หุ้น SET


ERW ผู้พัฒนาลงทุนในธรุกิจโรงแรมชั้นนำ [HoonVision x FynnCorp]

ERW ผู้พัฒนาลงทุนในธรุกิจโรงแรมชั้นนำ [HoonVision x FynnCorp]

Key Highlights: ERW หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ของหุ้นกลุ่ม Tourism ได้รับปัจจัยบวกจากจำนวนนักท่องที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทลงทุนและพัฒนาธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น คลุมตั้งแต่ระดับ 5 ดาว จนถึงบัดเจ็ท ภายใต้แบรนด์ เช่น Grand Hyatt Erawan, Novotel, Mercure, Holiday Inn, Ibis และ HOP INN แผนขยายการลงทุนกลุ่มโรงแรมที่เติบโต เช่น กลุ่มโรงแรมบัดเจ็ท และเพิ่มสัดส่วนรายได้และกำไรจากฐานลูกค้าในต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจโรงแรมแนมโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในไทยปี 2567 อยู่ที่ 35.5 ล้านคน โตขึ้น 26.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มหลักแม้จะยังไม่ฟื้นตัวเท่าระดับเดียวกับปี 2562 คิดเป็น 18.9% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย 13.9% อินเดีย 6% เกาหลี 5.3% รัสเซีย 4.9% ไต้หวันและญี่ปุ่น ตามลำดับ ซึ่งสร้างรายได้มากกว่า 1.6 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับภาครัฐบาลได้กระตุ้นการท่องเที่ยวต่างชาติผ่านนโยบายฟรีวีซ่า ขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวในประเทศยังคงเติบโตจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ อย่างเช่น มาตรการลดหย่อนภาษีที่มาจากการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองรอง ส่งผลให้การท่องเที่ยวเมืองรองในปี 2567 ที่ผ่านมาเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ รัฐบาลได้ตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2568 ขยายตัว 7.5% รวมมูลค่าประมาณ 3.4 ล้านล้านบาท ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 40 ล้านคน และการเตินทางภายในประเทศคาดไว้มากกว่า 205 ล้านครั้ง จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มเติบโตทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ประกอบกับมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ จึงส่งผลบวกต่อธุรกิจโรงแรม ทั้งด้านอัตราการเข้าพักและราคาห้องพัก อีกทั้งทางผู้ประกอบการก็ได้มีการปรับปรุงห้องพัก รวมถึงยกระดับการบริการ ทำให้ราคาห้องพักเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป โดย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ได้วิเคราะห์ถึงอัตราการเข้าพัก และราคาห้องพักเฉลี่ยในปี 2568 กลับมาสูงกว่าช่วงปี 2562 แต่เป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยอัตราการเข้าพักคาดว่าอยู่ที่ 74% และราคาห้องเฉลี่ยอยู่ที่ 2,056 บาทต่อคืนต่อห้อง The Erawan Group Public Company Limited [Ticker: ERW] บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ERW) ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการโรงแรมที่ได้รับปัจจัยบวกข้างต้น ส่งผลให้กลุ่มบริษัทสามารถฟื้นตัวได้อย่างดี และมีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องในปัจจุบัน โดยจุดเริ่มต้นของ ERW มาจากกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทจาก 3 ตระกูล ได้แก่ คุณอิสระ ว่องกุศลกิจ, คุณสุพล วัธนเวคิน และคุณวิทย์ เจนวัฒนวิทย์ ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในปี 2525 ซึ่งเดิมชื่อ บริษัท อัมรินทร์ พลาซ่า จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าให้เช่าในระยะแรก ต่อมา ได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนในปี 2531 จนในปี 2537 ได้เริ่มประกอบธุรกิจลงทุน พัฒนาและดำเนินธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจหลัก โดยมีธุรกิจอื่น อย่างธุรกิจให้เช่าพื้นที่อาคาร และรับจ้างบริหารอาคาร รองลงมา กระทั่งเปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)" ในปี 2548 และดำเนินธุรกิจเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน ธุรกิจโรงแรม ปัจจุบัน บริษัทมีโรงแรมและรีสอร์ตรวม 89 แห่ง ห้องพักจำนวน 11,545 ห้อง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 67) ซึ่งอยู่ในไทยเป็นหลัก (74 แห่ง) รวมถึงในฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์โรงแรมชั้นนำทั้ง 10 แบรนด์ แบ่งไปในแต่ระดับ ได้แก่ โรงแรมระดับ 5 ดาว - Grand Hyatt Erawan, JW Marriott และ The Naka Island a Luxury Collection โรงแรมระดับกลาง - Courtyard by Marriott, Novotel, Mercure และ Holiday Inn โรงแรมชั้นประหยัด - Ibis Style และ Ibis โรงแรมบัดเจ็ท - HOP INN ซึ่งมีทั้งในไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ในการบริหารโรงแรมดังกล่าว ERW มีการจ้างบริษัทผู้รับจ้างบริหารโรงแรมที่เป็นองค์กรชั้นนำ มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ 3 ราย อย่าง Hyatt International, Marriott International และ IHG เพื่อบริหารโรงแรมทั้งหมด 5 แห่ง รวมถึงได้รับสิทธิ์สัญญาแฟรนไชส์ ภายใต้การบริหารของ 1) AccorHotels ซึ่งประกอบไปด้วยแบรนด์ Novotel, Mercure, Ibis, Ibis Style และ 2) IHG ได้แก่ Holiday Inn นอกจากนี้ บริษัทได้มีการพัฒนาแบรนด์ของตนเอง อย่าง HOP INN ซึ่งบริษัทเป็นเจ้าของและบริหารงานเอง มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นในประเทศที่เดินทางเป็นประจำ ธุรกิจพื้นที่ให้เช่าและบริหารอาคาร นอกจากธุรกิจโรงแรม บริษัทยังมีธุรกิจพื้นที่ให้เช่า อย่าง อาคารเอราวัณ แบงค็อก ซึ่งเป็นศูนย์การค้าระดับไฮเอนด์ มีพื้นที่ให้เช่า ประมาณ 6,554 ตารางเมตร (5 ชั้น) และธุรกิจงานบริหารอาคาร ได้แก่ อาคารเพลินจิต เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานและพื้นที่ให้เช่า ประมาณ 42,847 ตารางเมตร (25 ชั้น) ซึ่งมีกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไพร์มออฟฟิศ เป็นเจ้าของอาคาร โครงสร้างรายได้ บริษัทมีรายได้จากกลุ่มโรงแรมระดับ 5 ดาวเป็นหลัก หรือ คิดเป็น 40% ของรายได้จากการดำเนินงานในปี 2566 ตามด้วยรายได้จากกลุ่มโรงแรมระดับกลาง 27% โรงแรมชั้นประหยัด 13% และกลุ่มโรงแรม HOP INN ในไทย (12%) ฟิลิปปินส์ (7%) ตามลำดับ ขณะที่ธุรกิจการเช่าพื้นที่มีสัดส่วนรายได้ส่วนน้อย (1%) และหากดูเป็นรายได้ตามพื้นที่ พบว่า กรุงเทพฯ ยังคงเป็นโซนที่สร้างรายได้หลักให้กลุ่มบริษัท หรือ คิดเป็น 62% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมในปีเดียวกัน รายได้ตามกลุ่มธุรกิจและตามพื้นที่ (2566) ในด้านอัตราการเข้าพัก (Occupancy) มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในกลุ่มโรงแรมทุกระดับ โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรมระดับกลางและชั้นประหยัด และส่วนของค่าห้องพักเฉลี่ย (ARR) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นค่อนข้างสอดคล้องไปกับอัตราการเข้าพัก ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวม (RevPAR) เติบโตในอัตราสูงมากกว่า 50% สะท้อนการฟื้นตัวของโรงแรมที่มากทั้งราคาที่สูงขึ้นและอัตราการเข้าพักที่ดีขึ้น สถิติการดำเนินงานด้านห้องพัก (2566) ผลการดำเนินงาน รายได้จากการดำเนินงาน (รายได้จากการประกอบกิจการโรงแรม ค่าเช่าและบริการ) อยู่ที่ 5,657 ล้านบาทใน 9 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวขึ้นประมาณ 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แม้ว่าในไตรมาส 3 ปี 2567 ผลประกอบการได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝนตก น้ำท่วม รวมถึงจากเหตุการณ์ Hyatt Incident ซึ่งล้วนเป็น One off event โดยรายได้สอดคล้องไปกับกำไรสุทธิที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีการขยายตัวสูงขึ้นกว่า 71% YoY ส่วนหนึ่งมาจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและกำไรจากผลต่างของสินทรัพย์สิทธิการใช้และหนี้สินจากการเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่าที่เพิ่มเข้ามา แต่หากพิจารณากำไรสุทธิก่อนรายการพิเศษดังกล่าว จะเพิ่มขึ้น 5% YoY อย่างไรก็ตาม แม้อัตราการเข้าพักจะลดลงเล็กน้อยในช่วง 9 เดือน จาก trend การท่องเที่ยวที่ปรับตัวต่ำลง ท่ามกลางค่าเงินบาทค่อนข้างแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่น แต่ในภาพรวม อัตราการเข้าพักยังคงรักษาระดับได้ดีอยู่ที่ประมาณ 80% และบริษัทยังคงมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น (ARR) ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) เฉลี่ยสูงขึ้นที่ประมาณ 5% YoY จากปัจจัยบวกของนักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดีย รวมถึงมาตรการฟรีวีซ่าของภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมชั้นประหยัดเติบโตถึง 15% YoY สถิติการดำเนินงานด้านห้องพัก (9M2567) แผนการเติบโตผ่านการพัฒนาและขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทเปิดตัวโรงแรมใหม่รวม 13 แห่ง ทั้งในไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ทั้งหมด 1,257 ห้อง โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในไทยจำนวน 12 แห่ง ซึ่งจะมุ่งเน้นการลงทุนกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ท ประกอบกับเพิ่มสัดส่วนรายได้และกำไรจากฐานลูกค้าในต่างประเทศ และปรับปรุงโรงแรมระดับ 3-5 ดาว เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลง Risk Factors ความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของสินทรัพย์ จากการที่ธุรกิจโรงแรมของบริษัทกระจุกตัวอยู่ในประเทศไทยเป็นหลักและในประเทศฟิลิปปินส์ หากเกิดเหตุการณ์สำคัญหรือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่กระทบการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของบริษัท บริษัทจึงเน้นการลงทุนให้คลอบคลุมทั้งเมืองหลักและเมืองรอง และในอนาคต จะมีการวางแผนลงทุนขยายเครือข่ายโรงแรมไปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อให้เกิดการกระจายสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ความเสี่ยงด้านการแข่งขัน ธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง มีผู้ให้บริการรายใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อผลประกอบการทางการเงิน แต่ด้วยทำเลที่ตั้งและแบรนด์ที่แข็งแกร่งของบริษัท ทำให้มีความได้เปรียบการแข่งขัน รวมถึงมีการขยายโรงแรมไปในระดับบัดเจ็ท ซึ่งมีการแข่งขันน้อยกว่าตลาดอื่น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันมากขึ้น ความเสี่ยงจากการขยายการลงทุนไปต่างประเทศ จากแผนการขยายการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน การเปลี่ยนแปลงมูลค่าการลงทุน ความล่าช้า กฎระเบียบต่างๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงโดยมีมาตรการควบคุมดูแลโครงการลงทุนในต่างประเทศ ด้วยการทำ Due Diligence วางแผนขั้นตอนการลงทุนอย่างละเอียด รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Natural Currency Hedging) และประเมินความเสี่ยงทางการตลาดและการเมืองอย่างสม่ำเสมอ หุ้น ERW ERW ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในกลุ่มท่องเที่ยว (Tourism) ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ วันที่ 6 ก.พ. 2568 อยู่ที่ 15,833.65 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่เติบโตโดดเด่น อยู่ที่ 902.9 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนปี 2567 ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากรายการพิเศษ ประกอบกับผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น จึงส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ (NPM) เพิ่มขึ้นมาที่ 15.8% ในช่วงเวลาเดียวกัน และกำไรต่อหุ้น (EPS) สูงขึ้นมาอยู่ที่ 0.19 ขณะเดียวกัน บริษัทมีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) และ อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 7.46% และ 15.92% ตามลำดับในงวด 9 เดือน และตัวอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) ลดลงมาอยู่ที่ 2.18 เท่า สะท้อนแนวโน้มที่ดีขึ้นทั้งด้านกำไร ความมั่นคงทางการเงิน และผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ในเรื่องการจ่ายปันผล ERW มีอัตราส่วนเงินปันผลตอบเทน (Dividend Yield) ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 อยู่ที่ 1.45% ขณะที่ หุ้นในกลุ่ม Tourism มีอัตราดังกล่าวอยู่ที่ 1.54% แสดงให้เห็นว่า บริษัทมุ่งเน้นการขยายธุรกิจให้เป็นไปตามแผนระยะยาวมากกว่าการจ่ายปันผลได้ ซึ่งเมื่อดูราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อหุ้น (P/E) ในช่วงเวลาเดียวกัน P/E ของ ERW อยู่ที่ 19.2 เท่า และของกลุ่มท่องเที่ยวอยู่ที่ 29.8 เท่า อ่านรายละเอียดเพิ่ม คลิก https://app.visible.vc/shared-update/ce31f0e8-b51a-4810-8fe0-ffc9acb409dd

ADVANC ปี67 กำไรพุ่ง3.5หมื่นล้าน อนุมัติปันผลที่5.74 บ.ต่อหุ้น XD 20 ก.พ.68

ADVANC ปี67 กำไรพุ่ง3.5หมื่นล้าน อนุมัติปันผลที่5.74 บ.ต่อหุ้น XD 20 ก.พ.68

          หุ้นวิชั่น - ADVANC รายงานกำไรสุทธิปี 67 ที่ 35,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% EBITDA แตะ 1.13 แสนลบ. โต 20% รับรู้รายได้ TTTBB การเติบโตของธุรกิจหลัก สนับสนุนโดยการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก 3BBIF ปี 2568 ตั้งเป้าการเติบโตควบคู่เศรษฐกิจที่ 3-5% วางงบลงทุน 26,000 - 27,000 ล้านบาท เคาะปันผลที่ 5.74 บาทต่อหุ้น XD วันที่ 20 ก.พ. 2568           บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือADVANC รายงานผลประกอบการ ในปี 2567 เอไอเอสประกาศกำไร EBITDA ที่ 113,243 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปีก่อนโดยได้รับผลบวกจากการรับรู้รายได้ TTTBB การเติบโตของธุรกิจหลัก สนับสนุนโดยการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก 3BBIF โดยอัตรากำไร EBITDA ขยายตัวเป็น ร้อยละ 53.0 เทียบกับ ร้อยละ 50.0 ในปี 2566 จากการมุ่งเน้นการสร้างรายได้เพื่อเพิ่มกำไรอย่างต่อเนื่องการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดีขึ้น อัตรากำไรจากการขายอุปกรณ์มือถือที่ดีขึ้น และประโยชน์ร่วมกันเชิงรายได้และต้นทุนจากการรวม TTTBB (Synergies)           เอไอเอสรายงานกำไรสุทธิที่ 35,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับปีก่อน แสดงถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง การขยายธุรกิจสอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในปี 2567 เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน โดยได้รับการสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แม้ว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และหนี้ครัวเรือนที่สูงยังกดดันการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย           เอไอเอสมีรายได้จากการให้บริการหลักที่ 162,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการขยายธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้านผ่านการควบรวมธุรกิจ TTTBB และการเติบโตปกติ ส่วนธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เติบโตผ่านการเป็นผู้นำด้านโครงข่ายและความต้องการใช้ข้อมูลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กรยังคงเติบโตผ่านความต้องการบริการเชื่อมต่อข้อมูลที่มากขึ้น           ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องผ่านคุณภาพโครงข่ายที่แข็งแกร่งและการเติบโตของการใช้ข้อมูลรายได้จากธุรกิจโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ 123,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเป็นผู้นำด้านโครงข่าย การเติบโตของปริมาณการใช้ข้อมูลและการฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน สอดคล้องกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวและความต้องการการเชื่อมต่อในประเทศ เอไอเอสมี ARPU เฉลี่ยเติบโตร้อยละ 2.0 ผ่านกลยุทธ์ที่เน้นสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งรวมถึงการขายพ่วง (Cross-sell & Upsell) การขายแพ็กเกจที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล และการขายร่วมกับเนื้อหาคอนเทนต์           เอไอเอสมุ่งมั่นที่จะมอบคุณภาพการบริการที่เหนือระดับผ่านโครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมประชากรไทยมากกว่าร้อยละ 95 เอไอเอสสร้างความมั่นใจในประสิทธิภาพการดำเนินงานและมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศแก่ลูกค้าผ่านการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมส่งเสริมในการขยายโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ 5G รวม 12 ล้านเลขหมาย คิดเป็นร้อยละ 26 ของฐานผู้ใช้บริการทั้งหมด           การเติบโตของบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจากความครอบคลุมที่เพิ่มขึ้น บริการที่มีคุณภาพ และผลิตภัณฑ์นวัตกรรม รายได้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอยู่ที่ 29,441 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 116 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการควบรวม TTTBB การขยายจำนวนผู้ใช้บริการ และการเพิ่มขึ้นของ ARPU โดยเอไอเอสมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพผ่านเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมส่งเสริมแพ็กเกจที่มีมูลค่าเพิ่ม           เอไอเอสให้ความสำคัญกับกระบวนการควบรวม TTTBB เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ผู้ใช้งานกว่า 5 ล้านราย และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยมีแผนที่จะบรรลุการควบรวมการดำเนินงานให้เป็นระบบเดียวภายในปี 2569  รายได้จากบริการลูกค้าองค์กรพุ่งสูงขึ้น ด้วยความต้องการที่เติบโตของบริการเชื่อมต่อโครงข่าย บริการลูกค้าองค์กร (ไม่รวมโทรศัพท์เคลื่อนที่) มุ่งเน้นการขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อโครงข่ายเป็นหลัก โดยมีรายได้ 7,045 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเติบโตของบริการเชื่อมต่อโครงข่าย (EDS), การให้บริการคลาวด์ และการรับรู้รายได้จากบริการลูกค้าองค์กรของ TTTBB ในปี 2567 เอไอเอสได้จับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทระดับโลกอย่าง Oracle เพื่อขยายบริการที่เกี่ยวข้องกับ คลาวด์ และ โซลูชันต่าง ๆ           สำหรับปี 2568 เอไอเอสตั้งเป้าแนวโน้มการเติบโต ทั้งรายได้จากการให้บริการหลัก และกำไร EBITDA ควบคู่ไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ประมาณร้อยละ 3 ถึง 5 โดยกำไร EBITDA เติบโตจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น กระบวนการควบรวมกิจการ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในส่วนของงบประมาณการลงทุนอยู่ที่ 26,000 ถึง 27,000 ล้านบาท โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนที่สร้างกำไรเป็นหลัก พร้อมที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติ 2567 เป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 10.61 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2567 ในอัตรา 4.87 บาทต่อหุ้น ดังนั้นคงเหลือจ่ายปันผลสำหรับงวดนี้ 5.74 บาทต่อหุ้น           ทั้งนี้ กำหนดให้จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อปรากฏ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 (Record Date) โดยวันขึ้นเครื่องหมาย XD วันแรกคือวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 เมษายน 2568

