หุ้น mai


[Gossip] SVR กำเงิน 91 ล้านบาท ชำระหุ้นกู้ก่อนกำหนด

[Gossip] SVR กำเงิน 91 ล้านบาท ชำระหุ้นกู้ก่อนกำหนด

         หุ้นวิชั่น - เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้นำอสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่ทิ้งไลน์ความเก๋าจริงๆ สำหรับ บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท หรือ SVR เพราะล่าสุด แม่ทัพใหญ่ “รณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์” ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส กำเงิน จำนวน 91 ล้านบาท ไปชำระคืนหุ้นกู้ก่อนกำหนด  รุ่น “SVR253A” ครั้งที่ 1/2566 ชุดที่ 1 ตามนัดวันนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญการชำระหนี้ในครั้งนี้ยังเป็นการลดภาระดอกเบี้ย รวมถึงสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯ ที่ต่ำแล้วให้ลดลงเข้ามาไปอีก          แค่นั้นยังไม่พอ ยังแอบกระซิบอีกว่า สำหรับหุ้นกู้รุ่น 2 ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนครั้งต่อไปในช่วงสิ้นปี 2568 นี้ ตอนนี้บริษัทฯ ซุ่มวางแผนทางการเงิน  เพื่อเตรียมชำระในครั้งต่อไปไว้แล้ว          เอาเป็นว่าเหล่าบรรดา FC สบายใจได้หายห่วง  แบบนี้สินะที่เค้าเรียกว่าผู้นำดี มีชัยไปกว่าครึ่ง มิหนำซ้ำยิ่งถ้าบริษัทฯ มีศักยภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินได้ดี มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะสะท้อนภาพลักษณ์ เชิงบวกให้กับองค์กร และ นักลงทุน ได้เห็นอย่างแน่นอน

[Gossip] MAGURO คุมต้นทุนหนุนกำไรขั้นต้น งบปี 67 คาดมาตามนัด

[Gossip] MAGURO คุมต้นทุนหนุนกำไรขั้นต้น งบปี 67 คาดมาตามนัด

          หุ้นวิชั่น - สำเร็จตามโรดแมพทุกไตรมาส สำหรับ บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO งานนี้ บิ๊กบอสอย่าง “คุณจักรกฤติ สายสมบูรณ์” เป็นปลื้ม เพราะตั้งแต่ต้นปีมีแต่ข่าวดี มั่นใจแนวโน้มงบประมาณ ปี 2567 สดใสตามเป้าหมาย นอกจากนี้ด้านราคาต้นทุนของวัตถุดิบหลัก สำหรับสินค้าเมนูเรือธง อย่าง เนื้อปลาแชลมอนราคาค่อนข้างคงที่ ซึ่งถูกกว่าช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ในขณะที่เนื้อวากิวราคาต้นทุนลดลง ประมาณ 10 -15 % แต่คุณภาพพรีเมียมเท่าเดิม ทำราคาได้ดีตั้งแต่ต้นปี คาดว่าปีนี้รายได้เติบโตแข็งแกร่ง ทะลุเป้า เตรียมขยายกิจการเปิดสาขาเพิ่มอีกรัวๆ พร้อมแผนเพิ่มยอดขายร้านเดิม (SSSG) ในทุกๆ แบรนด์ และยังมีแผนจะเปิดตัวร้านอาหาร 2 แบรนด์ใหม่ในปีนี้อีกด้วย           ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือรวมทั้งหมด 38 ร้านจาก 5 แบรนด์ คือ แบรนด์ MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิระดับพรีเมียม 18 ร้าน แบรนด์ SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่าง สไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม 6 ร้าน แบรนด์ HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 10 ร้าน และร้าน HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิม ในรูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course สาขาแรกที่เอกมัย 12 แบรนด์ TONKATSU AOKI ร้านหมูทอด สาขาแรก ณ เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 3 และแบรนด์ CouCou ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก สาขาแรกที่ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม

KLINIQ ความสวยเป็นเหตุ คาดกำไรทุบสถิติ!

KLINIQ ความสวยเป็นเหตุ คาดกำไรทุบสถิติ!

         หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ประเมินหุ้น KLINIQ (ซื้อ/ปรับเป้าลงเป็น 34.00 บาท) กำไร 4Q24E เดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่          ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายเป็นปี 2025E ที่ 34.00 บาท อิง 2025E PER20.0x (เดิม 38.00 บาท อิง 2024E PER 27.0x) ฝ่ายวิจัย derate PER ลงเพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศที่ช้ากว่าคาด          ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิ 4Q24E ที่ 94 ล้านบาท (+20% YoY, +27% QoQ) สูงกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ เดิมจาก SSSG ที่ดีกว่าคาด จาก 1) รายได้รวมขยายตัว +27% YoY จาก SSSG +13% และการขยายสาขา โดยใน 4Q24 มีสาขาทั้งหมด 72 สาขา (4Q23 = 55 สาขา, 3Q24 = 69 สาขา), 2) GPM ทรงตัว YoY ด้านกำไรโต QoQ จาก GPM ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากสาขาที่เปิดใน 1H24 พลิกกลับมามีกำไรรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ขึ้น +3% สะท้อนกำไร 4Q24E ที่ดีกว่าคาด          แต่ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ลง -3% เพื่อสะท้อนกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยประเมินกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 317 ล้านบาท (+10% YoY) และ ปี 2025E ที่ 375 ล้านบาท ( + 18% YoY)          ราคาหุ้น underperform SET -6% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบัน KLINIQ เทรดอยู่ที่ PER 15.0x ฝ่ายวิจัยชอบ KLINIQ จาก 1) จำนวนสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และ 2) valuation น่าสนใจ ยังไม่สะท้อนกำไรปี 2024E-25E ที่เติบโตสูงสุดใหม่

[Vision Exclusive] WARRIX

[Vision Exclusive] WARRIX "เสื้อโปโล" ฮอต! ยอดอินเตอร์โตแรง 125%

          หุ้นวิชั่น - WARRIX เจาะฐานองค์กร "เสื้อโปโล" ยอดขายโตสนั่น ใส่เกียร์ชิงมาร์เก็ตแชร์เพิ่ม บอสใหญ่ "วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล" ปักธงตลาดต่างแดน จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เร่งเครื่องดันทำเงิน ชี้ยอดขาย 9 เดือนปี 67 อินเตอร์ทะยาน 125% พร้อมตั้งเป้าดันสัดส่วนเป็น 2 หลักใน 2 ปีข้างหน้า จัดทัพลุยตลาดไลฟ์สไตล์ชิงยอด           นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 โดยเน้นการเติบโตในกลุ่มตลาดเดิมและสินค้าเดิม โดยเฉพาะในหมวดสุขภาพและกีฬา ซึ่ง "เสื้อโปโล" ถือเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัท โดยมียอดขายประมาณ 50% ของยอดขายรวมของ WARRIX นอกจากนี้ กลุ่มเสื้อโปโลยังมีอัตราการเติบโตสูงในกลุ่มลูกค้า Project หรือองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงเสื้อกีฬา และการที่รัฐเชิญชวนให้สวมใส่เสื้อเหลืองตราสัญลักษณ์ฯ งานฟุตบอลสัมพันธ์จุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ 2024 ปัจจัยดังกล่าวช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาด (Market Share) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มนี้           นอกจากการเติบโตในตลาดเดิมแล้ว WARRIX ยังมองหาโอกาสในการเติบโตร่วมกับพันธมิตรใหม่ ๆ และการใช้รูปแบบธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การขยายช่องทางขายผ่าน TikTok Live โดยบริษัทได้เปิด "Tiktok Academy" เพื่อปรับโมเดลและช่องทางการขายที่ตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2568           สัดส่วนยอดขายสินค้าในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 ของ WARRIX โดยมีรายละเอียดดังนี้กลุ่ม Project Based 25% Traditional Trade 27% Online 19% Modern Trade 11% Shop 8% Inter Sale 5% Physical Clinic 1% Retail 3% และ Others 1%           สำหรับการเติบโตของแต่ละช่องทางในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่า Traditional Trade เติบโตสูงถึง 47%, Modern Trade ขยายตัว 24%, Inter Sale เพิ่มขึ้นถึง 125%, Online เติบโต 67%, Retail โต 37%, Shop ขยายตัว 70%, Project Based โต 14%, Physical Clinic ขยายตัว 13% และ Others โต 67%.           กลยุทธ์ในปี 2568 โดยมุ่งมั่นในการสร้างแบรนด์ให้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท พร้อมทั้งเดินหน้าขยายช่องทางการจำหน่ายให้เพิ่มขึ้น ทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ ด้วยการปรับตัวและพัฒนาโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล           นายวิศัลย์ กล่าวต่อว่า กลยุทธ์สำคัญในการขยายตลาดต่างประเทศ โดยล่าสุดได้เซ็นสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายในกลุ่ม Inter Sale ให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายอยู่ใน 3 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และจีน           โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 กลุ่ม Inter Sale เติบโตสูงถึง 125% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้จะมีสัดส่วนรายได้เพียง 5% แต่บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายจาก Inter Sale ให้เป็น 2 หลักในอีก 1-2 ปีข้างหน้า           บริษัทเตรียมขยายกลุ่มสินค้าเข้าสู่ตลาดเสื้อผ้าไลฟ์สไตล์มากขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถตอบสนองต่อการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดและส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์และขยายฐานลูกค้าใหม่ ด้านแผนการลงทุนร่วมกับ Synergic พาร์ทเนอร์ บริษัทมีแผนการลงทุนอยู่แล้ว โดยการลงทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มจุดขายและขยายช่องทางการกระจายสินค้า โดยคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มยอดขายของบริษัท อย่างไรก็ตาม รายละเอียดและขั้นตอนต่างๆ รวมถึงกระบวนการการพิจารณาและอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทจะต้องรอการพิจารณาในขั้นตอนต่อไป รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

IND คว้างานติดตั้ง Internal floating Roof จาก BAFS มูลค่า 22 ล.

IND คว้างานติดตั้ง Internal floating Roof จาก BAFS มูลค่า 22 ล.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายรัฐวิชญ์ ณ ลําพูน เลขานุการบริษัทบริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ IND แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้ลงนามสัญญาโครงการติดตั้ง Internal floating Roof (IFR) สําหรับถังเก็บนํ้ามันเชื้อเพลิงอากาศยาน (T-2305) ขนาดความจุ 15,000 ลูกบาศก์เมตร พร้อมอุปกรณ์ระบบที่เกี่ยวข้อง จํานวน 1 ถัง ณ สถานีบริการจัดเก็บนํ้ามัน สุวรรณภูมิ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ผู้ว่าจ้าง : บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) (BAFS) วันที่ลงนาม : 4 กุมภาพันธ์ 2568 มูลค่าสัญญาประมาณ : 22,256,000.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาดําเนินการ : 11 เดือน

BBIK ฮอตสุดในกลุ่ม โบรกเคาะเป้าหมาย 47 บาท แนะ

BBIK ฮอตสุดในกลุ่ม โบรกเคาะเป้าหมาย 47 บาท แนะ"ซื้อ"

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง BBIK ว่า คาดรายได้ทำสถิติใหม่อีกครั้ง           ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรหลักใน 4Q24F ของ BBIK จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 103 ล้านบาท (+32% YoY, +17% QoQ) โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยฤดูกาล ประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น และการฟื้นตัวของความต้องการด้านการให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยี ส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปีอาจสูงกว่าประมาณการเดิมของเรา 8% และอาจดีกว่าคาดในปี 2025 เช่นกัน เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 47 บาท BBIK ยังคงเป็นหุ้น Top Pick เนื่องจากคาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มในปี 2024 และ 2025 คาดกำไร 4Q24 เป็นสถิติใหม่           คาดว่ารายได้กลุ่มจะเพิ่มขึ้น 12% YoY และ 7% QoQ สู่ระดับ 415 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากฤดูกาลที่มีความต้องการสูง GPM คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 50.8% จากการจัดการต้นทุน หากไม่รวมปัจจัยดังกล่าว GPM ยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากประสิทธิภาพต้นทุนที่ดีขึ้นและ economy of scale รายได้จากบริษัทร่วมคาดว่าจะยังคงสูงที่ 22 ล้านบาท ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรสุทธิจะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 103 ล้านบาทใน 4Q24 (+32% YoY, +17% QoQ) และผลักดันให้กำไรสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 302 ล้านบาท (+8% YoY) ซึ่งสูงกว่าประมาณการเดิมที่ 280 ล้านบาท (+8%) ยังมี Upside risk ในปี 2025           บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปีนี้ที่ 20-30% โดยได้รับแรงหนุนจากโครงการใหม่ๆ และความต้องการด้าน AI, Cloud, Cybersecurity และบริการพัฒนาแอปพลิเคชัน งานภาครัฐจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการเติบโตที่สำคัญ โดยมีสัดส่วนรายได้ของกลุ่มต่ำกว่า 10% ในปี 2024 แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10-15% ในปีนี้ เนื่องจากบริษัทเพิ่งได้รับโครงการใหม่ภายใต้โครงการ Digital Wallet ซึ่งเป็นก้าวแรกในการเข้าถึงโครงการภาครัฐมากขึ้น คงประมาณการกำไรสุทธิในปี 2025F ที่ 336 ล้านบาท (+20% YoY) และมี Upside risk ทำให้ปีนี้จะเป็นอีกปีที่ดีสำหรับ BBIK โดยได้รับแรงหนุนจาก (1) การเข้าซื้อหุ้น Innoviz ที่เหลืออีก 15% (ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 85%) และ (2) Backlog ที่แข็งแกร่งและความต้องการอย่างต่อเนื่องในการเพิ่ม/ปรับปรุง/อัพเกรดเทคโนโลยีในองค์กรต่างๆ คงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 47 บาท           BBIK เป็นบริษัทเพียงแห่งเดียวในกลุ่มที่คาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรในปี 2024 และคาดว่าจะมีกำไรที่แข็งแกร่งในปีนี้ ความต้องการเทคโนโลยีในทุกองค์กรยังคงมีอย่างต่อเนื่อง BBIK ยังคงเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มเทคโนโลยี ราคาเป้าหมายของเราอยู่ที่ 47 บาท โดยอิงจาก P/E ที่ 28 เท่า (+0.5SD ของค่าเฉลี่ย) ฝ่ายวิเคราะห์คงความเห็นว่ากลุ่มเทคโนโลยี (บริการให้คำปรึกษา) ควรซื้อขายที่ระดับ P/E 20-30 เท่า เนื่องจากมีแนวโน้มระยะยาวที่แข็งแกร่ง มูลค่าปัจจุบันยังได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งซื้อขายที่ระดับ 25-35 เท่า

“โกลเบล็ก” ถอดสูตรลงทุนเดือนกุมภาพันธ์  คัดหุ้น 2 ธีมน่าลงทุน “รับอานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง”

“โกลเบล็ก” ถอดสูตรลงทุนเดือนกุมภาพันธ์ คัดหุ้น 2 ธีมน่าลงทุน “รับอานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง”

          หุ้นวิชั่น - บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยเดือน ก.พ. แกว่งตัว Sideway Down จากแรงกดดันนโยบายทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับสหภาพยุโรป (EU) ประกอบกับนักลงทุนเฝ้าติดตามการรายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2567 ของบริษัทจดทะเบียน จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี 1,250-1,320 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น 2 ธีมเด่นได้อานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง             นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ว่าดัชนี SET แกว่งตัวในลักษณะ Sideway Down โดยมีแรงกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยืนยันเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับสหภาพยุโรป (EU) "อย่างแน่นอน" ตอกย้ำความไม่พอใจเกี่ยวกับการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับ EU รวมไปถึงการที่เขามองว่า EU นำเข้ารถยนต์และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ น้อยเกินไป พร้อมทั้งเตือนไปยังประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ว่าอย่าคิดเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินอื่นแทนดอลลาร์สหรัฐ ถ้าไม่อยากถูกเก็บภาษีนำเข้า 100% และอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการควบคุมเพิ่มเติมในการขายชิปของอินวิเดีย (Nvidia) ให้กับจีน โดยระบุว่าการหารือยังอยู่ในขั้นต้น           ล่าสุดทางประเทศต่างๆ มีท่าทีว่าจะออกมาตรการเพื่อตอบโต้ โดยนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดาประกาศว่าจะตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯในอัตรา 25% ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องดื่มจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่เม็กซิโกประกาศว่าจะตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน ส่วนรัฐบาลจีนประกาศว่าจะยื่นคำร้องต่อ WTO เพื่อคัดค้านมาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ ซึ่งต้องจับตาใกล้ชิดว่าจะมีการลดหย่อนผ่อนปรนหรือไม่ อย่างไร           ประกอบกับนักลงทุนยังติดตามการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แม้ว่าทาง สศค.จะมีการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้ถึง 3.5% จากกรอบ 2.5 - 3.5% และมีค่ากลางเฉลี่ย 3% ได้รับปัจจัยบวกจากการบริโภคภาคเอกชน, การส่งออก, การท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐและเอกชน ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2567 โต 2.5% ขณะที่ภาระหนี้สินของ SME ไตรมาส 4/2567 มีสัดส่วนทรงตัวที่ 65% ชี้ให้เห็นถึงปัญหากำลังซื้อต่ำและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน และการแข่งขันสูงกระทบผู้ประกอบการ ดังนั้น ฝ่ายวิจัยคาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,250-1,320 จุด           สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนที่จับตาในประเทศ อาทิ สัปดาห์ที่ 2 หอการค้าไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน, ตลท. แถลงสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์, สัปดาห์ที่ 3 ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม, ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์, วันที่ 17 ก.พ. สภาพัฒน์ แถลง GDP ไตรมาส 4/67, สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ, สศอ.แถลงดัชนีอุตสาหกรรม, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, วันที่ 26 ก.พ. กำหนดประชุม กนง. ครั้งที่ 1/2568, วันที่ 28 ก.พ. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย           ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตา ได้แก่ สหรัฐ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อทั้ง 3 รายการได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งล้วนมีผลกับการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ           ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ  เช่น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy-E receipt ได้แก่ CRC, COM7, ERW, CENTEL, MINT, M, AU, TNP, SIS, SYNEX, IP และ HL รวมทั้งหุ้นปันผลสูง ได้แก่ SCB, TISCO, LH, RATCH และEGCO           ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาทองคำ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ว่า ราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากปัจจัยทางเทคนิค ขณะที่ความกังวลสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น หลังสหรัฐเริ่มใช้นโยบายการตั้งกำแพงภาษี ทำให้ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ประกอบกับประธานเฟดส่งสัญญาณไม่รีบร้อนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ           นอกจากนี้ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มชะลอลง หลังอิสราเอลและกลุ่มฮามาส สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา ทำให้ทองคำถูกลดความต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย มองกรอบทองคำเดือนนี้ 2,700 – 2,850 $/Oz แนะนำขายทำกำไรที่แนวต้าน เนื่องจากปรับตัวขึ้น 4%YTD

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

SECURE คาดปีนี้ กำไรพุ่ง 30%  Virtual Banking หนุน โบรกแนะซื้อเป้า 20.40 บ.

SECURE คาดปีนี้ กำไรพุ่ง 30% Virtual Banking หนุน โบรกแนะซื้อเป้า 20.40 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุ Nforce Secure (SECURE) Cybersecurity PER25 9x ... กำไรโตระเบิด           คาดกำไรปกติ 4Q67 เติบโต 41% QoQ และ 31% YoY คาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ 39 ล้านบาท (+41% QoQ, +31% YoY) กำไรปกติที่เติบโตเด่น QoQ และ YoY มาจากรายได้หลักที่เติบโต           สรุปสาระสำคัญดังนี้ รายได้หลักคาดที่ 360 ล้านบาท (+37% QoQ, +12% YoY) รายได้ที่เติบโตเด่นหนุนจากงานต่อเนื่องของลูกค้าเดิม การฟื้นตัวของกลุ่มงานภาครัฐ และการได้โครงการขนาดใหญ่ในกลุ่มสื่อสารใน 4Q67 อัตรากำไรขั้นต้นคาดที่ 20.0% (+24bps QoQ, +9bps YoY) กำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากการได้ economies of scale SG&A คาดที่ 25 ล้านบาท (+0% QoQ, -7% YoY)           หากกำไรออกมาตามคาด กำไร 4Q67 จะเป็นระดับสูงสุดของปี 2567 และเป็นอีกไตรมาสที่ SECURE ทำกำไรรายไตรมาสสูงที่สุดในรอบ 4 ปีหลังสุด           เราคาดเงินปันผล 2H67 ที่ 0.34 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Yield เฉพาะเงินปันผลครึ่งหลังที่ 3% SECURE จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 27 ก.พ. 2567 คงประมาณการปี 2568           หากกำไรออกมาตามคาด กำไรปกติทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ 116 ล้านบาท (+30% YoY) เทียบกับคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 ของเราที่ 107 ล้านบาท (+20% YoY)           ขณะที่ปี 2568 เราคาดว่าจะเป็นปีที่เด่นอีกปีของงานด้าน Cybersecurity การเข้าสู่ตลาดของ Data Center ขนาดใหญ่จำนวนมาก การปรับตัวเป็น Digital ความจำเป็นต้องรับมือกับ Cyber Attack และการเริ่มเติบโตของตลาด AI ในประเทศไทย ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตของตลาด Cybersecurity           นอกจากนี้ ปี 2568 ยังมีโอกาสที่งานกลุ่ม Virtual Banking จะเข้าสู่ตลาดเพิ่มเติมกว่างานปกติ เราคงประมาณการปี 2025 กำไรปกติที่ระดับ 128 ล้านบาท (+19% YoY) หรือคิดเป็น EPS25 ที่ 1.24 บาทต่อหุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 20.40 บาทต่อหุ้น           เราปรับลด Multiple ลงเป็น -1.0SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง เพื่อให้สะท้อนความผันผวนของตลาดทุนที่สูงขึ้น เราปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 แทนปี 2567 ที่ 20.40 บาทต่อหุ้น อิง PER 16.5x           เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 ที่ 9x หุ้นถูกมากเทียบกับศักยภาพการเติบโตที่ทำให้เห็นอย่างต่อเนื่องในระดับ 20%-30% นอกจากนี้ ณ สิ้น 3Q24 SECURE มีเงินสดในมืออีก 4.65 บาทต่อหุ้น หรือ 42% ของมูลค่าตลาดในปัจจุบัน           ราคาหุ้นปัจจุบันถูกเกินไปมาก เราให้ SECURE เป็นหุ้นเด่นสำหรับเก็งกำไรผลประกอบการ 4Q24 ความเสี่ยงสำคัญ Chip Shortage กลับมารุนแรง ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงทั่วโลก สูญเสียบุคลากรสำคัญ

GFCเนรมิตรสาขาพระราม 9 ต่างชาติหนุนฐาน โบรกชี้เป้า 8.30 บ.

GFCเนรมิตรสาขาพระราม 9 ต่างชาติหนุนฐาน โบรกชี้เป้า 8.30 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง GFC ว่า ยังมองบวกต่อโอกาสเติบโตและ Valuation ที่น่าสนใจ          ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ "Buy" สำหรับ GFC เนื่องจากยังมองบวกต่อโอกาสเติบโตจากการให้บริการของสาขาพระราม 9 ตลอดปี และการขยายตลาดลูกค้าต่างชาติ โดยคาดว่าในระยะสั้น (4Q24F-1Q25F) ผลประกอบการอาจไม่เด่นนักจากความท้าทายฐานสูงในช่วง 4Q23-1Q24 ซึ่งมีอานิสงส์จากปีมังกร และมองว่าราคาหุ้นตอบรับปัจจัยนี้ไปแล้ว โดยราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PE ปี 25F เฉลี่ย 12.6 เท่า ซึ่งต่ำกว่า Forward PE ที่ -2.0SD ถือเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว ประเด็น เมื่อวานนี้ราคาหุ้น GFC ปรับตัวลงเกือบ -20% ทำนิวโลว์ที่ราคา 4.94 บาท ความเห็นและคำแนะนำ          ฝ่ายวิเคราะห์ได้ตรวจสอบกับบริษัทแล้วไม่พบปัจจัยลบใหม่ที่มีผลต่อปัจจัยพื้นฐานของ GFC อย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้บริหารมองบวกต่อโอกาสเติบโตในปีนี้ และตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตในอัตราเลข 2 หลัก (Double digit growth) จากการให้บริการสาขาใหม่ 2 แห่ง (สาขาอุบลฯ และสาขาพระราม 9) ที่ให้บริการเต็มปี และการขยายตลาดลูกค้าต่างชาติร่วมกับเอเจนซี่มากกว่า 1 ราย          ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเมื่อวานนี้ น่าจะมีสาเหตุจาก 1) ระยะสั้นไม่มีปัจจัยบวกใหม่ 2) คาดจำนวนรอบการเก็บไข่และฝั่งตัวอ่อนใน 4Q24F จะลดลงทั้งในระยะปีต่อปี (y-y) และไตรมาสต่อไตรมาส (q-q) และ 3) ใน 1Q25F จะมีความท้าทายจากฐานสูงใน 1Q24 ที่มีอานิสงส์บวกจากปีมังกร          คงมุมมองต่อปัจจัยพื้นฐานของ GFC ตามบทวิเคราะห์ล่าสุด (31 ม.ค. 25) คาดว่าใน 4Q24F กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 14 ล้านบาท (-39% y-y, -17% q-q) ลดลงจากปีที่ผ่านมา เนื่องจาก 1) คาดว่ารายได้จากการให้บริการจะลดลง (-15% y-y, -8% q-q) ตามจำนวนรอบการเก็บไข่/ฝั่งตัวอ่อนที่ลดลง 2) คาดค่าใช้จ่าย SG&A จะเพิ่มขึ้น (+10% y-y, +3% q-q) จากค่าใช้จ่ายในการตลาดและค่าใช้จ่ายพนักงานที่เปิดสาขาใหม่ 2 แห่ง          ในปี 25F คาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 87 ล้านบาท (+7% y-y) ซึ่งเติบโตจากรายได้การให้บริการ (+16% y-y) ที่เติบโตดีขึ้น โดยมีปัจจัยบวกจากการให้บริการสาขาพระราม 9 เต็มปี การปรับขึ้นค่าบริการ และการขยายตลาดลูกค้าต่างชาติ (ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้เพียง 1%) คงคำแนะนำ "Buy" สำหรับ GFC (TP 8.30 บาท)          โดยประเมินมูลค่าด้วยวิธี DCF ที่ WACC 8.7% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 3% เนื่องจาก 1) ยังมองบวกต่อโอกาสเติบโตจากการขยายสาขาและตลาดลูกค้าต่างชาติ          2) คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตเฉลี่ย +15% CAGR ในปี 25F-26F และจะจ่ายเงินปันผลที่ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 3-4% 3) มีโอกาสเกิด upside หากจำนวนลูกค้าต่างชาติที่ใช้บริการมากกว่าคาด (สมมุติฐานปี 25F สาขาพระราม 9 เริ่มมีรายได้จากลูกค้าต่างชาติใน 2H25F โดยมีจำนวนเคสเฉลี่ย 5 เคสต่อเดือน)          นอกจากนี้ ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเมื่อวานนี้ ทำให้ราคา PE ปี 25F ลดลงเหลือ 12.6 เท่า ซึ่งต่ำกว่า Forward PE ที่ -2.0SD ถือเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว

[Vision Exclusive] IND คุมงานกลับมาเด่น! โปรเจ็กต์รถไฟรางคู่จ่อ

[Vision Exclusive] IND คุมงานกลับมาเด่น! โปรเจ็กต์รถไฟรางคู่จ่อ

          หุ้นวิชั่น - IND ตุน Backlog แน่น 3 พันล้าน หนุนการเติบโตยาว 3 ปี เล็งสอยงานใหม่เข้าพอร์ต เกาะติดบิ๊กโปรเจ็กต์รถไฟรางคู่ 6 สายหลัก ดีดลูกคิดงานประมูลใหม่ปี 68 รวมพันล้านบาท คาดคว้างานได้สูง 60% ด้านแม่ทัพใหญ่ "พรลภัส ณ ลำพูน" ส่องรายได้ปี 68 โตที่ระดับ 15% หลังกลับสู่ภาวะปกติ จับตาผลงานเข้าสู่ช่วงไฮไลท์           ดร.พรลภัส ณ ลำพูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IND เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 2568 จะเป็นไปในทิศทางที่ดี และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะ 3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทได้รับงานใหม่สำคัญหลายโครงการ ล่าสุดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามสัญญากับการรถไฟฟ้าขนส่งแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในการเป็นที่ปรึกษาบริหารโครงการและควบคุมงานในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มูลค่า 1,413,726,200 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 70 เดือน           นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับโครงการออกแบบและก่อสร้างสถานีสูบถ่ายและเพิ่มแรงดันสระบุรี สำหรับโครงการส่วนต่อขยายระบบท่อขนส่งน้ำมันสายเหนือระยะที่ 3 สระบุรี-อ่างทอง จากบริษัท บาฟส์ขนส่งทางท่อ จำกัด ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป           Backlog ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาท และคาดว่าในปี 2568 ยอด Backlog จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการรับงานโครงการใหม่ โดยบริษัทตั้งเป้าเข้าประมูลงานใหม่รวมมูลค่าหลักพันล้านบาทในปี 2568 โดยโครงการที่บริษัทอยู่ระหว่างติดตามและคาดว่าจะเข้าประมูล ได้แก่ โครงการการรถไฟแห่งประเทศไทย รางคู่ 6 สายหลัก ซึ่ง IND คาดว่าจะได้รับงาน 2 สายหลักจากโครงการดังกล่าว ซึ่งจะช่วยเติมเต็ม Backlog ให้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ           IND เชื่อว่า งานภาครัฐจะทยอยออกมาตามการเบิกจ่ายและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะงานโครงการรถไฟรางคู่ที่คาดว่าจะทยอยเปิดประมูล ซึ่งบริษัทคาดว่า งานสนามบินจะทยอยออกมาต่อเนื่องหลังจากนั้น ทั้งนี้ จากโครงการต่าง ๆ ที่มีมูลค่าประมาณพันกว่าล้านบาทที่จะทยอยเปิดประมูลในปี 2568 IND คาดว่าจะสามารถคว้างานได้ราว 60% ของมูลค่าทั้งหมดในการประมูลดังกล่าว           "งานที่มีอยู่ในมือจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า พร้อมมั่นใจว่า หากสามารถคว้างานใหม่เพิ่มได้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว ช่วยสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินงาน"ดร.พรลภัส กล่าว           ล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 เส้นทางนครราชสีมา-หนองคาย มูลค่า 3.4 แสนล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี (2025-2032) ซึ่งหากโครงการเดินหน้าตามแผน  IND คาดว่าจะมีส่วนร่วมในงานดังกล่าว โดย IND ยังคงมุ่งหางานใหม่เพิ่มเติมที่บริษัทถนัดและเชี่ยวชาญ พร้อมตั้งเป้าหมายให้เป็นงานที่มีอัตรากำไรสูงและส่งผลดีต่อผลประกอบการในอนาคต           ดร.พรลภัส กล่าวต่อว่า  คาดการณ์การเติบโตของบริษัทในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 15% เนื่องจากการมี Backlog จากงานคุมงานก่อสร้างที่ทยอยเข้ามาเติมทุกเดือน หลังจากที่ธุรกิจของ IND ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการรับรู้รายได้ที่ช้ากว่ากำหนดในช่วงโควิด-19 แต่ปัจจุบันบริษัทกลับเข้าสู่ภาวะปกติและคาดว่า ปี 2568 จะเป็นปีที่มีการเติบโตโดดเด่นอีกครั้ง รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

“KJL” ประเดิมปี 2568 ขึ้นเหนือจัดสัมมนารวมพลคนไฟฟ้า จ.เชียงใหม่

“KJL” ประเดิมปี 2568 ขึ้นเหนือจัดสัมมนารวมพลคนไฟฟ้า จ.เชียงใหม่

          บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ตู้ไฟ รางไฟ อันดับหนึ่ง ที่ช่างไฟเชื่อมั่นในประสบการณ์กว่า 35 ปี ได้จัดงานสัมมนา “KJL รวมพลคนไฟฟ้า” จัดกิจกรรมเชิงวิชาการ ที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับการติดตั้งระบบไฟฟ้าอย่างถูกต้อง เพื่อยกระดับความปลอดภัย และเพิ่มศักยภาพให้แก่ช่างไฟฟ้า วิศวกร หรือ ผู้ออกแบบ ทั่วประเทศ           กิจกรรมในครั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสองท่านวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างอาจารย์ลือชัย ทองนิล เลขาธิการสภาวิศวกร และอาจารย์สุธี ปิ่นไพสิฐ อดีตผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรมโครงสร้างและงานระบบกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ขึ้นบรรยายเรื่องการติดตั้งไฟฟ้าอย่างมืออาชีพ พร้อมอัพเดทคู่มือและมาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้า (วสท.) ฉบับปี 2568           ทั้งนี้ทาง KJL ได้รับผ่านการรับรองการเป็นองค์กรแม่ข่ายจากสภาวิศวกรเรียบร้อยแล้ว วิศวกรที่ผ่านการอบรมในครั้งนี้ครบ 6 ชั่วโมงเต็มจะได้รับคะแนน CPD 6 คะแนนโดยอัตโนมัติ           โดยวันที่ 23 มกราคม 2568 บริษัทฯ ได้จัดงานสัมมนา KJL รวมพลคนไฟฟ้าขึ้น ณ นิมมาน คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรม ยู นิมมาน เชียงใหม่ ได้กระแสตอบรับที่ดีจากผู้เข้าร่วมงาน นอกจากนี้จะวางแผนจัดงานสัมมนาต่อไป ที่ กรุงเทพมหานคร เพื่อทำตามวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ ที่จะยกระดับความปลอดภัย และเพิ่มศักยภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่แวดวงวิศวกรรมต่อไป           แล้วพบกันครั้งต่อไป KJL “สัมมนารวมพลคนไฟฟ้า” ON TOUR ที่ กรุงเทพมหานคร ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่จะถึงนี้ !! [PR News]

JUBILE ส่งคอลเลกชัน ‘LUCK & LOVE’ รับวาเลนไทน์

JUBILE ส่งคอลเลกชัน ‘LUCK & LOVE’ รับวาเลนไทน์

          ยูบิลลี่ ไดมอนด์ แบรนด์เครื่องประดับเพชรแท้ชั้นนำของไทย เปิดตัวคอลเลกชันพิเศษต้อนรับเทศกาลวาเลนไทน์ “LUCK & LOVE” ถ่ายทอดความหมายของรักแท้ที่เปล่งประกายและความโชคดีที่ไม่มีวันสิ้นสุดผ่านดีไซน์ที่ทันสมัย คอลเลกชันที่ผสมผสานระหว่างความสวยงามเหนือกาลเวลาของเพชรแท้ เข้ากับความโรแมนติกได้อย่างลงตัว โดยนำเสนอความรักออกมาเป็นสองรูปแบบ ที่มีความหมายสุดลึกซึ้ง คือ  “The Line of Luck” และ “The Heart of Love” พร้อมความโดดเด่นของเพชรแท้ E Color Diamond  ที่คัดสรรมาจากแหล่งเจียระไนเพชรชั้นนำระดับโลก ณ เมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม           นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE  กล่าวว่า “วาเลนไทน์เป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคนิยมเลือกซื้อเครื่องประดับเพชรเพื่อเป็นของขวัญแทนใจ และเรามองว่าการเลือกสรรเครื่องประดับที่มีทั้งความหมายและคุณค่าเป็นสิ่งที่สำคัญ คอลเลกชัน ‘LUCK & LOVE’ ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดที่ว่า รักแท้ต้องเปล่งประกายและโชคดีต้องไม่มีวันสิ้นสุด แสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ระหว่างคู่รักอันแสนพิเศษที่มีร่วมกัน ความสง่างามแบบเรียบง่ายของ “The Line of Luck” หรือเสน่ห์อันแสนโรแมนติกของ “The Heart of Love” เราต้องการให้เครื่องประดับชุดนี้เป็นตัวแทนของความรักที่มั่นคงและงดงามเหนือกาลเวลา นอกจากนี้ เรายังคงให้ความสำคัญกับการเลือกเพชรแท้คุณภาพดีที่สุด เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่พิเศษให้กับลูกค้าของเรา”           คอลเลกชันนี้รังสรรค์ขึ้นเพื่อให้เป็นของขวัญล้ำค่าที่เปี่ยมไปด้วยความหมายในวันแห่งความรัก ด้วยตัวเลือกเครื่องประดับที่ตอบโจทย์ทุกสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นแหวนเพชร ต่างหูเพชร จี้เพชรพร้อมสร้อยคอ ซึ่งออกแบบมาให้สามารถสวมใส่ง่ายและเสริมลุคให้ดูเรียบหรูในทุกโอกาส ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเครื่องประดับเพชรที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในทุกช่วงเวลาสำคัญ           เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรัก ยูบิลลี่ ไดมอนด์มอบของขวัญสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าในคอลเลกชันนี้ รับฟรีกล่องสุ่มพวงกุญแจตุ๊กตาหมี “Lovely Lucky Bear: A Hug Full of Love and Fortune” มีให้เลือกสะสม 2 แบบ ได้แก่ น้อง Kisses และ น้อง Cuddles มูลค่า 1,590 บาท เพื่อเติมเต็มความสุขและความโชคดีให้กับเทศกาลนี้           คอลเลกชัน “LUCK & LOVE” เปิดให้เลือกเป็นเจ้าของในราคาที่เข้าถึงได้ โดยเริ่มต้นที่ 25,900 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษ ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน และรับเครดิตเงินคืนกับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ สามารถเลือกซื้อได้ที่ ยูบิลลี่ ไดมอนด์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือช้อปออนไลน์ ได้ที่ www.jubileediamond.co.th           นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถใช้สิทธิ์ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 30,000 บาท จากการซื้อเครื่องประดับเพชรในทุกคอลเลกชันของยูบิลลี่ ไดมอนด์ ภายใต้โครงการ EASY E-Receipt 2.0 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Jubilee Diamond (Thailand), เว็บไซต์: www.jubileediamond.co.th, Jubilee Contact Center: 02-625-1111 หมายเหตุ: เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด

MEB เป้ารายได้ปี 68 โต 10-15% Content ใหม่หนุน

MEB เป้ารายได้ปี 68 โต 10-15% Content ใหม่หนุน

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด ระบุถึง MEB ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายและบริการในปี 68 เติบโต 10-15% YoY ตามพฤติกรรมผู้อ่านออนไลน์ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น MEB มองผลประกอบการ 4Q67 จะเติบโตต่อเนื่อง QoQ และ YoY หนุนด้วยการเติบโตของรายได้จากแพลตฟอร์ม MEB และ ReadAwrite ตามจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือน (MAUs) ที่คาดจะเติบโตในระดับ Single Digit ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ไตรมาสนี้คาดทรงตัวจาก 3Q67 เนื่องจากบริษัทได้มีการทำ Promotion เพื่อดึงดูดลูกค้าหลังการแข่งขันจากคู่แข่งในอุตสาหกรรมเริ่มมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายและบริการในปี 68 เติบโต 10-15% YoY ตามพฤติกรรมผู้อ่านออนไลน์ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงบริษัทได้มีการนำ Content ใหม่ๆ และ Event ต่างๆ เข้ามาให้บริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลบวกต่ออัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของบริษัท โดย ConsensusAvg. มอง TP68 : 35.70 บาท

