เศรษฐกิจ-ธุรกิจ


ORI จับมือพันธมิตร ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ปิดดีลบิ๊กล็อตกว่า 1.2พันล้านบาท

ORI จับมือพันธมิตร ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ปิดดีลบิ๊กล็อตกว่า 1.2พันล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า ORI จับมือพันธมิตร ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ปิดบิ๊กล็อตโควต้าต่างชาติ So Origin Sukhumvit 105 มูลค่า 1,200 ล้านบาท สร้างแต้มต่อรุกตลาดอสังหาฯ 5 ประเทศในเอเชีย พบดีมานด์พุ่งต่อเนื่อง           นายธนกร วุฒิพงษ์ รองประธานกรรมการบริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการนำโครงการ So Origin Sukhumvit 105 คอนโดฯใหม่ใกล้ BTS สถานีแบริ่ง เพียง 200 เมตร* ไปโรดโชว์และจัดกิจกรรมขายต่างประเทศ โดยได้ลงนามแต่งตั้ง บริษัท ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (Thaiway Property) เป็นมาสเตอร์เอเจนท์ ขายห้องชุดในโครงการดังกล่าวนั้น ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมปิดยอดขายโควต้าต่างชาติ มูลค่า 1,200 ล้านบาท จากลูกค้าชาวต่างชาติใน 5 ประเทศแถบเอเชีย คือ ประเทศ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ใต้หวัน และเมียนม่า ลูกค้าที่ซื้อมีทั้งแบบ B2B และ B2C ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย เเละลงทุน(Investment ) รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุวัยเกษียณ(Retirement) ที่ต้องการโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาพำนักในประเทศไทย           ความสำเร็จจากการการขายห้องชุดโครงการ So Origin Sukhumvit 105 ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเพราะตลาดทั้ง 5 ประเทศดังกล่าวได้รู้จักอสังหาฯแบรนด์ ออริจิ้น ดีอยู่แล้ว จากการนำโครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์ต่างๆ ในเครือ ออริจิ้น ไปขายในช่วงก่อนหน้า ซึ่งได้รับการตอบรับดีเยี่ยม โดยแบรนด์โซ ออริจิ้น (SO ORIGIN) เป็นคอนโดมิเนียมที่มีดีไซน์เอกลักษณ์บนทำเลที่น่าสนใจใกล้รถไฟฟ้าเพื่อคน Gen Y และ Gen X การได้พันธมิตรไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำการตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศในแถบเอเชีย ได้ช่วยสร้างความแข็งแกร่งและสร้างชื่อให้กับ ออริจิ้น ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงสุดในประเทศไทย และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง           สำหรับ โครงการ So Origin Sukhumvit 105 ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท 105 ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีแบริ่ง เพียง 200 เมตร* ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 6 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดฯ LOW-RISE สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ยูนิตทั้งหมด 913 ยูนิต + 2 ร้านค้า โดยโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ อาทิ ห้องออกกำลังกาย, โถงต้อนรับ, สระว่ายน้ำ, Co-Working Space, Creativity&Craft space,Meeting room,Studio room,Co-Living Space,Sharing zone,Private zone,Garden,Pavilion,Rooftop Garden,Oxygen launch,Edible vegetable garden และOutdoor Theater เป็นต้น พร้อมอุ่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัย จากกล้องวงจรปิด CCTV 24 ชั่วโมง, ระบบ Access Control ด้วย Key Card เข้า-ออกอาคาร และพื้นที่จอดรถ และ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง โดยขนาดห้องมีตั้งแต่ 24-53 ตารางเมตร(ตร.ม) ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “CRAFTING A CLASSY MOMENTS ฟีลคลาสซี่ ได้ทุกโมเม้นต์” ราคาเริ่ม 2.81 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 2,540 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างปี 2569 คาดแล้วเสร็จทั้งโครงการในช่วงปี 2571           นอกจากนี้ โครงการ So Origin Sukhumvit 105 ยังมีจุดเด่นทำเลในซอยสุขุมวิท 105 ใกล้กับศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ บางนา ทำเลยอดนิยมสำหรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ที่แน่นไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ชอบเที่ยว ชิม ช้อป และ แฮงค์เอาท์ กับเพื่อนๆ ที่สำคัญเดินทางสะดวก 3 นาที ถึงรถไฟฟ้า BTS สถานีแบริ่ง ที่อยู่ใกล้โครงการเพียง 200 เมตร* อีกทั้งยังแวดล้อมไปด้วยโรงพยาบาล , ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และไลฟ์สไตล์ (Mega Project , Life style ) สถานศึกษาระดับนานาชาติ และอาคารสำนักงาน(OFFICE BUILDING) เป็นต้น           ด้านนางสาว เจสสิก้า เชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (Ms. Jessica Chao, CEO, Thaiway Property Company) กล่าวว่า บริษัทฯมีความยินดีและเป็นเกียรติที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเร็จ ทำการตลาดและขายคอนโดใหม่แบรนด์ So Origin Sukhumvit 105 จนสามารถทำยอดขายได้มากถึง 1,200 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของลูกค้าผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ ออริจิ้น ที่พัฒนาคอนโดมิเนียมคุณภาพในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 2.81 ล้านบาท บน Prime Area อยู่ใกล้ New CBD ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่กำลังมองหาคอนโดฯใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการกลุ่มคนซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง กลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายการลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งกลุ่มคนที่ซื้อไว้อยู่อาศัยหลัง Retirement ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ เชี่ยวชาญชำนาญ และมีฐานลูกค้าในมือ           พร้อมกันนี้ นายธนกร วุฒิพงษ์ ได้กล่าวในตอนท้ายว่า ในปี 2568 ORIGIN ยังคงเดินหน้าเจาะตลาดลูกค้าต่างชาติเพิ่มด้วยการจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งที่เป็น Agent รายเดิม และเปิดรับ Agent รายใหม่ๆ เข้าร่วม Origin Agent Club ด้วยการเดินสายโรดโชว์ไปยังตลาดประเทศใหม่ๆ รวมถึงการพิจารณาเปิดสำนักงานขายในต่างประเทศ ในประเทศที่มีลูกค้าให้ความสนใจ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงโครงการได้ง่ายขึ้น เป็นหนึ่งในแผนไต่ระดับการเติบโต ครองความเป็นผู้นำเจ้าตลาดส่งออกคอนโดฯ ชั้นนำ และการนำเอาโครงการ So Origin Sukhumvit 105 ไปขายที่ประเทศจีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, ใต้หวัน และเมียนม่า นั้น เพราะเป็นตลาดที่ยังมีดีมานด์ ขณะเดียวกันก็เพื่อรักษาฐานการเติบโตของตลาดประเทศในโซนเอเชียของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ [PR News]

ก.ล.ต. ผนึกกำลังผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า

ก.ล.ต. ผนึกกำลังผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า

          หุ้นวิชั่น - วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 | ฉบับที่ 31 / 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำหนดมาตรการจัดการปัญหาบัญชีม้า เพื่อยกระดับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายในการสร้างมาตรฐานการประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลและร่วมมือในการสกัดกั้นบัญชีม้า           ก.ล.ต. เปิดเผยถึงการจัดการเกี่ยวกับบัญชีม้าว่า ได้ประสานการทำงานร่วมกับ TDO และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างใกล้ชิด และได้ร่วมกันกำหนดมาตรการจัดการบัญชีม้าเพิ่มเติมเพื่อยกระดับมาตรการคัดกรองและตรวจสอบบัญชีม้าให้เข้มข้น เท่าทัน และครอบคลุมลักษณะหรือพฤติกรรมเสี่ยงของบัญชีม้ายิ่งขึ้น โดยผู้ที่เป็นบัญชีม้าจะถูกจำกัดการทำธุรกรรมบางลักษณะที่เสี่ยงต่อการฟอกเงิน ผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล           นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช. สอท.) และ ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาจัดการบัญชีม้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย ตลอดจนสนับสนุนให้กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อสกัดกั้นการใช้บัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน โดยผ่านกลไกการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU) ในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล           สำหรับการดำเนินการที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ประสานการทำงานกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาบัญชีม้าและอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน รวมทั้งร่วมเสนอแนะแนวทาง ให้ข้อคิดเห็น และดำเนินการตามมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีการออกหนังสือเวียนให้ผู้ประกอบธุรกิจยกระดับการคัดกรองลูกค้าและธุรกรรมต้องสงสัยตามแนวทางที่จัดทำร่วมกับ TDO และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบและติดตามผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนร่วมเสนอและให้ข้อคิดเห็นในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

7 สินค้า SME ในเซเว่นฯ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน

7 สินค้า SME ในเซเว่นฯ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน

          หุ้นวิชั่น - ปี 2567 ที่ผ่านมา SME หลายเจ้าปล่อยสินค้าของดีของเด็ดให้เลือกมากมาย และเช่นเคย เซเว่นฯ จะมารวบรวมลิสต์สินค้า SME สุดปัง ฮิตติด Best Seller ที่ขาช้อปตัวยงต้องซื้อติดบ้าน เซเว่น อีเลฟเว่น (7-11) ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ในทุกมิติ เปิด 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ที่สู้ไม่ถอยสามารถปั้นรายได้พุ่ง เติบโตต่อเนื่อง ก้าวสู่ SME ยุคใหม่ ที่โตไกลไปด้วยกันกับเซเว่นฯ 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ชุดรวมขนมทองมงคล จาก “ขนมไทยบ้านทองหยอด”           กลายเป็นสินค้าได้รับความนิยมในหมู่คนไทยสายบุญ สายมู โดยชุดรวมขนมทองมงคล ถูกรังสรรค์ ขนาดไซส์มินิ น้ำหนักเบา ราคาเพียง 27 บาท โดดเด่นด้วยแพ็คเกจที่ทันสมัยออกแบบเพื่อให้สะดวกในการรับประทาน เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรับประทานเอง หรือทำบุญในวาระต่างๆ พิธีไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อของคนไทย ซึ่งประกอบไปด้วย ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุน จุดเด่นของชุดรวมขนมทองมงคล  เป็นการรวมขนมไทย 4 อย่างไว้ใน 1 กล่อง และผลิตสดใหม่ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ผ่านการผลิตระดับมาตรฐาน GHP&HACPP ที่ควบคุมให้ขนมสดใหม่ อร่อย กลมกล่อม กลิ่นหอมตามสูตรที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น สามารถดันยอดขายให้ ขนมไทยบ้านทองหยอด ทะลุ 100 ล้าน ปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างมาก ยิ่งหาซื้อได้ง่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศได้ ก็ยิ่งการันตีความปัง ผักโขมอบชีส “รีโอส์ เดลิ” แบรนด์นี้คุณแม่ปลื้มทำให้เรื่องทานผักเป็นเรื่องง่าย           ขอต้อนรับเข้าสู่วงการอาหารอิตาเลียนที่เข้าถึงง่ายมากกับ ผักโขมอบชีส รีโอส์ เดลิ เมนูระดับภัตตาคารสู่เซเว่นฯ ที่รสชาติดี มีคุณประโยชน์ และราคาที่เข้าถึงง่าย บรรจุในถาดเยื่อพืชย่อยสลายได้ในไซส์ที่กำลังอิ่มพอดี ขนาด 100g โดยมีจุดเด่นที่ทำให้ยอดขายปัง 3 หลักการด้วยกัน 1.วัตถุดิบคุณภาพดีที่ผ่านการคัดเลือก  ผักโขมปลอดภัย ผสมกับชีสแท้ๆ เกรดนำเข้า 2.นวัตกรรมการผลิตและรสชาติที่ตอบโจทย์คนไทย ใช้กระบวนการ No-bake process ที่ทำให้หลังอุ่นไมโครเวฟชีสยืดเหมือนสินค้าที่ทำในบ้าน 3.แพ็คเกจจิ้งใช้งานง่าย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บรรจุภัณฑ์ถาดเยื่อพืชที่สามารถลดพลาสติกลงได้ 90% ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มแม่และเด็ก ที่คุณแม่ต้องการให้ลูกๆ ทานผัก ในขณะที่ลูกๆ กลับมองว่าเป็นการทานชีส จึงเกิดเป็นทางออกที่ win win ทั้งคู่ กิมจิผักกาดขาว “คิงเชฟ” เครื่องเคียงตัวดัง สูตรต้นตำรับ ที่สายเกาหลีเกาใจเลิฟมาก           ยังคงอยู่ในหมวดหมู่อาหารนานาชาติ โดนใจสายเกากับ กิมจิผักกาดขาว ในรูปแบบซองพรีเมียมโดดเด่นด้วยสีเขียวสะท้อนแสง ด้วยคอนเซ็ปต์ “ฉีกปากถุง วางตั้ง ตักได้เลย” สามารถทานได้ทุกที่ทุกเวลา แม้แต่ทานในรถก็ยังสะดวก โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการถนอมอาหารที่สามารถเก็บในบรรจุภัณฑ์ได้ถึง 90 วัน ซึ่งจุดเด่นของคิงเชฟ คือ รสชาติจากสูตรต้นตำรับของประเทศเกาหลี แต่นำมาพัฒนารสชาติให้จัดจ้านถูกปากคนไทย สามารถเลือกรับประทานได้หลายหลายโอกาส โดยลูกค้าเซเว่นส่วนใหญ่ซื้อติดบ้าน บ้างก็ทานเป็นเครื่องเคียงทาน ทานเล่นเป็นของว่าง หรือ นำไปปรุง เช่น คลุกหรือผัดกับข้าว ใส่ในอาหารจานด่วน ใส่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือ ทำเป็นซุปกิมจิ ก็ง่าย สะดวก กิมจินอกจากดีสุขภาพรสชาติดี ยังช่วยส่งเสริมด้านการขับถ่าย มีโพรไบโอติกอีกด้วย เกรนเน่ย์ กราโนล่าบาร์ สแน็กแบบแท่ง สุขภาพดีเอื้อมถึงได้           สแน็กเพื่อสุขภาพจากข้าวและธัญพืช ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเจ้าของแบรนด์เกรนเน่ย์ (Grainey)  เจิ้น-โสรัจ มหรรณพกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูลเกิ้ล จำกัด จากที่เคยน้ำหนักมากถึง 130 กิโลกรัม ตอนนั้นเรียนอยู่ที่อเมริกา เห็นว่าตัวเลือกในการลดน้ำหนักที่นั่นมีมากมาย ทั้งน้ำ โปรตีน และขนม เมื่อเลือกกินของเพื่อสุขภาพผสานกับการออกกำลังกาย สามารถลดน้ำหนักได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน พอกลับมาเมืองไทย จึงเห็นโอกาสในการทำขนมเพื่อสุขภาพ จุดเริ่มต้นมาจากข้าวป๊อป จากนั้นมาพัฒนาให้รสชาติเข้าถึงคนไทย จนมีโอกาสเข้ามาจำหน่ายในเซเว่นฯ ก็ได้รับคำแนะนำให้ผลิตแบบแท่งในราคาเบาๆ 10 บาท เพื่อควบคุมคุณภาพได้ และราคาที่จับต้องได้ ปัจจุบันพัฒนาสูตรตัวแบบแท่งจนเป็นสินค้าขายดีในเซเว่นฯ อย่าง เกรนเน่ย์ กราโนล่าบาร์ ช็อคโกแลตชิพ อัลมอนด์ 25 กรัม และ เกรนเนย์ กราโนล่าบาร์ ไวท์ช็อคแครนเบอร์รี่ 25 กรัม ราคา 15  บาท ตัวเด็ดอีกตัวมัดใจชาว Gen Z, Alpha, First Jobber สามารถทานทุกวันได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ชินเซน น้ำส้มคั้น 100% คั้นสดจากใจใคร ๆ ก็ดื่มได้           ตามมาตำเครื่องดื่มที่เพิ่มความสดชื่นกันบ้าง กับน้ำส้มแบรนด์ SME ไทย แต่ชื่อญี่ปุ่น โดย Shinsen (ชินเซน)  เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า สดชื่น ผลิตจากส้มหลากหลายสายพันธุ์ หลายเบอร์ เพื่อเบลนด์รสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น ด้วยเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ที่หลายคนต้องการเพิ่มความสดชื่น “น้ำส้ม” จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ลูกค้าคว้าติดมือ ที่สำคัญตอบโจทย์สายรักสุขภาพที่ต้องการวิตามินซี รสชาติสดเหมือนคั้นดื่มเองที่บ้าน อีกหนึ่งเทคนิคความอร่อย ยิ่งเก็บในตู้เย็นเพิ่มความสดชื่นและยังรักษาไว้ได้นาน เพราะมีอายุ Shelf Life นานถึง 2 สัปดาห์ ผลิตโดย บริษัท ยูชิ เอฟ แอนด์ บี จำกัด มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยนำผลไม้ไทยมาแปรรูปด้วยนวัตกรรมจากญี่ปุ่น ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต สะอาด ปลอดภัย ตรวจสอบคุณภาพก่อนถึงมือลูกค้า และยังคงพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคสายสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นไป พยัคฆ์ เครื่องดื่มรสชาไทยผสมนม อร่อยเข้มหอมชาหวานน้อยในรูปแบบขวด           ชมรมคนรัก “ชาไทย” ต้องติดใจ! กับแบรนด์คนไทย ชื่อไทยๆ ว่า “พยัคฆ์” มากับโลโก้หัวเสือ ดูมีมนต์ขลัง แต่ราคาน่ารัก 20 บาท ดื่มเย็นๆ จากขวดก็สดชื่น ได้รสชาติเข้มข้น กลิ่นชาเตะจมูก หรือจะเทใส่น้ำแข็งก็หวานหอมกลมกล่อม สินค้าเกิดจากเจ้าของแบรนด์คุณธิติ พัววรานุเคราะห์ CEO บริษัท เก้าหมิง กรุ๊ป จำกัด ที่ชื่นชอบการดื่มชาเป็นชีวิตจิตใจเห็นถึงปัญหาการรอต่อคิวชงทีละแก้ว และการคงรสชาติแบบหวานน้อยให้คงที่ทุกขวด รวมถึงแบบขวดสามารถซื้อเก็บไว้ได้ อยากดื่มตอนไหนก็สะดวก ทำให้ได้รับความนิยมเป็นกระแสบอกกันแบบปากต่อปากในโลกโซเชียล ส่งผลให้ชาไทยพยัคฆ์ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างรวดเร็ว โดยความสำเร็จเกิดจากความตั้งใจในมาตรฐานการคัดเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิต มีความสะอาด และทุกขวดรสชาติคงที่ ที่สำคัญมีลูกค้าประจำ จนเกิดการแนะนำ และกลายเป็น marketing tool ที่ดีที่ทำให้สินค้ามีความยั่งยืน ทรีทเมนต์กรีนไบโอ ซองสีน้ำเงิน จากตัวตึงร้านขายส่งและร้านเสริมสวย สู่ตัวจี๊ดในเซเว่นฯ ไอเทมสุดท้าย เอาใจสายบิวตี้กันบ้างกับทรีทเมนต์บำรุงผมแบบซอง ทรีทเมนต์ กรีนไบโอ ซองสีน้ำเงินโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ผลิตโดยบริษัท วีชมาร์ต จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้แบรนด์ถือเป็นขวัญใจช่างทำผม และร้านค้าส่ง ได้วางจำหน่ายรูปแบบซองในเซเว่นฯ เมื่อปี 2564 จากคำแนะนำจากผู้บริหารเซเว่นฯ ให้ผลิตกล่องบรรจุจำนวน 6 ซอง เพื่อวางขายบนเชลฟ์ง่ายขึ้น และหากลูกค้าซื้อยกกล่องก็พกง่ายดี ที่ได้รับความนิยมไม่เคยแผ่ว เนื่องจากคุณภาพสินค้าที่ได้รับการยอมรับ หลายคนใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรก สินค้าเหมาะสำหรับผมที่ผ่านการหนีบ ยืด ดัด ทำสีมาอย่างหนักหน่วง ทำให้ผมนุ่ม ลื่น ลดผมแตกปลาย ลดการชี้ฟู มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผู้ชายใช้ได้ ผู้ใหญิงใช้ดี ฐานลูกค้าตอนนี้ครอบคลุมไปต่างประเทศแล้ว อาทิ มาเลเซีย  อินโดนีเซีย สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ที่สำคัญ ทรีทเมนต์กรีนไบโอ เป็นสินค้า Best Seller ในเซเว่นฯ ที่นักท่องเที่ยวเลือกซื้อเป็นของฝากในอันดับต้นๆ โดย คุณศิรดา ศรีประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท วีชมาร์ต จำกัด เจเนอเรชันที่ 2 ฝากไว้ว่า “เราพยายามทำสินค้าให้ถูกและดี มีคุณภาพ ทุกคนเข้าถึงได้ และคงราคาให้ย่อมเยาอยู่เสมอ เพื่อคนไทยค่ะ” ทั้งหมดนี้คือ 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ที่สามารถปั้นแบรนด์จนเป็นที่รู้จักทั้งไทยและต่างชาติ สามารถนำแบรนด์ไปได้ไกลและยั่งยืน ที่สำคัญยังเข้าใจเข้าถึงผู้บริโภค ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ และรักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ สู่ความสำเร็จในระยะยาว สำหรับกุญแจสำคัญในความสำเร็จ คือ ทุกแบรนด์ให้ความสำคัญกับ คุณภาพ ราคา และนวัตกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตระดับสากล จนเป็นที่ยอมรับว่าแบรนด์ไทยสามารถแข่งขันและเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้

KH Academy ชู ‘Prep for Financial Advisor’ ปิดหลักสูตร รุ่น 3 พร้อมมอบทุน

KH Academy ชู ‘Prep for Financial Advisor’ ปิดหลักสูตร รุ่น 3 พร้อมมอบทุน

          สถาบัน KH Academy จัดพิธีปิดหลักสูตร Prep for Financial Advisor เตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพที่ปรึกษาทางการเงิน รุ่นที่ 3 พร้อมมอบทุนการศึกษา 50,000 บาท แก่ทีมผู้ชนะกิจกรรมเวิร์คช้อปนำเสนอแผนการลงทุน  และมอบประกาศนียบัตรสำหรับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรเกือบ 60 ชีวิต ตอกย้ำความเป็นสถาบันบ่มเพาะเยาวชนสู่เส้นทางวิชาวิชาชีพการเงินการลงทุนมืออาชีพ ฟากพันธมิตรองค์กรที่ปรึกษาทางการเงินร่วมเป็นสักขีพยานความสำเร็จก้าวแรกของเยาวชนคนรุ่นใหม่อย่างคับคั่ง           วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 KH Academy สถาบันการเรียนรู้ชั้นนำด้านการพัฒนาทักษะวิชาชีพการเงินการลงทุนสำหรับนิสิตนักศึกษา จัดพิธีปิดหลักสูตร Prep for Financial Advisor เตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพที่ปรึกษาทางการเงิน รุ่นที่ 3 ณ KH Academy Ratchathewi Campus โดยได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินชั้นนำของประเทศหลากหลายองค์กร  ร่วมเป็นสักขีพยานความสำเร็จของนิสิตนักศึกษาและบุคลากรจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรฯ ครั้งนี้กันอย่างคับคั่ง อาทิ ดร.สมภพ  ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปรแมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) คุณสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ. แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) คุณธีมนัส เกียรติเดชปัญญา Associate Director บริษัท ไพร์มสตรีท แอดไวเซอรี่ (ประเทศไทย)  จำกัด คุณดาริน  กาญจนะ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด โดยมีคุณบูรพา สงวนวงศ์ ผู้บริหารสถาบัน KH Academy ให้การต้อนรับ           บรรยากาศในงานเริ่มต้นด้วยคุณชาญชัย สงวนวงศ์ ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวขอบคุณพันธมิตรภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนสถาบัน KH Academy ประกอบด้วย บริษัท บี.กริม พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM)  บริษัท ไพร์มสตรีท แอดไวเซอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด  ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB)  บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) (MGC)  บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE)  บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน)  บริษัท ฟู้ดโมเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) (GABLE) และบริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) รวมถึงผู้สนับสนุนหลักสูตรเตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพฯ อย่าง กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน Thailand Capital Market Development Fund หรือ CMDF ( https://www.facebook.com/cmdf.or.th/ )           ตลอดจนบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ได้แก่ บริษัท.แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) , บริษัท ไพร์มสตรีท แอดไวเซอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด ,บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นเนล (ประเทศไทย) จำกัด (CGSI) และบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KGI)  ที่ส่งทีมวิทยากรร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์การทำงานจริงที่หาไม่ได้ในตำราเรียน เพื่อบ่มเพาะและผลักดันเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีความพร้อมก่อนก้าวสู่การประกอบวิชาชีพสายการเงินการลงทุนในอนาคต           ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาไฮไลท์ของการประกาศผลทีมผู้ชนะจากกิจกรรมเวิร์คช้อป การนำเสนอแผนการลงทุนโดยจัดโครงสร้างกลุ่มบริษัทและประเมินมูลค่ากิจการ ชิงทุนการศึกษา มูลค่า 50,000 บาท ซึ่งได้แก่ ทีม B สมาชิกในทีมประกอบด้วย นายนนทพัทธ์ สีมาเงิน คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายศุภฤกษ์ อัศวไพบูลย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  นายศุภวิชญ์ กฤษณยรรยง คณะเศรษฐศาสตร์ ปี 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายวิสุทธิ์ เกิดลาภผล คณะบริหารธุรกิจ ปี 3 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายวงศธร จันทร์ฟัก คณะบริหารธุรกิจ ปี 2 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายลาภวัต เชาวนะ คณะวิศวะกรรมศาสตร์ ปี 2 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  และนางสาวชนาณุพิพิศ ปกรณ์เกียรติ คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม ปี 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ           นอกจากนี้ ยังมีการมอบรางวัลในอีกหนึ่งกิจกรรมพิเศษประเภททีม FA Influencer Competition (KH Academy x Partners) อีกหนึ่งรางวัล มูลค่า 5,000 บาท โดยกิจกรรมนี้สถาบัน KH Academy จัดขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์ในการมุ่งมั่นส่งเสริมและสนับสนุนให้นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาสสร้างมิตรภาพ คอนเนคชั่นใหม่ ๆ ตลอดจนได้ความรู้รอบตัว รวมถึงอัพสกิลในสายวิชาชีพ ซึ่งจะสามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในชีวิตการเรียนและการทำงานในอนาคต           โอกาสนี้ ดร.สมภพ  ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปรแมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ให้เกียรติขึ้นกล่าวให้โอวาทแก่ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรฯ พร้อมแนะเคล็ดลับเส้นทางสู่ความสำเร็จในสายวิชาชีพที่ปรึกษาทางการเงินว่า  “หากอยากเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีองค์ประกอบ 3 สิ่ง คือ กินอย่างหมู นอนอย่างหมา ทำงานอย่างควาย” ซึ่งถือเป็นคำแนะนำที่โดนใจเหล่าว่าที่ที่ปรึกษาทางการเงินรุ่นใหม่อย่างมาก           ปิดท้ายด้วยพิธีมอบประกาศนียบัตร ให้กับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรฯ จำนวนทั้งสิ้น 57 คน จาก 6 มหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มหาวิทยาลัยรามคำแหง  และบุคลากรจากบริษัทหลักทรัพย์ ได้แก่           บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด โดยคุณสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ให้เกียรติเป็นผู้มอบ           สำหรับสถาบัน KH Academy เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสานต่อพันธกิจของ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ในการเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณชนทั่วไป โดย KH Academy เป็นผู้รับบทบาทในการทำงานร่วมกับองค์กรเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และสถาบันศึกษา เพื่อสร้างหลักสูตรสำหรับการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ในการเตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพการเงินการลงทุนสำหรับนิสิตนักศึกษาโดยไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น [PR News]

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

นิด้าโพลชี้ คนไทย 60.92% เชื่อ! ตัดท่อน้ำเลี้ยงแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์

นิด้าโพลชี้ คนไทย 60.92% เชื่อ! ตัดท่อน้ำเลี้ยงแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์

         หุ้นวิชั่น - ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “War on Scam Gang” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลในการจัดการกับปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ที่มีฐานในเมียนมา การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0          จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อมาตรการของรัฐบาลในการตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งออกน้ำมัน เพื่อจัดการปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 70.54 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 21.07 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 5.34 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 3.05 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย          ด้านมาตรการของรัฐบาลในการตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งออกน้ำมันกับการช่วยแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.92 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง รองลงมา ร้อยละ 17.71 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก ร้อยละ 15.95 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก และร้อยละ 5.42 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรเลย          สำหรับการมีส่วนเกี่ยวข้องหรือการสนับสนุนแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมาจากเจ้าหน้าที่รัฐของไทยบางคนพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 69.85 ระบุว่า มีแน่นอน รองลงมา ร้อยละ 26.87 ระบุว่า ไม่แน่ใจ และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มี          ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผู้ที่ทำงานในแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมาถูกหลอก หรือสมัครใจมากกว่ากัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 49.77 ระบุว่า น่าจะมีจำนวนพอ ๆ กันทั้งคนที่ถูกหลอกและเต็มใจไปทำงาน รองลงมา ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ส่วนใหญ่ไปทำงานด้วยความเต็มใจ ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ส่วนใหญ่ถูกหลอกไปทำงาน และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่แน่ใจ รายละเอียดเพิ่ม คลิก https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=740

Blockchain โปร่งใส-ตรวจสอบได้สำหรับ Supply Chain [HoonVision x TokenX]

Blockchain โปร่งใส-ตรวจสอบได้สำหรับ Supply Chain [HoonVision x TokenX]

บันไดแห่งความโปร่งใส : ทำบัญชีอย่างไรให้ถูกใจสาย Supply Chain Supply Chain Management and Blockchain Technology Series: Episode 2           ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และ ซับซ้อน การที่เราจะอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่นั้นๆ ก็ไม่ต่างจากการปีนบันไดแห่งความโกลาหลที่มองไม่เห็น เหมือนกับที่ Petyr Baelish หรือ Littlefinger เจ้านิ้วก้อยผู้เจ้าเล่ห์จากซีรีย์เรื่อง Game of Thrones ได้กล่าวไว้ว่า “Chaos is a ladder” ความโกลาหลนั้นไม่ได้เป็นเพียงความวุ่นวายที่ไม่มีจุดหมาย แต่มันคือบันไดสำหรับผู้ที่ฉลาดพอที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้ Lord Baelish มองความไม่แน่นอนของโลกใบนี้เป็นโอกาสที่ซุกซ่อนอยู่ ซึ่งผู้ที่มองเห็นโอกาสในโครงสร้าง และ เส้นทางในความยุ่งเหยิงนั้นจะสามารถไต่ขึ้นไปยังจุดสูงสุดได้           อย่างในโลกของการเงิน ความโกลาหลเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในระบบ แม้จะมีการกำกับดูแล และ มาตรการควบคุมจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ความซับซ้อนของกฎระเบียบ ธุรกรรมที่ไม่โปร่งใส และ การพึ่งพาคนกลาง ทำให้เกิดจุดบอด และ มีช่องว่างอยู่เสมอ           แต่ด้วยการกำเนิดของสิ่งที่ Satoshi Nakamoto ได้คิดค้นขึ้นมาสิ่งที่เรียกว่า Blockchain และ Bitcoin มาเพื่อช่วยให้ความยุ่งเหยิงนี้สามารถถูกแปรเปลี่ยนเป็นความโปร่งใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน           ความเจ๋งของ Satoshi คือ การนำเสนอระบบที่ทำให้ทุกธุรกรรมถูกบันทึก และ ยืนยันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนกลาง ทำให้เส้นทางการเงินถูกติดตามได้อย่างแม่นยำ และ ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เหมือนกับการควบคุมความโกลาหลให้อยู่ในมือ และ ได้สร้างรากฐานใหม่ ที่ทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมั่นในระบบที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของทุกคน           ในเกมแห่งอำนาจ ความโกลาหล เป็นได้ทั้งอุปสรรค และ โอกาส เช่นเดียวกันกับโลกของ Supply Chain ที่มีความโกลาหลอยู่มากมายโดยเฉพาะเรื่องการสร้าง Traceability และ จัดการข้อมูลที่ซับซ้อน และ แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือนการปีนบันไดแห่งความโกลาหลนี้ ถ้าเราสามารถใช้ความไม่แน่นอน และ ความวุ่นวายให้เกิดประโยชน์ มันจะพาเราไปสู่จุดที่กลายเป็นผู้ไม่พร้อมจะตกจากบันไดแห่งเกมนี้           ใน Episode ที่ 2 นี้ผู้เขียนจะพาทุกท่านไปดูกันว่าการสร้าง Traceability ในโลกของ Supply Chain ด้วยกันกับคู่หูอย่าง Blockchain จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ด้วยการประยุกต์ใช้หลักการทำบัญชีของ Bitcoin           จากที่ได้เกริ่นไปเบื้องต้นถึงต้นกำเนิดของเทคโนโลยี Blockchain และ Bitcoin ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะมาช่วยเปลี่ยนความโกลาหล ยุ่งยากในการทำ Traceability ให้กลายเป็น Solution ที่มีคุณค่า และ มีประสิทธิภาพ           โดยการนำหลักการทำบัญชีของ Bitcoin มาเป็นสารตั้งต้น หรือที่เรียกกันว่า UTXO ด้วยการบันทึกข้อมูลที่โปร่งใส และ เชื่อถือได้ ในทุกขั้นตอนของ Supply Chain จะถูกติดตามและยืนยันได้อย่างแม่นยำ ยิ่งในปัจจุบันที่ทุกคนมีสิทธิที่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างเสรี เราจะเห็นว่าการสร้าง Traceability จะไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Supply Chain เท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และ สังคมในวงกว้างอีกด้วย UTXO (Unspent Transaction Output)           หลักการทำงานของการจดบัญชีแบบ UTXO อาจดูซับซ้อน แต่ถ้ามองดีๆ แล้วมันมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เราใช้กันเป็นปกติในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ซึ่งก็คือการใช้เงินที่เป็น เหรียญ หรือ ธนบัตร นั่นเอง           ลองนึกภาพการจดบัญชีแบบ UTXO เป็นการบันทึกการใช้เหรียญ หรือ ธนบัตรที่เหลือหลังจากที่เราใช้จ่ายเงินแต่ละครั้ง โดยจะบันทึกไว้ว่าเราได้รับเงินมาเท่าไหร่ และใช้จ่ายเท่าไหร่ โดยไม่สนใจว่าจำนวนเงินทั้งหมดในกระเป๋าของเรามีเท่าไหร่ ณ เวลานั้น เพื่อให้เห็นภาพง่าย ๆ ลองดูตัวอย่างนี้ครับ ตัวอย่างแบบง่ายๆ ครับ สมมติว่า คุณมีธนบัตร 100 บาท จำนวน 1 ใบ ในทางบัญชีจะมีการบันทึกว่า คุณมีธนบัตร 1 ใบที่ยังไม่ได้ใช้งาน ซึ่งมีมูลค่า 100 บาท ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) -> เจ้าของคือ คุณ ยอดคงเหลือของคุณคือ 100 บาท คุณต้องการซื้อของจากร้านอาหาร ราคา 70 บาท แต่ธนบัตรที่คุณมีนั้นเป็นธนบัตรที่มีมูลค่า 100 บาท จำนวน 1 ใบ ดังนั้นคุณต้องใช้ธนบัตรนี้เต็มมูลค่า ในการทำธุรกรรม โดยในทางบัญชี จะทำการบันทึกธุรกรรมในลักษณะนี้ บันทึกว่า ธนบัตร 100 บาท ถูกใช้งานไปแล้ว ซึ่งธนบัตรนั้นมีมูลค่า 100 บาท แต่ของที่ต้องการซื้อนั้น มีราคา 70 บาท ฉะนั้นมันจะมีส่วนต่างที่เป็นจำนวน 30 บาท ในทางบัญชีจะทำการสร้างธนบัตรใหม่ขึ้นมา 2 ใบให้สอดคล้องกับ usecase และ ยอดคงเหลือรวมดังนี้ ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ใช้งานไปแล้ว) ธนบัตร 70 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ธนบัตร 30 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ยอดคงเหลือของคุณคือ 100 บาท ยอดคงเหลือของร้านค้าคือ 0 บาท ซึ่งจะมีการบันทึกว่าทั้ง 2 ธนบัตรนี้เป็นธนบัตรที่ยังไม่ถูกใช้งาน และ ทำการบันทึกความเป็นเจ้าของของ ธนบัตรมูลค่า 70 บาท คือ ร้านอาหาร และ ความเป็นเจ้าของของ ธนบัตรมูลค่า 30 บาท คือ คุณ ธนบัตรมูลค่า 70 บาท จำนวน 1 ใบ ก็คือเงินที่คุณใช้จ่ายให้ร้านอาหารไป และ ธนบัตรมูลค่า 30 บาท จำนวน 1 ใบ คือ เงินที่เหลือ ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ใช้งานไปแล้ว) ธนบัตร 30 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ยอดคงเหลือของคุณคือ 30 บาท ยอดคงเหลือของร้านค้าคือ 70 บาท ดังนั้นหลังจากการซื้อของจากร้านอาหาร 70 บาท ทางบัญชีแสดงผลออกมาว่า คุณมี ธนบัตรมูลค่า 30 บาท 1 ใบที่ยังไม่ได้ใช้งาน และ มีธนบัตรมูลค่า 100 บาท 1 ใบ ที่ใช้งานไปแล้ว ซึ่งธนบัตรมูลค่า 30 บาท 1 ใบสามารถนำไปใช้ในการทำธุรกรรมครั้งถัดไปได้ แต่ ธนบัตรมูลค่า 100 บาท 1 ใบจะไม่สามารถใช้ทำธุรกรรมใดๆ ได้อีก           จะเห็นได้ว่าการจดบัญชีแบบ UTXO นั้นมีความซับซ้อน และ ยุ่งยากกว่าการจดบัญชีทั่วๆไป เนื่องจากในระบบ UTXO เราไม่สามารถ แบ่งเหรียญ ออกมาได้ตรงๆ เช่น การใช้ธนบัตร 100 บาทแค่บางส่วน จึงจำเป็นต้องใช้ทั้ง UTXO ที่มีมูลค่ารวมกันเพียงพอเพื่อครอบคลุมยอดชำระ หากมีเศษเหลือก็จะถูกสร้างเป็นเหรียญใหม่เหมือนเงินทอน ซึ่งทำให้การจดบัญชีแบบนี้บน Blockchain สามารถติดตามเหรียญแต่ละเหรียญได้อย่างแม่นยำ และในระบบบัญชีบน Blockchain ทุกธุรกรรมจะมีการบันทึกว่า UTXO ไหนถูกใช้แล้วบ้าง ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ และบันทึกการสร้าง UTXO ใหม่ ทำให้สามารถตรวจสอบการถือครอง และ ความถูกต้องของเหรียญได้อย่างแม่นยำ และเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการทั้งหมด           การนำหลักการของ UTXO มาใช้สร้าง Traceability ให้กับ Asset ใน Supply Chain สามารถช่วยให้แต่ละ สินทรัพย์ หรือ วัตถุดิบถูกติดตามได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยหลักการนี้สามารถทำให้เห็นได้ว่าในแต่ละช่วงเวลาใครเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นบ้าง และ สินทรัพย์นั้นถูกเปลี่ยนมือหรือตรวจสอบสถานะในแต่ละขั้นตอนอย่างไรบ้าง Asset Tracking & Traceability           ในระบบ UTXO ในแต่ละหน่วยที่ยังไม่ถูกใช้งานจะมีตัวตนเฉพาะตัว ดังนั้นสินทรัพย์ใน Supply Chain ก็สามารถบันทึกเป็นหน่วยในลักษณะแบบนี้ได้ ซึ่งมีประโยชน์ดังนี้:           การบันทึกความเป็นเจ้าของ เมื่อสินค้าถูกส่งต่อจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เช่น จากผู้ผลิตไปยังผู้จัดจำหน่าย จะต้องมีการจดบันทึกโดยอ้างอิงมาจากหลักการของ UTXO ที่แสดงถึงการโยกย้ายความเป็นเจ้าของของสินทรัพย์นั้นๆ           การติดตามสถานะ ทุกการเคลื่อนย้าย หรือ เปลี่ยนสถานะของสินค้าจะต้องมีการจดบันทึกข้อมูลสถานะของสินทรัพย์นั้นๆ ในลักษณะที่ทำให้ระบบสามารถติดตามได้ว่าสินค้าชิ้นนั้นผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้างและสถานะล่าสุดอยู่ที่ไหน รวมถึงใครเป็นเจ้าของ หรือ ดูแลในแต่ละช่วงเวลา           การป้องกันการใช้ซ้ำ เช่นเดียวกับการลงบัญชีแบบ UTXO การใช้สินทรัพย์หรือ UTXO หนึ่งไปแล้วจะไม่สามารถใช้อีกได้ เช่น สินค้าที่ถูกส่งออกแล้วจะไม่มีอยู่ในคลังเดิมอีก ทำให้ระบบสามารถป้องกันการใช้สินค้าซ้ำ หรือ สินค้าสูญหายได้           ความโปร่งใส และ การตรวจสอบ ในทุกๆ สินค้าจะมีบันทึกสถานะและเวลา ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องใน Supply Chain สามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าผ่านการตรวจสอบหรือขั้นตอนใดมาแล้วบ้าง และใครเป็นผู้รับผิดชอบในช่วงเวลานั้นๆ โดยอาจจะมีกระบวนการ Transaction History Tracing ที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกทั้งหมดใน Supply Chain เพิ่มเติมเข้ามาด้วย Transaction History Tracing เป็นกระบวนการตรวจสอบ และ ติดตามประวัติธุรกรรมย้อนหลังของสินทรัพย์บน Blockchain เพื่อหาว่าเงิน หรือ สินทรัพย์นั้นเคยถูกโอนผ่านใคร หรือ ใช้ในธุรกรรมใดบ้างตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง การทำงานนี้ใช้ได้กับระบบ Blockchain ที่มีการบันทึกข้อมูลธุรกรรมทั้งหมด และ ข้อมูลเหล่านั้นเชื่อมโยงกันในลักษณะเป็น Chain           จบกันไปแล้วครับกับ Episode 2 Accounting อย่างไรให้ถูกใจสาย Chain จากเนื้อหาทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า การใช้หลักการทำบัญชีของ Bitcoin หรือ UTXO ใน Supply Chain นั้นจะช่วยให้เรามี ระบบ Tracking & Traceability ที่โปร่งใสมากโดยทุกคนสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำได้ ลดปัญหาการปลอมแปลงข้อมูลใน Supply Chain และทำให้ทุกขั้นตอนของการเคลื่อนย้าย หรือ เปลี่ยนสถานะของสินค้าถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนทั้งหมด ผู้เขียน Tinnakorn Pornsontisakul รายละเอียดเพิ่ม คลิก

SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าหลังเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือนมกราคม ออกมาที่ -9%MOM ต่ำกว่าตลาดคาดและต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี จากกลุ่มยานยนต์และอุปกรณ์กีฬา ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าต่อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มยานยนต์ในวันที่ 2 เมษายน ขณะที่นายกฯ เยอรมนีออกมาเตือนว่าพร้อมขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ หากสหรัฐฯเริ่มใช้ Tariffs ต่อ EU เศรษฐกิจยูโรโซนไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โต 1%QOQ สูงกว่าคาดการณ์

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

ราคาทองเช้าวันนี้ +50 ทองรูปพรรณ ขายออก 46,700 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ +50 ทองรูปพรรณ ขายออก 46,700 บ.

           หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  17 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 50 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 46,100.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,200.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 45,267.76 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 46,700.00 บาท

คัด 3 หุ้นผ่าทางตัน ท้าชน LTF รินขาย

คัด 3 หุ้นผ่าทางตัน ท้าชน LTF รินขาย

หุ้นวิชั่น - บล. กรุงศรี ประเมินทิศทางการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ฯสัปดาห์นี้ ว่า ดัชนีหุ้นไทย มีสัญญาณ “ฟื้นตัว” ต้าน 1286/1298 จุด รับ 1262/1252 จุด และต้องติดตามรายงาน GDP งวด 4Q24 คาดขึ้นทำจุดสูงสุดของปีที่ 3.8% y-y นอกจากนี้ ติดตามรายงานกำไร 4Q24F หุ้น Real Sector คาดหุ้นรายงานกำไรเด่นสัปดาห์นี้ อาทิ MTC, BBIK, BCPG หุ้นเด่น TRUE, MTC, BA • TRUE(TP25F-14.7): คาดกำไร 4Q24 จะเด่นในทิศทางเดียวกับ ADVANC + Yield ลดลง • MTC(TP25F-58.0): กำไร 4Q24 เด่น เติบโต y-y, q-q และปี 2025 ทำ New high ใหม่ • BA(TP25F-28.75): น้ำมันมีแนวโน้มขาลง + Valuation ถูกซื้อขายที่ P/E’25F ที่ 11.8x ใกล้เคียง -1SD ของค่าเฉลี่ย • LTF: สัปดาห์ที่ผ่านมา (จ. – พฤ.) กองทุน LTF ขายออกมาราว -2.4 พันล้านบาท ทำให้ยอด YTD ขายออกประมาณ -2.43 หมื่นล้านบาท ส่วนหุ้นใหญ่หลักๆในกลุ่มโรงกลั่นน่าจะฟื้นตัว y-y, q-q ขณะที่ต่างประเทศเน้นติดตาม Flash PMI ก.พ. 25 ฝั่งสหรัฐฯ ภาคบริการมีโอกาสทรงๆ m-m ตามองค์ประกอบเงินเฟ้อ PPI หนุน Yield สหรัฐฯ ยังซึมลงต่อ คาดหุ้นนำสัปดาห์นี้ หุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว) ผสาน หุ้น Yield ลดลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง High Growth) และหุ้นเกาะกระแส Domestic Long Term Fund มีสัญญาณบวก ฝั่ง 7 Value ICT, ชิ้นส่วน, โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง High Growth

พีระพันธุ์ ดันค่าไฟต่ำ 4 บาท – โซลาร์ถูก 10,000 เครื่อง วางขายปีนี้!

พีระพันธุ์ ดันค่าไฟต่ำ 4 บาท – โซลาร์ถูก 10,000 เครื่อง วางขายปีนี้!