THCOM ปี67 ขาดทุน 23ล้านบาท จากเงินบาทแข็งค่า แต่กำไรหลักธุรกิจดาวเทียมแข็งแกร่ง

THCOM ปี67 ขาดทุน 23ล้านบาท จากเงินบาทแข็งค่า แต่กำไรหลักธุรกิจดาวเทียมแข็งแกร่ง

          หุ้นวิชั่น - THCOM ปี 2567 ขาดทุนสุทธิที่ 23 ล้านบาท จากปัจจัยชั่วคราวจากอัตราแลกเปลี่ยน จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่..มีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 109 ล้านบาท ยันธุรกิจหลักกำไรที่แข็งแกร่ง ลุยขยายตลาดอินเดีย-เตรียมรับดีมานด์ USO เฟส 3 บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือTHCOM ระบุถีง ในปี 2567 แม้บริษัทจะเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ท้าทาย บริษัทสามารถมีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 109 ล้านบาท และหากพิจารณาเฉพาะธุรกิจด้านดาวเทียม บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่รวมธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับดาวเทียมและส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจโทรคมนาคม จำนวน 175 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติ 66 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของธุรกิจหลัก บริษัทมีผลขาดทุนส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในปี 2567 จำนวน 23 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยชั่วคราวจากอัตราแลกเปลี่ยน จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2567 โดยสถานการณ์การแข็งค่าของค่าเงินบาทดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก รวมถึงบริษัท ซึ่งมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากต่างประเทศ ทั้งนี้ บริษัทตระหนักถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบ เช่น การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ นอกจากนี้ ในปี 2566 บริษัทรับรู้รายได้อื่นจำนวน 310 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ค่าชดเชยจากข้อพิพาทกับบริษัทคู่สัญญารายหนึ่ง บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (บริษัท หรือ ไทยคม) มีรายได้จากการขายและการให้บริการในปี 2567 จำนวน 2,413 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับรายได้จำนวน 2,627 ล้านบาทในปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการลดการใช้งานของลูกค้าในส่วนที่ดาวเทียมดวงใหม่ไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทยังคงมุ่งมั่นขยายการให้บริการในภูมิภาคอื่นๆ ที่มีศักยภาพ รวมถึงรายได้ที่ลดลงจากรอยต่อของสัญญาโครงการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (Universal Service Obligation: USO) ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โครงการ USO ระยะที่ 2 จะกลับมาเดินหน้าต่อในช่วงไตรมาสที่ 1/2568           ขณะที่การประมูลสำหรับ USO ระยะที่ 3 มีกำหนดจะเกิดขึ้นภายในไตรมาสเดียวกัน ซึ่งจะมีการให้บริการด้านดาวเทียมรวมอยู่ในโครงการนี้เช่นเดียวกัน โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมและดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป           ในปี 2567 บริษัทประสบความสำเร็จในการได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการดาวเทียมในประเทศอินเดีย จาก IN-SPACe ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงอวกาศของรัฐบาลอินเดีย นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายโอกาสทางธุรกิจในตลาดที่มีศักยภาพสูง เพื่อตอบสนองความต้องการด้านบรอดแบนด์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศอินเดีย ซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน บริษัท ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ และส่งมอบผลลัพธ์ที่เป็นไปตามเป้าหมาย           นอกจากนี้ บริษัทสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรดาวเทียมในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการลงนามในสัญญาร่วมมือกับ บริษัท ฮิวจ์ คอมมิวนิเคชัน อินเดีย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดาวเทียมชั้นนำในประเทศอินเดีย ด้วยส่วนแบ่งการตลาดราว 70% ภายใต้ข้อตกลงนี้ บริษัทจะเริ่มให้บริการช่องสัญญาณบน ดาวเทียมไทยคม 8 ในไตรมาส 1/2568 และขยายไปสู่ดาวเทียมดวงใหม่ของบริษัทที่จะถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรในอนาคต           ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทได้ดำเนินโครงการร่วมกับภาครัฐ โดยร่วมมือกับ กองทัพอากาศ และ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านเทคโนโลยีดาวเทียมและโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ           สำหรับธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์ในต่างประเทศ ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในการร่วมค้าปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชัน มหาชน (LTC) มีรายได้และกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายการปรับโครงสร้างราคาค่าบริการโทรคมนาคมของกระทรวงคมนาคมและการสื่อสาร ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจาก สกุลเงินกีบ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 จึงทำให้บริษัทยังคงรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนในการร่วมค้า

BGRIM ราคาหุ้นมีอัพไซด์ คาดกำไรไตรมาส1/68 ที่ 400ล.

BGRIM ราคาหุ้นมีอัพไซด์ คาดกำไรไตรมาส1/68 ที่ 400ล.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายการ ว่า บล.หยวนต้า คาดกำไรปกติ BGRIM ใน Q1/68 อยู่ที่ 400 ล้านบาท ทรงตัว QoQ แม้ถูกกดดันจากต้นทุนก๊าซขาขึ้นและค่าไฟลดลง แต่ได้แรงหนุนจากยอดขายไฟฟ้าที่ฟื้นตัวตามฤดูกาล คาดกำไรปี 2567 แตะ 2,285 ล้านบาท (+11% YoY) คงคำแนะนำ "ซื้อ" เป้าหมายปี 2568 ที่ 16.00 บาท/หุ้น มี Upside 26%           บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ถึง บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) คาดกำไรปกติ ไตรมาส 1/2568 ที่ระดับ 400 ล้านบาท +/- ทรงตัว-เติบโตเล็กน้อย QoQ แม้ได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับงวด มกราคม- เมษายน 2568 ลงเป็น 4.15 บาท/หน่วย (เทียบกับ 4.18 บาท/หน่วยใน 4Q24) และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่คาดปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 330-340 บาท/MMBtu ตามราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นในช่วง 4Q24 (ราคา Laggard ราว 3-6 เดือน)อย่างไรก็ตาม ปริมาณขายไฟฟ้ารวมที่คาดว่าจะฟื้นตัวตามฤดูกาล และค่าใช้จ่าย SG&A ที่มีแนวโน้มลดลง QoQจะสามารถชดเชยผลกระทบได้           คาดกำไรปกติ ไตรมาส 4/2567 ที่ 387 ล้านบาท ลดลง 52% QoQ และทรงตัว YoY ต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้าที่ระดับ 400-450 ล้านบาท เนื่องจากถูกกดดันจากปริมาณขายไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้งานอุตสาหกรรม (IU) ที่มีแนวโน้มลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้ากำไรปกติปี 2567 อยู่ที่ 2,285 ล้านบาท (+11% YoY) และคิดเป็นสัดส่วน 101% ของประมาณการของฝ่ายวิจัย ส่วนประมาณการกำไร 2568-2569 ลง 26% และ 25% เป็น 1,335 ล้านบาท (-41% YoY) และ 1,552 ล้าน บาท (+16% YoY)           ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ลดลงเป็น 16.00 บาท/หุ้น มี Upside 26.0% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตามในระยะสั้น-กลาง มอง ว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นจะยังคงถูกจำกัด เชิงกลยุทธ์ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย อาจ           พิจารณาชะลอการลงทุนและกลับเข้าลงทุนหลังเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดค่าไฟฟ้า หรือเห็นสัญญาณการปรับตัวลงของราคาก๊าซธรรมชาติแล้ว

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

SUSCO ร่วมเปิด สตาร์บัคส์ SUSCO SQUARE ลำลูกกา

SUSCO ร่วมเปิด สตาร์บัคส์ SUSCO SQUARE ลำลูกกา

          คุณชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคุณมาวีร์ สิมะโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ (SUSCO) และ คุณสมจิตต์ วุฒิพุธนันท์ Operation Director พร้อมด้วย คุณธนาศักดิ์ กุลรัตนรักษ์ Store Development Director ร่วมเปิดให้บริการร้านสตาร์บัคส์ สาขา SUSCO SQUARE ลำลูกกา อย่างเป็นทางการ           SUSCO SQUARE แห่งที่ 3 ที่ลำลูกกา เปิดให้บริการร้านกาแฟ สตาร์บัคส์ แล้ววันนี้! เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายครบจบในที่เดียว แลนด์มาร์คแห่งใหม่ย่านลำลูกกา ปทุมธานี ให้บริการทั้งสถานีบริการน้ำมัน ร้านค้า ร้านอาหาร และบริการที่หลากหลาย บนพื้นที่กว่า 8 ไร่ นอกจากนั้นแล้ว “ซัสโก้” ยังได้ร่วมมือกับ “สตาร์บัคส์” เตรียมเปิดสาขาใหม่ในช่วงกลางปีนี้ที่ SUSCO SQUARE ปิ่นเกล้า           สตาร์บัคส์ สาขา SUSCO SQUARE ลำลูกกา ยังจัดโปรโมชันสุดพิเศษ ฉลองการเปิดสาขาใหม่ เมื่อซื้อสินค้าที่ร้านสตาร์บัคส์ ครบ 800 บาท รับของขวัญพิเศษ! STARBUCKS EDGE GLOW KALEIEOSOPE COLE CUP (ขนาด 24 ออนซ์ มูลค่า 850 บาท) ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ถึง 10 กุมภาพันธ์ 2568 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด [PR News]

CPAXT ยืนยันไม่เกี่ยว Seven & i พร้อมเตือนนักลงทุนอย่าหลงเชื่อข่าวลือ

CPAXT ยืนยันไม่เกี่ยว Seven & i พร้อมเตือนนักลงทุนอย่าหลงเชื่อข่าวลือ

          จากกรณีที่มีข่าวลือเรื่องบริษัท Seven & i ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ได้เข้าทาบทามหาผู้ร่วมลงทุนในประเทศไทย เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ของ CPAXT ได้รับการยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่มีแผนเข้าร่วมทุนและดีลนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับบริษัท พร้อมเตือนนักลงทุนอย่าหลงเชื่อข่าวลือ           ขอให้รับฟังข้อมูลจากบริษัทฯ ผ่านช่องทางตลาดหลักทรัพย์ เท่านั้น

CPALL  ปัดข่าวลือ! อย่าหลงเชื่อ หุ้นร่วง เพราะข่าวสับสน

CPALL ปัดข่าวลือ! อย่าหลงเชื่อ หุ้นร่วง เพราะข่าวสับสน

          หุ้นวิชั่น - 7 กุมภาพันธ์ 2568 วงแตกกันไปเรียบร้อยสำหรับเซียนทั้งหลายที่ฟันธง รวมทั้งบรรดานักปั่นนักปั้นข่าว จากกรณีกระแสการเข้าซื้อ Seven & i Holdings บริษัทแม่สัญชาติญี่ปุ่นที่ถือครองแบรนด์ 7-Eleven ทั่วโลก โดยเฉพาะทุกสายตาที่จับจ้องไปที่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งบริหารร้านเซเว่นฯ ในประเทศไทย เพราะนอกจากซีพี ออลล์ จะประสบความสำเร็จในการทำเซเว่นฯ ในไทยมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ปัจจุบันยังขยายธุรกิจไปได้ดีทั้งในกัมพูชา และลาว รวมทั้งภาพรวมของบริษัทก็แข็งแกร่ง ต้นตอข่าวลือ การวิเคราะห์ผิด ๆ           บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งได้เผยแพร่ข้อมูล โดยอ้างอิงจาก Bloomberg ว่า CPALL อาจจะเข้าร่วมดีลมูลค่า 500,000 ล้านเยน (ประมาณ 110,000 ล้านบาท) และยังพาดพิงถึงแหล่งเงินทุน 2 แห่งในสหรัฐฯ คือ Citigroup และ Bank of America ที่จะเข้ามาสนับสนุนการเงินให้กับดีลนี้ ผลที่ตามมาคือ หุ้น CPALL ร่วงลงแตะจุดต่ำสุดที่ 46.75 บาท ก่อนจะปิดที่ 47.50 บาท เพราะนักลงทุนกังวลว่าหากดีลเกิดขึ้นจริง อาจส่งผลให้ CPALL มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และกระทบต่ออัตราการเติบโตของบริษัท CPALL แจงชัด! ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ           ล่าสุด เช้าวันที่ 7 ก.พ. 2568 บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาชี้แจงผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขณะนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ตามที่เป็นข่าว โดยมีเนื้อหาระบุว่า “บริษัทขอยืนยันว่า ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังไม่มีการดำเนินการ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากที่เคยแจ้งไว้” CPALL ยังย้ำอีกว่า หากมีการดำเนินการใด ๆ บริษัทฯ จะทำการชี้แจงต่อสาธารณะผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดของนักลงทุน บทเรียนจากข่าวลือ  ฟังให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ           งานนี้ ว่ากันไปเป็นตุเป็นตะจนเก็บเศษหน้ากันไม่ทัน บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่สามารถดำเนินการตามอำเภอใจได้ เพราะมีกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตาม โดยเฉพาะเรื่องความโปร่งใสในการรายงานข้อมูลต่อสาธารณะ เรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบแค่บริษัท แต่รวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่อาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาด สรุปคือ ต่อไปก่อนจะเชื่อหรือฟังข่าวใด ควรใช้วิจารณญาณและตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มิฉะนั้น อาจกลายเป็น แมงเม่าบินเข้ากองไฟ ได้โดยไม่รู้ตัว

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

โกลเบล็ก คาด SET บ่าย แกว่งตัวในกรอบแคบ มองแนวต้าน 1,275 จุด

โกลเบล็ก คาด SET บ่าย แกว่งตัวในกรอบแคบ มองแนวต้าน 1,275 จุด

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบ แต่ยังคงรีบาวด์ในกรอบจำกัดจากความกังวลเรื่อง DELTA และ CPALL นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าสหรัฐจะปรับเพิ่มภาษีการนำเข้าจากไทยเนื่องจากไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐติด 15 อันดับแรก มองแนวรับ 1,260 แนวต้าน 1,275 จุด         ขณะที่ ช่วงเช้า ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยมีแรงซื้อจากหุ้น GULF และ INTUCH จากปันผลพิเศษสูงกว่าคาดการณ์ ประกอบกับ Fund Flow ที่ไหลกลับเข้ามาเป็นปัจจัยหนุนเพิ่มเติม ขณะที่มีแรงขายจากหุ้นกลุ่มธนาคาร เป็นปัจจัยกดดันดัชนีปรับตัวขึ้นได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,263.08 จุด +1.01 จุด +0.08% มูลค่าการซื้อขาย 25,062.29 ลบ.

หุ้น SET100 น่าเก็บเข้าพอร์ต Valuation ถูก ปันผลสม่ำเสมอ

หุ้น SET100 น่าเก็บเข้าพอร์ต Valuation ถูก ปันผลสม่ำเสมอ

          หุ้นวิชั่น - หุ้น SET100 คุณภาพดี Valuation ไม่แพง-จ่ายปันผลสม่ำเสมอ InnovestX มอง เป็นโอกาสทยอยซื้อสะสม! เก็บเข้าพอร์ต!           ภายหลังการปรับตัวลดลง YTD ของ SET Index แย่กว่าตลาดหุ้นภูมิภาค ทำให้ Risk/Reward เริ่มน่าสนใจ และเป็น “โอกาสทยอยซื้อสะสม” หุ้น Real Sector ที่มีพื้นฐานดี โดยคัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุนและมี Downside Risk จำกัด เนื่องจากมีจุดแข็ง ดังนี้ 1) ปี 2568 คาดกำไรยังมั่นคงและสามารถเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีสภาพคล่องทางการเงินสูง (Current ratio > 1) และมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง (Interest Coverage ratio > 1) อีกทั้งมองมีโอกาสซื้อหุ้นคืน หลังมี PBV < 1 เท่า 3) Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขาย PER และ PBV 68F ระดับต่ำกว่า -1SD และ 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อยปีละ 5% ซึ่งพบว่า มี 5 หุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ AP BCP PTT SPALI และ TU SET ปรับตัวลง 7.1%YTD สู่ระดับ 1,301.02 จุด ทำจุดต่ำสุดในรอบ 5.5 เดือน ซึ่งแย่กว่าตลาดหุ้นภูมิภาค สาเหตุนอกจากมีปัจจัยลบจากต่างประเทศแล้ว  ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญปัจจัยลบในประเทศด้วย อาทิ ขาดความเชื่อมั่นด้าน Good Governance ของ บจ. ไทย สะท้อนผ่านปริมาณซื้อขายต่อวันที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง, ปัจจัยลบเฉพาะตัวที่ทำให้เกิดแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่  เช่น ประเด็น GMT, กังวลการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังจะรุนแรงมากขึ้น (CBG OSP), กังวลกลุ่มซีพี (CPALL CPF CPAXT) จะต้องใช้เงินทุนมากหากมีแผนลงทุนซื้อกิจการเซเว่นในญี่ปุ่น เป็นต้น INVX มองปัจจุบัน SET ปรับลงมาสะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไปมากพอสมควรแล้ว จนทำให้ซื้อขาย PER 68F ที่ระดับ 13.6 เท่า ต่ำกว่าในอดีตที่ซื้อขายในกรอบ PER 14-16 เท่า (-1SD-เฉลี่ย) หรือหากเทียบกับช่วงเกิดวิกฤติ COVID-19 ซึ่งพบว่า SET ปรับตัวลงมาไปซื้อขาย PER ที่ 13 เท่า จะสามารถเทียบได้กับ SET Index ที่บริเวณ 1250 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับปัจจุบันแล้ว (กรณีแย่สุดในช่วงเกิด Panic จาก COVID-19 พบว่า SET ซื้อขายที่ PER ต่ำสุดที่ 12 เท่าในช่วงเวลาเพียง 2-3 วันเท่านั้น หรือเทียบได้กับ SET ที่ระดับ 1150 จุด) SET Index ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดในภูมิภาค ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 7.1% ตั้งแต่ต้นปี 2025 และลดลง 12% นับตั้งแต่ ปธน. ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในช่วงต้นเดือน พ.ย. 2024 นับเป็นการปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดในภูมิภาค 5% และลดลงมากกว่า 7% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2025 ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมยกเว้นกลุ่มธนาคารมีผลตอบแทนติดลบ โดยกลุ่มที่มีการปรับตัวลดลงมากที่สุดได้แก่กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (-18%) กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (-10%) กลุ่มปิโตรเคมี (-9%) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (-9%) กลุ่มท่องเที่ยวและขนส่ง (-8%) กลุ่มการแพทย์ (-7%) และกลุ่มค้าปลีก (-6%) หากพิจารณาถึงการปรับตัวลดลงเรามองว่าดัชนีปรับตัวเป็นเรื่องของปัจจัยภายในประเทศ 55% (กำลังซื้อที่ลดลง ดอกเบี้ยที่ลดลงช้า การแข่งขันภายในประเทศ การปรับเปลี่ยนนโยบายของภาครัฐ) และปัจจัยภายนอก 45% (สงครามการค้า เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า ยอดขาย Semiconductor ชะลอตัวลง) ดังนั้นเราจึงมองว่าปัจจัยภายในประเทศทำให้ตลาดขาดความมั่นใจในแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในประเทศ ด้วยการขาดปัจจัยภายในประเทศ และมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเพิ่มขึ้นจึงทำให้ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายค่อนข้างมากและค่อนข้างผันผวน เมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาค แต่อย่างไรก็ดีเรายังไม่เห็นความผิดปกติจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นไปตามตลาดภูมิภาคที่มีแรงขายจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์และความกังวลต่อสงครามการค้า ที่มา : InnovestXResearch คลิก https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/strategy-insight/stock-strategy/special-report/strategy-setindexriskreward-20250205

RT คว้างาน Earth Work - Slope Protection 2 โครงการ มูลค่ารวม 83.50 ลบ.