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

JPARKกำไรQ1โตต่อ หยวนต้าเคาะผลงานทะยาน 52.1% เป้า 8.45 บาท

JPARKกำไรQ1โตต่อ หยวนต้าเคาะผลงานทะยาน 52.1% เป้า 8.45 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง JPARK แนวโน้ม 4Q24 อยู่ในกรอบประมาณการ           คาดกำไรใน 4Q24 ที่ 21 ล้านบาท แม้ว่าจะลดลง QoQ เนื่องจาก 3Q24 มีการรับรู้กำไรจากการปล่อยเช่าช่วงของพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ในโครงการอาคารจอดรถ รพ. พระนั่งเกล้าฯ อย่างไรก็ตามกำไรยังเติบโตสูง 65.8% YoY คาดรายได้ที่ 128 ล้านบาท ลดลง 14.4% YoY จากงาน CIPS ที่ลดลง แต่ GPM คาดที่ 26.5% เพิ่มขึ้นจาก 19.4% ใน 4Q23 เพราะ 4Q23 มีการปรับวิธีการรับรู้ค่าเสื่อมราคาเป็นตามอายุสัญญาจากเดิมตามอายุสินทรัพย์ ส่วน QoQ คาดรายได้เพิ่มขึ้น 4.7% QoQ จากรายได้ CIPS เพิ่มขึ้น 100% QoQ เป็น 10 ล้านบาท จากงานขนาดเล็กหลายโครงการยังคงมีต่อเนื่อง ส่งผลให้ GPM เพิ่มขึ้นจาก 22.4% ใน 3Q24 นอกจากนี้ยังมีรายได้จากพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ในโครงการ รพ. พระนั่งเกล้าฯ อีกราว 4.5 ล้านบาท บันทึกเป็นดอกเบี้ยรับตามมาตรฐานบัญชี โครงการ PS ใหม่เร็วๆ นี้และ CIPS ขนาดใหญ่อยู่ระหว่างกระบวนการ           คาดกำไรสุทธิ 1Q25 เติบโตต่อที่ระดับ 25 – 30 ล้านบาท หรือมากกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณงาน CIPS ที่ยังมีงานขนาดเล็กหลายโครงการเข้ามาต่อเนื่อง แม้งานโครงการขนาดใหญ่ยังต้องใช้เวลาก็ตาม แต่ก็คาดว่าจะได้ข้อสรุปและเป็นรายได้บางส่วนได้ทันในปี 2025 ทำให้มีโอกาสที่รายได้จาก CIPS อาจสูงกว่าที่เราคาด และสูงกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 100 ล้านบาทในปีนี้ เพราะโครงการมีมูลค่าสูงกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่งานขนาดเล็กก็ยังทยอยหาได้ใหม่ทุกไตรมาส นอกจากนี้มีโอกาสที่งาน PS จะเกิดขึ้นได้เร็วกว่า โดยมีทั้งโครงการที่เสร็จแล้วสามารถสร้างรายได้ทันที และที่ต้องก่อสร้างใหม่ คาดว่าภายใน 1H25 จะมีความชัดเจนอย่างน้อย 1 โครงการ ยังคงประมาณการ ... PER25 ต่ำ คงคำแนะนำ “ซื้อ”           ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคาดกำไรปี 2025 ที่ 153 ล้านบาท (+52.1% YoY) ส่วนปี 2026 เป็นปีแรกที่เริ่มรับรู้รายได้จากอาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ศิริราชพยาบาล คาดกำไรเติบโตอีก 47.8% YoY เป็น 227 ล้านบาท เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่กว่า รพ. พระนั่งเกล้าฯ 2 เท่า ทั้งพื้นที่จอดและพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขาย PER2025 ตํ่าเพียง 15.0 เท่า เราปรับ PER ในการประเมินมูลค่าลงตามภาวะตลาดเป็น 22 เท่าจาก 28 เท่า ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2025 ที่ 8.45 บาท มี Upside gain 47% คงคำแนะนำ "ซื้อ"

จับตา BBIK งบทำสถิติใหม่ แนะนำ “ซื้อ” เป้าปี 68 ที่ 47.50 บาท

จับตา BBIK งบทำสถิติใหม่ แนะนำ “ซื้อ” เป้าปี 68 ที่ 47.50 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง BBIK ว่า คาดกำไรปกติ 4Q24 เติบโตเด่น QoQ และ YoY คาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 101 ล้านบาท (+15% QoQ, +28% YoY) เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2024 และจะเป็นจุดสูงสุดใหม่ของบริษัทฯ อีกครั้ง กำไรปกติที่เติบโตเด่นทั้ง QoQ และ YoY มาจากรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทฯ ร่วมที่แข็งแกร่ง สรุปสาระสำคัญดังนี้ คาดรายได้หลักที่ 409 ล้านบาท (+5% QoQ, +10% YoY) หนุนจากรอบการรับรู้งานใน Backlogs กลุ่มที่ยังเติบโตดียังคงเป็นกลุ่มด้าน Digital Excellence and Delivery           คาดอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ 51.0% (+408 bps QoQ, +577 bps YoY) อัตรากำไรขั้นต้นดีกว่าปกติแต่มีผลของการปรับปรุงรายการทางบัญชี แต่หากไม่รวมผลบวกทางบัญชี คาดว่า GPM ปกติจะยังปรับเพิ่มขึ้นจาก economies of scale SG&A คาดที่ 113 ล้านบาท (+5% QoQ, +20% YoY) ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดที่ 20 ล้านบาท (-14% QoQ, -14% YoY) อัตราภาษีจ่ายคาดที่ 10% BBIK จะรายงานผลประกอบการ 4Q24 ในวันที่ 19 ก.พ. 25 ตั้งเป้าหมายปี 2025 เติบโตในกรอบ 25%-30%           หากกำไรออกมาตามคาด กำไรปกติทั้งปี 2024 จะอยู่ที่ 301 ล้านบาท ดีกว่าคาดการณ์ของเราที่ 287 ล้านบาท ราว 5% และแม้เป็นปีที่ถูกท้าทายจาก 1H24 ที่งานขาดหายไป แต่บริษัทฯ ชดเชยได้ดีใน 2H24 ที่เด่น ขณะที่แนวโน้มปี 2025 BBIK วางเป้าหมายการเติบโตที่ระดับ 25%-30% YoY โดยปัจจัยหนุนสำคัญอยู่ที่การเจาะงานภาครัฐเพิ่มขึ้นจากเดิม 5% ของกลุ่มขึ้นเป็นระดับ 10%-15% ของกลุ่ม และการลงทุนต่อเนื่องของภาคเอกชนโดยเฉพาะในงานด้าน AI, Cybersecurity, และงานด้าน Digital Transformation ปรับลดประมาณการการเติบโตปี 2025 ให้อนุรักษ์นิยมมากขึ้นเพื่อให้สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังท้าทายและความผันผวนที่สูงของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้า เราปรับสมมติฐานการเติบโตให้อนุรักษ์นิยมมากขึ้น โดยคาดกำไรปกติปี 2025 ที่ 360 ล้านบาท (+26% YoY) อิงสมมติฐาน           รายได้เติบโต 16% YoY GPM รักษาระดับได้ ส่วนแบ่งกำไรจาก Orbit รักษาระดับได้ ปัจจัยหนุนสำคัญที่จะทำให้ประมาณการของเราต่ำเกินไป ได้แก่ BBIK ได้งาน Virtual Bank ขนาดใหญ่ในช่วง 2H25 ขณะที่ความเสี่ยงของประมาณการคือภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอทำให้บริษัทฯ ขนาดใหญ่เลือกชะลอการลงทุนด้านเทคโนโลยี หรือเลือกลงทุนเท่าที่จำเป็น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ที่ 47.50 บาทต่อหุ้น           เราปรับปรุงสมมติฐานในการประเมินมูลค่าของเราดังนี้ ปรับลด Multiple จาก 32x เหลือ 26.5x หรือที่ระดับ -1.5SD ของค่าเฉลี่ยในอดีตเพื่อให้สะท้อนความเสี่ยงของตลาดทุนที่ผันผวนมากขึ้นและการเติบโตที่ท้าทายขึ้นจากฐานกำไรที่สูงกว่าเดิม และ ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 แทนราคาเหมาะสมกลางปี 2025           ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ของ BBIK ที่ 47.50 บาทต่อหุ้น อิง PER 26.5x เชิงพื้นฐานเราคงคำแนะนำ “ซื้อ” กำไรของ BBIK ยังเด่นต่อเนื่องและดีเพียงพอที่จะสนับสนุน PER ที่อยู่ในระดับสูงกว่ากลุ่ม ขณะที่อิงประมาณการที่อนุรักษ์นิยมมากขึ้น ราคาหุ้นปัจจุบันก็ยังซื้อขายบน PER25 ที่เพียง 18.6x เทียบกับศักยภาพการเติบโตระดับ 25%-30% ที่คาดจะยังทำได้ไปอีกระยะ หุ้นไม่แพงเทียบกับการเติบโต

[Vision Exclusive] JUBILE อีเว้นต์เครื่องประดับเพชรคึกคัก

[Vision Exclusive] JUBILE อีเว้นต์เครื่องประดับเพชรคึกคัก

          หุ้นวิชั่น - JUBILE ทุ่มจัดอีเว้นต์เครื่องประดับสุดคึกคัก กระตุ้นยอดขาย แม่ทัพหญิง "อัญรัตน์ พรประกฤต" อินเทรนด์เข้าโครงการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี 3 หมื่นบาท จับตาแคมเปญ 'Jubilee x POP MART' สร้างการเติบโตปี 68           นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทคาดว่าปี 2568 จะเป็นปีที่เต็มไปด้วยสีสันและกิจกรรมต่างๆ ทั้งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่และการจัดแคมเปญพิเศษ โดยในช่วงต้นปี 2568 บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "Spiral of Luck" ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นสายที่โค้งเวียนเป็นเกลียว ซึ่งสื่อถึงการเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งและการเติบโตสู่เป้าหมายที่ไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมผสมผสานแรงบันดาลใจจากสัตว์ประจำปีนักษัตร “มะเส็ง” หรือ “งูเล็ก”           โดยผลิตภัณฑ์นี้มีราคาที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านโครงการ Easy E-Receipt 30,000 บาท นอกจากนี้ บริษัทยังจัดแคมเปญพิเศษเมื่อซื้อสินค้าผ่านโครงการดังกล่าว ลูกค้าจะได้รับต่างหูเพชรแท้ฟรี มูลค่า 32,000 บาทอีกด้วย           ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ JUBILE เตรียมปล่อยคอลเล็กชั่นใหม่เพื่อรองรับเทศกาลวาเลนไทน์ โดยในช่วงระหว่างวันที่ 1-9 กุมภาพันธ์ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าครบตามราคาที่กำหนดจะได้รับของสมนาคุณพิเศษตามโปรโมชั่น หรือสินค้าสำหรับคู่รัก เช่น แหวนคู่รัก 2 วง มูลค่า 50,000 บาท พร้อมช่อดอกไม้ฟรีในช่วงเวลานี้           JUBILE เตรียมเดินหน้าแคมเปญพิเศษ “Jubilee x POP MART” ซึ่งเป็นการจับมือครั้งแรกกับแบรนด์ POP MART แบรนด์โกลบอลชื่อดัง โดยจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ คาดว่าแคมเปญนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัยและหลากหลายมากขึ้น           นางสาวอัญรัตน์ กล่าวต่อว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนและตัวเลขการเติบโตสำหรับปี 2568 โดยมีแผนที่จะขยายการเติบโตทั้งในด้านยอดขายและการขยายสาขาตลอดทั้งปีปัจจุบัน JUBILE มีสาขาทั้งสิ้น 130 สาขา แบ่งเป็นแบรนด์ JUBILE จำนวน 120 สาขา และแบรนด์ Forevermark จำนวน 8 สาขา รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

abs

Hoonvision

[Vision Exclusive] XO สงครามการค้าเดือด! โอกาสทองส่งออกซอส

[Vision Exclusive] XO สงครามการค้าเดือด! โอกาสทองส่งออกซอส

          หุ้นวิชั่น - XO มองสงครามการค้าเป็นโอกาส ส่งออกซอสปรุงรสไปอเมริกาและแคนาดา ชี้ได้เปรียบภาษีนำเข้าต่ำ ยอดขายอเมริกายังน้อยไม่เกิน 7% บอสใหญ่ "จิตติพร จันทรัช" เผยแคนาดาป้อนออเดอร์ จับตาคำสั่งซื้อ Q2/68 พร้อมส่งสัญญาณธุรกิจปี 68 ไม่แย่กว่าปีก่อน           นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า สถานการณ์สงครามการค้า (Trade War) กลับสร้างโอกาสให้กับบริษัทในการส่งออกซอสปรุงรสไปยังอเมริกาและแคนาดา เนื่องจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากการตอบโต้ของแคนาดาต่อการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกาที่ 25% ทำให้ XO ได้เปรียบมากกว่าผู้ผลิตในอเมริกา ซึ่งต้องส่งสินค้าข้ามไปแคนาดา ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากการส่งออกซอสปรุงรสไปยังอเมริกาของ XO ยังมีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย แต่คำสั่งซื้อจากประเทศแคนาดากลับเริ่มทยอยเข้ามามากขึ้น โดยคาดว่าในระยะต่อไปแคนาดาจะสั่งซื้อซอสปรุงรสเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ดังกล่าว  สัดส่วนรายได้จากการส่งออกซอสปรุงรสไปยังอเมริกาของบริษัทอยู่ในระดับไม่เกิน 7%           นายจิตติพร กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากปี 2567 โดยการเติบโตในปีนี้คาดว่าจะไม่แย่ไปกว่าปีก่อนหน้า           ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่าถึง XO ว่า ฝ่ายวิเคราะห์ ลดเป้ารายได้ 2024F เหลือทรงตัว จากเดิม +10-15%  y-y (vs ฝ่ายวิเคราะคาด +3%  y-y) จากลูกค้าหลักทั้งยุโรป  (80% ของรายได้)  ชะลอตัวจากก่อนหน้านี้  เร่งออเดอร์ช่วง 2Q23-2Q24ไปมาก และเหลือสต็อคสูง ขณะที่ สหรัฐ (ลดจาก 25% เหลือ 3% ของรายได้) ยังมีปัญหา Supply เหลือสูงเช่นกัน และปัญหาการแข่งขัน ที่เจ้าตลาดตัดราคา           โดยระยะสั้น 4Q24F มองออเดอร์จะยังลดลง y-y และยังลงเล็กน้อย q-q ต่อเนื่อง  ซึ่งโดยรวม มองการจัดการด้านสต็อคต้องใช้เวลาอีกราว 1-2 ไตรมาส ขณะที่ อิงอดีตที่ผ่านมา ในรอบธุรกิจที่ดี หลังรายได้ทำจุด Peak จะใช้เวลา 5-7 ไตรมาส เพื่อกลับสู่ Peak อีกรอบ (รอบนี้รายได้พีค 4Q23)           Line ผลิตใหม่เริ่มTest run และคงแผนสร้างโรงงาน โดย Line ผลิตใหม่อีก 1ไลน์ (ลงทุน 200ลบ., ตัดค่าเสื่อม 10ปี, สร้าง Max revenue 1 พันลบ.) เริ่ม Test run 4Q24F และจะเริ่มเชิงพาณิชย์ 1Q25F โดยจะได้ BOI ขณะที่ คงแผนสร้างโรงงานใหม่ ลงทุนราว 700 ลบ. ใช้เวลา 12-18 เดือน           คาด Eff tax rate ปี 2025F 8-9% หลังทยอยหมด BOI ไลน์ปัจจุบัน 3Q24 และรวมประโยชน์จาก BOI ไลน์ใหม่เข้าไปแล้ว โดยเทียบ Eff tax rate 1H243.3%, 3Q247.2% ความเห็นและคำแนะนำ           มีมุมมอง “Slightly  negative” ต่อข้อมูลที่ได้รับจากงานประชุมนักวิเคราะห์และลดประมาณการกำไรปี 2024F-26F ลงเฉลี่ย 2% จากลดรายได้ลง  โดยกำไรปี 2024-25F ที่ 805ลบ. (+3%) และ 752ลบ. (-7%)           ระยะสั้น 4Q24F คาดกำไรยังลดทั้ง y-y,  q-q จากรายได้ที่ยังชะลอ โดยจุดที่ต้องจับตา คือ ในแนวโน้มรายได้ชะลอตัว ขณะที่ จะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา อาจกระทบอัตรากำไรในช่วงแรก           แม้ราคาหุ้นปรับลดมามาก และซื้อขาย Valuation PER25F เหลือ 11.4 เท่า (-1.6SD) แต่หุ้นยังขาดปัจจัยบวก ยังแนะนำ “Neutral” และจะหาจุดเข้าลงทุนต่อไป จาก TP25F ใหม่ 21.1บาท (เดิม 27บาท) อิง PER 12เท่า เทียบเท่า ค่าเฉลี่ย-1.5SD รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Gossip] Jubilee X POP MART พลิกโฉมจิวเวลรี่แห่งปี

[Gossip] Jubilee X POP MART พลิกโฉมจิวเวลรี่แห่งปี

           หุ้นวิชั่น - ยูบิลลี่ ไดมอนด์ ทำเอาวงการสะเทือน! ปล่อยโลโก้ “Jubilee x POP MART” สร้างกระแสฮือฮาในหมู่แฟนเพชรและสาวกอาร์ตทอยทั่วประเทศ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่โปรเจคสุดพิเศษนี้ว่าจะเป็นการร่วมมือแบบไหน และจะมีอะไรที่เหนือความคาดหมาย นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เพชรสุดหรูและอาร์ตทอยระดับโลกมาบรรจบกัน  ความร่วมมือครั้งนี้จะมาในรูปแบบของเครื่องประดับสุดลิมิเต็ด, คอลเลกชันพิเศษที่ต้องมีไว้ครอบครอง หรือจะเป็นการพลิกโฉมวงการของสะสมครั้งประวัติศาสตร์ สาวกทั้งหลายห้ามพลาด ! เตรียมตัวนับถอยหลังสู่การเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่ ที่รับรองว่า เกินจินตนาการ และจะทำให้ทุกคนต้องร้องว้าว ! โปรเจคแห่งปีที่ทุกคนต้องจับตามอง กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้

[Gossip] EURO เปิดตัว Poltrona Frau เฟอร์นิเจอร์อิตาลีระดับตำนาน!

[Gossip] EURO เปิดตัว Poltrona Frau เฟอร์นิเจอร์อิตาลีระดับตำนาน!

          หุ้นวิชั่น - บมจ. ยูโร ครีเอชั่นส์ (EURO) ได้เปิดตัวอย่างอลังการไปแล้วสำหรับ Poltrona Frau Mono brand Store แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อิตาลีระดับตำนานใจกลางทองหล่อ Design District พร้อมเดินหน้าบุกตลาดไทยตามแผนเสริมแกร่งพอร์ตซูเปอร์ลักชัวรี่ด้วยงาน Leather & Craftsmanship ระดับโลก เจาะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงที่มองหาไลฟ์สไตล์เหนือระดับ  บอสใหญ่ "เควิน กัมบีร์" แอบกระซิบเทรนด์ยุคใหม่ เลือกลงทุนกับประสบการณ์ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น... มั่นใจ DNA ของแบรนด์ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ากลุ่มนี้อย่างลงตัว เพราะ "Life is better in a beautiful space"    งานนี้ทั้งสายดีไซน์และนักลงทุนต้องจับตาไว้เลยคร้าา!!!

NETBAY คาดกำไร 4Q67 โตแกร่ง แนะนำ

NETBAY คาดกำไร 4Q67 โตแกร่ง แนะนำ"ซื้อ" ชูเป้า 20.50บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง NETBAY ว่า คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายยังคงเดิมที่ 20.50 บาท            ฝ่ายวิเคราะห์ ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" NETBAY เนื่องจากคาดว่ากำไรปกติ 4Q67 จะเติบโตแข็งแกร่ง (+33% YoY, +11% QoQ) และมีอัพไซด์ 23% ต่อประมาณการกำไรปกติปี 68 จากการเจรจาเรื่องค่าธรรมเนียม National Single Window (NSW) แม้ว่าฝ่ายวิเคราะห์จะรวมผลกระทบเชิงลบจากค่าธรรมเนียม NSW จำนวน 42 ล้านบาทในประมาณการกำไรปกติปี 68 (-15% YoY) แล้ว แต่ NETBAY ตั้งเป้าที่จะส่งผ่านต้นทุนเพิ่มเติมนี้ให้กับลูกค้า 100% ดังนั้น ทั้งนี้ยังคงราคาเป้าหมายที่ 20.50 บาท (P/E ปี 68 ที่ 22.8 เท่า) ปัจจุบัน NETBAY ซื้อขายที่ P/E ล่วงหน้า 1 ปีที่ 16 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 28 เท่าอยู่ 1.6 SD คาดกำไร 4Q67 โตแกร่งจากปริมาณนำเข้า-ส่งออกที่เพิ่มขึ้น            คาดว่ากำไรปกติ 4Q67 จะอยู่ที่ 57 ล้านบาท (+33% YoY, +11% QoQ) จากรายได้ 150 ล้านบาท (+24% YoY, +9% QoQ) โดย NETBAY จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 21 ก.พ. การเติบโตของรายได้ YoY ได้รับแรงหนุนจากปริมาณนำเข้า-ส่งออกของไทยที่เพิ่มขึ้น 9% และรายได้จากโครงการ Smart Zoo ที่ทำร่วมกับ DITTO (สร้างรายได้ราว 10 ล้านบาท/ไตรมาสเริ่มตั้งแต่ 2Q67) ส่วนการเติบโตของรายได้ QoQ มาจากอุปสงค์ที่ถูกกดดันก่อนหน้า (น้ำท่วมในเวียดนามทำให้การนำเข้าของไทยชะลอตัวลงในช่วง 3Q67) และ high season ของปริมาณการนำเข้า-ส่งออกใน 4Q รวมผลกระทบจาก NSW 42 ล้านบาทในประมาณการกำไรปี 68            ประมาณการกำไรปกติปี 68 (-15% YoY) ได้รวมผลกระทบหลังหักภาษีจากค่าธรรมเนียม NSW จำนวน 42 ล้านบาท (ก่อนภาษี 52 ล้านบาท) โดย NETBAY ได้ใช้ NSW ให้บริการ e-Customs gateway ตั้งแต่ปี 66 เราคาดว่า NETBAY จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 105 บาท (3.50 บาท/ธุรกรรม) ในปี 2568 และจะสามารถส่งผ่านต้นทุนให้ลูกค้าได้ 50% ทำให้ NETBAY ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษี 52 ล้านบาท การเจรจา NSW มีโอกาสหนุนกำไรเพิ่มเติม            NETBAY กำลังเจรจาค่าธรรมเนียม NSW กับบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) โดยเส้นตายคือ 25 เม.ย. 68 ผู้บริหารระบุว่าการเจรจาคืบหน้าไปในทางที่ดีและบริษัทมีแผนส่งผ่านต้นทุนทั้งหมดให้ลูกค้า ซึ่งจะสร้างอัพไซด์ 23% ต่อประมาณการกำไรปกติปี 68 ในกรณีที่ทางบริษัทสามารถส่งผ่านต้นทุนได้ทั้งหมด กำไรปกติปี 68 จะเติบโต 5% และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลจะอยู่ที่ 7%

AMA ชูธงปี 68 รายได้โต 10% ธุรกิจรถขนส่งสินค้าบูม

AMA ชูธงปี 68 รายได้โต 10% ธุรกิจรถขนส่งสินค้าบูม

         หุ้นวิชั่น - บมจ.อาม่า มารีน (AMA) ประเมินธุรกิจโลจิสติกส์ปี 68 เติบโตต่อเนื่อง ฟากผู้บริหาร “พิศาล รัชกิจประการ” ปักธงปีนี้รายได้โต 10% ชี้ธุรกิจรถขนส่งสินค้าขาขึ้น ดีมานด์ลูกค้าพุ่ง ทั้งลูกค้าหลัก-รายใหม่ ขณะที่บริษัทย่อย “ทีเอสเอสเค โลจิสติกส์” (TSSK) เตรียมสั่งซื้อรถเพิ่มอีก 20 คัน ในไตรมาส 2 / 68 พร้อมมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ เน้นโลจิสติกส์ “รถขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ-คลังสินค้า-โดรน” สร้างการเติบโตยั่งยืน          นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) (AMA) ผู้ให้บริการขนส่ง สินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืช เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตต่อ เนื่องจาก ปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% เทียบปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าทางรถของบริษัทฯ และของบริษัทย่อย บริษัท เอ เอ็ม เอ โลจีสติกส์ ( AMAL ) ที่ได้เพิ่มจำนวนรถ 30 คัน เป็น 334 คัน ในช่วงปลายปี 2567          ทั้งนี้ ธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ มาจากกลุ่มลูกค้าหลักอย่าง บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) ซึ่งใช้บริการรถขนส่งน้ำมันของ AMA คิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% และแผนการขยายสาขาของ PTG จะทำให้ปริมาณการขนส่งมากขึ้น ส่วนลูกค้ารายอื่นมีความต้องการใช้รถขนส่งมากขึ้นเช่นกัน ขณะที่การให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือมีการเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน          “ ธุรกิจขนส่งทางรถในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากดีมานด์ลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ ซึ่งเราได้มีการเตรียมแผนรองรับ โดยบริษัท ทีเอสเอสเค โลจิสติกส์ จำกัด (TSSK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ AMA ถือหุ้น 67% ทำธุรกิจขนส่งเม็ดพลาสติก เตรียมสั่งซื้อรถเพิ่มอีก 20 คัน ภายในไตรมาส 2/2568 ส่วนธุรกิจขนส่งทางเรือ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมีเรือขนส่งจำนวน 8 ลำ ขนาด 8.6 หมื่นเดทเวทตัน รองรับดีมานด์ลูกค้า” ”นายพิศาล กล่าว          กรรมการผู้จัดการ AMA กล่าวอีกว่า บริษัทฯเตรียมขยายธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต ซึ่งยังคงโฟกัสในธุรกิจโลจิสติกส์เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ  Warehouse และขนส่งทางโดรน คาดได้ข้อสรุปภายในปีนี้  ซึ่งในส่วนการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุน ซึ่งมี 2 แนวทาง คือ การลงทุนเอง และการร่วมมือกับพันธมิตร [PR News]

“ลงทุนแมน” นับหนึ่งไฟลิ่ง จ่อขายหุ้นไอพีโอ 50 ล้านหุ้น

“ลงทุนแมน” นับหนึ่งไฟลิ่ง จ่อขายหุ้นไอพีโอ 50 ล้านหุ้น

          ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง “LTMH” เสนอขาย IPO ไม่เกิน 50,000,000 หุ้น ต่อยอดธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่นคั่ง (WealthTech)           นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซียไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) หรือ LTMH เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนของ LTMH เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568           โดยปัจจุบัน LTMH มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 200,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150,000,000 หุ้น และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 50,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯในครั้งนี้ และมีแผนจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดบริการ (SERVICE)           วัตถุประสงค์ของการใช้เงิน เพื่อใช้สำหรับการขยายการดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ที่กู้ยืมมาลงทุนในหุ้น บลจ.ทาลิส และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน           นายธณัฐ เตชะเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) หรือ LTMH เปิดเผยว่า บริษัทฯ เริ่มต้นจากเพจ “ลงทุนแมน” ในปี 2560 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะถ่ายทอดความรู้เรื่องราวธุรกิจและการลงทุนให้เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ จนพัฒนามาเป็นสื่อออนไลน์ชั้นนำ ประกอบด้วยแบรนด์ระดับ Mega-Influencer อย่าง “ลงทุนแมน” ที่มีผู้ติดตามรวมทุกช่องทางมากกว่า 4,000,000 คน และแบรนด์ระดับ Macro-Influencer ที่มีผู้ติดตามรวมทุกช่องทางมากกว่า 500,000 คน อีก 5 แบรนด์ ได้แก่ ลงทุนเกิร์ล, MarketThink, BrandCase, MONEY LAB และ Mao-Investor           นอกจากนี้ LTMH ยังดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร พร้อมกับธุรกิจจัดงานอิเวนต์และสัมมนาด้านการเงินการลงทุนที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มสื่อ Blockdit ที่พัฒนาโดยหน่วยงานเทคโนโลยีของ LTMH           ด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างระบบนิเวศธุรกิจ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง LTMH ยังได้มองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เช่น การเข้าถือหุ้น 25% ใน บลจ.ทาลิส ซึ่งประกอบธุรกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. โดยการเข้าลงทุนดังกล่าวเป็นการวางรากฐานสำคัญ ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริการทางการเงินของกลุ่มบริษัทไปอีกขั้น           โดยภายหลังการระดมทุน LTMH มีแผนขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) ภายใต้ชื่อ WealthX โดยได้จัดตั้งบริษัทจำนวน 2 บริษัท คือ บริษัท เวลท์เอกซ์ แมเนจเมนต์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ และออกแบบโครงสร้างและเนื้อหาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และ บริษัท หลักทรัพย์ เวลท์เอกซ์ จำกัด ซึ่งอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตจากสำนักงาน กลต. เพื่อดำเนินธุรกิจบริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน และ/หรือ การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้           “LTMH ก่อตั้งขึ้นด้วยพันธกิจ ที่ช่วยให้ทุกคนมีความรู้ในการสร้างความมั่งคั่ง และมุ่งมั่นพัฒนาเครื่องมือที่จะช่วยยกระดับฐานะทางการเงินของทุกคน ผ่านการขยายไปยังธุรกิจเกี่ยวข้องที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ระบบนิเวศธุรกิจด้านความมั่งคั่ง (Wealth Ecosystem) ที่ครอบคลุมและโดดเด่น โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ ควบคู่ไปกับการเติบโตของธุรกิจเดิมอย่างสมดุล เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืนในระยะยาว" นายธณัฐ กล่าวทิ้งท้าย [PR News]

LEO ตั้งบ.ร่วมทุน

LEO ตั้งบ.ร่วมทุน "ลีโอ จี๋ทู อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี" ขายสินค้าผ่านแอพฯ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหนี้ที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ที่ประชุมคณะผู้บริหาร (Executive Committee) ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติให้บริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด (LSSC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เข้าร่วมลงทุนกับ Yunnan Xiaomaolv Information Technology Co., Ltd. โดยตั้งบริษัทจัดร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท ลีโอ จี๋ทู อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจนำเข้า ให้เช่า และจำหน่าย Power Bank / จักรยานไฟฟ้า ผ่าน Application บริการโฆษณาผ่านอุปกรณ์มือถือ หรือ Application บริการจัดเก็บข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ตลาด บริการเทคโนโลยีสื่อสาร และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท           โดยบริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด ลงทุน 2,550,000 บาท คิดเป็น 51% และ Yunnan Xiaomaolv Information Technology Co., Ltd. ลงทุน 2,450,000 บาท คิดเป็น 49% คาดว่าจะดำเนินการจัดตั้งแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2568

88TH เตรียมยื่นไฟลิ่งเทรดใน mai หนุ่ม กรรชัย พาร์ทเนอร์ LYO ร่วมยินดี 

88TH เตรียมยื่นไฟลิ่งเทรดใน mai หนุ่ม กรรชัย พาร์ทเนอร์ LYO ร่วมยินดี 

           บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ 88TH โดย นพรัตน์ มาลัยวงค์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท  ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะชื่อดัง “LYO” ที่อยู่คู่กับคนไทยมากว่า 4 ปี เตรียมก้าวสู่ปีที่ 5  โดยที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจาก 2 พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ ระหว่าง “หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” ผู้ประกาศข่าวชื่อดังจากรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ และ รายการโหนกระแส และ Plan B Media ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจด้านสื่อโฆษณา Out of Home จนวันนี้ทำให้ “LYO” เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ และกลายเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะที่อยู่ในใจผู้บริโภค            ล่าสุด บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ “LYO” รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่รู้จักกันอย่าง “Hone” และ “ver.88” ซึ่งอยู่ระหว่างยื่นไฟลิ่งเพื่อเตรียมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ mai ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการเติบโตทางธุรกิจ งานนี้ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของ แบรนด์ LYO และ Hone พร้อมด้วย พาขวัญ วงศ์พลทวี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและพันธมิตรธุรกิจ (CMPO) ของ Plan B Media ร่วมมอบดอกไม้แสดงความยินดีกับ นพรัตน์ มาลัยวงค์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท            โดย “หนุ่ม กรรชัย” เผยถึงเรื่องนี้ “วันนี้ แบรนด์ LYO ได้ความร่วมมือจาก 2 พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจคือ ผม และ Plan B Media ถึงวันนี้กว่า 4 ปีแล้ว กำลังเข้าสู่ปีที่ 5 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ โดยแบรนด์ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วประเทศ จนทำให้เป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง วันนี้ บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างยื่นไฟลิ่งเพื่อเตรียมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย”

CHEWA จัดกิจกรรม

CHEWA จัดกิจกรรม "Chewathai Society Movie Day"

          บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA โดยชีวาทัย โซไซตี้ นำโดย นางสาวจิราพัชร์ ฉัตรเพ็ชร์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานขายและการตลาด (ที่ 6 จากซ้าย), นายยุทธนา บุญสิทธิวราภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการก่อสร้าง (ที่ 6 จากขวา) และ นายภูเบศร์ สำราญเริงจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (ที่ 3 จากซ้าย) ได้จัดกิจกรรม "Chewathai Society Movie Day" ครั้งที่ 10 นำครอบครัวชีวาทัยร่วมรับชมภาพยนตร์ "ไอ้เป๊าะ CEO ม.6" ณ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ เมื่อเร็วๆ นี้           ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณขจรศักด์ ศรีบุญเรือง ประธานกรรมการ บริษัท นีโอ 727 จำกัด, บริษัท นีโอ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด, บริษัท ยูเวิร์ค 999 จำกัด และบริษัท ทีเคอาร์ โบรกเกอร์เรจ จำกัด เจ้าของเรื่องราวและแรงบันดาลใจตัวจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้อำนวยการสร้าง พร้อมด้วยทีมนักแสดงนำ ได้แก่ ซันนี่ วรรณรัตน์ วัฒดาลิมมา, พิม ลัทธ์กมล ปิ่นโรจน์กีรติ, ไม้เอก สันติภาพ ทองระย้า, เดียว วงศ์พัทธ์ เจียมวิจิตร, จิมมี่ ณัฐพงษ์ เผ่าจินดา และ ศิตา ชุติภาวรกานต์           บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง โดยมีการสัมภาษณ์ทีมนักแสดงเกี่ยวกับประสบการณ์ในการถ่ายทอดบทบาท รวมถึงคุณขจรศักดิ์ได้แบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จและบทเรียนล้ำค่าจากชีวิตจริง ซึ่งเน้นย้ำถึงพลังแห่งความดี ความเชื่อมั่น และแรงศรัทธาในการก้าวผ่านอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเล่นเกมและแจกของรางวัลมากมายให้กับผู้ร่วมงาน           กิจกรรม "Chewathai Society Movie Day" ในครั้งนี้ นอกจากจะมอบความบันเทิงให้กับครอบครัวชีวาทัยแล้ว ยังเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจและข้อคิดดีๆ จากภาพยนตร์ "ไอ้เป๊าะ CEO ม.6" ซึ่งสะท้อนเรื่องราวของความพยายามและความมุ่งมั่นในการสร้างความสำเร็จให้กับตนเองอีกด้วย

[Gossip] TATG รับนโยบาย BOI เร่งส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) - ชิ้นส่วนยานยนต์

[Gossip] TATG รับนโยบาย BOI เร่งส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) - ชิ้นส่วนยานยนต์

          TATG พร้อมลุย! ยิ้มรับข่าวดี BOI ประกาศนโยบายส่งเสริมการลงทุนปี 68 มุ่งเน้นการลงทุนเพื่อรับเมกะเทรนด์ในอนาคต สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมขั้นสูงและใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อน โดยตั้งเป้าเพิ่มการลงทุน 5 กลุ่มหลัก และหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมคือกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินการลงทุนในปีนี้ ไม่น้อยกว่า 8 แสนลบ. เลยทีเดียว...           งานนี้บอสใหญ่ ดร.พยุง ศักดาสาวิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย (TATG) ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตแม่พิมพ์และชิ้นส่วนยานยนต์ รับฟังนโยบายของ BOI แบบนี้ก็ไม่รอช้า เตรียมพร้อมเดินหน้าเต็มกำลัง เพราะหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้วางแผนลงทุนเครื่องจักรและพัฒนาการผลิตรอไว้แล้ว อีกทั้ง มีการวิจัยและพัฒนาไปพร้อมความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้ TATG สามารถขึ้นรูปชิ้นส่วนรถไฮบริด และ EV จึงเตรียมรอรับข่าวดี TATG ไม่ตกขบวนเมกะเทรนด์นี้แน่นอน! อีกทั้ง แว่วๆ มาว่า ผลงานปี 67 คาดจะปิดงบตามนัด...นักลงทุนสบายใจหายห่วง

[Gossip] NDR ลุยธุรกิจพลังงาน เสริมพอร์ตรายได้

[Gossip] NDR ลุยธุรกิจพลังงาน เสริมพอร์ตรายได้

          "ชัยสิทธิ์  สัมฤทธิวณิชชา" เอ็มดี บมจ. เอ็น.ดี. รับเบอร์ หรือ NDR แย้มแผนในปี 2568 จะพึ่งพาทั้งธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง  โดยธุรกิจใหม่ด้านการผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นขอ BOI คาดว่าเครื่องจักรน่าจะเข้ามาประมาณไตรมาส 2/2568  และจะเริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งการเข้าสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด  เป็นการต่อยอดธุรกิจของ NDR เพื่อสร้างความยั่งยืนและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับพลังงานทางเลือกและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับมุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายยางในและยางนอกรถจักรยานยนต์ โดยมีการเติบโตทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก จากความต้องการยางจักรยานยนต์ในตลาดยังคงสูง ทำให้มั่นใจว่าการเสริมพอร์ตรายได้จากธุรกิจใหม่และการเติบโตของธุรกิจเดิม จะช่วยให้ NDR มีรายได้ที่แข็งแกร่งในปี 2568 และสร้างความยั่งยืนให้กับบริษัทฯ

TMI เล็งทบทวนแผนลงทุนโซลาร์ฟาร์มยุโรป 20 ก.พ.นี้

TMI เล็งทบทวนแผนลงทุนโซลาร์ฟาร์มยุโรป 20 ก.พ.นี้

          หุ้นวิชั่น - นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI ตามที่ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ บริษัท ไบโอคลีน อินเตอร์เนชั่นแนล (2010) จำกัด (“BIO”) เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ในทวีปยุโรปร่วมกัน ซึ่งมีรายละเอียดตามที่ระบุในข่าวที่แจ้งต่อสาธารณะ ตามหนังสือเลขที่ TMI013/2567 ลงวันที่ 18 กันยายน 2567 และบริษัทได้แจ้งข่าวต่อสาธารณะ ตามหนังสือเลขที่ TMI017/2567 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ว่าจะแจ้งความคืบหน้าให้นักลงทุนทราบเกี่ยวกับการลงทุนในโครงการดังกล่าวภายในเดือนมกราคม 2568 นั้น           ปัจจุบันคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัทพิจารณาแล้วว่ามีข้อควรพิจารณาหลายประการ จึงแนะนำให้ระงับการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการโซลาร์ฟาร์มในทวีปยุโรปไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัทจะมีการจัดประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัท โดยจะมีการนำเรื่องโครงการโซลาร์ฟาร์มดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง โดยบริษัทจะแจ้งให้นักลงทุนทราบถึงผลการพิจารณาการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยเร็วต่อไป