          หุ้นวิชั่น - พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แจงความคืบหน้าร่างกฎหมายกํากับกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ เผยวิธีลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่า 4 บาท เตรียมเร่งผลิตระบบโซลาร์ราคาถูกวางจำหน่ายในปีนี้ 10,000 เครื่อง           เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์พิเศษโดยเปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างกฎหมายกํากับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซว่า ภาพรวมเป็นไปด้วยดี แต่ก็มีข้อท้วงติงจากผู้เชี่ยวชาญว่าอาจมีช่องโหว่ในเรื่องของการกำหนดราคาก๊าซ เพราะกฎหมายฉบับนี้จะดูแลประชาชนไปถึงเรื่องของก๊าซด้วย นั่นคือ กรณีของก๊าซหุงต้ม LPG และก๊าซที่ใช้สำหรับรถยนต์ ตนจึงได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รวมทั้งผู้ชำนาญการช่วยกันทบทวนเพื่อปรับปรุงร่างกฎหมายในส่วนของก๊าซ เพื่อดูแลการกำหนดราคาให้ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งขณะนี้ก็ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว           ส่วนร่างกฎหมายเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการติดตั้งโซลาร์เซลล์นั้น นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า ทางพรรครวมไทยสร้างชาติได้ยื่นร่างกฎหมายนี้เข้าสภาฯไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่ทางรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานก็จะเสนอร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เข้าสู่สภาฯ ในเร็ว ๆ นี้ โดยขณะนี้กำลังรอให้ทางสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบร่างฯ ของกระทรวงพลังงานแล้วเสร็จ และจะเร่งนำเข้าสู่กระบวนการทำประชาพิจารณ์โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15-20 วัน ก่อนนำส่งเข้าสภาฯ เพื่อพิจารณาประกอบกับร่างฯ ที่เสนอจากพรรคการเมือง           ในส่วนของการปรับลดค่าไฟนั้น นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อหาแนวทางปรับลดค่าไฟมาตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2567 ที่ผ่านมา เพื่อหาทางปรับลดค่าไฟให้ได้ต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย และมีแนวโน้มว่าจะทำได้ แต่ต้องปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างและหลักเกณฑ์หลายอย่าง โดยเฉพาะการปรับระบบ Pool Gas แต่เผอิญว่าต้นปี 2568 มีประเด็นเพิ่มเติมเรื่องจะให้ลดค่าไฟลงมาเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย และสํานักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ซึ่งกำกับดูแลเรื่องค่าไฟ ก็ออกมาบอกว่าสามารถลดได้ ซึ่งสำหรับตนถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา ตนในฐานะรัฐมนตรีพลังงานต้องพยายามบริหารจัดการอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้มีการขึ้นค่าไฟทุก 4 เดือน จนสามารถตรึงค่าไฟไว้ได้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยไว้ได้ตลอดปี แต่อย่างไรก็ดี ข้อเสนอล่าสุดของ กกพ. ก็มีประเด็นที่อาจทำไม่ได้           “ทุก 4 เดือน ผมต้องพยายามบริหารจัดการเพื่อไม่ให้มีการขึ้นค่าไฟ เพราะถ้าลดยังไม่ได้ ก็อย่าขึ้น เพราะฉะนั้นปี 67 ทั้งปีเราได้ที่ 4 บาท 18 สตางค์มาตลอด ส่วนงวดปัจจุบันนี้ คือตั้งแต่ มกราคม-เมษายน 68 ผมก็ดําเนินการปรับลงมาที่ 4 บาท 15 สตางค์ แต่ก็ยังมีดราม่าบอกลดอะไร 3 สตางค์ ความจริงถ้าผมไม่ดําเนินการวันนั้น เขาบอกเขาจะขึ้นไป 5 บาทกว่า หรือไม่ก็ 4 บาทปลาย ๆ แต่อีกไม่กี่เดือนก็ต้องเหนื่อยต่อแล้ว เพราะค่าไฟงวดที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 68) จะมาแล้ว ทุกทีผมต้องเป็นคนไปขอให้ลด แต่อย่างน้อยคราวนี้ ทาง กกพ. บอกว่าลดได้ ผมก็ใจชื้น แต่ประเด็นคือ เขาบอกว่าการลดนี้ให้เป็นนโยบายรัฐบาล ให้ไปเลิกสัญญา Adder กับสัญญาที่เป็นปัญหา ที่เราเรียกว่า สัญญาชั่วนิรันดร์ คือสัญญาไม่มีวันหมด ผมในฐานะรัฐมนตรีพลังงานก็ได้พยายามศึกษาแก้ปัญหาเรื่องนี้ เพราะไปเซ็นสัญญากันไว้ตั้งแต่ยุคไหนว่า สัญญานี้ต่ออายุไปเรื่อย ๆ ทุกห้าปี ไม่มีวันหมด แล้วก็ราคาก็สูงเกินปกติ เพราะฉะนั้นมันทําไม่ได้ ที่บอกให้ไปลด 17 สตางค์ได้โดยวิธีเลิกสัญญา ถ้าเลิกก็โดนฟ้องนะครับ ตอนนี้เรากําลังศึกษาว่ามีวิธีการอะไรที่จะแก้ไขสัญญาทั้งสองแบบนี้อยู่เพราะประเด็นที่เสนอโดย กกพ.นั้น มันทําไม่ได้” นายพีระพันธุ์กล่าว           อย่างไรก็ดี นายพีระพันธุ์ได้มองเห็นทางออกในอีกมุมว่า การปรับลดค่าไฟสามารถทำได้จากการบริหารจัดการเชื้อเพลิง เพราะปัจจุบัน ประเทศไทยใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟอยู่ 3 แหล่งใหญ่ ๆ คือ อ่าวไทย เมียนมาร์ และจากต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันออกกลางที่นำเข้ามาเป็นก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ซึ่งมีราคาแพง และอิงราคาตลาดโลกที่ผันผวนตลอดเวลา แต่ถ้าหากสามารถปรับพอร์ต Pool Gas ให้เป็นสัดส่วนชัดเจน ระหว่างการนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าและการนำไปใช้ในอุตสาหกรรม ก็น่าจะทำให้ค่าไฟลดลงได้อีกถึงเกือบ 40 สตางค์ โดยตนจะเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้ทันค่าไฟงวดต่อไป           “ปัญหาเรื่องค่าไฟต่างกับปัญหาเรื่องน้ำมันเยอะมากและมีประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องเข้ามาแก้ไขเยอะมาก น้ำมันคือน้ำมัน แต่ค่าไฟ มันไม่ใช่แค่ค่าไฟ มันคือค่าแก๊ส ค่าถ่านหิน ค่าขนส่ง ค่าอะไรต่าง ๆ ที่บวกไว้ในสัญญา ค่าบริหารจัดการเงินกู้ของผู้ประกอบการ และที่สําคัญ ผมคิดว่าทํายังไงจะให้ กฟผ. กลับมาแข็งแรงแล้วก็เป็นหลักให้กับประชาชนในเรื่องของการผลิตไฟฟ้า แล้วกําหนดค่าไฟที่ถูกต้องเป็นธรรมมากขึ้น” นายพีระพันธุ์กล่าว           สำหรับกรณีที่มีกระแสว่าการทำงานของ รมว.พลังงาน จะไปขัดผลประโยชน์และสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มทุนนั้น นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนทำในสิ่งที่ต้องทำ ไม่ได้ทําเพื่อจะไปเป็นศัตรูกับใคร แต่ต้องทําในสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด.           “เราไม่ได้เจตนาไปทําอะไรใคร คนเขาพูดไปเอง สื่อก็พูดไปเรื่อยนะครับ จริงๆ ผมก็ทํางานในสิ่งที่ต้องทํา เมื่อมาเห็นอะไรต้องปรับปรุงก็ต้องทํา และที่สําคัญก็คือว่ามันไม่ใช่เราคนเดียว มันเป็นนโยบายรัฐบาล และถ้าหากจําได้นะครับ ท่านนายกรัฐมนตรีได้ไปประกาศที่ NBT เรื่องของการปรับลดค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน และท่านก็มอบหมายให้ผมเป็นคนทํา เพราะฉะนั้นมันก็เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทํา ทั้งนโยบายส่วนตัว ทั้งนโยบายของพรรคของผมรวมถึงนโยบายรัฐบาลมันตรงกันในเรื่องตรงนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาทํา เราก็ต้องทํานะครับ เราไม่ได้ทําเพราะว่า มันจะกระทบใคร หรือจะเกิดอะไร แต่ต้องทําในสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด และผมพูดเสมอว่านายทุนหลักคือประชาชน” นายพีระพันธุ์กล่าว           นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าของการพัฒนาเครื่อง Inverter สำหรับติดตั้งกับระบบโซลาร์เซลล์สิทธิบัตรของคนไทย ซึ่งกระทรวงพลังงานมีแผนจะนำออกจำหน่ายในราคาถูกให้กับประชาชนในปีนี้ว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในขั้นตอนที่ 2 และ 3 หลังจากผ่านการทดสอบขั้นตอนแรกของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) โดยทางผู้ออกแบบกำลังนำอุปกรณ์ต้นแบบไปทดสอบที่ห้องแล็บในประเทศจีนภายใต้การรับรองของ สวทช. ทั้งนี้เพื่อความรวดเร็วและความสะดวกในการปรับปรุงอุปกรณ์ และเมื่อผ่านการทดสอบแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการผลิต ซึ่งทางกระทรวงพลังงานจะร่วมกับบริษัทในเครือของ กฟผ. และ ปตท. ในการผลิตและจําหน่ายให้ประชาชนในราคาถูก โดยจะเตรียมการผลิตเบื้องต้นประมาณ 10,000 เครื่อง และคาดว่าจะทำให้ประชาชนสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ได้ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 60% อีกทั้งยังมีการจัดหาเงินทุนสนับสนุนในเรื่องของการติดตั้งและการลดหย่อนภาษีด้วย           “ ผมได้คุยกับท่านรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ท่านดูแลเอสเอ็มอีแบงค์ ก็จะให้ทางเอสเอ็มอีแบงค์มาช่วย สําหรับคนที่ไม่มีเงินทุนพอ ก็จะสามารถไปกู้ยืมเงินจากเอสเอ็มอี แล้วผมก็จะสนับสนุนอีกบางส่วนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานเพื่อช่วยเหลือเรื่องดอกเบี้ย และส่วนที่กระทรวงพลังงานเดินหน้าไปแล้วก็คือ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะให้กระทรวงการคลังช่วยหักลดหย่อนภาษีด้วย” นายพีระพันธุ์กล่าว

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ททท. ชูวิวาห์ใต้สมุทร   กระตุ้นท่องเที่ยว จ.ตรัง 

ททท. ชูวิวาห์ใต้สมุทร  กระตุ้นท่องเที่ยว จ.ตรัง 

          หุ้นวิชั่น - การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชนจังหวัดตรัง จัดกิจกรรมงาน Amazing Thailand Love Wins Festival @ วิวาห์ใต้สมุทร เชิญชวนคู่รักทุกชาติ เข้าร่วมพิธีแต่งงานสมรสเท่าเทียม และจดทะเบียนสมรสใต้ท้องทะเลตรังในระหว่างวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568  ณ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม พร้อมกิจกรรมเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งขบวนพาเหรดความรักที่เท่าเทียม แต่งเติมสีสัน ความสนุกสนาน และดินเนอร์แสนโรแมนติกมอบให้คู่รัก เติมเต็มความรัก ใครก็รักกันได้ ความรักชนะทุกอย่างบนโลกนี้ให้สมบูรณ์แบบ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าร่วมงาน สร้างรายได้ให้จังหวัดตรัง           นางจิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและ ททท. เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลวันแห่งความรักนี้ ททท. ได้ร่วมมือกับภาครัฐ และภาคเอกชนจังหวัดตรัง จัดงาน Amazing Thailand Love Wins Festival @ วิวาห์ใต้สมุทร ขึ้นในวันที่ 13 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อให้คู่รักได้ร่วมพิธีจดทะเบียนสมรสใต้ท้องทะเลตรัง และร่วมเฉลิมฉลองให้กับความหลากหลายของความรักและการสมรสเท่าเทียม ให้ทุกคู่รักได้ร่วมเป็นหนึ่งในงานวิวาห์ใต้สมุทร ภายหลังจากที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมได้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา           ทั้งนี้ จังหวัดตรังเป็น 1 ใน 10 จังหวัดเมืองน่าเที่ยวที่มีศักยภาพและสามารถผลักดันสู่การพัฒนาเป็นเมืองหลัก มีหาด Sunset beach 1 ใน 10 ของจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด และได้รับการโหวตจาก Lonely Planet เป็น Best in Travel 2025 มีเกาะกระดาน ได้รับการจัดอันดับเป็นชายหาดที่ดีที่สุดในโลก จากเว็บไซต์ World Beach Guide จังหวัดตรังมีความหลากหลายทางด้านประเพณี ธรรมชาติ อาหาร เชื้อชาติ ซึ่งทุกอย่างรวมตัวกันอย่างสมดุล มีเอกลักษณ์ที่สามารถเป็นจุดหมายปลายทางสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้อย่างแน่นอน           โดยกิจกรรมในครั้งนี้ยังมุ่งประชาสัมพันธ์และกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวจังหวัดตรัง เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย นำไปสู่การส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่กระจายรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป           กิจกรรมงานวิวาห์ใต้สมุทรในปีนี้ มีกิจกรรมหลัก 3 ส่วน ได้แก่ การจัดขบวนพาเหรด Amazing Thailand Love Wins Carnival โดยมีคู่รักศิลปิน และ Influencer อาทิ สายป่าน-คุณวุฒิ พอร์ช-อาร์ม คู่รัก LGBTQIAN+ และกลุ่มแดร็ก พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และโรงเรียนร่วมขบวนสร้างสีสันของความรักที่มีความหลากหลาย มอบความสนุกสนาน ความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มจากทั่วโลก โดยขบวนพาเหรดมีเส้นทางจาก วงเวียนพะยูน-ตลาดเทศบาลนครตรัง-สี่แยกธรรมรินทร์-ถนนพระราม 6-หอนาฬิกาตรัง ประกอบด้วย 6 ขบวน ได้แก่ The World-Class Procession of Khan Mak: ขบวนขันหมากบันลือโลก, The Miracle Love of Under the Sea: ปาฏิหาริย์รักใต้ท้องทะเล, Save the World with Love: รักษ์โลกใบนี้ด้วยรัก, Treasures of Trang: ของดีเมืองตรัง, Love Wins: รักชนะทุกสิ่ง และ Love is Giving: เพราะรักคือการให้ การจดทะเบียนสมรสใต้ท้องทะเล รดทรายสังข์ ในกิจกรรม Wedding Moment On the Beach : Under the Sea อันเป็นไฮไลต์สำคัญของงาน พร้อมบันทึกภาพประทับใจ ท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยงามของเกาะกระดาน และ Sunset Beach สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม รวมถึงการจัดงานเลี้ยงฉลองวิวาห์คู่รัก Dinner Love wins Party สุดโรแมนติกจะจัดขึ้นที่หาดวิวาห์ใต้สมุทร ภายในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ซึ่งเชื่อว่าการจัดงานในปีนี้ จะเป็นการเติมเต็มให้คู่รักทุกคู่ ได้มีพิธีวิวาห์ที่สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน           โดยในปีนี้ พิธีวิวาห์ใต้สมุทรจะได้สร้างความฮือฮาให้กับโลกอีกครั้ง โดยการเปิดโอกาสให้คู่รัก สมรสเท่าเทียมทุกชาติ ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานวิวาห์ระดับโลกนี้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ในโอกาสที่ประเทศไทยประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเติมเต็มความรักที่สมบูรณ์แบบให้กับคู่รักทุกคู่บนโลกใบนี้ และยังเป็นการสร้างความรักตำนานใหม่ให้กับ “พิธีวิวาห์ใต้สมุทร” ณ จังหวัดตรัง ให้ยิ่งใหญ่สมบูรณ์เป็นที่ประทับใจไปทั่วโลกอีกด้วย [PR News]

The 1 Insight เผยเทรนด์วาเลนไทน์ 2025 ชี้ ‘Healthy Gifting’ มาแรง!

The 1 Insight เผยเทรนด์วาเลนไทน์ 2025 ชี้ ‘Healthy Gifting’ มาแรง!

          หุ้นวิชั่น - The 1 Insight เผยเทรนด์วาเลนไทน์ 2025 พบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค หันมานิยมเลือกซื้อ ของขวัญแนวสุขภาพ (Healthy Gifting) ให้กับคนรักมากขึ้น ในภาพรวม ของขวัญแนวสุขภาพมีการเติบโตสูงขนึ้ ถึง 2 เท่า           โดย 5 สินค้าขายดีสูงสุด ได้แก่ เครื่องออกกำลังกาย สมาร์ทวอทช์รองเท้ากีฬา ชุดออกกำลังกาย และอุปกรณ์กีฬา สะท้อนถึงไลฟ์ สไตล์ของคนในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญ กับสุขภาพมากขึ้น และมีแนวโน้มสูงขึ้น ตามช่วงวัย           โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y, Gen X และ Baby Boomer สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ “Health & Wellness” ที่กำลังมีอิทธิพลทั่วโลกภาพรวมในประเทศไทย การใช้จ่ายช่วงวาเลนไทน์ยังคงเติบโตอย่างตอ่ เนื่อง โดยในปีนี้ ยอดการใช้จ่ายภาพรวมเพิ่มขึ้นจากปี ก่อนกว่า 20% แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังคงให้ความสำคัญกับเทศกาลวาเลนไทน์และถือเป็นโอกาสที่จะแสดงความรักต่อคนรอบข้าง โดยมีกิจกรรมส าคัญคือการมอบของขวัญต่อกัน โดยเมื่อวิเคราะห์ตามช่วง วัย The 1 Insight พบว่า ทัศนคติของคนแต่ละกล่มอายุส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงวาเลนไทน์อย่างเห็นได้ชัด • Gen Z (13-28 ปี ) เน้นสนุกเต็มที่กับวันแห่งความรัก นิยมซื้อเครื่องสำอางและน้ำหอม โดยเฉพาะลิปสติกและ อายแชโดว์ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ • Gen Y (29-44 ปี ) เริ่มดูแลสุขภาพและความงามมากขึ้น มียอดการใช้จ่ายสูงขึ้นในกลุ่มสปอร์ตแวร์จิวเวลรี่ และแอ็กเซสเซอรี่แฟชั่น เนื่องจากมองว่าของขวัญเหล่านี้สามารถเสริมสุขภาพและบุคลิกภาพตามช่วงวัย • Gen X (45 –60 ปี) ไปจนถึง Baby Boomer (61-79 ปี) ยิ่งเน้นหนักการดูแลสุขภาพเพื่อเอาใจใส่กันอย่างลึกซึ้ง นิยมซื้ออุปกรณ์กีฬา สกินแคร์ รวมถึงจับจ่ายวัตถุดิบส าหรับท าอาหารฉลองที่บ้าน ซึ่งสะท้อนถึงการให้คุณค่ากับ การดูแลตัวเองและการใช้ชีวิตที่สมดุล           ข้อมูลจาก The 1 Insight ยังเผยลิสต์ 10 ของขวัญวาเลนไทน์มาแรงปี 2025 ที่มียอดขายเติบโตสูงสุด ได้แก่1. ดอกไม้2.เครื่องออกกำลังกาย 3. สมาร์ทวอทช์ 4. จิวเวลรี่ 5. ตุ๊กตา 6. สปอร์ตแวร์ 7. ช็อกโกแลต/คุกกี้8. นาฬิกา 9. น้ำหอม 10.รองเท้ากีฬา           ผลสำรวจความคิดเห็นในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ 2025 โดย CRC VoiceShare เผยว่า 80% คิดว่าวาเลนไทน์เป็น “วันสำหรับการแสดงออกความรักและความห่วงใย” มีเพียง 15% คิดว่าเป็น “เทศกาลหนึ่งสำหรับวัยรุ่น” และ 5% คิดว่าเป็น “การสร้างโอกาสทางธุรกิจ” กิจกรรมยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ ออกไปทานอาหารนอกบ้าน ช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า ชมภาพยนตร์ ทำอาหารทานที่บ้าน และออกกำลังกาย นอกจากนั้น ยังพบว่าคนไทยเลือกมอบของขวัญให้กับคนใน ครอบครัวเป็นอันดับหนึ่งที่ 45% รองลงมาคือคนรัก 40% เพื่อน 10% และตนเอง 5% โดยส่วนใหญ่มีงบประมาณอยู่ที่ 500 –2,000 บาทต่อชิ้น และซื้อล่วงหน้า 1 สัปดาห์ก่อนถึงวันวาเลนไทน์

รมว. คลัง ตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับตลาดทุน

รมว. คลัง ตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับตลาดทุน

        หุ้นวิชั่น - นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ กำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) จำนวน 2 ราย ได้แก่ นายชนันต์ ชาญชัยณรงค์ และนางวารุณี ปรีดานนท์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2568 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งแทนนางศรัณยา จินดาวณิค และนายเอกชัย จงวิศาล ที่ครบวาระ นายชนันต์ ชาญชัยณรงค์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมเคมี จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ จาก Seattle University ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย นางวารุณี ปรีดานนท์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (เกียรตินิยม) บัญชีบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ จาก Western Illinois University ประเทศสหรัฐอเมริกา  ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่สำคัญ เช่น กรรมการและประธานคณะกรรมการวิชาชีพบัญชีด้านการวางระบบบัญชี สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นต้น

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

คลังเล็งทบทวนแผนเก็บภาษี หวังเห็นโอกาสลงทุนไหลกลับ

คลังเล็งทบทวนแผนเก็บภาษี หวังเห็นโอกาสลงทุนไหลกลับ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า รมว. คลัง เปิดเผย กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาที่จะปรับปรุงกฎหมายการเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยนำเงินเข้าประเทศ ซึ่งตนกำลังพิจารณาทบทวนกฎหมายนี้เพื่อสนับสนุนให้คนไทยนำเงินเข้าประเทศ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET ที่มีโอกาสเห็นเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลกลับเข้ามาลงทุน และหุ้น Big Cap เน้นหุ้น 7 Value ที่เรา ประเมินทุกๆ 1 หมื่นล้านบาทที่กลับเข้ามาจะหนุน SET ได้ราว 20-25 จุด อย่างไรก็ตาม ในส่วนดังกล่าวยังต้องติดตามรายละเอียดมาตรการอีกครั้ง

ราคาทองเช้าวันนี้

ราคาทองเช้าวันนี้ "ราคาไม่เปลี่ยนแปลง" ทองรูปพรรณ ขายออก 47,200 บ.

  หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  14 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 46,600.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,700.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 45,768.04 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 47,200.00 บาท

ASW เปิดคอนโดติดรฟฟ. 0 ม.

ASW เปิดคอนโดติดรฟฟ. 0 ม. "Atmoz De Sol Thipphawan Station"

          “แอสเซทไวส์” เปิดคอนโดใหม่ “แอทโมซ เดอ โซล ทิพวัล สเตชั่น” (Atmoz De Sol Thipphawan Station) ติดรถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีทิพวัล 0 ม. เชื่อมสายสีเขียวสุขุมวิทใน 1 สถานี ติดถนนเทพารักษ์ ใกล้แหล่งงาน-สถานศึกษา-ไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและลงทุน Yield สูงสุด 6%* โชว์คอนเซ็ปต์ความสมดุลของชีวิตผ่านงานออกแบบ Asian Oriental Design ส่วนกลางสไตล์รีสอร์ท เยอะสุดในย่านกว่า 30 รายการ ชูไฮไลท์สระว่ายน้ำทุกอาคารรวม 3 สระ พร้อม Private Onsen แห่งเดียวในทำเลบางนา! เปิดชมห้องตัวอย่างครั้งแรก 22 ก.พ. นี้           นางสาวพชร ประพันธ์วัฒนะ กรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม “แอทโมซ เดอ โซล ทิพวัล สเตชั่น” (Atmoz De Sol Thipphawan Station) มูลค่าโครงการ 1,700  ล้านบาท โครงการที่อยู่อาศัยแห่งแรกของแอสเซทไวส์บนทำเลบางนา-เทพารักษ์ ซึ่งออกแบบภายใต้แนวคิด “Sense The Living Soul” สัมผัสสุนทรียะแห่งสมดุลผ่าน Asian Oriental Design ที่นำองค์ประกอบของพระอาทิตย์และพระจันทร์ มาผสานกับพื้นผิววัสดุ ลายผ้า และเส้นสายสไตล์ญี่ปุ่น สื่อถึงความสมบูรณ์และความสมดุลของการใช้ชีวิต บนทำเลศักยภาพใกล้แหล่งงาน สถานศึกษา และแหล่งไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์ทั้งซื้ออยู่อาศัยเองและลงทุนปล่อยเช่า โดยจะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรกวันที่ 22 ก.พ. 2568 นี้           “ทำเลบางนา-เทพารักษ์ ถือเป็นหนึ่งในแหล่งงานสำคัญของประเทศไทย เพราะเป็นที่ตั้งฐานการผลิตของบริษัทชั้นนำทั้งในไทยและต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจมายาวนาน รายล้อมด้วยสถานศึกษาเอกชนและโรงเรียนนานาชาติหลายแห่ง มีเส้นทางการคมนาคมที่ครอบคลุม ทั้งถนนสายหลัก ทางด่วน และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ทำให้ทำเลนี้มีดีมานด์ที่อยู่อาศัยค่อนข้างสูง โดยห้องชุดแต่งพร้อมอยู่ในย่านนี้สามารถปล่อยเช่าได้ตั้งแต่ 8,000-12,000 บาทต่อเดือน มีอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Yield) ประมาณ 5.5-6% ต่อปี* ด้วยศักยภาพของทำเล เราจึงเลือก Atmoz แบรนด์คอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทที่โดดเด่นด้วยส่วนกลางขนาดใหญ่ มาเป็นแบรนด์แรกในการเจาะตลาดนี้ เพื่อตอบโจทย์ทั้งผู้อยู่อาศัยและนักลงทุนที่มองหาความคุ้มค่าในระยะยาว” นางสาวพชร กล่าว           สำหรับโครงการแอทโมซ เดอ โซล ทิพวัล สเตชั่น (Atmoz De Sol Thipphawan Station) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 11 ชั้น จำนวน 1 อาคาร และอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร จำนวนห้องพัก 690 ยูนิต และพื้นที่เชิงพาณิชย์ 4 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ ติดถนนเทพารักษ์ หนึ่งในถนนสายหลักของจังหวัดสมุทรปราการ สามารถเชื่อมต่อกับถนนสุขุมวิท ถนนศรีนครินทร์ ใกล้ทางด่วนบางนาและวงแหวนอุตสาหกรรม จึงเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก หรือเดินทางออกนอกเมืองไปยังบางบ่อ บางพลี และบางปู ซึ่งเป็นแหล่งนิคมอุตสาหกรรมและแหล่งงานที่สำคัญได้เช่นกัน ทั้งยังติดรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีทิพวัล เพียง 0 ม. แค่ 2 สถานี ถึง Foodland ศรีนครินทร์ (เปิด 24 ชม.) และเพียง 7 สถานีถึง Seacon Square และ Paradise Park ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สามารถไปยังสถานีสำโรงได้ภายใน 1 สถานี จึงเข้าถึงย่านใจกลางเมือง เช่น เอกมัย ทองหล่อ และอโศกได้อย่างง่ายดาย           นอกจากนี้ ยังรายล้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ทั้งศูนย์การค้า สถานศึกษา และแหล่งงาน เช่น โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ, โรงเรียนนานาชาติ St.Andrews, โรงเรียนเซนต์โยเซฟทิพวัล, โรงงานขนาดใหญ่ เช่น ฮีโน่ มอเตอร์ส และเด็นโซ่ (ประเทศไทย), คอมมูนิตี้มอลล์ Palm Island, ห้าง Imperial Samrong และเมกะโปรเจกต์ในอนาคตอย่าง Bangkok Mall           ภายในโครงการมีห้องพักแบบ Fully Furnished ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที ทั้งรูปแบบ 1 Bedroom ขนาดตั้งแต่ 23-27 ตร.ม. และ 1 Bedroom Plus ขนาด 37 ตร.ม. ทั้งยังมอบบรรยากาศสไตล์รีสอร์ท ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันกว่า 30 ฟังก์ชัน อาทิ Sol Lounge ล็อบบี้แบบ Double Volume สูงโปร่ง Private Cafe พื้นที่ทำงานส่วนตัว Game Room & Creative workspace สำหรับพักผ่อนสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ทุกอาคารรวม 3 สระ และ Private Onsen แยกบ่อน้ำร้อน-น้ำเย็นแห่งเดียวในย่านบางนา รองรับทุกไลฟ์สไตล์การพักผ่อน ราคาเริ่มต้น 1 ล้านกว่าบาท โดยจะเปิดเผยราคาอย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรกวันที่ 22 ก.พ. 68 นี้           ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการ Atmoz De Sol Thipphawan Station และลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท ได้ที่ https://bit.ly/3COotVr  หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Add LINE @atmozdesol หรือ โทร 02-168-0000 [PR News]

abs

Hoonvision

ตลท. ยกระดับมาตรฐานบรรษัทภิบาล ตอกย้ำหน้าที่กรรมการตรวจสอบ ผู้บริหาร และผู้ลงทุน

ตลท. ยกระดับมาตรฐานบรรษัทภิบาล ตอกย้ำหน้าที่กรรมการตรวจสอบ ผู้บริหาร และผู้ลงทุน

            หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย จัด SET Sustainability Forum 1/2025 ภายใต้แนวคิด “Strengthening Market Confidence Through Audit Excellence” ในวันที่ 13 ก.พ. 2568 โดยเชิญ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์  สมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย ร่วมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านบรรษัทภิบาล ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน แสดงวิสัยทัศน์ และแลกเปลี่ยนมุมมองในการยกระดับการกำกับดูแลกิจการไทย สอดรับมาตรฐานการตรวจสอบภายในฉบับใหม่ พร้อมผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่าง AC-CEO-CAE             ศาสตราจารย์ ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวในปาฐกถาพิเศษ "Strengthening Market Confidence Through Audit Excellence" ว่า การเสริมสร้างธรรมาภิบาลและการเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่บริษัทจดทะเบียน ด้วยการให้ความสำคัญกับระบบควบคุมภายใน ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ต้องปฏิบัติหรือจัดให้มีเพื่อให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ (Compliance Issue) เท่านั้น แต่คณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบควรให้ความสำคัญ (Tone at the top) และกำหนดเป็นประเด็นเชิงกลยุทธ์ (Strategic Issue) เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินงานให้มีระบบควบคุมภายในที่มีความเพียงพอและเหมาะสมในบริษัทจดทะเบียน ดังนั้น Tone at the top จึงเป็นกลไกที่สำคัญมาก             ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายของตลาดทุนโลก ทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และวิกฤตความเชื่อมั่น การยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการและการตรวจสอบภายใน คือกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งการผสานความร่วมมือระหว่าง Audit Committee (AC), Chief Executive Officer (CEO) และ Chief Audit Executive (CAE) หรือที่เรียกว่า 'The Governance Trinity' จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้             นายพงศ์ศักดิ์ แสงสิงคี นายกสมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย ย้ำถึงมาตรฐานการตรวจสอบภายในฉบับใหม่ที่เริ่มบังคับใช้เมื่อปลายปี 2567 ซึ่งได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องมาตรฐานสากล คำนึงถึงบริบทของตลาดทุนไทย และมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่าง AC-CEO-CAE เพื่อมุ่งยกระดับการกำกับดูแลกิจการสู่การสร้างมูลค่าที่ยั่งยืน             นอกจากนี้ ภายในงานยังมี 2 หัวข้อเสวนาที่น่าสนใจ 1) “The Governance Trinity: AC, CEO, and CAE Partnership” ได้รับเกียรติจาก ดร. ศุภมิตร เตชะมนตรีกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย ร่วมด้วย นายอนุวัฒน์ จงยินดี กรรมการตรวจสอบ บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป และนางอมราภรณ์ ศิวเสน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Internal Audit ธนาคารยูโอบี จำกัด(มหาชน) แลกเปลี่ยนมุมมองความสำคัญของการบูรณาการการทำงานระหว่าง AC, CEO และ CAE และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบภายใน 2)  “From Governance to Growth: The Value Creation Journey” ได้รับเกียรติจากนางสาวสุวภา เจริญยิ่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์ฯ นายครรชิต บุนะจินดา กรรมการตรวจสอบ บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ. กสิกรไทย และ ดร. วราพงศ์ วงศ์วัชรา หัวหน้าสำนักงานความยั่งยืน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ร่วมแบ่งปันมุมมองการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมาตรฐานการกำกับดูแลในปัจจุบันต่อการสร้างมูลค่าและคุณค่าของธุรกิจในระยะยาว             ติดตามรายละเอียดงานสัมมนาและข่าวสารด้านความยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทาง www.SETSustainability.com และ LINE Official: @SETsustainability

9 หุ้นแกร่ง ลุ้นรีบาวน์แรง รับ Cover Short

9 หุ้นแกร่ง ลุ้นรีบาวน์แรง รับ Cover Short

หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ บรรยากาศลงทุน SET ที่เริ่มฟื้นตัวจากโซนลงทุน จากความคาดหวังเชิงบวกการกลับมาDomestic Long Term Fund ประเมินมีหุ้นอีกชุด Underperform SET และถูก Short สูงมีโอกาสรีบาวน์แรงจากการเร่ง Cover Short ภายใต้เกณฑ์ ผลตอบแทน YTD เคลื่อนไหว Underperform SET100 ที่ YTD ให้ผลตอบแทน -7.3% ยอด Short Sales สูงกว่าค่าเฉลี่ยหุ้นใน SET100 ที่ 0.64% ของทุนชำระแล้ว อิงเกณฑ์ดังกล่าว ผสาน องค์ประกอบที่เป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่งระดับหนึ่งในทางพื้นฐานและมีปัจจัยหนุนรออยู่ ได้ 9 บริษัทที่เหมาะกับการลงทุนลุ้นรีบาวน์แรงดังนี้           BGRIM (YTD -32.8%, Short Sales 1.19%) กระแสเทคโนโลยีระยะนี้กลับมาเด่น คาดมีโอกาสหนุนหุ้นโรงไฟฟ้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลัก           OSP (YTD -27.9%, Short Sales 1.51%) เตรียมรับช่วงหน้าร้อน มี.ค.- เม.ย.68           SPRC (YTD -22.9%, Short Sales 1.59%) ค่าการกลั่นเช้าวันนี้เร่งขึ้นสู่ 4.07 เหรียญฯ +22.6%d-d           JMT (YTD -21.98%, Short Sales 0.97%) งบ 4Q24 มีสัญญาณ Cash Collection ฟื้นตัว q-q           BANPU (YTD -21.7%, Short Sales 1.26%) มีโอกาสได้รับประโยชน์ทางบวกธุรกิจในสหรัฐฯ           COM7 (YTD -17.3%, Short Sales 0.78%) คาดยอดจับจ่ายปลายปี-ต้นปีคึกคักต่อเนื่องตามฤดูกาล + มาตรการกระตุ้นรัฐฯ           WHA (YTD -16%, Short Sales 1.13%) หุ้นนิคมมีสัญญาณบวก FDI เร่งต่อเนื่อง ผสาน จิตวิทยาบวก Trade Tension เข้ามาเป็นระยะๆ           BH(YTD -12.3%, Short Sales 1.1%) ภาพใหญ่สังคมสูงวัยไม่เปลี่ยน ขณะที่หุ้นถูกกดันจากปัจจัยลบชั่วคราว           KCE (YTD -11.8%, Short Sales 2.15%) แรงกดดันอุตสาหกรรมยานยนต์บรรเทาลง โดยเฉพาะล่าสุดภาษีเท่าเทียม เตรียมยกเว้นสินค้ายา+ยานยนต์ เชิงกลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรหุ้นชุดดังกล่าว BGRIM, OSP, SPRC, JMT, BANPU, COM7, WHA ,BH, KCE ลุ้นรีบาวน์แรงจากการเร่ง Cover Short

เรื่องต้องรู้ ก่อน “กู้ร่วม” ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด

เรื่องต้องรู้ ก่อน “กู้ร่วม” ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด

            หุ้นวิชั่น - ttb ระบุว่า เดือนกุมภาพันธ์ หลายคนมักจะคิดถึง ‘วันวาเลนไทน์’  ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งความรักและถือเป็นโอกาสแห่งการเริ่มต้นที่ดีสำหรับคู่รักที่กำลังมองหาบ้านสักหลัง เพื่อเริ่มต้นชีวิตคู่หรือขยับขยายครอบครัว ร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน แต่การจะได้เป็นเจ้าของบ้านสักหลังอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบางคน ดังนั้น เพื่อให้ได้วงเงินที่เพียงพอแก่การเป็นเจ้าของบ้านที่ต้องการ และมีโอกาสได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารง่ายขึ้น จึงจำเป็นต้องอาศัยการกู้ร่วม สินเชื่อบ้านทีทีบี จึงขอนำความรู้เกี่ยวกับการ “กู้ร่วม” เพื่อซื้อบ้าน ซื้อคอนโด มาฝาก เพื่อเข้าใจเรื่องการกู้ร่วมมากขึ้น             “กู้ร่วม” คือการขอสินเชื่อร่วมกันเพื่อให้ได้วงเงินมากพอต่อการเป็นเจ้าของบ้านที่ต้องการ และยังมีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อธนาคารได้ง่ายขึ้น เพราะการกู้ร่วมเหมือนการร่วมลงเรือลำเดียวกันที่ทุกคนจะช่วยกันพายเรือนั้นไปจนถึงฝั่ง ธนาคารจะมีความมั่นใจว่าสามารถผ่อนชำระได้ตามกำหนด ซึ่งการกู้ร่วมปกติแล้วจะกู้ร่วมได้ไม่เกิน 3 คน (ผู้กู้หลัก 1 คน และ กู้ร่วมสูงสุด 2 คน) โดยคนที่กู้ร่วมได้ ได้แก่ คนที่มีนามสกุลเดียวกัน เช่น พี่-น้อง พ่อ-แม่-ลูก  พี่-น้องท้องเดียวกัน แม้จะคนละนามสกุลก็สามารถกู้ร่วมได้ โดยต้องแสดงหลักฐานว่ามีพ่อแม่คนเดียวกัน สามี-ภรรยา และ คู่รัก LGBTQ+ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า “การกู้ร่วม” มีข้อดีมากกว่าที่คิด นั่นคือ ขออนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น คนที่ต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดฯ แต่กังวลว่าจะไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณาของธนาคาร หากมีผู้กู้ร่วมที่มีสุขภาพการเงินแข็งแรง ก็จะเพิ่มความน่าเชื่อถือมากขึ้น เพิ่มโอกาสได้วงเงินกู้สูงขึ้น หากราคาบ้านที่ต้องการซื้อ มีราคาสูงเกินกว่าวงเงินที่ยื่นกู้คนเดียว การกู้ร่วมก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้วงเงินที่ต้องการกู้นั้นสูงขึ้นได้ ไม่ต้องแบกภาระคนเดียว การกู้ร่วมซื้อบ้านหรือคอนโดทำให้มีคนช่วยกันผ่อนชำระหนี้ และเป็นการกระจายความเสี่ยง เผื่อวันหนึ่งขาดสภาพคล่อง ก็ยังมีผู้กู้ร่วมที่สามารถชำระหนี้ได้             อย่างไรก็ดี ก่อนการกู้ร่วมนั้น ควรตัดสินใจให้ดีและตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน เพราะการกู้ร่วมคือการรับผิดชอบหนี้ร่วมกัน ดังนั้นหากมีการผิดนัดชำระหนี้หรือถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาด ธนาคารมีสิทธิ์ที่จะเรียกชำระหนี้จากใครก็ได้ที่เป็นผู้กู้ร่วม นอกจากนี้ การใส่ชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์นั้น จะใส่ชื่อคนเดียว หรือใส่ชื่อผู้กู้ร่วมทุกคน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันก็ได้  สำหรับการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีนั้น  สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามจ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยหารเฉลี่ยตามจำนวนผู้กู้             ทั้งนี้  หากต้องการยกเลิกกู้ร่วม จะถอนชื่อกู้ร่วมได้ก็ต่อเมื่อธนาคารพิจารณาแล้วว่าผู้กู้ร่วมที่เหลืออยู่สามารถผ่อนชำระไหว หรือใกล้หมดสัญญาแล้ว แต่ถ้าธนาคารเห็นว่าคนที่เหลืออยู่ผ่อนไม่ไหว ก็ต้องหาคนอื่นมากู้ร่วมซื้อบ้านหรือคอนโดแทน             เพราะความรักที่แท้จริงต้องมีรากฐานที่มั่นคง บ้านในฝันจึงเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่ยั่งยืน ทีทีบีพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนทุกคู่รักให้มีบ้านในฝัน ไม่ว่าจะเป็นการกู้เดี่ยวหรือกู้ร่วม ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ก็สามารถยื่นขอสินเชื่อบ้านได้ โดยสินเชื่อบ้านทีทีบี มีบริการสินเชื่อที่ตอบโจทย์ทั้งสินเชื่อบ้านใหม่และสินเชื่อบ้านมือสอง  สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ และ สินเชื่อบ้านแลกเงิน ด้วยดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนสบาย  พร้อมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญดูแล ให้คำปรึกษาถึงที่ สนใจสินเชื่อบ้านทีทีบี สอบถามได้ที่เจ้าหน้าที่ทีทีบี ทุกสาขาทั่วประเทศ  หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่แอป ttb touch และเว็บไซต์ธนาคาร คลิก  https://www.ttbbank.com/link/homeloan-pr             *กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว : สินเชื่อบ้านใหม่-มือสอง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.939% - 6.648% ต่อปี • สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์  อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.862%-5.315% ต่อปี • สินเชื่อบ้านแลกเงิน  อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 6.496% - 8.158% ต่อปี • สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย  MRR ณ วันที่ 1 พ.ย. 2567=7.705% ต่อปี • อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ •เงื่อนไขการสมัคร และอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด •ศึกษารายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูได้ที่เว็บไซต์ https://www.ttbbank.com [PR News]

ราคาทองเช้าวันนี้ +100 บ. ทองรูปพรรณ ขายออก 47,250 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ +100 บ. ทองรูปพรรณ ขายออก 47,250 บ.

          หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  13 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 100 ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 46,650.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,750.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 45,813.52 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 47,250.00 บาท

PTG แจก

PTG แจก "พวงกุญแจ ThaiGP 2025" เปิดประสบการณ์ “PT Grand Prix of Thailand 2025”

          หุ้นวิชั่น - นายสุทธิพงษ์ วรรณวานิช (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปิโตรเลียมไทยคอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมันพีที ในกลุ่ม บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) พร้อมผู้บริหาร ขอเชิญชวนลูกค้าทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลก หรือ โมโตจีพี 2025 ซึ่งประเทศไทยได้รับโอกาสครั้งสำคัญในการเป็นเจ้าภาพ สนามที่ 1 ในการเปิดฤดูกาลการแข่งขันประจำปีนี้ ภายใต้ชื่อรายการ “PT Grand Prix of Thailand 2025” การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกที่ได้รับความนิยมจากแฟนๆชาวไทยและทั่วโลก           ทั้งนี้ พีที สเตชั่น ได้จัดแคมเปญมอบของพรีเมียมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ "พวงกุญแจ ThaiGP 2025" ให้กับสมาชิกบัตร PT Max Card ได้เก็บสะสมเป็นที่ระลึก เพียงเติมน้ำมันกลุ่มเบนซินทุกชนิด ครบ 1,000 บาท หรือ เมื่อเติมน้ำมันดีเซล ครบ 1,200 บาท รับทันทีพวงกุญแจ ThaiGP 2025 จำนวน 1 ชิ้น (มูลค่า 159 บาท) ที่สถานีบริการน้ำมันพีทีที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 - วันที่ 9 มีนาคม 2568 หรือจนกว่าของจะหมด [PR News]

3 เรื่องต้องรู้ ท่องเที่ยววาเลนไทน์

3 เรื่องต้องรู้ ท่องเที่ยววาเลนไทน์

          AirAsia MOVE เผย 3 พฤติกรรมนักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ทั้งสายเที่ยวฉายเดี่ยว หรือคนโสด (Solo Traveller) และสายคู่รักนักเดินทาง – คนมีคู่ (Couple Traveller) พร้อมออกแพ็กเกจท่องเที่ยวสุดคุ้มให้คุณได้เติมหวานจนน้ำตาลเรียกพี่กับวาเลนไทน์นี้ รักใครให้พาไปเที่ยวกับ AirAsia MOVe 𝗦𝗡𝗔𝗣! ด้วยดีลคุ้มสุดๆ เที่ยวบินแอร์เอเชียไป-กลับ + ที่พัก 3 วัน 2 คืน กับแพ็กเกจแนะนำสู่เส้นทางสุดโรแมนติก: เชียงใหม่ เริ่มต้น 3,268 บาท/ท่าน* กรุงเทพฯ เริ่มต้น 4,952 บาท/ท่าน* กัวลาลัมเปอร์ เริ่มต้น 6,703 บาท/ท่าน* โอซาก้า เริ่มต้น 17,581 บาท/ท่าน* และเส้นทางอื่นๆ อีกมากมาย ลดเพิ่ม 450 บาท** ทุกแพ็กเกจ เพียงใช้โค้ด 𝗦𝗡𝗔𝗣𝗡𝗢𝗪 ที่หน้าชำระเงิน หากคุณเดินทางท่องเที่ยวบ่อย หรือชอบความสะดวกสบายในการวางแผน แพ็กเกจแบบนี้ช่วยลดความยุ่งยากไปได้ เพราะคุณจะได้ราคาที่ถูกกว่าการจองตั๋วและที่พักแยกกัน มีตัวเลือกโรงแรมหลากหลาย ตั้งแต่ราคาประหยัดไปจนถึงระดับพรีเมียม และสามารถเลือกเส้นทางบินและช่วงเวลาที่ต้องการได้ตามสะดวก จองเลย 𝗦𝗡𝗔𝗣 ตั้งแต่วันที่ 3 - 14 กุมภาพันธ์ 2568 ออกเดินทางได้ตั้งแต่ 3 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2568 *ราคาที่แสดงเป็นราคาต่อท่าน สำหรับการจองห้องพักเมื่อเข้าพัก 2 ท่าน รวมค่าโดยสารไป-กลับและการเข้าพัก 3 วัน 2 คืน **เมื่อมียอดจองขั้นต่ำ 7,700 บาท โค้ดมีจำนวนจำกัดต่อวัน เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของบริษัทฯ AirAsia MOVE เผย 3 พฤติกรรมสายเที่ยวฉายเดี่ยวหรือคนโสด (Solo Traveller) ชอบเดินทางอิสระ ไม่ต้องรอใคร เน้นการค้นหาตัวเองและเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ลองอาหารท้องถิ่น หรือเดินชมเมืองแบบสโลว์ไลฟ์ พฤติกรรมการจองที่พัก: 32 % ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จองที่พัก ล่วงหน้าเพียง 8-14 วัน ก่อนออกเดินทาง นิยมเลือกที่พักแบบ บัดเจทโฮเทล หรือที่พักราคาประหยัด อาทิ โฮสเทล ที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว 3 พฤติกรรม สายคู่รักนักเดินทาง – คนมีคู่ (Couple Traveller) วางแผนทริปร่วมกัน เน้นบรรยากาศโรแมนติก มองหาสถานที่ที่มีวิวสวยสำหรับดินเนอร์และถ่ายรูป ชอบทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ล่องเรือ ขี่จักรยาน เที่ยวสวนสนุก พฤติกรรมการจองที่พัก: 47 % ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จองที่พัก ล่วงหน้า 22-30 วันล่วงหน้า เพื่อให้ได้ห้องพักที่ต้องการ คู่รักนิยมเลือกที่พักแบบแพ็กเกจที่มาพร้อมกับตั๋วเครื่องบินและโรงแรมราคาคุ้มค่า เพราะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยว โดยมองหาที่พักแบบ รีสอร์ทหรู โรงแรม 4-5 ดาว หรือพูลวิลล่า เพื่อเพิ่มบรรยากาศพิเศษ           AirAsia MOVE มอบทุกสิ่งที่คุณต้องการเกี่ยวกับการเดินทางในแอปพลิเคชั่นเดียวอย่างไร้รอยต่อ ในฐานะตัวแทนการท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) ที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค ซึ่งมีสายการบินมากกว่า 700 สายการบินและพันธมิตรโรงแรมทั่วโลกกว่า 900,000 แห่งให้คุณเลือก!           ติดตามข้อมูลข่าวสารที่อัปเดตก่อนใครจาก AirAsia MOVE โดยติดตาม Instagram @airasiamove.th และ TikTok @airasiamove.th รวมทั้ง Facebook @airasiamove.th เพื่อรับข่าวสารล่าสุด สำหรับประสบการณ์การท่องเที่ยวและการเดินทางที่ราบรื่น ดาวน์โหลดแอป AirAsia MOVE ของคุณจาก Apple App Store และ Google Play Store หรือ Huawei AppGallery

40 ปี THANA เติบโตคู่เมืองนนท์ สร้างบ้านน่าอยู่ในใจคนเมือง

40 ปี THANA เติบโตคู่เมืองนนท์ สร้างบ้านน่าอยู่ในใจคนเมือง

           ธนาสิริ กรุ๊ป ภายใต้แบรนด์ “ธนาสิริ” มุ่งมั่นสร้างสังคมที่ร่มรื่น อบอุ่น ในทุกจังหวะชีวิตอย่างยั่งยืน มามากกว่า 30 โครงการที่อยู่อาศัยบนทำเลศักยภาพ กว่า 40 ปีที่ได้เติบโตเคียงข้างกับจังหวัดนนทบุรี หนึ่งทำเลยุทธศาสตร์ที่มีการขยายตัวความเป็นเมืองที่เพียบพร้อมเหมาะสำหรับการอยู่อาศัย พร้อมสรรพด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และโครงสร้างพื้นฐานของการอยู่อาศัยสำหรับทุกคนในครอบครัว            นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (THANA) กล่าวว่าจังหวัดนนทบุรีมีการขยายตัวสู่ความเป็นเมืองมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการส่งเสริมโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ถนน ระบบขนส่งสาธารณะ และสาธารณูปโภคต่างๆ รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และศูนย์การค้าแนวคอมมูนิตี้มอลล์มากมาย ทั้งหมดนี้ช่วยผลักดันให้กลายเป็นเมืองที่มีศักยภาพชั้นดีเชื่อมต่อไปยังกรุงเทพฯ อย่างไร้รอยต่อ            “นับตั้งแต่ที่รถไฟฟ้าสายสีม่วง และสายสีชมพู เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ได้เชื่อมต่อความสะดวกสบายระหว่างจังหวัดนนทบุรีเข้าสู่กรุงเทพฯ ทำให้เป็นกลายเป็นพื้นที่หนึ่งเดียวกัน เชื่อมโยงเข้าสู่แหล่งงานต่างๆ ตลอดจนหน่วยงานราชการที่สำคัญ รวมถึงพื้นที่สีเขียวที่มีทั้งสวนสาธารณะขนาดใหญ่ สวนหย่อมขนาดเล็ก พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ สู่ความเป็นเมืองน่าอยู่ที่เหมาะสำหรับที่อยู่อาศัยในใจคนเมืองที่สามารถมอบคุณภาพชีวิตของการอยู่อาศัยได้อย่างสมบูรณ์”            นอกจากนั้นยังมีโครงข่ายระบบถนนที่เชื่อมต่อการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น โครงการถนนต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์ และกาญจนาภิเษก (แนวเหนือใต้) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสามารถเดินทางจากราชพฤกษ์มาถึงใจกลางสาทรได้ในระยะเวลาไม่ถึง 40 นาที และโครงการถนนต่อเชื่อมถนนนครอินทร์ และรัตนาธิเบศร์ (แนวตะวันออกตะวันตก) เชื่อมต่อไปสู่ถนนงามวงศ์วาน และวงศ์สว่าง ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ            “โดยตลอดระยะเวลา 40 ปี ธนาสิริ กรุ๊ป ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ บนทำเลศักยภาพจังหวัดนนทบุรี มาแล้วกว่า 30 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท รองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่หลากหลาย เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าบริษัทมีการเติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของจังหวัด โดยในอนาคตเรามีแผนพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ปัจจุบันยังคงมีการสำรวจที่ดินที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยในพื้นที่นี้อยู่ประมาณ 2-3 แห่ง และเปิดรับข้อเสนอการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน เนื่องจากเชื่อมั่นในศักยภาพของทำเลที่เข้าถึง และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง”            และเพื่อเป็นการต้อนรับเดือนแห่งความรัก ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ นี้ ธนาสิริ กรุ๊ป จัดแคมเปญพิเศษ "บ้านนี้...มีรัก" กับ 12 โครงการคุณภาพ ทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว พร้อมเติมเต็มชีวิตไปด้วยกัน กับบ้านราคาดีที่ลงตัว เริ่ม 1.99 - 15.9 ลบ.* พร้อมจัดเต็มของขวัญสุดพรีเมี่ยม มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท ทั้งฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน เครื่องปรับอากาศทั้งหลัง ค่าส่วนกลาง 2 ปี เฟอร์นิเจอร์สุดคุ้ม ชุดครัวครบครัน ตลอดจนหลังคาที่จอดรถคุณภาพ และระบบควบคุมการทำงานอัตโนมัติในบ้าน เพื่อสร้างความสะดวกสบาย และความปลอดภัยสำหรับผู้อาศัย และคอร์สบริการสุขภาพจากโฮมมี่ เวลเนส เพื่อดูแลคุณตลอดการอยู่อาศัย [PR News]

[ภาพข่าว] APM เยี่ยมชมโครงการ  ของ นครพลัส พร็อพเพอร์ตี้

[ภาพข่าว] APM เยี่ยมชมโครงการ ของ นครพลัส พร็อพเพอร์ตี้

          ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ (กลาง) และคุณสุริยา ธรรมธีระ (ที่ 2 จากขวา) รองกรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยทีมงานบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เข้าเยี่ยมชมโครงการชาร์ลอตต์ คอนโดมิเนียม ของบริษัท นครพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด โดยมีคุณธนวินท์ ปรียานุพันธ์ (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคุณวิทิต ปรียานุพันธ์ (ที่ 3 จากซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ให้การต้อนรับ ณ จังหวัดขอนแก่น เมื่อเร็วๆนี้

ทองคำทั่วโลกราคาพุ่งทำสถิติ ไทยฮอต ติดอันดับ7

ทองคำทั่วโลกราคาพุ่งทำสถิติ ไทยฮอต ติดอันดับ7

          รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำประจำไตรมาสที่ 4 และการสรุปภาพรวมตลอดปี 2567 ของสภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) ได้เปิดเผยข้อมูลความต้องการทองคำทั่วโลกที่รวมปริมาณการซื้อขายทองคำนอกตลาดหลักทรัพย์ ‎(Over-the-counter: OTC) ซึ่งได้ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ด้วยจำนวนรวม 4,974 ตัน โดยประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นตลาดทองคำที่มีความแข็งแกร่งในปี 2567 และมีปริมาณความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก ที่จำนวน 39.8 ตัน คิดเป็นการเติบโตสูงถึง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า           สภาทองคำโลกระบุว่าความต้องการทองคำทั่วโลกในปี 2567 นั้นได้รับแรงขับเคลื่อนจากการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งของธนาคารกลาง และการเติบโตของความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน ราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้งและปริมาณความต้องการที่พุ่งสูงในปีที่ผ่านมา ได้ร่วมกันส่งผลให้ความต้องการทองคำรวมมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ           ธนาคารกลางยังคงซื้อทองคำในปริมาณที่มหาศาลอย่างต่อเนื่องในปี 2567 โดยมีปริมาณการซื้อในระดับสูงกว่า 1,000 ตัน เป็นปีที่สามติดต่อกัน และการเข้าซื้อทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของธนาคารกลางในไตรมาสที่ 4 จำนวน 333 ตัน ได้ส่งผลให้ยอดรวมการซื้อทองคำของธนาคารกลางตลอดทั้งปีอยู่ที่ 1,045 ตัน           ด้านความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนทั่วโลกนั้นได้เพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ ‎1,180 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 4 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการลงทุนในกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำแท่งสำหรับนักลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 ทั้งนี้กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณทองคำจำนวน 19 ตันในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 นับว่าเป็นกระแสการลงทุนในทิศทางไหลเข้าต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่สองสำหรับสินทรัพย์ประเภทนี้ ขณะที่ความต้องการในทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกยังคงระดับใกล้เคียงกับปี 2566 อยู่ที่ปริมาณ 1,186 ตันสำหรับปี 2567 โดยประเทศไทยมีระดับความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำในไตรมาสที่ 4 จำนวน 14.6 ตัน เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ทำให้ปริมาณความต้องการของประเทศไทยรวมตลอดทั้งปี 2567 อยู่ที่จำนวน 39.8 ตัน           เนื่องจากสภาวะราคาทองคำที่พุ่งสูง สภาทองคำโลกจึงมองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อความต้องการทองคำเครื่องประดับนั้นเป็นแนวโน้มที่ไม่น่าแปลกใจ โดยปริมาณการบริโภคทองคำเครื่องประดับทั่วโลกสำหรับปี 2567 ได้ลดลง 11% อยู่ที่ระดับ 1,877 ตัน อย่างไรก็ตามความต้องการทองคำเครื่องประดับของไทยยังคงแข็งแกร่งและปรับลดลงเพียง 2% และมีความต้องการรายปีรวมเป็น 9.0 ตัน  ทั้งนี้การลดลงของความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลกส่วนใหญ่นั้นมีที่มาจากประเทศจีน ซึ่งปรับลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่อินเดียยังมีปริมาณความต้องการที่แข็งแกร่งและลดลงเพียง 2% เท่านั้น ภายใต้สภาวะของราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์           คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลก ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ราคาทองคำที่สูงต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2567 นั้นถือว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับผู้บริโภคในตลาดกลุ่มประเทศอาเซียน อย่างไรก็ตามประเทศไทยนับว่ามีความแข็งแกร่งกว่าตลาดอื่น ๆ โดยมีปริมาณการบริโภคทองคำเครื่องประดับของไทยลดลงเพียง 2% ขณะที่ทั่วโลกได้ปรับลดลง 11% เราเชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งช่วยจำกัดระดับการปรับตัวลดลงของปริมาณความต้องการทองคำเครื่องประดับได้”           คุณเซาไก ‎ ฟาน กล่าวเสริมว่า “ปีที่ผ่านมานับว่าเป็นปีที่ความต้องการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำของประเทศไทยแข็งแกร่งมาก และสูงเป็นอันดับที่ 7 ของโลก โดยคนไทยได้มองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่ทั้งสามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว และช่วยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในประเทศได้ นอกจากนี้การเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการออมทองคำในรูปแบบดิจิทัล ยังได้ช่วยสนับสนุนให้ความต้องการทองคำของประเทศไทยนั้นแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง”           สภาทองคำโลกยังได้ระบุว่า ทองคำในภาคเทคโนโลยีได้ทำสถิติรายไตรมาสที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เป็นต้นมา โดยมีความต้องการจำนวน 84 ตัน การเติบโตของปริมาณทองคำที่ใช้ในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง ได้ทำให้ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นปริมาณสุทธิรายปีรวม 326 ตัน           ด้านอุปทานทองคำทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบเป็นรายปี และทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 4,794 ตัน จากทั้งการผลิตของเหมืองแร่และการรีไซเคิลทองคำที่เพิ่มสูงขึ้น           คุณหลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ทองคำยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปี 2567 โดยราคาทองคำได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 40 ครั้งในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามแนวโน้มความต้องการทองคำนั้นไม่ได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี 2567 โดยภาคธนาคารกลางมีความต้องการที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 1 ก่อนจะชะลอตัวลงในช่วงกลางปี และกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่ 4 ขณะที่นักลงทุนฝั่งตะวันตกได้หันกลับมาสนใจลงทุนในทองคำอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งเมื่อรวมกับกระแสเงินทุนจากฝั่งเอเชียที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ส่งผลให้กระแสการลงทุนในกองทุน ETF ทองคำทั่วโลกปรับทิศทางเป็นเชิงบวกในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี โดยความเคลื่อนไหวนี้มีที่มาจากการที่ธนาคารกลางหลายแห่งได้เริ่มต้นวัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงความไม่แน่นอนในระดับโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง”           คุณหลุยส์ สตรีท ได้กล่าวเสริมว่า “ในปี 2568 นี้ เราคาดว่าธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดทองคำต่อไป สนับสนุนด้วยนักลงทุนในกองทุน ETF ทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลง แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังมีความผันผวนก็ตาม ในทางกลับกันทองคำเครื่องประดับอาจยังคงชะลอตัวต่อไป เนื่องจากราคาทองคำที่สูงและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงตามไปด้วย ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคนั้นน่าจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของปี ซึ่งสภาวะนี้จะช่วยเสริมความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยรักษามูลค่าและเป็นเครื่องมือลดผลกระทบจากความเสี่ยง"           สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในรายงานแนวโน้มความต้องการทองคำไตรมาสที่ 4 และการสรุปภาพรวมตลอดปี 2567 (Gold Demand Trends Q4 and Full Year 2024 Report) ซึ่งรวมถึงข้อมูลรายละเอียดที่ครอบคลุมจาก Metals Focus ได้ที่นี่

CPALL สนับสนุนสร้าง “ผู้ประกอบการจิ๋ว”  พาชม “กระเป๋ากระจูด” ในโรงเรียนนำร่อง

CPALL สนับสนุนสร้าง “ผู้ประกอบการจิ๋ว” พาชม “กระเป๋ากระจูด” ในโรงเรียนนำร่อง

          หุ้นวิชั่น - นอกจากโรงเรียนจะต้องเป็นสถานที่ติดอาวุธความรู้ให้แก่เด็กในด้านวิชาการ โรงเรียนยุคใหม่หลายแห่งในปัจจุบัน กำลังมีบทบาทสำคัญใหม่ในการติดอาวุธความรู้ให้แก่เด็กในด้านวิชาชีพ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย เช่นที่โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จ.พัทลุง ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ให้กลายเป็นหนึ่งในโรงเรียนนำร่องโครงการผู้ประกอบการจิ๋ว ช่วยให้เด็กไทยเก่งทั้งการบริหารการเงิน การตลาด ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์           นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จ.พัทลุง ถือเป็นหนึ่งใน 6 โรงเรียนนำร่องภายใต้โครงการผู้ประกอบการจิ๋ว ซึ่งเป็นแผนงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาโรงเรียนภายใต้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) ของซีพี ออลล์ เฟสที่ 6 เพื่อสร้างคนผ่านการศึกษา ให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทั้งทักษะการเรียนรู้ ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต ให้แก่เยาวชนและคนในชุมชน ติดอาวุธทักษะวิชาการควบคู่วิชาชีพให้แก่คนรุ่นใหม่ ช่วยให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งในทุกด้านพร้อมสำหรับการเติบโตสู่โลกภายนอกอย่างยั่งยืนหลังศึกษาจบ           “เราเลือกโรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) เป็นโรงเรียนนำร่องโครงการผู้ประกอบการจิ๋วในภาคใต้ ด้วย 3 เหตุผลหลัก ได้แก่ 1.สามารถบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนทั้งวิชาการและวิชาชีพ จนเกิดเป็นศูนย์การเรียนรู้กระจูดได้อย่างยอดเยี่ยม 2.สามารถต่อยอดภูมิปัญญาที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่นอย่างกระจูด ให้กลายเป็นสินค้าที่น่าสนใจ สร้างรายได้กลับสู่ชุมชนอย่างยั่งยืนได้ และ 3.สามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับคนในชุมชน ตลอดจนพัฒนานักเรียนและคนในชุมชนให้มีทักษะการเป็นผู้ประกอบการ” นายยุทธศักดิ์ กล่าว           ทั้งนี้ โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) มีผลิตภัณฑ์จากเส้นกกและกระจูด ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านหลากหลายชนิด อาทิ กระเป๋าจากกระจูดสานมือ หูหิ้วถ้วยกาแฟจากเส้นกกโดยผลิตภัณฑ์ได้มีโอกาสเข้าไปวางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จำนวน 19 สาขาในเขตภาคใต้ตอนล่าง สร้างรายได้กลับสู่โรงเรียนและชุมชน           ที่ผ่านมา คุณครูและนักเรียนจำนวนกว่า 200  คน ในโรงเรียน ได้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่การประยุกต์หลักสูตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกระจูด เข้ากับกลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกรายวิชา สอนทั้งการแปรรูปกระจูด การแปรรูปเส้นกก การออกแบบและเพนท์ลายกระจูด การบริหาร การเงิน การไลฟ์สดขายของ ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนของการเป็นผู้ประกอบการ สามารถช่วยครอบครัวทำเป็นอาชีพเสริม ช่วยโรงเรียนและชุมชนให้มีรายได้           นางวิไล ยศกิจ อาจารย์ผู้ก่อตั้งโครงการ โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) กล่าวว่า โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการ CONNEXT ED กับทางซีพี ออลล์ ตั้งแต่ประมาณปีการศึกษา 2562 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ องค์ความรู้ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ประกอบการ ทักษะยุคดิจิทัล และได้บูรณาการหลักสูตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกระจูดและเส้นกก เข้ากับรายวิชาต่างๆ ของนักเรียน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 2 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เริ่มจากค่อยๆ เรียนรู้ภาพของกระจูด แหล่งที่ตั้ง ประโยชน์ วิธีการเลือก วิธีการจักสานกระเป๋า วิธีการตัด วิธีการควั่น การทำบัญชีรายรับรายจ่าย การไลฟ์ขายของ การจัดระบบ ไปจนถึงการตลาด           “โครงการผู้ประกอบการจิ๋ว ช่วยให้เด็กๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทั้งด้านการปฏิสัมพันธ์ การพูด การจักสาน การตลาด ตัวผลิตภัณฑ์กระเป๋ากระจูดก็ได้รับการบอกต่อแบบปากต่อปาก จนวันนี้เรามีเพจกระจูดนักเรียน เป็นหนึ่งในช่องทางการจัดจำหน่าย ราคาจัดจำหน่ายมีตั้งแต่แบบที่ยังไม่ตกแต่งใบละ 60-80 บาท ไปจนถึงแบบที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยลูกปัด ใบละหลักพัน สร้างรายได้กลับสู่โรงเรียน ชุมชน และตัวนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ ไปจนถึงช่วงโยกย้ายตำแหน่ง ที่เคยมียอดสั่งซื้อสูงสุดหลักแสนบาท” นางวิไล กล่าว           ทั้งนี้ เธอรู้สึกภูมิใจที่เห็นนักเรียน โรงเรียนและชุมชนพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากชุมชนที่นี่เป็นชุมชนยากจน ชุมชนแออัด พอโรงเรียนเป็นตัวนำ ก็มีส่วนช่วยให้ผลิตภัณฑ์จากกระจูดซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น มีมูลค่าสูงขึ้น และเป็นที่รู้จักวงกว้างมากขึ้น นักเรียนก็ได้มีกิจกรรมที่สร้างประโยชน์ร่วมกับครูและผู้ปกครอง           ด้าน ด.ญ.ธมลวรรณ ปากลาว นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) หรือ น้ำขิง กล่าวว่า ตัวเธอเองได้เริ่มเรียนรู้เรื่องการสานกระจูดจากคุณป้าของเธอตั้งแต่ประมาณชั้น ป.2 และได้มาต่อยอดทักษะอื่นๆ เช่น การขายของออนไลน์ผ่านเพจกระจูดนักเรียน การเพนท์ลายกระเป๋าเป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลายการ์ตูน ได้มีทักษะวิชาชีพติดตัว ได้สนิทสนมกับพี่ๆ ชั้นอื่นๆ ผ่านการทำกระจูดร่วมกัน และได้เงินค่าทำกระจูดเป็นทุนการศึกษาในอนาคต           “เมื่อก่อนไลฟ์สดขายของ ได้รับกระแสตอบรับไม่ค่อยดี แต่พอได้รับคำแนะนำจากทางซีพี ออลล์ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น ลูกค้าสนใจมากขึ้น ตอนนี้มีทั้งลูกค้าในท้องที่ ลูกค้าคนไทย ลูกค้าต่างชาติ เข้ามาสั่งซื้อสินค้า พวกหนูก็มีรายได้จากการช่วยโรงเรียนไลฟ์สดและจักสาน จนตอนนี้มีเงินเก็บเป็นทุนการศึกษาประมาณ 3,000 บาทแล้ว อนาคต อยากกลับมาเป็นครูสอนการจักสาน” ด.ญ.ธมลวรรณ กล่าว           ปัจจุบัน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ดูแลโรงเรียนภายใต้ CONNEXT ED รวมประมาณ 610 โรงเรียน รวมจำนวนนักเรียนกว่า 160,000 คน โมเดลที่ประสบความสำเร็จของโรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จะเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายผลไปสู่โรงเรียนอื่นๆ ภายใต้ CONNEXT ED เพิ่มเติม โดยเฉพาะโรงเรียน CONNEXT ED ในภาคใต้ เพื่อสร้างรากฐานการศึกษาไทยให้แข็งแรง ช่วยติดอาวุธให้เด็กไทยยุคใหม่มีภูมิคุ้มกันที่ดี เติบโตไปได้อย่างยั่งยืน

สถานการณ์ตลาดน้ำมัน แนวโน้ม 10-14 ก.พ. 68

สถานการณ์ตลาดน้ำมัน แนวโน้ม 10-14 ก.พ. 68

สถานการณ์ตลาดน้ำมันรายสัปดาห์: วันที่ 3-7 ก.พ. 68 และแนวโน้มวันที่ 10-14 ก.พ. 68 ตลาดกังวลผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน วันที่ 9 ก.พ. 68 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Donald Trump กล่าวรัฐบาลสหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศอยู่ที่ 25% มีผลภายในวันที่ 12 ก.พ. 68 โดยก่อนหน้านี้ วันที่ 7 ก.พ. 68 Bloomberg รายงานนาย Trump ประกาศถึงแผนภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยจะกำหนดอัตราภาษีจากคู่ค้าเท่ากับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ วันที่ 3 ก.พ. 68 OPEC+ คงมติการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ (ที่เคยอาสาลดการผลิตโดยสมัครใจโดย 8 ประเทศสมาชิก ปริมาณ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ในเดือน เม.ย. 68 – ก.ย. 69 โดยจะทยอยเพิ่มขึ้น เดือนละ 138,000 บาร์เรลต่อวัน กระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ รายงานยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ในเดือน ม.ค. 68 เพิ่มขึ้น 143,000 ราย จากเดือนก่อนหน้า ต่ำกว่าคาดการณ์ (Reuters Poll คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 170,000 ราย จากเดือนก่อนหน้า) อย่างไรก็ตามอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ลดลง 1% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 4.0% ส่งผลให้ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve: Fed) อาจไม่จำเป็นต้องเร่งลดอัตราดอกเบี้ย (ในปัจจุบันที่ 4.25-4.50%) ที่มา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ปตท. ติด TOP 5 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานมากที่สุดอย่างต่อเนื่อง

ปตท. ติด TOP 5 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานมากที่สุดอย่างต่อเนื่อง

         หุ้นวิชั่น - บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ติดอันดับท๊อป 5 จากการจัดอันดับ 50 บริษัทชั้นนำที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานมากที่สุด (Top50 Companies in Thailand 2025) มาอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจของบริษัท WorkVenture สะท้อนความเชื่อมั่นและความทุ่มเทในการบริหารบุคลากรภายใต้แนวคิด TripleEX ได้แก่ การสนับสนุนให้พนักงานค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตนเอง (EXplore your potential) การมอบโอกาสและประสบการณ์ที่หลากหลาย (EXperience diverse opportunities) และการส่งต่อคุณค่าและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม (EXpand positive impact) ผ่านการพัฒนารูปแบบสวัสดิการที่เหมาะสมกับความต้องการของพนักงาน อาทิ Flexi Benefit ที่พนักงานสามารถเลือกสิทธิประโยชน์ตามไลฟ์สไตล์ของตนเอง การทำงานในรูปแบบ Work from Anywhere และเวลาทำงานแบบ Flexi-Time นอกจากนี้ ปตท. ยังสนับสนุนเรื่องการสมรสเท่าเทียมตามนโยบายภาครัฐ เพื่อส่งเสริมความเสมอภาคและสิทธิของพนักงานทุกคน เป็นต้น

ราคาทองเช้าวันนี้ พุ่งพรวด 750 บ. ทองรูปพรรณ ขายออก 47,850 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ พุ่งพรวด 750 บ. ทองรูปพรรณ ขายออก 47,850 บ.

หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  11 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 750 ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 47,250.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 47,350.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 46,404.76 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 47,850.00 บาท

วิพากษ์ Global Minimum Tax โอกาสอัดฉีดของไทย

วิพากษ์ Global Minimum Tax โอกาสอัดฉีดของไทย

          หุ้นวิชั่น - หลายคนอาจจะได้ยินผ่านหูเกี่ยวกับตัวเลข 15% ของ Global Minimum Tax (GMT) หรือมาตรการภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก มาบ้างในช่วงที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทย KKP Research คาดว่าผลกระทบอาจมีไม่มาก เนื่องจากไทยยังมีปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากภาษีดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน รวมทั้งอัตราภาษีนิติบุคคลและสิทธิประโยชน์ทางภาษีของไทยก็ไม่ได้แตกต่างจากประเทศคู่แข่งมากนัก อย่างไรก็ตาม แม้ผลกระทบจะจำกัด แต่ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายโดยเฉพาะภาคการส่งออก ไทยจึงควรเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยแบ่งสรรรายได้ภาษีที่รัฐจะจัดเก็บได้เพิ่มขึ้น มาลงทุนกับนโยบายระยะยาวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำไมจึงต้องมีการปฏิรูประบบภาษีโลก           แนวคิดเรื่อง Global Minimum Tax (GMT) หรือกำหนดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำ ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เพื่อบรรเทาปัญหาการแข่งขันลดอัตราภาษีนิติบุคคล ที่หลายประเทศต่างพยายามจูงใจดึงเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (FDI) ผ่านอัตราภาษีที่ต่ำ นำไปสู่การหลบเลี่ยงภาษีของธุรกิจที่มักโยกย้ายกำไรไปบันทึกในดินแดนภาษีต่ำ (tax haven) แทน ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้จำนวนมาก หลักการและกรอบความคิดของกฎเกณฑ์ภาษีรูปแบบใหม่           GMT จะบังคับใช้กับกลุ่มบริษัทข้ามชาติ (MNEs) ที่มีรายได้รวมทั่วโลกมากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปีอย่างน้อย 2 ใน 4 รอบปีบัญชี ซึ่งหาก MNEs นั้นมีการเสียภาษีในประเทศใดต่ำกว่า 15% จะต้องถูกเก็บภาษีส่วนเพิ่มเพื่อให้ถึงระดับ 15% ทั้งนี้ GMT ประกอบไปด้วย 3 หลักการ ได้แก่ หลักการข้อแรก คือ กฎการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มภายในประเทศ (Qualified Domestic Minimum Top-Up Tax: QDMTT) ที่ให้สิทธิกับประเทศที่ MNEs ไปดำเนินธุรกิจและเสียภาษีไม่ถึง 15% ในการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มก่อน เช่น บริษัทสัญชาติสหรัฐอเมริกาที่มาจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อดำเนินธุรกิจในไทยและบริษัทลูกในไทยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจนทำให้เสียภาษีเพียง 5% ในกรณีนี้ หากประเทศไทยบังคับใช้กฎ QDMTT ก็จะทำให้สรรพากรของไทยมีสิทธิเป็นลำดับแรกที่จะจัดเก็บภาษีส่วนต่างอีก 10% นำรายได้เข้าประเทศเพิ่มเติม หลักการข้อสอง คือ กฎการรวมรายได้ (Income Inclusion Rule: IIR) ซึ่งจะถูกนำมาใช้ในกรณีที่ประเทศที่บริษัทลูกหรือบริษัทในเครือของ MNEs ไปดำเนินธุรกิจและจัดเก็บภาษีต่ำกว่า 15% ไม่ได้มีการนำกฎเกณฑ์ QDMTT มาใช้ ทำให้สิทธิในการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มจะตกเป็นของประเทศที่บริษัทแม่หรือนิติบุคคลลำดับสูงสุดอาศัยอยู่แทน และหากประเทศที่บริษัทแม่อาศัยอยู่ไม่ได้มีการนำกฎ IIR มาใช้ สิทธิในการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มก็จะถูกส่งต่อมายังประเทศของบริษัทแม่ลำดับกลางไล่ลงมาตามลำดับความเป็นเจ้าของ (Chain of Ownership) หลักการข้อสาม คือ กฎการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มคงเหลือ (Undertaxed Payment Rule: UTPR) ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นมาตรการรองรับ (backstop) ในกรณีที่ประเทศของบริษัทในเครือหรือบริษัทแม่ลำดับสูงสุดและลำดับกลางไม่ได้มีการนำกฎเกณฑ์ QDMTT และ IIR มาใช้เลย โดยกฎ UTPR จะแบ่งสิทธิในการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มให้กับทุกประเทศที่บังคับใช้กฎนี้และมีบริษัทในเครือของ MNEs ไปจัดตั้งอยู่ในประเทศนั้น ๆ โดยภาษีส่วนเพิ่มที่ต้องเก็บเพิ่มจะถูกแบ่งสรรปันส่วนให้กับประเทศเหล่านั้นตามสัดส่วนของมูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนและจำนวนลูกจ้าง ไทยได้รับผลกระทบอย่างไรจากมาตรการ GMT           ประเทศไทยมีการบังคับใช้พระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยผลกระทบต่อไทยอาจแบ่งได้เป็น 2 ระดับด้วยกัน คือ ระดับ micro กลุ่มบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ของไทยที่มีการไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากประเทศต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งในไทยเอง อาจต้องเผชิญกับต้นทุนการทำธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ในระดับ macro นั้น เนื่องจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับ MNEs ของต่างประเทศที่มาลงทุนในไทย ทำให้ MNEs เหล่านั้นต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ความน่าสนใจของการมาลงทุนในไทยนั้นลดทอนลงบ้าง อย่างไรก็ตาม KKP Research คาดว่าผลกระทบของการบังคับใช้กฎเกณฑ์ GMT ต่อแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยจะมีไม่มาก เนื่องจากเหตุผล 3 ประการด้วยกัน ประการแรก อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลและนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของไทยและประเทศคู่แข่งมีความใกล้เคียงและไม่ได้แตกต่างกันมาก อัตราภาษีในไทยที่ 20% ถือว่าใกล้เคียงกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ที่ 17-25% นอกจากนี้ นโยบายต่าง ๆ ที่แต่ละประเทศนำมาใช้เพื่อดึงดูด FDI ก็มีความคล้ายคลึงกัน ประการที่สอง ปัจจัยที่ดึงดูด FDI ของไทยไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพียงอย่างเดียว แต่มีอีกหลายปัจจัยที่ล้วนแล้วมีบทบาทที่สำคัญยิ่งกว่า อาทิ โครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัย ระบบสาธารณูปโภคที่ดี ห่วงโซ่อุปทานที่ครบครัน ทักษะของแรงงานและค่าจ้างที่สมเหตุสมผล เสถียรภาพทางการเมือง และนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ ประการสุดท้าย รัฐบาลจะมีการออกนโยบายมาลดทอนผลกระทบเพิ่มเติม ซึ่งประกอบไปด้วยการขยายระยะเวลาสิทธิประโยชน์การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% นานขึ้น 2 เท่า แต่ไม่เกิน 10 ปี และการนำเงินรายได้ภาษีที่รัฐจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นประมาณ 50-70% ไปสมทบกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้ BOI สามารถนำไปใช้ดำเนินมาตรการอื่นเพิ่มเติมเพื่อลดทอนค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทข้ามชาติได้           ถึงแม้ว่าการปฏิรูปกฎเกณฑ์ทางภาษีระดับโลกนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อไทยไม่มาก แต่ปัจจุบันภาคการผลิตของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการแข่งขันที่สินค้าส่งออกหลักของไทยในอดีตเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาดโลกอีกต่อไป ด้วยกระแสเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว สอดคล้องกับตัวเลข FDI ของไทยที่เสียส่วนแบ่งให้กับประเทศคู่แข่งมากขึ้น ดังนั้น ถึงแม้ว่าการออกมาตรการมาลดทอนผลกระทบให้กับบริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนในไทยอาจมีความสำคัญในระยะสั้น แต่การแบ่งสรรทรัพยากรและรายได้ภาษีที่จัดเก็บได้เพิ่มมาลงทุนกับนโยบายระยะยาวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศจะยิ่งมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนทักษะแรงงานให้เท่าทันกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และตรงกับความต้องการของโลกยุคปัจจุบัน จะช่วยให้การลงทุนจากต่างประเทศสร้างมูลค่าและประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจไทยได้มากขึ้น

เมืองไทยประกันชีวิต “Care Plus พลัสความแคร์ให้คนที่แคร์แต่คนอื่น” คว้ารางวัลสุดยอดแคมเปญการตลาด

เมืองไทยประกันชีวิต “Care Plus พลัสความแคร์ให้คนที่แคร์แต่คนอื่น” คว้ารางวัลสุดยอดแคมเปญการตลาด

          หุ้นวิชั่น - เมืองไทยประกันชีวิต สุดภาคภูมิใจ แคมเปญ “Care Plus พลัสความแคร์ให้คนที่แคร์แต่คนอื่น” คว้ารางวัลสุดยอดแคมเปญการตลาด หมวดแคมเปญการตลาดที่มีความเป็นเลิศด้านกลยุทธ์ ระดับ Bronze Award  จากเวที Marketing Award of Thailand 2024  ตอกย้ำความโดดเด่นที่ ตอบโจทย์ทั้งความคุ้มครองค่ารักษาโรคมะเร็ง และไตวายเรื้อรังที่คุณเลือกได้ คลายกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล พร้อมช่วยให้เข้าถึงการรักษาด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย           นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถคว้ารางวัล  “Marketing Award of Thailand 2024” (MAT Award) การประกวดสุดยอดแคมเปญการตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ในหมวด Strategic Marketing แคมเปญการตลาดที่มีความเป็นเลิศด้านกลยุทธ์ ระดับ Bronze Award จากแคมเปญ “Care Plus พลัสความแคร์ให้คนที่แคร์แต่คนอื่น”  ที่โดดเด่นและสะท้อนแนวคิดทางการตลาดเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย พร้อมมีการนำกลยุทธ์มาแปรเป็นแผนปฎิบัติการณ์ที่สอดคล้อง ตอบโจทย์วัตถุประสงค์ทางธุรกิจท่ามกลางการแข่งขัน และสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้กับแบรนด์  ซึ่งนับเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่ทางเมืองไทยประกันชีวิตได้รับรางวัลสุดยอดแคมเปญการตลาด จากเวที Marketing Award of Thailand แห่งนี้           โดยการมอบรางวัลดังกล่าวจัดขึ้นโดยสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (Marketing Association of Thailand หรือ MAT) เพื่อสนับสนุนและยกย่องผลงานของนักการตลาดในประเทศไทยที่โดดเด่นในด้าน     กลยุทธ์ ความคิดสร้างสรรค์ และการนำนวัตกรรมการตลาดตลอดจนแนวคิดด้านการตลาดมาเป็นเครื่องมือในการตอบโจทย์ผู้บริโภคและแก้ปัญหาให้กับองค์กรได้อย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม สามารถวัดผลได้ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จ พร้อมสร้างผลลัพธ์เชิงบวกอย่างยั่งยืน ผู้ชนะรางวัลนี้จึงนับเป็นเกียรติภูมิขององค์กรและของประเทศ อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างและกรณีศึกษาในการยกระดับการตลาดของประเทศไทย ภายในงานมีนางสาวฉัตรกนก ลพถนอมชาติ รองกรรมการผู้จัดการ และนางสาวปิยลักษณ์  เชลงศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัล งานจัดขึ้น  ณ มิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์           ทั้งนี้แคมเปญ “Care Plus พลัสความแคร์ให้คนที่แคร์แต่คนอื่น” เกิดขึ้นจากการที่เมืองไทยประกันชีวิต มองเห็นว่า ความมั่นคงทางสุขภาพคือกุญแจสำคัญ ที่ทำให้คน Gen X ที่เปรียบเหมือน Sandwich Generation เพราะมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบและดูแลคนในครอบครัวทั้งลูก ภรรยา พ่อ แม่ หรือแม้แต่เรื่องงาน ให้สามารถใช้ชีวิตแบบที่เขาชอบ ทำตามแผนที่วางไว้ และมีความสุขกับชีวิตไปพร้อมกับการดูแลครอบครัว  เพราะชีวิต “คุณ” ก็สำคัญ โดยกระตุ้นให้คน Gen X เตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องสุขภาพ ด้วยการทำให้เห็น ความเสี่ยงโรคมะเร็งที่มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่อาจยังมาไม่ถึง แต่มีผลกระทบร้ายแรงด้านการเงิน           “Care Plus” พลัสความอุ่นใจ ให้คุณคลายกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล ด้วยความคุ้มครองวงเงินสูงสุด 5 ล้านบาทต่อโรคต่อปี เลือกความคุ้มครองได้ตามต้องการไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองค่ารักษาโรคมะเร็ง หรือความคุ้มครองค่ารักษาโรคไตวายเรื้อรัง หรือหากกังวลทั้งคู่ก็เลือกความคุ้มครองทั้ง 2 โรคก็ได้ ครอบคลุมการรักษาทั้งแบบผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD)   ตามความคุ้มครองที่กำหนด  รวมถึงค่าบริการทางการแพทย์ ทั้งค่าหมอ ค่ายา ค่าผ่าตัด การตรวจวินิจฉัยขั้นสูง CT Scan,  MRI,  PET และ Gait Scans รวมไปถึงนวัตกรรมการรักษาแบบทันสมัย และยามุ่งเป้าเพื่อเพิ่มโอกาสหายมากขึ้น  เบี้ยประกันภัยราคาเบา ๆ เข้าถึงได้จริง และยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สมัครได้ตั้งแต่อายุ 30 วัน จนถึงอายุ 80 ปี คุ้มครองให้ยาวถึงอายุ 99 ปี           “เมืองไทยประกันชีวิตมีเป้าหมายในการช่วยลูกค้าให้สามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่องและเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยลูกค้าสามารถมุ่งเน้นการฟื้นฟูสุขภาพได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับสังคมในการรับมือกับปัญหาด้านสุขภาพ ลดภาระต่อระบบสาธารณสุข และบริหารความเสี่ยง วางแผนการเงินและสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ตามแนวนโยบายสำคัญของบริษัทฯ ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้มแก่ทุกคน” นายสาระ กล่าว หมายเหตุ สัญญาเพิ่มเติม แคร์ พลัส พื้นที่ความคุ้มครอง เฉพาะประเทศไทย สัญญาเพิ่มเติม แคร์ พลัส ต้องซื้อแนบท้ายกรมธรรม์ที่มีผลบังคับอยู่ ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สัญญาเพิ่มเติมนี้ แนบท้าย ความคุ้มครองเป็นไปตามโรคและแผนที่ลูกค้าเลือก ค่าบริการทางการแพทย์เพื่อการบำบัดรักษาโรคมะเร็งและ/หรือโรคไตวายเรื้อรัง ดังกล่าว จะจ่ายสำหรับวิธีการบำบัดรักษาตามที่บริษัทฯ กำหนด การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด คำเตือน : ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไข ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง [PR News]

BEM แจ้งเบี่ยงการจราจรชั่วคราว บริเวณก่อนเข้าด่านประชาชื่น

BEM แจ้งเบี่ยงการจราจรชั่วคราว บริเวณก่อนเข้าด่านประชาชื่น

          บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ประชาสัมพันธ์แจ้งเบี่ยงการจราจรทางพิเศษศรีรัช บริเวณก่อนเข้าด่านประชาชื่น เนื่องจากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงผิวจราจร เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง ตั้งแต่วันที่ 13 - 15 กุมภาพันธ์ 2568  ในเวลา 10:00 – 15.00 น. และเวลา 22.00 – 04.00 น. โดยมีรายละเอียดดังนี้ จุดที่ 1 : วันที่ 13 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 เบี่ยงจราจรบริเวณเลนซ้ายก่อนเข้าด่าน 1 ช่องทาง จุดที่ 2 : วันที่ 14 – 15 กุมภาพันธ์ 2568 ปิดช่องเก็บค่าผ่านทางที่ 24 ชั่วคราว และเบี่ยงจราจรบริเวณก่อนเข้าด่าน 1 ช่องทาง           ผู้ใช้ทางสามารถเดินทางได้ตามปกติ ทั้งนี้ BEM ขอความร่วมมือ ผู้ใช้เส้นทางบริเวณดังกล่าว            โปรดขับรถด้วยความระมัดระวัง สังเกตป้ายเตือนจราจร ป้ายไฟ ปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรที่ได้จัดไว้       อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัย และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่โทร. 02 664 6400

นิด้าโพล เผยผู้สูงอายุรับเงินหมื่น กว่า 86% จ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ

นิด้าโพล เผยผู้สูงอายุรับเงินหมื่น กว่า 86% จ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ

           หุ้นวิชั่น - ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ผู้สูงอายุรับเงินสด 10,000 บาท แล้วจะสนับสนุนรัฐบาลไหม” ทำการสำรวจระหว่างวันที่3-5 กุมภาพันธ์ 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ทั้งตนเอง และ/หรือคนในครอบครัว ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ            รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการได้รับเงินสด 10,000 บาท จากรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล”สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0            จากการสำรวจเมื่อถามถึงการนำเงินไปใช้จ่ายของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวที่ได้รับเงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ พบว่า            ตัวอย่าง ร้อยละ 86.18 ระบุว่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ น้ำมันเชื้อเพลิง) รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค หาหมอ) ร้อยละ 13.66 ระบุว่า ใช้หนี้ ร้อยละ 11.98 ระบุว่า เก็บออมไว้สำหรับอนาคต ร้อยละ 9.24 ระบุว่า ใช้ลงทุนการค้า ร้อยละ 8.70 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ร้อยละ 4.35 ระบุว่า ใช้ซื้อหวย สลากกินแบ่งรัฐบาลร้อยละ 1.76 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 0.53 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือและเครื่องมือสื่อสาร ร้อยละ 0.46 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ เป็นต้น)            ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการสนับสนุนรัฐบาลของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 44.89 ระบุว่ามีส่วนทำให้สนับสนุนรัฐบาล รองลงมา ร้อยละ 30.69 ระบุว่า จะมีหรือไม่มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว ร้อยละ 14.35 ระบุว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 10.07 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจ ว่าจะตัดสินใจอย่างไร