RT คว้างาน Earth Work - Slope Protection 2 โครงการ มูลค่ารวม 83.50 ลบ.

          RT เข้ารับ 2 งานใหม่ ก่อสร้าง Earth Work - Slope Protection จากกรมทางหลวง แขวงทางหลวงแม่ฮ่องสอน และ แขวงทางหลวงเพชรบูรณ์ที่ 1 มูลค่ารวม 83.50 ล้านบาท เตรียมรับรู้รายได้ไตรมาส 1/68 เป็นต้นไป มุ่งรับงานหลากหลาย ก่อสร้างรวดเร็ว รับรู้รายได้ตามแผน           นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านวิศวกรรมโยธา งานขุดเจาะอุโมงค์ และ ธรณีเทคนิคครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทเข้ารับงานก่อสร้าง Earth Work - Slope Protection กรมทางหลวง จำนวน 2 โครงการ  มูลค่ารวม 83.50 ล้านบาท           ได้แก่โครงการ Earth Work - Slope Protection ทางหลวงหมายเลข 1095 ตอนแม่นะ-ท่าไคร้ระหว่าง กม. 114+730 - กม.123+780, ทางหลวงหมายเลข 108 ตอนหนองแห้ง-แม่สุริน ระหว่าง กม.265+800 - กม. 265+970 ซ้ายทาง และ ทางหลวงหมายเลข 108 ตอน สะพานแม่ริด-ห้วยงู ระหว่าง กม.191+ 000 - กม.191+180 ขวาทาง มูลค่าโครงการ 63.51 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยแขวงทางหลวงแม่ฮ่องสอน กรมทางหลวง เป็นเจ้าของโครงการและผู้ว่าจ้าง ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างแล้วเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ระยะการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. 2568 ถึงวันที่ 5 ก.ค. 2568           และ งาน Earth Work - Slope Protection ทางหลวงหมายเลข 2196 ตอนนางั่ว-ทุ่งสมอ ตอน 2 ระหว่าง กม.31+860 - กม.32+000 ซ้ายทาง และ ทางหลวงหมายเลข 2302 ตอน กอไผ่-บุ่งน้ำเต้า ระหว่าง กม.6+225 - กม.6+325 มูลค่าโครงการ 19.99 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยแขวงทางหลวงเพชรบูรณ์ที่ 1 กรมทางหลวง เป็นเจ้าของโครงการและผู้ว่าจ้าง ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างแล้วเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568  ระยะการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค. 2568 ถึงวันที่ 19 มิ.ย. 2568           ขณะนี้ทั้ง 2 โครงการอยู่หว่างการเตรียมเข้าพื้นที่เพื่อเริ่มดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 1/2568 เป็นต้นไป           “บริษัทให้ความสำคัญกับการขยายขอบเขตการรับงานให้ครอบคลุมหลากหลายประเภท มุ่งเน้นการเข้ารับงานในระดับภูมิภาคมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการรับงาน และ ความคล่องตัวในการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทพร้อมพัฒนาประสิทธิภาพงานก่อสร้างให้รวดเร็วยิ่งขึ้น   โดยการบริหารขั้นตอนการดำเนินงานให้มีความรัดกุม เพื่อสามารถส่งมอบงานได้ตามกำหนดเวลา และรับรู้รายได้จากโครงการในมือให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้” นายชวลิต กล่าว [PR News]

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ส่องคาดการณ์กำไร GLOBAL ไตรมาส 4/2567

ส่องคาดการณ์กำไร GLOBAL ไตรมาส 4/2567

           หุ้นวิชั่น - บล.พาย ระบุคาด GLOBAL มีกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 ที่ 500 ล้านบาท (-11%YoY, +38%QoQ) การฟื้นตัว QoQ เป็นผลจากยอดขายสาขาเดิมที่ -1% YoY  ในไตรมาส 4/2567  เทียบกับ -6.5% ในไตรมาส 3/2567 และการลดลง YoY จากต้นทุนการขยายสาขาใหม่ ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่ม เป็น 20.3% ในไตรมาส 4/2567 เทียบกับ 18.9% ในไตรมาส 4/2566 แม้คาดว่าส่วนแบ่งกำไรจาก ธุรกิจในต่างประเทศที่เพิ่มเป็น 75 ล้านบาท (+118%YoY) จากยอดขาย ในเมียนมา (สัดส่วนราว 60% ของส่วนแบ่งกำไร) เติบโตดีมาก            ประเมินยอดขายช่วงไตรมาส 4/2567 ยังเติบโต YoY ผลจากการขยายสาขา ระหว่างไตรมาส 3 สาขา (สว่างแดนดิน ,สวรรคโลก, ลำปลายมาศ) รวมเป็น 8 สาขาในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีสาขาทั้งหมด 92 แห่งในไตรมาส 4/2567 จาก 84 แห่งในไตรมาส 4/2566  (+10%YoY) แบ่งเป็นสาขาใน ประเทศ 90 สาขา และ สาขาในกัมพูชา 2 สาขา            แนวโน้มการเติบโตปี 2568 ท้าทายกว่าคาด การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) พลิกกลับมาติดลบ 3% ใน เดือน ธ.ค.2567 และติดลบมากขึ้นเป็น -7% ถึง -9% ในเดือน ม.ค.2568 เทียบกับ SSSG ที่ทรงตัว YoY ในเดือน ต.ค.-พ.ย. 2567 ผลจากยอดขายกลุ่มงานโครงสร้างที่ปรับตัวลดลง จากการแข่งขันที่สูงขึ้น สวนทางกับการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐที่ดีขึ้น YoY            อย่างไรก็ตามคาดว่า SSSG จะทยอยปรับตัวดีขึ้นหลังจากปรับกลยุทธ์ ทางบริษัทเตรียมรีวิวสินค้าบางรายการให้สามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น ทำให้คาดว่าอัตรากำไรจะลดลงเล็กน้อย YoY ประเมินอัตรากำไร ขั้นต้น (GPM) ทุกๆ 10 bps ที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมมติฐานเราที่ 25.6% จะกระทบประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายเรา 1% ในปี 2568 ในแง่การขยายสาขา บริษัทมีแผนเปิด 8-9 สาขาในปี 2568 (+9% ถึง +10% YoY) โดยใช้สมมติฐานการขยายสาขา 8 สาขาในปี 2568 นอกจากนี้ยังมีสาขาในต่างประเทศอื่นๆ อีก 35 สาขา (ในประเทศเมียน มา, ลาว, อินโดนีเซีย) ที่ มีแผนขยายเพิ่ม 1 สาขาในลาว และ 1 สาขาใน เมียนมา ในปี 2568            คำแนะนำ "ถือ" SSSG ยังไม่สดใส มูลค่าพื้นฐาน 10.50 บาท คำนวณด้วยวิธีคิดลดกระแส เงินสด (DCF) ด้วย WACC 8.3% และ TG 2% เทียบเท่า 23xPE'25E ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่มสินค้าซ่อมแซมและตกแต่งบ้านของไทย หลังปรับลด ประมาณการกำไรปี 2567-2568 ลง 1%-22% เพื่อสะท้อน GPM ที่จะลดลง จากการปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้นในบางสินค้า แม้ว่า สัดส่วน House brands จะเพิ่มขึ้น YoY (สมมติฐาน GPM ลดลง 25 bps YoY) และ SSSG จาก +2.5% เป็น 0% YoY ในปี 2568            บล.กรุงศรี ระบุ ประเมิน SSS จะลดลง 2% ในไตรมาส 4/2567 เนื่องจากการฟื้นตัวช้าของการบริโภคไทยซึ่งกดดันความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น โดยเชื่อว่า SSSG ในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคมอยู่ที่ 0%, -2% และ -4% ตามลำดับ สะท้อนถึงอุปสงค์ที่อ่อนตัวจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว            อย่างไรก็ตามคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 10% YoY และ 15% QoQ เป็น 8.3 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทเพิ่มสาขา 9แห่งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (เป็น 90 แห่ง) นอกจากนี้ยังคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลง 0.2ppt qoq เป็น 25.7% เนื่องจากราคาเหล็ก (ส่วนแบ่งรายได้ 15%) ลดลงประมาณ 4% QoQ ในไตรมาส 4/2567            ทั้งนี้คาดการณ์ SSSG จะอยู่ที่ 2% ในปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคโดยรวม นอกจากนี้ยังคำนึงถึงร้านค้าใหม่ 7 แห่งในปี 2568 (เป็น 97 แห่ง) โดยรวมแล้วคาดว่ารายได้จะเติบโต 8% ในปี 2568 (เป็น 35,582 ล้านบาท) และกำไรหลักจะอยู่ที่ 2,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% YoY            อัพเกรด GLOBAL เป็น BUY ขณะที่คงราคาเป้าหมายไว้ที่ 16 บาท ให้ TP ที่ 30.2x FY25F P/E ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว -0.5SD โดยเชื่อว่าปัจจัยลบได้อยู่ในราคาแล้ว และ GLOBAL ก็อยู่บนเส้นทางฟื้นตัวตามแนวโน้มการบริโภคของไทย มองว่าการขยายตัวของ GLOBAL เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโตของรายได้และกำไร ความเสี่ยงสำคัญอยู่ที่การบริโภคโดยรวมของไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายของ GLOBAL หากเติบโตช้ากว่าคาด

WHAUP ปี68 ขยายธุรกิจน้ำ-ไฟ รับ Data Center ปั้นรายได้-คาดโกยกำไร 5ปี 35,000 ลบ.

WHAUP ปี68 ขยายธุรกิจน้ำ-ไฟ รับ Data Center ปั้นรายได้-คาดโกยกำไร 5ปี 35,000 ลบ.

          หุ้นวิชั่น - บมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ “WHAUP” เปิดแผนธุรกิจปี 2568 เร่งขับเคลื่อนธุรกิจทั้งในและต่างประเทศผ่านนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ มุ่งสู่การเป็น Tech Driven Organization รองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า Data Center ในนิคมฯ WHA พร้อมอัดงบลงทุนรวม 5 ปี (2568-2573) ที่ 29,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี ที่ 35,000 ล้านบาท และรักษา EBITDA margin ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50%           นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เปิดเผยถึงแผนการขยายธุรกิจในปี 2568 ว่า บริษัทฯ มีแผนขับเคลื่อนธุรกิจผ่านนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมก้าวสู่การเป็นการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization) โดยวางกลยุทธ์หลักในการขยายความเป็นผู้นำในด้านสาธารณูปโภคและพลังงาน ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve ให้กับองค์กร เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนจากการต่อยอดธุรกิจทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ผ่านแผนกลยุทธ์และเป้าหมายทางธุรกิจ ดังนี้           ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) ในปี 2567 บริษัทฯ มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำรวมอยู่ที่ 166 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นการเติบโต 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำในประเทศจำนวนทั้งสิ้น 128 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโต 6% ขณะที่ปริมาณยอดจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำในเวียดนาม อยู่ที่ 38 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า 13% สำหรับในปี 2568 นี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการขยายการให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Data center ที่มีปริมาณความต้องการใช้น้ำสูง  และจะมุ่งเน้นการผลิตน้ำที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และมองหาแหล่งน้ำดิบทดแทน เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านการจัดหาน้ำ และรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า  นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายธุรกิจสาธารณูปโภคในพื้นที่นอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ รวมไปถึงการเข้าร่วมโครงการเกี่ยวกับน้ำประปาและการจัดการน้ำเสียของหน่วยงานภาครัฐรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ          สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ได้มีการตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 173 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโต 4% จากปีก่อนหน้า แบ่งเป็นยอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำภายในประเทศประมาณ 132 ล้านลูกบาศก์เมตร และในประเทศเวียดนามประมาณ 41 ล้านลูกบาศก์เมตร           ธุรกิจพลังงาน ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเซ็นสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์กับลูกค้าอุตสาหกรรม (Private PPA) เพิ่ม 76 สัญญา หรือเท่ากับ 106 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 965 เมกะวัตต์ สำหรับในปี 2568 นี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ และทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟท็อป โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff และโครงการ Direct PPA เป็นต้น พร้อมกันนี้ได้เริ่มดำเนินการศึกษาและพัฒนาโครงการ Micro Grid ที่นิคมเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Zone 1 ในจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เฟส 1 ซึ่งคาดว่าจะพร้อมให้บริการเชิงพาณิชย์ในปี 2569  สำหรับในปี 2568 นี้บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วเป็น 1,185 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นพลังงานหมุนเวียน 657 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 55% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด           นายอัครินทร์ ประเทืองสิทธิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ WHAUP เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเสริมสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรม โดยในส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภค บริษัทฯ ได้เดินหน้าพัฒนา Smart Water Solutions ด้วยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการบริหารจัดการระบบน้ำอัจฉริยะ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการให้บริการลูกค้า ลดการสูญเสียน้ำ และปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีความแม่นยำและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ในส่วนของธุรกิจพลังงานไฟฟ้า บริษัทฯ ได้นำ AI มาพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เช่น ระบบ Solar Anomaly ที่สามารถตรวจจับความผิดปกติของแผงโซลาร์ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้สามารถบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และระบบ Solar Forecasting ซึ่งช่วยคาดการณ์ปริมาณการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยในการวางแผนซ่อมบำรุงรวมถึง ลดต้นทุน และเพิ่มความเสถียรของระบบไฟฟ้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer (P2P Energy Trading) รวมถึงการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) ซึ่งช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร  และเพื่อก้าวสู่อนาคต บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนใน ธุรกิจ New S-Curve ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลังงานแห่งอนาคต อาทิ เทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดและมีเสถียรภาพสูง ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) เพื่อเพิ่มความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero           ด้านนายประพนธ์ ชินอุดมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารการเงิน WHAUP กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการดำเนินงานใน 5 ปี (2568-2572) บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนภายใน 5 ปี ที่ 29,000 ล้านบาท สำหรับรองรับการลงทุนขยายธุรกิจทั้งด้านสาธารณูปโภคและพลังงาน โดยวางแผนสร้างรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติให้เติบโต 2.5 เท่าจากปี 2567 และตั้งเป้าหมายมีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติของบริษัทฯ รวม 5 ปีข้างหน้าที่ 35,000 ล้านบาท รวมทั้งยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA margin ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50%           นายสมเกียรติ กล่าวปิดท้ายว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าต่อยอดการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยเน้นการใช้นวัตกรรมควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และการสร้างคุณค่าให้กับสังคม ด้วยความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายในปี 2572 อาทิเช่น การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยตั้งเป้าหมายมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประมาณ 1,200 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 683,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และการลดการใช้น้ำจากธรรมชาติลงประมาณ 25,000,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี เทียบเท่ากับปริมาณการใช้น้ำของภาคครัวเรือนกว่า 685,000 คน  โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ที่ระดับ AAA ซึ่งเป็นเรทติ้งระดับสูงสุด เป็นปีที่สองติดต่อกัน ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ  ตามพันธกิจของ WHA Group “ WHA : WE SHAPE THE FUTURE” ได้เป็นอย่างดี

OKJ ร่วงกว่า 23% ผิดหวังกำไร Q4/67 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด

OKJ ร่วงกว่า 23% ผิดหวังกำไร Q4/67 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ ราคาหุ้นบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) (OKJ) ปรับตัวลดลง -20% มาที่ 12.40 บาท มองว่าผลจาก OKJ รายงานกำไร 4Q67 ที่ต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยและตลาดคาด มาที่ 39 ล้านบาท (+7% yoy, -35% qoq) ด้วยรายได้จะเติบโต yoy, qoq แต่ถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อาทิ ค่าขนส่ง ค่า Brand Admirer           มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาปัจจุบัน จนปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ PER 22x เท่านั้น ในขณะที่คาดผลประกอบการปี 68 จะเติบโต 70% yoy มาที่ 343 ล้านบาท และคาดผลประกอบการเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปี (ปี 68-70) คิดเป็น PEG เพียง 0.8x นอกจากนี้ เราคาดแนวโน้มผลประกอบการ 1Q68 จะเติบโต yoy, qoq เนื่องจากการเติบโตรายได้ตามการขยายสาขา และการไม่มีค่าใช้จ่าย one-time อย่าง 4Q67 คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17 บาท