[Vision Exclusive] KJL โซล่าร์-อีวีสุดปัง! หนุนดีมานด์ตู้ไฟพุ่ง

[Vision Exclusive] KJL โซล่าร์-อีวีสุดปัง! หนุนดีมานด์ตู้ไฟพุ่ง

           หุ้นวิชั่น - บิ๊กบอส KJL "เกษมสันต์ สุจิวโรดม" ส่องธุรกิจปี 68 คาดรายได้โตสูงถึง 17% พลังงานโซล่าร์เซลล์โตสนั่น อีวี ดาต้าเซ็นเตอร์บูม จับตา TikTok ลงทุนไทยคาดหนุนยอดใช้ไฟฟ้าพุ่ง แถมดีมานด์อุปกรณ์ไฟฟ้าขายดี เล็งอัพกำลังผลิตเท่าตัว หรือ 40 ล้านชิ้นต่อปี พร้อมวางบลงทุน 400 ล้านบาท เพิ่มเครื่องจักรรองรับอุตสาหกรรมโต ฟากโบรกคาด  KJL ผลตอบแทนสูง 4.9% แนะ "ซื้อ" เป้า 9.90 บาท            นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ผู้ผลิตและจำหน่ายตู้ไฟสวิทช์บอร์ด รางเดินสายไฟ และอุปกรณ์เดินสายไฟทุกชนิด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในงานโครงสร้างพื้นฐานและจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและการเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มธุรกิจในปี 2568 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา โดยคาดว่าการเติบโตจะอยู่ที่ระดับ 10-15% และอาจสูงถึง 17% ในปี 2568 จากการขยายกำลังการผลิต การออกสินค้าใหม่ และการขยายตลาด            ทั้งนี้ การเติบโตของ KJL ยังได้รับแรงหนุนจากเมกะเทรนด์การใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เช่น การใช้พลังงานสะอาดจากโซลาร์เซลล์ (โซล่าร์ฟาร์ม, โซล่าร์รูฟ) และการใช้พลังงานในยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) รวมถึงการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์และเทคโนโลยี AI ซึ่งส่งผลให้ความต้องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นสอดคล้องกับการเติบโตของตลาดไฟฟ้าในภาพรวม            ขณะเดียวกัน โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ซึ่งมีแผนลงทุนติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ในศูนย์ข้อมูล (Data Center) คาดว่าจะส่งผลให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ความต้องการตู้ไฟและสินค้าของ KJL เติบโตตามไปด้วย            บริษัท KJL มองว่าแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มพลังงานสะอาด ทั้งโซล่าร์ฟาร์มและโซล่าร์รูฟ จะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยสอดคล้องกับการขยายตัวของธุรกิจ และคาดว่าจะมีการเติบโตในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แม้จะเติบโตไม่มากในปัจจุบัน แต่คาดว่าในอนาคตจะมีการเติบโตสูงในช่วง 3-4 ปีตามเทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า            สำหรับ KJL บริษัทเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2565 โดยมีกำลังการผลิต 20 ล้านชิ้นต่อปี และในปี 2566 ขยับขึ้นเป็น 30 ล้านชิ้นต่อปี ขณะที่ปี 2567 บริษัทมีการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 33 ล้านชิ้นต่อปี และคาดว่าในปี 2568 จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 40 ล้านชิ้นต่อปี หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี 2565 เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมและการออกสินค้าใหม่ของบริษัท นอกจากนี้ KJL ยังมุ่งมั่นที่จะควบคุมประสิทธิภาพการผลิตและรักษาอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization) ให้อยู่ที่ 70-80%            KJL วางแผนงบลงทุนในปี 3 ปี  (2568-2570) ที่ประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมการขยายเครื่องจักรและการสร้างอาคารใหม่ ส่วนงบบริษัทจะลงทุนจริงในปี 2568 คาดจะใช้ประมาณ 150 ล้านบาทจากงบลงทุนทั้งหมด 400 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตและขยายกำลังการผลิตในระยะยาว            ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด  ระบุถึง KJL ว่า คาดว่าในไตรมาส 4 ของปี 2024 (4Q24) บริษัทจะเติบโตทั้งในแง่ QoQ และ YoY โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 50 ล้านบาท (+15.5% QoQ, +63.1% YoY) ส่วนรายได้คาดว่าจะอยู่ที่ 306 ล้านบาท (+5.0% QoQ, +11.4% YoY) ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม นอกจากนี้ สินค้าในกลุ่ม Solar ทั้งในกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจเติบโตดี รวมถึงผลจากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่รายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น จะส่งผลให้ GPM เพิ่มขึ้นเป็น 32.0% จาก 30.3% ใน 3Q24 และ 30.7% ใน 4Q23 ส่วน SG&A คาดว่าจะอยู่ที่ 39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3.7% QoQ ตามปกติของไตรมาส 4 แต่ลดลง 12.6% YoY เนื่องจากไม่มีการจัดงานสัมมนาใหญ่เหมือนใน 4Q23            หากกำไรสุทธิใน 4Q24 ใกล้เคียงกับที่คาด จะส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปี 2024 อยู่ที่ 178 ล้านบาท ซึ่งดีกว่าคาดการณ์เดิม 2% สำหรับ 1Q25 โมเมนตัมยังคงดี โดยงบประมาณภาครัฐยังคงเบิกใช้ตามแผน ส่งผลให้ภาพรวมงานโครงการภาครัฐมีความต้องการเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน KJL ยังได้รับผลประโยชน์จากความต้องการสินค้าในกลุ่ม Solar ที่สูงขึ้น และการขยายเครือข่ายของช่างไฟที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับการออกสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการในทุกรูปแบบ คาดว่าผลประกอบการในช่วงต้นปี 2025 จะเติบโตต่อเนื่องทั้ง QoQ และ YoY ทำให้ GPM ยังคงทรงตัวสูงตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูง และราคาเหล็กที่ยังทรงตัว            บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 ที่ 1,400 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการของเรา แต่ตั้งเป้า GPM ที่ 30% ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 28% ทำให้แนวโน้มกำไรปี 2025 มีโอกาสทำได้เท่ากับหรือดีกว่าคาดได้ โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่แพงและมีการจ่ายปันผลสูง ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า KJL สามารถจ่ายเงินปันผลในช่วงครึ่งปีหลัง 2024 (2H24) ได้ไม่น้อยกว่า 0.33 บาท ซึ่งให้ผลตอบแทน 4.9% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER 2025 เพียง 8.2 เท่า            อย่างไรก็ตาม ปรับ PER ในการประเมินมูลค่าลงตามสภาพคล่องในตลาดที่ลดลง ทำให้หุ้นขนาดเล็กถูกซื้อขายด้วย PER ที่ต่ำลง โดยปรับจาก 14.5 เท่า เป็น 12.0 เท่า ซึ่งทำให้ราคาเป้าหมายใหม่ของบริษัทในสิ้นปี 2025 อยู่ที่ 9.90 บาท มี Upside ที่ 47.8% จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] บิ๊ก

[Vision Exclusive] บิ๊ก "LEO" เก็บหุ้นเข้าพอร์ต-ขนส่งคึกคัก

          หุ้นวิชั่น - LEO ขนส่งคึกคัก วอลุ่มโลจิสติกส์ส่งออกแน่น ด้านผู้บริหาร "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" โชว์พอร์ต ซื้อหุ้นรวม 1 แสนหุ้น คิดเป็นเงิน  292,000 บาท           นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ยังคงมีทิศทางที่ดี แม้หลายประเทศจะมีความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ออเดอร์การขนส่งลดลง แต่จากการศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง พบว่าแม้ทรัมป์จะขึ้นรับตำแหน่งและประกาศการขึ้นภาษี 25% กับแคนาดาและแม็กซิโก แต่ปริมาณการขนส่งจากผู้ประกอบการในช่วงที่ผ่านมา กลับมีอวลุ่มการขนส่งที่เพิ่มขึ้น           อย่างไรก็ตามเชื่อว่า การย้ายฐานการผลิตอาจปรับตำแหน่งจากแคนาดา แม็กซิโก และจีน มาที่ไทย อินโดนีเซีย และอินเดีย ซึ่งจะเป็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชีย           ดังนั้นฐานลูกค้าส่งออกของบริษัทไปยังสหรัฐฯ ยังคงมีปริมาณการขนส่งที่แข็งแกร่ง ไม่ลดลงจากเดิม จึงมั่นใจว่าธุรกิจโลจิสติกส์ของ LEO จะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งหากสถานการณ์สงครามในต่างประเทศยุติลงอย่างสมบูรณ์ จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคและเสริมสร้างบรรยากาศเศรษฐกิจให้ดีขึ้น           นายเกตติวิทย์ กล่าวต่อว่า สำหรับการเข้าซื้อหุ้น LEO ในช่วงที่ผ่านมา เป็นการซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิม           ขณะที่การเข้าซื้อหุ้นของ LEO ตามการรายงานของ กลต. วันที่ 30 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา พบว่า นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ เข้าซื้อหุ้นรวม 100,000 หุ้น ที่ราคา 2.78 บาท และ 3.06 บาท โดยเข้าซื้อในวันที่ 26 ธันวาคม 2567 , 30 ธันวาคม 2567 , 1 มกราคม 2568 และวันที่ 27 มกราคม 2568 คิดเป็นมูลค่ารวม 290,000 บาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

โอกาสทอง LTS ดีมานด์ Data Center - GPU แนะ

โอกาสทอง LTS ดีมานด์ Data Center - GPU แนะ "ซื้อ"

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง LTS ว่า ตลาดยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อปริมาณความต้องการของ GPU โดยเฉพาะกับ DeepSeek ซึ่งยังคงจำเป็นต้องใช้ GPU ของ NVIDIA และหากความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้นมากก็จะต้องใช้ Data Center จำนวนมาก ดังนี้            การเป็น Open Source อาจตอบโจทย์ในระดับ Retail หรือธุรกิจขนาดเล็ก แต่สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่และการแข่งขันด้านความรวดเร็วในการประมวลผลยังคงต้องใช้ GPU ที่มีความสามารถสูง โดยการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของแต่ละธุรกิจมีความต้องการที่แตกต่างกันไป ซึ่งบางธุรกิจอาจไม่สามารถใช้ Open Source ที่ต้องแชร์ข้อมูล Source Code ให้กับสาธารณะได้ เพราะไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้เท่ากับการพัฒนาเอง DeepSeek ปัจจุบันยังคงต้องใช้เครื่อง GPU รุ่น H100 ของ NVIDIA แต่อาจไม่จำเป็นต้องใช้รุ่นใหม่ล่าสุด            อย่างไรก็ตาม GPU ที่ใช้ต้องรองรับการประมวลผลขั้นสูงและต้องใช้งานใน Data Center ที่มี Infrastructure รองรับมากกว่าที่ปรากฏในข่าว Siam AI สามารถให้บริการ GPU ได้ทุกแบรนด์ ไม่จำเป็นต้องให้บริการเฉพาะของ NVIDIA เท่านั้น แต่การได้สิทธิ์ NCP จาก NVIDIA ถือเป็นความพิเศษเฉพาะตัวของ Siam AI ซึ่งเป็นรายแรกและรายเดียวในไทย ณ ปัจจุบัน โดย GPU ของ NVIDIA ได้รับการยอมรับในเรื่องประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน            ดังนั้น มองว่า ประเด็นนี้ยังคงทำให้ความต้องการ Data Center และ GPU มีโอกาสเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วยดึงผู้ประกอบการหรือผู้ใช้รายบุคคลเข้ามาในตลาดมากขึ้น เพราะต้นทุนต่ำ จึงทำให้ปริมาณความต้องการสูงขึ้น และ DeepSeek ไม่สามารถลงทุนใน GPU ของ NVIDIA ได้โดยตรงเนื่องจากเป็นบริษัทจีน สิ่งที่สามารถทำได้คือการเช่าใช้นอกประเทศจีน หากมองในเอเชีย ไทยและเวียดนามจะมีศักยภาพในการให้บริการ และหากเป็นในไทยคงต้องเป็นบริการผ่าน Siam AI ซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายได้จากการงาน Commissioning และการให้เช่า GPU (สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก) ของ LTS ประเด็นการลงทุน Data Hosting ของ TikTok และโครงการ AI Cloud Service ของ Siam AI            ความเห็น ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าทั้ง 2 โครงการนี้จะสร้างโอกาสให้ LTS ได้งาน Commissioning ต่อเนื่อง โดยโครงการของ Siam AI มองว่าตลาดเข้าใจได้ไม่ยากว่าเป็นโอกาสของ LTS ส่วนการลงทุนของ TikTok ถือเป็นโอกาสทางอ้อมสำหรับ LTS เนื่องจากคาดว่าการลงทุนของ TikTok ตามข่าวคือการลงทุนในระบบ Cloud และการใช้เครื่องประมวลผลขั้นสูง ซึ่งไม่ว่าจะใช้แบรนด์ GPU ใด หากมีการทำในประเทศไทย มีโอกาสสูงมากที่จะต้องทำผ่าน Siam AI            กล่าวคือ อาจจะต้องมีการเช่าใช้ระดับ Hyper scale กับ Siam AI เนื่องจากเป็นผู้ได้สิทธิ์จากเจ้าของสินค้า และ Data Center แห่งใหม่ในไทยที่เหมาะสำหรับการให้บริการ AI ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและถูกจองโดย Siam AI ไปมากแล้ว นอกจากนี้ Siam AI เคยให้ข้อมูลถึงแผนการลงทุนที่ 1 แสนล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า            ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับข่าวที่มีออกมา ดังนั้นงาน Commissioning ซึ่งเป็นงานด่านแรกของธุรกิจจะทยอยออกมาหลังจากนี้ และเป็นงานที่ Siam AI ยังไม่เคยให้ผู้ประกอบการรายใดนอกจาก LTS            ฝ่ายวิเคราะห์ยังรวมงานส่วนนี้ไว้เพียง 769 ล้านบาทในปี 2025, 1,000 ล้านบาทในปี 2026 และ 1,300 ล้านบาทในปี 2027 เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการทั้งหมด ดังนั้นเราจึงมองว่าเป็น Upside risk ต่อประมาณการกำไรของ LTS ราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 20 บาท +/- เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนสูงในปี 2024 เมื่อเทียบกับราคา IPO ที่เพียง 3.00 บาท และตลาดมีความผันผวน สภาพคล่องหุ้นในตลาดค่อนข้างน้อย จึงทำให้หุ้นเคลื่อนไหวเร็วและแรง รวมถึงมีการปรับลงจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเด็น DeepSeek ปัจจุบันหุ้นซื้อขายด้วย PER 2025 ที่ต่ำเพียง 17 เท่า บนสมมติฐานกำไรที่มีโอกาสปรับขึ้นได้อีก หากงาน Commissioning ของ LTS มากกว่าคาด ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์มองว่าอย่างน้อยราคาควรกลับไปซื้อขายที่ระดับ 16 บาท +/- ก่อนที่จะเกิด Panic sell จากประเด็น DeepSeek และเคลื่อนไหวตามความชัดเจนของงาน Commissioning ที่จะทยอยประกาศออกมา ราคาสูงสุดที่เป็นไปได้ในวันนี้ที่ 15.2 บาท ยังเทียบเท่ากับ PER 2025 ที่เพียง 21.7 เท่า เทียบกับการเติบโตของกำไรที่ 90% YoY ฝ่ายวิเคราะห์ จึงแนะนำ "ซื้อ"

มาตรการรัฐหนุน TNP แถมผุดสาขาใหม่ อัพยอด-เป้า 5 บาท

มาตรการรัฐหนุน TNP แถมผุดสาขาใหม่ อัพยอด-เป้า 5 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง TNP ว่าคาดกำไร 4Q67 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ ราว 2% แม้ไตรมาสก่อนฐานสูง ส่วนทั้งปี 67 คาดเติบโต 18%. ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ 4Q67 ราว 754 ล้านบาท (+8% YoY, +3% QoQ) และ กำไรประมาณ 49 ล้านบาท (+2% YoY, +2% QoQ) ซึ่งจะยังคงเติบโตต่อเนื่องแม้ไตรมาสก่อนจะมีฐานสูง โดย 3Q67 มีกำไร 47 ล้านบาท (+41% YoY, +12% QoQ) เนื่องจากได้รับประโยชน์จากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ ทำให้มีการเร่งกักตุนสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าว ส่งผลให้ SSSG ในช่วง 4Q67 คาดจะเป็นลบประมาณ -3%.           อย่างไรก็ตาม คาดผลประกอบการจะยังคงเติบโตจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) การเข้าสู่ High season, 2) อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินหมื่นบาทให้กลุ่มผู้มีสิทธิ์ในช่วงปลาย 3Q67 รวมถึงรอบเก็บตกในช่วงตุลาคม-ธันวาคม 67, และ 3) การขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 3 แห่ง สู่ทั้งหมด 50 แห่ง ณ สิ้นปี 67. เราประมาณการกำไรทั้งปี 67 ราว 183 ล้านบาท (+18% YoY), โดย 9M67 มีกำไร 135 ล้านบาท (+25% YoY) ซึ่งคิดเป็น 73% ของประมาณการดังกล่าว คาดกำไรปี 68 เติบโต 8% จากมาตรการรัฐที่ช่วยหนุนในช่วง 1H68 และแผนขยายสาขาทั้งหมด 5 แห่ง           คาดการณ์รายได้ปี 68 ราว 3,175 ล้านบาท (+10% YoY), โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 2 ประการ ได้แก่ 1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 1H68 ซึ่งรวมถึง 1.1) มาตรการ Easy E-receipt ที่บริษัทจำหน่ายทั้งสินค้าทั่วไปและสินค้า OTOP, 1.2) มาตรการเงินหมื่นบาทเฟส 2 (รอบผู้สูงอายุที่ได้รับเงินวันที่ 27 ม.ค. 68), และ 1.3) มาตรการเงินหมื่นบาทเฟส 3 (รอบบุคคลทั่วไปที่จะได้รับเงินช่วงเม.ย.-มิ.ย. 68), และ 2) แผนขยายสาขาอีก 5 แห่ง สู่ทั้งหมด 55 แห่ง ณ สิ้นปี 68 ซึ่งจะเน้นเปิดในพื้นที่ที่มีกำลังซื้อสูง. ส่วน %GPM คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 17.3% เท่ากับช่วงปี 67, ส่งผลให้เราคาดกำไรปี 68 ราว 198 ล้านบาท (+8% YoY) คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเหมาะสม 5.00 บาท อัพไซต์ 62%           ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมของ TNP โดยอิงจาก Prospective P/E Ratio ที่ 20 เท่า ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ P/E เพียง 13.6 เท่า, ที่ระดับ -2SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี) และคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 68 ที่ราว 0.25 บาทต่อหุ้น. คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 68 ที่ 5.00 บาท โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 62% และคาดจ่ายปันผลในอัตรา 3% ต่อปี. ดังนั้น จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

GFC จับตาต่างชาติเข้า สาขาใหม่หนุนผลงาน เคาะเป้า 8.30 บ.

GFC จับตาต่างชาติเข้า สาขาใหม่หนุนผลงาน เคาะเป้า 8.30 บ.

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ส่องหุ้น GFC โดยแนะนำ Buy สำหรับ GFC เนื่องจากคาดปี 25F กำไรสุทธิเติบโตดีขึ้น จากผลบวกของการเปิดสาขาใหม่เต็มปี และปรับขึ้นราคา รวมทั้งมีโอกาสเติบโต จากตลาดลูกค้าใหม่กลุ่มต่างชาติ ทั้งนี้ระยะสั้นคาดกำไรสุทธิผ่านช่วงแย่ใน 4Q24F และราคาหุ้นตอบรับไปแล้ว โดยราคาหุ้นซื้อ ขาย PE ปี 25F ที่ 17 เท่าเทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า -1.0SD มองเป็นโอกาสลงทุน คาดกำไรสุทธิ4Q24F ที่14 ลบ. (-39%y-y -17%q-q)           คาดว่าใน 4Q24F GFC จะมีกำไรสุทธิ14 ลบ. (-39%y-y -17%q-q) ลดลง เนื่องจาก 1) คาดรายได้ให้บริการ (-15%y-y -8%q-q) ลดลงตามจำนวนรอบการเก็บไข่/ฝั่งตัวอ่อน 2) คาดค่าใช้จ่าย SG&A (+10%y-y +3%q-q) เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายการตลาดและค่าใช้จ่ายพนักงานเปิด 2 สาขาใหม่           หากกำไรสุทธิ 4Q24F เป็นไปตามคาด จะทำให้ปี 24F มีก าไรสุทธิ 76 ลบ. (-1%y-y) ทรงตัวจากปี 23 และต่ำกว่าที่คาดไว้-6% จากใน 4Q24F ลูกค้าที่ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นเคสที่กระตุ้นไข่ได้น้อย ทำให้จำนวนรอบการเก็บไข่/ฝั่งตัวอ่อนน้อยกว่าคาด ปี 2025F มีปัจจัยบวกสาขาใหม่เต็มปีและเริ่มให้บริการลูกค้าต่างชาติ           ช่วงต้นเดือน ม.ค.25 สาขาพระราม 9 เปิดให้บริการเป็นทางการ เริ่มให้บริการ 2 ห้องตรวจ (vs Full Phase ที่ 12 ห้อง) รองรับการให้บริการราว 25-30 เคสต่อเดือน โดยเรารวมสาขาใหม่ในประมาณ การแล้ว คาดปี 25F มีกำไรสุทธิ 87 ลบ. (+7%y-y) จากคาดรายได้ให้บริการ (+16%y-y) เติบโตดีขึ้นจากจำนวนรอบการเก็บไข่/ฝั่งตัวอ่อนเพิ่มขึ้น ประกอบกับคาดมีผลบวกเปิดสาขาใหม่เต็มปีและ ปรับขึ้นค่าบริการ           นอกจากนี้การเปิดสาขาพระราม 9 ทำให้คาดสามารถขยายตลาดลูกค้าใหม่กลุ่มต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีนที่ทำการตลาดร่วมกับเอเจนซี่ 3-4ราย (สมมติฐานปี 25F สาขาพระราม 9เริ่มมีรายได้ลูกค้าต่างชาติใน 2H25F มีจำนวนเคสเฉลี่ย 5เคสต่อเดือน ) แนะนำ Buy สำหรับ GFC (TP 8.30 บาท)           ด้วยวิธี DCF WACC 8.7% เนื่องจากคาดกำไรสุทธิมีแนวโน้ม เติบโตเฉลี่ย +15%CAGR 25F-26F และมีโอกาสเกิด upside หากมีจำนวนลูกค้าต่างชาติใช้บริการ มากกว่าคาด นอกจากนี้ราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 25F ที่17เท่า เทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า-1.0SDมองเป็นโอกาสลงทุนสำหรับการลงทุนระยะยาว

[Vision Exclusive] LTS ดาต้าเซ็นเตอร์ฮอต! บีโอไอหนุนลงทุน 1.7แสนล.

[Vision Exclusive] LTS ดาต้าเซ็นเตอร์ฮอต! บีโอไอหนุนลงทุน 1.7แสนล.

          หุ้นวิชั่น - BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุน Data Hosting จับตา TikTok ลงทุนติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ในไทย พร้อมหนุน AI Cloud Service ดีมานด์ล้น บอสใหญ่ LTS "ภัฏ ตรัสโฆษิต" ส่งซิกคู่ค้า สยาม เอไอ คึก คาดเริ่มงานได้โค้งแรกปี 68 ใส่เกียร์ปั๊มปีนี้โตเท่าตัว           นายภัฏ ตรัสโฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการสำคัญ โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 170,000 ล้านบาท ซึ่ง 2 ใน 3 โครงการมีความสำคัญเป็นพิเศษ ได้แก่ โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ซึ่งจะลงทุนติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ในศูนย์ข้อมูล (Data Center) มูลค่า 126,000 ล้านบาท โครงการนี้ถือเป็นการลงทุนใหม่ที่เข้ามาเพิ่มเติม โครงการกิจการ AI Cloud Service ของบริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด มูลค่า 3,250 ล้านบาท หากการลงทุนในทั้งสองโครงการเป็นไปตามแผน บริษัท LTS คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในตลาด AI Cloud Service           โครงการ AI Cloud Service เป็นหนึ่งในไปป์ไลน์ของบริษัท ซึ่งได้มีการพูดคุยและเจรจากับพันธมิตรก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนและไทม์ไลน์ในการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2568           ขณะเดียวกัน โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ซึ่งจะมีการลงทุนติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ในศูนย์ข้อมูล (Data Center) คาดว่าดีมานด์และการขยายตัวของ Data Center จะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ LTS มีโอกาสที่จะได้รับงานจากการขยายตัวของ Data Center ในอนาคต           นายภัฏ กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่ารายได้จากกลุ่มไอทีในปี 2568 จะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากการลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ โดยบริษัทได้เริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มไอทีในช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2568 ขณะเดียวกัน รายได้รวมของบริษัทในปี 2568 คาดจะเติบโตได้เท่าตัวเช่นเดียวกัน           อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 บริษัทมีรายได้ที่ 332.95 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 53.11 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] VL วางงบ 300ล. ซื้อเรือเสริมทัพขนส่ง

[Vision Exclusive] VL วางงบ 300ล. ซื้อเรือเสริมทัพขนส่ง

           หุ้นวิชั่น - VL ขนส่งปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ปี 68 คึกคัก อวดพีเรียตเดินเรือเฉียด 100% แม่ทัพหญิง "ชุติภา กลิ่นสุวรรณ" กางแผนธุรกิจ วางงบ 300 ล้านบาท เล็งเรือใหม่ 2 ลำ ลำละ 2 พันเดทเวทตันเสริมทัพ มองรายได้ปีนี้ โตไม่น้อยกว่า 10% จ่อเซ็นสัญญาบริการลูกค้าเพิ่ม            นางชุติภา กลิ่นสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ VL เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทมองแนวโน้มธุรกิจในปี 2568 เป็นไปในทิศทางที่ดี สอดคล้องกับปริมาณการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามการบริโภคภายในประเทศ เช่น การท่องเที่ยวและการเดินทางภายในประเทศ เป็นต้น และอัตราการขนส่ง หรือ Utilization ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงเกือบ 100% ซึ่งทำให้ทิศทางการขนส่งในปี 2568 ยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดีและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง            สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทมีแผนจะเปลี่ยนเรือลำใหม่ทดแทนเรือลำเก่าที่มีอายุการใช้งานมากว่า 29-30 ปี ซึ่งใช้ขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์มายาวนาน โดยการเปลี่ยนเรือลำใหม่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจของบริษัท            สำหรับแผนการเปลี่ยนเรือ บริษัทจะมองหาเรือลำใหม่จำนวน 2 ลำเพื่อทดแทนเรือลำเก่าที่มีอายุการใช้งานนาน โดยขนาดของเรือใหม่จะอยู่ที่ 2,000 เดทเวทตัน และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเปลี่ยนเรือใหม่ในไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ปี 2568 หากสามารถได้เรือใหม่ตามแผน คาดว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองเรือและการขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบประมาณลงทุนไม่เกิน 300 ล้านบาทสำหรับการซื้อเรือใหม่            ปัจจุบันสัดส่วนการขนส่งของบริษัทยังคงเป็นการขนส่งภายในประเทศ 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นการขนส่งระหว่างประเทศ สำหรับแผนการเติบโตในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตไม่น้อยกว่า 10% จากการให้บริการขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ โดยในปี 2568 บริษัทวางแผนที่จะเซ็นสัญญาขนส่งสินค้าให้กับลูกค้าใหม่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้จากบริการขนส่งของ VL ได้อย่างมีนัยสำคัญ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

JPARK ช่องจอดจ่อแตะ 50,000 ช่อง คาดกวาดกำไร 117 ลบ. โบรกเคาะเป้า 7.25 บ.

JPARK ช่องจอดจ่อแตะ 50,000 ช่อง คาดกวาดกำไร 117 ลบ. โบรกเคาะเป้า 7.25 บ.

           หุ้นวิชั่น - “สันติพล เจนวัฒนไพศาล” บิ๊กบอส บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) หรือ JPARK แอบกระซิบแผนปี 68 เดินหน้าขยายช่องจอดรถอีก 10,000 ช่องจอด ดันสิ้นปีเพิ่มเป็น 50,000 ช่องจอด พร้อมเดินหน้ารับรู้รายได้ธุรกิจ CIPS มั่นใจภาพรวมทั้งปีผลงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง งานนี้กูรูค่าย บล.ดาโอ (ประเทศไทย) เชียร์ให้ “ซื้อ” เคาะเป้าหมาย  7.25 บาท มองแนวโน้มปี 68 ฟอร์มสวย!! คาดกวาดกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท ทะยาน 40%  แถมยังมีโอกาสคว้าโครงการใหม่ อีกด้วย....ใครที่ยังเล็ง JPARK อย่าช้า เพราะเรื่องดีๆ ยังมีอีกเยอะคร้า

AU คาดงบ Q4 สะดุด แต่ไม่เป็นอุปสรรค จับตากำไรนิวไฮ 2 ปีซ้อน

AU คาดงบ Q4 สะดุด แต่ไม่เป็นอุปสรรค จับตากำไรนิวไฮ 2 ปีซ้อน

              หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ประเมินหุ้น AU ในขณะที่ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรสุทธิของ AU ใน 4Q67F จะเติบโต แข็งแกร่ง 72% YoY แต่น่าจะลดลงเล็กน้อย QoQ อยู่ที่ 81 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากรายได้จากร้านขายขนมหวาน และเครื่องดื่ม (dessert café) ลดลง 13% QoQ ด้วยเหตุจากภาวะน้ำท่วม โดยเฉพาะในภาคใต้ของไทย               อย่างไรก็ดีผลบวกของรายได้ไม่ใช่จากธุรกิจร้านขายขนมหวาน และ เครื่องดื่ม (non-café) ดีขึ้นอย่างมากทําให้กําไรยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่การขยายกําลังการผลิตจะปลดล็อกขีดจํากัดการผลิตของ non-café และหนุนกําไรปี 2568F ให้เติบโตต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 342 ล้านบาท ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรของ AU จะกลับมาเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ ใน 1Q68F คาดกําไรจะทําสถิติสูงสุดอีกครั้งในปี2568F               ฝ่ายวิจัยคาดผลประกอบการที่สะดุดใน 4Q67F ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของ AU ในปี2568 โดยคาดว่ากําไรสุทธิ จะทําสถิติสูงสุดใหม่เป็นปีที่สองติดต่อกัน อยู่ที่342 ล้านบาท โดยที่รายได้จากธุรกิจ non-caféจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักโดยเพิ่มขึ้น 53% YoY ทั้งนี้ สายการผลิตใหม่ (+30% ของ capacity ทั้งหมด) ได้เริ่มดําเนินการผลิตแล้วในเดือนมกราคม 2568 โดยจะปลดล็อกขีดจํากัดด้านการผลิตของ สินค้าnon-café ต่าง ๆ ได้นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะเปิดตัวขนมปังเนยสด (butter bun) รสชาติใหม่ๆ เร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ คาดว่ากําไรของ AU จะกลับมาเติบโตทั้ง YoY และ QoQ ใน 1Q68F

BE8 รับอานิสงส์ SRF call center  ธนาคารลงทุน cybersecurity หนุน

BE8 รับอานิสงส์ SRF call center ธนาคารลงทุน cybersecurity หนุน

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ BE8 ซึ่งเป็นบริษัทที่จะได้รับอานิสงส์จากการเพิ่มการลงทุนของกลุ่มธนาคาร เพื่อยกระดับความปลอดภัยของระบบ IT หลังจากที่รัฐบาลและ ธปท. ได้ให้ความสนใจต่อปัญหา scammer call center และแนวโน้มกฎการรับผิดชอบร่วมกันที่เรียกว่า Shared Responsibility Framework (SRF)           ซึ่ง SRF จะเริ่มบังคับใช้ และกำหนดให้ทั้งธนาคารและบริษัทสื่อสารมีความรับผิดชอบร่วมกันหากเกิด online scam ในอนาคต ตามเงื่อนไขที่กำหนด เนื่องจาก BE8 มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ cybersecurity ราว 30-40% ของรายได้ทั้งหมด BE8: ราคาพื้นฐาน 19.05 บาท

KJL คาดงบสวย กำไรเด้ง 15.5% จับตาโตจากสินค้าใหม่

KJL คาดงบสวย กำไรเด้ง 15.5% จับตาโตจากสินค้าใหม่

          หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ส่องหุ้น KJL โดยฝ่ายวิจัยคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ KJL ปี 2025 กลับมาขยายกำลังการผลิตอีกไม่น้อย กว่า 30%             ทั้งนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อ ขายที่ PER68 ต่ำเพียง 8.2 เท่า คาดเงินปันผลงวด 2H67 อีก 0.33 บาท/หุ้น ให้ ผลตอบแทน 4.9% คงค าแนะนำ ซื้อ  ฝ่ายวิจัยปรับลด PER ในการประเมินมูลค่าลงตามภาวะตลาด จาก 14.5 เท่า เป็น 12.0 เท่า คงคำแนะนำ ซื้อ           นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิ 4Q24 ที่50 ลบ. (+15.5% QoQ, +63.1% YoY) จากรายได้เติบโตจากออเดอร์หลัง น้ำท่วมและกลุ่ม Solar อีกทั้งหนุนให้GPM สูงขึ้น และ SG&A อยู่ในระดับปกติ และมองแนวโน้ม 1Q25 คาดยังได้แรงหนุนจากสินค้า กลุ่ม Solar และสินค้าใหม่ที่ออกในช่วง 2H24 ยัง ทำตลาดต่อเนื่อง

[Vision Exclusive] UBA บิ๊กโปรเจ็กต์700ล.  เล็งแผนลงทุนเสริมแกร่ง

[Vision Exclusive] UBA บิ๊กโปรเจ็กต์700ล. เล็งแผนลงทุนเสริมแกร่ง

          หุ้นวิชั่น - UBA บิ๊กโปรเจ็กต์จ่อออก 700 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร "สมชาติ สังหิตกุล" โชว์ศักยภาพรับงานเพียบ ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โตเกิน 10% รับอานิสงส์บริการจัดการน้ำเดินระบบ พร้อมลุยติดตั้งอุปกรณ์ขยายตัวต่อ อวดเงินสด 300 ล้านบาท เล็งแผนลงทุนเสริมแกร่ง           นายสมชาติ สังหิตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูทิลิตี้ บิสิเนส อัลลายแอนซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ UBA เปิดเผยกับทีมข่าว หุ้นวิชั่น ว่า ในปี 2568 บริษัทเตรียมติดตามโครงการที่ถูกเลื่อนมาจากปี 2567 ทั้งจากภาครัฐและเอกชน จากการสำรวจของบริษัท พบว่ามีโครงการรวมที่ถูกเลื่อนมาจากปี 2567 มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท โดยคาดว่าสัดส่วนการรับงานหรือมูลค่าที่บริษัทจะได้รับจะอยู่ที่ 30-40% ของมูลค่ารวม           แม้โครงการบางส่วนจะถูกเลื่อนจากปี 2567 มายังปี 2568 แต่ UBA มองว่า การเลื่อนดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เนื่องจากในปี 2567 บริษัทสามารถรับรู้รายได้ตามแผนที่วางไว้ทั้งนี้ โครงการที่ถูกเลื่อนจะเป็น ส่วนหนึ่งของการขยายงานของ UBA ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในปี 2568 และต่อเนื่องในอนาคต           UBA คาดการณ์ว่ารายได้ปี 2568 จะเติบโตมากกว่า 10% จากการเข้าชิงงานใหม่ในโครงการที่จะเกิดขึ้นตลอดปี โดยโครงการหลักจะมุ่งเน้นให้บริการ จัดการน้ำ เดินระบบ และบำรุงรักษาแบบครบวงจร (Integrated Operation and Maintenance หรือ "IOM")           นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการ ให้คำปรึกษา ออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ตามความต้องการของลูกค้า เพื่อสนับสนุนธุรกิจบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจร ซึ่งแนวโน้มงานติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีรายได้จากงานติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ราว 100 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 15%           UBA ยืนยันความพร้อมในการรับงานใหม่จากทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการขยายงานติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยบริษัทมี กระแสเงินสดและเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ สำหรับรองรับโครงการใหม่ ทั้งนี้ บริษัทมีเงินสดในงบการเงินที่รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ 300 ล้านบาท ซึ่งช่วยให้สามารถรับงานใหม่ได้อีกจำนวนมากเพราะไม่มีภาระดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ตอกย้ำความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน และความสามารถในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง           นายสมชาติ กล่าวต่อว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกาาแผนการลงทุน ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการจัดการน้ำเดินระบบและบำรุงรักษา พร้อมทั้งการบริการให้คำปรึกษา ออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆแบบครบวงร และธุรกิจอื่นๆ           โดย วันที่ 30 พฤษภาคม 2567 บริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อย โดยมีรายละเอียดดังนี้ ชื่อบริษัท บริษัท ยูบีวี จำกัด วันที่จดทะเบียน 30 พฤษภาคม 2567 วัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนในบริษัทอื่นเป็นหลัก ทุนจดทะเบียนและทุนที่เรียกชำระ 10,000,000 บาท (สิบล้านบาท) หุ้นสามัญจำนวน 1,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท ชำระมูลค่าหุ้น ร้อยละ 25 และ UBA ถือหุ้น 99.997% ส่วนแหล่งที่มาของเงินลงทุนมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท           อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 UBA มีรายได้อยู่ที่ 448.70 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 55.81 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

READY ชนะเลิศ! การทำโฆษณาออนไลน์ จาก Google ประเทศไทยเป็นครั้งที่ 3

READY ชนะเลิศ! การทำโฆษณาออนไลน์ จาก Google ประเทศไทยเป็นครั้งที่ 3

           บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ READY ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญอีกครั้ง ด้วยการคว้ารางวัลชนะเลิศจากการแข่งขัน Google Growth Hackathon ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ในเวทีการแข่งขันที่รวบรวมเอเจนซี่ด้านการตลาดออนไลน์ชั้นนำจากทั่วประเทศ เพื่อทำโฆษณาออนไลน์ด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือของ Google จนสามารถสร้างผลลัพธ์และเพิ่มรายได้แก่ลูกค้าอย่างได้ผล            READY เคยได้รับรางวัล Best in Automation Excellence ในปี 2023 และ 2024 ซึ่งสะท้อนความสามารถด้านการบริหารจัดการแคมเปญโฆษณาออนไลน์ด้วยระบบอัตโนมัติ และในการแข่งขันครั้งล่าสุด บริษัทฯ ยังคงแสดงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการตลาด (Marketing Technology) อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถคว้ารางวัล Best Client Success Story จากการผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับความเชี่ยวชาญของทีมงานในการบริหารแคมเปญโฆษณา เพื่อสร้างผลลัพธ์สูงสุดให้กับลูกค้า            ความสำเร็จในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการตอกย้ำถึงบทบาทของ READY ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมการตลาดออนไลน์และเทคโนโลยีการตลาด พร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจลูกค้าอย่างยั่งยืนต่อไป            ด้าน นายบุรินทร์ เกล็ดมณี รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปัจจุบันการทำโฆษณาออนไลน์ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ธุรกิจให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีการแข่งขันสูง  การทำธุรกิจต่างต้องการลดต้นทุนต่อการได้ลูกค้าใหม่ (Cost per Acquisition หรือ CPA) เพื่อให้การลงทุนในโฆษณามีความคุ้มค่าสูงสุด เพราะฉะนั้นการบริหารแคมเปญโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง            Readyplanet ได้นำเทคโนโลยีของบริษัทฯ มาทำงานร่วมกับเทคโนโลยีของ Google เพื่อขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุมและตรงจุดมากขึ้น นำไปสู่การสร้างผลลัพธ์ความสำเร็จ ที่สามารถช่วยลด Cost Per Acquisition (CPA) ได้ถึง 30% และเพิ่มความคุ้มค่าในการทำโฆษณา Return on Ad Spend (ROAS) ขึ้น 23% อีกทั้งสามารถสร้างการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นถึง 40% และมีอัตรา Conversion Rate สูงขึ้น 53% ภายในระยะเวลาไม่ถึงปี            นายบุรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “รางวัล Best Client Success Story ในปีนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจและเครื่องยืนยันถึงความเชี่ยวชาญและความมุ่งมั่นของทีมงาน Readyplanet เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนธุรกิจไทยให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในยุคดิจิทัล พร้อมทั้งพัฒนานวัตกรรมการตลาดเพื่อสร้างคุณค่าและความสำเร็จที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจ [PR News]

FPI ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะ 3 พันลบ. อินเดียดัน Backlog พุ่ง 1,000 ลบ.

