ERW ผู้พัฒนาลงทุนในธรุกิจโรงแรมชั้นนำ [HoonVision x FynnCorp]
Key Highlights: ERW หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ของหุ้นกลุ่ม Tourism ได้รับปัจจัยบวกจากจำนวนนักท่องที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทลงทุนและพัฒนาธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น คลุมตั้งแต่ระดับ 5 ดาว จนถึงบัดเจ็ท ภายใต้แบรนด์ เช่น Grand Hyatt Erawan, Novotel, Mercure, Holiday Inn, Ibis และ HOP INN แผนขยายการลงทุนกลุ่มโรงแรมที่เติบโต เช่น กลุ่มโรงแรมบัดเจ็ท และเพิ่มสัดส่วนรายได้และกำไรจากฐานลูกค้าในต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจโรงแรมแนมโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในไทยปี 2567 อยู่ที่ 35.5 ล้านคน โตขึ้น 26.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มหลักแม้จะยังไม่ฟื้นตัวเท่าระดับเดียวกับปี 2562 คิดเป็น 18.9% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย 13.9% อินเดีย 6% เกาหลี 5.3% รัสเซีย 4.9% ไต้หวันและญี่ปุ่น ตามลำดับ ซึ่งสร้างรายได้มากกว่า 1.6 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับภาครัฐบาลได้กระตุ้นการท่องเที่ยวต่างชาติผ่านนโยบายฟรีวีซ่า ขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวในประเทศยังคงเติบโตจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ อย่างเช่น มาตรการลดหย่อนภาษีที่มาจากการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองรอง ส่งผลให้การท่องเที่ยวเมืองรองในปี 2567 ที่ผ่านมาเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ รัฐบาลได้ตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2568 ขยายตัว 7.5% รวมมูลค่าประมาณ 3.4 ล้านล้านบาท ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 40 ล้านคน และการเตินทางภายในประเทศคาดไว้มากกว่า 205 ล้านครั้ง จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มเติบโตทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ประกอบกับมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ จึงส่งผลบวกต่อธุรกิจโรงแรม ทั้งด้านอัตราการเข้าพักและราคาห้องพัก อีกทั้งทางผู้ประกอบการก็ได้มีการปรับปรุงห้องพัก รวมถึงยกระดับการบริการ ทำให้ราคาห้องพักเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป โดย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ได้วิเคราะห์ถึงอัตราการเข้าพัก และราคาห้องพักเฉลี่ยในปี 2568 กลับมาสูงกว่าช่วงปี 2562 แต่เป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยอัตราการเข้าพักคาดว่าอยู่ที่ 74% และราคาห้องเฉลี่ยอยู่ที่ 2,056 บาทต่อคืนต่อห้อง The Erawan Group Public Company Limited [Ticker: ERW] บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ERW) ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการโรงแรมที่ได้รับปัจจัยบวกข้างต้น ส่งผลให้กลุ่มบริษัทสามารถฟื้นตัวได้อย่างดี และมีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องในปัจจุบัน โดยจุดเริ่มต้นของ ERW มาจากกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทจาก 3 ตระกูล ได้แก่ คุณอิสระ ว่องกุศลกิจ, คุณสุพล วัธนเวคิน และคุณวิทย์ เจนวัฒนวิทย์ ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในปี 2525 ซึ่งเดิมชื่อ บริษัท อัมรินทร์ พลาซ่า จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าให้เช่าในระยะแรก ต่อมา ได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนในปี 2531 จนในปี 2537 ได้เริ่มประกอบธุรกิจลงทุน พัฒนาและดำเนินธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจหลัก โดยมีธุรกิจอื่น อย่างธุรกิจให้เช่าพื้นที่อาคาร และรับจ้างบริหารอาคาร รองลงมา กระทั่งเปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)" ในปี 2548 และดำเนินธุรกิจเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน ธุรกิจโรงแรม ปัจจุบัน บริษัทมีโรงแรมและรีสอร์ตรวม 89 แห่ง ห้องพักจำนวน 11,545 ห้อง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 67) ซึ่งอยู่ในไทยเป็นหลัก (74 แห่ง) รวมถึงในฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์โรงแรมชั้นนำทั้ง 