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

EPG คาดปีหน้าฟื้นแรงกำไร 1.4 พันลบ.  มีปันผล 9.6% โบรกแนะซื้อ เป้า 4.50 บาท

EPG คาดปีหน้าฟื้นแรงกำไร 1.4 พันลบ. มีปันผล 9.6% โบรกแนะซื้อ เป้า 4.50 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี คาดว่ากำไรหลักของ EPG จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญใน 3QFY25 (ต.ค.-ธ.ค. 2024) สู่ระดับ 187 ล้านบาท (-54% yoy, -56% qoq) เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ ส่งผลให้มีการปรับลดประมาณการกำไร FY25F/FY26F ลง 15%/11% อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวใน FY26 เป็นต้นไป ด้วยโครงสร้างต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 4.50 บาท คาดกำไร 3QFY25F อ่อนแอจากต้นทุนพิเศษ            คาดว่ารายได้ของ EPG ในช่วง 3QFY25 (ต.ค.-ธ.ค. 2024) จะลดลง 5% qoq (+2% yoy) สู่ระดับ 3.5 พันล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงนอกฤดูกาล GPM คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 32.4% จาก 34.7% ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่ลดลง คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายพิเศษภายใต้ SG&A ประมาณ 50 ล้านบาทในไตรมาสนี้ ได้แก่ การประเมินมูลค่าสินค้าคงคลังใหม่ การปรับโครงสร้างองค์กรและการปรับปรุงทรัพยากรบุคคลของธุรกิจใน Australia การยุติธุรกิจ TJM USA            ซึ่งจะส่งผลให้กำไรหลักลดลง 54% yoy และ 56% qoq สู่ระดับ 187 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจะบันทึก ECL (Expected Credit Loss) อีกประมาณ 60 ล้านบาทสำหรับธุรกิจในแอฟริกาใต้ ปรับประมาณการรายได้เพิ่ม แต่ลดกำไรลงจากต้นทุนพิเศษ            ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าคาดการณ์ในไตรมาสล่าสุด ส่งผลให้เราปรับเพิ่มค่าใช้จ่าย SG&A สำหรับ FY25/FY26F และลดกำไรหลักลง 15%/11% อย่างไรก็ตาม เราได้ปรับเพิ่มรายได้เนื่องจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ AFC และโอกาสการเติบโตที่ยังคงแข็งแกร่งในอนาคต คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมายปี FY26 ที่ 4.50 บาท            EPG ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างภายในในปีปัจจุบัน (FY25) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กำไรอ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม เราเชื่อมั่นว่าการดำเนินงานจะเริ่มฟื้นตัวใน FY26 จากต้นทุนที่ลดลง และรายได้จะยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่            บริษัทจะบันทึก ECL ครั้งสุดท้ายภายในสิ้นปี การยุติธุรกิจ TJM USA จะช่วยลดต้นทุนได้ 40 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ผลการดำเนินงานของ TJM Australia คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่            ดังนั้น EPG คาดว่าจะมีกำไรที่แข็งแกร่งใน FY26F เติบโต 15% yoy สู่ระดับ 1.4 พันล้านบาท ราคาเป้าหมายใหม่ของเราอยู่ที่ 4.50 บาท โดยอิงจาก P/E 9 เท่าของ FY26F (-2SD ของค่าเฉลี่ย) ปัจจุบันหุ้นซื้อขายที่ระดับ P/BV เพียง 0.6 เท่า และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 9.6% ต่อปี

ADVICE คาดปีนี้กำไรโต 19% โบรกชี้ P/E ถูก แนะซื้อเป้า 7.70 บาท

ADVICE คาดปีนี้กำไรโต 19% โบรกชี้ P/E ถูก แนะซื้อเป้า 7.70 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี คาดว่า ADVICE กำไรหลักจะเพิ่มขึ้น 54% yoy สู่ระดับ 52 ล้านบาทใน 4Q24F โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่แข็งแกร่งของธุรกิจสมาร์ทโฟนที่บริษัทเริ่มดำเนินการในปี 2023 คาดว่าปี 2025 จะเป็นปีที่ดีสำหรับ ADVICE โดยกำไรจะเติบโต 19% สู่ระดับ 299 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจสมาร์ทโฟนที่ยังคงมีศักยภาพการเติบโต ADVICE ยังคงเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกไอที คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 7.70 บาท กำไร 4Q24 เติบโตได้ดี           คาดว่ารายได้จะเติบโต 12% yoy สู่ระดับ 3.5 พันล้านบาทในไตรมาสนี้ แต่ลดลง 5% qoq เนื่องจากเป็นช่วงนอกฤดูกาล (ผู้บริโภครอการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2025) GPM คาดว่าจะคงที่ที่ 9.3% เทียบกับ 9.1% ใน 3Q24 เนื่องจากผู้จำหน่ายให้ส่วนลดสำหรับผลิตภัณฑ์รุ่นเก่า ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย qoq เนื่องจากบริษัทเข้าร่วมงาน Mobile Expo เป็นครั้งแรก โดยรวมแล้ว เราคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น 54% yoy สู่ระดับ 52 ล้านบาทใน 4Q24 (-17% qoq) และผลักดันให้กำไรทั้งปีอยู่ที่ 231 ล้านบาท (+37% yoy) ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของเราเล็กน้อยที่ 8% และจะดีต่อเนื่องในปี 2025           บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ 15-20% ในปีนี้ รวมถึงการเติบโต 10% ใน 1Q25 เนื่องจากรายได้จากสมาร์ทโฟนจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดร้าน Advice iStore (6 สาขาภายในสิ้นปีที่ผ่านมา) บริษัทยังคงเป้าหมายการเปิดร้าน iStore ใหม่ 30-35 สาขาในปีนี้           เชื่อว่า ADVICE สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในตลาดสมาร์ทโฟนของไทยได้ เนื่องจากปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดน้อยกว่า 1% คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 7.70 บาท           ADVICE ซื้อขายที่ระดับ P/E เพียง 10 เท่าของ FY25F (ค่าเฉลี่ย) ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาจากการเติบโตของกำไรที่คาดการณ์ไว้ที่ 19% ในปีนี้ (เพียง 0.6x PEG)           กลุ่มธุรกิจค้าปลีกกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแออาจกดดันกำลังซื้อของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยเฉพาะของบริษัทที่เป็นตัวขับเคลื่อน ได้แก่ การเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน           ราคาเป้าหมายของเราอยู่ที่ 16 เท่าของ P/E FY25F สอดคล้องกับระดับของกลุ่มคู่แข่ง ADVICE ปัจจุบันเป็นหุ้นที่มีราคาถูกที่สุด (มูลค่าตาม P/E) ในกลุ่ม แต่มีศักยภาพการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง

MEGA คาดปี68 กำไรโต 10% แตะ 2.7 พันล้าน สินค้าแบรนด์แกร่ง

MEGA คาดปี68 กำไรโต 10% แตะ 2.7 พันล้าน สินค้าแบรนด์แกร่ง

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินหุ้น MEGA โดยฝ่ายวิจัยประเมินกำไรหลักอยู่ที่ 681 ล้านบาทใน 4Q24 (+18% yoy, +27% qoq) โดยได้รับปัจจัยหนุนจาก (1) การเติบโตของรายได้ 6% yoy จากหน่วยธุรกิจที่มีแบรนด์ และ (2) อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 6.6 ppt เนื่องจากส่วนแบ่งจากธุรกิจ ที่มีแบรนด์ที่มีอัตรากำไรสูงเติบโตเร็วกว่าธุรกิจจัดจำหน่าย (คาดว่าจะลดลง 18% yoy เนื่องจากสภาวะที่ท้าทายในเมียนมาร์)           นอกจากนี้ยังประมาณการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 150 ล้านบาทจากจ๊าตที่อ่อนลง ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิเติบโตเพียง 12% yoy เป็ น 531 ล้านบาท MEGA ซื้อ ขายที่9.6x 2025F P/E ซึ่งต่ำ กว่าพีอีเฉลี่ยระยะยาว 1.8SD ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ ซื้อ และเป้าหมาย 37 บาท ฝ่ายวิจัยมอง 2025F กำไรหลักโต 10% แตะ 2.7 พันล้านจากสินค้าแบรนด์           ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์การเติบโตของยอดขายทั้งสองกลุ่มธุรกิจที่ 10% อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยจะทบทวนสมมติฐานการเติบโตของหน่วยการจัดจำหน่ายอีกครั้ง เนื่องจากเงื่อนไขในเมียนมาร์ ยังคงมีความผันผวนและอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายและกำไรของกลุ่ม ฝ่ายวิจัย คงคำแนะนำ ซื้อ และเป้าหมาย 37 บาท

abs

Hoonvision

NER โบรกอัพเป้าใหม่ คาดกำไรปี68 โต 22% ชี้ปันผลน่าสนใจ

NER โบรกอัพเป้าใหม่ คาดกำไรปี68 โต 22% ชี้ปันผลน่าสนใจ

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินหุ้น NER โดยฝ่ายวิจัยปรับคำแนะนำเป็น “Buy” คง TP 5.85 บ. (เดิม Trading buy) คาดปันผล 0.32 บ./หุ้น ณ ราคาปัจจุบันคิดเป็น dividend yield ราว 6.8% ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจ สำหรับกำไรปกติ 4Q24F คาดที่470 ลบ. (+9%y-y, +113%q-q) จากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ตามปัจจัยฤดูกาล อย่างไรก็ตามคาด GPM ต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ก่อนหน้า เพราะต้นทุนยางพาราเร่งตัวขึ้น           ส่วนแนวโน้มปี2025F บริษัทยังคงเป้าปริมาณการขายที่5 แสนตัน/ปีเพิ่มขึ้น +14%y-y ฝ่ายวิจัยคาด 2H25F ดีกว่าครึ่งแรก เนื่องจากจะเริ่มเข้าฤดูกาลปิดกรีดในปลายเดือน ก.พ. - พ.ค. ทำให้ปริมาณการขายอาจลดลงตามฤดูกาล แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25F ลดลง y-y, q-q มอง 2H25F ดีกว่าครึ่งแรกของปี           คาดแนวโน้มกำไรปกติ 1Q25F ลดลง y-y,q-q คาดลดลง y-y จากราคาต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งกดดัน GPM และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ช่วงปลายเดือน ธ.ค. 24 คาดกำไรปกติลดลง q-q จากปริมาณการขายลดลงหลัง Q4 เป็น High season และต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้นฃ           ขณะที่ราคาขายอาจเพิ่มขึ้นช้ากว่าต้นทุน ส่วน 2Q25F เป็นช่วงปิดกรีด คาดปริมาณการขายน้อยที่สุดของปี จึงคาด 2H25F ดีกว่าครึ่งแรก ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าปริมาณการขายที่ 500,000ตันต่อปี(+14%y-y) โดยยังคงประมาณการกำไรปกติปี2025F ที่2,024 ลบ. (+22%y-y) ฝ่ายวิจัยปรับคำแนะนำเป็น “Buy” คง TP ที่ 5.85 บ.           ฝ่ายวิจัยปรับคำแนะนำเป็น “Buy” คง TP ที่ 5.85 บ.อิง PER 6.4 เท่า (เดิม Trading buy) จาก upside ที่เปิดกว้างขึ้นและมองเป็นหุ้นปันผลสูง คาดเงินปันผลที่ 0.32 บ./หุ้น คิดเป็น dividend yield สูงถึง 6.8% คาด XD ช่วงเดือน เม.ย. และจ่ายปันผล พ.ค. นี้

BAM คาดปีนี้กำไรพุ่ง 18.7%  มีปันผล 6.9%  โบรกแนะซื้อ เป้า 9.30 บ.

BAM คาดปีนี้กำไรพุ่ง 18.7% มีปันผล 6.9%  โบรกแนะซื้อ เป้า 9.30 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาด BAM จะมีกำไรสุทธิ 4Q24 จำนวน 476 ลบ. โต 3.5% YoY และฟื้นตัวเด่น 138.2% QoQ หนุนจาก รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่คาดโต 28.7% QoQ ทั้งจากการเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจ ซึ่งปกติบริษัทจะสามารถเจรจาให้ลูกค้ามาชำระหนี้ได้เยอะกว่าช่วงอื่นของปี นอกจากนี้ ยอดขาย NPA ยังฟื้นตัวขึ้น 22.4% QoQ หลังบริษัทมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดและมีทรัพย์ภายใต้โครงการลดราคามากขึ้น บวกกับมีการปิดการขาย NPA ขนาด 50-200 ลบ. เข้ามาช่วยเสริม นอกจากนี้ คาดบริษัทจะมียอดขายแบบผ่อนชำระเร่งตัวขึ้นราว 32% QoQ หลังเปิดให้ลูกค้าที่สนใจ NPA สามารถผ่อนชำระโดยตรงกับ BAM ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% ไม่เกิน 2 ปี รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิคาดโต 1.3% QoQ แม้ต้นทุนทางการเงินจะสูงขึ้นจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ แต่ถูกชดเชยด้วยรายได้ดอกเบี้ยจากลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ที่เพิ่มขึ้น คาดการตั้งสำรองลดลง 7.1% QoQ สอดรับกับการชำระหนี้ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ปี 2025 มีแรงหนุนจากยอดขาย NPL/NPA ทดแทนและรายได้แหล่งใหม่จาก JVAMC           หากเป็นไปตามคาด กำไรสุทธิปี 2024 ของ BAM จะอยู่ที่ 1,555 ลบ. โต 1.4% YoY ดีกว่าประมาณการเดิมของเรา 2% เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรเล็กน้อยให้สอดคล้องกับแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q24 ที่คาดจะฟื้นตัวได้ดี QoQ และโต YoY ดีกว่าสมมติฐานเดิมของเราที่คาดจะลดลง YoY           ส่วนปี 2025 เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิที่ 1,846 ลบ. โต 18.7% YoY หนุนจาก แนวโน้มการประมูลหนี้เสียกองใหม่ที่เพิ่มขึ้น และฐานลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ที่สูงขึ้นจากการเร่งติดตามลูกหนี้และยื่นข้อเสนอที่จูงใจลูกหนี้มากขึ้น การตั้งสำรองคาดลดลง เพราะในปี 2024 มีการตั้งสำรองพิเศษเกี่ยวกับการซื้อทรัพย์เพื่อปิดบัญชีหนี้ของลูกค้าบางราย รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มขยายตัว รับรู้ค่าบริหารจัดการ JVAMC ของทั้ง ARI AMC (JV ร่วมกับธนาคารออมสิน) และ ARUN AMC (JV ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย) การเร่งตัวขึ้นของยอดขาย NPA หลังบริษัทมีแผนใช้กลยุทธ์ด้านราคามากขึ้นเพื่อเร่งระบาย NPA พอร์ต หนุนให้ผลจัดเก็บเงินสดรวมของ BAM คาดโตราว 10% YoY ราคาหุ้นยังไม่ตอบสนองต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไร จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”           มองว่าแนวโน้มกำไรสุทธิของ BAM จะฟื้นตัวขึ้น สวนทางกับราคาหุ้นที่ปรับลงต่อเนื่องตามภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย จนปัจจุบันมี Upside 66.1% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2025 เดิมที่ 9.30 บาท และซื้อขายด้วย PBV ปี 2025 ต่ำเพียง 0.4x           นอกจากนี้ คาดจะจ่ายปันผลสำหรับกำไรปี 2024 อีกหุ้นละ 0.39 บาท คิดเป็น Div. Yield สูง 6.9% (จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง)           เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

BCH ปีนี้สดใสกำไรโต 17% ราคาหุ้นสะท้อนข่าวลบแล้ว เคาะเป้า 20.40 บ.