FPI ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะ 3 พันลบ. อินเดียดัน Backlog พุ่ง 1,000 ลบ.

          หุ้นวิชั่น - บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) สุดสตรอง! ตั้งเป้ารายได้ปี 68 ทะยานแตะ 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องจากปีก่อน บิ๊กบอส "สมพล ธนาดำรงศักดิ์" ระบุ ลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่ พร้อมรับออเดอร์พุ่งกระฉูดโดยเฉพาะจากลูกค้าอินเดีย หนุน Backlog แน่น 1,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 2 ปี ลุยเพิ่มกำลังการผลิต และรุกขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ           นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) (FPI) เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ที่ระดับ 3,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 10% สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องจากปี 2567 หลังจากผ่านการลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่ พร้อมกับปรับปรุงระบบการจัดการภายในทั้งหมด รวมถึงระบบ ERP เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา           โดยเฉพาะธุรกิจของบริษัทลูกในประเทศอินเดีย 2 แห่ง มีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่น ทั้ง บริษัท เอฟพีไอ ออโต้ พาร์ท อินเดีย และ บริษัท อาร์บีเอส พลาสติก อินโนเวชั่น จำกัด ที่มีคำสั่งซื้อ OEM จากลูกค้าเข้ามาจำนวนมาก ขณะที่ลูกค้าในประเทศไทยก็มีแนวโน้มการเติบโตในทิศทางที่ดีเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ล่าสุดบริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ใน 2 ปี           ปัจจุบัน บริษัทฯ วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามามากขึ้น พร้อมกับมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ           “แผนการลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่และการปรับปรุงระบบต่างๆ เราทำเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2567 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการภายในทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว และมั่นใจว่าจากออเดอร์ในอินเดียที่เข้ามาจำนวนมาก และยอดขายในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สนับสนุนอนาคตเติบโตต่อเนื่อง” นายสมพล กล่าวในที่สุด [PR News]

TVDH บอร์ดไฟเขียวลงทุน

TVDH บอร์ดไฟเขียวลงทุน "ทีวีดี บรอดแคส" รุกธุรกิจวิทยุ โทรทัศน์

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวจิราภรณ์ พินิจนรชัย รักษาการเลขานุการบริษัทฯ บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVDH ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการเข้าลงทุนในบริษัท ทีวีดี บรอดแคส จำกัด โดยบริษัท ทีวีดี ลิงค์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นโดยอ้อมในสัดส่วน ร้อยละ 100.00 ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ ร้อยละ 45.00 มูลค่าการลงทุน 19.50 ล้านบาท และลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญในบริษัท ทีวีดี บรอดแคส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2568 ส่งผลให้บริษัท ทีวีดี ลิงค์ จำกัด ถือหุ้นบริษัท ทีวีดี บรอดแคส จำกัด เพิ่มขึ้นจากเดิม ร้อยละ 55.00 เป็นร้อยละ 100.00 ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ชื่อบริษัท : บริษัท ทีวีดี บรอดแคส จำกัด (TVD BROADCAST CO., LTD.) วัตถุประสงค์ : เพื่อลงทุนในธุรกิจการแพร่กระจายเสียงหรือการแพร่ภาพทางวิทยุและโทรทัศน์ โดยผลิตหรือให้บริการเป็นเสียง หรือภาพ หรือเป็นข้อมูล ทุนจดทะเบียนและหุ้น : 4,000,000 บาท แบ่งออกเป็น 40,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 100 บาท          บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า รายการดังกล่าว ไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551 (รวมถึงฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) และไม่เข้าข่าย เป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ที่มีนัยสำคัญตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 20/2551 (รวมถึงฉบับแก้ไขเพิ่มเติม)          ทั้งนี้ ขนาดของรายการดังกล่าวคำนวณจากเกณฑ์ มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน (อ้างอิงจากงบการเงินรวมที่สอบทานแล้วของกลุ่มบริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2567) โดยพิจารณารวมกับรายการที่เกิดขึ้นย้อนหลัง 6 เดือน แล้ว พบว่าขนาดของรายการอยู่ที่ 6.86% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 15%          อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องรายงานการจัดตั้งบริษัทย่อย ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศ และการปฏิบัติของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากเป็นกรณีที่บริษัทฯ ได้มาซึ่งเงินลงทุนในบริษัทอื่นส่งผลให้บริษัทดังกล่าวมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน

JPARK ช่องจอดมาตามนัด4หมื่นช่อง ชี้เป้า 6.80บ.

JPARK ช่องจอดมาตามนัด4หมื่นช่อง ชี้เป้า 6.80บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุถึง คาดกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 21 ลบ. ลดลง 77% q-q เพราะไม่มีกำไรจากรายการพิเศษที่เป็นส่วนต่างสัญญาเช่า-ให้เช่าช่วงพื้นที่เหมือนใน 3Q24 แต่เพิ่มขึ้น 64% y-y หลักๆ มาจากฐานกำไรที่ต่ำของปีก่อน           ด้านธุรกิจ PS มีรายได้เพิ่มขึ้นจากโครงการอาคารที่จอดรถและพื้นที่เช่าพระนั่งเกล้าตั้งแต่ 3Q24 เป็นต้นมา ส่วน PMS มีรายได้เพิ่มขึ้นจากค่าบริหารที่จอดรถบริเวณสนามบินขอนแก่น และ One Bangkok ทำให้ทั้งปี 2024 มีจำนวนช่องจอดรถทั้งหมด 40,000 ช่องจอด ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคาดกำไรปกติปี 2024 +34% y-y และปี 2025 คาด +10% y-y คงราคาเป้าหมาย 6.80 บาท แนะนำ “ถือ”

TACC ตั้งเป้ารายได้ปี68โตอย่างน้อย 10% รุกพัฒนาโปรดักส์ใหม่ในกลุ่มธุรกิจ B2B และ B2C

TACC ตั้งเป้ารายได้ปี68โตอย่างน้อย 10% รุกพัฒนาโปรดักส์ใหม่ในกลุ่มธุรกิจ B2B และ B2C

         หุ้นวิชั่น - บมจ.ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) กางแผนปี 68 ตั้งเป้ารายได้เติบโตอย่างน้อย 10% ขึ้นไป มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าด้านความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพ เพื่อธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน (Compounding Quality Value) ลุยพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่มธุรกิจ B2B (7-Eleven) และ B2C (Non 7-Eleven) สอดรับเทรนด์ผู้บริโภค พร้อมสร้างสินค้าใน Brand ของบริษัทฯ เจาะกลุ่มสินค้า Health & Wellness อัพรายได้ และผลักดันการใช้แนวคิด ESG เป็นแนวคิดสำคัญในการดำเนินธุรกิจ เพื่อพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านต้นทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง          นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) (TACC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโตอย่างน้อย 10% ขึ้นไป จากปีก่อน โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าด้านความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพ เพื่อธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน (Compounding Quality Value) และการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านต้นทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเตรียมออกสินค้าใหม่ให้สอดรับเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งในส่วนของกลุ่มธุรกิจ B2B (7-Eleven) และกลุ่มธุรกิจ B2C (Non 7-Eleven)          สำหรับภาพรวมกลุ่มธุรกิจ B2B (7-Eleven) ในปี 2568 บริษัทฯมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า Core Menu และ New Menu รวมทั้งออกสินค้าใหม่ร่วมกันในฐานะ Key Strategic Partner ไม่ว่าเป็นเครื่องดื่มเย็นในโถกด (Jet Spray) และ เครื่องดื่ม Non-Coffee Menu ใน All Café          ขณะที่ 7-Eleven ต่างประเทศ (ประเทศกัมพูชาและลาว) มีการเติบโตตามการขยายสาขา ในส่วนของประเทศกัมพูชา มีการร่วมพัฒนาสินค้าเครื่องดื่มใหม่ ๆ ในกลุ่ม Counter drink เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคชาวกัมพูชา          “เรายังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้ากลุ่มใหม่ๆ เพิ่มเติมร่วมกับ 7-Eleven ที่เป็นพันธมิตรหลักทางธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าแต่ละ Segmentation และกระตุ้นยอดขาย โดยยังคงรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรหลักทางธุรกิจให้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง”          ส่วนภาพรวมกลุ่มธุรกิจ B2C (Non 7-Eleven) ในปี 2568 บริษัทฯพร้อมพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม Café Business  และการเพิ่มลูกค้ารายใหม่ให้มากขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ  นอกจากนี้ ยังมีแผนสร้างสินค้าที่เป็น Brand ของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นกลุ่ม Health  & Wellness Products อย่างต่อเนื่อง และมีแผนการขยายช่องทางการขายใหม่  ขณะที่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ ในส่วนของคาแรคเตอร์ มีการสร้างการรับรู้ในตัวคาแรคเตอร์ใหม่มากขึ้น          ประธานกรรมการบริหาร TACC กล่าวอีกว่า บริษัทฯยังมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่มาจากการ M&A, JV เพื่อเป็น New S-Curve  สามารถมาต่อยอดกับธุรกิจเดิม และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น [PR News]

[Vision Exclusive] ARROW ปั๊มแบ็กล็อกพันล. โรงงานใหม่ดันส่งออกโตเท่าตัว

[Vision Exclusive] ARROW ปั๊มแบ็กล็อกพันล. โรงงานใหม่ดันส่งออกโตเท่าตัว

          หุ้นวิชั่น - ARROW ตั้งเป้า Backlog ปี 68 แตะพันล้าน จากปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาที่ 700 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร "ธานินทร์ ตันประวัติ"  คาดรายได้โต 5-10% รับดีมานด์เหล็กฟื้น หนุนมาร์จิ้นเติบโต พร้อมทุ่มงบ 150 ล้านบาท ขยายโรงงาน Free Zone ดันส่งออกโตเท่าตัวแตะ 20%           นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW เปิดเผยถึง แนวโน้มธุรกิจในปี 2568 ว่า แม้ภาพรวมอาจยังไม่ชัดเจนจากปัจจัยเศรษฐกิจและการลงทุนที่มีความผันผวน แต่บริษัทได้วางแผนมุ่งเน้นสะสม Backlog หรือยอดคำสั่งซื้อรอการส่งมอบให้ได้มากที่สุด           สำหรับเป้าหมายในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ายอด Backlog แตะระดับ 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่ยอด Backlog ทยอยเพิ่มขึ้นจนแตะระดับ 700 ล้านบาทแล้ว ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการในตลาดที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง บิราทจะเดินหน้าขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการหางานใหม่เพิ่มเติมในปี 2568 เพื่อสนับสนุนการเติบโตและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ อีกทั้งบริษัทมีแผนเชิงรุกในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มปริมาณงานใหม่ เพื่อสร้างความมั่นคงและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายการเติบโตในสิ้นปี 2568           ARROW ประเมินทิศทางการเติบโตในปี 2568 มีแนวโน้มสดใส โดยคาดว่าความต้องการใช้เหล็ก (ดีมานด์) จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ           บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 2568 เติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 ในอัตรา 5-10% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของยอดขายดังกล่าวคาดว่าจะช่วยสนับสนุนอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) ให้เติบโตในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ARROW ยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตในตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง           "สถานการณ์ต้นทุนวัตถุดิบที่ไม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ช่วยเพิ่มโอกาสให้บริษัทเดินหน้าเก็บงานใหม่เพิ่มเติมได้อย่างต่อเนื่อง โดยหากยอดขายเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้มาร์จิ้นเติบโตตามไปด้วย"นายธานินทร์ กล่าว           นายธานินทร์ กล่าวต่อว่า ARROW วางแผนลงทุนเชิงรุกในปี 2568 โดยเตรียมขยายโรงงานในเขตปลอดอากร (Free Zone) เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าและรองรับการส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยบริษัทตั้งเป้าขยายสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 15-20% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนส่งออกประมาณ 7% โดยการลงทุนครั้งนี้ใช้งบประมาณ 150 ล้านบาท สำหรับสร้างโรงงานใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความคืบหน้าของโครงการและโครงสร้างโรงงานได้ภายในปลายปี 2568           ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการมองหาที่ดินสำหรับก่อสร้างโรงงาน พร้อมจัดทำแผนการก่อสร้างอย่างละเอียด เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในตลาดส่งออกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] ATP30 ลูกค้าใหม่จ่อ-วางงบ 130ล. รถอีวีฮอต!

[Vision Exclusive] ATP30 ลูกค้าใหม่จ่อ-วางงบ 130ล. รถอีวีฮอต!

          หุ้นวิชั่น - ATP30 ส่งสัญญาณบริการรับส่งพนักงานปี 68 คึกคัก ลูกค้าใหม่ในไปป์ไลน์แน่น พร้อมขยายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อีก 25 คัน คาดใช้งบลงทุน 130 ล้านบาท ด้านบอสใหญ่ "ปิยะ เตชากูล" มองรายได้โตต่อไม่ต่ำกว่า 10% จับตาอัตราการทำกำไรสวย           นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการรถรับส่งพนักงานจากแหล่งที่พักอาศัยไปยังโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ รอบเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) และเขตอุตสาหกรรมภาคกลาง เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ทิศทางธุรกิจบริการรับส่งพนักงานในปี 2568 มีแผนขยายฐานลูกค้าใหม่และปรับเปลี่ยนการให้บริการลูกค้าเดิมไปสู่การใช้รถไฟฟ้า (EV) มากขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและการเปลี่ยนผ่านสู่การให้บริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต           ปัจจุบันบริษัทได้รับการยืนยันจากลูกค้าใหม่แล้ว 2 ราย และอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มเติมอีก 2 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้           ATP30 วางแผนเพิ่มจำนวนรถไฟฟ้า (EV) อีก 15-25 คันในปี 2568 จากปัจจุบันที่มีรถ EV ให้บริการอยู่ 13 คัน โดยมีอัตราการใช้งาน (Utilization) เต็ม 100% หลังจากที่บริษัทได้ทดลองใช้รถ EV มาแล้ว 2 ปี และได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า บริษัทตั้งงบลงทุนในการเพิ่มรถ EV ในครั้งนี้ที่ 130 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการบริการที่เพิ่มขึ้น พร้อมผลักดันการใช้รถไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม           และปัจจุบัน ATP30 มีรถทั้งหมด 730 คันที่ให้บริการลูกค้าในเขตอุตสาหกรรมภาคตะวันออกและภาคกลาง บริษัทมองทิศทางการให้บริการรถรับส่งพนักงานในปี 2568 ภาพรวมของตลาดอาจมีการปรับตัวลดลงบ้างจากปัจจัยภายนอก แต่สำหรับ ATP30 ยังคงได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าเรียกใช้บริการรถเต็มจำนวน และมีแนวโน้มที่ลูกค้าใหม่จะสนใจใช้บริการเพิ่มขึ้น           แม้จะมีความท้าทายจากภาพรวมตลาดที่อาจชะลอตัว แต่บริษัทมั่นใจในความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าใหม่ และการขยายตัวของบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการในด้านการขนส่งพนักงานจากแหล่งชุมชนไปสู่โรงงานอุตสาหกรรม           นายปิยะ กล่าวต่อว่า ทิศทางการเติบโตปี 2568 คาดรายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่แนวโน้มอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) ปี 2568 จะดีกว่าปี 2567 เล็กน้อย โดย Gross Profit Margin ปีที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 20% รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision  

BKA เปิดฉากโรดโชว์ ตอกย้ำ “ที่ 1 เรื่องบ้านมือสอง”

BKA เปิดฉากโรดโชว์ ตอกย้ำ “ที่ 1 เรื่องบ้านมือสอง”

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA เปิดฉากนำเสนอข้อมูลนักลงทุนทั่วไป (RETAIL INVESTOR ROADSHOW) ตอกย้ำ “BKA ที่ 1 เรื่องบ้านมือสองตกแต่งใหม่” เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ก่อนเสนอขาย IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น             นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ผู้นำในธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ นำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนทั่วไป (RETAIL INVESTOR ROADSHOW)ในครั้งนี้ เพื่อตอกย้ำถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านแต่ง” หรือเรียกว่า “Flipping”) ซึ่งเป็นการรับฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงก่อนขาย เพื่อให้มีสภาพใหม่พร้อมอยู่อาศัย พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (“ธุรกิจบ้านฝาก”) และ ธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านตัด”) ก่อนที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น ที่ราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai)           การระดมทุนในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจของ BKA ให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ สู่การขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้นรวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการ ซื้อขายอสังหาฯ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลาย เพิ่มมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์           “ด้วยศักยภาพ รวมถึงโอกาสทางธุรกิจ ในฐานะผู้นำธุรกิจบ้านมือสอง ทำให้วันนี้ BKA สามารถตอบโจทย์ความเป็น “ที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง” ภายใต้จุดเด่นและความได้เปรียบกว่าบ้านมือหนึ่ง บนทำเลเดียวกัน ราคาที่คุ้มค่ากว่า และพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ถือเป็นหัวใจหลักที่ผลักดันให้  BKA เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน จนก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชนในวันนี้”           ด้วยศักยภาพและจุดเด่นดังกล่าว สะท้อนถึงผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 1,304.94 ล้านบาท 1,302.92 ล้านบาท 1,313.59 ล้านบาท และ 870.03 ล้านบาท ตามลำดับ           ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ระดับ 49.77 ล้านบาท 21.44 ล้านบาท 22.27 ล้านบาท และ 27.64 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 3.81 ร้อยละ 1.65 ร้อยละ 1.70 และร้อยละ 3.18 ในปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 ตามลำดับ           ด้านนางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า BKA มีจุดเด่นข้อได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจบ้านมือสอง ได้แก่ 1. บ้านมือสองมีความได้เปรียบทั้งด้านทำเล และราคาที่คุ้มค่ากว่า เมื่อเทียบกับบ้านโครงการใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้หาซื้อบ้าน 2. Model ธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) เป็นการวางเงินประกัน ปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนบ้านทั้งหลัง ทำให้ประหยัดเงินลงทุนไปได้มาก และได้ผลตอบแทนสูง 3. ตลาดบ้านมือสองยังมีศักยภาพการเติบโต เนื่องจากสถาบันการเงินและ AMC มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ในระบบจำนวนมาก ซึ่งเป็นสินค้าบ้านมือสองทำเลดี และราคาคุ้มค่าต่อการลงทุน 4. BKA เป็นผู้นำในธุรกิจบ้านมือสองที่มีจำนวนบ้านมือสองตกแต่งใหม่พร้อมขายจำนวนมาก โดยให้บริการปรับปรุง และขายบ้านมือสอง ซึ่งมีรายได้กระจายไปในบ้านแต่ง บ้านฝาก และบ้านตัด หลายโครงการในทำเลที่ดี โดยไม่ได้ Focus โครงการใดโครงการหนึ่งเป็นหลัก และ 5.ผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจมาเป็นระยะเวลากว่า 12 ปี  รวมทั้งมี Website ที่ทำให้สะดวกในการเข้าถึงข้อมูลบ้านมือสองในทำเลต่าง ๆ และยังมีเครือข่าย Agent  ที่สามารถอำนวยความสะดวก และรวดเร็วให้กับลูกค้า ซึ่งช่วยสนับสนุนการขาย และสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัทฯ ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจของ BKA ที่จะมุ่งสู่การสร้างโอกาส ในธุรกิจบ้านมือสอง ให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต           “BKA เตรียมการเพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยปัจจุบัน BKA มีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 210 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้(พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ [PR News]

PROEN ผนึก VMware ยกระดับ SEA Cloud ดันองค์กรเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล

PROEN ผนึก VMware ยกระดับ SEA Cloud ดันองค์กรเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล

          PROEN ประกาศจับมือ VMware ยกระดับ SEA Cloud สู่การให้บริการด้วยมาตรฐานระดับโลก ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างราบรื่น เพื่อเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจ นายวิศรุต มานูญพล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายนวัตกรรม บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN เปิดเผยว่า PROEN ได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัท วีเอ็มแวร์ หรือ VMware ผู้นำด้านเทคโนโลยี Virtual Machine ระดับโลก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ SEA Cloud ระบบ Infrastructure-as-a-Service(IaaS) โดยใช้พื้นที่โครงสร้างข้อมูลบนศูนย์ข้อมูลของ PROEN ให้เป็นโซลูชั่นมาตรฐานสากลระดับโลก สามารถรองรับความต้องการขององค์กรในยุคดิจิทัล ที่ต้องการโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพได้อย่างครอบคลุม โดยเน้นความปลอดภัย ความเร็ว และความง่ายดาย นายวิศรุต กล่าวต่อว่า การประกาศความร่วมมือในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ PROEN ในการยกระดับ SEA Cloud ที่ออกแบบมาให้เป็นโซลูชั่นคลาวด์ที่ทันสมัยและครบวงจร เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การค้าปลีก การเงิน การศึกษา หรือการบริการสุขภาพ เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างราบรื่น ด้วยเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่นและปลอดภัย การเพิ่มประสิทธิภาพ SEA Cloud ออกแบบมาให้เป็นโซลูชั่นคลาวด์ที่ทันสมัยและครบวงจรในครั้งนี้ จึงเป็นทางเลือกชั้นนำด้านคลาวด์โซลูชันสำหรับองค์กร ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ที่หลากหลายทั้งด้าน อาทิเช่น - ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ในการลงทุนในทรัพยากรที่เกินความจำเป็น ทั้งในส่วนของการจัดซื้อฮาร์ดแวร์ การบำรุงรักษาระบบ - รองรับการขยายตัวของธุรกิจได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวได้รวดเร็วในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง - มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล สร้างความมั่นใจให้กับองค์กร เพื่อให้ข้อมูลและระบบได้รับการป้องกันสูงสุด -สามารถใช้ร่วมกับโซลูชันเทคโนโลยีต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรสามารถนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุด มาใช้งานร่วมกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ -มีส่วนช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้กับสังคม เพราะ SEA Cloud ช่วยลดการใช้พลังงานและทรัพยากรที่ไม่จำเป็น           "PROEN มุ่งมั่น และพร้อมจะพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการที่ดีที่สุด ให้กับองค์กรต่างๆ เพื่อเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจ  รองรับการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน" นายวิศรุต กล่าว

CMO ชำระหุ้นกู้ ตามกำหนด พร้อมเปิดแผนธุรกิจปี 68 อีเวนต์บูม

CMO ชำระหุ้นกู้ ตามกำหนด พร้อมเปิดแผนธุรกิจปี 68 อีเวนต์บูม

          “ซีเอ็มโอ” (CMO) สร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ชำระคืนหุ้นกู้รุ่น CMO23NA งวดที่ 6  พร้อมดอกเบี้ย ตามกำหนด เป็นจำนวนเงิน 5,774,500.29 บาท ด้านผู้บริหารเปิดแผนลุยธุรกิจ ควบคู่การรักษากระแสเงินสด ตั้งเป้าปี 68 เติบโต 15-20% รับตลาดอีเวนต์บูม พัฒนาเทคโนโลยี เร่งขยายฐานต่างแดน           นางสาวนภามาศ พลายงาม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO ดำเนินธุรกิจสร้างสรรค์บริหารจัดการงานอีเวนต์ นิทรรศการ พิพิธภัณฑ์ งานประชุมสัมมนา คอนเสิร์ต และเฟสติวัล เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ยงวดที่ 6 ของ “หุ้นกู้ CMO23NA” ให้กับผู้ถือหุ้นกู้ทุกท่านเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 โดยผ่านนายทะเบียนหุ้นกู้ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 5,774,500.29 บาท  คิดเป็นร้อยละ 5 ของมูลค่าเงินต้นหุ้นกู้ ณ วันออกหุ้นกู้           “บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานและบริหารจัดการทางการเงิน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน รวมทั้งการจัดสรรเงินทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ ขอให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัททุกราย เชื่อมั่นว่าบริษัทฯ ได้นำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นหุ้นกู้ได้ครบตามกำหนดมาตลอด ทั้งนี้ บริษัทฯ จะดำเนินงานตามแผนที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัด เดินหน้าพัฒนาและยกระดับองค์กรสร้างโอกาส ในการขยายตลาดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต” นางสาวนภามาศ กล่าว           ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมาทาง บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO ได้ชำระคืนหุ้นกู้ตามกำหนดไปแล้ว รวมทั้งสิ้นคิดเป็นมูลค่ากว่า 55 ล้านบาท อย่างไรก็ดี การบริหารจัดการการเงินของบริษัทฯ มุ่งเน้นความรอบคอบและโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนทุกคน และการชำระคืนหุ้นกู้ตรงเวลาในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการบริหารเงินที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็น การสะท้อนย้ำถึงศักยภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน และ ยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี           ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ซีเอ็มโอ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับเป้าหมายในปี 2568 บริษัทฯ ลุ้นผลงานกลับมาเทิร์นอะราวด์ จากการเดินหน้าขยายธุรกิจปรับโครงสร้างทั้งกลยุทธ์ภายใน และ กลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มมาร์จิ้น พร้อมตั้งเป้าเติบโต 15-20% มุ่งเน้นการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจองค์กรและหน่วยงานภาครัฐที่มีแนวโน้มใช้งบประมาณด้านอีเวนต์เพิ่มขึ้น ตลอดจนมีแผนการขยายตลาดต่างประเทศ ไปยังประเทศที่มีศักยภาพสูงและมีความต้องการงานอีเวนต์ การจัดงานระดับโลกอย่างต่อเนื่อง [PR News]

TQR ตั้งเป้ารายได้โต 5-10% ลุยประกันภัยต่อ Alternative-Traditional เต็มสปีด

TQR ตั้งเป้ารายได้โต 5-10% ลุยประกันภัยต่อ Alternative-Traditional เต็มสปีด

          บมจ.ที คิว อาร์ (TQR) เปิดแผนธุรกิจปี 68 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-10% จากปีก่อน เดินหน้าพัฒนา ประกันภัยต่อ Alternative และ Traditional  รูปแบบใหม่ร่วมกับบริษัทประกันภัยชั้นนำต่อเนื่อง ส่วนบริษัทร่วมทุน อัลฟ่าเซคฯ และ อาร์สแควร์ฯ นำเทคโนโลยี AI มาพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน หนุนผลงานเติบโตอย่างมั่นคง                       นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR)  เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 5-10% จากปีก่อน โดยธุรกิจประกันภัยต่อ Traditional และ Alternative ยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง TQR มีการพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ๆ ร่วมกับบริษัทประกันภัยชั้นนำ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงและรับมือกับความเสี่ยงอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต           “ปี 2568 เราประเมินว่า ผู้บริโภคมีความต้องการในการทำประกันภัยเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากความเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ และการระบาดของโรคอุบัติใหม่ประกอบกับ บริษัทฯ วางแผนนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ร่วมกับบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) (TQM) เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้มากขึ้น ทั้ง ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับ ESG โดยเฉพาะในด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และรถยนต์ไฟฟ้า (EV), ประกันภัยต่อสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident and Health), ประกันภัยไซเบอร์ (Cyber), ประกันภัยความรับผิดของกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหาร (Directors and Officers), ประกันภัยต่อการก่อการร้ายและภัยทางการเมือง (Political Violence), ประกันภัยที่อยู่อาศัย ซึ่งธุรกิจประกันภัยต่อจะมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยงให้กับบริษัทประกันภัย พร้อมทั้ง จะช่วยผลักดันผลงาน TQR ให้เติบโตมั่นคงและยั่งยืน” นายชนะพันธุ์กล่าว                     นางยุพเรศ พิริยะพันธุ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR) กล่าวว่า สำหรับบริษัทร่วมทุนทั้ง 2 บริษัท ประกอบด้วย “บริษัท อัลฟ่าเซค จำกัด” โดย TQR ถือหุ้นในสัดส่วน 30% เพื่อประกอบธุรกิจประกันภัยไซเบอร์  มีการพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการให้เป็นระบบอัตโนมัติ (Automatically) และนำเทคโนโลยีAI มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ลูกค้า อีกทั้ง ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังได้เริ่มขยายธุรกิจในด้านการให้คำปรึกษาและบริการ DPO Outsourcing ไปในกลุ่มอุตสาหกรรมประกันภัยที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจการเงิน การธนาคาร และธุรกิจประกันภัย                     ในส่วนของธุรกิจให้บริการ (Service) ของบริษัทร่วมทุน “บริษัท อาร์สแควร์ จำกัด” ในปีนี้ มุ่งเน้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการปรับปรุงคุณภาพของแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการลูกค้า โดยนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในด้าน Face Recognition ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการแล้วจำนวน 4 ราย และมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าและเครือข่ายไปในอีกหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ในรูปแบบการควบรวมกิจการ (M&A) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ

BJC คาดปีนี้กำไรโต 10%   SSSG บวกต่อ โบรกแนะ “ซื้อ” ที่ 30 บาท

BJC คาดปีนี้กำไรโต 10% SSSG บวกต่อ โบรกแนะ “ซื้อ” ที่ 30 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ใน 4Q24F คาดว่า BJC จะมีกำไรหลักของ BJC จะลดลง 6% yoy เป็น 1.5 พันล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าเช่าลดลง 2% yoy (เพราะมีการปรับปรุงห้างหลายแห่ง) เหลือ 2.3 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอื่นๆ เติบโตได้ดี โดยเฉพาะบิ๊กซี (มีส่วนแบ่งรายได้ 65%) การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) อยู่ที่ 1.5% อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มขยายตัว 0.8ppt yoy เป็น 21% อาจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 130 ล้านบาทจากการป้องกันความเสี่ยงในบัญชีเจ้าหนี้ เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยในไตรมาสนี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ 30 บาท เนื่องจากเราคิดว่า SSSG จะยังคงเป็นบวกต่อไปในปี 2025 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น นอกจากนี้ BJC ซื้อขายที่ 17.5 เท่า P/E ปี 2568F -2SD ของค่าเฉลี่ยระยะยาว 4Q24F กำไรหลักลดลงจากค่าเช่าแต่ยอดขายยังดีอยู่ เราประเมินยอดขายเติบโต 3% yoy โดยได้แรงหนุนจากยอดขายเติบโตดีในทุกหมวด โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจสุขภาพที่อาจเติบโต 7% yoy (เนื่องจากเพิ่มงบประมาณจากความล่าช้าครั้งก่อน) Big C (ส่วนแบ่งรายได้ 65%) SSSG หันมาเป็นบวกที่ 1.5% (จาก 0% ใน 3Q24) เนื่องจากสามารถปรับปรุงการเลือกสรรและความสดของผลิตภัณฑ์อาหารสดที่ดึงดูดลูกค้าได้ ยอดขายกลุ่มบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น 3% yoy เนื่องจากยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดีขึ้นในประเทศไทย และเวียดนามซึ่งเจาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มรายย่อย เราคาดว่าธุรกิจผู้บริโภคยอดขายจะลดลง 3% yoy จากแนวโน้มการบริโภคที่ซบเซาในประเทศไทย อัตรากำไรขั้นต้นอาจเพิ่มขึ้น 0.8ppt yoy (เป็น 21%) จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง (เช่น โซดาแอชในธุรกิจบรรจุภัณฑ์) รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นที่ Big C จากอาหารสดที่ดีขึ้นซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น2025 กำไรหลักคาดว่าจะโต 10% เราคาดว่ากำไรหลักจะเติบโต 10% ในปี 2025F โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของยอดขาย 5% จากทั้งสี่กลุ่ม SSSG ของ Big C อาจอยู่ที่ 2% และอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มอาจทรงตัว yoy (ที่ 20%) เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ (โซดาแอช อะลูมิเนียม) ทรงตัวเป็นส่วนใหญ่ ความเสี่ยงหลักคือการฟื้นตัวของการบริโภคที่อาจช้ากว่าที่คาด เราให้ TP ที่ 23.8x P/E ปี 2025F ซึ่งต่ำกว่าตัวคูณเฉลี่ยระยะยาว -1SD เรามองว่าการฟื้นตัวของ SSSG เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเชิงบวก ความเสี่ยงที่สำคัญคือการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศไทยช้ากว่าคาด

[Vision Exclusive] CHEWA ส่งซิกคอนโดขายดี-ยอดโอนเพียบ

[Vision Exclusive] CHEWA ส่งซิกคอนโดขายดี-ยอดโอนเพียบ

          หุ้นวิชั่น - CHEWA เตรียมแถลงแผนธุรกิจ 19 ก.พ. นี้ ลุ้นเปิดตัวโครงการอสังหาฯทำเงิน ด้านบอสใหญ่ "บุญ ชุน เกียรติ" ชี้คอนโดมิเนียมขายดี ส่งซิกดีมานด์ล้น ลั่นสิ้นปี 68 โครงการร่วมทุนพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่นสร้างเสร็จ จ่อบุ๊กยอดโอนกรรมสิทธิ์เข้าพอร์ตต่อ           นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า บริษัทเตรียมแถลงแผนธุรกิจประจำปี 2568 ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้ โดยจะนำเสนอแผนการดำเนินธุรกิจและเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 นอกจากนี้ คาดว่าแผนการซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวสูงจะถูกเปิดเผยในวันดังกล่าว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญที่สะท้อนถึงทิศทางการขยายธุรกิจของ CHEWA ในอนาคต           สำหรับทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ยังคงเผชิญความท้าทาย โดยมองว่าแนวโน้มตลาดโดยรวมอาจไม่เติบโตจากปี 2567 เนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ CHEWA พบว่าโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียมยังคงได้รับความนิยม โดยโครงการ ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 ทั้ง 2 เฟส สามารถปิดการขายได้หมดแล้วและอยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์ เช่นเดียวกับโครงการ ชีวาทัย ปิ่นเกล้า ที่ยอดขายใกล้ปิดจบทั้งหมด ด้วยยอดขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่แข็งแกร่งดังกล่าว ทำให้ CHEWA มีตัวเลขยอดรอโอนในปี 2568 จำนวนมาก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันรายได้ของบริษัทในปีนี้           ในช่วงสิ้นปี 2568 บริษัทคาดว่าจะมีโครงการที่พัฒนาแล้วเสร็จ ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น และพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงเวลาดังกล่าว โครงการใหม่นี้จะเข้ามาทดแทนโครงการเดิมที่ปิดการขายและอยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2568 โดย CHEWA มั่นใจว่าความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่นจะช่วยเสริมศักยภาพการพัฒนาโครงการและสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในอนาคต           นายบุญ กล่าวต่อว่า ทิศทางดอกเบี้ยในปัจจุบันแม้การปรับลดดอกเบี้ยอาจช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของบริษัท แต่ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการขายโครงการที่อยู่อาศัยในปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับดอกเบี้ย           "ปัญหาหลักของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้อยู่ที่ความสามารถในการขอสินเชื่อของผู้ซื้อ และความต้องการซื้อบ้านที่ขึ้นอยู่กับความพร้อมในการกู้มากกว่า" นายบุญกล่าว           ทั้งนี้ CHEWA ยังคงติดตามสถานการณ์ดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด และมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision  

[Vision Exclusive] TM ปั๊มยอดรับมือ PM2.5! The Parents ถึงจุดคุ้มทุน

[Vision Exclusive] TM ปั๊มยอดรับมือ PM2.5! The Parents ถึงจุดคุ้มทุน

          หุ้นวิชั่น - TM ชูเครื่องฟอกอากาศใหญ่ เจาะตลาดห้องประชุม ร้านอาหาร รับมือ PM2.5 ด้านแม่ทัพใหญ่ "สุนทรี จรรโลงบุตร" มั่นใจธุรกิจปี 68 โตแกร่ง คาดรายได้รวมแตะ 770 ล้านบาท พร้อมโครงการ The Parents ถึงจุดคุ้มทุน ปีนี้ทะยานเท่าตัว เร่งเครื่องปั๊มผลงานพลิกบวก           นางสุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทมีสินค้าประเภทเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสำหรับห้องขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 170-500 ตารางเมตร เช่น ห้องประชุม ร้านอาหาร และห้องจัดเลี้ยง           เครื่องฟอกอากาศดังกล่าวมีคุณสมบัติเด่นในการฟอกอากาศ ลดกลิ่น และฆ่าเชื้อโรค รวมถึงสามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย TM เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องฟอกอากาศสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น ห้องประชุม ร้านอาหาร และห้องจัดเลี้ยง โดยมุ่งตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจที่ต้องการควบคุมคุณภาพอากาศ พร้อมยกระดับมาตรฐานด้านสุขอนามัยในพื้นที่ให้บริการ           สินค้าดังกล่าวได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงที่ปัญหามลภาวะทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละออง PM2.5 ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม TM ระบุว่ายอดขายเครื่องฟอกอากาศผ่านช่องทางออนไลน์อาจยังไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับยอดขายรวมของบริษัท เนื่องจากสินค้าหลักยังคงเป็นวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ที่จำหน่ายให้กับโรงพยาบาลชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชน           สำหรับทิศทางในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งการจำหน่ายและการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเป็น 730 ล้านบาท จากปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย           นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าปี 2568 จะเป็นปีที่โครงการ The Parents ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจรของ TM จะถึงจุดคุ้มทุน (Break Even) เนื่องจากแนวโน้มการให้บริการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนผู้เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของโครงการและศักยภาพการเติบโตในระยะยาว คาดโครงการ The Parents ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2568 โดยตั้งเป้าการเติบโตสูงถึง 100% จากปี 2567 ซึ่งเติบโตราว 60% และปี 2568 คาดว่าโครงการ The Parents จะสร้างรายได้ราว 30-40 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายและการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโต           ทั้งนี้ TM ตั้งเป้ารายได้รวมในปี 2568 แตะระดับ 770 ล้านบาท พร้อมมุ่งผลักดันผลประกอบการให้กลับมาเป็นบวก โดยอาศัยแนวโน้มธุรกิจที่แข็งแกร่งและการขยายตลาดในกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต และ TM ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจและขยายช่องทางการจำหน่ายเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

