที่ผ่านมา เพื่อหาทางปรับลดค่าไฟให้ได้ต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย และมีแนวโน้มว่าจะทำได้ แต่ต้องปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างและหลักเกณฑ์หลายอย่าง โดยเฉพาะการปรับระบบ Pool Gas แต่เผอิญว่าต้นปี 2568 มีประเด็นเพิ่มเติมเรื่องจะให้ลดค่าไฟลงมาเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย และสํานักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ซึ่งกำกับดูแลเรื่องค่าไฟ ก็ออกมาบอกว่าสามารถลดได้ ซึ่งสำหรับตนถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา ตนในฐานะรัฐมนตรีพลังงานต้องพยายามบริหารจัดการอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้มีการขึ้นค่าไฟทุก 4 เดือน จนสามารถตรึงค่าไฟไว้ได้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยไว้ได้ตลอดปี แต่อย่างไรก็ดี ข้อเสนอล่าสุดของ กกพ. ก็มีประเด็นที่อาจทำไม่ได้           “ทุก 4 เดือน ผมต้องพยายามบริหารจัดการเพื่อไม่ให้มีการขึ้นค่าไฟ เพราะถ้าลดยังไม่ได้ ก็อย่าขึ้น เพราะฉะนั้นปี 67 ทั้งปีเราได้ที่ 4 บาท 18 สตางค์มาตลอด ส่วนงวดปัจจุบันนี้ คือตั้งแต่ มกราคม-เมษายน 68 ผมก็ดําเนินการปรับลงมาที่ 4 บาท 15 สตางค์ แต่ก็ยังมีดราม่าบอกลดอะไร 3 สตางค์ ความจริงถ้าผมไม่ดําเนินการวันนั้น เขาบอกเขาจะขึ้นไป 5 บาทกว่า หรือไม่ก็ 4 บาทปลาย ๆ แต่อีกไม่กี่เดือนก็ต้องเหนื่อยต่อแล้ว เพราะค่าไฟงวดที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 68) จะมาแล้ว ทุกทีผมต้องเป็นคนไปขอให้ลด แต่อย่างน้อยคราวนี้ ทาง กกพ. บอกว่าลดได้ ผมก็ใจชื้น แต่ประเด็นคือ เขาบอกว่าการลดนี้ให้เป็นนโยบายรัฐบาล ให้ไปเลิกสัญญา Adder กับสัญญาที่เป็นปัญหา ที่เราเรียกว่า สัญญาชั่วนิรันดร์ คือสัญญาไม่มีวันหมด ผมในฐานะรัฐมนตรีพลังงานก็ได้พยายามศึกษาแก้ปัญหาเรื่องนี้ เพราะไปเซ็นสัญญากันไว้ตั้งแต่ยุคไหนว่า สัญญานี้ต่ออายุไปเรื่อย ๆ ทุกห้าปี ไม่มีวันหมด แล้วก็ราคาก็สูงเกินปกติ เพราะฉะนั้นมันทําไม่ได้ ที่บอกให้ไปลด 17 สตางค์ได้โดยวิธีเลิกสัญญา ถ้าเลิกก็โดนฟ้องนะครับ ตอนนี้เรากําลังศึกษาว่ามีวิธีการอะไรที่จะแก้ไขสัญญาทั้งสองแบบนี้อยู่เพราะประเด็นที่เสนอโดย กกพ.นั้น มันทําไม่ได้” นายพีระพันธุ์กล่าว           อย่างไรก็ดี นายพีระพันธุ์ได้มองเห็นทางออกในอีกมุมว่า การปรับลดค่าไฟสามารถทำได้จากการบริหารจัดการเชื้อเพลิง เพราะปัจจุบัน ประเทศไทยใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟอยู่ 3 แหล่งใหญ่ ๆ คือ อ่าวไทย เมียนมาร์ และจากต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันออกกลางที่นำเข้ามาเป็นก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ซึ่งมีราคาแพง และอิงราคาตลาดโลกที่ผันผวนตลอดเวลา แต่ถ้าหากสามารถปรับพอร์ต Pool Gas ให้เป็นสัดส่วนชัดเจน ระหว่างการนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าและการนำไปใช้ในอุตสาหกรรม ก็น่าจะทำให้ค่าไฟลดลงได้อีกถึงเกือบ 40 สตางค์ โดยตนจะเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้ทันค่าไฟงวดต่อไป           “ปัญหาเรื่องค่าไฟต่างกับปัญหาเรื่องน้ำมันเยอะมากและมีประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องเข้ามาแก้ไขเยอะมาก น้ำมันคือน้ำมัน แต่ค่าไฟ มันไม่ใช่แค่ค่าไฟ มันคือค่าแก๊ส ค่าถ่านหิน ค่าขนส่ง ค่าอะไรต่าง ๆ ที่บวกไว้ในสัญญา ค่าบริหารจัดการเงินกู้ของผู้ประกอบการ และที่สําคัญ ผมคิดว่าทํายังไงจะให้ กฟผ. กลับมาแข็งแรงแล้วก็เป็นหลักให้กับประชาชนในเรื่องของการผลิตไฟฟ้า แล้วกําหนดค่าไฟที่ถูกต้องเป็นธรรมมากขึ้น” นายพีระพันธุ์กล่าว           สำหรับกรณีที่มีกระแสว่าการทำงานของ รมว.พลังงาน จะไปขัดผลประโยชน์และสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มทุนนั้น นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนทำในสิ่งที่ต้องทำ ไม่ได้ทําเพื่อจะไปเป็นศัตรูกับใคร แต่ต้องทําในสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด.           “เราไม่ได้เจตนาไปทําอะไรใคร คนเขาพูดไปเอง สื่อก็พูดไปเรื่อยนะครับ จริงๆ ผมก็ทํางานในสิ่งที่ต้องทํา เมื่อมาเห็นอะไรต้องปรับปรุงก็ต้องทํา และที่สําคัญก็คือว่ามันไม่ใช่เราคนเดียว มันเป็นนโยบายรัฐบาล และถ้าหากจําได้นะครับ ท่านนายกรัฐมนตรีได้ไปประกาศที่ NBT เรื่องของการปรับลดค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน และท่านก็มอบหมายให้ผมเป็นคนทํา เพราะฉะนั้นมันก็เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทํา ทั้งนโยบายส่วนตัว ทั้งนโยบายของพรรคของผมรวมถึงนโยบายรัฐบาลมันตรงกันในเรื่องตรงนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาทํา เราก็ต้องทํานะครับ เราไม่ได้ทําเพราะว่า มันจะกระทบใคร หรือจะเกิดอะไร แต่ต้องทําในสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด และผมพูดเสมอว่านายทุนหลักคือประชาชน” นายพีระพันธุ์กล่าว           นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าของการพัฒนาเครื่อง Inverter สำหรับติดตั้งกับระบบโซลาร์เซลล์สิทธิบัตรของคนไทย ซึ่งกระทรวงพลังงานมีแผนจะนำออกจำหน่ายในราคาถูกให้กับประชาชนในปีนี้ว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในขั้นตอนที่ 2 และ 3 หลังจากผ่านการทดสอบขั้นตอนแรกของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) โดยทางผู้ออกแบบกำลังนำอุปกรณ์ต้นแบบไปทดสอบที่ห้องแล็บในประเทศจีนภายใต้การรับรองของ สวทช. ทั้งนี้เพื่อความรวดเร็วและความสะดวกในการปรับปรุงอุปกรณ์ และเมื่อผ่านการทดสอบแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการผลิต ซึ่งทางกระทรวงพลังงานจะร่วมกับบริษัทในเครือของ กฟผ. และ ปตท. ในการผลิตและจําหน่ายให้ประชาชนในราคาถูก โดยจะเตรียมการผลิตเบื้องต้นประมาณ 10,000 เครื่อง และคาดว่าจะทำให้ประชาชนสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ได้ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 60% อีกทั้งยังมีการจัดหาเงินทุนสนับสนุนในเรื่องของการติดตั้งและการลดหย่อนภาษีด้วย           “ ผมได้คุยกับท่านรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ท่านดูแลเอสเอ็มอีแบงค์ ก็จะให้ทางเอสเอ็มอีแบงค์มาช่วย สําหรับคนที่ไม่มีเงินทุนพอ ก็จะสามารถไปกู้ยืมเงินจากเอสเอ็มอี แล้วผมก็จะสนับสนุนอีกบางส่วนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานเพื่อช่วยเหลือเรื่องดอกเบี้ย และส่วนที่กระทรวงพลังงานเดินหน้าไปแล้วก็คือ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะให้กระทรวงการคลังช่วยหักลดหย่อนภาษีด้วย” นายพีระพันธุ์กล่าว

‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ ติดอันดับความยั่งยืนโลก พร้อมคว้ารางวัลสองปีซ้อน จาก S&P Global 

‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ ติดอันดับความยั่งยืนโลก พร้อมคว้ารางวัลสองปีซ้อน จาก S&P Global 

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งค้าปลีก “แม็คโคร-โลตัส” ได้รับการประเมินด้านความยั่งยืน Corporate Sustainability Assessment (CSA) ประจำปี 2024 จาก S&P Global ในระดับ Top 10% พร้อมได้รับการยกย่องให้เป็น Industry Mover หรือ องค์กรที่มีพัฒนาการสูงสุดด้านความยั่งยืน 2 ปีซ้อน ด้วยคะแนน 84 จาก 100 คะแนน สูงเป็นอันดับ 4 ในกลุ่มอุตสาหกรรม Food & Staples Retailing ในรายงาน ‘The S&P Global Sustainability Yearbook 2025’ ตอกย้ำความมุ่งมั่นขององค์กรในการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาด้านความยั่งยืน           นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า “ซีพี แอ็กซ์ตร้า ภูมิใจที่ได้รับการจัดอันดับด้านการพัฒนาความยั่งยืนในระดับสากล อีกทั้ง ได้รับการยกย่องให