BCH ปีนี้สดใสกำไรโต 17% ราคาหุ้นสะท้อนข่าวลบแล้ว เคาะเป้า 20.40 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า  คาดกำไร BCH 4Q24 ลดลง QoQ, YoY ยังมีผลกระทบจากการกลับรายการ AdjRW>2           คาดกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 189 ล้านบาท -58% QoQ, -56% YoY โดยมีรายการพิเศษเป็นลบ 2 รายการ การกลับรายการรายได้จากประกันสังคม สำหรับการรักษาพยาบาลที่มีต้นทุนสูง (AdjRW>2) จำนวน 160 ล้านบาท หลังจากที่ SSO ปรับลดอัตราการจ่ายจาก 12,000 บาท/RW เหลือ 8,000 บาท/RW สำหรับการรักษาระหว่างเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2024 ตั้งค่าเผื่อหนี้สูญจากลูกหนี้ UCEP COVID-19 จำนวน 30 ล้านบาท           หากไม่นับรวมรายการพิเศษ เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรปกติที่ 341 ล้านบาท -13% QoQ, -12% YoY เทียบ QoQ: จากปัจจัยฤดูกาล เนื่องจากไตรมาส 3 ปกติเป็น High Season เทียบ YoY: ลดลงจากรายได้ผู้ป่วยชาวคูเวตหายไป (จากการปรับนโยบายส่งตัวผู้ป่วยรักษามีผลกระทบตั้งแต่ต้นปี 2024) ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ราว 4% ของรายได้รวม           ด้านประสิทธิภาพในการทำกำไรลดลง จากผลของรายได้ที่ลดลง โดยเฉพาะรายได้จากต่างชาติที่มีอัตรากำไรสูง โดย EBITDA Margin อยู่ที่ 19.1% ลดลงจาก 4Q23 ที่ 28.1%           ภาพรวมปี 2024 คาดกำไรปกติที่ 1,393 ล้านบาท +2% YoY ปี 2025 แนวโน้มสดใส ปัจจัยลบคลี่คลาย คาดกำไรฟื้นตัวจากฐานต่ำ           มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการปี 2025 ที่คาดจะฟื้นตัวเด่น โดยเราประมาณการรายได้ที่ 12,781 ล้านบาท +8% YoY ซึ่งประมาณการของเราค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งเป้ารายได้เติบโต double-digit และคาดกำไรปกติที่ 1,632 ล้านบาท เติบโต 17% YoY โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตในปีนี้ ได้แก่ การเติบโตจาก Organic Growth จำนวนคนไข้เงินสดทั้ง OPD และ IPD ฟื้นตัวดีตั้งแต่ต้นปี จากโรคระบาดที่เพิ่มขึ้น และผลจากฝุ่น PM2.5 ที่เกินมาตรฐานในกรุงเทพ ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่เกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น รายได้ประกันสังคมเติบโตดีขึ้น หลังจากประกันสังคมมีการประกาศยึดอัตราการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่มีต้นทุนสูง (AdjRW>2) คงที่ตลอดปีที่ 12,000 บาท/AdjRW ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปรับลดเหมือนช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ที่ถูกปรับลดลงเหลือ 7,200-8,000 บาท/AdjRW นอกจากนี้ คาดโควตาประกันสังคมจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.85 ล้านคน เป็น 1.87 ล้านคน การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ Yuanta Research ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโต 10% YoY เป็น 39 ล้านราย เราคาดกลุ่ม Medical Tourism เติบโตในทิศทางเดียวกัน สำหรับ BCH คาดกลุ่มลูกค้า CLMV, จีน และลิเบีย ฟื้นตัวดี ส่วนลูกค้าคูเวตยังต้องรอลุ้นผลจากรัฐบาลคูเวตในช่วงกลางปีนี้ การฟื้นตัวของโรงพยาบาลใหม่ที่ทยอยเปิดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ รพ.เกษมราษฎร์ สาขาอรัญประเทศ, เวียงจันทน์ และปราจีนบุรี คาดผลประกอบการผ่านจุดคุ้มทุนและกลับมามีกำไรในปีนี้ ช่วยหนุนให้ประสิทธิภาพในการทำกำไรดีขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ข่าวลบสะท้อนในราคาหุ้นไปแล้ว           มองว่าราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนประเด็นข่าวลบไปหมดแล้ว ทั้งจากประเด็นการถูกปรับลดการเบิกจ่ายสำหรับการรักษาพยาบาลที่มีต้นทุนสูง (AdjRW>2) ของประกันสังคมในปีก่อน ที่คาดว่าปีนี้ไม่ต้องบันทึกรายการเป็นลบแล้ว ประเด็นข่าวเรื่องประกันมีการปรับรูปแบบ Co-payment ซึ่งทาง คปภ. และกลุ่ม รพ. เองยืนยันว่าไม่ได้กระทบต่อกลุ่มลูกค้าประกันทั้งหมด และเรามองผลกระทบต่อรายได้รวมในกรณี worst case ไม่เกิน 2-3% ของรายได้รวม ส่วนประเด็นลูกค้าคูเวตที่หายไป ทาง BCH มั่นใจว่าจะเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับคัดเลือกจากรัฐบาลคูเวตหากกลับมารักษา แต่เราประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมโดยไม่นับรวมในประมาณการ ยังคงมูลค่าพื้นฐานปี 2025 ที่ 20.40 บาท อิงวิธี DCF และสมมติฐาน WACC ที่ 7.6% (Ke 8.6%), Terminal growth 3%           ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/E Band 5 ปีที่ -1SD ซึ่งเรามองเป็นจังหวะในการกลับเข้าลงทุน

BCP คาดปีนี้มีกำไร 6.7 พันลบ. โรงกลั่นกลับมา–SAF หนุน โบรกเคาะเป้า 39.00 บ.

BCP คาดปีนี้มีกำไร 6.7 พันลบ. โรงกลั่นกลับมา–SAF หนุน โบรกเคาะเป้า 39.00 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาด BCP 4Q24 ฟื้นตัวจากฐานต่ำ แต่ยังอ่อนแอ ขาดทุนสต็อกสูงกว่ามุมมองก่อนหน้า คาด 4Q24 พลิกเป็นกำไรสุทธิที่ 181 ล้านบาท ฟื้นตัวจาก -2.1 พันล้านบาทใน 3Q24 และ -977 ล้านบาทใน 4Q23 โดยเทียบกับ 3Q24 คาดผลประกอบการดีขึ้นทุกธุรกิจ ยกเว้นธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ (OKEA) สาระสำคัญดังนี้ ธุรกิจโรงกลั่น แม้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานจะเพิ่มขึ้น QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นเพราะ อัตราการกลั่นคาดทำได้ 92% (vs 88% ใน 3Q24) จากโรงกลั่นศรีราชาผ่านช่วงปิดซ่อมบำรุงใน 3Q24 ค่าการกลั่นคาดทำได้ US$4.7/bbl (vs US$2.5/bbl ใน 3Q24) จาก Crack Spread น้ำมันดีเซลเร่งตัวขึ้นตามอุปสงค์ช่วงฤดูหนาว และสัดส่วนผลิตภัณฑ์น้ำมันมูลค่าสูงกลับมาเป็นปกติหลังผ่านช่วงหยุดซ่อมบำรุง ขาดทุนสต็อกน้ำมันเหลือ 2.5 พันล้านบาท (vs -5.8 พันล้านบาทใน 3Q24) ธุรกิจการตลาด ปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณขาย +7% QoQ จากการเข้าสู่ฤดูเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ และขาดทุนสต็อกน้ำมันลดลง ธุรกิจพลังงานสะอาด แม้ปริมาณผลิตไฟฟ้าจะลดลงตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าน้ำในลาว โรงไฟฟ้าลมในไทย และการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าก๊าซในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม คาดผลประกอบการปรับดีขึ้นจากขาดทุน FX ลดลง ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ แม้ปริมาณขาย B100 จะลดลงจากการปรับอัตราผสมเป็น B5 ตั้งแต่เดือนพ.ย. แต่กำไรปรับตัวดีขึ้นจากราคา B100 ได้แรงหนุนจากอุปทานตึงตัวจากปัญหาน้ำท่วม และการเตรียมความพร้อมน้ำมันดีเซล B40 ของอินโดนีเซีย ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ อ่อนแอลงตามปริมาณขาย -28% QoQ จากการรับรู้ส่วนแบ่งการจำหน่าย (Underlift) ของแหล่ง Draugen และ Brage ลดลง ปรับลดประมาณการปี 2024 แต่ยังคงกำไรปี 2025 เติบโต YoY           ปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2024 ลง 42% เป็น 2.4 พันล้านบาท โดยหลักมาจากขาดทุนสต็อกน้ำมันสูงกว่าคาด อย่างไรก็ตาม เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ที่ 6.7 พันล้านบาท เติบโต YoY หนุนจาก โรงกลั่นพระโขนง และโรงกลั่นศรีราชาผ่านวัฏจักรปิดซ่อมบำรุงใหญ่ในปี 2023 - 2024 มาแล้ว ทำให้อัตราการกลั่นสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงลดลง รับรู้ Synergy จากการบริหารงานร่วมกันระหว่างโรงกลั่นพระโขนง และโรงกลั่นศรีราชามากขึ้นเป็น 5.5 พันล้านบาท (vs ราว 5 พันล้านบาทในปี 2024) การเริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของโครงการน้ำมันอากาศยานยั่งยืน (SAF) ช่วง 2Q25 ค่าการกลั่น 1Q25 เด่นกว่าคู่แข่ง ได้ประโยชน์จากต้นทุนน้ำมัน           สำหรับ 1Q25 แม้ 1QTD Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวลดลง QoQ อย่างไรก็ตาม คาดค่าการกลั่นของ BCP จะเด่นกว่าคู่แข่งเพราะได้ประโยชน์จากต้นทุนน้ำมัน Dated-Brent ลดลง ส่งผลให้คาดว่าค่าการกลั่นของ BCP จะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าค่าการกลั่นสิงคโปร์ นอกจากนี้ คาดว่าขาดทุนสต็อกน้ำมันจะลดลง QoQ และปริมาณส่งมอบปิโตรเลียมของ OKEA ฟื้นตัว ช่วยหนุนให้ 1Q25 ปรับตัวดีขึ้น QoQ ปรับลดคำแนะนำเป็น TRADING... รอเพิ่มน้ำหนักลงทุนเมื่อ Upside มากกว่านี้           ประเมินราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ใหม่ที่ 39.00 บาท อ้างอิง PBV -0.5 SD ที่ 0.8 เท่า (คงเดิม) ด้วย Upside Gain ที่เริ่มจำกัด, ผลประกอบการ 4Q24 ไม่เด่น, Dividend Yield 2H24 ไม่สูง (คาด 0.15 บาท/หุ้น) ทำให้เราปรับคำแนะนำลงเป็น TRADING เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้งเมื่อหุ้นมี Upside Gain มากกว่านี้ (คาดประกาศงบการเงินวันที่ 20 ก.พ.)

ERW โรงแรมโตตามซีซั่น ท่องเที่ยวหนุนผลงานแกร่ง -เป้า 4.80 บาท

ERW โรงแรมโตตามซีซั่น ท่องเที่ยวหนุนผลงานแกร่ง -เป้า 4.80 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง ERW "ซื้อ" (ราคาเหมาะสม 4.80 บาท) "งวด 4Q67F คาดกำไรหลักราว 290 ลบ. +133%QoQ , +42% YoY"           งวด 4Q67 คาดรายได้จากการดำเนินงานที่ 2,182 ล้านบาท +18%QoQ, +16%YoY เติบโตจากทุกกลุ่มโรงแรมตาม season ของธุรกิจ ทั้งกลุ่มโรงแรมระดับ 5 ดาว กลุ่มโรงแรมระดับกลาง กลุ่มโรงแรมชั้นประหยัด และกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ท (Hop Inn) โดยคาดว่ากลุ่มบริษัทรวมมีอัตราการเข้าพัก (Occ. Rate) 81% +4%QoQ, -2%YoY มีอัตราค่าห้องเฉลี่ย (ARR) ที่ 2.06 พันบาท +13%QoQ, +11%YoY และมีรายได้ต่อห้อง (RevPAR) 1.67 พันบาท +19%QoQ, +9%YoY มีสมมติฐาน EBITDA Margin ที่ระดับ 33.4% เพิ่มขึ้นจากระดับ 29.8% และ 31.9% ในงวด 3Q67 และ 4Q66 ตามลำดับ สาเหตุหลักเนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่มากกว่าการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ส่งผลให้เราคาดกำไรหลักราว 290 ล้านบาท +133%QoQ, +42%YoY           • ปี 67-68 คาดรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 7,839 ล้านบาท +12%YoY และ 8,466 ล้านบาท +8%YoY ตามลำดับ โดยรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องมาจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ในปี 67 บริษัทมีการเปิดโรงแรม Hop Inn จำนวน 13 แห่งทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ สำหรับปี 68 รายได้เติบโตจากกลุ่มโรงแรมเดิม และโรงแรม Hop Inn ที่เปิดในปีก่อนหน้า มีสมมติฐาน EBITDA Margin ที่ระดับ 34% และ 32% ตามลำดับ จากการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิหลักจำนวน 826 ล้านบาท +17%YoY และ 904 ล้านบาท +9%YoY ตามลำดับ           • ความเห็น เราประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี EV/EBITDA โดยใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลังที่ระดับ 15.x EV/EBITDA คำนวณเป็นราคาเหมาะสมที่ 4.80 บาท มี upside 48% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 2.3% ต่อปี เราจึงแนะนำ "ซื้อ"

จับตาวาเลนไทน์เงิน สะพัด 5.2 พันล. หุ้นไหนรับทรัพย์ เช็ก!

จับตาวาเลนไทน์เงิน สะพัด 5.2 พันล. หุ้นไหนรับทรัพย์ เช็ก!

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในวันมาฆบูชา และวันวาเลนไทน์คาดจะมีเงินสะพัดราว 5.2 พันล้านบาท โดยวันมาฆบูชาจะมีเงินสะพัดราว 2.5 พันล้านบาท +2.81%y-y ส่วนวันวาเลนไทน์จะมีเงินสะพัดเกือบ 2.7 พันล้านบาท +7.2%y-y ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นอิงกำลังซื้อภายใน โดยเฉพาะกลุ่มห้าง อาทิ CRC และร้านอาหาร อาทิ OKJ MINT

BGRIM คาดกำไรปี67 ที่ 2,285 ลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 16.00 บาท

BGRIM คาดกำไรปี67 ที่ 2,285 ลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 16.00 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาด BGRIM กำไรปกติ 4Q24 ลดลง QoQ และทรงตัว YoY คาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 387 ล้านบาท ลดลง 52% QoQ และทรงตัว YoY ต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้าที่ระดับ 400-450 ล้านบาท เพราะถูกกดดันจากปริมาณขายไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้งานอุตสาหกรรม (IU) ที่มีแนวโน้มลดลงมากกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า โดยคาดกำไรปกติลดลง QoQ แม้คาดค่าไฟฟ้าทรงตัวและคาดต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับตัวลงเป็น 313 บาท/MMBtu (-7% QoQ, ทรงตัว YoY) เพราะถูกกดดันจาก ค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดเพิ่มขึ้นเป็น 743 ล้านบาท (+14% QoQ, +5% YoY) จากการบันทึกค่าใช้จ่ายค่าที่ปรึกษาและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างเชิงธุรกิจ คาดส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมที่ 30 ล้านบาท (พลิกเป็นขาดทุน QoQ และ YoY) หลังค่าเงินบาทอ่อนค่าในช่วง 4Q24           ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติทำได้เพียงทรงตัว แม้คาดราคาขายไฟฟ้าของกลุ่ม IU สูงขึ้นราว 6% YoY เพราะถูกกดดันจากค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น หากกำไรปกติออกมาใกล้เคียงคาด จะส่งผลให้กำไรปกติปี 2024 อยู่ที่ 2,285 ล้านบาท (+11% YoY) และคิดเป็นสัดส่วน 101% ของประมาณการของเรา ปรับประมาณการปี 2025-26 ลงหลังต้นทุนก๊าซธรรมชาติยังมีแนวโน้มทรงตัว YoY           ปรับประมาณการปี 2025-26 ลง 26% และ 25% เป็น 1,335 ล้านบาท (-41% YoY) และ 1,552 ล้านบาท (+16% YoY) ตามลำดับ จากการปรับสมมติฐานต้นทุนก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยปี 2025-26 ขึ้นเป็น 335 บาท/MMBtu (เดิม 320 บาท/MMBtu) และ 320 บาท/MMBtu (เดิม 310 บาท/MMBtu) ตามลำดับ เพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องหลังแหล่งก๊าซธรรมชาติ G2 ในอ่าวไทยเข้าสู่ช่วงของการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ (ปิดราว 40 วันในช่วง 1Q25) ทำให้สัดส่วนการใช้งาน LNG ซึ่งมีต้นทุนแพงเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการประกาศขึ้นภาษีสินค้าพลังงานระหว่างจีน-สหรัฐฯ แนวโน้มกำไร 1Q25 ยังไม่เด่น           เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ระดับ 400 ล้านบาท +/- ทรงตัว-เติบโตเล็กน้อย QoQ แม้ได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับงวด ม.ค. - เม.ย. 25 ลงเป็น 4.15 บาท/หน่วย (เทียบกับ 4.18 บาท/หน่วยใน 4Q24) และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่คาดปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 330-340 บาท/MMBtu ตามราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นในช่วง 4Q24 (ราคา Laggard ราว 3-6 เดือน) เพราะปริมาณขายไฟฟ้ารวมที่คาดฟื้นตัวตามฤดูกาลและค่าใช้จ่าย SG&A ที่มีแนวโน้มลดลง QoQ จะสามารถชดเชยผลกระทบได้ ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติลดลงจากฐานที่สูงเพราะถูกกดดันจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลงและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นหลังบริษัทฯ มีการ Rollover หุ้นกู้ในช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมา รอเข้าลงทุนหลังเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดค่าไฟฟ้า           ผลจากการปรับประมาณการลงส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ลดลงเป็น 16.00 บาท/หุ้น มี Upside 26.0% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น-กลาง เรามองว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นจะยังคงถูกจำกัดจากแนวโน้มกำไร 4Q24-1Q25 ที่ยังไม่เด่น และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ยังมีแนวโน้มลดลงช้ากว่าคาด รวมถึงความกังวลของตลาดเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดค่าไฟฟ้าของรัฐบาลที่อาจทำให้ราคาขายไฟฟ้าลดลงเร็วกว่าต้นทุน เชิงกลยุทธ์ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยอาจพิจารณาชะลอการลงทุน และกลับเข้าลงทุนหลังเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดค่าไฟฟ้าหรือเห็นสัญญาณการปรับตัวลงของราคาก๊าซธรรมชาติแล้ว

PJW เคาะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น วงเงิน 100 ล้านบาท เพิ่มผลตอบแทน ROE

PJW เคาะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น วงเงิน 100 ล้านบาท เพิ่มผลตอบแทน ROE

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางพริม ชัยวัฒน์ เลขานุการบริษัท บริษัท ปัญขวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW ขอเรียนแจ้งให้ทราบว่าในการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2567 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติแก้ไขวงเงินและจำนวนเงินที่จะซื้อคืนเพิ่มขึ้น ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้ - วงเงินสูงสุดที่ใช้ในการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 100,000,000 บาท จากเดิม 50,000,000 บาท - จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 60,000,000 หุ้น จากเดิม 20,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท (คิดเป็นร้อยละ 9.6 ของหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้ว) - โดยกำหนดระยะเวลาที่จะซื้อคืนตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2568          โดยเหตุผลที่มีการแก้ไขวงเงินซื้อหุ้นคืน เนื่องจากบริษัทมีสภาพคล่องส่วนเกินสูงขึ้นจากการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดีขึ้น และมีการจำกัดการลงทุนและงบประมาณที่ไม่จำเป็น รวมถึงปัจจุบันสถานการณ์ราคาหลักทรัพย์ของบริษัทมีแนวโน้มที่ลดลง ซึ่งไม่สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของบริษัทที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง          นอกจากนี้ยังเป็นการบริหารการเงินเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น (ROE) ราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ให้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากจำนวนหุ้นที่ลดลง