CMO แจ้งชำระคืนหุ้นกู้บางส่วนพร้อมดอกเบี้ย

CMO แจ้งชำระคืนหุ้นกู้บางส่วนพร้อมดอกเบี้ย

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้ดำเนินการชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้บางส่วนพร้อมดอกเบี้ยงวดที่ 6 ของ “หุ้นกู้ของบริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน” (“หุ้นกู้” หรือ “CMO23NA”) ให้กับผู้ถือหุ้นกู้ทุกท่านแล้ว เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 โดยผ่านนายทะเบียนหุ้นกู้ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 5,774,500.29 บาท (คิดเป็นร้อยละ 5 ของมูลค่าเงินต้นหุ้นกู้ ณ วันออกหุ้นกู้)           บริษัทขอแสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นกู้ตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้หากมีความคืบหน้าบริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบในครั้งถัดไป

โกลเบล็กแนะ

โกลเบล็กแนะ"ซื้อ" TNP ค้าปลีกเชียงรายฮอต เคาะเป้า 5 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง TNP ว่า แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 5 บาท มีอัพไซต์ 62% ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไร 4Q67 และช่วง 1H68 คาดคงเติบโตต่อเนื่อง           คาดการณ์กำไรในไตรมาส 4/67 ยังคงเติบโตทั้งเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (YoY) และไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แม้ว่าไตรมาสก่อนจะมีฐานที่สูง โดยในไตรมาส 3/67 มีกำไร 47 ล้านบาท (+41% YoY, +12% QoQ) ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ ซึ่งกระตุ้นให้มีการเร่งกักตุนสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าว ส่งผลให้ SSSG ในไตรมาส 4/67 ลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการจะยังคงเติบโตจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การเข้าสู่ช่วง High Season อานิสงส์จากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ที่กลุ่มผู้มีสิทธิ์เพิ่งได้รับในช่วงปลายไตรมาส 3/67 รวมถึงรอบเก็บตกในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม การขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 สาขา รวมเป็น 49 สาขา ณ สิ้นปี 2567           ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 181 ล้านบาท (+13% YoY) โดย 9 เดือนแรกของปี 2567 คิดเป็น 75% ของประมาณการนี้           ความเห็น: ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองบวกต่อแนวโน้มกำไรในไตรมาส 4/67 และช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ Easy E-receipt มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 (สำหรับผู้สูงอายุได้รับเงินวันที่ 27 มกราคม 2568) และเฟส 3 (สำหรับบุคคลทั่วไปได้รับเงินในช่วงเมษายน-มิถุนายน 2568)           และแผนการขยายสาขาอีก 5 แห่ง ช่วยผลักดันให้ผลประกอบการปี 2568 เติบโตประมาณ 8-10% นอกจากนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/E เพียง 13.6 เท่า (-2SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี) พร้อมอัตราปันผล 3% ต่อปี และราคาเหมาะสมที่ 5 บาท ซึ่งมีอัพไซด์ 62% ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ "ซื้อ"

LEO ผู้บริหารผนึกกำลัง เก็บหุ้นเข้าพอร์ต 8.46 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.65%

LEO ผู้บริหารผนึกกำลัง เก็บหุ้นเข้าพอร์ต 8.46 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.65%

          หุ้นวิชั่น - ผู้บริหาร LEO นำโดย ”เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทฯ ผนึกกำลังซื้อหุ้นเข้าพอร์ตรวมกว่า 8.46 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 2.65% จากผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งของบริษัท ตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และผู้ถือหุ้น สะท้อนถึงความตั้งใจจริงในการบริหารงาน เดินหน้าผลักดันการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน           บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) รายงานว่า จากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ระบุว่า บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) ขอแจ้งการซื้อขายหุ้นของ LEO ตามที่ได้ปรากฏในรายการซื้อขายหุ้น LEO ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) จำนวนรวม 8,469,700 หุ้น หรือคิดเป็น 2.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ LEO โดยรายการดังกล่าวเกิดจากการขายหุ้นโดยนายวิเศษ สิทธิสุนทรวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ LEO (ที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการ)           ทั้งนี้ LEO ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ LEO ว่า การขายหุ้นใน LEO ครั้งนี้ เป็นการเสนอขายให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัท​และปัจจุบันเป็นคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัท​  และกลุ่มคณะกรรมการของบริษัทท่านอื่นๆ​ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัท​และเป็นคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัท 1.1 นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ จำนวน 1,269,700 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.40 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 1.2​ นางสาวศรีไพร เอกวิจิตร์ จำนวน 1,000, 000​ หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.31 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และนายเมธา เอกวิจิตร์  (พี่ชาย​ของ​ นางสาวศรีไพร เอกวิจิตร์)  จำนวน 1,0000,0000 หุ้นหรือคิดเป็นร้อยละ 0.31 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 2.กลุ่มคณะกรรมการของบริษัท 2.1 นายเสนีย์ แดงวัง จำนวน 1,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.31 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 2.2 นายธีระชัย เชมนะสิริ จำนวน 2,200,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.69 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 2.3. นายอภิชาต ลี้อิสสระนุกูล จำนวน 2,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.62 ของทันที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด           โดยรายการดังกล่าวเป็นการตกลงระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อตามราคาปิดของหุ้นในวันที่ 23 มกราคม 2568 และมีส่วนลดเล็กน้อยสำหรับการซื้อบนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) โดยมีวัตถุประสงค์ในการช่วยแก้ไขปัญหาและทำให้หุ้นไม่ได้ถูกบังคับขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม และยังเป็นความประสงค์ของผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทซึ่งต้องการรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมไว้ อีกทั้งยังการเป็นการรักษาเสถียรถาพของราคาหุ้น  เนื่องจากคณะกรรมการของบริษัทต้องการถือหุ้นและลงทุนในบริษัทในระยะยาว ซึ่งจะดีกว่าการที่หุ้นจะถูกบังคับขายในตลาดและอาจตกไปอยู่กับนักลงทุนที่ไม่ได้ต้องการลงทุนบริษัทในระยะยาว           อย่างไรก็ตาม การขายหุ้นของ LEO ในครั้งนี้ ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการจัดการและนโยบายการดำเนินธุรกิจของ LEO แต่อย่างใด  อีกทั้ง บริษัทฯ มีจุดแข็งจากความสามารถในการปรับตัวตามแนวโน้มตลาดและความต้องการของผู้บริโภค และให้ความสำคัญกับกิจกรรมและบริการโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมของ LEO ภายใต้คอนเซ็ปต์ “LEO Go Green” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ LEO ในฐานะผู้นำด้านการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อย่างแท้จริง           “ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ LEO ผมยืนยันว่ายังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความมั่นคงของบริษัทฯ และที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของ LEO ได้รับการยอมรับในฐานะผู้ให้บริการขนส่งโลจิสติกส์ครบวงจรชั้นนำของเมืองไทย มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง การขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรชั้นนำช่วยเสริมสร้างรากฐานที่มั่นคง และแสดงถึงความพร้อมของบริษัทฯ ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว” นายเกตติวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย [PR News]

DEXON อเมริกาโชว์นวัตกรรมในงาน PPIM2025

DEXON อเมริกาโชว์นวัตกรรมในงาน PPIM2025

           บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ DEXON  ผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ให้บริการการตรวจสอบโครงสร้างทางวิศวกรรม และการตรวจสอบแบบไม่ทำลาย (NDT)   โดย Dexon Technology USA Inc. หรือ DEXUS ร่วมออกบูธในงาน 37th Pipeline Pigging & Integrity Management (PPIM2025) เป็นงานประชุมของบริษัทพลังงานชั้นนำภายในงานประกอบด้วยการอบรมและการออกบูธของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียมชั้นนำในอเมริกาเหนือ และทั่วโลก ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 28 – 30 มกราคม 2568 ณ เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา และสามารถเข้าเยี่ยมชมบูธ DEXON ได้ที่บูธหมายเลข 143            PPIM2025 ถือเป็นอีกหนึ่งงานที่สำคัญซึ่งจัดขึ้นปีละครั้ง และเป็นงานที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียม จัดที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็น 1 ในประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ในการจัดงานปี 2024 ที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 4,000 คน จาก 170 บริษัท และมีการนำเสนอข้อมูลทางเทคนิคมากกว่า 90 หัวข้อ ที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญและนวัตกรรมในวงการอุตสาหกรรมพลังงาน            และในปีนี้ DEXUS ได้รับเชิญเข้าร่วมนำเสนอข้อมูลและเทคโนโลยีการตรวจสอบท่อแบบไม่ทำลาย เช่น การแตกร้าวเนื่องจากการกัดกร่อน หรือ Stress corrosion cracking  , การวิเคราะห์ผลการตรวจสอบภายในระบบท่อ หรือ ILI Analysis  และ การตรวจสอบ และการจัดการรอยแตกขนาดเล็กภายในท่อ หรือ Crack assessment and management และภายในงานนี้จะได้พบกับ ผู้บริหารระดับสูง คุณสตูวิค สตาเล่ มาร์ติน ประธานคณะกรรมการบริหาร และ คุณไลล่า เคราแก้ว สตูวิค  ผู้จัดการทั่วไปของ DEXUS นอกจากนี้ยังมีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมอุปกรณ์ตรวจสอบท่อโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงด้วยเทคนิคการตรวจสอบความสมบูรณ์ของท่อโดยคลื่นความถี่สูง ( Ultrasonic Testing In-Line Inspection / UT)            เด็กซ์ซอนคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากการออกบูธในครั้งนี้ และสร้างการรับรู้พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในอเมริกา และภูมิภาคใกล้เคียงเพิ่มมากขึ้น

KSS เคาะเป้าใหม่MEBที่30บ. คาดกำไรQ4สดใส

KSS เคาะเป้าใหม่MEBที่30บ. คาดกำไรQ4สดใส

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง MEB ว่า ปี 25F อาจท้าทายขึ้นจากการแข่งขัน ฝ่ายวิเคราะห์มอง Neutral คาดกำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 118 ลบ. (+6% y-y, +12% q-q) เติบโต y-y,q-q โดยรายได้ยังเติบโต +8% y-y แต่มีค่าใช้จ่ายการตลาดและพนักงานกดดัน Gross Margin และเพิ่ม SG&A ขึ้น เล็กน้อย คาด 1Q25F กำไรเติบโต y-y ลดลง q-q ตาม Seasonality            ขณะที่ระยะยาวอาจมีความท้าทายเพิ่มจากการแข่งขันของผู้เล่นในอุตสาหกรรมที่ Active ขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดกำไร 25-26F ลงเฉลี่ย 6% โดยปรับ i)ยอดขายลงเฉลี่ย 2% ii) Gross margin ปี 25-26F ลดลง 30 และ 50 bps ตามลำดับiii) แนวโน้มค่าใช้จ่ายที่ยัเป็นขาขึ้น จาก Marketing และค่าใช้จ่ายพนักงาน คงคำแนะนำ Buy ภายใต้ TP25F ใหม่ 30.0 บาท อิง PER 18 เท่า คาดกำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 118 ลบ. (+6% y-y +12% q-q)            ฝ่ายวิเคราะห์คาด (ช่วงวันที่25 ก.พ.) MEB รายงานกำไรสุทธิ 4Q24F ที่ 118 ลบ. เติบโต (+6% y-y, +12% q-q) จาก (i) รายได้เติบโต +8% y-y ตามจำนวนผู้ใช้งาน MEB ต่อเดือน (MAUs) ปรับตัวเพิ่มขึ้น +6% y-y กอปรกับยอดขายสินค้า E-reader ของ Hyntext ที่ยังเติบโตสูง +95% y-y (vs. 133% y-y ใน 3Q24) (ii) ดอกเบี้ยรับ (ตามปกติจะมีใน 2Q/4Q) เพิ่มขึ้น q-q ตาม Seasonality ทั้งนี้หากกำไรสุทธิ 4Q24F เป็นไปตามคาดจะทำให้กำไรสุทธิปี24F อยู่ที่ 444 ลบ. เติบโต +15% y-y และคิดเป็น 99% ของประมาณการทั้งปี            มองแนวโน้มกำไรสุทธิ 1Q25F เติบโต y-y ลดลง q-q จากรายได้ โดยบริษัทยังคงเป้าการเติบโต Mid-low teen (vs. เราคาดรายได้ปี25F เติบโต 11% y-y) ลดลง q-q ตาม i) Seasonality (Q4 > Q1 > Q2 > Q3) ii) คาดGross margin ทรงตัวใกล้เคียง 4Q24F และ iii) ค่าใช้จ่าย SG&A ยังเป็นขาขึ้น ปรับลดกำไร 25-26F ลงเฉลยี่ 6% ฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดกำไร25-26F ลงเฉลี่ย 6% มองการแข่งขันจากคู่แข่งที่ Active ขึ้นอาทิPinto ซึ่งเป็น E-book platform ในเครือ Ookbee รวมถึงร้านหนังสือ traditional อย่าง Naiin ที่เข้ามาเน้นตลาด Ebook เพิ่มขึ้นและให้ส่วนลดสูง ส่งผลให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับ i) ยอดขายปี 25-26F ลงเฉลี่ย 2% ii) Gross margin ปี 25-26F ลดลง 30 และ 50 bps จากส่วนลด Promotion เพิ่มขึ้น iii) เพิ่ม SG&A to sales ปี 25-26F เป็น 7.4% และ 7.9% ตามแนวโน้มค่าใช้จ่ายที่ยังเป็นขาขึ้นจาก Marketing และค่าใช้จ่ายพนักงาน (เป้าบริษัทในกรอบ 7-8%)            คำแนะนำ แนะนำ Buy ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ (TP25F) ที่ 30.0 บาท (อิง PER 18x) เทียบเท่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง -1.0 SD โดยปรับลด PER ลงจากอัตราการเติบโตกำไร24-26F ที่ช้าลงเป็น +8% CAGR (เดิม 12%)

[Vision Exclusive] SONIC ขนส่งเรือสุดฮอต! จับตาค่าระวางเรือโลกลด

[Vision Exclusive] SONIC ขนส่งเรือสุดฮอต! จับตาค่าระวางเรือโลกลด

          หุ้นวิชั่น – World Container Index (WCI) ปรับลง 2 สัปดาห์ติด ล่าสุด -11% w-w อยู่ที่ 3445 เหรียญต่อ 40 ft โบรกคาดบวกต่อกลุ่มโลจิสติกส์ ผู้ให้บริการ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง ชี้ LEO โชว์ขนส่งทางเรือคิดเป็น 77% ด้าน SONIC ส่งซิก Sea Freight โตต่อ จับตาค่าบริการจากสายการเดินเรือ           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน - บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า WCI ปรับลงติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ล่าสุด -11%w-w อยู่ที่ 3445 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้)           จากการประกาศผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2567 พบบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ และมีสัดส่วน Sea Freight ประกอบไปด้วย  บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC และ บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO           ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า การปรับตัวลดลงของดัชนีค่าระวางเรือโลก (World Container Index: WCI) อาจไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบโดยรวมต่อธุรกิจขนส่งทางเรือของบริษัท ทั้งนี้ SONIC อาจได้รับอานิสงส์จากการลดลงของ WCI ในบางส่วน           อย่างไรก็ตาม บริษัทระบุว่ายังคงต้องติดตามการปรับราคาค่าขนส่งจากสายการเดินเรืออย่างใกล้ชิด หากสายการเดินเรือปรับขึ้นค่าระวางเรือ การขนส่งทางเรือของ SONIC คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลเชิงบวกต่อรายได้ของบริษัท ทั้งนี้ SONIC รายงาน ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปี 2567 ดังนี้ รายได้จากการให้บริการขนส่งทางเรือ ซึ่งเป็นกลุ่มรายได้ที่มีสัดส่วนร้อยละ 16 ของรายได้จากการให้บริการ สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 มีรายได้ 1,117.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 399.15 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการขนส่งทางบก มีสัดส่วนร้อยละ 65 ของรายได้จากการให้บริการ สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 มีรายได้ 281.19 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 15.26 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการขนส่งทางอากาศ มีสัดส่วนร้อยละ 60 ของรายได้จากการให้บริการ สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 มีรายได้ 263.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 108.35 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการอื่น ๆ ประกอบด้วย รายได้ค่าบริการศูนย์รวบรวมกระจายสินค้า รายได้จากการให้บริการลานตู้ รายได้จากการให้บริการพื้นที่ และรายได้จากบริการสำหรับสินค้าอันตราย มีสัดส่วนร้อยละ 59 ของรายได้จากการให้บริการ สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 มีรายได้ 26.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 5.86 ล้านบาท สัดส่วนรายได้ Sea Freight ของ SONIC ยังมีอัตราการเติบโตสูง ด้าน บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO โดยผลประกอบการที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ในงวด 9 เดือนแรกปี 2567 พบว่า LEO มี รายได้รวม 1,228.5 ล้านบาท ประกอบด้วย การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางเรือ (Sea Freight) มีรายได้รวม 0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 77 ของรายได้รวม การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางอากาศ (Air Freight) มีรายได้รวม 5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5 ของรายได้รวม การบริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร (Integrated Logistics Services) ซึ่งประกอบด้วยการขนส่งภายในประเทศ การดำเนินพิธีการศุลกากร และบริการเสริมอื่น ๆ มีรายได้รวม 9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16 ของรายได้รวม ธุรกิจให้เช่าพื้นที่เก็บของขนาดเล็กและธุรกิจรับฝากตู้สินค้า (Self-Storage and Container Depot Service) ซึ่งประกอบด้วยบริการให้เช่าพื้นที่สำหรับจัดเก็บสิ่งของตามความต้องการของลูกค้า การบริการพื้นที่รับฝากและซ่อมตู้คอนเทนเนอร์ มีรายได้รวม 1 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2 ของรายได้รวม สัดส่วนรายได้ Sea Freight ของ LEO คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 77%

[Vision Exclusive] NDR บุ๊กรายได้ธุรกิจใหม่-เป้าแตะพันล.

[Vision Exclusive] NDR บุ๊กรายได้ธุรกิจใหม่-เป้าแตะพันล.

          หุ้นวิชั่น - NDR ตั้งเป้ารายได้รวมปี 68 แตะพันล้าน คาดอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ใกล้เคียง 19.62%  ฟากผู้บริหาร "ชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา" เดินหน้ารุกธุรกิจพลังงานสะอาด คาดเริ่มผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ Q3/68 เปิดกรุรับทรัพย์ปีแรก 40 ล้านบาท ส่วนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ เจาะตลาด 5G - Data Center จ่อบุ๊กเงินครึ่งปีหลัง 68           นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี. รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2568 อาจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อย่างไรก็ตาม บริษัทได้วางแผนดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้นการผลิตและจำหน่ายยางนอกและยางในสำหรับรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก พร้อมทั้งเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าไฮมาร์จิ้น หรือสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของธุรกิจ           สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้ายอดขายจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ไว้ที่ 950 ล้านบาท โดยคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะสามารถทำได้จริงตามเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว แม้สภาพเศรษฐกิจจะยังคงมีความท้าทายอยู่ก็ตาม           NDR เดินหน้าขยายตลาดยางนอกและยางในสำหรับรถจักรยานยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง ในปีที่ผ่านมา NDR ได้ขยายตลาดไปยังประเทศอังกฤษและญี่ปุ่น โดยต้นปี 2568 เริ่มมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เพิ่มเติมจากอังกฤษ ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นที่เพิ่งเริ่มส่งออกไปได้รับกระแสตอบรับที่ดี และคาดว่าจะมีออเดอร์ที่สองตามมาในเร็วๆ นี้           สำหรับสัดส่วนยอดขายในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันระหว่างตลาดในประเทศและต่างประเทศที่ 50:50 สะท้อนถึงความสำเร็จในการกระจายความเสี่ยงและสร้างฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น บริษัทยังคงเดินหน้าขยายตลาดและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมยางรถจักรยานยนต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศในอนาคต           ส่วนธุรกิจใหม่ด้านการผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของบริษัทสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินธุรกิจได้ในช่วงเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน 2568 และจะมีรายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 3/2568 เบื้องต้น NDR คาดว่าธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพจะสร้างรายได้ในปี 2568 ประมาณ 30-40 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าขยายตัวอย่างก้าวกระโดดในปี 2569 หากการดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้           การเข้าสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจของ NDR เพื่อสร้างความยั่งยืนและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับพลังงานทางเลือกและสิ่งแวดล้อม           ด้านความคืบหน้าในการรุกธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ รองรับระบบเครือข่าย 5G และอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตไร้สาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ใน Data Center ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ทเนอร์เพื่อดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรสำหรับผลิตอุปกรณ์ดังกล่าว โดยคาดว่ากระบวนการจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 และสามารถเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้ได้ตั้งแต่ ครึ่งปีหลัง 2568 เป็นต้นไป           แม้ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และเชื้อเพลิงชีวภาพจะเริ่มสร้างรายได้ในปี 2568 แต่บริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้หลักในปีดังกล่าวจะยังคงมาจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของบริษัท อย่างไรก็ตาม NDR ตั้งเป้าหมายให้ธุรกิจใหม่ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ที่รองรับระบบ 5G และอุปกรณ์สำหรับ Data Center รวมถึงธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้และเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในอนาคต โดยคาดว่าในปี 2569 จะเริ่มเห็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน           ทั้งนี้ บริษัทมุ่งมั่นพัฒนาและขยายธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว           หากรวมรายได้จากธุรกิจใหม่ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นแตะ 1,000 ล้านบาท โดยยังคาดว่าอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงสิ้นไตรมาส 3/2567 ที่ 19.62% ทั้งนี้ บริษัทประเมินว่าราคายางในช่วงต้นปี 2568 จะยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) อาจไม่แตกต่างจากช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีการเพิ่มรายได้จากธุรกิจใหม่ที่เริ่มดำเนินการในปีดังกล่าว รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

PIS กิจการค้าร่วม PTNPI คว้างาน งกฟภ. 1.5 พันลบ. ดัน Backlog แตะ 2.7 พันลบ.

PIS กิจการค้าร่วม PTNPI คว้างาน งกฟภ. 1.5 พันลบ. ดัน Backlog แตะ 2.7 พันลบ.

          บมจ.โปร อินไซด์  (PIS) ประกาศข่าวดี! กิจการค้าร่วม PTNPI ที่ร่วมกับ PORTALNET คว้างานดูแลบำรุงรักษาระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับธุรกิจหลักและบูรณาการระบบงานที่เกี่ยวข้องให้กับกฟภ. มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านบาท พร้อมเริ่มงานในวันที่ 1 เมษายน 2568 ระยะเวลา 24 เดือน ดัน Backlog พุ่งแตะ 2,700 ล้านบาท ฟากผู้บริหาร "เบญญาภา เฉลิมวัฒน์"มั่นใจรายได้ปี 68 เติบโต 15% ตามแผน แย้มอยู่ระหว่างเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจอีกหลายโปรเจค หนุนธุรกิจเติบโตก้าวกระโดด           นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) ผู้ให้บริการ ICT Solution ครบวงจร เปิดเผยว่า กิจการค้าร่วม พี ที เอ็น พี ใอ (PTNPI) ที่ PIS ได้จับมือกับบริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด (PORTALNET) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท สามารถเทเลคอม จำกัด (มหาชน) (SAMTEL) ได้ลงนามสัญญาจ้างกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำหรับงานจ้างดูแลบำรุงรักษาระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับสำหรับธุรกิจหลัก (รชธ.) และบูรณาการระบบงานที่เกี่ยวข้อง มูลค่าโครงการ 1,504.42 ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ PIS 46% และ PORTALNET 54%           ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการในเดือนเมษายน 2568 ระยะเวลาการดำเนินงาน 24 เดือน ซึ่งจะทำให้ PIS ทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่เริ่มให้บริการ           "การได้รับงานร่วมกับ PORTALNET ในครั้งนี้ ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีต่อ PIS ในฐานะผู้นำ ICT Solution ครบวงจร ที่มีประสบการณ์มายาวนาน พร้อมกับทีมงานมืออาชีพ ทำให้เพิ่มโอกาสในการรับงานที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น สอดรับนโยบาย Digital Thailand ของรัฐบาล"           ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  PIS กล่าวอีกว่า หลังการได้รับงานในครั้งนี้ ทำให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มเป็น 2,700 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนธุรกิจในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้าเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2568 เติบโต 15% เทียบปีที่ผ่านมา ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ซึ่งในปีนี้ บริษัทฯมีแผนเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจในหลายโปรเจค ซึ่งภายหลังการได้รับเงินจากการขายไอพีโอ ช่วยเพิ่มศักยภาพงานที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น รองรับแผนการเติบโตในอนาคต สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น [PR News]

THANA กฟผ. การันตีบ้านเบอร์ 5 ธนาฮาบิแทต นครอินทร์ - พระราม ๕

THANA กฟผ. การันตีบ้านเบอร์ 5 ธนาฮาบิแทต นครอินทร์ - พระราม ๕

          THANA หนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยกระดับคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัย นำร่องบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด ธนาฮาบิแทต นครอินทร์ - พระราม ๕ การันตีมาตรฐานผ่านเกณฑ์ประเมินประสิทธิภาพพลังงานโครงการบ้านเบอร์ 5 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมขยายผลด้วยการนำโครงการดังกล่าวสู่บ้านต้นแบบที่ใช้พัฒนาในทุกโครงการของธนาสิริ           นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาสิริ กรุ๊ป กล่าวว่าบริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างสังคมที่ร่มรื่น อบอุ่น ในทุกจังหวะชีวิตอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการให้ความสำคัญการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการการันตีคุณภาพมาตรฐานผ่านเกณฑ์ประเมินประสิทธิภาพพลังงานโครงการบ้านเบอร์ 5 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)           “จากการที่ ธนาฮาบิแทต นครอินทร์ - พระราม ๕ เข้าร่วมโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัย สู่บ้านประหยัดพลังงานอย่างยั่งยืน ด้วยแบบบ้านเดี่ยว-บ้านแฝดของโครงการมีฟังก์ชันการใช้งานและการออกแบบเป็นบ้านประหยัดพลังงาน สามารถรับแสง รับลมจากธรรมชาติ และการเลือกใช้วัสดุการก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากเบอร์ 5 ทำให้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างมาก และในแนวทางเดียวกัน บริษัทฯ ได้ขยายผลดังกล่าวสู่บ้านต้นแบบที่จะนำไปใช้พัฒนาในทุกโครงการ”           สำหรับ ธนาฮาบิแทต นครอินทร์ – พระราม ๕ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่ผ่านการประเมินเกณฑ์ “บ้านเบอร์ 5” นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และยังเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้าที่กำลังมองหาบ้านประหยัดพลังงาน ทั้งยังเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำอีกด้วย           โดยบ้านเดี่ยว (แบบบ้าน SH-A (Type-A) พื้นที่ใช้สอย 233 ตร.ม.) ช่วยประหยัดพลังงานโดยรวมของบ้าน 8,558.07 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) / ปี คิดเป็น 42,790 บาท / ปี* และยังช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ 4,463 kgCo2 / ปี ส่วนบ้านแฝด (แบบบ้าน SDH-D (Type-D) พื้นที่ใช้สอย 154 ตร.ม.) ช่วยประหยัดพลังงานโดยรวมของบ้าน 5,332.595 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) / ปี คิดเป็น 27,662 บาท / ปี* และลดคาร์บอนไดออกไซด์ 2,885 kgCo2 / ปี (*การคำนวณเบื้องต้นจาก กฟผ. สมมุติฐานค่าไฟฟ้า 5 บาท / หน่วย ณ ปี 2566) [PR News]

JPARK ช่องจอดแตะ5หมื่น โบรกเคาะกำไร 117 ลบ. ชูเป้า 7.25 บ.

JPARK ช่องจอดแตะ5หมื่น โบรกเคาะกำไร 117 ลบ. ชูเป้า 7.25 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง JPARK ว่า 4Q24E คาดฟื้นตัวได้ QoQ, แนวโน้มปี 2025E เติบโตจากโครงการใหม่ ฝ่ายวิเคระาห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 7.25 บาท อิง PER 25X หรือเทียบเท่า PEG1.0X อิง EPS growth 2024E-26E           ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราห์ประเมินกำไรปกติ 4Q24E ที่ 17 ล้านบาท (-20% YoY, +10% QoQ) โดย YoY ลดลงจากงาน CIPS ยังรับรู้รายได้ได้น้อย ในขณะที่ QoQ เพิ่มขึ้นจากจำนวนช่องจอดรถซึ่งเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าสู่ระดับ 4.0 หมื่นช่องจอด (3Q24 อยู่ที่ราว 3.8-3.9 หมื่นช่องจอด) และการรับรู้รายได้โครงการใหม่ (พระนั่งเกล้า) เบื้องต้นฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2024E-25E แม้ 2024E มี downside เล็กน้อยหากผลประกอบการออกมาใกล้เคียงที่ประเมิน           อย่างไรก็ตามคาดว่าปี 2025E จะเติบโตได้ดี (+40% YoY) จากปัจจัยหนุนการเพิ่มขึ้นของช่องจอดรถสู่ระดับ 5.0 หมื่นช่อง และโครงการพระนั่งเกล้ามี occupation rate ที่ดีขึ้นจากการเปิด physical check up และลูกค้ากลุ่มธนาคารในส่วน commercial area ช่วยเพิ่มปริมาณการใช้ช่องจอด ราคาหุ้นกลับมาเคลื่อนไหวใกล้เคียง SET ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ประเมินตลาด priced in ประเด็นการรับรู้รายได้งาน CIPS ในช่วง 2H24E ที่ลดลงจากโครงการล่าช้าไปแล้วพอสมควร อย่างไรก็ตามโครงการใหม่ที่ทยอย COD จะเริ่ม ramp up รายได้เพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าผลประกอบการที่ยังโตได้ดีในปี 2025E และโอกาสในการคว้าโครงการใหม่จะเป็น catalyst ให้หุ้นกลับมา outperform ตลาดได้4Q24E คาดฟื้นตัวได้QoQ จากโครงการใหม่ ประเมินกำไรปกติ 4Q24E ที่ 17 ล้านบาท (-20% YoY, +10% QoQ) โดย YoY ลดลงจากงาน CIPS ซึ่งยังรับรู้รายได้ได้น้อยหลังเกิดการล่าช้าของโครงการ           ในขณะที่ QoQ เพิ่มขึ้นจากการรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากจำนวนช่องจอดรถซึ่งเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าสู่ระดับ 4.0 หมื่นช่องจอด (3Q24 อยู่ที่ราว 3.8-3.9 หมื่นช่องจอด) และการรับรู้โครงการใหม่ (พระนั่งเกล้า) หนุนรายได้รวมคาดอยู่ที่ระดับ 135 ล้านบาท (-10% YoY, +10% QoQ) ในขณะที่ GPM คาดอยู่ที่ระดับ 34% (+0.7ppt YoY, +1.3ppt QoQ) สัดส่วนรายได้จากงาน PMS ซึ่งมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น           แนวโน้มกำไรปี 2025E เติบโตจากจำนวนช่องจอดที่เพิ่มขึ้น และ occupancy rate ที่ดีขึ้นของโครงการพระนั่งเกล้า หากประมาณการ 4Q24E ออกมาใกล้เคียงที่ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินจะทำให้กำไรปกติปี 2024E อยู่ที่ราว 83 ล้านบาท (+4% YoY) ต่ำกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์เดิมประเมินเล็กน้อยที่ 88 ล้านบาท           อย่างไรก็ตามเบื้องต้นยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2025E ที่ 117 ล้านบาท (+40% YoY) ปัจจัยหนุนจากจำนวนช่องจอดรถที่บริษัทเข้าไปดำเนินการ/บริหารจัดการ เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.0 หมื่นช่องจอดและการ ramp up รายได้จากโครงการพระนั่งเกล้า ตั้งแต่ 1Q25E เป็นต้นไปจาก physical check up ซึ่งจะเปิดใน 1Q25E และลูกค้าในกลุ่มธนาคารซึ่งจะเข้ามาใช้พื้นที่ในส่วนของ commercial area หนุน occupancy rate สูงขึ้นราคาเป้าหมาย 7.25 บาท อิง PER 25X หรือเทียบเท่า PEG1.0X อิง EPS growth 2024E-26E ทั้งนี้ catalyst คือการขยายตัวของชุมชนเมืองและการเพิ่มขึ้นของปริมาณรถยนต์หนุนความต้องการใช้พื้นที่จอดรถเพิ่มขึ้น

PIS คว้างานระบบซอฟแวร์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 1.5 พันล้าน

PIS คว้างานระบบซอฟแวร์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 1.5 พันล้าน

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIS แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้ร่วมกับ บริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด (“พอร์ทัลเน็ท”) จัดตั้งกิจการค้าร่วม พี ที เอ็น พี ไอ (PTNPI Consortium) เพื่อร่วมกันยื่นข้อเสนอราคางานโครงการจ้างดูแลบำรุงรักษาระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับธุรกิจหลัก (รซธ.) และบูรณาการระบบงานที่เกี่ยวข้องต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (“กฟภ.”) ทางกิจการค้าร่วมพี ที เอ็น พี ไอ ได้ลงนามในสัญญาจ้างดูแลบำรุงรักษาระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับธุรกิจหลัก (รซธ.) และบูรณาการระบบงานที่เกี่ยวข้อง กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1,504,420,000.00 บาท (หนึ่งพันห้าร้อยสี่ล้านสี่แสนสองหมื่นบาทถ้วน) ซึ่งเป็นราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว โดยมีระยะเวลาให้บริการ 24 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2570 และขอบเขตงานจ้าง (Scope of Work) คือ การให้บริการบำรุงรักษาระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์และลิขสิทธิ์การใช้งาน เพื่อบูรณาการระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป สำหรับธุรกิจหลัก (รซธ.) (SAP HANA Enterprise Edition (Full Use)) จำนวน 2 ระบบ ได้แก่ (1) ระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับธุรกิจหลัก (รซธ.) ระยะที่ 2 (ระบบ CBS) (2) ระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับธุรกิจหลัก (รซธ.) (SAP HANA Enterprise Edition (Full Use)) (ระบบ Full Use) ตามสัญญากิจการค้าร่วมพี ที เอ็น พี ไอ ได้กำหนดขอบเขตความรับผิดชอบร่วมดำเนินโครงการระหว่างบริษัทกับพอร์ทัลเน็ท โดยบริษัทรับผิดชอบดำเนินโครงการคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 46 ของมูลค่าโครงการ และพอร์ทัลเน็ท รับผิดชอบดำเนินโครงการคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 54 ของมูลค่าโครงการ โดย พอร์ทัลเน็ทเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินโครงการและเป็นผู้บริหารกิจการค้าร่วม (Consortium Leader)           ทั้งนี้ กิจการค้าร่วมพี ที เอ็น พี ไอ มีภาระผูกพันที่จะดำเนินการให้บริการตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ หากโครงการดังกล่าวมีความบกพร่อง กฟภ. มีสิทธิในการปรับคู่สัญญาจนกว่าจะดำเนินงานแก้ไขให้แล้วเสร็จเนื่องจากการโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่มีสาระสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท และเพื่อให้นักลงทุนได้ทราบอย่างทั่วถึง บริษัทจึงเห็นสมควรเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวผ่านทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

KLINIQ ปี68โตต่อ 17% โกลเบล็กชี้เป้าความสวย 39.60 บ.