สมรภูมิ AI ระอุ หนุนเทคโนโลยีโตกระโดด

สมรภูมิ AI ระอุ หนุนเทคโนโลยีโตกระโดด

             หุ้นวิชั่น - ท่ามกลางการแข่งขันและสงครามเทคโนโลยีที่กำลังร้อนระอุ เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นและยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด              เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ ซึ่งการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในยุคแรก คือ Machine Learning และต่อมาได้ถูกพัฒนาต่อยอดไปสู่ Deep Learning ที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น สำหรับในระยะข้างหน้าเรามองว่าเทรนด์ AI จะมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการตอบโต้กับโลกกายภาพได้มากขึ้น ได้แก่ 1) ยานยนต์ไร้คนขับ ที่เป็นระบบการขับขี่โดยไม่มีมนุษย์ควบคุม 2) เทคโนโลยี Digital Twin ที่สร้างแบบจำลองเสมือนจริงของวัตถุทางกายภาพ และ 3) Avatar AI ที่เป็นการสร้างตัวแทนบุคคลเสมือนจริง ส่งผลให้ตลาดของเทคโนโลยี AI ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลของ Statista คาดว่า มูลค่าตลาดของเทคโนโลยี AI มีแนวโน้มเติบโตราว 27.6% ต่อปีในช่วงปี 2025-2030 มาอยู่ที่ 8.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2030 SCB EIC คาดการณ์ว่าแนวโน้มความต้องการเทคโนโลยี AI ในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของเทคโนโลยี AI เติบโตต่อเนื่อง              กลุ่มที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน AI ประกอบไปด้วยกลุ่มฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล เช่น Data center และ Cloud service ไปจนถึงกลุ่มผู้ให้บริการที่เป็นผู้พัฒนาโปรแกรมหรือแอปพลิเคชัน SCB EIC คาดการณ์ว่ากลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์ คือ 1) ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ นับตั้งแต่ผู้ผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตชิปขั้นสูงอย่าง ASML ผู้ผลิตและออกแบบชิป (NVIDIA) ผู้รับจ้างผลิต (TSMC) ไปจนถึงกลุ่มให้บริการแพ็กเกจ ประกอบและทดสอบชิป 2) อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจต่าง ๆ ได้เริ่มนำเอาซอฟต์แวร์ AI มาใช้ในการประมวลผลข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น เช่น ธุรกิจ Healthcare ที่นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลด้านสุขภาพ วินิจฉัยและรักษาโรค รวมถึงการดูแลผู้ป่วย เป็นต้น ทั้งนี้ Gartner คาดการณ์ว่าตลาดซอฟต์แวร์ AI มีแนวโน้มจะเติบโตเฉลี่ยราว 19% ต่อปีในช่วงปี 2023-2027 3) ธุรกิจ AI applications ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT และ Google Gemini ที่มีการแข่งขันกันในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่มมากขึ้น ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือในการสร้างสรรค์ข้อมูลใหม่ โดยคาดว่า ชิป ASIC ที่ถูกนำไปใช้งานในแอปพลิเคชัน AI ต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนได้จากข้อมูลของ J.P. Morgan ที่ระบุว่า ยอดขายชิป ASIC โลก มีแนวโน้มเติบโตราว 42% ต่อปีในช่วงปี 2023-2028 มาอยู่ที่ 9.9 ล้านชิ้นในปี 2028              อย่างไรก็ดี เทคโนโลยี AI กำลังเติบโตท่ามกลางความท้าทายจากทั้งความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และการผูกขาดทางการค้าจากผู้เล่นรายใหญ่ นโยบายการค้าการลงทุนของโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตของเทคโนโลยี AI อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งแผนที่จะทุ่มงบประมาณเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมชิปและเทคโนโลยี AI ในประเทศ และทรัมป์ยังคงดำเนินนโยบายและเพิ่มมาตรการควบคุมการส่งชิปขั้นสูงไปจีนเพื่อกีดกันจีนจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ต่อจากโจ ไบเดน นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ตลาดชิป AI ของโลกยังคงถูกผูกขาดด้วยผู้เล่นรายใหญ่ของสหรัฐฯ ขณะที่ NVIDIA ได้ครองตลาดชิป GPU เรายังพบอีกว่า Google ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ได้เป็นเจ้าตลาดในฝั่งของชิป ASIC ซึ่งอาจส่งผลให้ชิป AI มีราคาสูงขึ้นและเกิดปัญหาอุปทานคอขวดจากขาดแคลนชิปในระยะต่อไปได้ SCB EIC ประเมินว่าจากแนวโน้มความต้องการเทคโนโลยี AI ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จะส่งผลดีต่อกลุ่มผู้ผลิตชิปและส่วนประกอบที่ไม่รวมชิปต้นน้ำ              ผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์ใน 2 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านการส่งออก เช่น กลุ่มผู้ผลิตชิปและส่วนประกอบที่ไม่รวมชิปต้นน้ำ ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่ในกลุ่มผู้ให้บริการแพ็กเกจ ประกอบและทดสอบชิป และกลุ่มคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ที่เราประเมินว่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มดังกล่าวไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการที่สหรัฐฯ ทดแทนการนำเข้าสินค้าจากจีน และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี AI โดยคาดว่าในปี 2024  ไทยจะมีสัดส่วนการส่งออกชิปและคอมพิวเตอร์ไปยังตลาดสหรัฐฯ มากถึง 83% และ 40% ของการส่งออกสินค้าในหมวดนี้ทั้งหมด 2) ด้านการลงทุน นับตั้งแต่เกิดสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้เกิดการขยายการลงทุนมายังอาเซียนรวมถึงไทย สะท้อนได้จากข้อมูลของ BOI พบว่า ในปี 2023 ต่างชาติเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรม E&E โดยมีโครงการขนาดใหญ่ เช่น การผลิต Wafer การประกอบและทดสอบชิป นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจ Data center และ Cloud service ที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 167,989 ล้านบาท ซึ่งแนวโน้มการลงทุนในธุรกิจดังกล่าวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการรองรับการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยี AI ในอนาคต อย่างไรก็ดี ไทยยังมีอุปสรรคและความท้าทายจากการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเพื่อรองรับเทคโนโลยี AI ที่ส่งผลให้ยังเป็นรองจากประเทศคู่แข่ง              ปัจจุบันสหรัฐฯ มีสัดส่วนพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ชิปจากไทยเพียง 7% เมื่อเทียบกับสัดส่วนการพึ่งพาการนำเข้าจากมาเลเซียที่มากกว่า 17% ของการนำเข้าชิปทั้งหมดของสหรัฐฯ ทั้งนี้อุปสรรคสำคัญของไทยที่ส่งผลให้ยังมี ส่วนแบ่งตลาดที่น้อยกว่าคู่แข่งเนื่องมาจากการขาดความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง อย่างเช่นชิปต้นน้ำ โดยนอกจากนี้ ไทยยังขาดการวิจัยและพัฒนาในกลุ่มสินค้านวัตกรรมใหม่ และยิ่งไปกว่านั้นเอง ไทยยังคงเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะดิจิทัลและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับไทยในการพัฒนาศักยภาพการผลิตสินค้าไฮเทคให้สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งสำคัญต่าง ๆ ได้ ไทยควรเร่งมือเดินหน้าจัดกระบวนทัพทางเทคโนโลยีใหม่ เริ่มต้นจากการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ส่งเสริมการลงทุนที่ครอบคลุมกลุ่มสินค้าไฮเทคโนโลยีมากขึ้น              ไทยจะต้องเร่งปรับปรุงโครงสร้างในภาคการผลิตเพื่อรองรับการผลิตชิปขั้นสูง สินค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับ AI ไปจนถึงอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลและหน่วยความจำที่สามารถรองรับเทคโนโลยี AI  โดยจะต้องเร่งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ร่วมกับการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะสูงทั้งกลุ่มแรงงานที่มีอยู่เดิมและกลุ่มแรงงานใหม่ เช่น วิศวกรเซมิคอนดักเตอร์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ยังขาดแคลนอยู่เป็นจำนวนมากและเป็นความเสี่ยงต่อภาคการผลิตในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องเร่งพัฒนาเพื่อสร้างความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อรองรับการเข้ามาลงทุนของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในไทย และสิ่งที่จะขาดไม่ได้คือการพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อที่ไทยจะได้ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่สำคัญแห่งอาเซียนและตอบโจทย์ความยั่งยืนในอนาคตไปพร้อม ๆ กัน รู้เท่าทันเทคโนโลยี … AI สำคัญอย่างไร ?              เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในภาคธุรกิจ ได้นำไปสู่การปฏิวัติทางเทคโนโลยีในโลกปัจจุบัน ท่ามกลางการแข่งขันและสงครามเทคโนโลยีที่กำลังร้อนระอุ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือยุคทองของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจโดยจากข้อมูลของ Statista คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดของเทคโนโลยี AI มีแนวโน้มขยายตัวจาก 2.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2025 มาอยู่ที่ 8.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2030 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 27.6% ในช่วงระหว่างปี 2025-2030  ซึ่งการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ได้กลายเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสที่ต้องจับตามอง สำหรับด้านความเสี่ยง AI ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมและการหลอกลวงทางธุรกิจและทำให้การตรวจจับทำได้ยากขึ้น เช่นเดียวกันหากภาคธุรกิจพึ่งพา AI มากจนเกินไป ก็อาจส่งผลให้บริษัทหรือองค์กรขาดความเข้าใจในกระบวนการตัดสินใจแบบมนุษย์และอาจมองข้ามปัญหาที่แท้จริงในองค์กรไปได้ แต่ในทางกลับกัน ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันทางธุรกิจและเทคโนโลยี หากองค์กรไม่มีการปรับตัวหรือไม่ได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็อาจจะส่งผลให้เกิดข้อเสียเปรียบคู่แข่งได้เช่นกัน และด้วยเหตุนี้เองภาคธุรกิจจึงได้ยอมรับความเสี่ยงและมองเห็นโอกาสในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น              โดยการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในช่วงแรกคือยุคของ Machine Learning (ML)[1] ที่ถือได้ว่าเป็น AI ขั้นพื้นฐานและถูกนำมาใช้ในการพัฒนาระบบการพยากรณ์ ที่นิยมนำมาใช้ทั้งในภาคการเงิน การตลาด และ Healthcare เป็นต้น ต่อมา ML ถูกพัฒนาต่อยอดไปสู่การเรียนรู้เชิงลึกหรือ Deep Learning ที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ในช่วงที่สองคือยุคของ Generative AI ที่เปิดตัวในช่วงปลายปี 2022 และทำให้ทั่วโลกได้รู้จักเทคโนโลยี AI กันมากขึ้น โดย Gen AI คือรูปแบบหนึ่งของเทคโนโลยี AI ที่ใช้อัลกอริทึมเชิงลึกที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่อัตโนมัติภายใต้ข้อมูลจำนวนมากที่ถูกป้อนไว้ในระบบ โดย Gen AI ถูกนำไปใช้ในระบบการถามตอบอัตโนมัติที่สามารถสร้างรูปภาพ เพลง หรือคอนเทนต์ใหม่ให้กับผู้ใช้งาน ซึ่ง Gen AI ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ ChatGPT ของ OpenAI และ Gemini ของ Google (รูปที่ 1)                สำหรับเทรนด์ AI ที่น่าจับตามองในระยะข้างหน้าจะมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยี AI ที่สามารถตอบโต้กับโลกกายภาพได้มากขึ้น ได้แก่ 1) ยานยนต์ไร้คนขับ ที่นำเทคโนโลยี AI มาช่วยในระบบการขับขี่โดยไม่มีมนุษย์ควบคุม ปัจจุบันบริษัท Google ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Waymo ที่เป็นแท็กซี่ไร้คนขับซึ่งมีการเปิดให้บริการในตลาดสหรัฐฯ 2) เทคโนโลยี Digital Twin คือ การนำเทคโนโลยี AI มาสร้างแบบจำลองเสมือนจริงของวัตถุทางกายภาพอย่างเช่น แบบจำลองโรงงานที่สามารถเชื่อมต่อได้ตั้งแต่อุปกรณ์หรือเครื่องจักรไปจนถึงสายพานการผลิต โดยติดตั้งอุปกรณ์เซนเซอร์ IoT เพื่อเชื่อมต่อระหว่างวัตถุกับภาพเสมือนจริงแบบ Real-time ผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยคาดว่า Digital Twin จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมได้ เช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิต การบำรุงรักษา การตรวจสอบการปล่อยมลพิษทางอากาศ น้ำ และขยะในโรงงาน เป็นต้น 3) Avatar AI เป็นการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการสร้างตัวแทนบุคคลเสมือนจริงที่ถูกขับเคลื่อนด้วยอัลกอลิทึมขั้นสูง โดย Avatar สามารถตอบสนองและสื่อสารได้แบบ Real-time ทั้งข้อความ เสียง การแสดงพฤติกรรมผ่านภาพเคลื่อนไหว (รูปที่ 1)           รูปที่ 1 : ในระยะข้างหน้า เทคโนโลยี AI มีแนวโน้มที่จะถูกนำไปใช้สำหรับเชื่อมต่อระหว่างโลกดิจิทัลกับโลกกายภาพมากขึ้น                 ในโลกที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้ส่งผลให้เกิดห่วงโซ่อุปทานใหม่ ในกลุ่มสินค้าไฮเทค โดยกลุ่มที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน AI ประกอบด้วย 1) กลุ่มฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์  ซึ่งเป็นหัวใจหลักของระบบการควบคุมการทำงานของเทคโนโลยี AI 2) โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล (Data infrastructure) ที่เน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลสำหรับการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมาก อย่างเช่นกลุ่ม Data center และ Cloud service ไปจนถึงระบบการป้องกันและการรักษาความปลอดภัยของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และ 3) กลุ่มผู้ให้บริการ (Service provider) คือกลุ่มผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม โปรแกรม หรือ แอปพลิเคชัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่ม AI (รูปที่ 2)           รูปที่ 2 : กลุ่มผู้ผลิตสินค้าไฮเทค เช่น ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ และธุรกิจ AI applications เป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มความต้องการเทคโนโลยี AI SCB EIC คาดการณ์ว่าแนวโน้มความต้องการเทคโนโลยี AI ในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของเทคโนโลยี AI เติบโตต่อเนื่องตามไปด้วย ดังนี้ (รูปที่ 2) 1) ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI โดยจากข้อมูลของ Gartner คาดการณ์ว่ารายได้ชิป AI ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 7.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 มาอยู่ที่ 1.97 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2028 และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 29.7% ในช่วงระหว่างปี 2024-2028 โดยกลุ่มที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิปที่จะได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตชิป (Equipment) คือกลุ่มที่มีการลงทุนซื้อเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างบริษัท ASML ของเนเธอร์แลนด์ ที่มีหน้าที่ทำการผลิตเครื่องจักรตามคำสั่งของกลุ่มผู้ออกแบบ หรือ Fabless โดย ASML คาดการณ์ว่ายอดขายเครื่องจักร EUV lithography[1] จะขยายตัวอยู่ที่ราว 8-14% ในช่วงระยะ 5 ปีข้างหน้า จากแรงหนุนของความต้องการเครื่องจักร EUV lithography ที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากการผลิตชิปประสิทธิภาพสูงเพื่อรองรับเทคโนโลยี AI กลุ่มผู้ออกแบบ หรือ Fabless ในปัจจุบันกลุ่มผู้ออกแบบบางส่วนมุ่งไปที่การออกแบบเพื่อพัฒนาการผลิตชิป AI เช่น สหรัฐฯ (NVIDIA, Broadcom, AMD, Qualcomm และ Microsoft) และไต้หวัน (MediaTek) ซึ่งชิปขั้นสูงส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในกลุ่มธุรกิจ Data center คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน และยานยนต์ไฟฟ้า กลุ่มผู้ผลิตชิปครบวงจร (Integrated Device Manufacturer หรือ IDM) เป็นกลุ่มที่ทั้งออกแบบ ผลิต และจัดจำหน่าย ผู้เล่นในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีโรงงานผลิตชิปและมีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง เช่น บริษัท Intel และ Micron (สหรัฐฯ) และ Samsung (เกาหลีใต้) โดยจากข้อมูลล่าสุดพบว่า Intel ได้มีการเปิดตัวชิปประมวลผล AI รุ่นใหม่ คือ Intel Gaudi 3 เพื่อที่จะนำมาแข่งกับชิป NVIDIA H100 (สหรัฐฯ) ที่เปิดตัวไปในช่วงปี 2022 ซึ่งการเปิดตัวชิปรุ่นใหม่ของ Intel มุ่งไปที่ลูกค้ากลุ่มประมวลผลข้อมูลเป็นหลักเช่นเดียวกันกับบริษัท Nvidia กลุ่มผู้รับจ้างผลิตชิปขั้นสูง เช่น TSMC (ไต้หวัน) และ Samsung (เกาหลีใต้) ที่เป็นผู้รับจ้างผลิตชิปรายใหญ่ของโลก ซึ่งปัจจุบัน TSMC ยังเป็นผู้ถือครองสัดส่วนการผลิตชิปขั้นสูงที่มีขนาดต่ำกว่า 7 นาโนเมตร อยู่ราว 92% ของสัดส่วนการผลิตชิปขั้นสูงทั้งหมด กลุ่มให้บริการแพ็กเกจชิป ประกอบและทดสอบชิป (Outsourced Semiconductor Assembly and Test : OSAT) โดยคาดว่ากลุ่มผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ขั้นสูง (Advanced packaging) จะสามารถขยายตัวได้ดีไปในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มผู้ผลิตชิป AI ด้วยการนำเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงมาใช้ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ผลิตชิปขั้นสูงได้ดีกว่าบรรจุภัณฑ์ทั่วไป ทั้งขนาดที่เล็กลง มีความเร็วในการเชื่อมต่อในระดับสูง รวมไปถึงมีการจัดการความร้อนและป้องกันความเสียหายของผลิตภัณฑ์ได้ดีกว่าบรรจุภัณฑ์ชิปทั่วไป โดยปัจจุบันผู้นำตลาด OSAT อย่างบริษัท ASE (ไต้หวัน) และบริษัท Amkor (สหรัฐฯ) ที่ถือครองสัดส่วนในตลาด 30% และ 6% ตามลำดับ ได้เริ่มมีการลงทุนเพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เล่นในกลุ่ม 5G, AI และกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า 2) อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากการที่คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบมีส่วนช่วยในการพัฒนาความสามารถของเทคโนโลยี AI ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจก็ได้เริ่มนำซอฟต์แวร์ AI มาใช้ในการประมวลผลข้อมูลเชิงลึกและคาดการณ์ผลลัพธ์จากข้อมูลที่มีจำนวนมหาศาลมากขึ้น ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจสามารถวางแผนเพื่อตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น สะท้อนได้จากข้อมูลของบริษัทวิจัย Gartner ที่ได้คาดการณ์ว่าตลาดซอฟต์แวร์ AI มีแนวโน้มจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องจาก 18% ในปี 2024 มาอยู่ที่ 20% ในปี 2027 โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 19% ในช่วงระหว่างปี 2023-2027 หรือสามารถขยายตัวได้ถึง 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027 (รูปที่ 3)            รูปที่ 3 : จากมูลค่าตลาดซอฟต์แวร์ AI ของโลกที่ขยายตัวต่อเนื่อง การลงทุนซอฟต์แวร์ AI ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่มภาครัฐและการเงิน ขณะที่ภาคธุรกิจมีแนวโน้มที่จะลงทุนในเทคโนโลยี AI มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Healthcare ประกันภัย และภาคอุตสาหกรรม              โดยจากข้อมูลพบว่า ภาคธุรกิจวางแผนที่จะลงทุนในซอฟต์แวร์ AI และเริ่มนำ AI มาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น 1) ธุรกิจ Healthcare ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ ได้มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลด้านสุขภาพและฝึกฝนโมเดล AI เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและรักษาโรค รวมถึงการดูแลผู้ป่วย เป็นต้น โดยคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนซอฟต์แวร์ AI มากถึง 11,980 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2027 2) ธุรกิจประกันภัย ที่จำเป็นต้องมีการจัดเก็บข้อมูลลูกค้าจำนวนมหาศาล ก็ได้เริ่มมีการนำ AI มาใช้ตั้งแต่การตรวจพิสูจน์เอกสารปลอม การกำหนดราคาและการประเมินความเสี่ยง ไปจนถึงการพัฒนาแบบจำลองเพื่อกำหนดอัตราการให้บริการในอนาคต ทั้งนี้คาดว่าธุรกิจประกันภัยจะมีแนวโน้มที่จะลงทุนซอฟต์แวร์ AI อย่างต่อเนื่อง และอาจมีมูลค่าการลงทุนมากถึง 9,601 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2027 3) อุตสาหกรรมการผลิต เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มที่จะลงทุนซอฟต์แวร์ AI มากขึ้นเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต โดยนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในระบบ ERP[1] เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตสามารถวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นับตั้งแต่การวางแผนภายในกระบวนการผลิต การเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ การบริหารจัดการสินค้าคงคลังหรือใช้คาดการณ์ความล่าช้าของซัพพลายเออร์ ไปจนถึงการเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า เช่น การนำแชตบอท AI มาใช้ในโปรแกรมการถาม-ตอบลูกค้าแบบอัตโนมัติเพื่อปรับปรุง Customer experience ให้ตรงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น 4) อุตสาหกรรมยานยนต์ เทคโนโลยี AI กลายเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ ผู้ผลิตกลุ่มยานยนต์ใช้เทคโนโลยี AI ทั้งในส่วนของห่วงโซ่อุปทานการผลิต สร้างระบบยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicles) และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advanced Driver Assistance Systems หรือ ADAS) ปรับปรุงการให้บริการลูกค้า เช่น การคาดการณ์การบำรุงรักษารถยนต์ โดยเรามองว่าตลาด AI ในอุตสาหกรรมยานยนต์จะเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลของ Fortune Business Insights ที่คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาด AI ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกจะเติบโตสูงจาก 32,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2025 มาอยู่ที่ 74,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2030 โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 22.8% ในช่วงปี 2025-2030 3) ธุรกิจ AI applications มีแนวโน้มถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น และมีการแข่งขันกันพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT AI chatbot ของบริษัท OpenAI และ Google Gemini ของบริษัท Google ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถตอบโต้หรือให้คำแนะนำ และให้ความช่วยเหลือในการสร้างสรรค์ข้อมูลใหม่ โดยคาดว่า ชิป ASIC ที่ถูกนำไปใช้งานในแอปพลิเคชัน AI ต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนได้จากข้อมูลของ P. Morgan ที่ระบุว่า ยอดขายชิป ASIC โลก[2] มีแนวโน้มขยายตัวจาก 1.7 ล้านชิ้นในปี 2023 มาอยู่ที่ 9.9 ล้านชิ้นในปี 2028 โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 42% ในช่วงปี 2023-2028 (รูปที่ 4)           รูปที่ 4 : ในระยะข้างหน้าคาดการณ์ว่า Google ยังคงเป็นผู้ผลิตชิป ASIC รายใหญ่ของโลก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ Apple หันมาพึ่งพาชิป และ Gen AI ของ Google มากขึ้น           อย่างไรก็ดี เทคโนโลยี AI กำลังเติบโตท่ามกลางความท้าทายจากทั้งความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และการผูกขาดทางการค้าจากผู้เล่นรายใหญ่ นโยบายการค้าการลงทุนของโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตของเทคโนโลยี AI อย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางสมรภูมิ AI ยังคงมีความท้าทายและข้อกังวลอยู่ไม่น้อย จากสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยการกลับมาของทรัมป์คาดว่าจะส่งผลดีต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ เห็นได้จากผู้บริหารรายใหญ่หลายบริษัทต่างออกมาสนับสนุนทรัมป์อย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารจาก Tesla และ SpaceX, Amazon Alphabet และ Apple เนื่องจากทรัมป์มีแผนที่จะทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยี AI ภายในประเทศ ซึ่งยังคงต้องติดตามแผนการพัฒนาการลงทุน AI ของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ทรัมป์ยังคงดำเนินนโยบายและเพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออกชิปขั้นสูงไปจีน เพื่อกีดกันจีนจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ต่อจากโจ ไบเดน โดยล่าสุด ได้มีการออกประกาศกฎใหม่เพื่อเพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออกชิปขั้นสูงไปจีนและสั่งห้ามไม่ให้นักลงทุนสัญชาติสหรัฐฯ ลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีในจีน ฮ่องกง และมาเก๊า ซึ่งรวมไปถึงการลงทุนชิปและเทคโนโลยี AI โดยจะมีผลบังคับใช้ต้นเดือนมกราคม 2025 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี ความพยายามของทรัมป์ที่จะดึงการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยี AI กลับมายังสหรัฐฯ มากขึ้น โดยแม้ว่าจะส่งผลดีต่อสหรัฐฯ ในด้านการกระจายความเสี่ยงจาก Supply shortage แต่ในทางกลับกัน อาจส่งผลให้ประเทศในกลุ่มที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงได้ยากขึ้นในอนาคต           ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันตลาดชิป AI ยังคงถูกผูกขาดด้วยผู้เล่นรายใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ อย่าง Nvidia ที่ครองตลาดชิป GPU ขณะที่ Google เอง ก็ได้เป็นเจ้าตลาดใหญ่ในฝั่งชิป ASIC โดย SCB EIC มองว่า แนวโน้มความต้องการเทคโนโลยี AI ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตชิปที่สามารถเข้ามาในตลาดได้ก่อนผู้ผลิตชิปรายอื่น (First-mover advantage) เนื่องจากในปัจจุบันตลาดชิป AI ของโลกยังคงถูกผูกขาดด้วยผู้เล่นรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างเช่น Nvidia ที่ครองตลาดชิป GPU  ทั้งนี้ บริษัท Nvidia ได้หันมาผลิตและลงทุนในอุตสาหกรรมชิป AI นับตั้งแต่ปี 2019 โดยรายได้ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาคำสั่งซื้อจากกลุ่มธุรกิจ Data center มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุด พบว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2024 Nvidia มีรายได้อยู่ที่ 30,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือโตขึ้น 122% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยราว 78% ของรายได้ทั้งหมดมาจากการผลิตชิป AI เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่ม Data center เป็นหลัก รองลงมาคือ กลุ่มคอมพิวเตอร์ และกลุ่มยานยนต์ ในสัดส่วนราว 17% และ 3% ตามลำดับ ขณะเดียวกัน Nvidia ยังคงวางแผนการพัฒนาชิปขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด (ต.ค. 2024) ได้ร่วมมือกับ MediaTek เพื่อที่จะพัฒนาชิป AI PC ขนาด 3 นาโนเมตร สำหรับใช้ในกลุ่ม AI PC โดยชิปรุ่นดังกล่าวมีแผนวางจำหน่ายในช่วงกลางปี 2025 ซึ่งจะทำให้การแข่งขันในกลุ่มอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นในระยะถัดไป โดยเราคาดการณ์ว่า Nvidia จะยังคงเป็นผู้ผลิตชิป GPU รายสำคัญของโลกต่อไป อย่างไรก็ดี ยังคงต้องจับตาบริษัท Advanced Micro Devices (AMD) ที่เริ่มเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ  โดยนำกลยุทธ์ด้านราคามาใช้ ซึ่งอาจส่งผลให้ในระยะข้างหน้า Nvidia จะไม่ใช่ผู้เล่นเจ้าเดียวที่ผูกขาดในตลาดชิป GPU อีกต่อไป (รูปที่ 5)           ขณะที่ Nvidia ได้ครองตลาดชิป GPU เรายังพบอีกว่า Google ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ได้เป็นเจ้าตลาดในฝั่งของชิป ASIC  (รูปที่ 6) และเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายแรกที่เริ่มผลิตชิป ASIC โดย Google ได้เริ่มเปิดตัวชิป TPU ซึ่งเป็นชิปสำหรับใช้ใน AI applications ต่าง ๆ โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2026 Google จะยังเป็นเจ้าตลาดของชิป ASIC ซึ่งล่าสุด Apple ได้ประกาศว่า บริษัทอยู่ระหว่างการทดลองใช้ชิป TPUv4 ซึ่งพัฒนาโดย Google เพื่อเทรนโมเดล AI ของตัวเอง โดยคาดว่า Apple จะสามารถเปิดตัวใช้งานฟีเจอร์ AI ตัวใหม่อย่างเต็มรูปแบบนี้ได้ใน iPhone และ Mac ภายในปี 2025 อย่างไรก็ดี จากการที่ Nvidia ได้ครองตลาดชิป GPU ในฝั่งของชิปประมวลผลไปแล้ว ในส่วนของ Google เองก็ได้เป็นเจ้าตลาดของฝั่งชิป ASIC ซึ่งอาจส่งผลให้ชิป AI มีราคาสูงขึ้นและเกิดปัญหาอุปทานคอขวดจากขาดแคลนชิปในระยะต่อไปได้ SCB EIC ประเมินว่าแนวโน้มความต้องการเทคโนโลยี AI ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการไทย ดังนี้             1)ด้านการส่งออก SCB EIC มองว่าการส่งออกสินค้าของไทยในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทาน AI มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง เช่น กลุ่มชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบที่ไม่รวมชิปต้นน้ำ ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่ในกลุ่มผู้ให้บริการแพ็กเกจและทดสอบชิปเป็นหลัก และกลุ่มคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบที่ถือได้ว่าเป็นชิ้นส่วนและอุปกรณ์ไอทีที่สำคัญที่มีส่วนช่วยในการในห่วงโซ่อุปทาน AI ซึ่งเราประเมินว่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ เพื่อทดแทนการนำเข้าจากจีน และจากการที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี AI และมีการลงทุนด้านนี้อย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลเบื้องต้นในปี 2024 พบว่าไทยมีสัดส่วนการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ไปยังตลาดสหรัฐฯ มากถึง 83% และ 40% ของการส่งออกสินค้าในหมวดนี้ทั้งหมด (รูปที่ 7) ซึ่งแน่นอนว่าแนวโน้มการลงทุนด้าน AI ในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นโอกาสให้ไทยส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน AI ไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้มากขึ้นตามไปด้วย สะท้อนได้จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่ระบุว่า ในปี 2023 สหรัฐฯ มีมูลค่าการลงทุนในเทคโนโลยี AI สูงเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมมากถึง 72 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ             รูปที่ 7 : การส่งออกชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ของไทยไปยังสหรัฐฯ ที่เป็นประเทศคู่ค้าหลักมีแนวโน้มเติบโตได้ดี จากการที่สหรัฐฯ ขยายการลงทุนในห่วงโซ่อุปทาน AI และลดการพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ไอทีจากจีน           2)ด้านการลงทุน นับตั้งแต่เกิดสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้เกิดการขยายการลงทุนในกลุ่มอาเซียน โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอทีที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ หลายแห่ง ได้ทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากจีน รวมถึงจีนเองก็ได้เริ่มเข้ามาลงทุนในกลุ่มอาเซียนซึ่งรวมถึงไทยมากขึ้น สะท้อนได้จากข้อมูลของ BOI ที่พบว่ามีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรม E&E มากถึง 40% ของเงินลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด โดยคาดว่าการเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำ จะส่งผลให้ FDI ขยายตัวสูงขึ้น โดยมีโครงการขนาดใหญ่[1] ที่ได้รับการอนุมัติในช่วง 9 เดือนแรกปี 2024 คือ การผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง Wafer, การประกอบและทดสอบชิป วงจรรวม มูลค่ารวม 19,856 ล้านบาท และผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) มูลค่ารวม 61,302 ล้านบาท (รูปที่ 8) นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจ Data center และ Cloud service ที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI รวมมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 167,989 ล้านบาท จากทั้งนักลงทุนรายใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ (AWS และ Google) จีน (Huawei และ Alibaba) และออสเตรเลีย (NextDC) เป็นต้น รวมถึงผู้เล่นสัญชาติไทยเองก็ได้มีการลงทุนในธุรกิจ Data center อาทิ True idc และ GSA ที่เป็นการร่วมทุนระหว่าง Gulf, Singtel และ AIS โดย SCB EIC มองว่าแนวโน้มการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Data center และ Cloud service ของไทยที่เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด จะเป็นแรงขับเคลื่อนและก้าวสำคัญของไทยเพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยี AI สอดคล้องกับข้อมูลของ Mckinsey ที่ประเมินว่ามูลค่าตลาด Data center ของโลก มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นจาก 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 มาอยู่ที่ 5.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2032 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย ในช่วงปี 2024-2032 ที่ 11.6% ต่อปี           รูปที่ 8 : ต่างชาติมีแนวโน้มเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม E&E , กลุ่ม Data center และ Cloud service           อย่างไรก็ดี แม้ไทยจะมีโอกาสในการขยายการส่งออกสินค้าและการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานของเทคโนโลยี AI มากขึ้น แต่ความสามารถในการแข่งขันของไทยยังค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง เนื่องจากยังมีอุปสรรคในการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเพื่อรองรับเทคโนโลยี AI ซึ่งแม้ว่าการส่งออกชิ้นส่วนชิปของไทยจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการส่งออกไปสหรัฐฯ แต่ยังคงน้อยกว่าคู่เเข่งอย่างมาเลเซียเกือบเท่าตัว โดยพบว่า สหรัฐฯ มีสัดส่วนพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ชิปจากไทยเพียง 7% เมื่อเทียบกับสัดส่วนการพึ่งพาการนำเข้าจากมาเลเซียที่มากกว่า 17% ของการนำเข้าชิปทั้งหมดของสหรัฐฯ (รูปที่ 9) ทั้งนี้อุปสรรคสำคัญของไทยที่ส่งผลให้ยังมีส่วนแบ่งตลาดที่น้อยกว่าคู่แข่งเนื่องมาจากการขาดความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง อย่างเช่นชิปต้นน้ำ โดยนอกจากนี้ ไทยยังขาดการวิจัยและพัฒนาในกลุ่มสินค้านวัตกรรมใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น ไทยยังคงเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะดิจิทัลและเทคโนโลยี โดยจากผลสำรวจความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของ IMD พบว่า ในปี 2023 ไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านองค์ความรู้ดิจิทัลและเทคโนโลยีอยู่ในลำดับที่ 41 จากประเทศสมาชิกทั้งหมด 63 ประเทศ และอยู่ในอันดับ 3 เมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วม 5 ประเทศ โดยสิงคโปร์มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและแรงงานทักษะสูง ขณะที่มาเลเซียมีข้อได้เปรียบจากการเป็นผู้ประกอบและทดสอบชิปที่แข็งแกร่งและมีบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่าง Intel และ Infineon เข้าไปลงทุน จนมาเลเซียสามารถขยับขึ้นมาเป็นผู้ผลิตชิปต้นน้ำได้ นอกจากนี้ สาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในสิงคโปร์หรือมาเลเซียมากกว่าไทย ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและดิจิทัลที่สามารถรองรับสายพานการผลิตได้ดีกว่า เนื่องจากในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเทคโนโลยีมีความซับซ้อนค่อนข้างสูงกว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป การมีระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียรจะมีความสำคัญเนื่องจากเมื่อเกิดปัญหาไฟฟ้าดับ จะส่งผลเสียต่อกระบวนการผลิตอย่างมหาศาล มองกลับมาที่ไทยเราจะต้องมีการเตรียมความพร้อมให้มากขึ้นในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยเฉพาะในด้านกระบวนการผลิตเพื่อรองรับเทคโนโลยี AI ที่เติบโตอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้มากขึ้น               รูปที่ 9 : สหรัฐฯ มีแนวโน้มพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนชิปจากอาเซียนซึ่งรวมถึงไทยมากขึ้น เพื่อทดแทนการนำเข้าจากจีน           ท่ามกลางสมรภูมิเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ไทยจะต้องเร่งปรับปรุงโครงสร้างในภาคการผลิตเพื่อรองรับการผลิตชิปขั้นสูง สินค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับ AI ไปจนถึงอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลและหน่วยความจำที่สามารถรองรับเทคโนโลยี AI โดยจะต้องเร่งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ร่วมกับการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะสูงทั้งกลุ่มแรงงานที่มีอยู่เดิมและกลุ่มแรงงานใหม่ เช่น วิศวกรเซมิคอนดักเตอร์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ยังขาดแคลนอยู่ เป็นจำนวนมากและเป็นความเสี่ยงต่อภาคการผลิตในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องเร่งพัฒนาเพื่อสร้างความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อรองรับการเข้ามาลงทุนของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในไทย และสิ่งที่จะขาดไม่ได้คือการพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อที่ไทยจะได้ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่สำคัญแห่งอาเซียนและตอบโจทย์ความยั่งยืนในอนาคตไปพร้อม ๆ กัน บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/detail/product/AI-Technology-280125

SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.80-34.10 บ./ดอลลาร์

SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.80-34.10 บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.80-34.10 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ต่างประเทศ (Reciprocal tariff) และจะเก็บภาษีสินค้ากลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียมอีก 25% ส่งผลให้ US Treasury yields สูงขึ้น และดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่า เลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ ออกมาที่ 143,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าตลาดคาด แต่เลขอัตราการว่างงานลดลงมาที่ 0% สะท้อนตลาดแรงงานที่ยังดี จึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ผู้บริโภคจีนใช้จ่ายสูงขึ้นมากโดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวและร้านอาหารช่วงตรุษจีน

ราคาทองเช้าวันนี้ พุ่ง 250 บ. ทองรูปพรรณ ขายออก 46,500 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ พุ่ง 250 บ. ทองรูปพรรณ ขายออก 46,500 บ.

          หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  10 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 250 ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 45,900.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,000.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 45,070.68 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 46,500.00 บาท

 พาณิชย์เผยสถิติที่สุดแห่งปี การส่งออกสินค้าเกษตรไทย ปี 67

 พาณิชย์เผยสถิติที่สุดแห่งปี การส่งออกสินค้าเกษตรไทย ปี 67

          หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยไฮไลท์สถิติสำคัญของการส่งออกสินค้าเกษตรไทย ประจำปี 2567 โดยภาพรวมการส่งออกของไทยในปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 300,529.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (10,548,759 ล้านบาท) ขยายตัว 5.4% ซึ่งการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มีสัดส่วน 17.36% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย คิดเป็นมูลค่า 52,185.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,835,800 ล้านบาท) ขยายตัวที่ 6.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีสถิติสำคัญ ดังนี้ การส่งออกสินค้าเกษตร (สินค้ากสิกรรม สินค้าปศุสัตว์ และสินค้าประมง) ไทยส่งออกสินค้าเกษตร มูลค่ารวม 28,827.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,014,588 ล้านบาท) ขยายตัวที่ 7.5% เมื่อเทียบกับปี 2566 (ปี 2566 มูลค่ารวม 26,814.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 923,999 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่อง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2564 - 2567 สินค้าเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก คือ (1) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง 6,510.6 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 22.58% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตร (2) ข้าว 6,443.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 22.32% (3) ยางพารา 4,992.4 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 17.32% (4) ไก่ 4,313.7 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 14.96% และ (5) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 3,133.4 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 10.87% รวม 5 อันดับแรก มีสัดส่วน 88.06% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก คือ (1) จีน 10,054.7 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 34.88% (2) ญี่ปุ่น 3,471.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 12.04% (3) สหรัฐอเมริกา 1,899.7 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 6.59% (4) มาเลเซีย 1,215.4 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 4.22% และ (5) อินโดนีเซีย 1,154.8 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 4.01% รวม 5 อันดับแรก มีสัดส่วน 61.73% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด สินค้าเกษตรที่มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูงสุด 5 อันดับแรก (พิจารณาจากสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 20 อันดับแรก) ได้แก่ (1) สัตว์น้ำจำพวกกุ้ง ปู หอย และปลาหมึก ขยายตัว 87.1% (2) ยางพารา ขยายตัว 36.8% (3) ปลาสด แช่เย็น แช่แข็ง 26.6% (4) ข้าว 25.0% และ (5) เครื่องเทศและสมุนไพร 23.1% ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูงสุด 5 อันดับแรก (พิจารณาจากตลาดที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรสูงที่สุด 20 อันดับแรก) ได้แก่ (1) เวียดนาม ขยายตัว 78.9% (2) เซเนกัล 69.7% (3) อิรัก 44.9% (4) ฟิลิปปินส์ 41.7% และ (5) อิตาลี 35.8% การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร: ไทยส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร มูลค่ารวม 23,357.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (821,212 ล้านบาท) ขยายตัวที่ 4.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 (ปี 2566 มูลค่ารวม 22,440.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 772,669 ล้านบาท) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก คือ (1) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 3,845.2 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 16.46% ของมูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร (2) อาหารสัตว์เลี้ยง 3,029.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 12.97% (3) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ 2,677.2 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 11.46% (4) น้ำตาลทราย 2,382.7 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 10.2 % และ (5) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 2,120.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 9.08% รวม 5 อันดับแรก คิดเป็นสัดส่วน 60.17% ของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมด ตลาดส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก คือ (1) สหรัฐฯ 3,437.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 14.72% (2) จีน 2,304.0 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 9.86% (3) ญี่ปุ่น 1,712.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 7.33% (4) กัมพูชา 1,625.1 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 6.96% และ (5) เมียนมา 1,071.8 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 4.59% รวม 5 อันดับแรก คิดเป็นสัดส่วน 43.46% ของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมด สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูงสุด 5 อันดับแรก (พิจารณาจากสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 20 อันดับแรก) (1) อาหารสัตว์เลี้ยง 22.9% (2) กากน้ำตาล ขยายตัว 22.2% (3) นมและผลิตภัณฑ์นม 21.3% (4) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 18.3% และ (5) โกโก้และของปรุงแต่ง 16.0% ตลาดส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูงสุด 5 อันดับแรก (พิจารณาจากตลาดที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรสูงสุด 20 อันดับแรก) (1) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขยายตัว 27.6% (2) แคนนาดา 21.6% (3) ออสเตรเลีย 19.9% (4) สหรัฐฯ 19.7% และ (5) สหราชอาณาจักร 16.5% สถิติดังกล่าวมีไฮไลท์ที่น่าสนใจ ดังนี้ (1) ปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มีมูลค่าถึง 52,185.0 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นครั้งแรกที่ไทยมีการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเกินกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แสดงให้เห็นถึงบทบาทของภาคเกษตรและอาหารที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญของไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) หรือมีการแปรรูปขั้นต้นเท่านั้น ดังนั้น จึงต้องเร่งส่งเสริมและผลักดันให้ไทยส่งออกสินค้าเกษตรมูลค่าสูงและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้น อาทิ อาหารแปรรูปมูลค่าสูง สินค้าเกษตรอัตลักษณ์ และสินค้าเกษตรสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) (2) สินค้าเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก มีสัดส่วนถึง 88.06% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก มีสัดส่วน 60.17% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าไม่กี่รายการ อาทิ ผลไม้ ข้าว ยางพารา ไก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และอาหารสัตว์เลี้ยง ไทยจึงควรนำเสนอผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรที่หลากหลายขึ้น และตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น (3) ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่ไทยพึ่งพาสูง ได้แก่ จีน (สัดส่วน 23.68% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมดของไทย) สหรัฐอเมริกา (สัดส่วน 10.23%) และญี่ปุ่น (สัดส่วน 9.94%) ทั้ง 3 ตลาดมึสัดส่วน 43.85% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรทั้งหมดของไทย จึงควรหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาบางตลาดมากเกินไป รวมทั้งติดตามมาตรการทางการค้าจากจีนและสหรัฐฯ จากสงครามการค้ารอบใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย โฆษกกระทรวงพาณิชย์กล่าวทิ้งท้ายว่า สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เป็นสินค้าสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันสนับสนุนให้เศรษฐกิจภาคเกษตรเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะ การนำผลการวิจัยและเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และประเมินความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบต่าง ๆ อาทิ สภาพภูมิอากาศ และสงครามการค้า ทำการตลาดและเจาะตลาดใหม่ ควบคู่กับการรักษาตลาดเดิม รวมทั้งติดตามมาตรการการนำเข้าของประเทศคู่ค้าเพื่อวางแผนปฏิบัติตามได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง รวมทั้งต้องพัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร การเก็บรักษา และบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับการส่งออกภาคเกษตรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า 4 กุมภาพันธ์ 2568

สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน จับมือ NEX เสริมสร้างความร่วมมือในหลากหลายมิติ

สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน จับมือ NEX เสริมสร้างความร่วมมือในหลากหลายมิติ

หุ้นวิชั่น - เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ดร. กำพล มหานุกูล นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้เข้าพบ นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือในหลากหลายมิติ เนื่องในโอกาสสำคัญของการฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน การเข้าพบครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์และแสวงหาความร่วมมือระหว่างสององค์กร โดยมีประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน อาทิ การสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์สารคดี “สายใยรักสองแผ่นดิน” ซึ่งเป็นโครงการพิเศษที่จัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดยบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) ได้แสดงเจตจำนงในการสนับสนุนการสร้างสรรค์ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้เรียนเชิญบุคลากรจากบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมการอบรมในหลักสูตร “ผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน” หรือ บทจ. รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารในบริบทของความสัมพันธ์ไทย-จีน การส่งเสริมการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้เสนอการจัดทัศนศึกษาดูงานในหลักสูตรของสมาคมฯ ณ โรงงานประกอบรถยนต์ของบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์จริงในภาคอุตสาหกรรม การขยายเครือข่ายความร่วมมือ สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้เชิญชวนสื่อมวลชนในเครือข่ายของบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมฯ เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน การหารือในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ASW มอบ 10 ล้านบาท  ให้แก่ โครงการ “ก้าวเพื่อน้องปีที่ 5”

ASW มอบ 10 ล้านบาท ให้แก่ โครงการ “ก้าวเพื่อน้องปีที่ 5”

          นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW มอบเงินสนับสนุน จำนวน 10,000,000 บาท ให้แก่ โครงการ “ก้าวเพื่อน้องปีที่ 5” เพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ผ่านมูลนิธิก้าวคนละก้าว และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งเป็นหนึ่งในแคมเปญช่วยเหลือสังคมในโอกาสครบรอบ 20 ปีแอสเซทไวส์ โดยมีนายอาทิวราห์ คงมาลัย ประธานมูลนิธิก้าวคนละก้าว และดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นผู้รับมอบ ณ โรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพ เมื่อเร็วๆ นี้ บุคคลในภาพ (จากซ้ายไปขวา): ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) นายอาทิวราห์ คงมาลัย ประธานมูลนิธิก้าวคนละก้าว

ธ.ทิสโก้ ชี้เป้าซื้อกองทุน นโยบายทรัมป์หนุน หุ้นสหรัฐฯ !

ธ.ทิสโก้ ชี้เป้าซื้อกองทุน นโยบายทรัมป์หนุน หุ้นสหรัฐฯ !