CPALL ปฎิเสธข่าวลือร่วมลงทุนค้าปลีกญี่ปุ่น

CPALL ปฎิเสธข่าวลือร่วมลงทุนค้าปลีกญี่ปุ่น

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง ชี้แจงข่าวลือเรื่องบริษัทค้าปลีกของประเทศญี่ปุ่นมองหาผู้ร่วมลงทุน โดยอ้างถึงจดหมายที่ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 และต่อมามีข่าวลือว่าบริษัทฯ ได้เข้าทาบทามธนาคารของประเทศสหรัฐฯ สองแห่ง ให้เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินในการ เข้าร่วมลงทุนดังกล่าว บริษัทฯขอยืนยันว่า ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังไม่มีการดำเนินการ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง จากที่เคยแจ้งไว้ ทั้งนี้ หากบริษัทฯมีการดำเนินการใดๆ บริษัทฯจะทำการชี้แจงต่อสาธารณะผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป

GFPT คาดปีนี้กำไร 1,948 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า  10.20 บาท

GFPT คาดปีนี้กำไร 1,948 ลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า  10.20 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาดกำไรปกติ 4Q24 ชะลอ QoQ และ YoY ... ถูกกดดันจากราคาขายเฉลี่ย เราคาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 375 ลบ. (-34.4% QoQ, -7.0% YoY) ชะลอลง QoQ จากราคาขายเฉลี่ยของบริษัทที่ปรับลดลงตามราคาชิ้นส่วนไก่และโครงไก่ในประเทศ และราคาขายส่งออกที่ปรับลดลง แม้ปริมาณขายส่งออกจะยังอยู่ระดับสูง เราคาดที่ 9,400 ตัน ใกล้เคียงกับ 3Q24 แต่ยังไม่สามารถชดเชยด้านราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลงได้ ทำให้เราคาดรายได้ที่ 4,865 ลบ. (-3.7% QoQ, +1.5% YoY) และคาด GPM ที่ 12.9% (-260 bps QoQ, +30 bps YoY) ลดลง QoQ ตามราคาขายที่ปรับลง และรับรู้ต้นทุนการเลี้ยงข้าวโพดที่ราคาสูงมากขึ้น ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดที่ 150 ลบ. (-27.3% QoQ, -24.2% YoY) ลดลงจากทั้ง McKey และ GFN หลังปีใหม่ราคาไก่ฟื้นเด่น … บริษัทเน้นขายกลุ่ม GPM สูงมากขึ้น            เราเห็นสัญญาณบวกชัดเจนใน 1Q25 จากราคาไก่และโครงไก่ในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นเด่น โดยปัจจุบัน ราคาไก่หน้าฟาร์มอยู่ที่ 43 – 44 บาท/กก. (+10% QoQ) และราคาโครงไก่อยู่ที่ 19 – 20 บาท/กก. (+55% QoQ) ขณะที่แนวโน้มต้นทุนข้าวโพดและกากถั่วเหลืองปรับลดลง หนุน GPM โดยรวม ทำให้เราประเมินแนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 เบื้องต้นจะกลับมาเติบโตได้ทั้ง QoQ และ YoY ขณะที่เป้าหมายปี 2025 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตที่ระดับ 2 – 3% YoY จากฐานสูง และเน้นการจำหน่ายสินค้ากลุ่มที่มี GPM สูงมากขึ้น ชดเชยผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้น (ค่าแรงคิดเป็นราว 12% ของ COGS) ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2024 – 2025 ขึ้น            หากกำไรปกติ 4Q24 ออกมาใกล้เคียงคาดจะทำให้ประมาณการกำไรปกติเดิมของเรามี Upside ราว 6% และด้วยแนวโน้มราคาไก่ที่ฟื้นขึ้นเด่นใน 1Q25 ดีกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า ทำให้เรามีมุมมองบวกมากขึ้น จึงปรับประมาณการกำไรปกติปี 2024 – 2025 ขึ้น 6.3% และ 11.9% เป็น 1,948 ลบ. (+50.7% YoY) และ 1,870 ลบ. (-4.0% YoY) ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม หากราคาไก่ในประเทศยังยืนได้ระดับ 43-44 บาท/กก. หรือปริมาณขายส่งออกเติบโตสูงกว่าที่เราประเมินไว้ว่าทำได้เพียงทรงตัว YoY จะทำให้ประมาณการปี 2025 ของเรามี Upside และมีโอกาสที่กำไรปกติปี 2025 อาจไม่ได้ชะลอตัว YoY ปรับราคาเหมาะสมลงสะท้อนภาวะตลาด แต่ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”            เราคงมีมุมมองระมัดระวังต่อแนวโน้มธุรกิจของ GFPT ในปี 2025 จากฐานที่สูงในปีก่อนหน้า ประกอบกับแนวโน้มค่าเงินบาทเทียบ USD ที่แข็งค่ามากขึ้น YoY และเราปรับลดราคาเหมาะสมลงเป็น 10.20 บาท อิง EPS25 ที่ 1.49 บาท แต่ปรับลด PER ลงเป็น 6.9 เท่า (เดิม 10.3 เท่า) สะท้อนภาวะตลาดปัจจุบันที่ผันผวนมากขึ้น และแนวโน้มอัตราการเติบโตของผลประกอบการที่ลดลง อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นปัจจัยบวกด้านราคาขายเฉลี่ยไก่ที่ฟื้นตัวมากขึ้น และราคาเป้าหมายใหม่ยังมี Upside จากราคาหุ้นปัจจุบัน 19% และซื้อขายบน PER25 เพียง 5.5 เท่า จึงมองว่าราคาหุ้นสะท้อนแนวโน้มกำไรปี 2025 ที่อาจไม่เติบโตไปพอสมควรแล้ว เราปรับคำแนะนำขึ้นจาก TRADING เป็น “ซื้อ” เชิงกลยุทธ์ลงทุนตามการฟื้นตัวของราคาไก่ในประเทศ

ASW ปี68 Backlog แน่น คาดกำไรนิวไฮ เคาะเป้าที่ 10.30 บ.

ASW ปี68 Backlog แน่น คาดกำไรนิวไฮ เคาะเป้าที่ 10.30 บ.

          หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ส่องหุ้น ASW โดยคาดกำไรปกติปี 2025 เติบโต 10% YoY สวนทางตลาดอสังหาฯ ที่ชะลอตัว โดยมี Backlog ที่มีแผนโอนในปี 2025ราว 1.2 หมื่นลบ . (JV 17%) หากหักสมมติฐาน Cancellation rate30% จะคิดเป็น Secure Rev.76% ของ ประมาณการรายได้ปี 2025 ของฝ่ายวิจัย           ทั้งนี้ บริษัทฯ มีBacklog หนาแน่นทำให้แผนการรับรู้รายได้ชัดเจน นอกจากนี้ คาด Div. Yield สูงถึง 7% (จ่ายปีละครั้ง) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเหมาะสมสิ้นปี 2025 ที่ 10.30 บาท           ฝ่ายวิจัยคาดกำไรปกติ 4Q24 ลดลง 68% QoQ และ 64% YoY เนื่องจากโครงการแนวสูงสร้างเสร็จใหม่ส่วนใหญ่อยู่ช่วง 2Q-3Q24, GPM ลดลงตาม Product mix และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่กว่า 50% ของโครงการเปิดใหม่ในปี 2024           ด้านแผนธุรกิจปี 2025 บริษัทฯ เดินหน้าเปิดโครงการ ใหม่ในภูเก็ต มูลค่ามากกว่า 55% ของแผนเปิดใหม่ทั้งปีที่ 2.2 หมื่นลบ. โดยตั้งเป้ายอดขายทรงตัว YoY จากฐานสูง และยอดโอนเติบโต 20% YoY           คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเหมาะสมสิ้นปี 2025 ที่ 10.30 บาท

MBAX ขาดทุนลดลงเหลือ 19.98 ล้านบาท จากปี 66 ขาดทุน 38.16 ล้านบาท

MBAX ขาดทุนลดลงเหลือ 19.98 ล้านบาท จากปี 66 ขาดทุน 38.16 ล้านบาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายพิสุทธิ เลิศวิไล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท มัลติแบกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MBAX แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัท มัลติแบกซ์ จำกัด (มหาชน) ขอชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ที่แตกต่างเกินกว่าร้อยละ 20 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2566 ตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ ดังนี้ 1. ด้านรายได้จากการขาย บริษัทฯ มีรายได้สำหรับปี 2567 รวมจำนวน 1,374.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 255.71 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.86 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวมจำนวน 1,118.42 ล้านบาท 2. ด้านต้นทุนขาย บริษัทฯ มีต้นทุนขายสำหรับปี 2567 รวมจำนวน 1,289.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 218.40 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.40 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีต้นทุนขายรวมจำนวน 1,070.63 ล้านบาท 3. ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสำหรับปี 2567 รวมจำนวน 84.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.49 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.22 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมจำนวน 75.65 ล้านบาท 4. ด้านต้นทุนทางการเงิน บริษัทฯ มีต้นทุนทางการเงินสำหรับปี 2567 รวมจำนวน 30.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.18 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีต้นทุนทางการเงินรวมจำนวน 24.68 ล้านบาท 5. ด้านรายได้อื่น บริษัทฯ มีรายได้อื่นสำหรับปี 2567 รวมจำนวน 4.77 ล้านบาท ลดลง 10.29 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 68.33 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้อื่นรวมจำนวน 15.06 ล้านบาท 6. ด้านกำไร(ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทฯ มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับปี 2567 รวมจำนวน 3.08 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 1.53 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 98.71 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนรวมจำนวน 1.55 ล้านบาท 7. ด้านค่าใช้จ่าย(รายได้) ภาษีเงินได้ บริษัทฯ มีรายได้ภาษีเงินได้สำหรับปี 2567 รวมจำนวน 7.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 781.82 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้ภาษีเงินได้รวมจำนวน 0.88 ล้านบาท 8. กำไร(ขาดทุน) สุทธิ บริษัทฯ มีขาดทุนสุทธิสําหรับปี 2567 รวมจำนวน 19.98 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 18.18 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 47.64 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีขาดทุนสุทธิรวมจำนวน 38.16 ล้านบาท

PLANB เล็งกำไรQ4โตต่อ เคาะพื้นฐาน8.80บ.

PLANB เล็งกำไรQ4โตต่อ เคาะพื้นฐาน8.80บ.

           หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายเป็นปี 2025E ที่ 8.80 บาท อิง 2025E PER 33.0x (เดิม 10.20 บาท อิง 2024 PER 41.0x)            ประเมินกำไรสุทธิ 4Q24E ที่ 304 ล้านบาท (+5% YoY, +8% QoQ) ต่ำกว่าที่เราคาดการณ์เดิมจาก GPM ที่ต่ำกว่าคาด กำไรโต YoY หนุนโดย 1) รายได้ OOH +1% YoY จากการขยาย media capacity และ utilization rate อยู่ที่ 80.5% (จาก 81.6% ใน 4Q23 และ 3Q24 ที่ 75.5%) และ engagement marketing -20% YoY เนื่องจาก 4Q23 มีการรับรู้รายได้เอเชียนเกมส์ และรายได้ BNK48 ปรับตัวลดลง, 2) GPM ลดลง            ด้านกำไรโต QoQ จาก high season โดย utilization ขยายตัว และ GPM ขยายตัว ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E-25E ลง -3% และ -10% เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเม็ดเงินโฆษณาที่ช้ากว่าคาด            โดยประเมินกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 1,032 ล้านบาท (+13% YoY) และปี 2025E ที่ 1,149 ล้านบาท (+11% YoY)ราคาหุ้น outperform SET +2% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบัน PLANB เทรดอยู่ที่ 2025E PER 25.6x  เลือก PLANB เป็น top pick กลุ่มสื่อโดยมองว่าจะได้ประโยชน์มากสุดหลังเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว

Q-CON กำไรปี 67 ลดเหลือ 503.7 ล้านบาท จากปี 66 ที่ 765.1 ล้านบาท

Q-CON กำไรปี 67 ลดเหลือ 503.7 ล้านบาท จากปี 66 ที่ 765.1 ล้านบาท

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวครองบุญ โสภาวนิตย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ Q-CON แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ ผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ที่เปลี่ยนแปลงจากงวดเดียวกันของปี 2566 เกินร้อยละ 20 ดังนี้             ผลการดำเนินงานประจำปี 2567 บริษัทและบริษัทในเครือมีกำไรสำหรับปีจำนวน 503.7 ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสำหรับปีจำนวน 765.1 ล้านบาท หรือกำไรสำหรับปีลดลงจำนวน 261.4 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายลดลงจากปีก่อนร้อยละ 25 สาเหตุหลักจากปริมาณการขายลดลง สำหรับต้นทุนขายลดลงร้อยละ 22 จากปริมาณการขายที่ลดลงเป็นหลัก บริษัทจึงมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในปี 2567 ต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 211.4 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 208.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 1 จากค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายและการจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของบริษัท             ต้นทุนทางการเงินจำนวน 1.6 ล้านบาท จากดอกเบี้ยหนี้สินตามสัญญาเช่า บริษัทมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 126.9 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 64.9 ล้านบาท เนื่องจากกำไรสำหรับปีลดลงณ 31 ธันวาคม 2567             บริษัทมีสินทรัพย์รวม 3,213.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89.4 ล้านบาท เทียบกับ 31 ธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ (ส่วนใหญ่จากงานระหว่างก่อสร้าง โครงการลงทุนโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดสงขลา) สินค้าคงเหลือ สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ลูกหนี้หมุนเวียนอื่น และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น ลดลงจากเงินลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ลูกหนี้การค้า เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน             หนี้สินรวม 471.8 ล้านบาท ลดลง 6.3 ล้านบาท จากภาษีเงินได้นิติบุคคลค้างจ่าย เจ้าหนี้การค้า และหนี้สินตามสัญญาเช่า เพิ่มขึ้นจากเจ้าหนี้หมุนเวียนอื่น ประมาณการหนี้สินไม่หมุนเวียนสำหรับผลประโยชน์พนักงาน หนี้สินไม่หมุนเวียนอื่น และหนี้สินอนุพันธ์             ณ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือจำนวน 882.3 ล้านบาท ลดลงจาก 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 21.5 ล้านบาท โดยมีกระแสเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน 580.3 ล้านบาท กระแสเงินสดสุทธิใช้ออกไปในกิจกรรมลงทุน 176.6 ล้านบาท จากเงินลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น 170.0 ล้านบาท เงินสดจ่ายเพื่อซื้อที่ดิน อาคารและอุปกรณ์และสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน 368.3 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับ 21.7 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน 425.2 ล้านบาท จากการจ่ายเงินปันผล หนี้สินตามสัญญาเช่า และจ่ายดอกเบี้ยจากหนี้สินตามสัญญาเช่า

OKJ มีสัญญาณชะลอตัว รายจ่ายเพิ่ม-ศก.โตช้ากดดัน

OKJ มีสัญญาณชะลอตัว รายจ่ายเพิ่ม-ศก.โตช้ากดดัน

         หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า OKJ มุมมอง conservative มากขึ้น ปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย” (เดิม “ถือ”) และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 12.00 บาท (เดิม 15.00 บาท) อิง PER 25X (ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม 20X ให้ premium จากการเติบโตที่สูงกว่า 38% vs 27%) หรือเทียบเท่า PEG 0.7X (อิงการเติบโต +38% CAGR 2024-26E)          ทั้งนี้ บริษัทประกาศกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 39 ล้านบาท (+7% YoY, -35% QoQ) (ไม่มี consensus) โดยรายได้รวมอยู่ที่ 691 ล้านบาท (+39% YoY, +9% QoQ) หนุนโดยการขยายสาขาเพิ่มเติม ในขณะที่ GPM อยู่ที่ 44% (-0.8ppt YoY, -1.3ppt QoQ) จากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่มากขึ้นในต่างจังหวัด ส่วน SG&A อยู่ที่ 257 ล้านบาท (+49% YoY, +23% QoQ) จากค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขานอก กทม. และค่าใช้จ่ายการตลาดเปิดตัว Brand Admirer เป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการให้ลดลง QoQ ใน 4Q24จากผลประกอบการปี 2024 ที่ต่ำกว่าประมาณการเราราว -12%          ทำให้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E-26E ลงมาที่ 286 ล้านบาท (+42% YoY) และ 394 ล้านบาท (+38% YoY) ลดลงจากประมาณการเดิม -21%/-19% ตามลำดับ หลังแนวโน้ม GPM อาจขยายตัวช้ากว่าที่เคยประเมิน (4Q24 ลดลง YoY, QoQ) และสภาวะเศรษฐกิจอาจกระทบยอดขายโดยรวม ซึ่งเริ่มมีสัญญาณที่ต้องระวังหลัง SSSG ใน 4Q24 -1.8%หลังจาก IPO ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น +133% และยังคง outperform SET ราว +6% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา          อย่างไรก็ตามผลประกอบการ 4Q24 ที่ออกมาค่อนข้างหน้าผิดหวัง แม้ค่าใช้จ่ายอาจเป็น one time แต่ SSSG -1.8% เป็นสัญญาณที่ต้องระวัง ในขณะที่ปัจจุบันเทรด PER 33X เทียบการเติบโตระดับ 38% CAGR2024-26E มีแนวโน้มที่ตลาดจะให้ discount ที่มากกว่านี้จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวมีโอกาสกระทบยอดขายและแผนการขยายสาขา ทำให้ราคาหุ้นในระดับปัจจุบันมีความเสี่ยง จึงปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย”