KLINIQ ปี68โตต่อ 17% โกลเบล็กชี้เป้าความสวย 39.60 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง KLINIQ ว่า งวด 4Q67 คาดรายได้จากการขายและบริการจำนวน 800 ล้านบาท (+7% QoQ, +24% YoY) จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เติบโตราว 13% และสาขาใหม่ที่เปิดในช่วง 9M67 โดยในงวด 4Q67 มีการเปิดสาขาใหม่ 6 สาขา แบ่งเป็นแบรนด์ L.A.B.X จำนวน 3 สาขา, แบรนด์ The KLINIQUE จำนวน 2 สาขา, และแบรนด์ KLINIQ Wellness Spa จำนวน 1 สาขา ทำให้ปี 67 มีสาขารวมทั้งสิ้น 75 สาขา            คาดอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ที่ระดับ 51.0% ปรับตัวลดลง QoQ, YoY จาก 51.5% ในงวด 3Q67 และ 53.0% ในงวด 4Q66 เนื่องจากมีการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งจะมีต้นทุนเข้ามาในช่วงแรก และการเติบโตของรายได้จาก THE KLINIQUE SURGERY CENTER และ L.A.B.X ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมี %GPM ต่ำกว่าแบรนด์ THE KLINIQUE สำหรับรายได้และ Utilization Rate ของศูนย์ศัลยกรรมยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้คาดว่ากำไรสุทธิงวด 4Q67 ราว 77 ล้านบาท (+4% QoQ, -1% YoY)            คงคาดการณ์รายได้ปี 67 และปี 68 ที่ 2,939 ล้านบาท (+29% YoY) และ 3,439 ล้านบาท (+17% YoY) ตามลำดับ ปี 68 บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ 10 แห่ง คงสมมติฐาน %GPM ปี 67-68 ที่ระดับ 50.9% และ 51.5% ตามลำดับ โดยในปี 68 คาดว่า Margin จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากสาขาที่เปิดในปี 67 สร้างรายได้เกินจุดคุ้มทุน ส่งผลให้ฝ่ายวิเคราะห์คงคาดการณ์กำไรสุทธิปี 67-68 เท่ากับ 301 ล้านบาท (+4% YoY) และ 363 ล้านบาท (+21% YoY) ตามลำดับ โดยกำไรในช่วง 9M67 คิดเป็นสัดส่วน 73% ของประมาณการปี 67            คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 39.60 บาท ประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี Prospective PER ที่ 24x เทียบเท่ากับ PE Band ระดับ -1SD คาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 68 เท่ากับ 1.65 บาทต่อหุ้น ทำให้ได้ราคาเหมาะสมปี 68 เท่ากับ 39.60 บาท จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลง -18% YTD ทำให้ราคาเหมาะสมมี upside จากราคาปัจจุบันราว 49% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 5.6% ต่อปี ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

[Vision Exclusive] BM โหนกระแสส่งออก - ทุ่ม400ล. ลุยโรงงานใหม่

[Vision Exclusive] BM โหนกระแสส่งออก - ทุ่ม400ล. ลุยโรงงานใหม่

          หุ้นวิชั่น - BM ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะ 2 พันล้านบาท ฟากผู้บริหาร "ธีรวัต อมรธาตรี" เล็งสินค้าโลหะแปรรูปใหม่ พร้อมรุกตลาดส่งออก ขยายฐานลูกค้าเพิ่มรายได้ พร้อมควักเงิน 400 ล้านบาท พัฒนาโรงงาน FREE ZONE ใหม่ 2 แห่ง ชี้โรงงานเดิมสร้างรายได้เฉลี่ย 80 ล้านบาทต่อเดือน           นายธีรวัต อมรธาตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด (มหาชน) หรือ BM ปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมในปี 2568 ไว้ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยปรับกลยุทธ์ให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศมากขึ้น ปัจจุบัน BM มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกและการขายในประเทศอยู่ที่ 50:50 แต่ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศเป็น 55% ขณะที่รายได้จากการส่งออกจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 45% เพื่อรองรับการเติบโตในตลาดท้องถิ่นอย่างยั่งยืน           บริษัทคาดสัดส่วนรายได้จากการส่งออกในปี 2568 จะปรับลดลง เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองระหว่างประเทศ อาทิ การกลับมาดำรงตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก ในขณะเดียวกัน BM วางแผนลงทุนขยายโรงงานในเขตปลอดภาษี (FREE ZONE) เพิ่มอีก 2 แห่ง จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 1 แห่ง โดยใช้งบลงทุนระหว่าง 200-400 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาโรงงานใหม่ทั้งสองแห่ง บนพื้นที่กว่า 200 ตารางเมตร           บริษัทคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโรงงานในช่วงปลายไตรมาส 1/2568 และทยอยเปิดดำเนินการได้ในต้นปี 2569 พร้อมกันนี้ ระหว่างปี 2568 บริษัทจะเจรจากับคู่ค้าเพื่อรับคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) สำหรับป้อนเข้าสู่โรงงานใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต           "บริษัทได้แยกการจำหน่ายสินค้าออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ การส่งออกและการจำหน่ายในประเทศ เพื่อวิเคราะห์และวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น การปรับโครงสร้างดังกล่าวช่วยให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นการพัฒนาตลาดในประเทศและส่งออกได้อย่างเหมาะสม พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลต่อธุรกิจในอนาคต" นายธีรวัต กล่าว           บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่มโลหะแปรรูป เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าเดิมจำนวน 3-4 ราย พร้อมทั้งเดินหน้าหาลูกค้ารายใหม่ เพื่อขยายฐานตลาดส่งออก แผนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เพิ่มรายได้และสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว โดยมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ           ทั้งนี้โรงงาน FREE ZONE แห่งแรกของบริษัท มีศักยภาพในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกได้ประมาณ 100 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน คิดเป็นมูลค่าราว 70-80 ล้านบาท โรงงานดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนแผนการขยายตลาดส่งออกของบริษัท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] CRD ปักธงรายได้ 1.1พันล. ผนึกบิ๊กเนมลุยงานใหญ่

[Vision Exclusive] CRD ปักธงรายได้ 1.1พันล. ผนึกบิ๊กเนมลุยงานใหญ่

           หุ้นวิชั่น - พ่อทัพใหญ่ CRD "ธีรพัฒน์ จิรพิพัฒน์" กางแผนธุรกิจ ผนึกพาร์ทเนอร์ใหญ่ลุยงานปีมะเส็ง คอนโดมิเนียมภูเก็ต เชียงใหม่จ่อ ปักธงรายได้แตะ 1.1 พันล้านบาท จัดทัพเจาะงานรัฐ คาดดันสัดส่วนแตะ 20% โชว์ Backlog เต็มหน้าตัก 500 ล้านบาท จ่อบุ๊กยอดแน่น            นายธีรพัฒน์ จิรพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ริมดอย จำกัด (มหาชน) หรือ CRD ผู้ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงแผนธุรกิจปี 2568 ว่า บริษัทเตรียมเดินหน้ารับงานก่อสร้าง โดยล้อไปกับการร่วมพันธมิตรที่มีอยู่เดิมอย่าง บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN ซึ่ง ORN มีโครงการสำคัญที่อยู่ในแผนปี 2568 ได้แก่ การก่อสร้างโรงเรียนนานาชาติและคอนโดมิเนียมในจังหวัดภูเก็ตและเชียงใหม่ โดยคาดว่าจะเริ่มโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมได้ในช่วงไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 ของปี 2568            CRD เตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรรายใหม่เพื่อรับงานก่อสร้างโครงสร้างสถาปัตยกรรม โดยพันธมิตรรายนี้มีความเชี่ยวชาญด้านงานก่อสร้างและมีโครงการที่รอการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การจับมือกับพันธมิตรรายใหม่และรายเดิมนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรับงานก่อสร้างเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่ามูลค่ารวมของโครงการจากความร่วมมือดังกล่าวในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 500-600 ล้านบาท ทั้งนี้ ความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งรายเก่าและรายใหม่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของ CRD อย่างต่อเนื่องในปี 2568            สำหรับเป้าหมายรายได้ปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 1-1.1 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากงานก่อสร้างประมาณ 800-900 ล้านบาท แม้รายได้จากงานก่อสร้างอาจไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ คาดว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทมีความมั่นคงและต่อเนื่อง สำหรับรายได้ส่วนที่เหลือ จะมาจากธุรกิจรับจ้างบริหารจัดการขยะ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่บริษัทมุ่งพัฒนาเพื่อสร้างความหลากหลายในแหล่งรายได้และสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว            ในปี 2568 บริษัทเตรียมขยายการรับงานก่อสร้างจากภาครัฐเพิ่มขึ้น หลังจากที่ผ่านมาเน้นงานจากภาคเอกชนเป็นหลัก โดยคาดว่างานจากภาครัฐในปี 2568 จะมีมูลค่าราว 300 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากงานภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็น 20% จากเดิมที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 20% การปรับกลยุทธ์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการกระจายแหล่งรายได้ เพื่อสร้างความมั่นคงและเพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับ CRD ในระยะยาว            ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ธุรกิจก่อสร้างมูลค่ารวม 500 ล้านบาท แบ่งเป็นงานราชการและงานใหม่มูลค่า 300 ล้านบาท และงานเดิมอีก 200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากงานดังกล่าวในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปี 2568 ตามแผนการดำเนินงาน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

DEXON ผนึกกำลังภาคีเครือข่าย TCCA ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero

DEXON ผนึกกำลังภาคีเครือข่าย TCCA ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero

          บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ DEXON ตอบรับเข้าร่วม ” โครงการจัดตั้งภาคีเครือข่ายพันธมิตรด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย" หรือ Thailand CCUS Alliance (TCCA) เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ และส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCUS ในภาคอุตสาหกรรมไทย           ดร.มัลลิกา แก่กล้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาคีเครือข่าย TCCA ในครั้งนี้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจของเด็กซ์ซอนที่มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน เรามีความยินดีที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี CCUS ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และสนับสนุนนโยบาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emission อีกทั้งเด็กซ์ซอนยังได้กำหนดนโยบายด้านความยั่งยืนที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแนวทาง Science Based Targets initiative (SBTi) พร้อมทั้งพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่า ”           การขับเคลื่อนของ TCCA และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCUS ในภาคอุตสาหกรรมไทย จะเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมนโยบาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emission โดยดำเนินการภายใต้โครงการ "การพัฒนายกระดับเทคโนโลยี CCUS สู่การใช้งานจริง" ผ่านการพัฒนาตั้งแต่ระดับโรงประลอง (demonstration) ไปจนถึงการนำไปประยุกต์ใช้งานจริง (implementation)ซึ่งการดำเนินงานของ TCCA ครั้งนี้นำโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หรือ National Science and Technology Development Agency : NSTDA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (ศน.) หรือ National Nanotechnology Center : NANOTEC ร่วมกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันวิจัย และสถาบันการศึกษา ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเทคโนโลยี Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย พร้อมผลักดันการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี CCUS ของประเทศ รวมถึงการสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การเข้าร่วมภาคีเครือข่าย TCCA ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเด็กซ์ซอนในการขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กรและประเทศชาติ [PR News]

AUCT ขยายพื้นที่ 4 มุมเมือง รับตลาดรถยนต์มือสอง ยันปริมาณจำนำทะเบียน- NPL สูง

AUCT ขยายพื้นที่ 4 มุมเมือง รับตลาดรถยนต์มือสอง ยันปริมาณจำนำทะเบียน- NPL สูง

            หุ้นวิชั่น-บมจ.สหการประมูล (AUCT) เผยแผนบุกธุรกิจประมูลรถยนต์มือสองปี 68 เตรียมขยายพื้นที่จอดรถ 4 มุมเมืองรองรับการเพิ่มขึ้นของสินค้า ตั้งเป้าพัฒนาสาขารังสิต-คลอง8 เป็นลานประมูลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและมีบริการที่หลากหลาย พร้อมทั้งเปิดศูนย์ตรวจสอบสภาพรถ ตรอ.เพิ่มความสะดวกลูกค้าโอนและต่อทะเบียน เล็งพัฒนาแพลทฟอร์มให้ทันสมัยเพื่อบริการลูกค้าประมูลออนไลน์ ย้ำปริมาณรถจำนำทะเบียนและหนี้ NPL ยังอยู่ปริมาณสูง มั่นใจยอดขายรถยนต์และจักรยานยนต์มือสองปี68 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง          นายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจประมูลรถมือสองปี 2567 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่สร้างผลงานที่ดีที่สุดของบริษัทฯ แม้ว่าปี 2566 ผลประกอบการถือว่าดีแล้ว แต่ปีที่ผ่านมามีความโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าทั้งผู้ซื้อรถใช้เองและกลุ่มผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น             ดังนั้น ในปี 2568 บริษัทฯ จึงมีนโยบายพัฒนาบริการต่าง ๆ เพื่อสร้างความพึงพอใจและขยายฐานลูกค้า เช่น ที่ผ่านมาได้มีบริการประเมินเกรดรถยนต์เพื่อให้ผู้ซื้อรถมีความมั่นใจคุณภาพมากขึ้น เนื่องจากรถยนต์ทุกคันจะถูกตรวจสอบคุณภาพ และระบุรายละเอียดเพื่อให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น            ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะมีการเปิดสาขา 4 มุมเมือง  เพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับจอดรถยนต์ และจะทยอยเปิดให้ครบ 4 จุดภายในไตรมาส 2 นอกจากนี้แล้วยังมีแผนจะมีการปรับปรุงลานประมูลที่สาขารังสิต-คลอง8 ซึ่งถือว่าเป็นลานประมูลรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดบนพื้นที่ 100 ไร่ และมีสินค้าที่หลากหลายมากกว่าสำนักงานใหญ่ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรกลทางการเกษตร รถอุบัติเหตุ และอื่น ๆ โดยตั้งเป้าว่าจะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการประมูลที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ  ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาเสร็จประมาณเดือนสิงหาคม 2568            นายสุธีเปิดเผยเผยเพิ่มเติมว่า เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ประมูลซื้อรถยนต์ผ่านระบบออนไลน์ บริษัทฯ จึงมีนโยบายจะพัฒนาระบบประมูลเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า โดยจะเน้นพัฒนาแพลทฟอร์มออนไลน์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าการพัฒนาระบบประมูลออนไลน์รูปแบบใหม่ ที่สะดวกสบายจะสามารถให้บริการลูกค้าได้ภายในปีนี้             นอกจากนี้แล้วยังมีแผนที่จะเป็นศูนย์บริการตรวจสภาพรถยนต์ หรือ ตรอ. เพื่อบริการลูกค้าที่ต้องการต่อทะเบียนและโอนหรือต่อประกันภัย ที่ผ่านมาผู้ที่ซื้อรถจากสหการประมูลส่วนใหญ่ต้องไปต่อทะเบียนและตรวจสภาพรถยนต์ที่อื่นอยู่แล้ว  มั่นใจว่าจะเป็นบริการที่สร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ที่สาขารังสิต-คลอง8 เป็นแห่งแรกภายในไตรมาส 1 และจะเปิดให้บริการแห่งที่ 2 ที่สำนักงานใหญ่            “สหการประมูลได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาหลัก  ๆ อยู่ 2 ปัจจัยคือ เรื่องประสิทธิภาพและบริการที่ดี เพราะเราต้องการให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างการให้บริการในปีนี้กับปีที่ผ่านมา เนื่องจากเราเป็นธุรกิจบริการจึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นจากพัฒนาบุคลากรเพื่อส่งมอบบริการดี ๆ ให้กับลูกค้า นอกจากนี้แล้วยังได้ให้ความสำคัญกับแคมเปญส่งเสริมการขายในรูปแบบต่าง ๆ  รวมทั้งบริการด้านสินเชื่อเพื่อให้บริการลูกค้าที่ซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสอง ซึ่งที่ผ่านมาเราได้เจรจากับสถาบันการเงินขนาดใหญ่  และเชื่อว่าจะมีพันธมิตรหลายแห่งสนใจให้บริการด้านสินเชื่อกับลูกค้าของสหการประมูล” นายสุธีกล่าว และให้ความเห็นถึงยอดขายรถยนต์มือสองว่า คาดว่ายอดขายในปี 2568 น่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากสินค้าที่ถูกนำมาประมูลขายส่วนใหญ่เป็นรถที่ถูกยึดจากสถาบันการเงิน ในขณะที่ปริมาณหนี้ทั้ง NPL และ SM ยังอยู่ในระดับสูง  นอกจากนี้แล้วปริมาณสินค้าที่เป็นรถจำนำทะเบียนพบว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมามีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการในอนาคต [PR News]

TAKUNI เปิดแผนธุรกิจปี 68 ลุยยานยนต์ไฟฟ้า ปูพรมขยายสาขา -ผนึกพันธมิตร

TAKUNI เปิดแผนธุรกิจปี 68 ลุยยานยนต์ไฟฟ้า ปูพรมขยายสาขา -ผนึกพันธมิตร

           หุ้นวิชั่น - ทาคูนิ กรุ๊ป เปิดแผนธุรกิจปี 2568 ปักธงลุยรถยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร เน้นสร้างการรับรู้แบรนด์เทลจี พร้อมปูพรมเปิดสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล ขณะที่ธุรกิจดั้งเดิมยังเติบโตได้ดี หลังปีที่ผ่านมาเร่งปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มให้แข็งแกร่ง            ดร.กฤตพงศ์ อรชัยพันธ์ลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI เปิดเผยว่า แผนยุทธศาสตร์ในปี 2568 กลุ่มบริษัทเตรียมพร้อมที่จะขยายธุรกิจ ทั้งในส่วนของธุรกิจใหม่ที่เป็นธุรกิจด้านพลังงานสะอาด และธุรกิจเดิมคือ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง รวมทั้งธุรกิจบริการทดสอบและตรวจสอบความปลอดภัยทางวิศวกรรม  ซึ่งมั่นใจว่าภาพรวมการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม TAKUNI จะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น            ดร.กฤตพงศ์ กล่าวว่าในปี 2568 กลุ่มธุรกิจด้านพลังงานสะอาด  บริษัทมีแผนที่จะรุกธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจการจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหรือรถมอเตอร์ไซค์ EV ภายใต้แบรนด์เทลจี (TAILG) คาดว่าจะมีการเติบโตที่โดดเด่น หลังจากที่ได้เปิดโชว์รูมแห่งแรกที่ถนนนิมิตใหม่ไปแล้ว ก็เตรียมที่จะขยายสาขาทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งสินค้าล็อตแรกที่นำเข้ามาจากจีน ได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดี และได้จัดจำหน่ายให้กับตัวแทนขาย หรือดีลเลอร์หมดไปแล้ว และจะทยอยนำเข้ามาเพิ่มเติมในช่วงไตรมาสแรก            “ปัจจุบันธุรกิจจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าเรามุ่งเน้นในตลาด E-Bike เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าสนใจเป็นจำนวนมาก และขนาดตลาดใหญ่พอที่จะสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ ในขณะที่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าโมเดลที่นำเข้าในปัจจุบันมุ่งเน้นในกลุ่มลูกค้าองค์กรเป็นหลัก ก่อนที่จะนำเข้าโมเดลที่เหมาะสมกับบุคคลทั่วไปในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจเดิม บริษัทยังคงรักษามาตรฐานรายได้ พร้อมกับเดินหน้าขยายในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจตรวจสอบความปลอดภัยทางวิศวกรรม” ดร.กฤตพงศ์ กล่าว [PR News]

GFC ดีเดย์ให้บริการคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก “GFC Ubon” เต็มสูบ

GFC ดีเดย์ให้บริการคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก “GFC Ubon” เต็มสูบ

           หุ้นวิชั่น - บมจ.เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ หรือ GFC เดินเกมรุก บุกให้บริการทางการแพทย์สำหรับ ผู้มีบุตรยาก จ.อุบลราชธานี ล่าสุด ได้กฤษ์เปิดตัวสาขา “GFC Ubon” คลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก และสูตินรีเวช อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประกาศปักหมุดสร้างแลนด์มาร์คแห่งใหม่ลูกค้าชาวอุบล และจังหวัดใกล้เคียง รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน เร่งต่อยอดขยายฐานสร้างรายได้เพิ่ม              นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เปิดเผยว่า จากความมุ่งมั่นในการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก ภายใต้ศักยภาพความแข็งแกร่งในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยในด้านการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การ      เจริญพันธ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยาก ตั้งแต่การรับบริการตรวจเบื้องต้น, การรักษาด้วยวิธี ICSI, การฝากไข่ และการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน PGT-A รวมถึงชูนวัตกรรมการนำเอาเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ PGT-A Plus มาใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจความผิดปกติของพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนการฝังตัว เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคัดกรองหาตัวอ่อนที่มีความสมบูรณ์และเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์             ล่าสุด GFC ได้ทำการเปิดตัว “จีเอฟซี อุบล” (GFC Ubon) อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายใต้การบริหาร โดยแพทย์หญิงฐิติมา ชัยศรีสวัสดิ์สุข  กรรมการผู้จัดการ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านสูตินรีเวชกรรม และเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ บริษัท จีเอฟซี อุบล จำกัด โดยสาขาดังกล่าวสามารถรองรับผู้เข้ารับการรักษาได้ครอบคลุมในพื้นที่อุบลฯ และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นคลินิกรักษาผู้มีบุตรยากที่ได้มาตรฐานแห่งใหม่ของอีสานใต้ และสามารถให้การรักษากลุ่มประเทศเพื่อนบ้านภายใต้มาตรฐานเดียวกันกับ GFC ที่จะเติมเต็มความฝันของทุกครอบครัว ด้วยการบริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก ที่มีความชำนาญการและประสบการณ์ด้านการทำเด็กหลอดแก้ว ICSI  การฉีดเชื้อ IUI รวมถึงบริการฝากไข่ ( OOCYTE FREEZING ) บริการตรวจ AMH และบริการตรวจโครโมโซม ด้วยทีมแพทย์,  ทีมนักวิทยาศาสตร์, พยาบาล และบุคลากรทุกคน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการเติมเต็มความฝันของทุกครอบครัว            สำหรับ GFC Ubon เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันอย่างลงตัวของ รศ.นพ.พิทักษ์ เลาห์เกริกเกียรติ   แพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ประสบการณ์รักษากว่า 25 ปี และยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท บมจ.เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์, พญ.ฐิติมา ชัยศรีสวัสดิ์สุข  แพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์, สูตินรีแพทย์, นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ และยังเป็นผู้เคยได้รับบริการด้านการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ นอกจากนี้ยังมี นางสาวปิยะดา วิรัตน์พงษ์ หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการด้านการเจริญพันธุ์ (Embryologist)  และนายโรจนินทร์ เหลืองพิพัฒน์สร  ซึ่งเป็นนักธุรกิจ, นักลงทุน            ดังนั้นจากความลงตัวของทีมผู้ก่อตั้ง ทำให้ GFC UBON เป็นองค์กรที่มีรากฐานแข็งแกร่ง เพราะเกิดจากการรวมตัวกันของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการทำธุรกิจด้านการเจริญพันธุ์ ได้แก่  แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญ นักธุรกิจผู้เคยเข้ารับบริการด้านการเจริญพันธุ์ รวมถึงนักลงทุน ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการระดมความคิดที่มีมุมมองหลากหลาย และครบถ้วนตั้งแต่การเลือกใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม สามารถใช้งานได้จริง การออกแบบกระบวนการรักษาและการให้บริการที่เข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง ส่งผลให้ลูกค้าประสบความสำเร็จในการรับการรักษา จนกลายเป็นหนึ่งในองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการให้บริการด้านการเจริญพันธุ์            “ GFC Ubon ตั้งอยู่ที่ 382 ถ.เทพโยธี ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี ทางเข้าสนามบินนานาชาติ เปิดให้บริการวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา10.00 – 20.00 น.วันเสาร์ เวลา 08.00 – 17.00 น. ดังนั้นเขื่อว่า คลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก และสูตินรีเวช ภายใต้ชื่อ GFC Ubon จะเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์ค ของชาวอุบลฯ และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากในโซนพื้นที่ดังกล่าวมีอัตราผู้เข้ารับคำปรึกษาผู้มีบุตรยากเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่าจากการขยายฐานดังกล่าวจะสร้างโอกาสการเติบโตให้กับ GFC ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” [PR News]

[Vision Exclusive] TQR ประกันภัยต่อฮอต เทรนด์สุขภาพ-ESG มาแรง

[Vision Exclusive] TQR ประกันภัยต่อฮอต เทรนด์สุขภาพ-ESG มาแรง

          หุ้นวิชั่น - TQR ฉายภาพธุรกิจประกันปี 68 ชูเทรนด์สุขภาพมาแรง พร้อมเกาะกระแสเทรนด์ ESG พลังงานสะอาดบูม ชี้  Renewable Energy และ EV โตต่อ บิ๊กบอส "ชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์" มั่นใจนวัตกรรมประกันภัยต่อหนุนโต 5-10% พร้อมเดินหน้าลงทุน M&A เสริมธุรกิจ           นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TQR เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ภาพรวมธุรกิจประกันภัยในปี 2567 เผชิญความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากธุรกิจประกันภัยหลักที่ขับเคลื่อนด้วยประกันภัยรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อรถยนต์และยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ที่ลดลง ส่งผลให้การเติบโตของประกันภัยรถยนต์ในปีที่แล้วอยู่ในระดับต่ำ           สำหรับปี 2568 แนวโน้มธุรกิจประกันภัยมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ และประกันสุขภาพ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากกระแสความสนใจในเรื่องสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่ปรับตัวสูงขึ้นและการจ่ายร่วม (Co-Payment) ที่กลายเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผู้บริโภคหันมาสนใจประกันในกลุ่มนี้มากขึ้น           TQR ได้ประกาศแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับบริษัทประกันภัยชั้นนำ เพื่อขยายตลาดประกันภัยต่อ (Reinsurance) ในกลุ่มประกันชีวิตและสุขภาพให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปีนี้           กระแสรักษ์โลกหรือแนวคิด ESG (Environmental, Social, and Governance) ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องในปี 2568 โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต           นอกจากนี้ แนวโน้มพลังงานรูปแบบใหม่ยังมีโอกาสเกิดขึ้นเพิ่มเติมจากการปรับตัวของต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ความสนใจในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจขยายตัวมากขึ้น พร้อมกับการดูแลและบำรุงรักษา เช่น การทำความสะอาดโซลาร์เซลล์อย่างสม่ำเสมอ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คาดว่าจะก่อให้เกิดโอกาสใหม่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด และนวัตกรรมใหม่ที่รองรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน           และภัยไซเบอร์ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่องค์กรขนาดใหญ่ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 คาดว่าจะมีการเปิดตัวประกันภัยไซเบอร์ส่วนบุคคล (Personal Cyber Insurance) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการปกป้องข้อมูลและทรัพย์สินในโลกดิจิทัล           นอกจากนี้ ประกันภัยความรับผิดของผู้บริหาร (Directors and Officers Liability Insurance) กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 20% ของบริษัทเหล่านี้ที่ซื้อประกันประเภทดังกล่าว แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนถึงความตื่นตัวขององค์กรและบุคคลทั่วไปต่อความเสี่ยงในยุคดิจิทัล และความจำเป็นในการปกป้องผลประโยชน์ทั้งในระดับองค์กรและส่วนบุคคล ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมประกันภัยจึงมีโอกาสพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดรับกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว           บริษัทมั่นใจว่าการพัฒนานวัตกรรมด้านประกันภัยต่อจะช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสการเติบโตของธุรกิจในปี 2568 โดยบริษัทคาดว่าในปีนี้จะสามารถเติบโตได้ในระดับ 5-10% ซึ่งเป็นตัวเลขการเติบโตที่สามารถทำได้ตามแผน           นอกจากนี้ TQR ยังเตรียมเดินหน้าการลงทุนในกิจกรรม M&A (การควบรวมและการซื้อกิจการ) เพื่อเสริมสร้างฐานธุรกิจและต่อยอดการเติบโตในอนาคต โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาว บริษัทเชื่อว่าการพัฒนาและขยายธุรกิจในทิศทางนี้จะช่วยให้ TQR สามารถขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2568 และในอนาคต           อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 บริษัทมีรายได้แล้วทื่ 195.08 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 77.29 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] PACO อัพกำลังผลิต20% รับลูกค้าย้ายฐานสู่เอเชีย

[Vision Exclusive] PACO อัพกำลังผลิต20% รับลูกค้าย้ายฐานสู่เอเชีย

          หุ้นวิชั่น - PACO ลูกค้าย้ายฐานการผลิตสู่เอเชีย เล็งอัพกำลังผลิต 20% รับออเดอร์ใหม่ พร้อมเดินหน้าใช้ระบบออโตเมชั่น บอสใหญ่ "สมชาย เลิศขจรกิตติ" ตั้งเป้ายอดขายปี 68 โต 15% รับดีมานด์ส่งออกเพิ่มขึ้นแตะ 70% ส่งซิกผลงานปี 67 เข้าเป้า ลุ้นคว้า BOI เสริมทัพธุรกิจ           นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และมีนโยบายเพิ่มการเก็บภาษีสินค้าจากต่างชาติ อาจส่งผลให้ลูกค้าซึ่งมีฐานการผลิตในสหรัฐฯ ย้ายการผลิตมายังภูมิภาคเอเชียมากขึ้น หากสหรัฐฯ มีการเก็บภาษีสินค้าจากจีนในอัตรา 10% ตามที่คาดการณ์ไว้ และอาจมีการเรียกเก็บภาษีจากประเทศอื่นเพิ่มเติม จะเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้ประกอบการมองหาโอกาสลดต้นทุนด้วยการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่าในเอเชีย           ทั้งนี้ PACO อยู่ในตำแหน่งที่พร้อมรับโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก โดยบริษัทจะติดตามสถานการณ์และปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว           ปัจจุบันบริษัทเริ่มมีลูกค้าใหม่เข้ามาเจรจาเพื่อให้ PACO ผลิตสินค้า ซึ่งบริษัทมีความพร้อมรองรับความต้องการดังกล่าว โดย PACO วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีก 20% จากปัจจุบันที่ใช้กำลังผลิตอยู่ที่ 80-85% เพื่อรองรับคำสั่งซื้อใหม่ โดยการเพิ่มกำลังการผลิตในครั้งนี้จะมุ่งเน้นการนำระบบออโตเมชั่นมาใช้มากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตให้รวดเร็วและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ           นอกจากนี้ PACO ยังคงเดินหน้าปรับปรุงกระบวนการผลิตและลงทุนในเทคโนโลยี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาด           นายสมชาย กล่าวต่อว่า PACO ตั้งเป้ายอดขายในปี 2568 เติบโต 15% โดยคาดว่าสัดส่วนยอดขายจากการส่งออกจะอยู่ที่ 65% และยอดขายในประเทศที่ 35% พร้อมคาดการณ์ว่าสัดส่วนการส่งออกจะเพิ่มขึ้นแตะ 70% จากการที่ลูกค้าจากสหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิตมายังเอเชีย           ปัจจุบัน PACO มียอดคำสั่งซื้อรอส่งมอบ (Backlog) มูลค่า 300 ล้านบาท ซึ่งเตรียมส่งมอบให้ลูกค้าภายในไตรมาส 2/2568 โดยบริษัทมั่นใจว่าการขยายกำลังการผลิตและการปรับตัวสู่ระบบออโตเมชั่นจะช่วยรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ           ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในปี 2568 คือ การขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งจะช่วยลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบและยกเว้นภาษีบางส่วนให้กับบริษัท หากได้รับอนุมัติ คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและสนับสนุนให้อัตรากำไร (มาร์จิ้น) เพิ่มสูงขึ้น           สำหรับแนวโน้มการเติบโตในปี 2567 บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการจะเป็นไปตามแผน โดยอัตรากำไรจะได้รับการสนับสนุนจากการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิต ซึ่งช่วยควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ           ส่วนผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 PACO มีรายได้รวม 818.96 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 108.35 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 1,051.97 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 73.20 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ บริษัทตั้งเป้าผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดทั้งในและต่างประเทศ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

MOTHER เคาะราคา IPO 1.40 บาท/หุ้น จ่อเข้าเทรดตลาด mai กุมภาพันธ์นี้

MOTHER เคาะราคา IPO 1.40 บาท/หุ้น จ่อเข้าเทรดตลาด mai กุมภาพันธ์นี้

          MOTHER แต่งตั้ง Pi เป็นลีดอันเดอร์ไรเตอร์ เสนอขายหุ้น 86 ล้านหุ้น เคาะราคา IPO หุ้นละ 1.40 บาท เปิดจองวันที่ 27-29 มกราคม 2568 ระดมทุนเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถการเติบโตแบบก้าวกระโดด คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai เดือนกุมภาพันธ์           นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ วาณิชธนกิจ บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้รับมอบอำนาจจาก บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค ภายใต้ชื่อ “Mother Supermarket และ Mother Marche” รวม 20 สาขา ในจังหวัดกระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานี พร้อมศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง ในจังหวัดกระบี่ และสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน           โดยกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 86 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.40 บาท รวมมูลค่าการเสนอขาย 120.40 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) เท่ากับ 21.40 เท่า ถือเป็นระดับที่เหมาะสมสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทใกล้เคียงและมีการประกอบธุรกิจที่คล้ายคลึง หรือใกล้เคียงกับธุรกิจของบริษัทที่มี P/E ratio เฉลี่ยอยู่ที่ 32.02 เท่า โดยจะเปิดจองซื้อในวันที่ 27-29 มกราคม 2568           ทั้งนี้ MOTHER นับเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากมีศักยภาพในการให้บริการที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านสินค้า ความหลากหลาย และความครบครัน แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในพื้นที่ และผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมค้าปลีกมามากกว่า 40 ปี นับเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ MOTHER สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ตามศักยภาพทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่มีอัตราการเติบโตสูง และอนาคตของธุรกิจที่จะขยายตัวได้อีกมากตามกำลังซื้อของผู้บริโภค อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจ จึงสามารถสร้างรายได้และทำกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี (2564-2566) บริษัทมีรายได้รวม 1,123.08 ล้านบาท 1,195.47 ล้านบาท 1,252.90 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 18.44 ล้านบาท 13.84 ล้านบาท และ 15.99 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 959.38 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 12.38 ล้านบาท           ด้าน นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER กล่าวว่า เงินที่บริษัทระดมทุนได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ จะนำไปลงทุน 1.ขยายสาขา 2.ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และ 3.เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถการเติบโตของบริษัทให้แข็งแกร่งและยั่งยืน           ทั้งนี้ MOTHER พร้อมมุ่งมั่นสร้างการเติบโต ผ่านการขยายสาขาในพื้นที่จังหวัดกระบี่ รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ ในภาคใต้ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง สอดรับกับข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ได้สรุปสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 35,,545,711 คน และสร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 1.67 ล้านล้านบาท           “การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai นับเป็นก้าวสำคัญในการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่ง โดยมองเห็นแนวโน้มในอนาคตของธุรกิจที่จะขยายตัวได้อย่างก้าวกระโดด ผ่านการรุกขยายสาขาตามยุทธศาสตร์ที่กำหนด เพื่อสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายเอกพงศ์ กล่าว [PR News]

MAGURO สุดปลื้ม! ร้านทงคัตสึ อาโอกิ กระแสแรง- ทุ่มงบ 60 ล.เปิดสาขาเพิ่ม

MAGURO สุดปลื้ม! ร้านทงคัตสึ อาโอกิ กระแสแรง- ทุ่มงบ 60 ล.เปิดสาขาเพิ่ม

          หุ้นวิชั่น - “MAGURO” ผู้นำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม ประกาศความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง จากการเปิดตัวร้านหมูทอดสัญชาติญี่ปุ่น "ทงคัตสึ อาโอกิ" (Tonkatsu AOKI) ที่ได้รับการตอบรับเกินความ คาดหมาย พร้อมลุยเปิด ทงคัตสึ อาโอกิ เพิ่มเป็น 5 สาขาในครึ่งปีแรกนี้ ในศูนย์การค้าชั้นนำ ด้วยโปรโมชัน โดนใจเหล่าสาวก MAGURO ตามแบบฉบับ “Give More” ให้มากกว่าที่ขอ ด้าน “CouCou” ร้านอาหาร สไตล์ตะวันตก ที่เปิดตัวปลายเดือนธันวาคมสร้างประสบการณ์คิวจองออนไลน์เต็มเช่นเดียวกัน ตอกย้ำความ สำเร็จกับการมอบประสบการณ์โดนใจ เติมเต็ม Ecosystem ของร้านอาหารในเครือมากุโระ กรุ๊ป           นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลังจากการเปิดตัวแบรนด์ "ทงคัตสึ อาโอกิ" ร้านหมูทอดทงคัตสึพรีเมียม สัญชาติญี่ปุ่นแท้ที่เซ็นทรัล เวิลด์ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมาเป็นสาขาแรก ณ เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 3 โซน Nippon Avenue ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย มีลูกค้าเข้าคิวรอรับประทานอาหารอย่างล้นหลาม ทุกวัน คิวจองออนไลน์เต็มตลอด ส่งผลให้รายได้เติบโตแข็งแกร่งทะลุเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งนี้รายได้ต่อบิลสูงกว่า ที่คาดไว้ถึง 50%           ร้าน ทงคัตสึ อาโอกิ เป็นร้านหมูทอดทงคัตสึชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมสูง จนติดอันดับ Tabelog's top 100 ร้านทงคัตสึ ด้วยคะแนนสูงถึง 3.8 คะแนน และได้รับการการันตี ความอร่อยด้วยคะแนน 4 ดาว จาก Tripadvisor โดยมีจุดเด่นในการคัดสรรเนื้อหมูชั้นเลิศ และแป้งทอด สูตรพิเศษ ที่ให้ความบาง เบา และกรอบ พร้อมกรรมวิธีการทอดที่พิถีพิถันตามต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ รวมถึงการสร้างประสบการณ์การรับ ประทาน แบบใหม่ด้วยเกลือ 3 ชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ [PR News]

JPARKลุ้นช่องจอดเกิน4หมื่นช่อง พิกัดไกล7.25บ.

JPARKลุ้นช่องจอดเกิน4หมื่นช่อง พิกัดไกล7.25บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง JPARK ว่า ด้านเป้าหมายที่จะขยายจำนวนช่องจอดเป็น 40,000 ช่องจอดภายในสิ้นปี 67 (+30%YoY) มีโอกาสทำได้เกินเป้า หลังได้เปิดให้บริการอาคารจอดรถกาญจนสุก และพื้นที่เชิงพาณิชย์ของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าอย่างเป็นทางการ ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนช่องจอดรถรวม 38,494 ช่องจอด           ขณะที่ผู้บริหารมีแผนการขยายการบริหารจัดการลานจอดรถให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพสูง เช่น พื้นที่สนามบิน โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก ๆ คือการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์อย่างต่อเนื่อง           โดยแนวโน้มผลประกอบการปี 67 จาก Bloomberg เฉลี่ยที่ 125 ล้านบาท +40%YoY ส่วนเป้าหมายในปี 68 ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้แตะระดับ 800 ล้านบาท ผ่านการขยายตัวของช่องจอดรถอีก 10,000 ช่องจอด รวมเป็น 50,000 ช่องจอด และแนวโน้มการรับรู้รายได้ธุรกิจ CIPS อีกราว 100 ล้านบาท           มองว่า JPARK มีความน่าสนใจในแง่ของรายได้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามพื้นที่ให้บริการที่ขยายตัว และการรับจ้างบริหารพื้นที่จอดรถ ซึ่งได้รับค่าตอบแทนแบบคงที่รายเดือน ทำให้บริษัทมีรายได้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งแนวโน้มการกลับมารับรู้รายได้จากธุรกิจ CIPS จะช่วยหนุนให้ GPM กลับมาที่ระดับ 24-25% ด้าน Bloomberg consensus ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 7.25 บาท แนวรับ 5.70/5.55 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา แนวต้าน 6-6.05/6.45-6.50

[Vision Exclusive] SANKO เดินเกมเจาะฐานอเมริกา-รับทรัพย์ 60ล.

[Vision Exclusive] SANKO เดินเกมเจาะฐานอเมริกา-รับทรัพย์ 60ล.