         หุ้นวิชั่น - ธนาคารทิสโก้คาด หุ้นสหรัฐฯ จะสร้างผลตอบแทนโดดเด่นในปี 2568 หลังทรัมป์เดินหน้านโยบายตามที่หาเสียงไว้ หนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนพุ่ง 14% YoY สูงกว่าตลาดหุ้นโลกที่โต 8% YoY แนะควรเลือกกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่มีนโยบายการลงทุน ‘เชิงรุก’ เพราะไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมจะเติบโตดี ต้องให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต พร้อมเปิดชื่อ 3 กองทุนเด่นน่าซื้อ คือ UUSA, ES-USBLUECHIP และ TUSFIN-A          นางวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุน และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารทิสโก้ประเมินว่าปี 2568 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนโดดเด่น หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกคำสั่งประธานาธิบดีหลายฉบับที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจในประเทศสหรัฐฯ ตามที่หาเสียงไว้ ทำให้นักวิเคราะห์จาก Bloomberg คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ (S&P500 Index) ปี 2568 เติบโตสูงถึง 14% YoY ดีกว่าตลาดหุ้นโลก (MSCI ACWI) ที่กำไรบริษัทจดทะเบียนโต 8% YoY          นอกจากนี้ หากลงลึกรายกลุ่มอุตสาหกรรมธนาคารทิสโก้มองว่าหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ เป็นกลุ่มที่มีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตอย่างมาก เพราะได้รับประโยชน์จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในช่วงขาลง รวมถึงนโยบาย Financial Deregulation จะช่วยผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน ทำให้สามารถขยายธุรกิจได้มากขึ้น ดังนั้น ธีมลงทุนที่ธนาคารทิสโก้แนะนำเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากนโยบายทรัมป์ คือ กองทุนหุ้นสหรัฐฯ และกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงินสหรัฐฯ          อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนที่มี ‘นโยบายการลงทุนเชิงรุก’ มากกว่ากองทุนที่มีนโยบายการลงทุนตามดัชนี เพราะไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ จะเติบโตได้ดี อีกทั้งบางอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายของทรัมป์ นอกจากนี้ ปี 2568 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสเติบโตในอัตราชะลอตัวเมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งกองทุนที่มีนโยบายเชิงรุกจะเปิดโอกาสให้ผู้จัดการกองทุนเฟ้นหาหุ้นผู้ชนะมา สร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากดัชนีให้กับพอร์ตการลงทุน จากปัจจัยดังกล่าวธนาคารทิสโก้ จึงคัดกองทุนเด่นให้ลูกค้าลงทุน 3 กองทุน คือ 1. กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอส โกรท ฟันด์ (UUSA) 2. กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP) และ 3. กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ไฟแนนเชียล (TUSFIN-A) สำหรับรายละเอียดกองทุนแนะนำลงทุนทั้ง 3 กองทุนมี ดังนี้ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอส โกรท ฟันด์  กองทุนนี้มีจุดเด่นตรงที่ผู้จัดการกองทุนจะเน้นคัดเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว และกระจายน้ำหนักการลงทุนที่เหมาะสม โดยใช้หลักการวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์แบบ Bottom - up เพื่อเลือกหุ้นที่สนใจ โดยเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความสามารถในการเติบโตของรายได้หรือกำไรสูงกว่าตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาภาพรวมอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจประกอบการลงทุนด้วย อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับปัจจัยด้าน ESG เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอส โกรท ฟันด์ (UUSA) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในกองทุน JPMorgan Funds – US Growth Fund Class I (acc) – USD โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนหลักจะลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตหรือแนวโน้มการเติบโต (Growth style) ของบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity  กองทุนนี้มีจุดเด่นตรงที่กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เป็นบริษัทที่มีรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งมีงบการเงินที่ดีและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง มีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าพร้อมกับมีขีดความสามารถในการแข่งขัน จากการเป็น “เจ้าตลาด” หรือครองส่วนแบ่งการตลาดในระดับสูง กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในกองทุน T. Rowe Price Funds SICAV - US Blue Chip Equity Fund Class I โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ลงทุนในหุ้นชั้นดีของบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยกลยุทธ์การลงทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลัก โดยกองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนีชี้วัด กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ไฟแนนเชียล จุดเด่นของกองทุนนี้คือเน้นลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงินในสหรัฐฯ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มย่อย คือ 1. กลุ่มผู้ให้บริการด้านการเงิน เช่น Berkshire Hathaway และ PayPal 2. กลุ่มธนาคาร เช่น JPMorganChase และ Citigroup 3. กลุ่มธุรกิจประกัน เช่น Chubb และ4. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน เช่น Goldman Sachs และ Morgan Stanley ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากนโยบายของทรัมป์ ทั้งในเรื่องการปรับลดภาษีนิติบุคคล และการผ่อนปรนเงื่อนไขในการดำเนินธุรกิจ แถมได้รับผลกระทบในระดับจากสงครามการค้าอีกด้วย กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ไฟแนนเชียล (TUSFIN-A) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในกองทุน Financial Select Sector SPDR Fund ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Financial Select Sector                  อย่างไรก็ตาม กองทุน UUSA, ES-USBLUECHIP และ TUSFIN-A ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ติดต่อสอบถามรายละเอียด หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 2 กด 4

ผสานพลัง Blockchain - Supply Chain เปลี่ยนอนาคตโลกอุตสาหกรรม [HoonVision x TokenX]

ผสานพลัง Blockchain - Supply Chain เปลี่ยนอนาคตโลกอุตสาหกรรม [HoonVision x TokenX]

Blockchain x Supply Chain: ทำความรู้จักกับคู่หูทรงพลังแห่งโลกอุตสาหกรรม Supply Chain Management and Blockchain Technology Series: Episode 1 ในโลกของเรา มีสัจธรรมที่บอกถึงคุณค่าของสิ่งมีชีวิตอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือ ความเก่ง ทุกชีวิตบนโลกต่างมีความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น เช่น กระต่ายเก่งในการวิ่ง นกเก่งในการบิน หรือ ปลาเก่งในการว่ายน้ำ ความเก่งในแต่ละแบบนั้นแสดงถึงการปรับตัว และ ความอยู่รอดในโลกนี้ แต่เมื่อใดที่ความเก่งของแต่ละสิ่งแตกต่างกัน และ ต้องเผชิญหน้าในสถานการณ์ หรือ อุปสรรคที่แตกต่างกันไป พวกเค้ามักจะต้องการ “คู่หู” ที่เก่งในแบบของตนเองมาช่วยกัน เพื่อให้การทำงานหรือการเอาชีวิตรอดเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ แสดงถึง ภาวะความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกันกับในโลกของธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนที่ต้องอาศัยการจัดการที่ดี จากประสบการณ์ที่ผูเขียนเป็น Software engineer ที่โลดแล่นอยู่ในวงการ Financial มาโดยตลอด ได้เห็น Evolution ของเทคโนโลยีที่ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินของทั่วทั้งโลกเปลี่ยนแปลงไป นับตั้งแต่การเกิดขึ้นของ FinTech ไม่ว่าจะเป็น Mobile banking หรือ Trend อย่าง Cashless Society ทั้งหลาย ไปจนถึงการนำ Blockchain มาใช้ในการสร้างความโปร่งใส และ ความปลอดภัยในการทำธุรกรรม และ ในวันนี้เรากำลังเห็นเทคโนโลยี Blockchain ไม่ได้หยุดอยู่แค่โลกของการเงินเท่านั้น แต่มันกำลัง Expand ไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย รวมไปถึงวงการ Supply Chain ซึ่งเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงสินค้าจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค Supply Chain Management เป็นหนึ่งในกระบวนการที่มีการเคลื่อนย้ายโยกย้ายข้อมูล และ สินค้าอย่างรวดเร็ว การขนส่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งจะต้องมีการตรวจสอบติดตามข้อมูลอย่างละเอียด และ มีความโปร่งใส แต่ Supply Chain เองก็มีข้อจำกัด และ ข้อด้อยบางอย่างในการทำงานส่งผลให้มีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลที่ค่อนข้างแย่ นั่นจึงเป็นที่มาของการหา “คู่หู” ที่มี Relation ที่เหมาะสมในแบบของ Protocooperation เพื่อให้การเปลี่ยนถ่ายยุคสมัยนั้นเป็นไปได้ด้วยดี โดยเทคโนโลยีจะที่เข้ามาเป็น “คู่หู” ในการช่วยเหลือ Supply Chain นั่นก็คือ Blockchain Protocooperation คือ ความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน (+, +) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของ 2 สิ่งแบบได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน สามารถขาดกันได้ถึงแม้ว่าจะแยกกันอยู่ก็สามารถดำรงชีวิตหรือทำงานต่อไปได้ตามปกติ Blockchain นั้นเก่งในเรื่องของการสร้างความโปร่งใส และ ความปลอดภัยในการบันทึกข้อมูล และ ด้วยความสามารถในการทำงานแบบ Decentralized Ledger ที่มีกลไกที่ทำให้ข้อมูลไม่สามารถถูกปลอมแปลงได้ อีกทั้งยังทนทานต่อความเสียหายได้อีกด้วย และ ทุกความเคลื่อนไหวสามารถตรวจสอบได้แบบ Real Time ความเก่งกาจในด้านนี้ของ Blockchain จะเข้ามาช่วยเสริมจุดแข็งและแก้จุดอ่อนของ Supply Chain ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเมื่อจับคู่พวกเค้าร่วมกัน เราก็จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรม Supply Chain ไปในทิศทางที่น่าสนใจอย่างแน่นอน โดยตลอด Series นี้ จะพาทุกคนไปดูรายละเอียดต่างๆที่น่าสนใจที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลก Supply Chain และ บทบาทของ เทคโนโลยี Blockchain ที่จะส่งผลต่อธุรกิจเหล่านี้กัน ซึ่งใน Episode 1 นี้ ทุกคนจะได้เห็นว่าทำไมการผสานพลังของ “คู่หู” สองสิ่งนี้ถึงสำคัญและมันจะมาเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม Supply Chain ได้อย่างไร ก่อนจะไปพูดถึงการรวมกันของ 2 คู่หูสุดเทพ อย่าง Blockchain และ Supply Chain เราคงต้องย้อนมาพูดถึง Supply Chain Management ก่อนว่ามันคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไรในโลกธุรกิจ และ อุตสาหกรรม รู้จักกับ Supply Chain สักหน่อย Supply Chain Management คือ กระบวนการที่เชื่อมโยงทุกจุดในระบบ ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ การขนส่งสินค้า ไปจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ถึงมือผู้บริโภค ที่มีความครอบคลุมทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้การ Manage นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้การผลิต และ กระจายสินค้าดำเนินไปอย่างราบรื่น ประหยัดต้นทุน และ มีประสิทธิภาพสูงสุด ในยุคที่โลกเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความต้องการของลูกค้าที่ผันผวน และ การแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น ส่งผลให้ในหลายๆ ธุรกิจ และ อุตสาหกรรม Supply Chain ต้องปรับตัวให้ทันตามกระแสของโลก โดยความคล่องตัว และ ประสิทธิภาพ เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับธุรกิจ และ อุตสาหกรรมในยุคนี้ เพราะเพียงแค่ล่าช้า หรือ ผิดพลาดเพียงเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ทั้งหมด ซึ่งอาจจะส่งผลเสียอย่างมากต่อธุรกิจ อุตสาหกรรม จนอาจจะนำไปถึงจุดที่ทำให้สูญเสียรายได้ หรือ ลูกค้าเลยก็เป็นได้ และที่สำคัญกว่านั้น Supply Chain ยังเป็นสิ่งที่สร้างการเชื่อมโยงให้กับหลายๆอุตสาหกรรม หากการจัดการ Supply Chain มีปัญหา มันอาจจะส่งผลกระทบต่อกันเป็นลูกโซ่ให้กับ Stakeholder ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต, ผู้จัดจำหน่าย หรือ แม้แต่ผู้บริโภค และ ยิ่งเราอยู่ในยุคที่ทิศทางของธุรกิจมีความเป็น Global สูง มีการส่งออก และ ซื้อขายกันในระดับ Global อย่างมากมาย ทำให้ความถูกต้องแม่นยำ และ ความโปร่งใสในการติดตามสินค้าจึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมา เพราะฉะนั้นแล้วการมีระบบที่มีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยความสามารถในการติดตามที่น่าเชื่อถือ และ โปร่งใส จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงธุรกิจ Supply chain ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ Supply Chain Management ที่ดีไม่ได้มีเพื่อแค่ทำให้เราส่งสินค้าตรงเวลาเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยง การสร้างความโปร่งใสในการตรวจสอบ และ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรอีกด้วย รู้จักกับ Blockchain สักนิด และเมื่อเราพูดถึงการสร้างระบบ Supply Chain Management ที่มีประสิทธิภาพ ที่มีทั้ง ความน่าเชื่อถือ และ ความโปร่งใส เทคโนโลยี Blockchain กลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากมีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับความต้องการของการทำ Supply Chain Management ในโลกปัจจุบัน Blockchain คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบหนึ่ง โดยข้อมูลจะถูก Save ในลักษณะของ Block ซึ่งในแต่ละ Block นั้นจะมี Signature เป็นของตัวเอง โดย Signature ของ Block นั้นจะถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลภายใน Block ผสานเข้ากับ Signature ของ Block ก่อนหน้า ซึ่งเป็นการสร้างการเชื่อมโยงกันระหว่าง Block โดยในลักษณะแบบนี้ เราเรียกว่า Chain ส่งผลให้ข้อมูลที่ถูกบันทึกลง Block ไปแล้วนั้นไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงได้ เพราะเมื่อข้อมูลนั้นถูกแก้ไข เจ้าตัว Signature ของ Block ก็จะเปลี่ยนไปส่งผลให้ Signature ใหม่นั้น ไม่ตรงกับ Signature ที่เก็บอยู่ใน Block ถัดไป และ ก็จะ Effect แบบนี้ไปจนถึง Block สุดท้ายของ Chain หลายๆ คนอาจจะมีความเข้าใจผิดกับคำว่า “ข้อมูลที่เก็บอยู่บน Blockchain ไม่สามารถแก้ไขได้” คำว่า “ไม่สามารถแก้ไขได้” หมายถึง การที่เราไม่สามารถเข้าไป Replace ข้อมูลเดิมที่มีอยู่บน Blockchain ได้ แต่ยังสามารถทำการ Update ข้อมูลเข้าไปใหม่ได้ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขในลักษณะของ Trail ยกตัวอย่าง เช่น มีแมวชื่อ A อยู่บน Blockchain แล้วต้องการแก้ไขจากชื่อ A เป็นชื่อ B ก็ สามารถทำได้ตามปกติเลย แต่แมวตัวนั้น ก็จะมี Trail ว่าเคยตั้งชื่อ A อยู่ด้วย สรุปสั้นๆ การแก้ไขข้อมูลบน Blockchain สามารถทำได้แต่จะเป็นในลักษณะของการ Update ที่จะมี Trail ตามหลังเสมอครับ สำหรับธุรกิจ อุตสาหกรรม Supply Chain นั้น Blockchain จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการทำ Supply Chain Management และ มันยังช่วยส่งเสริมการทำงานให้กับ ระบบ MES ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการผลิต และ การจัดส่งสินค้าให้มีการจัดการที่ดีขึ้น และ ประสิทธิภาพสูง ระบบ MES คือ ระบบที่ใช้ในการจัดการ และ ควบคุมกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม โดยระบบนี้ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างแผนการผลิต (เช่น ERP หรือ Enterprise Resource Planning) และ การทำงานในระดับภาคพื้น โดยระบบ MES จะช่วยเก็บข้อมูล และ ติดตามกระบวนการต่างๆ ในโรงงาน เพื่อให้สามารถมองเห็นภาพรวมของการผลิตในแบบ Realtime และ ช่วยให้การจัดการกระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจากนี้ขอขยายความถึงคุณสมบัติที่ว่า “จะเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงธุรกิจ Supply Chain ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ” ที่มีในตัว Blockchain อย่างแรกความโปร่งใส (Transparency) ในทุกๆ การบันทึกข้อมูลที่เกิดขึ้นในระบบ Blockchain จะถูกเก็บอย่างเปิดเผยในบัญชีกลาง (Distributed Ledger) ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลได้แบบ Realtime โดยข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไข หรือ เปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย ทำให้การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจะกลายเป็นเรื่องง่ายดาย และ ช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับทุกๆ Stakeholder ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย อย่างที่สองการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เป็นคุณสมบัติที่เรียกได้ว่าจะเป็นจุดเด่นที่สร้างความได้เปรียบอย่างมากเมื่อใช้ Blockchain ใน Supply Chain โดยทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้ายสินค้า หรือ มีการเปลี่ยนแปลงสถานะ ระบบ Blockchain จะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ไว้ในทุกขั้นตอน ทำให้ Stakeholder ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้บริโภค สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของสินค้าได้อย่างละเอียด ยกตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่นำเข้า และ การรายละเอียดการใช้งานต่างๆ ในสายการผลิตอย่างชัดเจน ในขณะที่ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบประวัติของสินค้านั้นอย่างละเอียดได้ไม่ว่าจะเป็น ตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต ประวัติการขนส่งตั้งแต่สายการผลิตจนถึง Shelf ที่วางขายสินค้านั้น และ ส่งต่อไปถึงมือของผู้บริโภคได้ และอย่างสุดท้ายคือ ความปลอดภัย (Security) ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติเด่นที่สุดของ Blockchain ด้วยการใช้เทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ทำให้ข้อมูลที่ถูกบันทึกใน Blockchain ไม่สามารถถูกปลอมแปลง หรือ เข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยปกติแล้วในการ Hosting Blockchain มาใช้งานนั้น เราจะมีการ DeclareNetwork ที่เปรียบเสมือน Community ที่ช่วยจะกันเก็บข้อมูล ซึ่งภายใน Community นั้นก็จะประกอบไปด้วย Node หลายๆ Node ที่เก็บข้อมูล และ Sync ข้อมูลกันอยู่ตลอดเวลาโดยข้อมูลที่เก็บอยู่บน Blockchain นั้นจะถูกกระจายไปยังทุก Node ใน Network ทำให้การโจมตี หรือ Hack ข้อมูลเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งเป็น Mechanism ที่ช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับทั้งข้อมูล และ การทำธุรกรรมต่างๆ และด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ Blockchain จึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเสริมประสิทธิภาพและสร้างความไว้วางใจให้กับระบบ Supply Chain ไม่ว่าจะเป็นการลดข้อผิดพลาดในกระบวนการต่างๆ การสร้างความโปร่งใสในทุกขั้นตอน หรือ การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ไม่สามารถถูกละเมิดได้ ในปัจจุบัน ระบบ Supply Chain มักจะพบเจอปัญหาหลายอย่าง ซึ่งปัญหาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ Blockchain สามารถเข้ามาช่วยแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น การขาด Traceability ของสินค้า และ วัตถุดิบ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ส่งผลให้เกิดการปลอมแปลงสินค้า ที่ยากจะตรวจสอบ และ อาจทำให้ขาดความเชื่อมั่นกัน ใน Stakeholder ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภค และ การที่ไม่มีระบบที่สร้างความชัดเจน และ ความโปร่งใสทำให้หลายฝ่ายไม่สามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ได้รับมีความถูกต้อง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ Blockchain สามารถช่วยได้โดยการนำมาสร้างเป็นระบบที่มีความน่าเชื่อถือ และ โปร่งใส ทำให้ Stakeholder สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกการเคลื่อนไหวของสินค้าหรือข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ สิ่งเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น และ โปร่งใสให้กับผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่าย ตัวอย่างการใช้งาน 1). การสร้าง Traceability ของอาหาร ในอุตสาหกรรมอาหาร ความสามารถในการทำ Traceability ตั้งแต่ ฟาร์ม สู่ จาน ของผู้บริโภคนั้นมีความสำคัญมาก หากเกิดปัญหา เช่น การปนเปื้อนของอาหาร Blockchain ช่วยให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้ทันทีว่าอาหารเหล่านั้นมาจากที่ใด ผ่านกระบวนการใดมาบ้าง และใครเป็นผู้จัดส่ง สิ่งนี้ช่วยให้กระบวนการเรียกคืนสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคในวงกว้างได้อีกด้วย นอกจากจะช่วยในเรื่องของการตรวจสอบ การสร้าง Traceability ยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับอาหาร หรือ สินค้านั้นๆ ด้วย เป็นการสร้าง Story ให้กับอาหาร หรือ สินค้า เช่น Steak เนื้อจานนี้ ตั้งแต่เด็กถูกเลี้ยงด้วยหญ้าที่นำเข้ามาจากแหล่งที่มาชั้นยอด อาบน้ำวันละ 3 หน ให้ดื่มน้ำแร่จากเทือกเข้าแอลป์ ผ่านการตัดแต่ง และ ปรุงโดยเชฟที่มีชื่อเสียง ก่อนจะมาถึงร้านอาหารนี้ หรือ อีกตัวอย่างนึงคือ กระเป๋าใบนี้ ถูกทำมาจากหนังจระเข้ในป่าอเมซอน ที่เย็บโดยช่างทำกระเป๋าชื่อดังจากฝรั่งเศษ และ เคยผ่านการใช้งานมาจากดาราชื่อดัง เป็นต้น จากตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้าง Traceability กับ อาหารซึ่ง Regulator ในบางประเทศได้ออกมาตรการบังคับในการจัดการเรื่องนี้อย่างเข้มงวด เช่น FDA ของ USA ได้ออกมาตรการในการทำ Traceability กับอาหารในบางประเภทที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งจะช่วยในการป้องกัน และ จัดการปัญหาด้านความปลอดภัยของอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการมุ่งเน้นให้ทุกฝ่ายใน Supply Chain มีระบบบันทึกข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน และ สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2026 แหล่งข่าวที่มา: https://www.fda.gov/food/food-safety-modernization-act-fsma/fsma-final-rule-requirements-additional-traceability-records-certain-foods 2). การรับรองความถูกต้องของชิ้นส่วนอะไหล่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ การปลอมแปลงชิ้นส่วนอะไหล่เป็นปัญหาที่รุนแรงมาก และ อาจเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่ การนำ Blockchain มาใช้ในระบบ Supply Chain ของอุตสาหกรรมนี้ช่วยให้สามารถตรวจสอบได้ว่าชิ้นส่วนทุกชิ้นที่ถูกส่งไปยังโรงงานประกอบรถยนต์ หรือ ร้านซ่อมเป็นของแท้หรือไม่ เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับชิ้นส่วนจะถูกบันทึกไว้ในระบบตั้งแต่การผลิต การจัดส่ง จนถึงผู้ใช้งานปลายทาง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงได้ง่าย สรุป EP.1 การทำ Supply Chain Management เป็นกระบวนการที่จำเป็นมากในการจัดการวัตถุดิบ สินค้า และ ข้อมูลในเครือข่ายโลจิสติกส์ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในความเป็นจริงธุรกิจ และ อุตสาหกรรมในระบบ Supply Chain นั้นมีความซับซ้อน ยุ่งยาก และ ด้อยประสิทธิภาพไปตามกาลเวลา และ ยุคสมัย Blockchain ในฐานะของ Technology ในยุคสมัยใหม่ ได้เข้ามามีบทบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสใน Supply Chain Management โดยช่วยให้การติดตามสินค้าจากแหล่งที่มามีความแม่นยำ ป้องกันการปลอมแปลงข้อมูล และ สร้างความน่าเชื่อถือในทุกขั้นตอน ซึ่งการผสานพลังกันของคู่หูระหว่าง Supply Chain และ Blockchain นั้น เป็นแค่จุดเริ่มต้น ยังมี Room ที่ให้เล่น และ สานต่ออีกมากมาย ซึ่ง คู่หู คู่นี้ค่อนข้างมี Potential สูงในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของโลกอุตสาหกรรม โดยใน Episode หน้าผู้เขียนจะมาแชร์เรื่อง Accounting อย่างไรให้ถูกใจสาย Chain โดยในเนื้อหาจะพูดถึง การทำ Accounting สำหรับการสร้าง Traceability ใน Supply Chain ให้ประสิทธิภาพ โดยใช้ Blockchain Technology ผู้เขียน Tinnakorn Pornsontisakul รายละเอียดเพิ่ม คลิก 

ราคาทองเช้าวันนี้ ขึ้น 50 บ. ทองรูปพรรณ ขายออก 46,200 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ ขึ้น 50 บ. ทองรูปพรรณ ขายออก 46,200 บ.

          หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  7 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 50 ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 45,600.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 45,700.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 44,782.64 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 46,200.00 บาท

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-34.00 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-34.00 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-34.00 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทกลับมาอ่อนค่าพร้อมดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับลงแรงวานนี้จากความเชื่อมั่นนักลงทุนที่ปรับแย่ลง ทั้งนี้ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่เช้านี้เปิดมาติดลบจากนักลงทุนที่มีท่าทีระมัดระวังก่อนตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ออกในคืนนี้ ธนาคารกลางอังกฤษลดดอกเบี้ย 25% มาอยู่ที่ 4.5% แต่มีกรรมการ 2 ท่านสนับสนุนให้ลดดอกเบี้ย 0.5% ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่า เงินเฟ้อไทยมกราคมออกมาที่ 32% ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.83% ตามคาด  

“บริทาเนีย” เปิดขายครั้งแรก ! บ้านเดี่ยวระดับ Luxury สไตล์อังกฤษ

“บริทาเนีย” เปิดขายครั้งแรก ! บ้านเดี่ยวระดับ Luxury สไตล์อังกฤษ

            “บริทาเนีย”  เปิดขายครั้งแรก! บ้านเดี่ยวระดับ Luxury สไตล์อังกฤษ “เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5” 15-16 ก.พ.นี้ Best Location ติดถนนใหญ่ ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวก ราคาเริ่ม 39 ล้านบาท*             “บริทาเนีย” ตอกย้ำดีเอ็นเอตามคำสัญญา ‘CRAFT a life you love ‘หรือ’ ดีที่สุด คือใช้ชีวิตในแบบที่รัก’ กับการเปิดขายครั้งแรก ! บ้านเดี่ยวระดับ Luxury สไตล์อังกฤษ “เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5” ในงาน VIP DAY 15-16 ก.พ.นี้ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า และเพื่อยกระดับชีวิตและสังคมคุณภาพให้ลูกค้าในทุกๆ ด้าน Best Location ติดถนนใหญ่ถนนนครอินทร์ทำเลเดินทางสะดวก ใกล้ทางด่วนศรีรัช 5 กม. ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง 10 นาที  ทำเลที่เต็มไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ สิ่งอำนวยความสะดวก ราคาเริ่ม 39 ล้านบาท*             คุณศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า ได้จัดงาน VIP DAY 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ บ้านเดี่ยวระดับ Luxury “เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5” Private Residences เพียง 35 ยูนิตโครงการใหม่ที่ตอกย้ำดีเอ็นเอแบรนด์บริทาเนียตามคำสัญญา ‘CRAFT a life you love ‘หรือ’ ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก’ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากงานสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษ มีการออกแบบเป็นเอกลักษณ์ และหรูหราในทุกมิติโดดเด่นเหนือกาลเวลา พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจที่เป็นดั่งมรดกอันล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยราคาเริ่มต้น 39 – 60 ล้านบาท*             จับกลุ่มตลาดบ้านหรู ที่เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจที่มีทั้งดีมานด์ และซัพพลายพร้อม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อระดับบน เพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเป็นทรัพย์สินในอนาคตให้กับครอบครัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสภาพคล่องทางการเงินอย่างกลุ่ม ผู้บริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ประสบความสำเร็จ ทันสมัย มองการณ์ไกล เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความโดดเด่นสะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นตัวเอง พร้อมกับทำเล Best Location ราชพฤกษ์-พระราม 5 ซึ่งเป็น Luxury Hub ฝั่งตะวันตก ติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วน ใกล้รถไฟฟ้า และรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทำให้ เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5 เป็นโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าตลาดบ้านหรู             ภายใต้คำสัญญา ‘CRAFT a life you love ‘หรือ’ ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก’ ที่สะท้อนผ่านโครงการ “เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5” บริทาเนียใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนหา Location แล้วลงมือทำหรือพัฒนาเพื่อนำเสนอทุกความสุขให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า และเพื่อยกระดับชีวิตและสังคมคุณภาพให้ลูกค้าในทุกๆ ด้าน ดังนี้คือ             Best Location : ที่ติดถนนใหญ่ถนนนครอินทร์ทำเลที่มีศักยภาพเดินทางสะดวก ใกล้ทางด่วนศรีรัช 5 กม. ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง 10 นาที  ทำเลที่เต็มไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ สิ่งอำนวยความสะดวก แหล่งจับจ่ายใช้สอย และสถานที่สำคัญมากมาย อาทิ ใกล้กับศูนย์การค้าใหญ่, สถาบันการศึกษาชั้นนำ และใกล้โรงพยาบาลชื่อดัง เช่น เซ็นทรัล เวสต์วิลล์, เดอะ วอล์ค ราชพฤกษ์, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, ตลาดพระราม 5, The Crystal SB ราชพฤกษ์, Food Vila ราชพฤกษ์, โรงเรียนนานาชาติเด่นหล้าบริติช, โรงเรียนนานาชาติเคนซิงตัน, โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี, มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์, โรงเรียนนานาชาติดีบีเอส, โรงเรียนบดินทรเดชา นนทบุรี, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการ บางใหญ่, โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น, โรงพยาบาลศรีสวรรค์ ราชพฤกษ์โรงพยาบาล ธนบุรี ทวีวัฒนา, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, โรงพยาบาลกรุงเทพ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นต้น             Concept design : บ้านที่ได้รับแรงบันดาลใจจากงานสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษที่โดดเด่นเหนือกาลเวลา เป็นเหมือน ‘จัตุรัสแห่งกรุงลอนดอน’ ที่เชื่อมต่อทุกเรื่องราวของสมาชิกในครอบครัวไว้ด้วยกัน สรรสร้างสู่พื้นที่แห่งการเชื่อมต่อความสุข เชื่อมต่อสังคมคุณภาพ โดดเด่นตั้งแต่ Gate ทางเข้าโครงการ โดยนำเรื่องราวมาจาก “การเดินทางด้วยรถไฟ ในอดีตเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูง” โดยดึงรายละเอียดของสถานีรถไฟคิงส์ครอส หนึ่งในสถานีรถไฟที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงลอนดอน วัสดุโทนสีเขียว สีทอง โทนสีเข้มต่างๆ มาเป็นแนวทางการออกแบบในพื้นที่ส่วนกลาง ให้ผู้อาศัยได้สัมผัสถึงกลิ่นอาย และการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อสร้างพื้นที่ของการแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ ในครอบครัว และเพื่อส่งต่อความทรงจำที่เป็นมรดกอันล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่น  A Timeless Legacy             Flagship เบลกราเวีย ราชพฤกษ์ – พระราม 5 บ้านแบบ 2 Type 1.แบบบ้านเลสเตอร์ (LEICESTER)  บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 81 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 400 ตร.ม.มี 4 ห้องนอน / 5 ห้องน้ำ / 1 ครัวไทย / 1 ห้องอเนกประสงค์ / 3 ที่จอดรถ/ 1 ห้องแม่บ้าน 2.แบบบ้านทราฟัลการ์(TRAFALGAR) บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 100 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 500 ตร.ม.มี 4 ห้องนอน / 5 ห้องน้ำ 1 ครัวไทย / 1 ห้องอเนกประสงค์ / 4 ที่จอดรถ/ 1 ห้องแม่บ้าน             การออกแบบ “บ้าน” ทั้ง 2 สไตล์ มีแนวความคิดมาจากย่านที่พักอาศัยในย่าน เบลกราเวีย เป็นหนึ่งในย่านที่ร่ำรวยและหรูหราที่สุดในกรุงลอนดอน อีกทั้งยังเป็นย่านของสถานที่ราชการ พระราชวังบักกิงแฮม ในสไตล์ GEORGIAN ARCHITECTURE ทำให้รูปแบบของสถาปัตยกรรมมีความเรียบหรู โทนสีที่ดูเรียบทันสมัย มีบัวขอบหน้าต่างที่ดูมีกลิ่นอายความเป็นอังกฤษดูสบายตาทั้งโครงการ             LANDSCAPE งาน Landscape ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก สวน Belgravia Park ย่านเบลกราเวีย สัมผัสความเป็นธรรมชาติในการอยู่อาศัย ทั้งจากในพื้นที่สวนสู่อาคาร (Outside in) และจากภายในอาคารสู่พื้นที่สวน (Inside out) ท่ามกลางบรรยากาศสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เสมือนเป็นพื้นที่สีเขียวส่วนตัวของคนมีระดับ ที่รังสรรค์พื้นที่ให้สามารถรับรองผู้มาเยือนอย่างเป็นกันเอง อบอุ่น โดยการออกแบบเป็นแบบ ASYMMETRICAL – CLASSICAL COMPOSITION เรียบง่าย เป็นเอกลักษณ์ และเป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทุกครอบครัวทั้งคลับเฮาส์และสวนสาธารณะ 2 แห่ง Swimming pool (Jacuzzi, Kid pool), Lobby, Lounge, Fitness, Studio Room, Social Club, Double Gate Security CCTV 24 ชม.             ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งของโครงการที่เชื่อมต่อเข้าออกเมืองได้หลากหลายเส้นทาง โครงการอยู่ติดถนนนครอินทร์ ที่เชื่อมต่อกับถนนพระราม 5 ซึ่งเป็นเส้นทางการคมนาคมหลักใกล้ทางด่วน ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นทำเลที่เต็มไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ สิ่งอำนวยความสะดวก แหล่งจับจ่ายใช้สอย และสถานที่สำคัญมากมาย รวมถึงจุดเด่นอื่นๆ ที่คิดและรังสรรค์ขึ้นมา 15-16 ก.พ. นี้พร้อมเปิดสัมผัสบ้านเดี่ยวระดับ Luxury “เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5” เอกสิทธิ์ 35 ครอบครัวฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ ที่ดิน 100 ตร.ว. โดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษพิเศษ!             สำหรับ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI : เป็นผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้คอนเซปต์ CRAFT a life you love ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก พัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว บ้านซีรีส์ใหม่ ทาวน์โฮม ครอบคลุมผู้บริโภคทุกเซ็กเมนท์ ภายใต้ 5 แบรนด์และกลุ่มเซ็กเมนท์ ได้แก่ 1.เบลกราเวีย (Belgravia) บ้านเดี่ยวลักชัวรี ระดับราคา 20-50 ล้านบาท 2.แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับ High-End ราคา 8-20 ล้านบาท 3.บริทาเนีย (Britania) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับ Mid-end ราคา 4-8 ล้านบาท และ 4.ไบรตัน (Brighton) บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับเริ่มต้น (Entry) ราคา 2.5-4 ล้านบาท 5.กลุ่มแบรนเด็ด เรสซิเดนซ์ วิลล่า (Branded Residences Villa) บ้านพักตากอากาศระดับ Luxury ราคา 19-60 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 4/2567 พัฒนาโครงการมาแล้วทั้งสิ้น 46 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการสะสม 59,435 ล้านบาท

S&P ชวนมอบเค้กส่งความรัก เติมแต่งความรัก ให้เป็นรสวาเลนไทน์

S&P ชวนมอบเค้กส่งความรัก เติมแต่งความรัก ให้เป็นรสวาเลนไทน์

         Love is a Cake เติมแต่งความรัก ให้เป็นรสวาเลนไทน์ ด้วยเค้กเอส แอนด์ พี เพราะรักมันซับซ้อน เหมือนเค้กเลเยอร์ ชวนมอบความรักให้แก่กันและกัน          ต้อนรับเทศกาลด้วยเค้ก ดอกกุหลาบแสนหวานตัวแทนบอกรัก อาทิ เค้กโรสไวน์ (เลเยอร์วานิลลา ขนาด 1 ปอนด์) เค้กหัวใจบลอสซั่ม ออฟ เลิฟ (บัทเทอร์วานิลา ขนาด 2 ปอนด์) นอกจากนี้ยังมีเค้กสั่งทำดีไซน์พิเศษ ตกแต่งหน้าเค้กอย่างสวยงามด้วยดอกไม้ สีสันหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความหมายของคำว่ารัก นุ่มละมุน รสชาติยอดนิยม ซิกเนเจอร์ของ เอส แอนด์ พี ให้วันวาเลนไทน์นี้อบอวลไปด้วยความรัก          มาพร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 14 ก.พ.นี้ สำหรับสมาชิก S&P Card รับส่วนลดทันที10% สำหรับลูกค้าทั่วไปรับส่วนลดพิเศษ!! เมื่อสั่งผ่าน S&P Delivery 1344, Grab และ Line Man เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ เทศกาลแห่งความรักแบบนี้ รักใครให้เค้ก เอส แอนด์ พี

รัฐบาล หนุนสมรสเท่าเทียม กู้ร่วมซื้อบ้านกับ ธอส. ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.30% เริ่มวันนี้

รัฐบาล หนุนสมรสเท่าเทียม กู้ร่วมซื้อบ้านกับ ธอส. ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.30% เริ่มวันนี้

          หุ้นวิชั่น - นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กระทรวงการคลัง ร่วมต้อนรับเดือนแห่งความรัก สนับสนุน กฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยทุกคู่รัก LGBTQ+ ให้มีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อร่วมกันในทุกผลิตภัณฑ์สินเชื่อกับ ธอส. ทั้งคู่รัก LGBTQ+ ที่เป็นพนักงานประจำ และอาชีพอิสระ นำโดย “สินเชื่อบ้านสวัสดิการ ปี 2568” อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 เท่ากับ 2.30% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 2.90%, “สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ปี 2568” อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 เท่ากับ 2.50% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 3.20% และ “โครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2568” อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 3.50% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 4.10% โดยผู้ที่สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ที่ ธอส.ทุกสาขา ทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป           นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า  ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” พร้อมสนับสนุนทุกความรักของทุกคู่รัก LGBTQ+ ให้มีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย โดยไม่กำหนดรายได้ขั้นต่ำ ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โดยผู้กู้ต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และไม่เกิน 70 ปี  โครงการที่เข้าร่วม ประกอบด้วย สินเชื่อบ้านสวัสดิการ ปี 2568 สำหรับพนักงานที่สังกัดหน่วยงานที่ทำข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้ที่อยู่อาศัย ประเภทไม่มีเงินฝาก และมีความประสงค์ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 2.30% ต่อปี  ปีที่ 2 เท่ากับ 2.90% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 3.50% ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 2.90%  ปีที่ 4 – 5 เท่ากับ MRR – 2.00% ต่อปี และปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ปี 2568 สำหรับผู้ต้องการกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม หรือซ่อมแซม และมีความประสงค์ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 เท่ากับ 2.50% ต่อปี  ปีที่ 2 เท่ากับ 3.10% ต่อปี  ปีที่ 3 เท่ากับ 4.00% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เพียง 3.20% และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี ยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2568 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 โครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2568 สำหรับลูกค้าทั่วไปที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อเดือน และไม่มีประวัติการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับ ธอส. วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อรายต่อหลักประกัน อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 เท่ากับ 3.50% ต่อปี  ปีที่ 2 เท่ากับ 4.25% ต่อปี  ปีที่ 3 เท่ากับ 4.55% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 4.10%  ปีที่ 4 - 5 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี  ปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญา ลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี  ลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี และชำระหนี้ เท่ากับ MRR กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเงินงวดเริ่มต้นเพียงเดือนละ 4,700 บาท           “รัฐบาลมุ่งเดินหน้าสร้างความสุขที่ยั่งยืน เพื่อยกระดับชีวิตให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง สนใจติดต่อและสอบถามรายละเอียดที่ ธอส.ทุกสาขา หรือ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ แอปพลิเคชั่น : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

FCEV รถยนต์พลังไฮโดรเจน ไร้มลพิษ วิ่งไกล เติมไว รถเบา

FCEV รถยนต์พลังไฮโดรเจน ไร้มลพิษ วิ่งไกล เติมไว รถเบา

          หุ้นวิชั่น - กระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ได้รับการขับเคลื่อนอย่างจริงจังจากทั้งภาครัฐและเอกชนในหลายประเทศทั่วโลกได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ผู้ผลิตรถยนต์ต่างหันมาเร่งพัฒนายนตรกรรมไร้มลพิษ (ZEV) โดยหนึ่งในแหล่งพลังงานที่น่าจับตา คือ "ยานยนต์ขุมพลังไฮโดรเจน (FCEV)" ซึ่งเจ้าตลาดเดิมในกลุ่มรถยนต์สันดาป (ICE) ถือเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนา อาทิ TOYOTA และ HYUNDAI ต่างมีโมเดลรถยนต์นั่ง FCEV วางขายแล้ว แบรนด์ละ 1 รุ่น ขณะที่ HONDA BMW และ VOLKSWAGEN กำลังอยู่ในช่วงศึกษาและทดลองใช้งาน ไม่เพียงเท่านี้ กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์เชิงพาณิชย์อีกหลายรายก็กำลังตื่นตัวกับการต่อยอดพัฒนาเครื่องยนต์ไฮโดรเจนสู่การใช้งานในตลาดรถบรรทุกเช่นกัน1 โดยความเป็นไปได้ที่ยานยนต์ FCEV จะกลายเป็นยนตรกรรมแห่งอนาคตมาจากจุดแข็ง 3 ด้าน คือ  1) ระยะขับขี่เหมาะสมกับการเดินทางและขนส่งระยะไกล เพราะสามารถกักเก็บพลังงานได้มากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ถึง 250 เท่า 2) ระยะเวลาการเติมเชื้อเพลิงใกล้เคียงกับรถ ICE และ 3) น้ำหนักตัวรถ FCEV เบากว่า BEVทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีกว่า2           แม้ว่ารถ FCEV จะมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่ายานยนต์ประเภทอื่น ๆ ในหลายด้าน แต่การที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงตั้งไข่ (Early stage) ทำให้ระดับความสนใจและการเปิดรับจากฝั่งผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ โดยยอดขายรถ FCEV ทั่วโลกในปี 2024 คาดว่าจะอยู่ที่เพียง 2 หมื่นคัน3 หรือคิดเป็นเพียง 0.02% ของยอดขายรถทั้งหมด นอกจากนี้ ตลาด FCEV ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันกับอุตสาหกรรม BEV ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในวงกว้าง จากตัวเลือกในตลาดที่หลากหลาย ทั้งระดับราคา รูปลักษณ์ และค่ายผู้ผลิต กอปรกับโครงสร้างพื้นฐาน EV ที่มีความพร้อมและครอบคลุมมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ SCB EIC จึงประเมินว่า อุตสาหกรรม FCEV จะยังไม่สามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในตลาดรถยนต์โลกภายใน 5-10 ปีนี้ เนื่องจากผู้ผลิตยังต้องมุ่งพัฒนาองค์ความรู้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ควบคู่กับการกระตุ้นให้ภาครัฐและเอกชนหันมาสนใจลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับกระบวนการผลิต ขนส่ง และการกักเก็บไฮโดรเจนและเซลล์เชื้อเพลิง การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฮโดรเจนของไทย           สำหรับประเทศไทย พัฒนาการของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฮโดรเจนยังอยู่ในระยะเริ่มต้นเช่นเดียวกับตลาดโลกซึ่งเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการศึกษา วิจัย และการเสริมสร้างระบบนิเวศ FCEV โดย EEC ได้ตั้งเป้าหมายระยะสั้นระหว่างปี 2024 - 2026 ในการดึงดูดเงินลงทุนกว่า 400,000 ล้านบาท ให้เกิดขึ้นภายใต้อุตสาหกรรม BCG (Bio-Circular-Green Industry) และคาดว่าพันธมิตรหลักจะมาจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความล้ำสมัยในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด นอกจากนี้ ธุรกิจในประเทศไทยก็ได้ใช้พื้นที่ EEC เป็นศูนย์กลางสำหรับการทดลองเทคโนโลยีไฮโดรเจนในภาคขนส่ง อาทิ โตโยต้า มอเตอร์ ได้นำรถบรรทุกและรถบัส FCEV มาทดลองใช้งานจริงเพื่อศึกษาแนวทางลดต้นทุนโลจิสติกส์ ขณะเดียวกัน ปตท. ก็ได้ริเริ่มจัดตั้งต้นแบบปั๊มไฮโดรเจน เพื่อพัฒนาการออกแบบสถานีบริการเชื้อเพลิงให้มีประสิทธิภาพและครบวงจร ทั้งนี้การผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ FCEV ของไทยเติบโตได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน จำเป็นต้องมีการเพิ่มความเข้มข้นของแนวนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นไปที่พลังงานไฮโดรเจนอย่างเจาะจง อาทิ 1) กำหนดเป้าหมายและวงเงินอุดหนุนการผลิตและใช้งาน FCEV ในประเทศภายใต้แผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า 2) บูรณาการไฮโดรเจนเข้ากับแผนพลังงานของประเทศ (PDP) และ 3) สร้างความร่วมมือกับประเทศในกลุ่ม ASEAN ในการริเริ่มตลาดไฮโดรเจนระดับภูมิภาคและร่วมกันพัฒนาระบบนิเวศ FCEV อนึ่ง การปรับเปลี่ยนนโยบายเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความชัดเจนในการสนับสนุนเชิงโครงสร้างพื้นฐานและเชิงกลยุทธ์ ซึ่งจะส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและประชาชนเกิดความตื่นตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยคงบทบาทในฐานะหนึ่งในประเทศผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลกไว้ได้ต่อไป ท่ามกลางนวัตกรรมยานยนต์ในอนาคตซึ่งจะมีความก้าวหน้าและหลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบสันดาป ไฮบริด ไฟฟ้าล้วน หรือพลังงานไฮโดรเจน 1 ผู้ผลิตยานยนต์เชิงพาณิชย์ที่เริ่มพัฒนา FCEV ในกลุ่มรถบรรทุก อาทิ TOYOTA, HYUNDAI, Daimler Trucks และ General Motors เป็นต้น 2 อ้างอิงขอมูลจาก EV and FCEV market analyses (BNEF) และ FCEV development and hydrogen costs (IEA) 3 อ้างอิงข้อมูลประมาณการจาก SNE Research และ S&P Global ณ ม.ค. 2025 ที่มา SCB EIC

“โกลเบล็ก” ถอดสูตรลงทุนเดือนกุมภาพันธ์  คัดหุ้น 2 ธีมน่าลงทุน “รับอานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง”

“โกลเบล็ก” ถอดสูตรลงทุนเดือนกุมภาพันธ์ คัดหุ้น 2 ธีมน่าลงทุน “รับอานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง”

          หุ้นวิชั่น - บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยเดือน ก.พ. แกว่งตัว Sideway Down จากแรงกดดันนโยบายทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับสหภาพยุโรป (EU) ประกอบกับนักลงทุนเฝ้าติดตามการรายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2567 ของบริษัทจดทะเบียน จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี 1,250-1,320 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น 2 ธีมเด่นได้อานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง             นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ว่าดัชนี SET แกว่งตัวในลักษณะ Sideway Down โดยมีแรงกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยืนยันเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับสหภาพยุโรป (EU) "อย่างแน่นอน" ตอกย้ำความไม่พอใจเกี่ยวกับการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับ EU รวมไปถึงการที่เขามองว่า EU นำเข้ารถยนต์และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ น้อยเกินไป พร้อมทั้งเตือนไปยังประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ว่าอย่าคิดเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินอื่นแทนดอลลาร์สหรัฐ ถ้าไม่อยากถูกเก็บภาษีนำเข้า 100% และอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการควบคุมเพิ่มเติมในการขายชิปของอินวิเดีย (Nvidia) ให้กับจีน โดยระบุว่าการหารือยังอยู่ในขั้นต้น           ล่าสุดทางประเทศต่างๆ มีท่าทีว่าจะออกมาตรการเพื่อตอบโต้ โดยนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดาประกาศว่าจะตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯในอัตรา 25% ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องดื่มจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่เม็กซิโกประกาศว่าจะตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน ส่วนรัฐบาลจีนประกาศว่าจะยื่นคำร้องต่อ WTO เพื่อคัดค้านมาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ ซึ่งต้องจับตาใกล้ชิดว่าจะมีการลดหย่อนผ่อนปรนหรือไม่ อย่างไร           ประกอบกับนักลงทุนยังติดตามการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แม้ว่าทาง สศค.จะมีการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้ถึง 3.5% จากกรอบ 2.5 - 3.5% และมีค่ากลางเฉลี่ย 3% ได้รับปัจจัยบวกจากการบริโภคภาคเอกชน, การส่งออก, การท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐและเอกชน ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2567 โต 2.5% ขณะที่ภาระหนี้สินของ SME ไตรมาส 4/2567 มีสัดส่วนทรงตัวที่ 65% ชี้ให้เห็นถึงปัญหากำลังซื้อต่ำและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน และการแข่งขันสูงกระทบผู้ประกอบการ ดังนั้น ฝ่ายวิจัยคาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,250-1,320 จุด           สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนที่จับตาในประเทศ อาทิ สัปดาห์ที่ 2 หอการค้าไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน, ตลท. แถลงสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์, สัปดาห์ที่ 3 ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม, ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์, วันที่ 17 ก.พ. สภาพัฒน์ แถลง GDP ไตรมาส 4/67, สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ, สศอ.แถลงดัชนีอุตสาหกรรม, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, วันที่ 26 ก.พ. กำหนดประชุม กนง. ครั้งที่ 1/2568, วันที่ 28 ก.พ. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย           ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตา ได้แก่ สหรัฐ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อทั้ง 3 รายการได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งล้วนมีผลกับการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ           ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ  เช่น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy-E receipt ได้แก่ CRC, COM7, ERW, CENTEL, MINT, M, AU, TNP, SIS, SYNEX, IP และ HL รวมทั้งหุ้นปันผลสูง ได้แก่ SCB, TISCO, LH, RATCH และEGCO           ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาทองคำ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ว่า ราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากปัจจัยทางเทคนิค ขณะที่ความกังวลสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น หลังสหรัฐเริ่มใช้นโยบายการตั้งกำแพงภาษี ทำให้ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ประกอบกับประธานเฟดส่งสัญญาณไม่รีบร้อนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ           นอกจากนี้ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มชะลอลง หลังอิสราเอลและกลุ่มฮามาส สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา ทำให้ทองคำถูกลดความต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย มองกรอบทองคำเดือนนี้ 2,700 – 2,850 $/Oz แนะนำขายทำกำไรที่แนวต้าน เนื่องจากปรับตัวขึ้น 4%YTD

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.45-33.70บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.45-33.70บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.45-33.70บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงหลังเลข ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ ออกมาที่ 8 ต่ำกว่าเดือนก่อนและตลาดคาดที่ 54.0 ด้าน US Treasury yields ปรับลดลงหลังเลขออก การจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ (ADP employment) ปรับเพิ่มขึ้น 183,000 ตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาดที่ 150,000 ตำแหน่ง ค่าจ้างของญี่ปุ่นสูงขึ้น 8% ในเดือน ธันวาคม ซึ่งเป็นอัตราสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1997 ส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 100 บ. ทองรูปพรรณ ขายออก 46,100 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 100 บ. ทองรูปพรรณ ขายออก 46,100 บ.

หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  6 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 100 ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 45,500.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 45,600.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 44,676.52 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 46,100.00 บาท

อินโนพาวเวอร์ หนุนโครงการ EV Fleet กฟผ. มุ่งขับเคลื่อนสังคมไร้คาร์บอน

อินโนพาวเวอร์ หนุนโครงการ EV Fleet กฟผ. มุ่งขับเคลื่อนสังคมไร้คาร์บอน

          หุ้นวิชั่น - อินโนพาวเวอร์ ร่วมกับ กฟผ. เปิดตัวโครงการให้บริการรถบัสไฟฟ้า (EV Fleet) รับ-ส่งผู้ปฏิบัติงานสำนักงานกลาง กฟผ. พร้อมพนักงานขับรถ จำนวน 29 คัน โดยบริการตามเส้นทางที่ กฟผ. ได้กำหนดและวางแผนไว้เพื่อสนับสนุนการให้บริการ และได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 ตั้งเป้าขยายรถบัสไฟฟ้าเพิ่มเป็น 200 คัน ภายในปีหน้า 2569 พร้อมต่อยอดธุรกิจ Future of Mobility เพื่อรองรับธุรกิจแบตเตอรี่ และขยาย Service Offering ของ EV จาก EV Bus เป็น E-Bike และ E-Truck รวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อพัฒนา EV Management และ Operation Platform           นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ได้สนับสนุนโครงการจัดรถมินิบัสไฟฟ้ารับ-ส่งผู้ปฏิบัติงานสำนักงานกลาง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งโครงการนี้มีส่วนช่วยลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 924,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการลดจำนวนรถยนต์บนถนนประมาณ 201 คันต่อปี ส่งเสริมนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ และขับเคลื่อนสังคมให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) โครงการ EV Fleet ถือเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันแผนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของ กฟผ. ซึ่งมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง โดยสอดคล้องกับ นโยบาย 30@30 ที่มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ได้ 30% ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศไทยในการลดมลพิษและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด กฟผ. ได้กำหนดเป้าหมายด้านพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน เพื่อสนับสนุนประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยเน้นการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานทดแทนรถยนต์เดิมในองค์กร ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพนักงานควบคู่กันไป รวมถึงการดูแลสิทธิมนุษยชน การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และการสนับสนุนชุมชนโดยรอบ เพื่อสร้างความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความยั่งยืนทางพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ การเติบโตของอุตสาหกรรม EV ในประเทศไทย สะท้อนถึงความสำเร็จของนโยบายสนับสนุนที่ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า การลงทุนในแบตเตอรี่ระดับเซลล์ หรือมาตรการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะและอัตราค่ากระแสไฟฟ้าที่เหมาะสม "อินโนพาวเวอร์ มุ่งพัฒนาโซลูชันพลังงานสะอาดเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือโครงการ EV Fleet กับ กฟผ. ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังเป็นการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์นโยบายพลังงานสะอาดของประเทศ โดยแผนงานด้าน Future of Mobility ของอินโนพาวเวอร์มีเป้าหมายขยาย EV Fleet เพิ่มถึง 200 คันภายในปี 2569 พร้อมต่อยอดธุรกิจ Future of Mobility เพื่อรองรับธุรกิจแบตเตอรี่ และขยาย Service Offering ของ EV จาก EV Bus เป็น E-Bike และ E-Truck รวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อพัฒนา EV Management และ Operation Platform" นายอธิปกล่าว อินโนพาวเวอร์ ในฐานะบริษัทด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาด มุ่งเน้นการพัฒนาและนำเสนอโซลูชันที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการเคลื่อนสังคมไร้คาร์บอนเสริมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับประเทศ

BOI ไฟเขียว AWC หนุนลงทุน Jurassic World

BOI ไฟเขียว AWC หนุนลงทุน Jurassic World

          หุ้นวิชั่น - บีโอไอ อนุมัติส่งเสริมลงทุน โครงการ “Jurassic World: The Experience” แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตร แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ปั้นเป็นแลนด์มาร์กระดับโลก สนับสนุนภาคท่องเที่ยวไทย เผยยอดส่งเสริมลงทุนกิจการกลุ่มท่องเที่ยวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กว่า 200 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท           นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการสร้างแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ “Jurassic World: The Experience” ของบริษัท แอสเสท เวิรด์ แอทแทรคชั่น แอนด์ รีเทล จำกัด บริษัทในเครือของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร โดยโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่ 4,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยบริษัทจะพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวดังกล่าวให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของกรุงเทพฯ และประเทศไทย           โครงการดังกล่าวถือเป็นการลงทุนสร้างศูนย์กลางการท่องเที่ยวและความบันเทิงระดับโลกโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ชื่อดัง “Jurassic World” จาก Universal Pictures และ Amblin Entertainment ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างไดโนเสาร์แอนิมาทรอนิกส์ที่มีการเคลื่อนไหวเสมือนจริง โดยใช้นวัตกรรมการออกแบบ 3 มิติ และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมการเคลื่อนไหว เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่สมจริงมากที่สุด ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะแฟนคลับคนรักไดโนเสาร์ที่มีอยู่ทั่วโลก โดยโครงการนี้ถือเป็นประสบการณ์ความบันเทิงรูปแบบอิมเมอร์ซีฟที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก และเป็นแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้           “ภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนำเงินเข้าสู่ประเทศไทย โดยปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 1.67 ล้านล้านบาท ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฮับการท่องเที่ยวของภูมิภาค เราจำเป็นต้องเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวให้พร้อม ทั้งด้านบุคลากร คุณภาพของการบริการ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การจัดกิจกรรมนานาชาติหรืออีเวนต์ขนาดใหญ่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมทั้งการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแบบ Man-made ที่จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว           ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2558 – 2567) บีโอไอได้ส่งเสริมลงทุนกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจำนวน 209 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านบาท ครอบคลุมทั้งกิจการโรงแรม ศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทย กิจการมหกรรม ดนตรี กีฬา และเทศกาลนานาชาติ รวมทั้งกิจการสวนสนุก

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.55-33.80 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.55-33.80 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.80 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วหลังจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้สหรัฐฯ แต่ตลาดมองว่าขนาดการตอบโต้ยังน้อย เพราะจีนไม่ต้องการให้สงครามการค้าทวีความรุนแรง ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และ US Treasury yields ลดลง จำนวนตำแหน่งงานเปิดรับใหม่ในสหรัฐ (Jobs openings) เดือน ธันวาคม ออกมาที่ 6 ล้าน ต่ำกว่าเดือนก่อน และต่ำกว่าที่ตลาดคาด นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึง 2 กุมภาพันธ์ อยู่ที่ 7 ล้านคน สูงขึ้น 22%

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 150 บ. ราคาทองรูปพรรณ ขายออก 45,750 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ ปรับขึ้น 150 บ. ราคาทองรูปพรรณ ขายออก 45,750 บ.

           หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  5 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 150 ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 45,150.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 45,250.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 44,343.00 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 45,570.00 บาท

STECON-CK รับจิตวิทยาบวก ครม.ไฟเขียวโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงฯ 3.4 แสนลบ.

STECON-CK รับจิตวิทยาบวก ครม.ไฟเขียวโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงฯ 3.4 แสนลบ.

          หุ้นวิชั่น - หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ระบุ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้ดําเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 เส้นทาง นครราชสีมา ถึง หนองคาย มูลค่า 3.4 แสนล้านบาท ระยะเวลา 8 ปี (2025-2032) เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ สอดคล้องกับมุมมองของเราซึ่งคาดว่าจะเห็นการเร่งลงทุนภาครัฐมากขึ้นเพื่อเป็นฟันเฟืองหลักขับเคลื่อน GDP ในปีนี้ Top Pick: STECON และ CK

ครม. ไฟเขียว “รถไฟความเร็วสูง เฟส 2” โคราช-หนองคาย จ่อเชื่อมรถไฟลาว ทะลุ จีน

ครม. ไฟเขียว “รถไฟความเร็วสูง เฟส 2” โคราช-หนองคาย จ่อเชื่อมรถไฟลาว ทะลุ จีน

          หุ้นวิชั่น - คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ โครงการรถไฟความเร็วสูง กทม.-หนองคาย ระยะที่ 2 ช่วง นครราชสีมา-หนองคาย ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ระยะที่ 1 (กทม.-นครราชสีมา) โดยจะเริ่มต้นที่ จ.นครราชสีมา ไปถึง จ.หนองคาย มี 5 สถานี ได้แก่ สถานีบัวใหญ่ สถานีบ้านไผ่ สถานีขอนแก่น สถานีอุดรธานี และ สถานีหนองคาย ส่วนที่ 2 ก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา ที่ จ.หนองคาย เป็นศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายสินค้าทางรถไฟ ทั้งขาเข้า-ออก ระหว่างทางขนาด 1 เมตรของรถไฟไทย และ ขนาดทางมาตรฐาน 1.45 เมตร ของโครงการรถไฟลาว-จีน ในรูปแบบ One Stop Service           เมื่อพิจารณาโครงการทั้งระยะที่ 1 และ 2 พบว่ามีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ 13.23% คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ คกก.รถไฟและคกก.สิ่งแวดล้อม เห็นชอบรายงาน EIA ของระยะที่ 2 ด้วยแล้ว ทั้งนี้ นายกฯ สั่งเร่งรัดโครงการระยะที่ 1 ให้เสร็จโดยเร็ว เนื่องจากล่าช้ากว่ากำหนด คาดว่าจะเปิดบริการได้ในปี 2571           ที่ประชุม ครม. เห็นชอบโดยให้ ก.คมนาคม รับความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ไปพิจารณา และดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และมติ ครม. ที่เกี่ยวข้องต่อไป

กรุงไทย-แอกซ่า ตั้ง CEO คนใหม่  ณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย คนไทยคนแรก

กรุงไทย-แอกซ่า ตั้ง CEO คนใหม่ ณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย คนไทยคนแรก

           หุ้นวิชั่น - บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดยคุณแซลลี่ โอฮาร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอกซ่า ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และประเทศเกาหลีใต้ (คนซ้าย) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงและพนักงาน ร่วมให้การต้อนรับ คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย (คุณเคเค) นั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต (คนขวา) อย่างเป็นทางการในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 โดยบรรยากาศการต้อนรับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้ม คุณณัฐพิสิษฐ์ดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนไทยคนแรกของบริษัทฯ ซึ่งมีค่านิยมส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแอกซ่า ที่มุ่งเน้นการมีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง และมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับการลงมือปฏิบัติและเป็นแบบอย่างที่ดีในการแสดงออกถึงวัฒนธรรม Care & Dare ของบริษัทฯ ตลอดจนถ่ายทอดให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับความเข้าใจในวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดภายใน ประเทศเป็นอย่างดี ด้วยประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการประกันมากกว่า 17 ปี จะสามารถช่วยผลักดันธุรกิจในประเทศไทย และในภูมิภาคให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ตลอดจนสร้างการเติบโตของบริษัทฯ อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังมีความสำคัญต่อเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มแอกซ่า สำหรับปี 2024-2026 ภายใต้วิสัยทัศน์ "Unlock the Future" รวมถึงเป้าหมายสูงสุดของบริษัทฯ ที่พร้อมเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป            นอกจากนี้ในวันเดียวกัน ทางบริษัทฯ ยังได้จัดพิธีทำบุญประจำปี 2568 เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลต่อองค์กรและพนักงาน โดยนิมนต์พระสงฆ์ เจริญพระพุทธมนต์ และถวายภัตตาหารเพล พร้อมประพรมน้ำพระพุทธมนต์  ณ Vertical Garden, Krungthai-AXA Life ชั้น 27  ตึก G Tower

แนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมัน 3 - 7 ก.พ. 68

แนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมัน 3 - 7 ก.พ. 68

ราคาน้ำมันดิบลดลงหลังประธานาธิบดี Trump เปิดฉากสงครามการค้า วันที่ 1 ก.พ. 68 ประธานาธิบดี Trump ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% ยกเว้นสินค้าประเภทพลังงานจากแคนาดาเก็บภาษี 10% มีผลวันที่ 4 ก.พ. 68 ในปี 2567 สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันดิบจากแคนาดาอยู่ที่ 3.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน และเม็กซิโกอยู่ที่ 457,000 บาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีแคนาดา นาย Justin Trudeau ตอบโต้ประกาศเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ อาทิ มูลค่ารวม 1.06 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ อาทิ ไวน์ เสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา มาอยู่ที่ 25% เช่นเดียวกัน วันที่ 29-30 ม.ค. 68 ที่ประชุมนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 25-4.50% โดยประธาน Fed นาย Jerome Powell กล่าวว่าจะไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงตามเป้าหมายที่ 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและภาวะการจ้างงานแข็งแกร่ง Reuters รายงานประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Donald Trump ประกาศยืนยันเดินหน้าเติมคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 394 ล้านบาร์เรล ให้เต็มความจุที่ 714 ล้านบาร์เรล ที่มา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ตลท. จับมือ ICE ศึกษาระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิตไทย ก้าวสู่เศรษฐกิจสีเขียว

ตลท. จับมือ ICE ศึกษาระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิตไทย ก้าวสู่เศรษฐกิจสีเขียว

          หุ้นวิชั่น - นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือในการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิตครั้งนี้เป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์หลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการขับเคลื่อนประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในเอเชียสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล รองรับร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ ที่กำหนดให้มีกลไกราคาคาร์บอน ประกอบด้วย ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คาร์บอนเครดิต และ ภาษีคาร์บอน ทั้งนี้ ด้วยประสบการณ์ของ ICE ซึ่งทำธุรกิจตลาดคาร์บอนในหลายประเทศและเป็นหนึ่งในตลาดคาร์บอนที่มีสภาพคล่องสูงสุดในโลกจะช่วยให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของตลาดคาร์บอนเครดิตที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ และเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะสนับสนุนให้ภาคธุรกิจไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น           นายกอร์ดอน เบนเนตต์  หัวหน้าฝ่ายตลาดสิ่งแวดล้อมระดับโลก Intercontinental Exchange (ICE)   กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ ความรู้ ความเชี่ยวชาญกว่า 2 ทศวรรษของ ICE ในการพัฒนาเทคโนโลยีการเงินและโครงสร้างพื้นฐานตลาดคาร์บอน ICE จึงมีความพร้อมในการสนับสนุนประเทศไทยในการวางรากฐานการพัฒนาและยกระดับตลาดคาร์บอนของไทยให้แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน           การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ กับ ICE มีขึ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 นับเป็นพัฒนาการที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง ที่แสดงถึงมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยการศึกษากรอบการดำเนินงานและกลไกที่เหมาะสมที่สุด ร่วมกับพันธมิตร เช่น ICE เพื่อรองรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทั้งในตลาดภาคบังคับ (Compliance market) และภาคสมัครใจ (Voluntary market) โดยจะร่วมกันศึกษา และแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งไทยจะได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญระดับโลกและเทคโนโลยีล้ำสมัยของ ICE เพื่อการพัฒนาระบบนิเวศคาร์บอนสำหรับประเทศไทยที่แข็งแกร่งสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจและผู้ลงทุนไทย และขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการมีส่วนร่วม ที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution; NDC)           ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมตลาดทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ตลอดจนส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล ESG ของภาคธุรกิจ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2568 ได้เปิดระบบ SET Carbon เพื่อเป็นเครื่องมือจัดการข้อมูลและคำนวณข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและเผยแพร่ผ่านระบบ ESG Data Platform ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

บล.ทิสโก้ เปิด 7 หุ้นหลบภัย หลังตลาดหุ้นไทยผันผวน

บล.ทิสโก้ เปิด 7 หุ้นหลบภัย หลังตลาดหุ้นไทยผันผวน

          หุ้นวิชั่น - 4 ก.พ. 68 - บล.ทิสโก้ชี้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะตกต่ำ จากระดับอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อยู่ในระดับต่ำคล้ายกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ และวิกฤติ COVID – 19 แถมมูลค่าซื้อขายและสภาพคล่องก็ลดลงเช่นกัน เชียร์ซื้อ 7 หุ้นโตแกร่งเหนือตลาด คือ AP, BBL, BJC, CRC, KGI, KTB และ TASCO           นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า  ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะ “ตกต่ำ” จนใกล้สุกงอมจาก อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อยู่ในระดับต่ำ มูลค่าซื้อขายลดลงเกือบ 60% จากจุดสูงสุด และสภาพคล่องในตลาดลดลงต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สำหรับภาพรวมการลงทุนนั้นในเชิงกลยุทธ์ เราให้น้ำหนักกลุ่มที่มีสัญญาณแข็งแกร่งกว่าตลาดในปีนี้ เช่น กลุ่ม BANK และกลุ่ม COMM โดยเน้นที่อยู่ใน SETHD Index ที่มีโอกาสชนะตลาดในระยะสั้น ผสานกับหุ้นอิงการบริโภคในประเทศที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ คือ E-Receipt-แจกเงินหมื่น-ลดค่าไฟ-ไฮซีซั่นการท่องเที่ยว และไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ คือ AP, BBL, BJC, CRC, KGI, KTB และ TASCO           “บล.ทิสโก้มองว่าหุ้นกลุ่ม BANK และกลุ่ม COMM เป็นกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจในช่วงนี้ โดยเน้นหุ้นที่อยู่ใน SETHD Index ที่มีโอกาสชนะตลาดในระยะสั้น คือ AP, BBL, KTB, TASCO ผสานกับหุ้นอิงการบริโภคในประเทศที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ และไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ คือ BJC และ CRC และหุ้นม้ามืดที่อาจถูกหยิบขึ้นมาเก็งกำไรในเดือน กุมภาพันธ์จากการจ่ายเงินปันผลที่สูง คือ KGI เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่เราแนะนำในเดือนกุมภาพันธ์ คือ AP, BBL, BJC, CRC, KGI, KTB และ TASCO  ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,300 จุด และแนวรับต่ำไปคือ 1,270-1,280 จุด แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,340 จุด และ 1,365-1,370 จุด ตามลำดับ” นายอภิชาติกล่าว           สำหรับรายละเอียดที่ บล.ทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะตกต่ำนั้นมาจาก 3 ปัจจัย คือ 1 . อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) โดยรวมถืออยู่ในโซนต่ำบนเส้นแนวโน้ม PBV ระยะยาวที่เคยผ่านวิกฤติมาแล้ว 3 ครั้ง คือ 1. วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 2. วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 และ 3. วิกฤติโควิดปี 2563 ที่บริเวณ 0.5-0.6 เท่า, 0.8-0.9 เท่า และ 1.1-1.2 เท่าตามลำดับ นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีสัดส่วนหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BV) (PBV < 1x) จำนวนมากถึง 58% ของหุ้นทั้งหมด 926 ตัวทั้งในตลาด SET และ mai เทียบกับช่วงวิกฤติ 3 ครั้งก่อนที่สัดส่วนนี้อยู่ที่ 60-70%           ภาวะตกต่ำของตลาดนอกจากจะดูได้จากระดับ PBV ในตลาดแล้ว ยังสามารถดูได้จาก มูลค่าการซื้อขายในตลาด ปัจจุบันมูลค่าซื้อขายหุ้นไทยลดลงจากที่ขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เฉลี่ยวันละ 8.8 หมื่นล้านบาทในปี 2564 มาเหลือเพียงเฉลี่ยวันละ 3.7 หมื่นล้านบาทในเดือนที่แล้ว หรือลดลงเกือบ 60% ขณะที่ Turnover Ratio ก็ลดลงเหลือเพียงประมาณ 20% ต้น ๆ ซึ่งเป็นระดับ -1SD จากค่าเฉลี่ยระยะยาว           นอกจากนี้ตัวชี้วัดสภาพคล่องในตลาดโดยผ่านการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นหรือการจำนำหุ้นในการค้ำประกันเงินกู้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจากระดับสูงสุดที่มีมูลค่ากว่า 4.14 แสนล้านบาท ลดลงมากกว่า 40% เหลือ 2.44 แสนล้านบาทในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวแล้ว สะท้อนการ Deleverage ของตลาดไปมากพอสมควรแล้ว ดังนั้นเราการถูกบังคับขายจากการปรับตัวลงของราคาหุ้นไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญเหมือนที่ผ่านมาแล้ว

ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ตั้ง เอเดรียน เมซซินาวเออร์ เป็น CEO คนใหม่

ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ตั้ง เอเดรียน เมซซินาวเออร์ เป็น CEO คนใหม่

          หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ จูเลียส แบร์ (Julius Baer) ประกาศแต่งตั้ง นายเอเดรียน เมซซินาวเออร์ (Adrian Mazenauer) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด คนใหม่ มีผลทันที           กรุงเทพฯ/ฮ่องกง/สิงคโปร์, 4 กุมภาพันธ์ 2568 - “บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด” (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง “ธนาคารไทยพาณิชย์” ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกของประเทศ และ “จูเลียส แบร์” (Julius Baer) ผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชั้นนำระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และผู้ให้บริการธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้งที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย ประกาศแต่งตั้ง นายเอเดรียน เมซซินาวเออร์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด คนใหม่ เพื่อนำทัพไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ สู่ผู้นำที่มีความเป็นเลิศด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรของเมืองไทย โดยก่อนหน้านี้ นายเอเดรียน ดำรงตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายการบริหารความมั่งคั่ง บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด           นายเอเดรียน มีประสบการณ์ และบทบาทสำคัญในฐานะผู้บริหารระดับสูงให้กับหลายสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงระดับโลกกว่า 25 ปี โดยร่วมงานกับ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทในปี 2562 ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารฝ่ายการบริหารความมั่งคั่ง ด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแนวทางที่สร้างสรรค์ในการวางแผนบริหารความมั่งคั่งให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย           ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ นายเอเดรียนจะเป็นผู้กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ รวมถึงนำทัพทีมดูแลลูกค้าและทีมปฏิบัติการของไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ เพื่อสร้างการเติบโต และตอกย้ำบทบาทผู้นำที่มีความเป็นเลิศด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงของเมืองไทย           นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการประกาศแต่งตั้งนายเอเดรียน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ ด้วยประสบการณ์การทำงานด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งจากทั่วโลกกว่า 25 ปี ผสานกับความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความเข้าใจด้านภูมิทัศน์การบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง รวมถึงความทุ่มเทในการทำงานของ นายเอเดรียน จะสามารถสร้างการเติบโตให้ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูง พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรในเมืองไทยที่สามารถดูแลและให้บริการแก่ลูกค้าแบบมืออาชีพที่ได้มาตรฐานระดับโลก ตอกย้ำความมุ่งมั่น “Your legacy. Our promise.” ของ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์”           มร.จิมมี่ ลี (Jimmy Lee) ประธานประจำภาคพื้นเอเชีย จูเลียส แบร์ และกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด เปิดเผยว่า “การแต่งตั้งนายเอเดรียน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้บริการลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย จากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับโลก และแนวทางในการบริหารงานแบบที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางของนายเอเดรียน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในฐานะผู้นำด้านบริหารความมั่งคั่งในภูมิภาค พร้อมทั้งขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย” [PR News]

LINE MAN จับมือ กอช. อบรมไรเดอร์  ออมเงินเพื่อการเกษียณอย่างมั่นคง

LINE MAN จับมือ กอช. อบรมไรเดอร์ ออมเงินเพื่อการเกษียณอย่างมั่นคง

          LINE MAN ร่วมกับ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลงนามความร่วมมือและอบรมการวางแผนทางการเงินสู่การเกษียณที่มั่นคงสำหรับไรเดอร์ มุ่งสร้างหลักประกันชีวิตในวัยเกษียณ ผ่านการวางรากฐานที่มั่นคงด้วยการออมเงินโดยมีรัฐช่วยสมทบ ตั้งเป้ายกระดับคุณภาพชีวิตไรเดอร์ ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความมั่นคงทางการเงินอย่างยั่งยืนในระยะยาว           กอช. เป็นหน่วยงานของรัฐที่ส่งเสริมการออมและสร้างหลักประกันบำนาญพื้นฐาน เพื่อขับเคลื่อนบำนาญภาคประชาชนอย่างทั่วถึง ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมการออมเงินให้กับอาชีพไรเดอร์ โดย LINE MAN มีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของ กอช. ผ่านแอปพลิเคชันและช่องทางสื่อสารต่าง ๆ เพื่อให้ไรเดอร์รับรู้สิทธิและสวัสดิการของตนเอง พร้อมวางแผนทางการเงินระยะยาวได้อย่างมั่นคง           คุณจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า “การออมเงินเพื่อการเกษียณถือเป็นการวางแผนการเงินที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอาชีพไรเดอร์ หนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือแรงงานนอกระบบ ที่ยังขาดสิทธิสวัสดิการบำเหน็จบำนาญใดๆ รองรับ และมีรายได้ที่ไม่แน่นอน จึงควรต้องมีการวางแผนการออมเงินเช่นเดียวกับอาชีพอื่น ๆ”           คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวเสริมว่า “ความร่วมมือระหว่าง LINE MAN และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตไรเดอร์กว่า 100,000 คนทั่วประเทศ โดยมุ่งสร้างหลักประกันชีวิตในวัยเกษียณผ่านโครงการออมเงินที่มีรัฐช่วยสมทบ สำหรับเฟสแรกในโครงการนี้ มีไรเดอร์ลงทะเบียนแล้วกว่า 100 คน แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวในการวางแผนอนาคตทางการเงินของไรเดอร์           LINE MAN ให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และมอบสิทธิสวัสดิการสำหรับกลุ่มแรงงานอิสระอย่างทั่วถึง ทั้งการมอบประกันอุบัติเหตุให้กับไรเดอร์ทุกคน ให้ความรู้เรื่องการยื่นภาษี  และการตรวจสุขภาพฟรีทั้งไรเดอร์และครอบครัว เพื่อช่วยไรเดอร์วางรากฐานชีวิตที่มั่นคง ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความมั่นคงทางการเงินอย่างยั่งยืนในระยะยาว”           ภายในงานมีการบรรยายในหัวข้อ “วางแผนทางการเงิน สู่การเกษียณที่มั่นคง” โดยคุณจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ พร้อมกับกิจกรรมพิเศษอีกมากมายให้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมสนุก

เมืองไทยประกันชีวิต มอบผ้าห่ม  ส่งต่อความอบอุ่น ใส่ใจสิ่งแวดล้อม 

เมืองไทยประกันชีวิต มอบผ้าห่ม ส่งต่อความอบอุ่น ใส่ใจสิ่งแวดล้อม 

          หุ้นวิชั่น - นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ     นางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองประธานกรรมการ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม เข้าพบนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ส่งมอบผ้าห่มกันหนาว ให้แก่ พม. สานต่องาน พม.หนึ่งเดียว เพื่อบรรเทาทุกข์และรับมือภัยหนาวให้แก่ประชาชนในหลายพื้นที่           ตามที่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ได้ติดตามสถานการณ์ภัยหนาวในประเทศไทย ตั้งแต่ปลายปี 2567 พบว่าพี่น้องคนไทยในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ   ดังนั้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารจัดการของทางภาครัฐ ตามแนวนโยบายของ กระทรวง พม. เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ นางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองประธานกรรมการ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ส่งมอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 300 ผืน มอบให้แก่  นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  พร้อมด้วยนางจตุพร โรจนพานิช รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  นางสาวแรมรุ้ง  วรวัธ  อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว  นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ  นางสาวสนธยา บุณยภูษิต หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  และคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมรับมอบเพื่อบรรเทาทุกข์และรับมือภัยหนาวให้แก่กลุ่มเปราะบางที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการในหลายพื้นที่  กิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้น ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์           โดยผ้าห่มกันหนาวอัปไซคลิง ขานรับนโยบายภาครัฐในการลดปริมาณขยะจากขวดน้ำพลาสติกที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน เป็นการผลิตผ้าห่มขึ้นใหม่ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม  เพราะผ้าห่ม 1 ผืน ผลิตจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้วขนาด 1.5 ลิตร  จำนวน 11 ขวด ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับการนำวัสดุที่ไม่ได้ใช้แล้วกลับมามีคุณค่า ในการใช้งานอีกครั้งอย่างมีคุณภาพมากขึ้น และยังสามารถส่งต่อความอบอุ่นให้กับประชาชนที่ประสบภัยหนาว   [PR News]

เช็ก!ราคาทองเช้าวันนี้ เด้ง 250 บ. ราคาทองรูปพรรณ ขายออก 45,700 บ.

เช็ก!ราคาทองเช้าวันนี้ เด้ง 250 บ. ราคาทองรูปพรรณ ขายออก 45,700 บ.

         หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  4 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 250 ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 45,100.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 45,200.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 44,282.36 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 45,700.00 บาท

OPEC+ คงนโยบายผลิตน้ำมันดิบ หนุนราคาน้ำมันขาลง

OPEC+ คงนโยบายผลิตน้ำมันดิบ หนุนราคาน้ำมันขาลง

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า OPEC+ Meeting คณะกรรมการร่วมการตรวจสอบระดับรัฐมนตรี (JMMC) ของกลุ่ม OPEC+ มีมติคงนโยบายการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มตามเดิม คือ สมาชิก OPEC ลดระดับการผลิตที่ 2 ล้านบาร์เรล/วัน และ OPEC+ 8 ชาติสมาชิก ลดการผลิตโดยสมัครใจ 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวันไปจนถึงปี 2026 และลดการผลิตโดยสมัครใจอีก 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันจนถึงเดือนเมษายนปีนี้ ข่าวนี้อาจเป็นบวกต่อราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากอุปทานน้ำมันในตลาดจะตึงตัว แต่มติดังกล่าวสวนทางกับข้อเรียกร้องของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้ OPEC+ เพิ่มการผลิตเพื่อกดราคาพลังงาน ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่ ทรัมป์จะให้ข่าวและข่มขู่ OPEC+ มากขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจสร้างความผันผวนให้กับราคาน้ำมันดิบในระยะถัดไป          ราคาน้ำมันดิบในแนวโน้มขาลง น้ำมันดิบ Brent +0.38%d-d ปิดที่ USD 75.96/barrel          น้ำมันดิบ West Texas +0.87%d-d ปิดที่ USD 73.16/barrel

ท่องเที่ยวไทยยังโตต่อ  หนุนโรงแรม-สายการบิน

ท่องเที่ยวไทยยังโตต่อ หนุนโรงแรม-สายการบิน

          หุ้นวิชั่น - ภาพรวมการท่องเที่ยวในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนอย่างใกล้ชิด นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยยังเติบโตต่อเนื่องในปี 2568 ราว 8 ล้านคน โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวอาเซียน ยุโรป และเอเชียใต้ที่ยังเติบโตได้ดี รวมถึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพที่ขยายตัวแบบก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนมาไทยคาดว่าจะยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่องโดยแม้จะยังไม่ฟื้นกลับมาในระดับเดียวกับปี 2562 แต่ไทยยังเป็นจุดหมายปลายทาง TOP 2 ของนักท่องเที่ยวจีน อย่างไรก็ดี การเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังถูกกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังซื้อต่อเนื่องไปยังความต้องการท่องเที่ยว, การแข่งขันเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงขึ้นจากการออกมาตรการฟรีวีซ่าในหลายประเทศ, การฟื้นตัวของเที่ยวบินซึ่งส่งผลต่อจำนวนที่นั่งและราคาตั๋วเครื่องบิน รวมถึงแนวโน้มการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจจีนที่เติบโตชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง กับความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน นักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มท่องเที่ยวในประเทศต่อเนื่องโดยคาดว่าจะอยู่ที่ 275.6 ล้านคน ซึ่งเติบโตขึ้นเล็กน้อยราว 2%YOY จากแรงกดดันของเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบางและส่งผลต่อการวางแผนท่องเที่ยวของคนไทย รวมถึงการเดินทางไปต่างประเทศของนักท่องเที่ยวไทยกำลังซื้อสูงจากมาตรการฟรีวีซ่าในหลายประเทศและแพ็กเกจท่องเที่ยวราคาประหยัดที่ดึงดูดให้คนไทยไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวในประเทศยังมีปัจจัยหนุนจากการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศของภาครัฐที่คาดว่าจะออกมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ซึ่งปัจจุบันเมืองน่าเที่ยวกำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้น           การเติบโตของนักท่องเที่ยวส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องทั้งอัตราการเข้าพักและราคาห้องพักเฉลี่ย อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของประเทศในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตมาอยู่ที่ราว 75% จากนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสอดรับกับมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐที่คาดว่าจะทยอยออกมาตลอดทั้งปี และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับมาใกล้เคียงปกติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวศักยภาพสูงที่เติบโตแบบก้าวกระโดดจะเดินทางมาไทยมากขึ้นและพำนักในไทยนานขึ้นอย่างนักท่องเที่ยวรัสเซียตามนโยบายขยายระยะเวลาการพำนักในไทยเป็น 90 วัน ราคาห้องพักเฉลี่ยคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นราว 5%YOY ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการปรับราคาห้องพักของผู้ประกอบการโรงแรมโดยเฉพาะในโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไปหลังมีการปรับปรุงห้องพักและยกระดับการให้บริการตามเทรนด์การท่องเที่ยว รวมถึงจากอุปสงค์ที่ดีขึ้นตามยอดจองที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลจากการทำโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ธุรกิจโรงแรมยังต้องเผชิญกับปัจจัยท้าท้าย ทั้งจากการแข่งขันที่สูงขึ้นจากอุปทานห้องพักของโรงแรมก่อสร้างใหม่ที่ทยอยเปิดให้บริการต่อเนื่อง และต้นทุนการบริหารจัดการโรงแรม โดยเฉพาะค่าจ้างที่สูงขึ้นจากการขาดแคลนแรงงานทักษะสูงด้านบริการ โดยยังมีปัจจัยบวกจากเทรนด์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ยอมจ่ายสูงขึ้นเพื่อได้รับบริการระดับพรีเมียมและประสบการณ์ที่แปลกใหม่ รวมถึงระยะเวลาการเข้าพักของนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มยาวนานขึ้นจากมาตรการฟรีวีซ่าของภาครัฐและการโปรโมตการท่องเที่ยวในประเทศ นอกจากนี้ ธุรกิจโรงแรมยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น มาตรการและนโยบายของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว อย่างเช่นการให้สิทธิชาวต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดและเช่าที่ดิน, การเก็บค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรม และการเก็บค่าธรรมเนียมเหยียบแผ่นดิน 2. อุปทานห้องพักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากโรงแรมที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและจำนวนโรงแรมที่ขออนุญาตก่อสร้างใหม่ซึ่งจะทำให้การแข่งขันสูงขึ้นอีกในระยะข้างหน้า และ 3. ประเด็นด้านความยั่งยืนโดยโรงแรมไทยกำลังถูกผลักดันให้ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนรับข้อกำหนดใหม่ของ EU ภายในปี 2569           ในขณะเดียวกัน รายได้ของธุรกิจสายการบินสัญชาติไทยในปี 2568 ก็มีแนวโน้มเติบโตและฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 รายได้ในเส้นทางบินระหว่างประเทศมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. การเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย โดยเฉพาะจากฝั่งเอเชียอย่างจีน อินเดีย และอาเซียนที่มีการขยายเที่ยวบินเพิ่มขึ้น และ 2. การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปต่างประเทศเป็น 10 ล้านคน โดยเฉพาะในประเทศยอดนิยม เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน และเกาหลีใต้ รายได้ในเส้นทางบินในประเทศคาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อย หลังจากที่ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 แล้ว แม้ปริมาณเที่ยวบินที่ให้บริการยังต่ำกว่าปี 2562 โดยนักท่องเที่ยวภายในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 3%YOY เป็น 363 ล้านคนโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางต่อในเส้นทางในประเทศ อัตราค่าโดยสารโดยรวมมีแนวโน้มลดลงจากปี 2567 แต่จะยังอยู่ในระดับสูงกว่าปี 2562 โดยเฉพาะในเส้นทางระหว่างประเทศจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น 1. ความต้องการท่องเที่ยวที่ปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ 2. การเพิ่มขึ้นของปริมาณเครื่องบิน 3. การแข่งขันในธุรกิจสายการบินที่รุนแรงขึ้น 4. ระดับราคาน้ำมันอากาศยานที่ปรับลดลง ซึ่งช่วยให้การปรับราคาทำได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ดี นโยบายการตั้งราคาของสายการบินจะช่วยพยุงอัตราค่าโดยสารไว้ อย่างไรก็ดี ธุรกิจสายการบินยังเผชิญกับความท้าทายและประเด็นที่ต้องติดตามในหลายด้าน โดย 4 ความท้าทายของธุรกิจสายการบิน ได้แก่ 1. ความต้องการเดินทางทั่วโลกที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ 2. การแข่งขันในธุรกิจการบินที่รุนแรงขึ้นโดยเฉพาะในเส้นทางระหว่างประเทศจากทั้งสายการบินสัญชาติไทยและสายการบินต่างชาติ 3. ต้นทุนเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มผันผวนสูงโดยเฉพาะจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และ 4. กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการให้บริการ นอกจากนี้ 3 ประเด็นที่ต้องติดตามในธุรกิจสายการบินคือ 1. การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ซึ่งเป็นเรื่องที่สายการบินทั่วโลกกำลังวางแผนการเพิ่มสัดส่วนการใช้ให้มากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายกำลังการผลิตน้ำมัน SAF ที่ยังต้องเร่งพัฒนา 2. ปัญหาคอขวดด้านการผลิตเครื่องบินจากทั้งการขาดแคลนชิ้นส่วนต่อเนื่องจากช่วงโควิด-19 และด้านเทคนิคเครื่องบิน อีกทั้ง ยอดสั่งจองเครื่องบินใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3. แนวโน้มการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะในกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งจะเป็นอีกประเด็นสำคัญต่อการฟื้นตัวของสายการบินสัญชาติไทย           อ่านต่อรายงานฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/tourism-220125

"ธนินท์ เจียรวนนท์" มองเศรษฐกิจไทยยังมีอนาคต! แนะเร่งเครื่อง 5 นโยบายสร้างความมั่งคั่ง

          หุ้นวิชั่น - “ธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ มั่นใจเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพ แม้อยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งด้านการเมือง เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เสนอรัฐบาลเร่งขับเคลื่อน 5 แนวทางสำคัญ ทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ดึงไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาโลก ปรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเกษตร ปลดล็อกกฎหมายเอื้อต่อการพัฒนา และสร้างแรงงานคุณภาพเพื่อรองรับค่าแรง 600 บาท พร้อมย้ำ! “หากคนไทยรวย ประเทศก็จะแข็งแกร่ง”           นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยในงาน “Chula Thailand Presidents Summit 2025” ในหัวข้อ “Future Thailand : Next Growth” ว่า “ประเทศไทย เศรษฐกิจยังเต็มไปด้วยอนาคต แม้อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งสภาพอากาศ การเมือง และเทคโนโลยีที่เข้ามาทดแทนอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเร่งสร้างนิสิต นักศึกษาที่มีปัญญา ทั้งนี้เชื่อว่าในวิกฤตยังมีโอกาส โดยวันนี้แม้รัฐบาลจะเดินมาถูกทางแล้ว แต่ขอเสริมรัฐบาล ดังนี้ - จัดสรรงบประมาณสนับสนุนการท่องเที่ยวให้ชัดเจน พร้อมกำหนดเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ได้เงินเร็วที่สุด - การสร้างเมืองไทยให้เป็นศูนย์กลางการเรียนของโลก ดึงดูดคนที่มีความรู้ ความสามารถ เข้ามาในไทย และยังได้เงินเข้าประเทศมหาศาล ไม่แพ้การท่องเที่ยว - จัดสรรงบประมาณถนน นำไปสร้างเขื่อน ชลประทาน ทำทางเข้าไร่ นา คาดว่าจะสามารถป้องกันภัยธรรมชาติ ทั้งน้ำท่วม และภัยแล้ง ซึ่งน่าจะช่วยให้ผลผลิตการเกษตรเพิ่มขึ้น 5 เท่า - แก้กฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ประเทศ ดึงต่างชาติเข้ามาทำงานในอาชีพที่ยังไม่มีในไทย เพื่อยกระดับทักษะ ความรู้ ความไฮเทค ตรงนี้จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมาก - มั่นใจค่าแรง 600 บาท เป็นไปได้อย่างแน่นอน โดยต้องสร้างคนให้มีประสิทธิภาพ ทันโลก, ใช้ AI เข้ามาช่วยพัฒนาทักษะคน           สุดท้ายนี้ ผมมีข้อเสนอแนะว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยร่ำรวย ถ้าคนไทยร่ำรวย ประเทศก็จะแข็งแรง ก็ต้องพึ่งพามหาวิทยาลัย และนักธุรกิจเป็นส่วนที่สำคัญมาก ที่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้คนไทยรวยขึ้น รวมถึงรัฐบาลก็ต้องออกกฎหมาย กฎเกณฑ์ต่างๆ ให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี ”  นายธนินท์ กล่าว