ASL คาด SET แกว่งตัว Sideway กรอบ 1,250-1,270 จุด

ASL คาด SET แกว่งตัว Sideway กรอบ 1,250-1,270 จุด

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด มองแนวโน้ม SET Index คาดว่าแกว่งตัวในกรอบ Sideway ระหว่าง 1,250-1,270 จุด โดยเมื่อวานนี้ตลาดปรับตัวลงและยังคง outperform ภูมิภาคจากปัจจัยภายใน หลังจากที่มีประเด็น CPALL จะร่วมลงทุนกับ Seven&I ซึ่งเป็นเจ้าของ 7-Eleven ในญี่ปุ่น โดยการกู้ซิตี้แบงก์และแบงก์ออฟอเมริกา ร่วมสนับสนุนวงเงินกู้ทั้งนี้คาดว่า CPALL จะพิจารณาลงทุนราว 5 แสนล้านเยน ราคาหุ้นของ CPALL ปรับตัวลงต่อเนื่องจากความกังวลว่า การเข้าร่วมดีลนี้อาจกระทบกำไรจากภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น          ขณะที่เงินเฟ้อในเดือนมกราคมออกมาตามคาด โดย Headline +1.32% YoY และ Core +0.83% YoY ซึ่งมีปัจจัยหลักจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น เนื่องจากฐานราคาที่ต่ำในปีที่ผ่านมา รวมถึงราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาผลไม้สด เครื่องประกอบอาหาร และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์          ส่วนแนวโน้มในเดือนกุมภาพันธ์คาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในกรอบ 1.1-1.2% และคาดว่าเงินเฟ้อทั้งปีจะอยู่ในกรอบ 0.3-1.3% ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ BoE (ธนาคารกลางอังกฤษ) มีมติลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาดสู่ระดับ 4.50% และกำลังอยู่ในช่วงติดตามผลประกอบการและมุมมองผู้บริหารของกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากมีประเด็นการพัฒนา AI จาก DeepSeek          ติดตาม: ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมกราคมของสหรัฐฯ และการแก้ไขเงินเฟ้อเดือนมกราคมของสหรัฐฯ ปัจจัยต่างประเทศ (0) ตลาดรอผลประกอบการกลุ่ม Tech ปัจจัยในประเทศ (0) เงินเฟ้อม.ค.ตามคาด (0) จับตาดีล CPALL -และ Seven&I

CPALL จ่อซื้อ Seven & I ญี่ปุ่น คาดกระทบกำไร7-9%ต่อปี

CPALL จ่อซื้อ Seven & I ญี่ปุ่น คาดกระทบกำไร7-9%ต่อปี

          หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า กลุ่มทุนที่จะเข้าซื้อกิจการ Seven & I ในญี่ปุ่นกำลังระดมทุน โดยติดต่อ Citibank และ Bank of America เพื่อสนับสนุนวงเงินกู้           ขณะที่ CPALL กำลังพิจารณาลงทุน 5 แสนล้านเยน ในดีลที่ตระกูลอิโตะและอิโตชูมีแผนเสนอราคาซื้อสูงสุด 9 ล้านล้านเยน โดยเงินทุนผู้ถือหุ้นรวมอยู่ที่ 4 ล้านล้านเยน (ตระกูลอิโตะ 5 แสนล้านเยน, อิโตชูกว่า 1 ล้านล้านเยน ส่วนที่เหลือจากการกู้ยืม) นอกจากนี้ ยังมีความสนใจเข้าร่วมจาก Apollo Global Management, KK&R & Co. และธนาคารใหญ่ในญี่ปุ่นอีกหลายแห่ง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์)           ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นลบต่อประเด็นการลงทุนนี้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.3 พันล้านบาทต่อปี สูงกว่าส่วนแบ่งกำไรที่คาดว่าจะได้รับประมาณ 2.0 พันล้านบาทต่อปี ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2025E-26E อาจลดลง 7-9% แม้ว่าจะยังต้องรอดูรายละเอียดของข้อตกลงและโอกาสสร้าง synergy อื่น ๆ แต่ภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นถือเป็นความเสี่ยงสำคัญโดย D/E จะสูงขึ้นเป็น 1.23x (จาก 3Q24 ที่ 0.88x) มองว่าส่งผลให้ราคาหุ้นมีแนวโน้มถูกกดดันในระยะสั้นต่อ           อย่างไรก็ตามต้องติดตามความชัดเจนและรายละเอียดเพิ่มเติมของดีลนี้ต่อ ปัจจุบันประมาณการกำไร 2024E/25E อยู่ที่ 2.5 และ 2.7 หมื่นล้านบาท โต +33%/+11% YoY แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 86.00 บาท อิง PER ปี 2025E ที่ 28x (หรือเท่ากับ -0.8SD below 5-yr avg. PER

[Vision Exclusive] FTE ไฟแรง! เจาะดาต้าเซ็นเตอร์ทำเงิน

[Vision Exclusive] FTE ไฟแรง! เจาะดาต้าเซ็นเตอร์ทำเงิน

          หุ้นวิชั่น - FTE เจาะกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บิ๊กบอส "ทักษิณ ตันติไพจิตร" เล็งดาต้าเซ็นเตอร์ ชี้มูลค่าตลาดอุปรกณ์ดับเพลิง 200 ล้านบาทต่อปี ส่องแนวโน้มรายได้ปี 68 โต 10-15% กอด Backlog แน่น 550 ล้านบาท จ่อบุ๊กเข้าพอร์ต 80% ใส่เกียร์ลุยงานบริการทำเงิน ชี้อัตรากำไรสูง 25%           นายทักษิณ ตันติไพจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ FTE เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ทิศทางธุรกิจโดยรวมในประเทศ คาดว่าเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังคงอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวเป็นปัจจัยเดียวที่คาดว่าจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศได้ ขณะเดียวกัน ผู้บริหารมองว่าเศรษฐกิจโดยรวมอาจจะไม่เติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ และส่งผลให้การลงทุนในโปรเจ็กต์ต่างๆ ของภาครัฐอาจชะลอตัวลง           FTE ในปี 2568 มีกลยุทธ์การดำเนินงานต่อเนื่องจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยมุ่งขยายกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายและฐานลูกค้าในกลุ่มนี้อยู่แล้ว นอกจากนี้ FTE ยังตั้งเป้าเจาะฐานลูกค้ากลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าใต้ดิน การขยายสนามบิน และการลงทุนในศูนย์ข้อมูล (Data Center) โดยในปี 2567 บริษัทได้เริ่มจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ดับเพลิงในกลุ่มดังกล่าวแล้ว และมีอัตราการเติบโตที่ดี คาดว่าในปี 2568 จะมีการขยายตัวเพิ่มเติม           บริษัทมองมูลค่าตลาดของดาต้าเซ็นเตอร์เฉลี่ยที่ 200 ล้านบาทต่อปี โดยตั้งเป้าหมายจะมีมาร์เก็ตแชร์ราว 25% ในตลาดนี้ สำหรับแนวโน้มการเติบโตในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10-15% เมื่อเทียบกับปี 2567 จากการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะเดียวกัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 550 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2568 ประมาณ 80% จากงานที่มีอยู่           บริษัทมีความพร้อมด้านการบริหารจัดการสต็อกสินค้าและมีข้อได้เปรียบในการจัดส่งสินค้าทันทีตามความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งมุ่งมั่นในการดูแลซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง           นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากงานบริการหรือเซอร์วิสให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายรายได้จากธุรกิจเซอร์วิสในปี 2568 ที่ 75 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ทำได้ราว 50 ล้านบาท ทั้งนี้ ธุรกิจเซอร์วิสของบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ที่ดีถึง 25%

[Vision Exclusive] INET ตลาดคลาวน์โตต่อ ผุดดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่ม

[Vision Exclusive] INET ตลาดคลาวน์โตต่อ ผุดดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่ม

          หุ้นวิชั่น - INET ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโต 3,200 ล้านบาท จากธุรกิจ Cloud Service และ Digital Platform Service พร้อมตั้งเป้าเพิ่ม Virtual Machine Instance (VMI) เป็น 120,000 VMI และ ขยายฐานลูกค้าองค์กรเป็น 10,000 ราย รวมถึงพาร์ทเนอร์ซอฟต์แวร์เป็น 2,000 ราย คาดการณ์แนวโน้มไตรมาส 1/2568 เติบโตต่อเนื่องจากนโยบาย Cloud First Policy รัฐบาล และกระแสความปลอดภัยจาก Cloud Security แย้มแผนลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่ 4 ภาคอีสาน มูลค่า 2,500 ล้านบาท           นายวัลล์ชัย เวชชีวะดำรงค์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย (INET) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2568 เติบโตแตะ 3,200 ล้านบาท จากธุรกิจหลัก Cloud Service และ Digital Platform Service เป็นไปตามการให้บริการลูกค้าองค์กร ทั้งภาคเอกชน และภาครัฐ โดยบริษัทฯ วางเป้ายอด Virtual Machine Instance (VMI) ปีนี้ไว้ที่ 120,000 VMI เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 67 ที่อยู่ประมาณ 64,000 VMI และลูกค้าองค์กรรวม 10,000 ราย จากปีก่อน 5,000 ราย รวมถึงพาสเนอร์ซอฟต์แวร์ เพิ่มเป็น 2,000 ราย จากปีก่อนอยู่ที่ 700 ราย           สำหรับแนวโน้มไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ คาดว่ายังเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รับแรงสนับสนุนจากนโยบาย Cloud First Policy ของรัฐบาล ที่ต้องการให้หน่วยงานของรัฐ และเอกชนมีการใช้งานคลาวด์ รวมถึงการพัฒนา นวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และส่งเสริมการใช้ AI อย่างปลอดภัย           ทั้งนี้ยังได้แรงสนับสนุนจากกระแสของ Security ด้วย เนื่องจาก Cloud Security มีความปลอดภัยสูง ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกมาใช้มากขึ้น อีกทั้งลูกค้าจากต่างประเทศ ก็ย้ายเข้ามาใช้บริการคลาวด์ในไทยมากขึ้น เนื่องจากมีราคาถูก           ปัจจุบันบริษัทฯ มียอด VMI อยู่ประมาณ 70,000 VMI คาดว่า ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 80,000 VMI ได้ ซึ่งหากเป็นไปตามคาดการณ์ บริษัทฯ ก็เตรียมดำเนินการลงทุนก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ แห่งที่ 4 ในพื้นที่ภาคอีสาน วางงบลงทุนไว้ที่ 2,500 ล้านบาท           นายวัลล์ชัย กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 คาดเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งน่าจะสนับสนุนให้ทั้งปี 2567 เติบโตตามคาดการณ์ จากปี 2566 อยู่ที่ 2,100.28 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนของปี 2567 อยู่ที่ 1,848.90 ล้านบาท โดยบริษัทฯ คาดจะสามารถรายงานผลประกอบการปี 2567 ได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้           ด้านบล.หยวนต้า คาดการณ์กำไรปกติปี 2567 ของ INET ไว้ที่ 239 ล้าบาท เติบโต 3% เมื่อเทียบกับปี 2566 ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4/2567 คาดกำไรอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ส่วนปี 2568 คาดการณ์กำไรไว้ที่ 264 ล้านบาท คงคำแนะนำ “TRADING” ให้ราคาเหมาะสมณ สิ้นปี 2568 ที่ 5.40 บาทต่อหุ้น (P/BV ที่ 0.9 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในอดีต) รายงานโดย พชรธร ภูมิคำ รองบรรณาธิการข่าว Hoonvision

OKJ ปี 67 กำไรพุ่ง 43.4% ที่ 201.7 ลบ. ขยายสาขา – เปิดแบรนด์ใหม่ หนุน

OKJ ปี 67 กำไรพุ่ง 43.4% ที่ 201.7 ลบ. ขยายสาขา – เปิดแบรนด์ใหม่ หนุน

          นางสาวภวิษย์เพ็ญ เหล่ารัตนไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บัญชีและการเงิน บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ รายงาน สรุปผลการดำเนินงานของ บจ. ประจำปี 2567 ระบุว่า บริษัทฯ สร้างรายได้จากการขายเติบโตแข็งแกร่ง อยู่ที่ 2,421.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋ 8 สาขา ร้านโอ้จู้ซ 15 สาขา และร้านโอ้กะจู๋ แรปแอนด์โรล 1 สาขา ได้ตามเป้าหมาย           ในขณะเดียวกัน อัตราการเติบโตของรายได้จากการขายของสาขาเดิม (SSSG) ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อยู่ที่ร้อยละ 7.7           บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 1,077.8 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 39.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นไปตามยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง           กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย เติบโตอย่างมั่นคง อยู่ที่ 445.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 33.2 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง           ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่ง อยู่ที่ 201.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 43.4           บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 39.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 5.6 ลดลงร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง และค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการเตรียมเปิดสาขาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่มีการเปิดตัว Brand Admirer และเมนูใหม่ของแบรนด์โอ้จู้ซ ช่วงไตรมาส 4/67           บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิงบประจำปี 2567 อยู่ที่ 201.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 43.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 8.3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของรายได้จากการขยายสาขา รวมถึงการเปิดตัวแบรนด์ใหม่เพิ่มขึ้น โดยมีการบริหารค่าใช้จ่ายบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรสุทธิอาจเพิ่มขึ้นไม่สูงนัก เนื่องจากช่วงปลายปีมีการลงทุนกับค่าใช้จ่ายทางการตลาดและค่าใช้จ่ายในการขยายสาขาไปยังภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามที่กล่าวไปข้างต้น

GULF ประกาศจ่ายปันผล 1.01 บาท INTUCH จ่ายเงินปันผลพิเศษ 6.54 บาท ขึ้น XD วันที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568

GULF ประกาศจ่ายปันผล 1.01 บาท INTUCH จ่ายเงินปันผลพิเศษ 6.54 บาท ขึ้น XD วันที่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568

          หุ้นวิชั่น - รายงาน บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสด อัตราการจ่ายเงินปันผลพิเศษ 6.54 บาทต่อหุ้น กำหนด วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 19 กุมภาพันธ์ 2568 ส่วนวันที่จ่ายปันผล 04 มีนาคม 2568           ส่วนบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทฯ จะจ่ายปันผลเป็นเงินสด อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 1.01 บาทต่อหุ้น โดยจะจ่ายปันผลวันที่ 06 มี.ค.2568 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 19 กุมภาพันธ์ 2568

SINGER ไร้หนี้หุ้นกู้! ไถ่ถอนล็อตสุดท้าย 1,700 ลบ. ตามกำหนด

SINGER ไร้หนี้หุ้นกู้! ไถ่ถอนล็อตสุดท้าย 1,700 ลบ. ตามกำหนด

          SINGER เผยความแข็งแกร่งทางการเงิน ประกาศเดินหน้าไถ่ถอนหุ้นกู้ล็อตสุดท้ายวงเงิน 1,700 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 68 สนับสนุนให้ SINGER ไร้หนี้หุ้นกู้ ต้นทุนการเงินลดลง และพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผน ปักธงปีนี้ แตกไลน์สินค้าสู่กลุ่มเทคโนโลยีและพลังงาน ชูสินเชื่อ SG Finance+ เสริมทัพแผนโตก้าวกระโดด           นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินการชำระหุ้นกู้คืนที่ได้ออกและเสนอหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2564 ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2568 อัตราดอกเบี้ย 5.70% ต่อปี เสนอขายต่อนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งครบกำหนดไถ่ถอนชุดสุดท้ายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ บริษัทได้ชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นกู้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว สนับสนุนให้ภาพรวมต้นทุนการเงินลดลง และความสามารถการทำกำไรที่ดีขึ้นในปีนี้ทันที           อย่างไรก็ดี ในปี 2568 SINGER ก้าวสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัว กับการเป็นมากกว่าผู้นำธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าเชิงพาณิชย์ แต่กำลังเดินหน้าเต็มกำลัง ในการแตกไลน์สินค้าสู่กลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟน โซลาร์เซลล์ และ EV เสริมความแข็งแกร่งด้วยสินเชื่อ SG Finance+ ภายใต้แคมเปญ Lock Phone มาช่วยขยายเครือข่ายการขาย ลดกระบวนการขั้นตอนการทำเอกสาร ลดปริมาณการใช้กระดาษ เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการ ตั้งแต่กระบวนการขอสินเชื่อ การพิจารณา และการอนุมัติ ด้วยแพลตฟอร์มที่ทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่และบริหารความเสี่ยงรัดกุมในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อทยอยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้จุดเด่นจากรูปแบบการขายที่เข้าถึงลูกค้าได้ทั่วประเทศ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเท่าตัวจากปีที่ผ่านมา           “ในปีนี้เราเน้นต่อยอด SINGER ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกต่อไป เราพร้อมที่จะเติบโตไปกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน เช่น สมาร์ทโฟน รวมทั้ง เทรนด์พลังงานสะอาด ที่วันนี้แม้ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้บริโภค แต่เราเชื่อว่าจะเป็นเทรนด์อนาคตที่ SINGER จะไม่ตกขบวน พร้อมกับเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ” นายนราธิป กล่าวทิ้งท้าย [PR News]

RT คว้างานก่อสร้าง 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม  83.5 ลบ.

RT คว้างานก่อสร้าง 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม  83.5 ลบ.