          หุ้นวิชั่น - SANKO เดิมเกมเจาะตลาดอเมริกา หนุนโอกาสรับออเดอร์ใหม่ คาดสตาร์ท ติดเครื่องผลิต พร้อมส่งออกเมษายนนี้ เปิดกระเป๋ารับทรัพย์ 60 ล้านบาท เล็งขยับสัดส่วนต่างชาติปี 68 แตะ 10% ฟากผู้บริหาร "รัฐวัฒน์ ศุขสายชล " คาดยอดขายปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน 800 ล.จับตามาร์จิ้นฟู หลังกดต้นทุนผลิตลดฮวบ           นายรัฐวัฒน์ ศุขสายชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซังโกะ ไดคาซติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SANKO เปิดเผยว่า ทิศทางยอดผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศปี 2568 มีแนวโน้มไม่สดใสมากนัก บริษัทจึงมุ่งหาตลาดใหม่ในต่างประเทศ ล่าสุดได้รับคำสั่งซื้อชุดเกียร์จากลูกค้าในสหรัฐอเมริกา มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท           ทั้งนี้ บริษัทได้ลงทุนในเครื่องจักรใหม่มูลค่า 50 ล้านบาท พร้อมติดตั้ง และคาดว่าจะเริ่มผลิตและส่งออกได้ในเดือนเมษายน 2568 โดยเบื้องต้นคาดว่าจะรับรู้รายได้จากคำสั่งซื้อนี้ราว 50-60 ล้านบาทในปี 2568 หากสามารถส่งมอบสินค้าได้เต็มปี           "ลูกค้าในสหรัฐอเมริกาที่บริษัทได้รับคำสั่งซื้อ มีสาขากระจายอยู่ในหลายประเทศ โดยหากบริษัทสามารถส่งมอบสินค้าในตลาดอเมริกาได้สำเร็จ คาดว่าสาขาอื่น ๆ ในเอเชียจะให้ความสนใจและมีคำสั่งซื้อเพิ่มเติมเข้ามาในอนาคต"นายรัฐวัฒน์ กล่าว           SANKO เผยลูกค้าจากญี่ปุ่นและเกาหลีเริ่มให้ความสนใจเข้ามาเยี่ยมชมโรงงานและพิจารณาว่าจ้างผลิตสินค้า หากบริษัทได้รับออเดอร์เพิ่มเติม จะพิจารณาลงทุนเพิ่มเพื่อรองรับคำสั่งซื้อใหม่ เนื่องจากออเดอร์จากต่างประเทศมักเป็นบิ๊กล็อต           ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างประเทศในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นใกล้แตะ 10% ของยอดขายรวม แม้ยังเป็นสัดส่วนไม่มาก แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดต่างประเทศของบริษัท           SANKO คาดการณ์ยอดขายปี 2568 ใกล้เคียงกับเป้าหมายปี 2567 ที่ 800 ล้านบาท แม้ยอดขายจะไม่เติบโตมากนัก แต่บริษัทมั่นใจว่าอัตรากำไร (มาร์จิ้น) จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะต้นทุนค่าไฟฟ้าและพลังงาน ทั้งนี้ บริษัทได้ติดตั้งโซลาร์รูฟขนาด 800 กิโลวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 300,000-400,000 บาทต่อเดือน จากค่าไฟเฉลี่ยเดิมที่อยู่ในช่วง 1.5-2 ล้านบาทต่อเดือน           นายรัฐวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อยู่ระหว่างการศึกษาแผนธุรกิจใหม่ แม้ยังไม่มีผลลัพธ์ในระยะเวลาอันใกล้ แต่ถือเป็นการวางรากฐานเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision  

[Vision Exclusive] ITNS ชี้เป้าไอทีปี68 เอไอ-ซีเคียวริตี้ ฮอต

[Vision Exclusive] ITNS ชี้เป้าไอทีปี68 เอไอ-ซีเคียวริตี้ ฮอต

          หุ้นวิชั่น - ITNS ชี้เป้าปี 68 ตลาด IT Solutions โตแรง รับกระแส AI -  Security ฮอต! เชื่อภาครัฐ ภาคเอกชนหนุนธุรกิจโต ตอบโจทย์องค์กรเร่งปรับตัวเข้ากับไอที พร้อมจับมือพันธมิตรเพิ่มโปรดักส์ตอบโจทย์ลูกค้า ฟากผู้บริหาร "นาตยา นันทวนิช" ตั้งเป้าปี มะเส็งโต 25-30% ลุ้นงานประมูลใหม่ 1.5 พันล้านบาท ย้อนสถิติเก่า คว้างานได้ 30%           นางสาวนาตยา นันทวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและทรัพยากรมนุษย์ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เน็ตเวิร์ค ซิสเต็ม จำกัด (มหาชน) หรือ ITNS เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ทิศทางการใช้โซลูชั่นส์ไอทีในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าปี 2567 อย่างแน่นอน จากการขยายตัวของธุรกิจ AI และ Security ทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้ภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยต้องปรับตัวและเติบโตสอดคล้องกัน           ITNS เริ่มเห็นสัญญาณการลงทุนในหลายโครงการ ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนการเติบโตของบริษัทต่อเนื่องจากปี 2567 โดยบริษัทมุ่งเน้นให้บริการโซลูชั่นส์ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบ Security และเทคโนโลยีสนับสนุน AI เพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรที่กำลังเร่งพัฒนาและปรับตัวเข้าสู่เทคโนโลยี AI ใหม่อย่างรวดเร็ว           และ ITNS มองแนวโน้มธุรกิจปี 2568 เป็นบวก โดยคาดว่าโครงการจากภาครัฐจะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากชะลอตัวในปีก่อน ขณะที่ภาคเอกชนหลายองค์กรมีแผนปรับโครงสร้างด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน           บริษัทมีพันธมิตรทางการค้าหลากหลาย พร้อมเพิ่มโปรดักส์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งในแง่ของความเหมาะสมกับองค์กรและงบประมาณของลูกค้า เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต           ส่วนเป้าหมายปี 2568 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตในปี 2568 ไว้ที่ 25-30% โดยได้รับแรงหนุนจากงานในมือ (Backlog) ณ สิ้นปี 2567 ที่ราว 300 ล้านบาท และเตรียมเข้าประมูลงานใหม่มูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท บริษัทมีความมั่นใจในศักยภาพการดำเนินงาน โดยที่ผ่านมาสามารถชนะการประมูลได้ประมาณ 30% ของมูลค่างานที่เข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตในปีนี้อย่างต่อเนื่อง รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

LTS เล็งควบรวมเสริมแกร่ง หยวนต้าแนะ

LTS เล็งควบรวมเสริมแกร่ง หยวนต้าแนะ "ซื้อ" เป้า 21 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง LTS ว่า ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคาดกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 24 ล้านบาท (+14.0% QoQ, +265.5% YoY) ทำระดับสูงสุดใหม่เช่นเดียวกับที่นำเสนอไปในบทวิเคราะห์วันที่ 2 ม.ค. แต่มีการปรับคาดการณ์รายได้ลงเป็น 121 ล้านบาท (-25.0% QoQ, +86.8% YoY) เนื่องจากใน 3Q24 มีฐานรายได้สูงจากงาน Commissioning ของ OBON ที่รับรู้เต็มไตรมาส ขณะที่ใน 4Q24 ไม่มีรายได้จากส่วนนี้เลย แต่ได้รายได้จากงานโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งมี GPM สูงกว่ามากเพิ่มขึ้นแทน           ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับคาดการณ์ GPM ขึ้นจากต่ำกว่า 30% เป็น 45% เพราะไม่มีงาน Commissioning ซึ่งมี GPM ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และงานโครงการขนาดใหญ่ซึ่งมี GPM สูงมีสัดส่วนมากขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิยังคงเท่ากับที่คาดการณ์เดิม งานใหม่เร็ว ๆ นี้...ศึกษา M&A เร่งกำไร           Siam AI มีแผนใช้เงินลงทุนในธุรกิจ GPU Server เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ต้องการตั้ง Server ในไทยในช่วง 3 ปีข้างหน้าราว 1.0 แสนล้านบาท โดยงานในมือที่เห็นความต้องการ ณ ขณะนี้ มีความต้องการใช้งาน Commissioning ในปี 2025 ไม่น้อยกว่า 5.0 พันล้านบาท           คาดว่างานทั้งหมดจะเป็นโอกาสของ LTS แต่เพื่อความระมัดระวังจึงรวมไว้เพียง 15% ของมูลค่างานทั้งหมด เป็นรายได้ของ LTS และด้วย NPM ที่คาดไว้ค่อนข้าง Conservative เพียง 7.2% งานแรกที่คาดว่าจะได้รับอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายใน 1Q25 และอาจใช้เวลาในการดำเนินการไม่นาน จึงมีโอกาสที่จะสามารถรับรู้รายได้บางส่วนหรือทั้งหมดใน 1Q25 ประกอบกับรายได้ให้เช่า GPU เข้าไตรมาสแรก ทำให้กำไร 1Q25 อาจทำ New High ได้ต่อเนื่อง           นอกจากนี้ คาดว่างาน Commissioning จะมีต่อเนื่องทุกไตรมาสของปีนี้ รวมถึงงาน เสาไฟอัจฉริยะ ที่คาดว่าจะได้งานอย่างน้อย 1–2 จังหวัดในช่วง 1H25 แผนเติบโตแบบ Inorganic           บริษัทมีแผนเติบโตแบบ Inorganic ด้วยการซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา โดยเน้นธุรกิจด้าน IT และเทคโนโลยี เพื่อต่อยอดความเชี่ยวชาญของบริษัท ซึ่งต้องเป็นบริษัทที่มีกำไรอยู่เดิมแล้ว และสามารถทำให้กำไรเติบโตมากขึ้นได้หลัง M&A คาดว่าจะชัดเจนใน 1H25 ประมาณการยังมีโอกาสปรับขึ้น...PER25 ค่อนข้างต่ำ           ราคาหุ้นปรับตัวลง 30% ภายใน 4 วัน โดยไม่มีปัจจัยอะไรใหม่ เนื่องจากเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนสูงนับตั้งแต่ IPO และเป็นหุ้นขนาดเล็ก ทำให้ถูก Panic Sell ได้ง่าย โดยเฉพาะประเด็นการนำหุ้นไปวางหลักประกันของผู้บริหาร อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารยืนยันว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 อันดับแรกไม่มีการนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันเลยในปัจจุบัน           การปรับตัวลงจึงเป็นโอกาสในการลงทุน เนื่องจากยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังไม่รวมในประมาณการ และแม้พิจารณาที่ประมาณการปัจจุบัน การปรับตัวลงทำให้ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER 2025 ต่ำเพียง 17 เท่า ซึ่งต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับการเติบโตที่คาดไว้ที่ 89% ในปี 2025 และอีก 20% ในปี 2026 บนโอกาสที่ยังปรับขึ้นได้อีก คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท

MOTHER เปิดฉากดีเดย์โรดโชว์ออนไลน์ “22 ม.ค.68”

MOTHER เปิดฉากดีเดย์โรดโชว์ออนไลน์ “22 ม.ค.68”

          หุ้นวิชั่น - MOTHER จัดทัพโรดโชว์ออนไลน์ 22 มกราคม 2568 โชว์วิสัยทัศน์-ตอกย้ำศักยภาพผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ “Mother Supermarket และ Mother Marche” สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน เตรียมเทรดตลาด mai ในไตรมาสแรก            นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลกับนักลงทุน ผ่านช่องทาง Facebook Page: Mother Supermarket ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) จำนวน 86 ล้านหุ้น เพื่อให้นักลงทุนได้เข้าใจถึงภาพรวมธุรกิจ แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และฉายให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) คาดว่าจะสามารถระดมทุนและเข้าจดทะเบียนได้ภายในไตรมาสแรกปี 2568 การโรดโชว์ครั้งนี้ นำทีมโดย นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางสาววิไลลักษณ์ มากผล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบัญชีและการเงิน บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ วาณิชธนกิจ บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมนำเสนอภาพรวมการดำเนินธุรกิจ กลยุทธ์การเติบโต และแผนลงทุนในอนาคตเพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโต  ผ่านช่องทาง Facebook Page: Mother Supermarket ในวันพุธที่ 22 มกราคม 2568 เวลา 14.30 – 15.30 น.

JUBILE จัดใหญ่ปั๊มเงินเข้าพอร์ต โกลเบล็กให้ราคาเหมาะสม 12.10 บ.

JUBILE จัดใหญ่ปั๊มเงินเข้าพอร์ต โกลเบล็กให้ราคาเหมาะสม 12.10 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด คาดการณ์ JUBILE รายได้ 4Q67 ราว 370-390 ลบ. -3%YoY แต่ +14%QoQ เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมใน 3Q67 คลี่คลาย และมีการจัดงานใหญ่ 2 งานในวันที่ 23-24 พ.ย. 67 และวันที่ 20-22 ธ.ค. 67 ตามลำดับเป็นปัจจัยหนุนต่อรายได้           • อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอ่อนตัวลงจาก 4Q66 ที่ 48.7% สู่ 46.8-47.8% เนื่องจากการขายในงานใหญ่ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลง นอกจากนี้ คาดว่า SG&A จะทรงตัวใกล้เคียง 4Q66 ที่ 131 ลบ. ส่งผลให้คาดกำไร 4Q67 ราว 37-42 ลบ. โต QoQ แต่อ่อนตัว YoY ทั้งนี้ รายงานกำไร 9M67 ที่ 103 ลบ. -31%YoY และคิดเป็น 70% ของประมาณการ           • คาดการณ์รายได้และกำไรปี 67 ราว 1,403 ลบ. -10%YoY และ 146 ลบ. -28%YoY ตามลำดับ โดยรายได้ที่ปรับตัวลงได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมภาคอีสานใน 3Q67 และผลกระทบจากเพชรสังเคราะห์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปี 2566 มีส่วนแบ่งการตลาด 9.3% เพิ่มขึ้นจาก 2.4% ในปี 2563 เนื่องจากราคาต่ำกว่าเพชรธรรมชาติกว่า 50% แต่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน           • ฝ่ายวิจัยแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเหมาะสม 12.10 บาท แม้ว่าจะมี upside 20% แต่ราคาปรับตัวลงตามดัชนีและผลประกอบการยังไม่มีสัญญาณการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอ่อนตัวลงจากปี 66 ที่ 48.6% สู่ 47.7% จากยอดขายสินค้าที่ลดลง ต้นทุนเครื่องประดับเพชร และทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้านค่าใช้จ่าย SG&A คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1%YoY สู่ 509 ลบ.

SAAM บิ๊กล็อต 15 ล้านหุ้น

SAAM บิ๊กล็อต 15 ล้านหุ้น "ภาคิน เหล่ากำเนิด" ถือหุ้นเพิ่มเป็น 5.16%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายพดด้วง คงคามี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอเอเอ็ม ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAAM ขอชี้แจงสรุปการซื้อขายหุ้นของบริษัท ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) ของกลุ่มผู้ถือหุ้น ในวันที่ 20 มกราคม 2568 จำนวนรวมทั้งสิ้น 15,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.00 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายและชำระแล้วของบริษัท ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างการถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท เปลี่ยนแปลงไปตามรายละเอียด ดังต่อไปนี้ วันที่ทำรายการ 20 มกราคม 2568             1. นายพดด้วง คงคามี ก่อนทำรายการ ณ วันที่ 2 เมษายน 2567 ถือ 105,293,300 หุ้น คิดเป็นร้อยละของบริษัทที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 35.10 และหลังทำรายการ เหลือ 100,293,300 หุ้น คิดเป็นร้อยละของบริษัทที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 33.43           2.นางสาวกฤติยา หงส์หิรัญ ณ วันที่ 2 เมษายน 2567 ถือ 103,200,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละของบริษัทที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 34.40 และหลังทำรายการ เหลือ 93,200,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละของบริษัทที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 31.07                     3. นายภาคิน เหล่ากำเนิด ณ วันที่ 2 เมษายน 2567 ถือ 474,300 หุ้น คิดเป็นร้อยละของบริษัทที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 0.16 และหลังทำรายการ เพิ่มเป็น 15,474,300 หุ้น คิดเป็นร้อยละของบริษัทที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 5.16           สำหรับรายการซื้อขายหุ้นผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) ของบริษัท ในวันที่ 20 มกราคม 2568 ที่ปรากฏเป็นรายการซื้อขายหุ้นโดยมีจำนวนทั้งสิ้น 30,000,000 หุ้น ซึ่งคิดเป็น สัดส่วนร้อยละ 10.00 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายและชำระแล้วของบริษัทนั้น ทั้งนี้ ในจำนวนอีก 15,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.00 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายและชำระแล้วของบริษัท เป็นเพียงการสลับกลับรายการภายในบริษัท หลักทรัพย์เท่านั้น ดังนั้น จำนวนการซื้อขายจริง คือ 15,000,000 หุ้น           ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นดังกล่าวข้างต้น ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างคณะกรรมการบริษัท โครงสร้างผู้บริหาร โครงสร้างการจัดการ และนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ แต่อย่างใด และการทำรายการได้มา หรือ จำหน่ายหลักทรัพย์ของบุคคลดังกล่าวข้างต้น เป็นการทำรายการโดยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงไม่ เข้าเกณฑ์มาตรา 258 ตามพ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และไม่เข้าข่ายการทำ Mandatory TenderOffer แต่อย่างใด อนึ่ง หากมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ บริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบต่อไป

[Vision Exclusive] KOOL กางอาณาจักร ลุยการเงินครบวงจร

[Vision Exclusive] KOOL กางอาณาจักร ลุยการเงินครบวงจร

            หุ้นวิชั่น - บิ๊กบอส KOOL "นพชัย วีระมาน" ใส่เกียร์ลุยธุรกิจการเงินเต็มสูบ ล่าสุดเข้าซื้อกิจการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเสริมทัพ ลุยบริการครอบคลุมทุกมิติ พร้อมต่อยอดผลิตภัณฑ์ทำความเย็นสร้างมูลค่าเพิ่ม เล็งเก็บเกี่ยวเงินลงทุนอสังหาริมทรัพย์เข้าพอร์ต เชื่อหนุนยอดปี 68 โต 20-30%             นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแอล เวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ในปี 2568 บริษัทคาดว่าธุรกิจการเงินจะมีความชัดเจนมากขึ้น หลังการเข้าซื้อกิจการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีแอล จำกัด ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร โดยกลุ่มธุรกิจการเงินของ KOOL ประกอบด้วย ธุรกิจบริการด้านสินเชื่อ ดำเนินการโดย บริษัท ซีแอล เวนเจอร์ จำกัด และ บริษัท ซีแอลแอล แลนด์ จำกัดให้บริการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบกิจการ ทั้งบุคคลและนิติบุคคล รวมถึงสินเชื่ออเนกประสงค์ โดยมีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน             ธุรกิจบริการด้านที่ปรึกษา ดำเนินการโดย บริษัท ซีแอล แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ให้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisory) ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ดำเนินการโดย บริษัท บริหารสินทรัพย์ธนทวี จำกัด และ บริษัท ขอนแก่น เอเอ็มซี จำกัด มุ่งเน้นการจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) และทรัพย์สินรอการขาย (NPA) และล่าสุด KOOL ได้เข้าซื้อกิจการ ธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซึ่งถือเป็นการขยายบริการให้ครอบคลุมทุกมิติทางการเงิน             ขณะที่ธุรกิจเดิมของ มาสเตอร์คูล ซึ่งเน้นจัดหา จัดจำหน่าย และให้เช่าผลิตภัณฑ์ทำความเย็น ยังคงดำเนินการได้อย่างคล่องตัวและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2568 ธุรกิจดังกล่าวจะยังคงขยายตัวได้ แต่ระดับการเติบโตจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะต่อยอดธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น             ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหลายโครงการ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต เมื่อพิจารณาภาพรวมของกลุ่มธุรกิจทั้งหมด บริษัทคาดว่ารายได้ในปี 2568 จะเติบโต 20-30% เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของทั้งธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ที่เริ่มสร้างผลตอบแทนได้อย่างชัดเจน             ล่าสุด KOOL แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ในพื้นที่บางส่วนของคลังเก็บสินค้าบริการงานเช่าของบริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล ซีแอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ตั้งอยู่ที่ 795 ถนนประชาราษฎร์ 1 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร 10800 เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. ของวันที่ 18 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตแต่อย่างใด             เหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสินค้าบริการงานเช่าเพียงบางส่วน โดยไม่ได้เป็นสาระสำคัญ ซึ่งบริษัทได้แก้ไขปัญหาโดยการจัดหาสินค้า เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ มาใช้งานทดแทนส่วนที่เสียหายแล้ว โดยไม่ส่งผลกระทบต่องานบริการแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการทำประกันอัคคีภัยคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินและสินค้าไว้กับบริษัทประกันภัย ซึ่งมีวงเงินประกันครอบคลุมต่อความเสียหายดังกล่าว รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

บิ๊กบอส LEO ลั่น!กอดหุ้นแน่น มั่นใจพื้นฐานแกร่ง-อนาคตสดใส

บิ๊กบอส LEO ลั่น!กอดหุ้นแน่น มั่นใจพื้นฐานแกร่ง-อนาคตสดใส

          บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) ประกาศความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้น นักลงทุน ลั่นพื้นฐานธุรกิจยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากจากธุรกิจใหม่อย่าง LEO Sourcing and Supply Chain, LaneXang Express และ Sritrang LEO Multimodal Logistics ฟาก “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ลั่น ปัจจุบันยังกอดหุ้น LEO อย่างเหนียวแน่น พร้อมเดินหน้าต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics สร้างรายได้เพิ่มจากการบริการจัดการด้าน Warehouse / Distribution Center ดันผลงานปี 68 เติบโต 20-25%ตามเป้า           นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) เปิดเผยว่ากรณีการขายหุ้น ในวันที่ 17 มกราคม 2568 มีปริมาณการซื้อขายหุ้น LEO ในลักษณะที่ไม่ปกติ และราคาลดลงมามาก เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นผู้ถือหุ้นรุ่นก่อตั้งของบริษัทฯ (ที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการ) นำหุ้นไปวางค้ำประกันเงินกู้ และถูกบังคับขายหุ้น (Forced Sell)           ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนบุคคลและไม่ได้เกี่ยวของกับบริษัทฯหรือคณะกรรมการของบริษัทฯเนื่องจากเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคลโดยผู้ที่นำหุ้นไปค้ำประกันดังกล่าวไม่ได้เป็นคณะกรรมการของบริษัทฯ  อีกทั้งคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ ยังมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารจัดการบริษัทให้เป็นไปตามแผน ชูกลยุทธ์ “LEO Go Green” ยกระดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรอย่างความยั่งยืน พร้อมต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics สร้างรายได้เพิ่มจากการบริการจัดการด้าน Warehouse / Distribution Center ดันผลงานปี 2568 ให้มีการเติบโต 20-25% และมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics เพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างน้อย 30-35% ของภาพรายได้รวม และทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นของบริษัทสูงขึ้น           “ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ LEO ผมยืนยันว่ายังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความมั่นคงของบริษัท และที่ผ่านมาก็มีแต่ทยอยเก็บซื้อหุ้นเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายน และธันวาคมปี 2567 ที่ผ่านมา  ผมและภรรยาก็ยังมีการซื้อหุ้นของ LEO รวมกันเป็นจำนวน 600,000  หุ้น” นายเกตติวิทย์ กล่าว  สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 ทาง LEO เดินตามแผนยุทธศาสตร์ “LEO Go Green”  ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตกำไรขั้นต้นและผลประกอบการให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20-25% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้รายได้จากหน่วยธุรกิจใหม่ๆ (New Business Units) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ Self-Storage และ Wine Storage สาขา ถนนพระราม 4 รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่ได้มีการจัดตั้งในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การขนส่งทางรางไปยังประเทศจีน-ลาว ของบริษัท LaneXang Express การขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศของบริษัท  Sritrang LEO Multimodal Logistics การให้บริการศูนย์โลจิสติกส์และกระจายสินค้าของบริษัท Advantis LEO และการส่งออกสินค้าทุเรียนไปยังประเทศจีนจากบริษัท LEO Sourcing & Supply Chain ซึ่งบริษัทดังกล่าวเหล่านี้จะทำให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีสัดส่วนของรายได้มาเป็น 30-35% จากยอดรวมของบริษัทฯ ใน 1-2 ปีข้างหน้า รวมถึงโครงการ JV และ M&A อีกหลายโครงการที่อยู่ในแผนธุรกิจในปี2568           “LEO เชื่อมั่นว่า ปี 2568 รายได้และกำไรขั้นต้นของบริษัทจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาจากการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างประเทศไทยกับจีน รวมทั้งธุรกิจของ Non - Logistics Business จะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแน่นอน” นายเกตติวิทย์ กล่าว           ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในแผนการสำคัญของ LEO ในปี 2568 คือการพัฒนาระบบขนส่งรถไฟจีน-ไทย ด้วยตู้ Reefer Containers ให้เป็นระบบแบบขนส่ง Round trip มีสินค้าขาไปและขากลับ ระหว่างประเทศจีน-ไทย โดย LEO จะเป็นผู้จัดหาสินค้าส่งออกจากประเทศไทยมายังจีน และทางฝ่ายจีนก็จะช่วยหาสินค้าส่งออกจากประเทศจีนกลับมายังประเทศไทย โดย LEO มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการ End-to-End Global Logistics Service Provider และเครือข่ายของ LaneXang Express ในประเทศจีนและไทยจะสามารถช่วยยกระดับการให้บริการเข้าสู่มาตรฐานสากล ผลักดันให้การขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างจีน-ไทย ให้ประสบความสำเร็จ และสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งให้กับผู้ส่งออกและนำเข้าทั้งในประเทศไทยและจีน           นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นให้ความสำคัญกับกิจกรรมและบริการโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมของ LEO จึงได้ประกาศแผนกลยุทธ์ที่พร้อมส่งมอบบริการโลจิสติกส์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “LEO Go Green” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในฐานะผู้นำด้านการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อย่างแท้จริง” นายเกตติวิทย์ กล่าวในที่สุด [PR News]

[ภาพข่าว] AUCT จัดใหญ่แจกรถยนต์ไฟฟ้าและรางวัลรวมกว่า 7 แสน

[ภาพข่าว] AUCT จัดใหญ่แจกรถยนต์ไฟฟ้าและรางวัลรวมกว่า 7 แสน

           นายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน ร่วมกิจกรรม “AUCT Prestige ศักดิ์ศรี...เหนือระดับ แลก ลุ้น รับ” ในโอกาสฉลองครบรอบก้าวเข้าสู่ปีที่  33  เพื่อแจกรางวัลรถยนต์ไฟฟ้า NETA VII มูลค่า 549,000 บาท และรางวัลต่าง ๆ รวมกว่า 7 แสนบาท สำหรับลูกค้าที่ประมูลซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องจักรกลทางการเกษตร ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2567 - 31 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา

CPANEL ตั้งเป้าปี 68 รายได้โต 100% ปรับพอร์ตรับงานรัฐ พร้อมลุยพัฒนา Precast คาร์บอนต่ำ

CPANEL ตั้งเป้าปี 68 รายได้โต 100% ปรับพอร์ตรับงานรัฐ พร้อมลุยพัฒนา Precast คาร์บอนต่ำ

          หุ้นวิชั่น - CPANEL ประกาศแผนธุรกิจปี 2568 ตั้งเป้ารายได้พุ่ง 100% รักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ชูกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้า มุ่งเน้นงานภาครัฐ ปรับสัดส่วนงานรัฐ 40% งานเอกชน 60% พร้อมลุยขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน พัฒนาผลิตภัณฑ์ Precast Concrete คาร์บอนต่ำ ลดการปล่อยก๊าซ CO2 เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบสนองความต้องการตลาดที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน           นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ประกาศแผนธุรกิจปี 2568 มุ่งสู่การเติบโตก้าวกระโดด เป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้น 100% จากปี 2567 รักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าภาครัฐเพิ่มขึ้นและงานภาคเอกชนหลากหลาย ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้งานภาครัฐ 40% งานเอกชน 60%          อีกทั้ง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ที่มีคาร์บอนต่ำ ปรับปรุงและพัฒนาสูตรผสมคอนกรีตใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาเป็นวัตถุดิบในกระบวนผลิต โดยไม่กระทบต่อความแข็งแรงของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  พร้อมทั้ง ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยลดการสูญเสีย ควบคุมการปล่อยมลพิษจากกระบวนการผลิต เช่น ฝุ่นละออง ก๊าซพิษ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการก่อสร้าง ควบคู่การบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวด           “เป้าหมายการเติบโต 100% เมื่อเทียบกับปีก่อน[PR News]หน้า สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในศักยภาพของธุรกิจและความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายในอนาคต การมุ่งเน้นไปที่งานภาครัฐ โดยเล็งเห็นโอกาสการเติบโต จากนโยบายของรัฐที่สนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยทั่วประเทศ บริษัทได้เตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมประมูลโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับปริมาณงานในมือ (Backlog) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และการ์ด port เป็นงานภาครัฐมากขึ้นเป็นการลดการพึ่งพางานเอกชน ซึ่งมีความผันผวนมากกว่า  ปัจจุบันปริมาณงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 1,565 ล้านบาท เริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2568 เป็นต้นไป  อีกทั้ง การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete)  ให้ตอบรับกับเทรนด์การก่อสร้างอยู่เสมอ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทฯ และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว” นายชาคริต กล่าว [PR News]

PIS หุ้นตัวแรกแห่งปี! เปิดเทรดเหนือจอง 30%

PIS หุ้นตัวแรกแห่งปี! เปิดเทรดเหนือจอง 30%

           บมจ.โปร อินไซด์ (PIS) เปิดเทรดวันแรกทะยานเหนือจอง 30% จากราคาไอพีโอที่กำหนดไว้ 3 บาท/หุ้น ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน ฟากซีอีโอ “เบญญาภา เฉลิมวัฒน์” มั่นใจธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าขยายธุรกิจตามแผน ลุยประมูลงานหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ สอดรับนโยบาย Digital Thailand ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ หนุนผลงานในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าโตแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ในฐานะหุ้น Growth Stock นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS)  ผู้ให้บริการ ICT Solution ครบวงจร เปิดเผยว่า หุ้นPIS เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก เปิดตลาดที่ 3.90 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 30% เทียบราคาไอพีโอ 3 บาท/หุ้น สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนที่มีต่อ PIS ในฐานะหุ้น Growth Stock ที่แนวโน้มรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการเข้าร่วมประมูลงานโครงการไอซีทีของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่เปิดประมูลต่อเนื่องทุกปี สอดรับนโยบาย Digital Thailand เพื่อยกระดับความอยู่ดีมีสุขของประชาชน            "หุ้น PIS เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างคึกคัก เปิดซื้อขายที่ราคา 3.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท หรือ 30% สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯในฐานะผู้นำ IT Solution ครบวงจร ที่ให้บริการตั้งแต่การออกแบบ พัฒนาติดตั้ง และบำรุงรักษาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ มาเป็นเวลายาวนานกว่า 13 ปี" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าว            ทั้งนี้ ภายหลังการระดมทุนในครั้งนี้ PIS พร้อมเดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่าโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า สอดรับนโยบาย Digital Thailand เพื่อยกระดับความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ที่มีการเปิดประมูลโครงการใหม่ต่อเนื่องทุกปี และมีส่วนสำคัญในการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recuring Income) ให้กับบริษัทฯ            โดยบริษัทฯเตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปวางเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงิน เพื่อใช้ในการออกหนังสือค้ำประกัน ให้กับงานโครงการจำนวน 84 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานโครงการแก่ลูกค้าภาครัฐและรัฐวิสาหกิจจำนวน 336 ล้านบาท            ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PIS กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 2.1 พันล้านบาท โดยภายหลังการระดมทุนผ่านการขายหุ้นไอพีโอ จะทำให้ฐานเงินทุนมีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการเข้าประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ขึ้น จากเดิมที่อยู่ระดับมูลค่างาน 200 – 1,000  ล้านบาท เพิ่มเป็นมากกว่า 2,000 ล้านบาท สนับสนุนรายได้ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง            นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) กล่าวว่า การเปิดซื้อขายหุ้นในวันแรกเป็นอย่างดี และสร้างความประทับใจให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของบริษัทฯ            ขณะที่นายวรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ PIS กล่าวว่า ราคาหุ้น PIS ที่เปิดซื้อขายในวันแรกเหนือจอง นอกจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อการบริหารงาน และปัจจัยพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่งแล้ว นักลงทุนยังเห็นถึงแนวทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา            นอกจากนี้ ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตของบริษัทฯ จากโอกาสในการคว้างานด้านไอซีที ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จากการประมูลงานโครงการหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่งบประมาณเพิ่มขึ้นแทบทุกปี เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ในฐานะหุ้น Growth Stock [PR News]

EURO เปิดตัว Poltrona Frau Monobrand Store แห่งใหม่ใจกลางทองหล่อ

EURO เปิดตัว Poltrona Frau Monobrand Store แห่งใหม่ใจกลางทองหล่อ

          หุ้นวิชั่น -บมจ. ยูโร ครีเอชั่นส์ (EURO) จัดงาน Grand Opening "Poltrona Frau" Monobrand Store แห่งใหม่ ใจกลางทองหล่ออย่างยิ่งใหญ่ โดยได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูง พร้อมแขกคนสำคัญจากหลายวงการ ร่วมสัมผัสประสบการณ์เฟอร์นิเจอร์อิตาลีระดับโลก ที่มีความโดดเด่นด้านงานหนังและงานฝีมือ อีกทั้งผลิตเบาะหนังให้กับรถยนต์ซูเปอร์ลักชัวรี่ระดับโลก อาทิ Ferrari ,Porsche Panamera, McLaren Speedtail, Maserati Quattroporte, Rolls-Royce และ Pagani ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล พร้อมสะท้อนวิสัยทัศน์ EURO : ‘Life is better in a beautiful space' อย่างสมบูรณ์แบบ           นายเควิน กัมบีร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (EURO) เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา บริษัทฯ เปิดตัวโชว์รูม Poltrona Frau (พอลโทรน่า ฟราว) ซึ่งเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำระดับโลกจากประเทศอิตาลีนำเข้าโดย Euro Creations  เปิดในรูปแบบ Monobrand Store อย่างเป็นทางการ โดยโชว์รูมตั้งอยู่ในพื้นที่ซอยทองหล่อ 5 จุดศูนย์กลางของกลุ่มลูกค้าที่มองหาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ทั้งสำหรับชาวไทยและชาวต่างชาติ             "การต้อนรับแบรนด์ Poltrona Frau Monobrand Store แห่งใหม่ในครั้งนี้ บริษัทฯ มีความตั้งใจในการขยายแบรนด์สินค้าของเราให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มอย่างสูงสุด โดย Poltrona Frau เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลกจากอิตาลีที่มีเอกลักษณ์และความเชี่ยวชาญในงานหนัง (Leather) และงานฝีมือ (Craftsmanship) ที่ละเอียดประณีต ทำให้ทุกผลิตภัณฑ์ของ Poltrona Frau ผ่านการผลิตตามมาตรฐานคุณภาพสูงสุด และได้รับการยอมรับในระดับสากลในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านหนังที่แท้จริง นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เราเลือก Poltrona Frau เป็นพันธมิตรในการร่วมสร้างสรรค์พื้นที่ที่สวยงาม ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ของเรา 'Life is better in a beautiful space' เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างแท้จริง"           ด้าน Mr. Nicola Coropulis, CEO of Poltrona Frau กล่าวว่า การเปิดโชว์รูม Poltrona Frau ในประเทศไทยครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญในความร่วมมือกับ Euro Creations พันธมิตรที่สำคัญของเรา เราภูมิใจที่จะได้นำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและดีไซน์ระดับโลกผ่านโชว์รูมแห่งใหม่ที่สะท้อนตัวตนและ DNA ของ Poltrona Frau ให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยที่ถือเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงและมีแนวโน้มการเติบโตของตลาดอย่างยั่งยืน พร้อมมุ่งเน้นการมอบประสบการณ์สุดพิเศษในรูปแบบ Italian Luxury ที่จะมอบความเหนือระดับให้แก่ลูกค้าในทุกมิติ          "แบรนด์ Poltrona Frau ก่อตั้งขึ้นในปี 1912 ด้วยความเชี่ยวชาญในงานหนัง (Leather) และงานฝีมือ (Craftsmanship) ที่ส่งต่อมากว่า 112 ปี อันโดดเด่นด้วยการผสมผสานเทคนิคการผลิตแบบช่างฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์ผลิตภัณฑ์ของ Poltrona Frau ผ่านมาตรฐานคุณภาพสูงสุด นอกจากนี้ยังเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตรถยนต์ซูเปอร์ลักชัวรี่ระดับโลก เช่น Ferrari , Porsche Panamera , McLaren Speedtail , Maserati Quattroporte , Rolls-Royce และ Pagani ในการผลิตเบาะหนัง รวมถึงการร่วมงานกับอุตสาหกรรมเรือยอชต์และสายการบิน ด้วยความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลในด้านการผลิตหนังที่มีคุณภาพสูง"             ทั้งนี้ ภายในงานได้รับเกียรติจากแขกผู้มีเกียรติจากหลายวงการ ทั้งในกลุ่ม owner อสังหาฯ เช่น คุณกรณ์ ณรงค์เดช RML หรือ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน), คุณพสุ ลิปตพัลลภ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด มหาชน (PROUD), คุณณพน เจนธรรมนุกุล บริษัท สัมมากร จำกัด มหาชน (SAMCO) , กลุ่ม Supercar communilty, และกลุ่มลูกค้าของเราที่มาร่วมแสดงความยินดีและสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ พร้อมเปิดโอกาสให้ได้สัมผัสกับเอกลักษณ์ของแบรนด์  Poltrona Frau ผ่านการชมโชว์รูมแห่งใหม่ พร้อมดื่มด่ำไปกับประสบการณ์จาก Italian Luxury Brands อย่างครบครัน           โดยได้รับความร่วมมือจาก partners คนสำคัญ อย่าง Ferrari Cavallino Motors Thailand นำรถรุ่นใหม่ล่าสุดมาร่วมจัดแสดง รวมถึง Steinway & Sons แบรนด์เปียโนระดับโลกที่มาสร้างบรรยากาศและสุนทรียภาพอันแสนพิเศษผ่านเสียงดนตรีและ Italasia, Ethica, Sella & Mosca และ Nino Franco ที่นำเสนอเครื่องดื่มสไตล์อิตาเลี่ยนภายในงานและหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของงานคือช่วง Exclusive Talk โดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ร่วมกับ คุณเควิน กัมบีร์, CEO of Euro Creations และ Mr. Nicola Coropulis, CEO of Poltrona Frau ที่ได้มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ เป้าหมายในอนาคตและการผสมผสานศิลปะการออกแบบของ Italian Heritage เข้ากับ Innovation ของ Poltrona Frau ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก โดย Poltrona Frau by Euro Creations At Thonglor 5 เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 10.00 – 19.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-712-9555 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม www.eurocreations.co.th [PR News]

4 โบรกฯ สแกนหุ้น IPO “BKA” ราคาเป้าหมาย 4.60 - 5.30 บาทต่อหุ้น

4 โบรกฯ สแกนหุ้น IPO “BKA” ราคาเป้าหมาย 4.60 - 5.30 บาทต่อหุ้น

           หุ้นวิชั่น - 4 โบรกเกอร์ ประสานเสียง แสกนหุ้นน้องใหม่ IPO บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) ให้กรอบราคาเป้าหมาย 4.60 - 5.30 บาทต่อหุ้น พร้อมตอกย้ำศักยภาพความเป็น “ที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง” อนาคตไกล ระดมทุนหวังดึงเงินต่อยอดธุรกิจ ขยายพอร์ต การให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) พร้อมยกระดับพัฒนา Property Technology (Prop Tech) สร้างแพลตฟอร์ม “Prop Tech” นวัตกรรมใหม่ในการดูบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ สานฝันคนอยากมีบ้าน            บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ผู้นำในธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ โดยดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านแต่ง” หรือเรียกว่า “Flipping”) ซึ่งเป็นการรับฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงก่อนขาย เพื่อให้มีสภาพใหม่พร้อมอยู่อาศัย พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (“ธุรกิจบ้านฝาก”) และ ธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านตัด”) เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้            สำหรับการเข้าระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน เพื่อขยายการเติบโตของบริษัทฯ จากการขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้นเป็นหลัก รวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อ ขายอสังหาฯ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลายและมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับ ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน ได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีแผนชำระคืนเงินกู้ยืมจากบุคคลอื่นทั้งจำนวน            และด้วยศักยภาพ รวมถึงโอกาสในธุรกิจอสังหาฯ มือสอง ที่สะท้อนถึงข้อได้เปรียบระหว่าง บ้านมือสองและโครงการบ้านใหม่ ตอบโจทย์ “BKA ที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง” ภายใต้ทำเลเดียวกัน บนราคาที่คุ้มค่ากว่า และพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า ส่งผลให้ดีมานด์บ้านมือสองในปัจจุบันเติบโตอย่างต่อเนื่อง            สอดรับกับบทวิเคราะห์ ทั้ง 4 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ที่ประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น  BKA ที่ระดับ 4.60 – 5.30 บาท/หุ้น               บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินระดับความเหมาะสม ราคาหุ้น BKA ที่ราคา 5.30 บาท/หุ้น อิง PER 14.5 เท่า โดยมองว่าจากความน่าสนใจของธุรกิจ เป็นหนึ่งในผู้นำ ธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่พร้อมขาย โดยให้บริการปรับปรุงและขายบ้านมือสอง ซึ่งมี Portfolio ที่หลากหลาย และยังเตรียมขยาย Backlog บ้านมือสองมากขึ้นจากสถาบันการเงิน และบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) รวมถึงวางแผนลงทุนธุรกิจ Property technology โดยการสร้างแพลตฟอร์มตัวกลางซื้อขายอสังหาฯ จะทำให้บริษัทฯ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้หลากหลายขึ้น พร้อมทั้งประเมินกำไรสุทธิปี 2024 ที่ 40 ล้านบาท (+80% YoY) หนุนโดย GPM สูงขึ้นอยู่ที่ 11% จากปี 2023 ที่ 9.6% เป็นผลจากการขยายผลิตภัณฑ์บ้านมือสองที่ราคาสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2025 ที่ 77 ล้านบาท (+91% YoY) จากรายได้ที่ขยายตัว +47% YoY ตามกลยุทธ์การขยาย Portfolio บ้านมือสองมากขึ้นภายหลัง IPO            บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเหมาะสม BKA ที่ 5.15 บาท/หุ้น โดยอ้างอิง PER ปี 2025 ที่ 15.0 เท่า มี Discount จากค่าเฉลี่ยของ SET Index ย้อนหลัง 10 ปีที่ 16.0 เท่า เล็กน้อย และมี Discount จากอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรสุทธิ ระหว่างปี 2025-2027 ที่ 40% ทำให้มี PEG ต่ำประมาณ 0.4 เท่า  นอกจากนี้ยังมองว่า BKA มี 3 จุดเด่นที่น่าลงทุน ได้แก่ 1. ธุรกิจบ้านมือสอง    มีความได้เปรียบบ้านโครงการใหม่ ทั้งทำเลและราคาที่คุ้มค่ากว่า จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ  2.ธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ เป็นการวางเงินประกัน ปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุน ซื้อบ้านทั้งหลัง ทำให้ประหยัดเงินลงทุนได้มาก แต่ให้ผลตอบแทนสูง 3.เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปขยายธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการซื้อขายบ้านมือสอง ซึ่งเป็นการต่อยอดทางธุรกิจในอนาคต            พร้อมได้คาดการณ์กำไรสุทธิ โดยมองอัตราการเติบโต CARG อยู่ที่ 40% ช่วงปี 2025-2027 โดยในปี 2025 อยู่ที่ 72 ล้านบาท  ปี 2026 ที่ 96 ล้านบาท และปี 2027 ที่ 115 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุน      มาจากการเข้าถึงบ้านที่มีโครงสร้างยังดีอยู่พร้อมปรับปรุง แต่มีราคาถูกผ่าน NPA ของธนาคารต่างๆ และที่สำคัญกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ยังมีแนวโน้มความต้องการสูง            บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเหมาะสม BKA ที่ 5.05    บาท/หุ้น โดยอิงจากหุ้นอสังหาฯ ในตลาด mai ใช้วิธี P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี ที่ 14.1 เท่า โดยมองว่า ในปี 2568-2569 BKA มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจสูงขึ้น จากแผนการระดมทุน ส่งผลให้คาดการณ์รายได้ใน ปี 2568 ที่ระดับ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.1% (YoY) ซึ่งเติบโตจากการขยายธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) ในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บริษัทฯ เชี่ยวชาญ และในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีดีมานด์สูง โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้น 11.7% (YoY) จากการปรับพอร์ตมาสู่บ้านระดับราคาที่สูงขึ้น พร้อมทั้งคาดการณ์กำไรสุทธิ 75.50 ล้านบาท +87.6%(YoY) EPS 0.36 บาท/หุ้น และคาดว่าจะเติบโตได้ดีต่อเนื่องในปี 2569 จากการเริ่มขยายกิจการในปี 2568            ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเหมาะสม BKA ที่ 4.60 บาท/ หุ้น อิง PE 13 เท่า เนื่องจากไม่มีบริษัทจดทะเบียนในตลท.รายใดทำธุรกิจเหมือนกับ BKA จึงอิง Forward PE2025 ของบริษัทผู้ที่มีบางส่วนของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบ้านมือสอง และจากความได้เปรียบด้านราคาที่ต่ำกว่าบ้านใหม่และทำเลที่ดีกว่า ส่งผลทางฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรปี 2024 ที่ 40 ล้านบาท (+77% YoY) ขณะที่ปี 2025-2026 กำไร 74 ล้านบาท (+85% YoY) และ 83 ล้านบาท (+12% YoY) ตามลำดับ เติบโตเฉลี่ย 54% CAGR ตามทิศทางและแผนรุกขยายพอร์ตบ้านแต่ง(Flipping) มากขึ้น ทั้งนี้เป็นผลมาจากความพร้อมด้านกระแสเงินสดภายหลัง IPO รวมถึง SG&A ต่อรายได้ลดลงจาก Economy of scale ที่ดีขึ้น รวมถึงต้นทุนการเงินที่ลดลง หลังนำเงิน IPO ไปคืนหนี้เงินกู้ สะท้อนถึงการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น

MAGUROฮอต! โบรกมอง valuation แพง เป้าเท่าไร? เช็กเลย!