แจกหุ้นเด่น เดือน ก.พ. 2025  ตั้งรับสะสมหุ้นที่พร้อมเติบโตในประเทศช่วงตลาดผันผวน

แจกหุ้นเด่น เดือน ก.พ. 2025 ตั้งรับสะสมหุ้นที่พร้อมเติบโตในประเทศช่วงตลาดผันผวน

SET ก.พ. 25: “ผันผวนก่อนฟื้นตัว” 📅 📉 SET ร่วงทันทีวันนี้ที่ 1,271 จุด จากแรงกดดันสงครามการค้าหลัง Trump ประกาศขึ้นภาษี 25% ต่อ Mexico, Canada และ 10% ต่อ China 🌍💥 ส่งผลกระทบต่อหุ้นส่งออกไทย โดยเฉพาะ หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่มี Premium Valuation ขณะที่หุ้นกลุ่ม Domestic ได้รับผลกระทบจำกัด 📊 Valuation SET เข้า Value Zone ระยะยาว เกือบแตะระดับ ERP +1.5SD ✅ 🔹 กลยุทธ์: ตั้งรับสะสมหุ้นที่พร้อมเติบโตในประเทศช่วงตลาดผันผวน เลือก Best of FEB 2025 ⭐ 📌 หุ้นเด่นเดือน ก.พ. 2025 🚀 ✅ ADVANC 📡 – ผู้นำสื่อสาร-5G ✅ AMATA 🏭 – อสังหาฯ นิคมฯ ✅ BA ✈️ – การบิน-ท่องเที่ยว ✅ BTS 🚄 – ขนส่งสาธารณะ ✅ ERW 🏨 – โรงแรม-ท่องเที่ยว ✅ KBANK 🏦 – ธนาคารชั้นนำ ✅ TTB 💳 – กลุ่มธนาคาร 📈 แนวต้าน: 1,360 / 1,391 จุด 📉 แนวรับ: 1,273 / 1,260 จุด 📌 Key Takeaways  💡 สงครามการค้าเริ่มแล้ว! Trump ขึ้นภาษี Mexico, Canada (25%) และ China (10%) 🇺🇸⚔️🇨🇳 ส่งผลให้ทั้ง 3 ประเทศเตรียมตอบโต้ทันที 💡 US Bond Yield คาดขึ้นจำกัดที่ 4.8-4.9% ก่อน Trump รับตำแหน่ง ตลาดกังวลนโยบาย เร่งและหว่านแห แต่คาดการใช้นโยบายสงครามการค้าจะ ค่อยเป็นค่อยไป ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 💡 AI Adoption & Deepseek มาแรง! 📊 AI กำลังเป็น Mega Trend ไทยอยู่ในฐานะ ผู้ใช้ AI และนำไปต่อยอด หนุนเศรษฐกิจระยะยาว 💡 GDP & Earnings 4Q24 จะช่วย SET ฟื้นตัวหลังความผันผวน 🔄📈           ที่มา : บล.กรุงศรี

จับตาท่องเที่ยวโค้งแรกพีค ชู AWC - CENTEL เด่น

จับตาท่องเที่ยวโค้งแรกพีค ชู AWC - CENTEL เด่น

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ57' กลุ่มท่องเที่ยว ว่า คาดกำไรยังแข็งแกร่งต่อเนื่องในช่วงไฮซีซันผลประกอบการเด่นก่อนเข้าสู่ช่วงพีคใน 1Q68 คาดการณ์กำไรหลักรวมของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว 5 บริษัทที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ที่ 9.6 พันล้านบาท (+18% YoY, +34% QoQ) หรือคิดเป็น 87% ของระดับ 4Q62 โดยการเติบโต YoY ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่แข็งแกร่งในไทย ส่งผลให้ RevPAR เฉลี่ยของโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 13% ต้นทุนดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้สำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเริ่มลดลงยกเว้น CENTEL คาดว่า 1Q68 จะเป็นไตรมาสที่พีคที่สุดของภาคการท่องเที่ยวด้วยโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่งในรายไตรมาสและแนวโน้มเชิงบวกในปี 68 (กำไรกลุ่มเติบโต 23% YoY) และมูลค่าหุ้น (valuation) ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงมุมมองบวกต่อภาคการท่องเที่ยว โดยเลือก AWC และ CENTEL เป็นหุ้นเด่น อัตราการเข้าพักยังต่ำกว่าระดับปี 62 จากข้อมูลการจองห้องพักล่วงหน้าและการตรวจสอบกับผู้บริหารโรงแรมรายใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรม 7 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (พอร์ตโฟลิโอในไทย) จะอยู่ที่ 79% ใน 1Q68 ซึ่งยังต่ำกว่าระดับ 82% ใน 1Q62 ก่อนโควิด อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด ยกเว้น AWC และ CENTEL ที่ยังอยู่ในช่วงเร่งดำเนินงานโรงแรมใหม่และที่ปรับปรุงล่าสุด โดย CENTEL กำลังเร่งเติมอัตราการเข้าพักของ Centara Mirage Pattaya และ Centara Karon Phuket (คิดเป็น 10-12% ของรายได้โรงแรม) ขณะที่ AWC เตรียมเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งในพัทยาซึ่งจะเพิ่มจำนวนห้องพักขึ้นอีก 9% ใน 1Q68 ผลกระทบจากเหตุลักพาตัวนักแสดงจีนมีจำกัด ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีนจากข่าวลักพาตัวนักแสดงจีนที่แพร่สะพัดน่าจะเริ่มลดลง โดยข้อมูลจำนวนผู้ท่องเที่ยว ณ วันที่ 29 ม.ค. ยังคงแสดงให้เห็นว่าจำนวนผู้ท่องเที่ยวจีนเติบโตแข็งแกร่งที่ +28% YoY และจำนวนผู้ท่องเที่ยวรวมเพิ่มขึ้น +21% YoY ขณะเดียวกัน โรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์พบว่ามีการยกเลิกการจองในระดับที่จำกัด เนื่องจากเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระ (FIT) มากกว่ากลุ่มทัวร์ ซึ่งมีแนวโน้มจะอ่อนไหวจากความกังวลด้านความปลอดภัยที่เกิดจากข่าวดังกล่าวบนโซเชียลมีเดีย หุ้นเด่น AWC และ CENTEL ฝ่ายวิเคราะห์เลือก AWC เป็นหุ้นเด่นอันดับหนึ่ง เนื่องจากได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้จ่ายด้านที่พักที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทย ขณะที่ CENTEL เป็นหุ้นเด่นอันดับสอง เนื่องจากคาดว่ามีกำไรเติบโตแข็งแกร่งเป็นอันดับ 2 ในช่วงปี 67-69 โดยได้รับแรงหนุนจาก RevPAR โรงแรมในไทยที่เพิ่มขึ้นหลังการปรับปรุงครั้งใหญ่และในญี่ปุ่นจากงาน World Expo ที่จะจัดขึ้นที่โอซาก้าในเดือน เม.ย.-ต.ค. 68 ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าตลาดรับรู้แล้วว่าผลประกอบการ 4Q67 ของ CENTEL จะถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายก่อนเปิดโรงแรมและผลกระทบจากการปรับปรุงโรงแรม

SET กุมภาฯ ผันผวน! แรงกดดันสงครามการค้ากระทบตลาด

SET กุมภาฯ ผันผวน! แรงกดดันสงครามการค้ากระทบตลาด

          หุ้นวิชั่น - แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนกุมภาพันธ์: แรงกดดันจากสงครามการค้า แต่ยังมีแรงหนุนจากหุ้น Domestic Play • คาดว่า SET Index มีโอกาสปรับตัวลงในช่วงแรก หลังจากที่ ปธน.ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ลงนามใน Executive Order เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก แคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และ จีนในอัตรา 10% ตามที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ • ปัจจัยดังกล่าวทำให้ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ได้พัฒนาเป็นสงครามการค้าย่อม ๆ จากการตอบโต้ของประเทศเหล่านี้ โดย แคนาดาและเม็กซิโกเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 25% ขณะที่ จีนเตรียมยื่นคำร้องต่อ WTO • ปัจจัยนี้ส่งผลทางอ้อมให้ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก แคนาดาและเม็กซิโก เป็นแหล่งนำเข้าเชื้อเพลิงสำคัญของสหรัฐฯ     มุมมองต่อตลาดหุ้นไทย • การปรับตัวลงของ SET Index ในช่วงแรกของเดือน อาจได้รับการประคับประคองจาก กลุ่ม Oil & Gas ที่ได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น • นอกจากนี้ กลุ่ม Domestic Play มีโอกาสรีบาวด์ หลังจากราคาหุ้นกลุ่มนำตลาด เช่น CPALL ปรับตัวลงแรงในช่วงปลายเดือนก่อน • ด้วยเหตุนี้ ตลาดหุ้นไทยอาจแข็งแกร่งกว่าตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้า กลยุทธ์การลงทุน (Strategy) • ประเมินแนวรับแรกของ SET Index ที่ 1,300 จุด • แนวรับสำคัญที่ไม่น่าหลุดอยู่ที่ 1,270 - 1,280 จุด • แนะนำ ถือหุ้นเดิม และทยอยสะสมหุ้นใหม่ที่บริเวณแนวรับ โดยเน้น Domestic Play เป็นหลัก เนื่องจากความผันผวนจากประเด็นสงครามการค้าอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา           ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม (Risks) 1. ความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่ลากยาว อาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการกลับมาของเงินเฟ้อ (Revival of Inflation) ซึ่งอาจส่งผลให้ Bond Yield ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น และลดโอกาสที่ ธปท. จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ 2. ผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัทจดทะเบียน หากออกมาแย่กว่าคาด อาจนำไปสู่ การปรับลดประมาณการตลาด ทำให้ Valuation ของดัชนีแพงขึ้นโดยอัตโนมัติ 3. แรงขายจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ หากมีความชัดเจนว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) จะเปลี่ยนวิธีคำนวณดัชนีหุ้นไทยเป็น Free-float Adjusted Market Cap Weighted ซึ่งอาจส่งผลให้ หุ้นขนาดใหญ่ 10 อันดับแรกถูกลดน้ำหนัก และมีผลลบต่อดัชนีในช่วงแรก ที่มา : บล.ทรีนิตี้

ราคาเนื้อสัตว์ฟื้น KSS ชู CPF หุ้น Top Pick เคาะเป้า 27.40 บ.

ราคาเนื้อสัตว์ฟื้น KSS ชู CPF หุ้น Top Pick เคาะเป้า 27.40 บ.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำตาลเพิ่มขึ้น +5% w-w จากค่าเงินเรียลบราซิลแข็งค่าขึ้นที่สุดในรอบหนึ่งเดือนครึ่ง ส่งผลให้การส่งออกของผู้ผลิตน้ำตาลบราซิลลดลง อุปทานในตลาดน้อยลง ประกอบกับ Czarnikow (ซีซาร์นิโคว) ปรับลดประมาณการผลผลิตน้ำตาลของไทยในปี 2024/25 ลง -7% เหลือ 10.8 ล้านตัน ราคายางพาราเพิ่มขึ้น +1.1% w-w จากความกังวลด้านอุปทานจากสภาพอากาศที่ทำให้ยางผลัดใบเร็วน้ำยางน้อยลง ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น +1.1% w-w จากคาดการณ์ว่าอุปทานจะลดลงในช่วงรอมฎอน (28 ก.พ. - 29 มี.ค. 25) ส่วนราคาถั่วเหลืองลดลง -1.4% w-w จากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอุปทานที่เพิ่มขึ้น หลังอาร์เจนตินามีการปรับลดภาษีการส่งออกธัญพืชจาก 33% เหลือ 26% โดยมาตรการนี้จะมีผลไปจนถึง มิ.ย. 2025 ในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ทรงตัว w-w อยู่ที่ 41.50 บาท (ต้นทุน 36-37 บาท) คาดว่าผู้บริโภคมีสต๊อกเพียงพอ ราคาสุกรไทยเพิ่มขึ้น +0.3% w-w ที่ 78.50 บาท (ต้นทุน 66-67 บาท) ราคาสุกรจีนเพิ่มขึ้น +3.5% w-w ที่ 15.90 หยวน หรือ 74.76 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 15 หยวน) ราคาสุกรเวียดนามเพิ่มขึ้น +0.3% w-w ที่ 67,500 ดอง หรือ 90.94 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 43,000 ดอง) คาดว่ามาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ตรุษจีน ฝ่ายวิเคราะห์ให้น้ำหนักกลุ่มฯ "NEUTRAL" และยังคงเลือก CPF (TP 25F 27.40) เป็น Top Pick เพราะราคาเนื้อสัตว์มีแนวโน้มฟื้นตัว ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังอยู่ในระดับต่ำ

ทรัมป์เปิดฉากเก็บภาษีนำเข้า หนุนการย้ายฐานผลิต หุ้นไหนเด็ด เช็ก!

ทรัมป์เปิดฉากเก็บภาษีนำเข้า หนุนการย้ายฐานผลิต หุ้นไหนเด็ด เช็ก!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 และจากจีนในอัตรา 10% ขณะเดียวกัน จีนประกาศจะขึ้นภาษีตอบโต้ในอัตรา 10% และเตรียมฟ้องร้องต่อองค์การการค้าระหว่างประเทศ (WTO) ทันที ส่วนแคนาดาและเม็กซิโกก็ประกาศที่จะตอบโต้โดยการเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯในอัตราเดียวกันทันที สำหรับยอดการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน สรุปได้ดังนี้ แคนาดา เม็กซิโก และจีน ส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 75%, 80%, และ 15% ของยอดส่งออกรวมตามลำดับสินค้าหลักที่แคนาดาส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่ สินค้าพลังงาน, ยานยนต์, และเครื่องจักร สินค้าหลักที่เม็กซิโกส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่ ยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, และเครื่องจักร นอกจากนี้ แคนาดาและเม็กซิโกส่งออก PET ราว 220,000 ตันต่อปี (ประมาณ 4-5% ของการบริโภคในสหรัฐฯ)ส่วนสินค้าหลักที่จีนส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ของเล่น, เสื้อผ้า, และเฟอร์นิเจอร์ สหรัฐฯ ส่งออกไปแคนาดา เม็กซิโก และจีน ราว 18%, 16%, และ 8% ของยอดส่งออกรวมตามลำดับ สินค้าหลักที่สหรัฐฯ ส่งออกไปแคนาดา ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน, เครื่องจักร, และพลังงาน สินค้าหลักที่ส่งออกไปเม็กซิโก ได้แก่ เครื่องจักร, ยานยนต์และชิ้นส่วน, และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าหลักที่ส่งออกไปจีน ได้แก่ สินค้าเกษตร (เช่น ถั่วเหลืองและเนื้อสัตว์), เครื่องจักร และอุปกรณ์อุตสาหกรรมสำหรับไทย การส่งออกไปแคนาดาและเม็กซิโกอยู่ที่ประมาณ 2% ของยอดส่งออก ขณะที่ส่งออกไปจีน 14% และสหรัฐฯ 12% การกลับมาของสงครามการค้าครั้งนี้อาจสร้างความวิตกกังวลในตลาด เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงเงินเฟ้อจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น และกระทบเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการค่อยเป็นค่อยไปของทรัมป์ แม้จะอาจสร้างแรงกดดันให้ Bond Yield ปรับตัวขึ้นบ้าง แต่ไม่น่าจะสูงเกินกว่า 4.8-4.9% ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดกังวล คาดว่าทรัมป์จะใช้นโยบายที่เน้นการเลือกเป้าหมายประเทศที่มีดุลการค้าสูงจากสหรัฐฯ เช่น ยุโรปและเวียดนาม รวมทั้งกลุ่มสินค้าหลักที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการกีดกันในระลอกแรก อาจเน้นที่สินค้าภาคผลิต เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ในส่วนของผลกระทบทางเศรษฐกิจ Krungsri Research ประเมินว่า ในกรณีที่สหรัฐฯ ปรับเพิ่มภาษีทางฝั่งเดียว คาดว่าจะกระทบ GDP ของสหรัฐฯ และจีน ลดลง -0.34% และ -0.08% ตามลำดับ ซึ่งหากมีการตอบโต้ จะเสี่ยงต่อการกระทบเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าจะมีผลบวกต่อ GDP ไทยเพิ่มขึ้น +0.05% (หากไทยไม่ปรับเพิ่มภาษี) โดยเราประเมินว่าไทยมีโอกาสได้รับยอดส่งออกทดแทนจากการทำสงครามการค้าในกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น เม็กซิโก และสหรัฐฯ เช่น ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ และปิโตรเคมี ยกเว้นชิ้นส่วนที่อาจได้รับผลกระทบจากการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตระหว่างประเทศหลักๆ ที่มีความสัมพันธ์สูงกับจีนและสหรัฐฯ เราประเมินว่าความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีโอกาสจะทำให้เกิดความกังวลเช่นเดียวกับรอบ Trump 1.0 โดยประเทศที่มีความเสี่ยงสูงจะอยู่ในฝั่งเอเชียเหนือ เช่น ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดมีรายได้เชื่อมโยงกับสหรัฐฯ และจีนสูง ขณะที่ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจำกัด เช่นเดียวกับหลายประเทศในอาเซียน เนื่องจากยอดรายได้ของบริษัทในดัชนี MSCI จากสหรัฐฯ และจีนต่ำกว่า 5% สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม คาดว่าจะเกิดจากการลดลงของปริมาณการค้าโลก แต่จะได้รับการชดเชยจากยอดการลงทุนทางตรงที่เพิ่มขึ้นจากการย้ายฐานการผลิตมาสู่ไทย เนื่องจากไทยมีความเป็นกลางโดยรวม เราประเมินว่าในระลอกแรกของสงครามการค้า Trump 2.0 จะทำให้ SET ผันผวนในระยะสั้นจากการที่ Bond Yield แกว่งขึ้น ก่อนที่จะฟื้นตัวจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่เป็นกลางหรือบวกเล็กน้อยต่อไทย ในส่วนของสินค้าที่น่าจะได้รับผลบวก คาดว่าจะเห็นจิตวิทยาบวกในกลุ่มยานยนต์ ส่วนเคมีภัณฑ์และปิโตรเคมีจะเป็นบวกต่อ IVL ขณะที่การย้ายฐานการผลิตที่อาจเกิดขึ้นจะหนุนหุ้นนิคมอุตสาหกรรม เช่น WHA และ AMATA

KSS คาด SET “ผันผวน” หลังทรัมป์เริ่มกำแพงภาษีนำเข้า 25%  มองต้าน  1333 จุด

KSS คาด SET “ผันผวน” หลังทรัมป์เริ่มกำแพงภาษีนำเข้า 25% มองต้าน 1333 จุด

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “ผันผวน” ต้าน 1323/1333 จุด รับ 1305/1300 จุด ดัชนี S&P500 ปรับตัวลง -0.5% หลัง ปธน.สหรัฐฯ เริ่มกำแพงภาษีนำเข้ากับ เม็กซิโก แคนาดาที่ 25% จีนที่ 10% ขณะที่ทุกประเทศส่งสัญญาณจะตอบโต้ทันทีทำให้ตลาดกังวลผลกระทบต่อเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ ล่าสุด US Bond Yield 10 ปีขยับขึ้น +5 bps สู่ 4.56% ทำให้บรรยากาศลงทุนเป็นลบ แต่ประเมินนโยบายสงครามการค้าปี 2025F ต่อจีนน่าจะค่อยเป็นค่อยไป ทำให้กระทบต่อเงินเฟ้อช่วงแรกไม่มาก และคาดว่าคุณ Trump จะเน้น Selective ประเทศที่ได้ดุลการค้าเพิ่มจากสหรัฐฯสูง vs Trump 1.0 อาทิ ยุโรป, เวียดนาม, เกาหลี และไต้หวัน ก่อน น่าจะเป็นบวกต่อไทย ในระยะกลาง-ยาว ได้ประโยชน์ ทางบวกจากการย้ายฐาน เพิ่ม FDI ระยะถัดไป ผสาน หลายหุ้น Big Cap ที่ปรับตัวลงแรงจากความกังวลต่างๆระดับหนึ่งแล้ว แม้วันนี้ประเมินตลาดผันผวน แต่กลุ่มที่ยังเด่น หุ้นธนาคาร นิคม (Trade War กลับมาหนุน) หุ้น Domestic เน้นท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยว ม.ค. 25 = Pre-COVID) Defensive สื่อสาร วันนี้แนะนำ AMATA, WHA, IVL

AI บทบาทสำคัญในภาคธุรกิจ

AI บทบาทสำคัญในภาคธุรกิจ

          หุ้นวิชั่น - ท่ามกลางการแข่งขันและสงครามเทคโนโลยีที่กำลังร้อนระอุ เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นและยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ ซึ่งการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในยุคแรก คือ Machine Learning และต่อมาได้ถูกพัฒนาต่อยอดไปสู่ Deep Learning ที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น สำหรับในระยะข้างหน้าเรามองว่าเทรนด์ AI จะมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการตอบโต้กับโลกกายภาพได้มากขึ้น ได้แก่ 1) ยานยนต์ไร้คนขับ ที่เป็นระบบการขับขี่โดยไม่มีมนุษย์ควบคุม 2) เทคโนโลยี Digital Twin ที่สร้างแบบจำลองเสมือนจริงของวัตถุทางกายภาพ และ 3) Avatar AI ที่เป็นการสร้างตัวแทนบุคคลเสมือนจริง ส่งผลให้ตลาดของเทคโนโลยี AI ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลของ Statista คาดว่า มูลค่าตลาดของเทคโนโลยี AI มีแนวโน้มเติบโตราว 27.6% ต่อปีในช่วงปี 2025-2030 มาอยู่ที่ 8.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2030 AI หนุนธุรกิจในกลุ่มสินค้าไฮเทคให้เติบโตทั้งกลุ่มชิป คอมพิวเตอร์ฯ และแอปพลิเคชัน           SCB EIC คาดการณ์ว่าแนวโน้มความต้องการเทคโนโลยี AI ในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของเทคโนโลยี AI เติบโตต่อเนื่อง โดยกลุ่มที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน AI ประกอบไปด้วยกลุ่มฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล เช่น Data center และ Cloud service ไปจนถึงกลุ่มผู้ให้บริการที่เป็นผู้พัฒนาโปรแกรมหรือแอปพลิเคชัน SCB EIC คาดการณ์ว่ากลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์ คือ 1) ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ นับตั้งแต่ผู้ผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตชิปขั้นสูงอย่าง ASML ผู้ผลิตและออกแบบชิป (NVIDIA) ผู้รับจ้างผลิต (TSMC) ไปจนถึงกลุ่มให้บริการแพ็กเกจ ประกอบและทดสอบชิป 2) อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจต่าง ๆ ได้เริ่มนำเอาซอฟต์แวร์ AI มาใช้ในการประมวลผลข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น เช่น ธุรกิจ Healthcare ที่นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลด้านสุขภาพ วินิจฉัยและรักษาโรค รวมถึงการดูแลผู้ป่วย เป็นต้น ทั้งนี้ Gartner คาดการณ์ว่าตลาดซอฟต์แวร์ AI มีแนวโน้มจะเติบโตเฉลี่ยราว 19% ต่อปีในช่วงปี 2023-2027 3) ธุรกิจ AI applications ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT และ Google Gemini ที่มีการแข่งขันกันในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่มมากขึ้น ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือในการสร้างสรรค์ข้อมูลใหม่ โดยคาดว่า ชิป ASIC ที่ถูกนำไปใช้งานในแอปพลิเคชัน AI ต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนได้จากข้อมูลของ J.P. Morgan ที่ระบุว่า ยอดขายชิป ASIC โลก มีแนวโน้มเติบโตราว 42% ต่อปีในช่วงปี 2023-2028 มาอยู่ที่ 9.9 ล้านชิ้นในปี 2028 เทคโนโลยี AI ยังเติบโตท่ามกลางความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และการผูกขาดทางการค้า           เทคโนโลยี AI กำลังเติบโตท่ามกลางความท้าทายจากทั้งความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และการผูกขาดทางการค้าจากผู้เล่นรายใหญ่ นอกจากนี้ นโยบายการค้าการลงทุนของโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตของเทคโนโลยี AI อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งแผนที่จะทุ่มงบประมาณเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมชิปและเทคโนโลยี AI ในประเทศ และทรัมป์ยังคงดำเนินนโยบายและเพิ่มมาตรการควบคุมการส่งชิปขั้นสูงไปจีนเพื่อกีดกันจีนจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ต่อจากโจ ไบเดน ทั้งนี้ในปัจจุบัน ตลาดชิป AI ของโลกยังคงถูกผูกขาดด้วยผู้เล่นรายใหญ่ของสหรัฐฯ ขณะที่ NVIDIA ได้ครองตลาดชิป GPU เรายังพบอีกว่า Google ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ได้เป็นเจ้าตลาดในฝั่งของชิป ASIC ซึ่งอาจส่งผลให้ชิป AI มีราคาสูงขึ้นและเกิดปัญหาอุปทานคอขวดจากขาดแคลนชิปในระยะต่อไปได้ ไทยได้ประโยชน์ทั้งการส่งออกชิปและคอมพิวเตอร์ไปสหรัฐฯ และการขยายการลงทุน           SCB EIC ประเมินว่าจากแนวโน้มความต้องการเทคโนโลยี AI ในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จะส่งผลดีต่อกลุ่มผู้ผลิตชิปและส่วนประกอบที่ไม่รวมชิปต้นน้ำ โดยผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์ใน 2 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านการส่งออก เช่น กลุ่มผู้ผลิตชิปและส่วนประกอบที่ไม่รวมชิปต้นน้ำ ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่ในกลุ่มผู้ให้บริการแพ็กเกจ ประกอบและทดสอบชิป และกลุ่มคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ที่เราประเมินว่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มดังกล่าวไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการที่สหรัฐฯ ทดแทนการนำเข้าสินค้าจากจีน และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี AI โดยคาดว่าในปี 2024 ไทยจะมีสัดส่วนการส่งออกชิปและคอมพิวเตอร์ไปยังตลาดสหรัฐฯ มากถึง 83% และ 40% ของการส่งออกสินค้าในหมวดนี้ทั้งหมด 2) ด้านการลงทุน นับตั้งแต่เกิดสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้เกิดการขยายการลงทุนมายังอาเซียนรวมถึงไทย สะท้อนได้จากข้อมูลของ BOI พบว่า ในปี 2023 ต่างชาติเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรม E&E โดยมีโครงการขนาดใหญ่ เช่น การผลิต Wafer การประกอบและทดสอบชิป นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจ Data center และ Cloud service ที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 167,989 ล้านบาท ซึ่งแนวโน้มการลงทุนในธุรกิจดังกล่าวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการรองรับการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยี AI ในอนาคต ไทยยังเผชิญอุปสรรคด้านการพัฒนาสินค้าไฮเทคโนโลยี ที่ด้อยกว่าคู่แข่งในตลาด AI           ไทยยังมีอุปสรรคและความท้าทายจากการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเพื่อรองรับเทคโนโลยี AI ที่ส่งผลให้ยังเป็นรองจากประเทศคู่แข่ง โดยปัจจุบันสหรัฐฯ มีสัดส่วนพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ชิปจากไทยเพียง 7% เมื่อเทียบกับสัดส่วนการพึ่งพาการนำเข้าจากมาเลเซียที่มากกว่า 17% ของการนำเข้าชิปทั้งหมดของสหรัฐฯ ทั้งนี้อุปสรรคสำคัญของไทยที่ส่งผลให้ยังมีส่วนแบ่งตลาดที่น้อยกว่าคู่แข่งเนื่องมาจากการขาดความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง อย่างเช่นชิปต้นน้ำ โดยนอกจากนี้ ไทยยังขาดการวิจัยและพัฒนาในกลุ่มสินค้านวัตกรรมใหม่ และยิ่งไปกว่านั้นเอง ไทยยังคงเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะดิจิทัลและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับไทยในการพัฒนาศักยภาพการผลิตสินค้าไฮเทคให้สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งสำคัญต่าง ๆ ได้ ไทยควรเร่งพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและขยายการลงทุนในกลุ่มสินค้าไฮเทคมากขึ้น           ไทยควรเร่งมือเดินหน้าจัดกระบวนทัพทางเทคโนโลยีใหม่ เริ่มต้นจากการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ส่งเสริมการลงทุนที่ครอบคลุมกลุ่มสินค้าไฮเทคโนโลยีมากขึ้น โดยไทยจะต้องเร่งปรับปรุงโครงสร้างในภาคการผลิตเพื่อรองรับการผลิตชิปขั้นสูง สินค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับ AI ไปจนถึงอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลและหน่วยความจำที่สามารถรองรับเทคโนโลยี AI โดยจะต้องเร่งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ร่วมกับการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะสูงทั้งกลุ่มแรงงานที่มีอยู่เดิมและกลุ่มแรงงานใหม่ เช่น วิศวกรเซมิคอนดักเตอร์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ยังขาดแคลนอยู่เป็นจำนวนมากและเป็นความเสี่ยงต่อภาคการผลิตในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องเร่งพัฒนาเพื่อสร้างความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อรองรับการเข้ามาลงทุนของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในไทย และสิ่งที่จะขาดไม่ได้คือการพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อที่ไทยจะได้ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่สำคัญแห่งอาเซียนและตอบโจทย์ความยั่งยืนในอนาคตไปพร้อม ๆ กัน ที่มา : SCB EIC

CPALL จัดเวทีแข่งไอเดีย AI

CPALL จัดเวทีแข่งไอเดีย AI "Creative AI Club Hackathon ปีที่ 3"

          หุ้นวิชั่น - ซีพี ออลล์ จัดเวทีประชันไอเดียปัญญาประดิษฐ์ “Creative AI Club Hackathon ปีที่ 3” เปิดทางเยาวชน ม.ปลาย-ปี 1 ร่วมสร้างสรรค์แนวคิดใช้ AI สร้างเซเว่น อีเลฟเว่นในฝันเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ พบหลากผลงานสุดว้าว เล็งเปิดโอกาสเด็กเก่ง-เจ้าของผลงานเจ๋ง ร่วมโครงการ Future Innovator ต่อยอดไอเดียสู่การปฏิบัติจริง ด้านทีม “เหมียว” คว้ารางวัลชนะเลิศ โชว์ไอเดียกล้องวงจรปิด AI “PathVision” สำรวจพฤติกรรมการชมสินค้าในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สู่การพัฒนาร้านนำเสนอสินค้าบริการเพื่อลูกค้าทุกกลุ่ม            นายป๋วย ศศิพงศ์ไพโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักปัญญาประดิษฐ์สร้างสรรค์ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า บริษัทยังคงเดินหน้าให้ความสำคัญกับการ “สร้างคน” เปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงทักษะความสามารถอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้จัดงาน Creative AI Club Hackathon ปีที่ 3 เปิดโอกาสให้เยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จนถึงระดับอุดมศึกษาชั้นปีที่ 1 เข้าร่วมเวิร์คช็อป 3 วัน 2 คืน พร้อมประชันไอเดียการสร้างสรรค์ผลงานปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ภายใต้ระยะเวลาอันจำกัดเพียง 24 ชั่วโมง โดยมีพี่ๆ เยาวชนจากโครงการค่าย Creative AI Camp รุ่นล่าสุด ก้าวขึ้นมาเป็นทีมผู้จัดงาน (Core Leader) และผู้ให้คำแนะนำรุ่นเยาว์ (Junior Mentor)           สำหรับหัวข้อการประชันไอเดียในปีนี้ คือ “What is the 7-Eleven of your dreams? สร้าง 7-Eleven ในฝันของคุณด้วยพลัง AI” เปิดโอกาสให้เยาวชนได้รับความรู้และสถานการณ์ปัญหา (Pain Point) จากทีมหน่วยธุรกิจ (Business Unit) ต่างๆ ของเซเว่น อีเลฟเว่น รวมถึงได้รับทราบฟังก์ชัน ฟีเจอร์ด้าน AI ที่เซเว่น อีเลฟเว่นมีอยู่แล้ว เพื่อให้เยาวชนได้แสดงศักยภาพ ระเบิดความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสิ่งใหม่ พร้อมทั้งสามารถต่อยอดกับสิ่งที่มีอยู่แล้วด้วยนวัตกรรม AI           “เทคโนโลยี AI ในวันนี้กลายเป็นเทคโนโลยีทั่วไป หรือ Common Technology ที่คนใช้กันในชีวิตประจำวัน คนไทยจำนวนมากมีประสบการณ์กับ AI มากขึ้น น้องๆ คนรุ่นใหม่เองก็เช่นกัน เราจึงเปิดโอกาสให้น้องๆ สมัครเข้ามาแสดงศักยภาพ แสดงแนวคิดแปลกใหม่ในการสร้างสรรค์ AI ผ่านการประยุกต์ใช้กับร้านเซเว่น อีเลฟเว่น โดยปีนี้มีน้องๆ ให้ความสนใจสมัครถึงกว่า 400 คน ก่อนเราจะคัดเหลือ 40 คน ทีมที่ผ่านเข้ามาแข่งขันในปีนี้ หลายๆ ทีม ไม่เฉพาะทีมที่ได้รับรางวัล ต่างนำเสนอไอเดียแปลกใหม่และน่าสนใจมาก จนทั้งคณะกรรมการและผู้บริหารต่างชื่นชมถึงไอเดียของเหล่า Tech Talent” นายป๋วย กล่าว           ทั้งนี้ ซีพี ออลล์ ได้ให้ความสำคัญกับผลงานของเยาวชน และเปิดโครงการ Future Innovator เป็นโครงการฝึกงานที่ให้น้องๆ เยาวชนที่ผ่านกิจกรรม Creative AI Club Hackathon หรือ Creative AI Camp ได้เข้ามาร่วมต่อยอดผลงานของตัวเองหรือของเพื่อนที่ชนะในแคมป์ รวมถึงมีโอกาสได้รับพิจารณาเข้าทำงานร่วมกับซีพี ออลล์อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต           สำหรับรางวัลชนะเลิศ จาก Creative AI Club Hackathon ครั้งที่ 3 ได้แก่ ทีมเหมียว กับผลงาน “กล้องวงจรปิด PathVision” ใช้กล้องวงจรปิดที่มี AI สำรวจพฤติกรรมการหยุดชมสินค้าของลูกค้าในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นแบบไม่ระบุตัวตน เพิ่มประสิทธิภาพการจัดผังร้าน และสร้างประโยชน์ต่อแบรนด์สินค้าและตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าที่สามารถเข้ามาใช้บริการได้สะดวกมากยิ่งขึ้น (สมาชิกในทีม : สุธีร์ธิดา ปิยะจงวิวัฒน์, วรัญชิต วีระศักดิ์, พุฒิพร เจริญวิมลรักษ์ และคุณชมศมนต์ ชมภูคำ) รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ทีม 7-Twelve กับผลงาน “7-OTP” นำข้อมูลจากเครื่อง POS ของเซเว่น อีเลฟเว่น มาทำนายอนาคต เพื่อให้สามารถแบ่งหน้าที่คนทำงาน และจัดระบบการทำงานในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (สมาชิกในทีม : กมลพร ถอดมูล, ชิติพัทธ์ สร้อยสังวาลย์, พชรพรรณ จงบรรจบ, และวชิรวี ขำรักษา) รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม Kadjap.CPALL กับผลงาน “Eatit.AI” ไอเดียฟีเจอร์เสริม AI ในแอป 7-Eleven ที่ช่วยแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับความต้องการลูกค้า จัดเซ็ทสินค้า รวมถึงสามารถคำนวณแคลอรี ลดปัญหาลูกค้าเดินเข้ามาแล้วไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร (สมาชิกในทีม : ธนภณ ธนาดุลเปรมเดช, ธนโชติ เทศกัณฑ์, ณภัทร ศรวิชัย และทรงพล ซ้ายขวา)           ด้านนายวรัญชิต วีระศักดิ์ (น้องอะตอม) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี หนึ่งในสมาชิกทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ กล่าวว่า ผลงานของทีมเริ่มจาก Pain Point ว่า กล้องวงจรปิดในยุคแห่งเทคโนโลยี ควรทำได้มากกว่าฟังก์ชันทั่วไป จึงได้มองถึงการนำกล้องวงจรปิดที่มี AI มาช่วยสำรวจและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าแบบไม่ระบุตัวตน อาทิ การสำรวจตำแหน่งที่ลูกค้าไปหยุดดูมากที่สุด แล้วสร้างเป็น Heat Map การสำรวจพฤติกรรมลูกค้า ณ ตำแหน่งต่างๆ ว่ามองตรง มองบน หรือมองล่าง เพื่อให้สามารถปรับปรุงผังร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงช่วยให้แบรนด์สินค้าต่างๆ ได้ทราบถึงพฤติกรรมภายในร้านสะดวกซื้อของผู้บริโภค           “การเข้ามาร่วม Creative AI Club Hackathon ของซีพี ออลล์ในครั้งนี้ ช่วยให้ได้รู้จักคนใหม่ๆ ได้ฝึกทำงานในเวลาที่จำกัด มีโจทย์ให้ได้พัฒนาตัวเอง โดยกว่าจะเป็นโปรเจกต์กล้อง PathVision ในครั้งนี้ ทีมอ่านเอกสารภาษาอังกฤษ อ่านสมการคณิตศาสตร์เยอะมาก เพื่อให้พัฒนาฟังก์ชันและโซลูชันได้อย่างเหมาะสม หากมีโอกาสก็อยากเข้ามาทำงานและต่อยอดผลงานนี้ให้เกิดขึ้นจริง และเชื่อว่าผลงานนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้ ไม่เฉพาะในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น” นายวรัญชิต กล่าว           นายวรัญชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า AI ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากๆ สำหรับมนุษย์ ช่วยให้มนุษย์เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วขึ้นมาก โลกในอนาคต ผู้ที่ใช้ AI เป็น กับผู้ที่ใช้ AI ไม่เป็น จะมีอัตราการประสบความสำเร็จ (Success Rate) แตกต่างกัน การไม่ปรับตัวให้ทัน จะส่งผลต่อความยากลำบากในการใช้ชีวิต ส่วนตัวจึงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ด้าน AI และอยากประกอบอาชีพเป็น Tech Programmer โดยล่าสุด ได้รับโอกาสเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล (CEDT) ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้ว           ทั้งนี้ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL มีนโยบายส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน มุ่งมั่นจัดกิจกรรมสนับสนุนทักษะเยาวชนด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI อย่างต่อเนื่อง ผ่านหลากหลายเวที ได้แก่ 1.Creative AI Camp (CAI Camp) ค่ายพัฒนาทักษะ AI ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย-อุดมศึกษา ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีจากนานาประเทศ  ระยะเวลา 3 เดือน 2.Creative AI Club (CAI Club) ชุมชนคน AI ที่เป็นพื้นที่เรียนรู้ พื้นที่สร้างสรรค์ผลงานด้าน AI มีกิจกรรม Workshop อย่างต่อเนื่อง 3.Creative AI Club Hackathon เวทีประชันไอเดียด้าน AI และพัฒนาผลงานภายใต้เวลาจำกัดเพียง 1-2 คืน สำหรับน้อง ๆ เยาวชนระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย-มหาวิทยาลัย ปี 1 และยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่อาจจัดขึ้นเพิ่มเติมในอนาคต ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดกิจกรรมและเวทีต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่  https://www.facebook.com/caicampและ https://caicamp.cpall.co.th/

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.75บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.75บ./ดอลลาร์

        หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.75บาท/ดอลลาร์ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดดอกเบี้ย (Deposit facility) 25 bps มาอยู่ที่ 75% ตามคาด พร้อมกล่าวว่าดอกเบี้ยยังสูงและพร้อมลดดอกเบี้ยต่อ ขณะที่ GDP Q4 ยุโรปออกมาที่ 0%QOQ ส่งผลให้ Bond yields เยอรมนีปรับลดลง ด้านเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นช่วงข้ามคืนพร้อมเงินยูโร จากดัชนีดอลลาร์ที่อ่อนค่า หลัง GDP Q4 สหรัฐฯ ออกมาที่ 3% ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.6% แต่เงินบาทอ่อนค่าขึ้นเล็กน้อยเช้านี้ จากคำขู่เรื่องขึ้น Tariffs ต่อแคนาดาจากนายโดนัลด์ ทรัมป์

จับตาการท่องเที่ยวไทย! สร้างมูลค่าเพิ่มระยะยาว

จับตาการท่องเที่ยวไทย! สร้างมูลค่าเพิ่มระยะยาว

            หุ้นวิชั่น - สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผยภาคการท่องเที่ยวไทยปี 2567 ฟื้นตัวแรง นักท่องเที่ยวต่างชาติแตะ 35.54 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.67 ล้านล้านบาท พร้อมแนะกลยุทธ์เจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ Wellness Tourism & Event Tourism กระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียน หวังดันไทยเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงคุณภาพระดับโลก             นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ. สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ภาคการท่องเที่ยวเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างงาน             ทั้งทางตรงและทางอ้อมในหลากหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร และบริการด้านคมนาคมขนส่ง อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีปัจจัยท้าท้ายหลายด้าน ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจภายในประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยว การระบาดของโรคติดต่อ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งความปลอดภัยและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ในประเทศจุดหมายปลายทาง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยว • สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย และรายได้ด้านการท่องเที่ยว ปี 2567             ข้อมูลเบื้องต้นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า ในปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทย มีจำนวนรวม 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.27 เมื่อเทียบกับปี 2566 และสร้างรายได้ 1.67 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยกลุ่มนักท่องเที่ยว 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 6,733,162 คน มาเลเซีย 4,952,078 คน อินเดีย 2,129,149 คน เกาหลีใต้ 1,868,945 คน และรัสเซีย 1,745,327 คน โดยการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ชัดเจนของภาคการท่องเที่ยวไทย             ซึ่งคาดว่าได้รับอานิสงส์จากหลายปัจจัย อาทิ อุปสงค์การท่องเที่ยวระหว่างประเทศสูงขึ้น มาตรการยกเว้นวีซ่า การยกเว้นบัตร ตม.6 สำหรับด่านชายแดนทางบก การเพิ่มเที่ยวบินและการขยายเส้นทางการบินมายังประเทศไทย รวมทั้งการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ เป็นที่น่าสังเกตว่า นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่วนใหญ่ในปี 2567 เป็นกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) อาทิ กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในปี 2567 จะคิดเป็นเพียงสัดส่วนร้อยละ 60.45 ของปี 2562 (ช่วงก่อนเกิดโควิด-19) แต่คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ             นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาการจัดทำสถิติท่องเที่ยวของไทยซึ่งใช้ตามแนวทาง IRTS 2008 (International Recommendations for Tourism Statistics 2008) ของ UN Tourism แสดงว่า รายได้ด้านการท่องเที่ยวขึ้นอยู่กับ 3 ตัวแปรหลัก ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยว (คน) x วันพักเฉลี่ย (วัน) x ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวัน (บาท) โดยเมื่อวิเคราะห์รายตัวแปร พบว่า ทุกตัวแปรมีผลต่อการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของรายได้ด้านการท่องเที่ยวทั้งสิ้น แต่การส่งเสริมให้แต่ละตัวแปรเติบโต ก็มีความท้าทายที่แตกต่างกันไป ดังนี้ (1) จำนวนนักท่องเที่ยว : เป็นตัวแปรขนาดใหญ่ที่สามารถติดตามผลได้ชัดเจน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ในวงกว้างมากที่สุดทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ โดยหากนักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก จะทำให้เกิดการใช้จ่ายที่หลากหลายและ การขยายตัวของอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจ แต่หากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ผลกระทบในทางลบก็จะชัดเจนเช่นกัน (2) วันพักเฉลี่ย : นักท่องเที่ยวที่มีระยะเวลาการพำนักที่นานขึ้น ก็มีแนวโน้มจะใช้จ่ายในกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม การจะส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวมีวันพักเฉลี่ย ที่นานขึ้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล อาทิ ระยะเวลาที่สามารถท่องเที่ยวได้มีจำกัด พฤติกรรมการท่องเที่ยวสมัยใหม่ที่นิยมทริปสั้น ๆ และกำลังซื้อที่อาจลดลงหากเพิ่มจำนวนวันพัก (3) ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวัน (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป/วันพักเฉลี่ย) : เกิดจากการคำนวณค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว แต่ละคนครอบคลุมหมวดหมู่ต่าง ๆ อาทิ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายด้านความบันเทิง ค่ารักษาพยาบาล และค่าซื้อสินค้าและของที่ระลึก โดยตัวแปรนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสะท้อนคุณภาพของนักท่องเที่ยวและความสามารถใน การใช้จ่าย หากนักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายต่อคนต่อวันในระดับสูง ก็จะนำไปสู่การเพิ่มรายได้ด้านการท่องเที่ยวแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะไม่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเป็นตัวแปรที่ควบคุมได้ยาก เพราะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลต่อกำลังซื้อ การแข่งขันด้านราคาของสินค้าและบริการซึ่งอาจทำให้นักท่องเที่ยวเลือกใช้จ่าย ในราคาที่ถูกกว่า และพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ • เจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย             ปัจจุบันโครงสร้างนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภูมิภาคอาเซียนและประเทศใกล้เคียง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายและวันพักเฉลี่ยไม่สูงนัก ดังนั้น อาจพิจารณาเจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ เพื่อโอกาสในการเพิ่มรายได้ด้านการท่องเที่ยวและกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น อาทิ 1) กลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคปัจจุบันและ มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยเฉพาะภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวดังกล่าว อาทิ สปา และการฟื้นฟูสุขภาพเฉพาะทาง มักมีมูลค่าสูงกว่าการท่องเที่ยวทั่วไป จึงมีแนวโน้ม ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงเข้ามาในไทยได้มากขึ้น 2) กลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม (Event Tourism) ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่มี ความสนใจเดียวกัน อาทิ การแสดงดนตรี งานเทศกาล และการแข่งขันกีฬา โดยกิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความรื่นเริงและประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการกระจายรายได้และขยายการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับชุมชนอย่างมีนัยสำคัญ             ผอ. สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า ภาคการท่องเที่ยวถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย โดยสะท้อนจากข้อมูลล่าสุดของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่ระบุว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศด้านการท่องเที่ยว (Tourism GDP) ในไตรมาส 3 ของปี 2567 มีมูลค่า 650,952 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.16 ของเศรษฐกิจประเทศ อย่างไรก็ดี ความผันผวนของปัจจัยภายนอกและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวถือเป็นความท้าทายที่สำคัญ             ดังนั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อส่งเสริมให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ก็จะเดินหน้าสนับสนุนธุรกิจบริการและผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ในด้านต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่คุ้มค่าแก่การมาเยือน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว

เช็ก!ราคาทองเช้าวันนี้ ดีด 250 บ. ราคาทองรูปพรรณ ขายออก 44,950.00 บ.