10 แบรนด์ แบ่งไปในแต่ระดับ ได้แก่ โรงแรมระดับ 5 ดาว - Grand Hyatt Erawan, JW Marriott และ The Naka Island a Luxury Collection โรงแรมระดับกลาง - Courtyard by Marriott, Novotel, Mercure และ Holiday Inn โรงแรมชั้นประหยัด - Ibis Style และ Ibis โรงแรมบัดเจ็ท - HOP INN ซึ่งมีทั้งในไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ในการบริหารโรงแรมดังกล่าว ERW มีการจ้างบริษัทผู้รับจ้างบริหารโรงแรมที่เป็นองค์กรชั้นนำ มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ 3 ราย อย่าง Hyatt International, Marriott International และ IHG เพื่อบริหารโรงแรมทั้งหมด 5 แห่ง รวมถึงได้รับสิทธิ์สัญญาแฟรนไชส์ ภายใต้การบริหารของ 1) AccorHotels ซึ่งประกอบไปด้วยแบรนด์ Novotel, Mercure, Ibis, Ibis Style และ 2) IHG ได้แก่ Holiday Inn นอกจากนี้ บริษัทได้มีการพัฒนาแบรนด์ของตนเอง อย่าง HOP INN ซึ่งบริษัทเป็นเจ้าของและบริหารงานเอง มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นในประเทศที่เดินทางเป็นประจำ ธุรกิจพื้นที่ให้เช่าและบริหารอาคาร นอกจากธุรกิจโรงแรม บริษัทยังมีธุรกิจพื้นที่ให้เช่า อย่าง อาคารเอราวัณ แบงค็อก ซึ่งเป็นศูนย์การค้าระดับไฮเอนด์ มีพื้นที่ให้เช่า ประมาณ 6,554 ตารางเมตร (5 ชั้น) และธุรกิจงานบริหารอาคาร ได้แก่ อาคารเพลินจิต เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานและพื้นที่ให้เช่า ประมาณ 42,847 ตารางเมตร (25 ชั้น) ซึ่งมีกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไพร์มออฟฟิศ เป็นเจ้าของอาคาร โครงสร้างรายได้ บริษัทมีรายได้จากกลุ่มโรงแรมระดับ 5 ดาวเป็นหลัก หรือ คิดเป็น 40% ของรายได้จากการดำเนินงานในปี 2566 ตามด้วยรายได้จากกลุ่มโรงแรมระดับกลาง 27% โรงแรมชั้นประหยัด 13% และกลุ่มโรงแรม HOP INN ในไทย (12%) ฟิลิปปินส์ (7%) ตามลำดับ ขณะที่ธุรกิจการเช่าพื้นที่มีสัดส่วนรายได้ส่วนน้อย (1%) และหากดูเป็นรายได้ตามพื้นที่ พบว่า กรุงเทพฯ ยังคงเป็นโซนที่สร้างรายได้หลักให้กลุ่มบริษัท หรือ คิดเป็น 62% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมในปีเดียวกัน รายได้ตามกลุ่มธุรกิจและตามพื้นที่ (2566) ในด้านอัตราการเข้าพัก (Occupancy) มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในกลุ่มโรงแรมทุกระดับ โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรมระดับกลางและชั้นประหยัด และส่วนของค่าห้องพักเฉลี่ย (ARR) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นค่อนข้างสอดคล้องไปกับอัตราการเข้าพัก ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวม (RevPAR) เติบโตในอัตราสูงมากกว่า 50% สะท้อนการฟื้นตัวของโรงแรมที่มากทั้งราคาที่สูงขึ้นและอัตราการเข้าพักที่ดีขึ้น สถิติการดำเนินงานด้านห้องพัก (2566) ผลการดำเนินงาน รายได้จากการดำเนินงาน (รายได้จากการประกอบกิจการโรงแรม ค่าเช่าและบริการ) อยู่ที่ 5,657 ล้านบาทใน 9 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวขึ้นประมาณ 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แม้ว่าในไตรมาส 3 ปี 2567 ผลประกอบการได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝนตก น้ำท่วม รวมถึงจากเหตุการณ์ Hyatt Incident ซึ่งล้วนเป็น One off event โดยรายได้สอดคล้องไปกับกำไรสุทธิที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีการขยายตัวสูงขึ้นกว่า 71% YoY ส่วนหนึ่งมาจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและกำไรจากผลต่างของสินทรัพย์สิทธิการใช้และหนี้สินจากการเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่าที่เพิ่มเข้ามา แต่หากพิจารณากำไรสุทธิก่อนรายการพิเศษดังกล่าว จะเพิ่มขึ้น 5% YoY อย่างไรก็ตาม แม้อัตราการเข้าพักจะลดลงเล็กน้อยในช่วง 9 เดือน จาก trend การท่องเที่ยวที่ปรับตัวต่ำลง ท่ามกลางค่าเงินบาทค่อนข้างแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่น แต่ในภาพรวม อัตราการเข้าพักยังคงรักษาระดับได้ดีอยู่ที่ประมาณ 80% และบริษัทยังคงมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น (ARR) ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) เฉลี่ยสูงขึ้นที่ประมาณ 5% YoY จากปัจจัยบวกของนักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดีย รวมถึงมาตรการฟรีวีซ่าของภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมชั้นประหยัดเติบโตถึง 15% YoY สถิติการดำเนินงานด้านห้องพัก (9M2567) แผนการเติบโตผ่านการพัฒนาและขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทเปิดตัวโรงแรมใหม่รวม 13 แห่ง ทั้งในไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ทั้งหมด 1,257 ห้อง โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในไทยจำนวน 12 แห่ง ซึ่งจะมุ่งเน้นการลงทุนกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ท ประกอบกับเพิ่มสัดส่วนรายได้และกำไรจากฐานลูกค้าในต่างประเทศ และปรับปรุงโรงแรมระดับ 3-5 ดาว เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลง Risk Factors ความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของสินทรัพย์ จากการที่ธุรกิจโรงแรมของบริษัทกระจุกตัวอยู่ในประเทศไทยเป็นหลักและในประเทศฟิลิปปินส์ หากเกิดเหตุการณ์สำคัญหรือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่กระทบการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของบริษัท บริษัทจึงเน้นการลงทุนให้คลอบคลุมทั้งเมืองหลักและเมืองรอง และในอนาคต จะมีการวางแผนลงทุนขยายเครือข่ายโรงแรมไปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อให้เกิดการกระจายสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ความเสี่ยงด้านการแข่งขัน ธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง มีผู้ให้บริการรายใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อผลประกอบการทางการเงิน แต่ด้วยทำเลที่ตั้งและแบรนด์ที่แข็งแกร่งของบริษัท ทำให้มีความได้เปรียบการแข่งขัน รวมถึงมีการขยายโรงแรมไปในระดับบัดเจ็ท ซึ่งมีการแข่งขันน้อยกว่าตลาดอื่น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันมากขึ้น ความเสี่ยงจากการขยายการลงทุนไปต่างประเทศ จากแผนการขยายการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน การเปลี่ยนแปลงมูลค่าการลงทุน ความล่าช้า กฎระเบียบต่างๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงโดยมีมาตรการควบคุมดูแลโครงการลงทุนในต่างประเทศ ด้วยการทำ Due Diligence วางแผนขั้นตอนการลงทุนอย่างละเอียด รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Natural Currency Hedging) และประเมินความเสี่ยงทางการตลาดและการเมืองอย่างสม่ำเสมอ หุ้น ERW ERW ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในกลุ่มท่องเที่ยว (Tourism) ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ วันที่ 6 ก.พ. 2568 อยู่ที่ 15,833.65 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่เติบโตโดดเด่น อยู่ที่ 902.9 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนปี 2567 ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากรายการพิเศษ ประกอบกับผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น จึงส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ (NPM) เพิ่มขึ้นมาที่ 15.8% ในช่วงเวลาเดียวกัน และกำไรต่อหุ้น (EPS) สูงขึ้นมาอยู่ที่ 0.19 ขณะเดียวกัน บริษัทมีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) และ อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 7.46% และ 15.92% ตามลำดับในงวด 9 เดือน และตัวอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) ลดลงมาอยู่ที่ 2.18 เท่า สะท้อนแนวโน้มที่ดีขึ้นทั้งด้านกำไร ความมั่นคงทางการเงิน และผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ในเรื่องการจ่ายปันผล ERW มีอัตราส่วนเงินปันผลตอบเทน (Dividend Yield) ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 อยู่ที่ 1.45% ขณะที่ หุ้นในกลุ่ม Tourism มีอัตราดังกล่าวอยู่ที่ 1.54% แสดงให้เห็นว่า บริษัทมุ่งเน้นการขยายธุรกิจให้เป็นไปตามแผนระยะยาวมากกว่าการจ่ายปันผลได้ ซึ่งเมื่อดูราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อหุ้น (P/E) ในช่วงเวลาเดียวกัน P/E ของ ERW อยู่ที่ 19.2 เท่า และของกลุ่มท่องเที่ยวอยู่ที่ 29.8 เท่า อ่านรายละเอียดเพิ่ม คลิก https://app.visible.vc/shared-update/ce31f0e8-b51a-4810-8fe0-ffc9acb409dd