MAGUROฮอต! โบรกมอง valuation แพง เป้าเท่าไร? เช็กเลย!

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) MAGURO (ซื้อ/เป้า 26.00 บาท) ร้านที่ The Flavorhood ได้รับการตอบรับดีแม้เป็นวันธรรมดา ฝ่ายวิเคราะห์คงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 26.00 บาท อิง 2025E PER 23.5x ศุกร์ที่ผ่านมา(17 ม.ค.) ฝ่ายวิเคราะห์ได้จัดเข้าเยี่ยมชม The Flavorhood ถนนประดิษฐ์มนูญธรรม ซึ่งมีหมู่บ้านใหญ่โดยรอบมีร้านอาหารในเครือ MAGURO 3 แบรนด์ได้แก่ Maguro, Hitori Shabu และ Cou Cou โดยร้านอาหารทั้ง 3 ร้าน ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเพศทุกวัย และให้บริการตั้งแต่ breakfast – dinner และมีผู้มาใช้บริการแน่นแม้เป็นวันธรรมดา            ฝ่ายวิเคราะห์ได้ลองทางอาหารร้าน Cou Cou และคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากคุณภาพอาหารที่ premium, เมนูหลากหลายและราคาที่เหมาะสม โดยเราคาดรายได้รวมจากทั้ง 3 ร้านที่ The Flavorhood อยู่ที่ 12.4 ล้านบาท/เดือน ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินกำไรสุทธิ 4Q24E ที่ 34 ล้านบาท (+149% YoY, +17% QoQ) โต YoY หนุนโดย 1) SSSG +4.5%, ขยายสาขา และแบรนด์ใหม่เติบโตดีกว่าคาด โดยเฉพาะ Tonkatsu Aoki, 2) GPM ขยายตัว จากสัดส่วน Hitori Shabu ที่ high margin ปรับตัวเพิ่มขึ้นเราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 96 ล้านบาท (+33% YoY) และกำไรปกติที่ 102 ล้านบาท (+41% YoY)           สำหรับปี 2025E คาดกำไรสุทธิที่ 141 ล้านบาท (+47% YoY) ราคาหุ้นทรงตัวเมื่อเทียบกับ SET ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 2025E PER 17.2x ต่ำกว่า peer ฝ่ายวิเคราะห์ มองว่า valuation ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรปี 24-25E ที่ทำ All Time High และยังมี upside จากแบรนด์ใหม่ และการขยายสาขาที่มากกว่าคาด

[Vision Exclusive] BBIK เจาะงานภาครัฐ จับตาไอทีปี68 โตสนั่น

[Vision Exclusive] BBIK เจาะงานภาครัฐ จับตาไอทีปี68 โตสนั่น

           หุ้นวิชั่น - บอสใหญ่ BBIK "พชร อารยะการกุล" กางแผนธุรกิจปีมะเส็ง เจาะฐานภาครัฐทำเงิน คาดดันสัดส่วนแตะ 10% จากปัจจุบันต่ำกว่า 5% เชื่อหลายองค์กรลุยลงทุนไอทีอื้อ ส่วนเอกชน แบงก์ ประกันคึกคัก คาดรายได้ปี 68 โตดีบเบิ้ลดิจิต            นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ทิศทางธุรกิจของบริษัทในปี 2568 จะเน้นการขยายฐานเทคโนโลยีให้ครอบคลุมหลากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่มีความต้องการลงทุนในด้านไอทีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ เช่น สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย และธุรกิจอื่น ๆ มีดีมานด์ในการพัฒนาและขยายฐานไอทีอย่างชัดเจน นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะรุกเข้าสู่ตลาดภาครัฐมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมามีการดำเนินงานในภาคส่วนนี้น้อย            ในส่วนของการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ BBIK วางแผนที่จะเร่งดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปี 2568 เพื่อเพิ่มศักยภาพและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับบริษัทในระยะยาว            ในปี 2568 มีแนวโน้มที่งานจากภาครัฐจะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ตามแผนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากภาครัฐของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 5% อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ BBIK คาดการณ์ว่าสัดส่วนรายได้จากงานภาครัฐจะเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าแตะระดับ 7-8% และมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 10% หากบริษัทสามารถรับงานใหม่ในภาคส่วนนี้ได้ตามแผนที่วางไว้            ปัจจุบันบริษัทเริ่มได้รับงานจากลูกค้าภาครัฐแล้วบางส่วน เช่น งานด้านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ โดยบริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนดำเนินงานเพื่อส่งมอบบริการให้กับลูกค้าตามแผน ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทมีมูลค่าสัญญาการให้บริการคงเหลือ (Backlog) รวมทั้งสิ้น 871 ล้านบาท โดยไม่รวม Backlog จากกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วมทั้งหมด สำหรับ Backlog ดังกล่าว คาดว่าจะสามารถส่งมอบและรับรู้รายได้ในปี 2567 ไม่น้อยกว่า 355 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ระหว่างปี 2568-2572            แผนการลงทุนในปี 2568 โดยมุ่งเน้นด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม AI เพื่อปรับใช้กับลูกค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์การใช้งานระบบไอทีในปัจจุบัน            บริษัทตั้งเป้าการเติบโตในปี 2568 อยู่ในระดับดับเบิ้ลดิจิต แม้เศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้อาจเติบโตได้ไม่มาก แต่เชื่อมั่นว่า BBIK จะสามารถเติบโตได้สูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 20-30%            การดําเนินธุรกิจของบริษัทนั้น จะดําเนินการผ่านบริษัท บริษัทย่อย บริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า ซึ่งมีขอบเขตการดําเนินงานใน 4 ส่วนหลัก ได้แก่ ธุรกิจบริการหลักด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation Consulting Services) ที่เป็นส่วนงานหลักที่กลุ่มบริษัท มีการให้บริการอย่างครบวงจร ซึ่งกลุ่มบริษัทจะมุ่งเน้นความสําคัญเรื่องคุณภาพการให้บริการควบคู่กับการขยายธุรกิจรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มบริการหรือเทรนด์เทคโนโลยีสําคัญหลังการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ระบบดิจิทัล ทั้งนี้ ธุรกิจการให้บริการหลัก มีดังนี้ ธุรกิจการให้คําปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ (Management Consulting; MC) เป็นการออกแบบแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจระยะสั้นและยาว (3 ปี – 5 ปี) การออกแบบแผนการตลาดสําหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการของลูกค้า การวิจัยตลาดเพื่อสร้างกลยุทธ์การแข่งขัน การออกแบบกระบวนการทํางานเพื่อลดความซ้ำซ้อน และการปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับธุรกิจ ธุรกิจการบริหารโครงการเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic PMO; PMO) เป็นการให้บริการบริหารโครงการต่างๆ ในรูปแบบการกํากับดูแลโครงการ จัดกลไกการจัดการโครงการ ตลอดจนดําเนินการบริหารโครงการ หรือบริหารผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถดําเนินงานได้ทันเวลา และองค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ธุรกิจการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คําปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Digital Excellence and Delivery; DX) เป็นการให้คําปรึกษาเชิงลึกด้านดิจิทัลครบวงจรและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมสําหรับองค์กร ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบสถาปัตยกรรมและโครงสร้างของระบบ การออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้งานและส่วนติดต่อระหว่างผู้ใช้กับระบบ (UX/UI) บนหน้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น การพัฒนาและปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการเชื่อมต่อโปรแกรม เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะด้านภายในองค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานและความคล่องตัวให้กับธุรกิจ ธุรกิจการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Big data,advanced analytics and artificial intelligence; AI) เป็นการให้บริการออกแบบและพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ เพื่อใช้สนับสนุนการตัดสินใจ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ธุรกิจบริการด้านทรัพยากรบุคคลชั่วคราวที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที (IT Staff Augmentation) โดยทําหน้าที่จัดหาพนักงานที่เชี่ยวชาญด้านไอที อาทิ โปรแกรมเมอร์ และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อปฏิบัติงานตามกําหนดระยะเวลาจนจบโครงการ ธุรกิจบริการด้านการพัฒนาระบบและให้คําปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security and Solution Implementation Services) โดยเป็นการให้บริการที่ปรึกษาเพื่อบริหารจัดการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ครบวงจรตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์และกรอบการบริหารจัดการ การประเมินมาตรการควบคุมและป้องกัน การยกระดับมาตรการป้องกัน การวางแผนและรับมือเหตุละเมิดความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงการติดตั้งระบบ Cyber security ให้กับลูกค้า ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) โดยกลุ่มบริษัท มีการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งเป็นบริษัทชั้นนําด้านไอทีระดับโลกในการนําเสนอดิจิทัลแพลตฟอร์ม หรือไอทีโซลูชันที่สามารถรองรับความต้องการและเทรนด์ธุรกิจใหม่ และขยายฐานลูกค้าที่ครอบคลุมทั้งกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการทําดิจิทัล            ทรานส์ฟอร์เมชันและเทรนด์การทําธุรกิจ เช่น  ธุรกิจด้านการพัฒนาระบบงาน Enterprise Resource Planning; ERP และการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้ร ะบบงาน (ERP maximization and advisory) ซึ่งในปัจจุบันมีการให้บริการสําหรับร ะบบงาน Microsoft Dynamic 365 และระบบงาน SAP โดยมุ่งเน้นการออกแบบและพัฒนาโปรแกรมผ่านการเขียนโปรแกรมประยุกต์ทางธุรกิจขั้นสูง เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานระบบ ERP ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพสูงสุด ธุรกิจด้านการพัฒนาระบบงาน Customer Relationship Management; CRM (CRM advisory and solution) ซึ่งในปัจจุบันมีการให้บริการสําหรับระบบงาน Salesforce ตั้งแต่การออกแบบ พัฒนาและการดูแลระบบ โดยมุ่งเน้นการออกแบบและพัฒนาระบบที่สามารถเชื่อมต่อการทํางานกับระบบเดิมที่ลูกค้ามีอยู่ อย่างไร้รอยต่อ เพื่อทําให้การใช้งานสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังมีการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม หรือไอทีโซลูชันขึ้นมาเอง เช่น นวัตกรรม LISMA หรือ LISMA X ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อระบบ SAP เข้ากับแพลตฟอร์ม Line หรือ Microsoft เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้งานระบบต่างๆ ได้สะดวก ง่ายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ธุรกิจร่วมค้า โดยการลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญที่สามารถต่อยอดด้านบริการและธุรกิจ ได้แก่ บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ปตท. นํ้ามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) (“โออาร์”) เพื่อประกอบธุรกิจบริการด้านการให้คําปรึกษา ออกแบบ พัฒนา ดูแลรักษาระบบและแอพพลิเคชั่นของบริษัทในเครือโออาร์ รวมถึงการหารายได้โดยการใช้ประโยชน์ของข้อมูล (Data Monetization) โดยเป็นการขยายผลเพื่อนําข้อมูลที่เป็นทรัพยากรขององค์กรไปใช้ต่อยอดทางธุรกิจ บริษัท ซอส สกิลส์ จํากัด (“Sauce Skills”) ซึ่งเป็นการร่วมมือกับ บริษัท เดอะแสตนดาร์ด จํากัด ในการดําเนินธุรกิจพัฒนาหลักสูตรอบรมแก่องค์กร (Corporate Training) เพื่อมุ่งยกระดับทักษะและความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัล ธุรกิจ และการส่งเสริมความเป็นผู้นําในองค์กร (Sauce Skills มีฐานะเป็นบริษัทย่อยภายในงบการเงินรวมของบริษัทฯ) ซึ่งได้เริ่มให้บริการและมีรายได้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 บริษัท อีโค เอ็กซ์ จํากัด (“EcoX”) ซึ่งเป็นธุรกิจร่วมค้ากับ บริษัท เบริล 8 พลัส จํากัด (มหาชน) ในการดําเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม (Green Technology) ธุรกิจต่างประเทศ โดยกลุ่มบริษัทมีการรุกสู่ตลาดต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่และมีความต้องการในการทําดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มบริษัทมีการให้บริการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คําปรึกษาด้านเทคโนโลยีให้กับลูกค้าต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร และเวียดนาม ผ่านการชูจุดแข็งด้วยศักยภาพของบุคลากรด้านดิจิทัล และข้อได้เปรียบในต้นทุนบริการที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision  

LDC เดินหน้าปี 68 บุกตลาดภาคใต้ เตรียมเปิด 3 สาขาใหม่

LDC เดินหน้าปี 68 บุกตลาดภาคใต้ เตรียมเปิด 3 สาขาใหม่

            LDC กางแผนปี 2568 มุ่งเน้นสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง เจาะลูกค้าใหม่ เล็งขยายสาขาภาคใต้เพิ่มเติม เนื่องจากเป็นพื้นที่กำลังซื้อสูง หลังได้รับกระแสตอบรับจากสาขานำร่องเป็นอย่างดี พร้อมเตรียมออกแคมเปญเพื่อตอบแทนลูกค้าที่เหนียวแน่น ย้ำความเชื่อมั่นการให้บริการด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมาตรฐานศูนย์ทันตกรรม ในโมเดลโรงพยาบาลขนาดเล็ก             ทันตแพทย์วัฒนา ชัยวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC ผู้ให้บริการศูนย์ทันตกรรมทันตแพทย์เฉพาะทางในนาม “LDC Dental” เผยกลยุทธ์แผนปี 2568 มุ่งเน้นวางรากฐานการขยายสาขาอย่างมั่นคง เพื่อสนับสนุนให้ทุกสาขาเปิดดำเนินการได้อย่างมีกำไร โดยมุ่งเน้นในพื้นที่ย่านเศรษฐกิจและมีกำลังซื้อสูง พร้อมรักษาฐานลูกค้าเดิม ด้วย Loyalty Program เพื่อตอบแทนลูกค้าที่ใช้บริการ LDC Dental เสมอมา             โดย LDC มีแผนเล็งเปิดเพิ่มเติม 3 สาขา ในปี 2568 ซึ่งเป็นสาขาในโซนภาคใต้ เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มเติม ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดชุมพร และจังหวัดภูเก็ต หลังจากได้รับการตอบรับที่ดี จากการเปิดให้บริการสาขานำร่องในโซนภาคใต้จำนวน 2 สาขา ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช กับจังหวัดตรัง มีผู้ใช้บริการในระดับสูง หนุนรายได้โตต่อเนื่อง ทำให้เห็นศักยภาพกำลังซื้อของโซนภาคใต้ และความเชื่อมั่นในศูนย์ทันตกรรม ที่ LDC สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด ด้วยมาตรฐานและคุณภาพเป็นสำคัญ ซึ่งจะสนับสนุนให้ LDC มีสาขาโซนภาคใต้ 5 สาขา ภายในสิ้นปีนี้             ทั้งนี้ อีกหนึ่งเป้าหมายหลักคือการผลักดันให้ทุกสาขาที่เปิดดำเนินการมีกำไร รวมถึงบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมา LDC ได้ปิดสาขานวมินทร์ และสาขามหาสารคาม สนับสนุนให้ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 21 สาขา โดยแบ่งเป็นในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร 15 สาขา และ ต่างจังหวัด 6 สาขา             ทันตแพทย์วัฒนา กล่าวเสริม “ในปี 2568 นี้ LDC ยังคงมุ่งสร้างการเติบโตอย่างระมัดระวัง เดินหน้าบริหารศูนย์ทันตกรรมให้มีกำไรทุกสาขา บริหารงานควบคุมต้นทุนอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง แม้ว่าเราจะมีการปิดสาขาในบางพื้นที่ แต่ก็มั่นใจว่าสาขาใหม่ที่เปิดให้บริการ จะเข้ามาสร้างฐานกำไรที่ดี และเป็นสาขาไฮไลต์ในอนาคต พร้อมตอกย้ำการเป็นศูนย์ทันตกรรม ด้วยโมเดลโรงพยาบาลขนาดเล็ก ที่มีมาตรฐานการให้บริการและความปลอดภัยของห้องทำฟันที่เทียบเท่าห้องผ่าตัด มีทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญครอบคลุมทุกด้านทันตกรรม รวมถึงมีเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการด้วยมาตรฐานสากล” [PR News]

ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ต้อนรับ บมจ. โปร อินไซด์ (PIS) เริ่มซื้อขาย 20 ม.ค. นี้

ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ต้อนรับ บมจ. โปร อินไซด์ (PIS) เริ่มซื้อขาย 20 ม.ค. นี้

                  หุ้นวิชั่น - นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ maiยินดีต้อนรับ บมจ. โปร อินไซด์ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มเทคโนโลยี โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “PIS” ในวันที่ 20 มกราคม 2568           PIS เป็นบริษัทย่อยของ บมจ.สกาย ไอซีที (SKY) บริษัทดำเนินธุรกิจจัดหา จำหน่ายและวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแบบครบวงจร (ICT-Solutions) ครอบคลุมการบริการให้คำปรึกษา วางแผน ออกแบบพัฒนา ติดตั้ง รวมถึงการบำรุงรักษาอุปกรณ์และระบบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ งานระบบรักษาความปลอดภัยทางกายภาพแบบครบวงจร (Physical Security Solution) งานแอพพลิเคชั่นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร  (ICT Application Solution) และงานบริการระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Integration Services) กลุ่มบริษัทได้เป็นพันธมิตรกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและกล้องวงจรปิดชั้นนำระดับโลก เช่น Dahua Hikvision Huawei Vmware และ Fortinet เป็นต้น ณ งวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายฯต่อรายได้จากการให้บริการคิดเป็นร้อยละ 59 : 41 โดยมีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ และ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มีมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวน 2,102 ล้านบาท           PIS มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 270 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 400 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 140 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 89.69 ล้านหุ้น ผู้ลงทุนสถาบันไม่เกิน 15 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 21 ล้านหุ้น กรรมการ และผู้บริหารของบริษัทไม่เกิน 6.31 ล้านหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของกลุ่ม SKY ไม่เกิน 8 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ลงทุนทุกประเภทระหว่างวันที่ 9 - 13 มกราคม 2568 ในราคาหุ้นละ 3 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 420 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,620 ล้านบาท ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 18.75 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2567 ซึ่งเท่ากับ 87.13 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.16 บาท โดยมีบริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ                                                                                                                                                                                                                   นางสาว เบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. โปร อินไซด์ (PIS) เปิดเผยว่า บริษัทเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับคู่ค้าเจ้าของผลิตภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกหลากหลายแบรนด์ มีทีมวิศวกรและบุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ให้บริการอย่างมีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปวางเป็นหลักค้ำประกันกับสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการขอออกหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee: LG) ให้กับงานโครงการ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานโครงการแก่ลูกค้าหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ PIS มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ SKY ถือหุ้น 67.70% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทฯ หลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับบริษัท ผู้ลงทุนและผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียด จากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.proinside.co.th และ www.set.or.th

PROEN จ่อชิงงานภาครัฐ-เอกชนเกือบ 3 พันล้าน

PROEN จ่อชิงงานภาครัฐ-เอกชนเกือบ 3 พันล้าน

          หุ้นวิชั่น - PROEN ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต20% มั่นใจผลงานทั้งปีมีกำไรสุทธิ ลั่นทุกธุรกิจเติบโตได้ดีทั้ง”ดาต้าเซ็นเตอร์-Cloud-งานโครงการภาครัฐ”  จ่อประมูลงานภาครัฐ-เอกชนมูลค่ารวมเฉียด 3 พันล้าน เผยล่าสุดมี Backlog ในมือกว่า 800 ล้าน ส่วนศูนย์บริการข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ภายใต้แบรนด์ Edgnex Data Centers by DAMAC คาดก่อสร้างแล้วเสร็จ 100%ในเดือนเม.ย.นี้ พร้อมเปิดให้บริการทันที           นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้ให้บริการ Cloud และ Data Center ครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม PROEN ในปีนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ ที่เป็น Core Business ทั้งในส่วนของธุรกิจให้บริการศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ กลุ่ม ICT ซึ่งเป็นกลุ่มให้บริการด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร (Information Communication and Technology),การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Internet Service Provider : ISP) และบริการคลาวด์ (Cloud Service)  รวมทั้งการดูแลระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์(Cyber Security) โดยปีนี้คาดว่า รายได้จะเติบโตประมาณ 15-20% และมั่นใจว่าผลงานทั้งปีจะมีกำไรสุทธิ ตามเป้าหมายที่วางไว้       โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากกลุ่มธุรกิจให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ 30% ซึ่งจะมีทั้งรายได้จากศูนย์ดาต้าแห่งใหม่ บนถนนพระราม 9-ศรีนครินทร์ และศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ NT และมาจากกลุ่มธุรกิจให้บริการคลาวด์ Cloud Service สัดส่วน 5%  กลุ่มเทรดดิ้ง 25%   และที่เหลือประมาณ 30-40 % จะมาจากกลุ่มธุรกิจโครงการ ICT นายกิตติพันธ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัท มีมูลค่างานในมือ หรือ Backlog จำนวน 22 โครงการ  ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และงานโครงการภาครัฐรวมมูลค่าราว 800 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง   และคาดว่าภายในปีนี้บริษัทจะมี Backlog เพิ่มขึ้น  เนื่องจากบริษัทเตรียมที่จะประมูลงานทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนมูลค่ารวมเกือบ 3,000 ล้านบาท สำหรับความคืบหน้าในการเปิดศูนย์บริการข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ภายใต้แบรนด์ Edgnex Data Centers by DAMAC  ตั้งอยู่บนพื้นที่ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ถนนพระราม 9-ศรีนครินทร์  กำลังผลิต 5 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ 100% และพร้อมให้บริการทั้ง 5 เมกะวัตต์ประมาณ เดือนเมษายน นี้ ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าต่างประเทศจองสิทธิการใช้บริการเต็มพื้นที่ ทำให้บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนในเฟสถัดไปอีก  15 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ติดกัน (พระราม9)  ภายในปีนี้

[Vision Exclusive] PPS ลุ้นงานใหญ่อีอีซี ปลดตราสารหนี้ 120ล.

[Vision Exclusive] PPS ลุ้นงานใหญ่อีอีซี ปลดตราสารหนี้ 120ล.

          หุ้นวิชั่น - PPS เล็งปลดล็อกตราสารหนี้ 120 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจปี 68 ด้านผู้บริหาร "พงศ์ธร ธาราไชย" ลุ้นคว้าโครงการใหญ่ใน EEC มูลค่า 400 ล้านบาท เสริม Backlog จากปัจจุบันที่ 500 ล้านบาท พร้อมเจรจาพาร์ทเนอร์ต่อยอด           ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS เปิดเผยถึงแผนธุรกิจปี 2568 ว่าจะต้องรอผลประกอบการปี 2567 ก่อน จึงจะสามารถจัดทำแผนธุรกิจได้อย่างชัดเจน โดยคาดว่าความชัดเจนของแผนดังกล่าวจะมีขึ้นหลังการประชุมผู้ถือหุ้นในช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม           ในเบื้องต้น PPS ตั้งเป้าปลดล็อกตราสารหนี้ (Bond) ที่เหลืออยู่ 120 ล้านบาทให้หมด เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ และสร้างฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น  นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างจริงจัง เพื่อขยายธุรกิจที่ปรึกษาด้านการบริหารและควบคุมการก่อสร้างให้เติบโตต่อเนื่องในปี 2568           บริษัทอยู่ระหว่างติดตามโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวม 400 ล้านบาท โดยงานในส่วนของ PPS คิดเป็นสัดส่วน 20-30% หรือมูลค่าราว 100 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถประกาศความชัดเจนของโครงการดังกล่าวได้ภายในปีนี้ หากสำเร็จจะช่วยเพิ่มงานในมือ (Backlog) ของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ           อย่างไรก็ดีด้วยศักยภาพในการบริหารและควบคุมการก่อสร้างบริษัท PPS ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจและสร้างพันธมิตรเพื่อรองรับโอกาสใหม่ๆ ในตลาด โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นศูนย์กลางการลงทุนของประเทศ การคว้าโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่นี้จะช่วยเพิ่มรายได้และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานธุรกิจในระยะยาว           โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 บริษัทมี Backlog อยู่ในระดับ 400-500 ล้านบาท ซึ่งเป็นฐานรายได้ที่มั่นคงสำหรับการดำเนินงานในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทมองว่าในปี 2568 อาจเห็นการอนุมัติและเริ่มต้นโครงการก่อสร้างใหม่ๆ จากภาครัฐและเอกชน โดยงานเหล่านี้คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป           ด้วยความพร้อมทั้งในด้านบุคลากรและการเงิน PPS มั่นใจว่าจะสามารถรองรับงานใหม่ๆ และสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ที่คาดว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายตัวของโครงการก่อสร้างในประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการในอนาคต รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

SEI ปักธงปี 68 ตั้งเป้ารายได้เติบโต15% ลุยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมทางการแพทย์ครบวงจร

SEI ปักธงปี 68 ตั้งเป้ารายได้เติบโต15% ลุยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมทางการแพทย์ครบวงจร

          เอสอีไอ เมดิคัล เปิดแผนธุรกิจปี 2568  ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% รับอานิสงค์การเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ - วิทยาศาสตร์การแพทย์ และ Health and Wellness  ชี้เป็นกลุ่มเมกะเทรนด์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูง  เดินหน้าเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม ให้บริการเพิ่มเป็น 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมทุกมิติช่วงเวลาของชีวิต            นายกานต์ ปุญญเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสอีไอ เมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ SEI ผู้นำให้บริการนวัตกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์แบบครบวงจร (One Stop Service) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จะเติบโต 15-20 %    ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทขยายผลิตภัณฑ์เครื่องมือและนวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ๆ ให้ครบวงจรในทุกมิติ  ขณะเดียวกันก็ได้รับอานิสงค์จากการเติบโตของธุรกิจเครื่องมือแพทย์และวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ Health and Wellness  ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์มีแนวโน้มเติบโตสูง           โดยในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเพิ่มการให้บริการกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกมิติทุกช่วงเวลาของชีวิต จากเดิม 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า  7 กลุ่มผลิตภัณฑ์  ขณะที่งานด้านบริการทั้งการซ่อมและการให้เช่าอุปกรณ์  ยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดีตามการขยายเพิ่มของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกลุ่มสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ประเภทใช้ครั้งเดียว ก็มีการปรับสูงขึ้นเช่นกัน           นายกานต์กล่าวต่อว่า การเติบโตของ SEI  ได้สอดคล้องกับการเติบโตของภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ในปี 2568 ยังคงเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 5-6% ต่อปี สะท้อนถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ SEI เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ มีผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับในวงการสาธารณสุขทั่วไป สามารถแข่งขันในตลาดได้ทั้งในเรื่องของคุณภาพผลิตภัณฑ์และราคาที่สมเหตุสมผล           “ปีนี้ได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากเดิมที่มี 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ มีกลุ่มทารกแรกเกิด,กล้องส่องตรวจ,ผ่าตัด,อุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์, ผลิตภัณฑ์ความงาม จะเพิ่มเป็น 7 ผลิตภัณฑ์  ส่วนของเดิมที่มีอยู่ก็จะขยายทั้งหมดทุกกลุ่ม  แต่ผลิตภัณฑ์หลักยังเป็นส่วนของกลุ่มทารกแรกเกิด และกล้องส่องตรวจ” นายกานต์ กล่าว [PR News]

MAGURO รับกระแสกินข้าวนอกบ้าน โกลเบล็ก แนะ

MAGURO รับกระแสกินข้าวนอกบ้าน โกลเบล็ก แนะ "ซื้อ" เป้าเท่าไร? เช็กเลย!

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง MAGURO "ซื้อ" (ราคาเหมาะสม Bloomberg consensus 25.13 บาท) คาดกำไร 4Q67 เติบโต QoQ และ YoY และคาดปี 67 เติบโตต่อเนื่อง            กำไรสุทธิ 9M67 เท่ากับ 62 ล้านบาท +6% YoY สาเหตุหลักมาจากการเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น 7 สาขาในช่วง 9M67 (มีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 6 สาขาในช่วง 4Q67) แต่มีอัตราการเติบโตของรายได้สาขาเดิม (SSSG) ที่ -2% YoY มี %GPM เท่ากับ 45.2% ลดลงเล็กน้อยจาก 45.4% ใน 9M66 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลให้ %NPM เท่ากับ 6.4% ลดลงจาก 7.6% ใน 9M66 ความเห็น            ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองบวกต่อผลประกอบการ 4Q67 เนื่องจากช่วงปลายปีที่เป็นช่วงเทศกาลมีการกินข้าวนอกบ้าน และกระแสตอบรับที่ยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แผนการขยายสาขาใหม่รวม 13 สาขาในปี 67 ทำให้ผลประกอบการปี 67 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย Bloomberg consensus คาดกำไรสุทธิ 4Q67 เฉลี่ย 32 ล้านบาท +9% QoQ +133% YoY และกำไรสุทธิปี 67 เฉลี่ย 101 ล้านบาท +40% YoY โดยกำไรช่วง 9M67 คิดเป็น 61% ของประมาณการ            ราคาหุ้นซื้อขายที่ P/E 34X เทียบกับบริษัทที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ AU 31X, OKJ 48X และ ZEN 27X            ราคาเหมาะสม 25.13 บาท มี Upside 23% จึงแนะนำ “ซื้อ”

D เปิดแผนปี 68 วางงบ 40 ล. ลุยขยายคลินิคทำฟันรองรับต่างชาติ

D เปิดแผนปี 68 วางงบ 40 ล. ลุยขยายคลินิคทำฟันรองรับต่างชาติ

          เดนทัล คอร์ปอเรชั่น กางแผนงานปี 2568  ตั้งงบไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท เตรียมเปิดสาขาคลินิกทันตกรรมเพิ่มกว่า 4 สาขา เน้นเขตท่องเที่ยวทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด หวังขยายฐานรายได้ลูกค้าชาวชาติเพิ่มกว่า 10%  ประเดิมสาขาแรก สาขาสุขุมวิท วางเป้าหมายผลงานปีนี้คาดโตไม่ต่ำกว่า 20%           นายพรศักดิ์ ตันตาปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D ผู้ให้บริการด้านทันตกรรมแบบครบวงจร เปิดเผยถึงแผนธุรกิจของบริษัทในปี 2568 โดยกลุ่มบริษัท ได้ปรับยุทธศาสตร์การตลาดในเชิงรุก เพื่อให้ผลการดำเนินงาน เป็นไปตามเป้าหมายของกลุ่มบริษัท ที่คาดว่าจะเติบโตที่ 20% และมีรายได้ไม่ต่ำ 1,000 ล้านบาท           ในปีนี้กลุ่มบริษัท ตั้งเป้าหมายเปิดสาขาเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 4 สาขา และตั้งงบประมาณในการขยายสาขาไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ซึ่งเป็นสาขาทั้งในส่วนของ คลินิกทันตกรรม สไมล์ซิกเนเจอร์  (smile signature) และ เดนทัล แพลนเน็ต คลินิกทันตกรรม (Dental planet) โดยขยายสาขาทั้งในเขตกรุงเทพ และต่างจังหวัด  ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวเป็นหลัก เช่น  ถนนข้าวสาร ในกรุงเทพ , พัทยา จังหวัดชลบุรี , ป่าตอง จังหวัด ภูเก็ต  เพื่อรองรับการให้บริการครอบคลุม ทั้งกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ           นายพรศักดิ์ กล่าวอีกว่า การขยายสาขาคลินิกทันตกรรมในแหล่งท่องเที่ยว เพื่อรองรับและให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติ  ในปีนี้กลุ่มบริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตของรายได้จากลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% จากในปี 2567 ที่มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างชาติ 60%  หรือมีรายได้ประมาณ 400 ล้านบาท ในปี 2566  มีรายได้ 380 ล้านบาท  ซึ่งสัดส่วนลูกค้าต่างชาติของกลุ่มบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง           “สาขาที่จะเปิดในปีนี้จะเปิดในพื้นที่ท่องเที่ยวเป็นหลัก  เพื่อเน้นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่เป็นนัก ท่องเที่ยว  ปัจจุบันลูกค้าหลักของกลุ่ม D  ยังเป็นลูกค้าชาวต่างชาติถึง 60% เรามองเห็นศักยภาพที่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีก ในขณะที่กลุ่มลูกค้าคนไทยก็ยังมีโอกาสขยายเพิ่มขึ้นได้อีกเช่นกัน ปีนี้เราเริ่มเปิดให้บริการสาขาแรก สาขาสุขุมวิท ของ        แบรนด์ Smile signature ในเดือนมีนาคมนี้ อยู่ในอาคารธรรมเลิศ ชั้น 2 ใกล้ BTS อโศก”  นายพรศักดิ์ กล่าว [PR News]

KLINIQ คาดกำไร Q4 ที่ 90 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้าที่ 36 บาท

KLINIQ คาดกำไร Q4 ที่ 90 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้าที่ 36 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี มอง Positive ต่อกำไร 4Q24F เริ่มเข้าสู่ช่วงที่ดี คาด 90 ลบ. (+15% y-y, +21% q-q) vs 9M24 +6% y-y ทั้งจาก SSSG คาด +13% y-y vs 3Q24 +2.8% y-y รวมถึงสาขาใหม่ที่เปิดเพิ่มมีนัยสำคัญในช่วง 1Q24 เริ่มดีขึ้นหลังจากขาดทุนในช่วงแรก และหนุน Gross Margin ฟื้นตัว โดยรวมกำไรปี 2024F มี Upside Risk 3% และคงกำไรปี 25F ที่ 360 ลบ. (+18% y-y) ภายใต้อุตสาหกรรมความงามที่ยังเติบโต โดยส่วนคลินิกเริ่มฟื้นตัวจากสาขาใหม่ในปี 24 ที่เริ่มทำกำไร และส่วนศูนย์ศัลยกรรมยังมีโมเมนตัมที่ดี ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER25F 17 (-2.4SD) แนะนำ “Buy” จาก TP25F 36.0 บาท อิง PER 22 เท่า KLINIQ (Buy, TP-36)