เช็ก!ราคาทองเช้าวันนี้ ดีด 250 บ. ราคาทองรูปพรรณ ขายออก 44,950.00 บ.

หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 31 มกราคม 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 250 ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 44,350.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 44,450.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 43554.68 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 44,950.00 บาท

ธปท. เข้มจัดการบัญชีม้า ดันแนวทางการร่วมรับผิดชอบ

ธปท. เข้มจัดการบัญชีม้า ดันแนวทางการร่วมรับผิดชอบ

          หุ้นวิชั่น - นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมา มีการดำเนินการสำคัญ อาทิ การกำกับดูแลให้สถาบันการเงินมีมาตรฐานการให้บริการ mobile banking ที่ปลอดภัยมากขึ้น การยกระดับการจัดการบัญชีม้าจากระดับบัญชีเป็นระดับบุคคล ซึ่งช่วยให้บัญชีม้าถูกระงับเป็นจำนวนมากและเปิดใหม่ได้ยากขึ้น อย่างไรก็ดี รูปแบบและพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่เปลี่ยนไปต่อเนื่อง ทำให้ความเสียหายจากภัยทุจริตทางการเงินไม่ได้ลดลง ในครั้งนี้ ธปท. จึงยกระดับมาตรการเชิงป้องกัน โดยเพิ่มความเข้มข้นและขยายผลการจัดการบัญชีต้องสงสัย เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันความเสี่ยงและแก้ปัญหาภัยทุจริตทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น           นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ชี้แจงว่ามาตรการยกระดับการจัดการบัญชีม้าเพิ่มเติม ประกอบด้วย 1) การกวาดล้างบัญชีม้าให้ได้มากขึ้น โดยปรับเงื่อนไขการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้าให้เข้มขึ้น โดยคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น พฤติกรรมการโอนของบัญชีม้า มูลค่าของธุรกรรม เพื่อให้ครอบคลุมพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่เปลี่ยนไป รวมทั้งสามารถดำเนินการกับบัญชีม้าได้แม้ยังไม่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย เพื่อยกระดับการจัดการบัญชีม้าแต่ละระดับให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ 2) การจัดการบัญชีม้าระดับบุคคลที่เข้มข้นขึ้น โดยธนาคารต้องขยายให้การระงับการโอนเงินออกจากบัญชีม้าและการปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่ ครอบคลุมไปถึงกรณีของบัญชีที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะเป็นบัญชีม้า (แต่ยังไม่ถูกแจ้งว่าทำให้เกิดความเสียหาย) เพิ่มเติมด้วย รวมทั้งต้องกันเงินไม่ให้เข้าไปยังบัญชีของม้าทุกประเภทที่ระบุได้ชัดเจนว่ามีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ธนาคารต้องแจ้งเตือนให้ผู้โอนรู้ตัวว่าอาจกำลังโอนเงินไปยังบัญชีม้า เพื่อป้องกันความเสียหายตั้งแต่ต้น และผู้ถูกหลอกไม่ต้องเสียเวลาในการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อรับเงินคืน 3) การขยายการจัดการในวงที่กว้างขึ้น โดยกำหนดให้ธนาคารต้องแลกเปลี่ยนรายชื่อบุคคลที่ธนาคารตรวจสอบว่ามีพฤติกรรมต้องสงสัยระหว่างกันเพิ่มเติมแม้ยังไม่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย จากเดิมที่แลกเปลี่ยนกันเฉพาะรายชื่อบุคคลที่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามฐานข้อมูลสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และรายชื่อบุคคลที่ถูกแจ้งความหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในเส้นทางการเงินทุจริตเท่านั้น เพื่อให้ธนาคารดำเนินการป้องกันภัยทุจริตได้ครอบคลุม รวดเร็ว เป็นมาตรฐานเดียวกันมากขึ้น           นอกจากนี้ ธปท. ยังกำหนดให้ธนาคารต้องพัฒนาการจัดการบัญชีม้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงจากรูปแบบการหลอกลวงและพฤติกรรมของมิจฉาชีพในอนาคต เช่น การปรับปรุงเงื่อนไขการตรวจจับบัญชีม้าให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ การพัฒนาระบบการตรวจจับบัญชีม้าและพฤติกรรมผิดปกติของลูกค้า เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับพฤติกรรมรายบุคคลอย่างรวดเร็ว ตลอดจนร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้กำกับดูแลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ในการปิดช่องโหว่เส้นทางเงินที่สำคัญของมิจฉาชีพ           ทั้งนี้ ธปท. เห็นว่าการแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินให้ได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาคธนาคาร ผู้ให้บริการโทรคมนาคม (Telco) หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนผู้ใช้บริการ ในการรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองตามขอบเขตมาตรฐานที่ผู้กำกับดูแลกำหนดไว้อย่างชัดเจน หากฝ่ายไหนละเลยการปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด ควรที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบและชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น (Shared responsibility) โดย ธปท. จะประกาศกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบที่ธนาคารพึงปฏิบัติให้ชัดเจน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับผู้กำกับดูแลด้านอื่น ๆ ต่อไป

ตลท. ชวนคนไทยใช้สิทธิ Easy E-Receipt 2.0  ช้อปสินค้าวิสาหกิจเพื่อสังคม

ตลท. ชวนคนไทยใช้สิทธิ Easy E-Receipt 2.0 ช้อปสินค้าวิสาหกิจเพื่อสังคม

          ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เชิญชวนคนไทยใช้สิทธิ Easy E-Receipt 2.0 โดยร่วมสนับสนุนการซื้อสินค้าและบริการจากวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) ในเครือข่าย SET Social Impact เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท ตั้งแต่วันนี้–28 ก.พ. 2568  ได้ทั้งลดหย่อนภาษีและร่วมสนับสนุนการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน สินค้าและบริการของ SE ในเครือข่าย SET Social Impact ที่เข้าร่วมมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ได้แก่ สินค้าชุมชนออร์แกนิก บริษัท เซฟ ไลฟ์ โปรดักส์ จำกัด (ไร่รื่นรมย์) โทร. 097 087 0085 ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ สารสกัดจากธรรมชาติจากบริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (Avautis) โทร. 061 663 6445 วิกผมแท้ทอมือ งานพรีเมี่ยม พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกบริษัทจิตอาสา วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด โทร. 066 085 6716 อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการและผู้สูงอายุ บริษัท สยาม เอเบิ้ล อินโนเวชั่น (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด โทร. 098 516 5112 สินค้าแฟชั่น สินค้าท้องถิ่น อาหารและเครื่องดื่ม บริษัท เลิร์นดู วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด โทร. 092 505 4994 สินค้าชุมชน ขนมอบกรอบ ผ้าทอมือซาโอริ บริษัท บ้านคนพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด โทร. 061 624 1936 โดยผู้สนใจสามารถสั่งซื้อสินค้าและสอบถามเกี่ยวกับการออก E-Receipt ได้โดยตรงกับ SE แต่ละรายที่เข้าร่วมมาตรการ [PR News]

ราคาน้ำมันดิบขาลง หนุนการบิน-โรงไฟฟ้า AAV GULF เด่น

ราคาน้ำมันดิบขาลง หนุนการบิน-โรงไฟฟ้า AAV GULF เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มขาลง Brent -1.17%d-d ปิดที่ US$ 76.58/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.56%d-d ปิดที่ US$ 72.62/barrel แรงกดดัน EIA เผยว่า สต็อกน้ำมันดิบราย สัปดาห์พุ่งขึ้น 3.46 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.2 ล้านบาร์เร เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT ในทางตรงข้ามบวกต่อหุ้นกลุ่มสายการบิน เน้น AAV กลุ่มโรงไฟฟ้าเน้น GULF

อัปเดตราคาทองเช้าวันนี้

อัปเดตราคาทองเช้าวันนี้ "ราคาไม่เปลี่ยนแปลง"

หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 29 มกราคม 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 44,000.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 44,100.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 43,206.00 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 44,600.00 บาท

บีโอไอไฟเขียวลงทุน 1.7 แสนล. พบ TikTok เตรียมลงทุน 1.26แสนล้าน

บีโอไอไฟเขียวลงทุน 1.7 แสนล. พบ TikTok เตรียมลงทุน 1.26แสนล้าน

          บอร์ดบีโอไอ ประเดิมปี 68 อนุมัติโครงการลงทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาท บิ๊กโปรเจกต์ TikTok และ Siam AI โดย TikTok จะลงทุนติดตั้ง Server และอุปกรณ์ต่าง ๆ ใน Data Center ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้ในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุนรวม 126,790 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าส่งเสริมกิจการเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) และนิคมอุตสาหกรรมชีวภาพ เร่งขับเคลื่อน 5 ยุทธศาสตร์ ดึงลงทุนปี 2568 ผลักดันไทยขึ้นแท่นฐานอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก           นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนนัดแรกของปี 2568 ที่มี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการสำคัญ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 1.7 แสนล้านบาท ประกอบด้วยกิจการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มวิดีโอคอนเทนต์ยอดนิยม โดยจะลงทุนติดตั้ง Server และอุปกรณ์ต่าง ๆ ใน Data Center ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้ในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุนรวม 126,790 ล้านบาท และกิจการ AI Cloud Service ของบริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ได้รับเลือกให้เป็น NVIDIA Cloud Partner (NCP) จะตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรีและปทุมธานี มูลค่าลงทุนรวม 3,250 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติโครงการลงทุนผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี มูลค่าลงทุนรวม 40,400 ล้านบาท                     “ปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่าง Data Center และ Cloud Service โดยบริษัทชั้นนำจากทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และไทย รวม 16 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 240,000 ล้านบาท ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ลงทุนสูงเป็นอันดับหนึ่ง สำหรับในปีนี้ คาดว่าจะมีบริษัทชั้นนำระดับโลกตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ AI รวมทั้งการจัดเก็บและประมวลผล Big Data การลงทุนของทั้งสองโครงการนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็น Digital Hub ของภูมิภาค” นายนฤตม์ กล่าว ดึงศักยภาพการเกษตร - หนุนลงทุนอุตสาหกรรมชีวภาพ           นอกจากนี้ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจชีวภาพ รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรในประเทศมากขึ้น บอร์ดบีโอไอ ได้มีมติเห็นชอบ ดังนี้ 1. เปิดส่งเสริม “กิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF)” ซึ่งใช้ผลผลิตทางการเกษตร เศษวัสดุหรือของเสียจากการเกษตร เป็นวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึงร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานระหว่างประเทศ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และ “กิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนแบบผสม” ซึ่งจะนำ SAF มาผสมกับเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป (JET Fuel) เพื่อให้สามารถนำมาใช้กับเครื่องบินพาณิชย์ได้ทันที โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี 2. ปรับปรุงกิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ให้เป็น “กิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ” เพื่อให้มีขอบข่ายธุรกิจที่กว้างขึ้น ครอบคลุมทั้งด้านเกษตร อาหาร พลังงานทดแทน และบริการสนับสนุน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรม BCG โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี เร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนปี 2568 มุ่งสู่ Hub 5 ด้าน           บอร์ดบีโอไอ ยังได้เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนปี 2568 โดยมุ่งยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคใน 5 ด้านสำคัญที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูง ได้แก่ ศูนย์กลางอุตสาหกรรมด้าน BCG (Bio-Circular-Green Industries Hub) ศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Tech Hub) ซึ่งจะครอบคลุมหลายสาขา เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล ศูนย์รวมบุคลากรทักษะสูงจากทั่วโลก (Talent Hub) ศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และธุรกิจระหว่างประเทศ (Logistics & International Business Hub) และศูนย์กลางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Soft Power and Creative Hub)           นายนฤตม์ กล่าวว่า สถานการณ์ความผันผวนของโลก อันเนื่องมาจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศไทยในการ ช่วงชิงฐานการลงทุน บีโอไอจึงได้มีแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในปี 2568 เพื่อเร่งเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก และพร้อมรับกระแสการโยกย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศที่จะเพิ่มสูงขึ้น โดยมีแผนดำเนินงาน 5 ด้านสำคัญ ดังนี้ 1) เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมุ่งดึงดูดการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย อุตสาหกรรม BCG, ยานยนต์ไฟฟ้า (xEV), เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ดิจิทัล และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ด้วยการบูรณาการผ่านคณะกรรมการระดับชาติ ทั้งบอร์ดอีวี บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ และคณะกรรมการสิทธิประโยชน์ด้านซอฟต์พาวเวอร์ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อดึงดูดการลงทุน และเตรียมขยายสำนักงานบีโอไอเพิ่มอีก 2 แห่งที่นครเฉิงตู ประเทศจีน และสิงคโปร์ 2) ยกระดับผู้ประกอบการไทย และสนับสนุนการเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs และสร้างโอกาสในการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการสนับสนุนการใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศ และการจัดกิจกรรมการเชื่อมโยงอุตสาหกรรม 3) พัฒนาบุคลากรทักษะสูง โดยบีโอไอทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และภาคเอกชน เพื่อเตรียมพร้อมบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะด้าน Semiconductor, PCB, ดิจิทัล และ AI ทั้งการจัดทำ Roadmap ที่ชัดเจนและการกำหนดมาตรการสนับสนุน นอกจากนี้ จะดึงดูดบุคลากรทักษะสูงจากต่างประเทศ ผ่านมาตรการ LTR Visa และ Smart Visa รวมทั้งการขยายการให้บริการของศูนย์ One Stop Service ด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน 4) ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศการลงทุน โดยส่งเสริมการลงทุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านกายภาพและดิจิทัลที่สำคัญเพื่อรองรับการลงทุน พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาและเตรียมพื้นที่รองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการลงทุน และพัฒนาเครื่องมือเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) ร่วมกับกระทรวงการคลัง 5) การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและอุตสาหกรรมยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าสนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การรีไซเคิล และการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อการลดการใช้พลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ บีโอไอจะทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในการออกแบบกลไกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งกลไก Utility Green Tariff (UGT) และการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA)

ตรุษจีนปี68 ชาวเน็ตอัพดวงปัง แก้ชงออนไลน์พุ่งแรง

ตรุษจีนปี68 ชาวเน็ตอัพดวงปัง แก้ชงออนไลน์พุ่งแรง

          หุ้นวิชั่น - “ตรุษจีน” เทศกาลที่คนไทยจับจ่ายใช้สอยมากในรอบปี ทั้งการเลือกซื้อของไหว้เจ้า ของไหว้บรรพบุรุษ รวมถึงการแก้ชง เป็นโอกาสที่แบรนด์และธุรกิจสามารถสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภค และดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคได้จากการทำความเข้าใจใน “Customer Insight” ผ่านเทศกาลตรุษจีน           บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มการเลือกซื้ออาหารไหว้เจ้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนของผู้บริโภคบนโซเชียลมีเดีย ผ่านเครื่องมือ Social listening DXT360 วันที่ 1 -  20 มกราคม 2568 ธุรกิจแก้ชงออนไลน์: ความเชื่อที่ปรับตัวสู่โลกดิจิทัล           นอกจากคนไทยเชื้อสายจีนให้ความสำคัญกับการไหว้เจ้า และไหว้บรรพบุรุษแล้ว ยังนิยมการทำบุญเสริมดวงชะตา โดยเฉพาะในปีที่เรียกว่า “ปีชง” ซึ่งเป็นความเชื่อทางโหราศาสตร์จีนว่าอาจมีผลกระทบต่อดวงชะตาของแต่ละคน การแก้ชงจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยการไหว้ "เทพไท้ส่วยเอี๊ย" ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยลดเคราะห์และเสริมมงคลให้ชีวิต เป็นธรรมเนียมสืบทอดกันมานานในช่วงเทศกาลตรุษจีนของทุกปี           จากข้อมูลในโซเชียลมีเดีย พบว่า ปัจจุบันในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ประชาชนจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจใช้บริการแก้ชงออนไลน์เพิ่มมากขึ้น สังเกตได้จาก Engagement การแก้ชงผ่านช่องทางออนไลน์ มีสัดส่วนถึง 34% โดยมีธุรกิจและบริการเกิดใหม่ที่น่าสนใจ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมการทำบุญและการแก้ชงที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน แก้ชงออนไลน์ ตัวเลขมาจากโพสต์การรับบริจาค การรับจ้างบริการแก้ชง ทำบุญผ่านช่องทางออนไลน์ (30 Mentions, Engagements 4,805 ครั้ง) แก้ชงที่วัด ตัวเลขมาจากโพสต์แนะนำสถานที่แก้ชง หรือวิธีแก้ชงแบบดั้งเดิมที่ต้องไปยังสถานที่จริง (379 Mentions, Engagements 9,510 ครั้ง) ตัวอย่างธุรกิจและบริการแก้ชงออนไลน์  ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการเติบโตของธุรกิจแก้ชงและทำบุญออนไลน์ ซึ่งมีการเปิดให้บริการแพลตฟอร์มทำบุญออนไลน์มากขึ้น โดยการร่วมมือกับวัดและศาลเจ้า บริการทำบุญสร้างกุศล (แก้ชง) กับทางวัดโดยตรงผ่านระบบออนไลน์ ทาง LINE @lengnoeiyionline (เล่งเน่ยยี่ออนไลน์) ศรัทธา.online: ธุรกิจให้บริการ รับขอพร แก้บน แก้ชงออนไลน์ ผ่าน Line Chatbot เพื่อตอบโจทย์ผู้มีจิตศรัทธาที่ไม่มีเวลาว่าง เดินทางลำบาก และรู้สึกกังวลใจ เมื่อพรที่ขอไว้เป็นจริงแต่ไม่ได้กลับไปแก้ บริการแก้ชงออนไลน์ผ่าน Zipevent : ผู้มีจิตศรัทธาสามารถเข้าร่วมทำพิธีผ่านทางออนไลน์ (Virtual Event) ณ ศาลเจ้าท่งเฮงตั๊ว ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี โดยฝากดวงกับเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย เพื่อสะเดาะเคราะห์ แก้ปีชง ให้แคล้วคลาดปลอดภัยกันถ้วนหน้า ซึ่งนอกจากจะแก้ชงแล้วก็ยังเป็นการเสริมดวงชะตา เสริมเฮง ต้อนรับปีใหม่อีกด้วย 5 สถานที่แก้ชงยอดนิยมในโซเชียล วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2) อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ศาลเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร กทม. วัดโพธิ์แมนคุณาราม เขตยานนาวา กทม. วัดหัวลำโพง เขตบางรัก กทม.           ธุรกิจแก้ชงออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยไม่เพียงตอบโจทย์ความสะดวกสบายของผู้บริโภคยุคดิจิทัล แต่ยังสะท้อนถึงการปรับตัวของธุรกิจที่เชื่อมโยงประเพณีดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว อีกทั้งความสนใจของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นจากการนำเสนอข่าวและคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับปีชงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้การแก้ชงพัฒนาเป็นทั้งรูปแบบดั้งเดิมที่ผู้คนเดินทางไปวัดหรือศาลเจ้า และบริการออนไลน์ที่ช่วยให้การรักษาความเชื่อและประเพณีเป็นเรื่องง่ายและทันสมัยมากขึ้น ส่องแนวโน้มพฤติกรรมการจับจ่ายเลือกซื้ออาหารไหว้เจ้า           จากการวิเคราะห์ข้อมูลบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับแนวโน้มพฤติกรรมการเลือกซื้ออาหารไหว้เจ้าของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน พบว่า การโปรโมตหรือการประชาสัมพันธ์ของร้านค้า มีการนำเสนอสินค้ารูปแบบ “เซ็ตเมนู หรือ ชุดอาหาร” มากที่สุด แต่ผู้บริโภคกลับให้ความสนใจ “อาหารและขนมพร้อมทาน” มากกว่า โดยสามารถดึงดูดความสนใจจากความแปลกใหม่และหลากหลาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ร้านค้าจะพยายามโปรโมตสินค้าที่เตรียมพร้อมแบบชุด อำนวยความสะดวกต่อการนำไปไหว้ แต่ผู้บริโภคยังคงมองหาความสะดวกสบายที่สุดในการเลือกซื้อสินค้าสำเร็จรูปอย่าง “อาหารพร้อมทาน” การประชาสัมพันธ์:  เซ็ตเมนูหรือชุดอาหาร คือ ชุดไหว้มงคลคาวหวาน ที่จัดเป็นเซ็ตในรูปแบบต่าง ๆ เป็นสินค้าที่ร้านค้าทำการโปรโมตหรือประชาสัมพันธ์มากที่สุด (68%) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ร้านค้าตระหนักถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็วในการจัดเตรียมอาหารในช่วงเทศกาล อาหารและขนมพร้อมทาน คือ อาหารปรุงสำเร็จ และขนมที่จัดโปรโมชันในช่วงเทศกาลตรุษจีนได้รับการโปรโมตหรือประชาสัมพันธ์รองลงมาที่ 26% วัตถุดิบทำอาหาร คือ ของสดสำหรับนำไปประกอบอาหาร ได้รับการโปรโมทน้อยที่สุด (6%) ซึ่งอาจสะท้อนแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้หันไปเลือกซื้อสินค้าที่พร้อมใช้มากกว่าการทำอาหารเอง ผู้บริโภค (Engagement): อาหารและขนมพร้อมทาน ได้รับความสนใจสูงสุดจากผู้บริโภค (63%) ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาความสะดวกในการไหว้เจ้าในรูปแบบที่พร้อมใช้ เซ็ตเมนูหรือชุดอาหาร ได้รับความสนใจรองลงมา (27%) ซึ่งแสดงว่าแม้จะได้รับการประชาสัมพันธ์จากร้านค้าอย่างหนัก แต่ผู้บริโภคอาจจะยังมองหาความสะดวกสบายและประหยัดเวลาจากอาหารที่พร้อมทาน วัตถุดิบทำอาหาร มีการตอบสนองน้อยที่สุด (10%) ซึ่งบ่งบอกถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการความง่ายและไม่อยากใช้เวลามากในการเตรียมอาหารในช่วงเทศกาล

แบรนด์ “ปุ้มปุ้ย” ท้อปเท็นกลุ่มอาหาร คว้า Thailand's Most Admired Company

แบรนด์ “ปุ้มปุ้ย” ท้อปเท็นกลุ่มอาหาร คว้า Thailand's Most Admired Company

          ปวิตา โตทับเที่ยง ปลื้มนำทัพแบรนด์ ปุ้มปุ้ย ติดอันดับ 10 กลุ่มธุรกิจอาหาร รางวัล Thailand's  Most Admired Company เนื่องจากเป็นองค์กรที่นำพาธุรกิจประสบความสำเร็จ อีกทั้งมีภาพลักษณ์ที่ดี โดยสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้แก่ผู้บริโภค           นางปวิตา โตทับเที่ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่บริษัทได้รับรางวัล Thailand's Most Admired Company ซึ่งรางวัลนี้เป็นรางวัลที่เกิดการสำรวรววิจัยโดย BrandAge ซึ่งได้ทำการสำรวจและวิจัย และจัดงานนี้มาต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 ซึ่งเป้าหมายของการจัเพืสำรวจและวิจัยดังกล่าว เพื่อศึกษาและสร้างฐานข้อมูลในด้านต่างๆ ของค์กรในแต่ละธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และมีภาพลักษณ์ที่ดี ที่สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับผู้บริโภค           นางปวิตา กล่าวต่อว่า โดยในปีนี้ได้เพิ่มปัจจัยการวัคความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสังคม หรือการมีธรรรมมาภิบาล โดยในส่วนของการศึกษาและวิจัย จะเป็นการศึกษาทัศนคติของกลุ่มเป้าหมาย ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินชีวิตของคนเมืองต่อปัจจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท หรือองค์กร จนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นบริษัท           ที่เข้าหลักเกณฑ์ของการเป็น  Thailand's Most Admired Company  ประจำปี 2024-2025 ซึ่งมีปัจจัยเหลักที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของการประมวลผลในครั้งนี้ ประกอบด้วย ความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovation) ความสามารถในการดำเนินธุรกิจ (Business Performance) ภาพลักษณ์ (Corporate Image) การบริหารการจัดการ (Management) ความรับผิดชอบต่อสังคม (Sustainable Development) การบริการ (Excellence Service) นางปวิตา เน้นย้ำด้วยว่า นอกจากปัจจัยหลักทั้ง 6 ประการแล้ว องค์กรนั้นๆ จะต้องสะท้อนให้เห็นถึง "ความสามารถ" และ "ความเชื่อถือ" ของแบรนด์ โดยรางวัลดังกล่าวนี้ จะส่งผลทำให้องค์กรมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

BGRIM ลงนาม วิศวะฯ ม.ข. ร่วมมือทางวิชาการ

BGRIM ลงนาม วิศวะฯ ม.ข. ร่วมมือทางวิชาการ

          หุ้นวิชั่น - เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)  ได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.รัชพล สันติวรากร คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ศาสตราจารย์วนิดา แก่นอากาศ รองคณบดีฝ่ายวิจัย นวัตกรรมและการต่างประเทศ พร้อมด้วยผู้บริหารของคณะฯ ร่วมให้การต้อนรับคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ จาก บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ โดยมี คุณดอน ทยาทาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ คุณต่อชัย สุภัทรวณิชย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่  ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 8 ตึกเพียรวิจิตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น           รศ.ดร.รัชพล  สันติวรากร คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมต่าง ๆ ที่มีในปัจจุบันและในอนาคตและร่วมกันส่งเสริม และเพื่อสนับสนุนพัฒนาบุคลากรให้มีองค์ความรู้และทักษะด้านการวิจัยของทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารคณะวิศวกรรมศาสตร์ แผนยุทธศาสตร์ที่ 2 Innovation และ แผนยุทธศาสตร์ที่ 5 Industry และเป็นไปตามหนึ่งในพันธกิจอันสำคัญของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อันได้แก่ การวิจัยและสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและสากล และเป็นการบริการวิชาการให้แก่องค์กรเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยและสร้างคุณค่าร่วมกับสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจากพันธกิจดังกล่าวนี้ จะทำให้คณะฯ ก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ที่ได้ตั้งไว้ในการจะเป็น “คณะวิศวกรรมศาสตร์ระดับโลกสำหรับทุกคน” จึงต้องขอขอบคุณ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ในความร่วมมือกันในครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความมุ่งมั่นของทั้ง 2 หน่วยงาน จะทำให้การลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้           คุณดอน  ทยาทาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า บี.กริม เพาเวอร์ มีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมจัดทำ MOU ในการดำเนินงานด้านพลังงานหมุนเวียนและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย ในด้านการศึกษาและการวิจัย           บี.กริม ได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 147 ปี โดยปัจจุบัน หนึ่งในธุรกิจหลักคือด้านพลังงาน ซึ่งประกอบด้วย โรงไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรม (Industrial), Hydro, Solar, Wind, Solar Floating และ Solar Rooftop ครอบคลุมกว่า 15 ประเทศ ทั่วโลก ด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 4,000 เมกะวัตต์ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะขยายกำลังการผลิตเป็น 10,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 และมุ่งสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593 ผ่านการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน           ด้วยศักยภาพด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผนวกกับประสบการณ์ด้านพลังงานของ บี.กริม เพาเวอร์  ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญของทั้งสองหน่วยงาน ในการร่วมศึกษา วิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางด้านพลังงาน และถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อก้าวสู่อนาคตแห่งพลังงานสะอาดและการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน           ภายหลังเสร็จสิ้นพิธี ได้มีการเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน โดยมี ศาสตราจารย์ธิดารัตน์  บุญมาศ รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและวิสาหกิจ และ รองศาสตราจารย์นงลักษณ์  มีทอง ผู้อำนวยการโรงงานฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ของโรงงานฯ ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายพิเศษ ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่ง [PR News]

ดีมานด์ไฟฟ้าพุ่งเอกชนโต15%  ชีวมวล-โซลาร์ยังครองตลาด

ดีมานด์ไฟฟ้าพุ่งเอกชนโต15% ชีวมวล-โซลาร์ยังครองตลาด

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch)ระบุถึงในปี 2568 ความต้องการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยปริมาณไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขายให้ภาครัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 23,555 GWh และภาคเอกชนคาดว่าจะอยู่ที่ 4,177 GWh เพิ่มขึ้น 2% และ 15% ตามลำดับไฟฟ้าชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเป็นไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนหลักที่จำหน่าย โดยในปี 2568 คิดเป็นสัดส่วนรวมกันราว 78% ของการจำหน่ายให้ภาครัฐ และ 96% ของการจำหน่ายให้ภาคเอกชน           รายได้จากการขายไฟฟ้าชีวมวลมีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการของภาครัฐและเอกชน ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.9% และ 6.5% ตามลำดับ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นก็มีแนวโน้มขยายตัวจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง ตามปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสำหรับไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ รายได้ต่อหน่วยจากการขายไฟให้ภาครัฐจะขึ้นอยู่กับราคารับซื้อที่ภาครัฐกำหนด ณ ปีที่เริ่มทำสัญญาซื้อขาย ซึ่งมีการปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นสำหรับโครงการที่จะเริ่มดำเนินการซื้อขายในปี 2568 คาดว่าจะยังคงอยู่ที่ราว 30% ในขณะที่ตลาดภาคเอกชน รายได้มีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากถึง 41% นอกจากนี้ ต้นทุนของผู้ให้บริการก็มีแนวโน้มลดลง

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าต่อหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าต้องการขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศ (universal tariffs) มากกว่า 2.5% ต่อเดือน ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable goods orders) ของสหรัฐฯ ออกมาที่ -2.2% ต่ำกว่าที่ตลาดคาด แต่ Core capital goods ออกมาที่ 0.5% สูงกว่าคาด เงินเยนกลับมาอ่อนค่าลงจากความเสี่ยงเรื่อง Tariffs เพราะนักลงทุนมองว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กังวลต่อนโยบายสหรัฐฯ ทำให้อาจกระทบการขึ้นดอกเบี้ย

ราคาทองเช้าวันนี้ ดีด 100 บ. ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 44,650 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ ดีด 100 บ. ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 44,650 บ.

หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 29 มกราคม 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 100 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 44,050.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 44,150.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 43,251.48 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 44,650.00 บาท

[ภาพข่าว] ตลท. ขึ้นแท่น 1 ใน 50 องค์กร  คนรุ่นใหม่อยากร่วมงาน

[ภาพข่าว] ตลท. ขึ้นแท่น 1 ใน 50 องค์กร คนรุ่นใหม่อยากร่วมงาน

           จิตติยา ธรรมสรณ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้าสายงานทรัพยากรบุคคลและพัฒนาองค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รับรางวัล Top 50 Companies in Thailand 2025 โดย Work Venture ที่ปรึกษาและผู้นำด้านการสร้างแบรนด์นายจ้างให้แก่องค์กรชั้นนำของประเทศไทย ที่ได้รวบรวมผลสำรวจคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กว่า 10,000 คน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 50 องค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด เป็นปีแรก            ความสำเร็จนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เน้นการพัฒนาและดูแลพนักงานให้มีความเป็นอยู่ที่ดี สนับสนุนการทำงานของพนักงาน ซึ่งสอดคล้องแผนกลยุทธ์สำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ “สรรสร้างคนและอนาคต (Groom People & Our Future)” ในการเตรียมพร้อมคน ปรับวิถีงาน ตอบโจทย์อนาคต

บรูอิ้งแฮปปี้เนส บ.ย่อย JMART รุกตลาดกาแฟพรีเมียม  “xBloom”

บรูอิ้งแฮปปี้เนส บ.ย่อย JMART รุกตลาดกาแฟพรีเมียม  “xBloom”

          หุ้นวิชั่น - ในปี 2025 โลกกำลังจะเข้าสู่ยุคของ Convenience Automation Drip Coffee หรือยุคที่ทุกๆ คนสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยทำกาแฟสด (Specialty Coffee) ที่สมบูรณ์แบบได้เองแบบง่ายๆ ที่บ้านได้ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงกาแฟที่มีคุณภาพมากขึ้นได้ทุกวันที่บ้าน จะเห็นได้จากหลายๆแบรนด์กาแฟใหญ่ทั่วโลกต่างมีนวัตกรรมเครื่องอัตโนมัติต่างๆ ซึ่ง xBloom เป็นแบรนด์ที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างให้การยอมรับสูงที่สุดในปี 2024           นายเอกชัย สุขุมวิทยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (JMART) เปิดเผยว่า บริษัท บรูอิ้งแฮปปี้เนส จำกัด (Brewing Happiness) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม ดำเนินธุรกิจร้านกาแฟ Specialty Coffee ภายใต้แบรนด์ CASA LAPIN มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดจำหน่ายเพียงเจ้าเดียว (Exclusive Distributor) ในประเทศไทยให้แก่ xBloom แบรนด์เครื่องชงกาแฟชั้นนำจากประเทศสหรัฐฯ โดย xBloom ได้รับการยอมรับในระดับโลกด้านเทคโนโลยีเครื่องชงกาแฟที่มีดีไซน์ทันสมัย สะดวก และ เรียบง่าย มีความโดดเด่นด้วยระบบอัตโนมัติที่ออกแบบมาอย่างครบทุกมิติ เพื่อรสชาติกาแฟที่ดีที่สุด สามารถบดกาแฟ ชงกาแฟ และชั่งน้ำหนักได้ภายในเครื่องเดียว นอกจากนี้ ยังได้เตรียมเปิดตัว xBloom Experience Store แห่งแรกใจกลางกรุงเทพฯ ที่ Central World ในเดือนมีนาคมนี้ ส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมของเครื่องชงกาแฟ ให้ลูกค้าสัมผัสอย่างใกล้ชิด           นับเป็นก้าวสำคัญของการขยายธุรกิจของ บรูอิ้งแฮปปี้เนส ที่ก้าวนำเข้าสู่ยุค Convenience Automation Drip Coffee เจ้าแรกในไทย สอดรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกในการบริโภคเครื่องดื่ม รุกตลาดกาแฟสดในบ้านที่ต้องการคุณภาพที่ดีขึ้นและง่ายขึ้น ทำให้ชีวิตดีขึ้นจากเดิม           การจับมือกับ xBloom แบรนด์เครื่องดริปกาแฟรูปแบบใหม่ จึงนับเป็นการประกาศแผนบุกตลาดกาแฟในบ้านอย่างเข้มข้นในปี 2568 อีกทางหนึ่ง คือการต่อยอดความสำเร็จของร้าน CASA LAPIN ที่มีคอนเซ็ปต์ความเป็น Specialty Coffee และการมุ่งเน้น ‘Brewing Happiness’ คือ การชงความสุข ลูกค้าได้อะไรที่มากกว่าการดื่มกาแฟ สามารถเจาะตลาดคอกาแฟสดพรีเมียมที่ลูกค้าสามารถดื่มด่ำในการชงกาแฟที่บ้านและสามารถเติบโตไปพร้อมกับภาพรวมตลาดกาแฟไทย โดยในปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ลูกค้าที่สนใจสามารถเยี่ยมชมเครื่อง xBloom ได้ที่สาขาของ CASA Lapin ทุกสาขา และพาร์ทเนอร์ที่ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เพื่อทดสอบประสบการณ์ดื่มกาแฟดริปแบบพรีเมียมได้ด้วยตัวเองที่บ้าน หรือที่ ทำงาน หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fan Page: https://www.facebook.com/xblooomthailand/ [PR News]

ภาวะ SET ซื้อขายบาง โบรกคัดหุ้นเด่น BEM - IVL - PLANB

ภาวะ SET ซื้อขายบาง โบรกคัดหุ้นเด่น BEM - IVL - PLANB

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า TECH WAR ส่งผลถึงตลาดการเงิน กระแสการตอบรับที่ดีของ DEEPSEEK AI ASSISTANT ของนักพัฒนาจีน ซึ่งใช้ทรัพยากรในการพัฒนาที่ต่ำกว่ามากทั้งในมุมของเม็ดเงิน และ เวลาเมื่อเทียบกับ AI ของค่ายยักษ์ใหญ่อย่างเช่น CHAT GPT สร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้น TECH ขนาดใหญ่ในสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ และ ก็สร้างแรงกดดันต่อหุ้น DELTA และ CCET ในบ้านเราตามไปด้วย คาดกระแสกดดันยังอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง มีผลทำให้ SET INDEX ผันผวน ส่วนปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานวันนี้เป็นเรื่องความหวังที่จะเห็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยในสหรัฐหวังว่า FED อาจปรับลดดอกเบี้ยลงมากกว่า 1 ครั้ง สะท้อนผ่าน FED WATCH TOOL ขณะที่จีน ประกาศตัวเลข PMI ต่ำกว่าคาด ทำให้คาดหวังว่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนบ้านเรามีการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นต่อเนื่อง มูลค่าการซื้อขายที่บาง และปัจจัยแวดล้อมที่ยังไม่เห็นน้ำหนักทางบวกเข้ามาเสริม คาดว่าทำให้ SET INDEX ยังอยู่ในภาวะที่ผันผวน วันนี้คาด กรอบ 1335 – 1355 จุด TOP PICK เลือก BEM, IVLและ PLANB

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-33.95 บาท/ดอลลาร์

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-33.95 บาท/ดอลลาร์

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 75-33.95 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าเร็วจากภาวะ Risk-off หลังตลาดหุ้นโลกลงแรงนำโดยหุ้นกลุ่ม Tech และ semiconductor ส่วน US Treasury yields ลดลงเร็ว ขณะที่ค่าเงินเยนและสวิสฟรังค์ แข็งค่าขึ้น จากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย การเผยแพร่ AI model ต้นทุนต่ำของบริษัท DeepSeek ซึ่งเป็น Startup จีน ทำให้ตลาดกังวลว่าการลงทุนด้าน AI ที่ผ่านมาสูงไป ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าหลัง Scott Bessent สนับสนุนการขึ้น universal tariff อย่างค่อยเป็นค่อยไป

แนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมัน 27 - 31 ม.ค. 68

แนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมัน 27 - 31 ม.ค. 68

สถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 20 - 24 ม.ค. 68 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 27 - 31 ม.ค. 68 ตลาดน้ำมันกังวลปริมาณการผลิตอาจล้นตลาด หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศสนับสนุนการผลิตน้ำมันดิบในประเทศ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Donald Trump ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานระดับชาติในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 68 และลงนามในคำสั่งบริหารของประธานาธิบดี (Executive Order) ที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน กระตุ้นการขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯ ทั้งนี้ ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ สัปดาห์ล่าสุดวันที่ 10 ม.ค. 68 อยู่ที่ 48 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ นาย Trump ใช้คำสั่งบริหารของประธานาธิบดี (Executive Order) แก้ไขคำสั่งของนาย Joe Biden ประธานาธิบดีคนเก่า ในการเปิดพื้นที่ National Petroleum Reserve-Alaska ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอาร์กติก (Arctic National Wildlife Refuge) ในรัฐ Alaska เพื่อขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐฯ คาด National Petroleum Reserve-Alaska มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบอยู่ที่ 895 ล้านบาร์เรล Platts รายงานรัสเซียส่งออกน้ำมันดิบทางทะเลในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 ม.ค. 68 เพิ่มขึ้น 730,000 บาร์เรลต่อวัน จากสัปดาห์ก่อนหน้า อยู่ที่ 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ โดยปริมาณส่งออก 1.35 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไม่ระบุปลายทางผู้รับ ซึ่ง Platts คาดว่าส่วนใหญ่เป็นการส่งออกสู่จีนและอินเดีย แม้สหรัฐฯ เพิ่งคว่ำบาตรเรือบรรทุกน้ำมันรัสเซียคิดเป็นประมาณ 22% ของปริมาณการส่งออกน้ำมันทางทะเลของรัสเซียในปี 2567 Joint Organizations Data Initiative (JODI) รายงานซาอุดีอาระเบียส่งออกน้ำมันดิบในเดือน พ.ย. 67 เพิ่มขึ้น 4.7% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 6.21 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากโรงกลั่นในประเทศนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นลดลง 383,000 บาร์เรลต่อวัน จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 2.35 ล้านบาร์เรลต่อวัน ที่มา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

จับตา AI เร่งตัวทั่วโลก หุ้นไหนรับโชค เช็ก!

จับตา AI เร่งตัวทั่วโลก หุ้นไหนรับโชค เช็ก!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) กระแสข่าว AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า โดยรวมประเมินนำมาสู่โอกาสเห็นภาพ AI Adoption ทั่วโลกเร่งขึ้น แต่สร้างความเสี่ยงหุ้น Semiconductor โลกที่จำหน่ายชิปประมวลผลระดับสูงที่อาจมีผลกระทบต่อยอดขาย จึงน่าจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เกิดภาพชะลอลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินผลกระทบ 2 ส่วน 1.)กลุ่มชิ้นส่วนมองผลกระทบต่อผลประกอบการคาดจำกัด เพราะบริษัทชิ้นส่วนไทยไม่ได้มีสินค้าหรือรายได้ชิปประมวลผลสูง อาทิ กรณี DELTA เน้นจำหน่าย Power Supply ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะเห็นการชะลอลงทุน คือ 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจจะมีความกังวลการใช้ไฟฟ้าต่ำลงตามรูปแบบชิปประมวลผลสูงลดลง           อย่างไรก็ตาม ภาพบวกที่ AI Adoption จะเพิ่มขึ้นหนุนความต้องการโรงไฟฟ้าในท้ายที่สุดอยู่ดี กลยุทธ์รอตั้งรับเมื่อหุ้นอ่อนตัวรับความกังวล ขณะที่กลุ่มคาดได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มที่ผู้ใช้งาน AI ที่มีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนลดลง คาดนำมาสู่ปริมาณการใช้ข้อมูลในโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ในส่วนกลุ่มสื่อสาร เน้น ADVANC และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่ปริมาณงานที่ปรึกษาดิจิตอลจะเพิ่มขึ้นตาม AI Adoption เน้น BE8, BBIK

KSS คาด SET วันนี้“ลุ้นสร้างฐาน” ส่องต้าน 1355 จุด ชู MTC-CPALL-SCB เด่น

KSS คาด SET วันนี้“ลุ้นสร้างฐาน” ส่องต้าน 1355 จุด ชู MTC-CPALL-SCB เด่น

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “ลุ้นสร้างฐาน” ต้าน 1350/1355 จุด รับ 1335/1327 จุด ดัชนี S&P500 ปรับลง -1.46% กดดันหลัก จากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจากความกังวล AI Application จากประเทศจีน "Deepseek" ที่ทำงานได้ใกล้เคียงผู้นำตลาด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลสูง ทำให้ต้นทุนพัฒนาต่ำนำมาสู่แรงขายลดความเสี่ยงหุ้น Semiconductor ที่มี Valuation แพง ซึ่งอาจได้รับผลกระทบ และหุ้นกลุ่มที่เชื่อมโยง Data Center ที่ใช้ชิปประมวลผลระดับสูง NVIDIA (ผู้ให้บริการ Data Center+Ecosystem) ทำให้วันนี้น่าจะเกิดภาพชะลอลงทุนหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องใน SET อาทิ ชิ้นส่วน โรงไฟฟ้า อย่างไรก็ดีฝ่ายวิเคราะห์ประเมินพัฒนาการการดังกล่าวน่าจะช่วย AI Adoption ระดับ Mass Scale เร่งขึ้น ท้ายที่สุดคาดสร้างประโยชน์ทางบวกต่อหุ้นไทยที่เชื่อมโยง Ecosystem AI มากกว่าผลกระทบ ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวโยงส่วนดังกล่าว อาทิ หุ้น Domestic และที่มีปัจจัยบวก อาทิหุ้นอิงภาคบริการ หุ้นกลุ่มธนาคาร การเงิน (รัฐเตรียมแนวทาง Haircut หนี้ที่ค้างชำระเกิน 1 ปี) ผสาน หุ้นได้ประโยชน์ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง มีโอกาสฟื้นตัวจากจิตวิทยาลบ Market Sentiment วานนี้และเป็นกลุ่มนำตลาด วันนี้ MTC, CPALL, SCB เด่น

DSI ส่งสำนวนอัยการคดีหมอบุญ ฉ้อโกงประชาชนเสียหายกว่า 14,200 ลบ.

DSI ส่งสำนวนอัยการคดีหมอบุญ ฉ้อโกงประชาชนเสียหายกว่า 14,200 ลบ.

          ตามที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับโอนสำนวนการสอบสวนคดีอาญาจาก กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณี นายแพทย์บุญ (สงวนนามสกุล) กับพวก ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ           โดย กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมกันทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน จากผู้กล่าวหาและผู้เสียหาย จำนวนกว่า 605 ราย ปรากฏมูลค่าความเสียหาย 14,246,048,033 บาท และสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเข้าสู่สำนวนแล้ว จำนวน 13 ราย           หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มกราคมที่ผ่านมาคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษในคดีดังกล่าวได้มีการประชุมและมีมติเห็นควรเสนอให้พนักงานอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาจำนวน 16 ราย ในความผิดฐาน“ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนตามพระราชกำหนด การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติมและร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา”           ล่าสุดวันนี้ (วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568) พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ/หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ เลขานุการคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 136/2567 นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว จำนวน 342 แฟ้ม รวมเอกสารกว่า 130,000 แผ่น พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้อง นายแพทย์บุญ (สงวนนามสกุล) กับพวก รวม 16 ราย ซึ่งถูกจับกุมแล้ว จำนวน 13 ราย (อีก 3 รายหลบหนีอยู่ระหว่างติดตามตัวรวมทั้งนายแพทย์บุญฯ ด้วย) ไปส่งมอบให้แก่พนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานคดีพิเศษเพื่อให้พนักงานอัยการมีความเห็นทางคดีต่อไป           ทั้งนี้ การดำเนินการสอบสวนคดีพิเศษให้มีความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม เป็นนโยบายหลักประการสำคัญของ พันตำรวจตรี ยุทธนา  แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการสอบสวนคดีพิเศษและให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธา ของสังคมในการป้องกันปราบปรามสืบสวนสอบสวนคดีในความรับผิดชอบ เพื่อให้การบริหารองค์การมีความยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลต่อไป