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (RT) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับงานโครงการใหม่ ดังนี้ งานก่อสร้าง Earth Work - Slope Protection ทางหลวงหมายเลข 1095 ตอนแม่นะ-ท่าไคร้ ระหว่าง กม. 114+730 - กม. 123+780 , ทางหลวงหมายเลข 108 ตอนหนองแห้ง-แมสุริน ระหว่าง กม. 265+800 - กม. 265+970 ซ้ายทาง และทางหลวงหมายเลข 108 ตอนสะพานแม่นิด-ห้วยงู ระหว่าง กม. 191+000 - กม. 191+180 ขวาทาง จากเจ้าของโครงการ แขวงทางหลวงแม่ฮ่องสอน กรมทางหลวง มูลค่าโครงการ 63,514,300 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาสัญญา 7 ม.ค.-5 ก.ค.2568 งานก่อสร้าง Earth Work - Slope Protection ทางหลวงหมายเลข 2196 ตอนนางั่ว-ทุ่งสมอ ตอน 2 ระหว่าง กม. 31+860 - กม. 32+000 ซ้ายทาง และทางหลวงหมายเลข 2302 ตอนกอไผ่-บุ่งน้ำเต้า ระหว่าง กม. 6+225 - กม. 6+325 จากเจ้าของโครงการ แขวงทางหลวงเพชรบูรณ์ที่ 1 กรมทางหลวง มูลค่าโครงการ 19,990,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาสัญญา 21 ม.ค. - 19 มิ.ย.2568 และ 4 ก.พ. - 3 ก.ค.2568

SET ขายหนัก ดัชนีปิดที่ 1,262.07 จุด ต่ำสุดตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 63 เป็นต้นมา

SET ขายหนัก ดัชนีปิดที่ 1,262.07 จุด ต่ำสุดตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 63 เป็นต้นมา

          หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยมีแรงขายที่ขยายวงไปเรื่อยๆ จนถึง โรงไฟฟ้า ขณะที่แรงขาย DELTA+CPALL ยังคงดุเดือด เป็นสัญญาณการลดพอร์ตของนักลงทุน ทั้งๆที่ตลาดไม่ได้มีข่าวลบที่รุนแรงเข้ามาในตลาดในช่วงนี้ จึงบอกได้เพียงแค่ว่า เป็นแรงขายตัดขาดทุน หรือลดการลงทุนในตลาด ซึ่งจะทำให้ตลาดวันนี้ จะยังคงมีแรงขายอยู่ต่อไป จนกว่าจะมีข่าวบวกเข้ามาพยุงตลาดไว้           ตลาดสหรัฐฯ ลดความร้อนแรง หลังมีความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจ และงบบริษัทในตลาดบางตัวที่ออกมาผิดหวัง จนทำให้ Bond Yield และดอลล่าร์ อ่อนค่าลงมาสองวันติดๆกัน วันนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลก จะแกว่ง sideway(ยกเว้นไทย) เพื่อรอดูตัวเลข Non-farm Payroll ของสหรัฐฯ ในคืนนี้           โดยดัชนีดังกล่าว เป็นจุดต่ำสุด ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2563 เป็นต้นมา ที่ต่ำสุด 1,187 จุด

CPALL ร่วง 5% กังวลดีลซื้อกิจการ Seven and I กระทบกำไรปี 68-69 ราว 7-8% ต่อปี

CPALL ร่วง 5% กังวลดีลซื้อกิจการ Seven and I กระทบกำไรปี 68-69 ราว 7-8% ต่อปี

          หุ้นวิชั่น - บล.บัวหลวง ระบุ Bloomberg รายงานข่าวกลุ่ม CP อาจจะเข้าร่วมลงทุนซื้อกิจการ Seven and I ในสัดส่วน 5 แสนล้านเยน (1.1 แสนล้านบาท) ทั้งนี้ราคาหุ้น CPALL ทำจุดต่ำสุดที่ 46.75 บาท ลบ 3.25 บาท (-6.95%) ฝ่ายวิจัยมีมุมมองลบ ประเมินดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดจากดีลนี้จะสูงกว่าเงินปันผลที่ได้จากการลงทุนในระยะสั้น เป็น downside ต่อประมาณการกำไรปี 2568-2569 ราว 7-8% ต่อปี แนะนำ wait and see จนกว่ามีรายละเอียดดีลเพิ่มเติม

GPSC คาดกำไรปี68 แกร่ง ไซยะบุรี - COD หนุน โบรกเคาะเป้า 44 บ.

GPSC คาดกำไรปี68 แกร่ง ไซยะบุรี - COD หนุน โบรกเคาะเป้า 44 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ คาดกำไรปกติ 4Q67F เพิ่มขึ้นเด่นทั้ง QoQ, YoY ตาม GP ของ SPP เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ, YoY ตามต้นทุนก๊าซลดลง + ส่วนแบ่งกำไรจากไซยะบุรีเพิ่มขึ้นมาก ทำให้กำไรปกติทั้งปี +54%YoY คาดกำไรปกติทั้งปี FY68F ยังแข็งแกร่ง ด้วยตัวช่วยของส่วนแบ่งกำไรจากไซยะบุรีและการ COD ของ CFXD ซึ่งคาดช่วยชดเชยการปรับลดค่าไฟฟ้า ราคาหุ้นที่ลดลง -26%YTD สะท้อน Sentiment เชิงลบต่อนโยบายลดค่าไฟฟ้าไปแล้ว แนวรับ = 27/27.5 แนวต้าน = 30.5/32 GPSC | ซื้อ | TP=44 บ.

HMPRO ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว! คาดกำไรปีนี้โต 7% มีปันผล 4%

HMPRO ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว! คาดกำไรปีนี้โต 7% มีปันผล 4%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ระบุ HMPRO ผ่านพ้นจุดต่ำสุดใน 3Q67 ซึ่งได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง ฝนตกหนัก + น้ำท่วมฉุด Traffic ลดลง และจาก Fx Loss-Hedging เงินสกุลสหรัฐและหยวน คาดกำไร 4Q67 สดใส โต YoY และ QoQ โดย SSSG โฮมโปรและเมก้าโฮมฟื้นตัวดีขึ้นมาก รับผลบวกจากการซ่อมแซมบ้านหลังผ่านพ้นน้ำท่วม คาดกำไรปี 67 +1.2% ปี 68 +7% บวกกับคาด Dividend Yield ปีนี้เกิน 4% สูงสุดในกลุ่มค้าปลีก อีกทั้ง 1Q68 ได้รับผลบวกจาก E-Receipt แนวรับ = 8.2/8.35 แนวต้าน = 8.8/9 HMPRO | ซื้อ | TP=12.40 บ.

BDMS คาดกำไรปีนี้โต 8% โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 32 บ.

BDMS คาดกำไรปีนี้โต 8% โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 32 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ประเมินหุ้น BDMS คาดกำไร 9M67 +12%YoY จากรายได้กิจการรพ. เติบโต 8% YoY (ผู้ป่วยไทย +7%YoY, ต่างชาติ +11%YoY) และการควบคุมรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ • คาดกำไร 4Q67 +6%YoY จากรายได้โต 4%YoY โดยผู้ป่วยไทยเพิ่มขึ้น 3% YoY ผู้ป่วยต่างชาติโต 10% YoY หนุนกำไรปีนี้โต 10% • คาดรายได้ปี 68 โตราว 6-7% ขณะกำไรเติบโตราว 8% แม้ได้รับผลกระทบจากฐานรายได้ที่สูงในปีก่อน และภาวะเศรษฐกิจในไทยยังชะลอตัว • แนวรับ = 22/22.3 แนวต้าน = 23.5/24 • BDMS | ซื้อ | TP=32 บ.

PRTR เผยปี 68 ตลาด Outsource ดีมานด์ยังสูง

PRTR เผยปี 68 ตลาด Outsource ดีมานด์ยังสูง

           หุ้นวิชั่น - PRTR เผยปี 68 สัญญาณดี มองภาพรวมอุตสาหกรรมการจัดจ้างพนักงาน (Outsource) และสรรหาพนักงาน (Recruitment) มีความต้องการเพิ่มขึ้น สอดรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม            ขณะที่ การลงทุนเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทำให้หลายองค์กรเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง โดย PRTR วางเป้าหมายขยายฐานลูกค้าไปในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เล็งภาคการบริการ ท่องเที่ยว สุขภาพ และความงาม รวมทั้ง เทคโนโลยี AI จะเข้ามามีบทบาทในการยกระดับงานบริหารบุคลากร            นางสาวริศรา เจริญพานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PRTR เปิดเผยว่า ในปี 68 ภาพรวมธุรกิจจัดจ้างพนักงาน (Outsource) ยังคงเป็นไฮไลท์ในการเติบโตของบริษัทสร้างสถิติใหม่ได้ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะยังมีความท้าทาย แต่หลายองค์กรยังคงขยายธุรกิจและต้องการบุคลากรเพื่อขับเคลื่อน ขณะที่ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ไม่ได้เข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ กลับช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสใหม่ๆ ในตลาดแรงงาน “การมาของเทคโนโลยี AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่คน แต่จะช่วยให้คนทำงานได้ดีขึ้น เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพ ในการสร้างสรรค์งานที่ต้องอาศัยทักษะมนุษย์ (Human Touch) ซึ่งเป็นสิ่งที่เทคโนโลยียังไม่สามารถทดแทนได้ทั้งหมด ประกอบกับ ในปัจจุบัน ผู้บริโภคเริ่มมองหา “Face-to-Face Experience” มากขึ้น เนื่องจากความอิ่มตัวกับระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน อีกทั้ง กระแสความกังวลเกี่ยวกับ AI ที่ถูกใช้ในรูปแบบการหลอกลวงหรือ Deepfake ทำให้ความต้องการปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์ต่อมนุษย์เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การพัฒนาคนในภาคการบริการ สามารถใช้ AI ให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่ได้มาแทนที่ เป็นสิ่งที่องค์กรมองหา” นางสาวริศรากล่าว ทั้งนี้ PRTR เป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรม Outsource ของไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาด 5-6% ในปี 67            ที่ผ่านมา พบว่า PRTR มีกลุ่มสายงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด คือ กลุ่มพนักงานขาย (PC) เป็นกลุ่มหลักของบริษัทฯ รวมทั้ง กลุ่มออฟฟิศ, วิศวกร, พนักงานไอที และ ลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Service) ผ่านฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมบริการ , สุขภาพและความงาน, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อีคอมเมิร์ซและไอที  รวมทั้ง ธนาคาร และบริษัทประกัน เป็นต้น            ขณะที่ การขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น เป็นอีกโอกาสสำคัญในการเติบโตในปีนี้  จึงตั้งเป้าขยายบริการ Outsource ไปยังฟังก์ชันงานใหม่ๆ เช่น แม่บ้าน , พนักงานขับรถ , พนักงานขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาและสุขภาพ รวมทั้ง ที่ปรึกษาด้านความงาม (Beauty Advisor - BA)            นอกจากนี้ PRTR เป็นหนึ่งในผู้นำงธุรกิจบริการสรรหาพนักงาน (Recruitment) ที่มีฐานข้อมูลผู้สมัครกว่า 600,000 คน ทำให้เชี่ยวชาญในการสรรหาพนักงานหลากหลายตำแหน่ง รวมทั้ง ธุรกิจในกลุ่มในการให้บริการด้านซอฟต์แวร์ตอบโจทย์การบริหารบุคลากร การจัดทำเงินเดือน และการฝึกอบรม            ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวที่ 3.0% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดี คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้อยู่ที่ 39 ล้านคน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความต้องการแรงงานในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมทั้ง การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนผ่านมาตรการของบีโอไอ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นโอกาสของ PRTR “ธุรกิจ Outsource กลายเป็นทางเลือกสำคัญขององค์กรในยุคที่เศรษฐกิจยังมีความผันผวน เพราะช่วยลดต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคล และเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารงาน PRTR มั่นใจว่าเรายังสามารถขยายตลาดได้อีกมาก และจะเดินหน้าพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับความต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่ นำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ช่วยแก้ปัญหาด้านความไม่เพียงพอของบุคลากร ช่วยลดต้นทุนการบริหาร และเพิ่มประสิทธิภาพของผลลัพธ์การทำงานจากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของบุคลากรที่จัดจ้าง ตอกย้ำความเป็นผู้นำ Total HR Solutions ในประเทศไทย ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้บริการทั้งในและต่างประเทศ” นางสาว ริศรา กล่าวทิ้งท้าย [PR News]

KKP ชี้ ศก.ไทย ปีนี้ โตแค่ 2.6% ท่องเที่ยวแผ่ว-หนี้ครัวเรือนกดดัน

KKP ชี้ ศก.ไทย ปีนี้ โตแค่ 2.6% ท่องเที่ยวแผ่ว-หนี้ครัวเรือนกดดัน

          ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (Pipat Luengnaruemitchai, Chief Economist, KKP Research, Kiatnakin Phatra Financial Group) เผยว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.6% ชะลอตัวจากปีก่อนหน้าที่คาดไว้ที่ 2.7% เล็กน้อย โดยมีแรงส่งสำคัญจากภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ อย่างไรก็ตาม แรงส่งนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากการฟื้นตัวกลับมาเกือบปกติของภาคท่องเที่ยว ในขณะที่ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมและภาคส่งออกยังเป็นแรงกดดันที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ การหดตัวของสินเชื่อภาคธนาคารจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาวะเศรษฐกิจกำลังส่งผลทางลบต่อการบริโภคสินค้าคงทนและภาคอสังหาริมทรัพย์           ด้านปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายของสหรัฐฯ ที่อาจใช้นโยบายการค้าเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรอง โดยไทยติดอันดับที่ 11 ของประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด และอาเซียนเองก็เกินดุลการค้าเป็นอันดับ 2 รองจากจีนเท่านั้น ทำให้ไทยและอาเซียนอาจตกเป็นเป้าของมาตรการทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และส่งผลต่อภาคการค้าไทยได้ ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มสินค้าส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบแล้ว ไทยอาจถูกกดดันให้เปิดตลาดบางกลุ่มสินค้า รวมถึงสินค้าเกษตรที่ไทยมีอัตราภาษีและมาตรการกีดกันการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในขณะที่ไทยอาจได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานลงทุน จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมในการรับมือและเจรจาต่อรองให้เกิดผลดีที่สุด           ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีไม่แน่นอน ดร.พิพัฒน์ มองว่า การใช้นโยบายการคลัง และนโยบายการเงินจะมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับความเสี่ยง นอกจากนี้ การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนการลงทุนและยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจยังมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยคาดว่าน่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในปีนี้ และรัฐบาลยังคงใช้นโยบายขาดดุลด้านการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ           อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดด้านการคลังกำลังมีมากขึ้นและหนี้สาธารณะที่ขยับใกล้แตะเพดาน 70% ของ GDP รัฐบาลอาจต้องมีการทบทวนว่าจะเลือกใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรเพื่อให้เกิดผลดีที่สุดต่อเศรษฐกิจ และเนื่องจากระดับรายได้ภาษีของรัฐบาลที่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ ตลอดจนความจำเป็นในการใช้จ่ายภาครัฐที่มีมากขึ้น ทำให้จำเป็นต้องปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐ ขยายฐานภาษี และปฏิรูประบบภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ ดูแลเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ส่องกลยุทธ์ปี 68 KKP มุ่งสินเชื่อคุณภาพ-ยั่งยืน

ส่องกลยุทธ์ปี 68 KKP มุ่งสินเชื่อคุณภาพ-ยั่งยืน

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เผยความคืบหน้าในการรับมือกับความท้าทาย และวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเป็นไปอย่างชะลอตัว และความผันผวนในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง KKP ได้วางมาตรการเพื่อยกระดับผลการดำเนินงานและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่มีความไม่แน่นอนสูง รับมือความท้าทายด้วยความแข็งแกร่ง           นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 คุณภาพของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อใหม่ของธนาคารมีแนวโน้มดีขึ้น ฟื้นตัวจากผลกระทบเรื่องราคารถยนต์ตกต่ำช่วงหลังโควิด ส่งผลให้ผลการดำเนินงานโดยรวมของพอร์ตสินเชื่อเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ช่องทางออนไลน์ของธนาคารในด้านเงินฝากและการลงทุนเช่น KKP Savvy, KKP Edge และ Dime! ยังเติบโตเป็นที่น่าพอใจ พร้อมกับที่การเปิดตัวบัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศได้ช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกในการบริหารจัดการต้นทุนอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ           “ปี 2567 เป็นปีแห่งการปรับสมดุลสำหรับ KKP โดยแม้จะมีความท้าทาย แต่ KKP ได้มุ่งเน้นไปที่การวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพ เร่งเสริมรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจากการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน และการสร้างโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งมอบคุณค่าในระยะยาวให้แก่ลูกค้าและผู้ถือหุ้น” นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (Mr. Aphinant Klewpatinond, Chief Executive Officer, Kiatnakin Phatra Financial Group) กล่าว           ทั้งนี้ แม้ในปี 2567 ธุรกิจตลาดทุนของ KKP ต้องเผชิญกับความผันผวนท่ามกลางภาวะขาลงของตลาดหลักทรัพย์ไทย อย่างไรก็ตาม รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังคงเพิ่มสูงขึ้น และสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำและการบริหาร (Asset under Advice/Asset under Management) ของ KKP เติบโตได้ดี คิดเป็นสินทรัพย์รวมกว่า 1 ล้านล้านบาท จากการให้บริการผ่านบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเป็นผู้นำด้านการลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าในลักษณะที่เป็นตลาดหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์นอกตลาด (Private Markets) ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน           ในด้านวานิชธนกิจ ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของ KKP ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะบริการที่ปรึกษาและการทำธุรกรรมสำคัญ เช่น การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของรูปแบบธุรกิจของธนาคาร เช่นเดียวกับที่ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ ยังคงครองส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่งของตลาดอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์สำหรับปี 2568 มุ่งเน้นคุณภาพและเสถียรภาพ           สำหรับกลยุทธ์ปี 2568 ธนาคารมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างพอร์ตสินเชื่อที่มีเสถียรภาพ ลดต้นทุนด้านเครดิตและบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม เพื่อที่จะสามารถตอบสนองต่อความท้าทายจากระดับหนี้ครัวเรือนของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยแม้ว่าแนวทางการเติบโตอย่างระมัดระวัง อาจส่งผลให้ขนาดของพอร์ตสินเชื่อและรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจสินเชื่อลดลงในระยะสั้น แต่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาวของธนาคารในการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืน           “ในปี 2568 เรายังคงมุ่งเน้นที่คุณภาพและความยั่งยืนของพอร์ตสินเชื่อ ธนาคารทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อสร้างโอกาสแก่ลูกค้าที่มีศักยภาพ และช่วยเหลือลูกค้าที่ดีในการรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ภายใต้แนวทางการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทางการเงินควบคู่ไปกับการปล่อยสินเชื่อที่มีความรับผิดชอบ" นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (Mr.Philip Chen Chong Tan, President, Kiatnakin Phatra Bank Public Company Limited) กล่าว           ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2566 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือกับลูกค้าคุณภาพที่ได้รับผลกระทบจากภาวะทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด ซึ่งรวมถึงผู้เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ทยอยเข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง ต่อยอดจุดแข็ง           KKP ยังคงเป็นผู้นำด้านการบริหารความมั่งคั่งที่ได้รับความไว้วางใจ ด้วยผลงานความสำเร็จที่ผ่านมาจากการช่วยสร้างโอกาสที่มากขึ้นให้กับนักลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินทั่วโลก ดังแสดงให้เห็นผ่านรางวัล Thailand’s Best Private Bank จากหลากหลายนิตยสารทางการเงินระดับสากล KKP มีความมั่นใจว่ากลยุทธ์ที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางและการนำเสนอนวัตกรรมด้านการเงินการลงทุนอย่างต่อเนื่องจะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำและการบริหาร           "เสถียรภาพทางการเงินและการจัดสรรทรัพยากรด้วยความระมัดระวังของเรา ช่วยให้สามารถรับมือกับความท้าทายของตลาด พร้อมๆ กับวางรากฐานด้านระบบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในอนาคต KKP จึงอยู่ในตำแหน่งที่จะสร้างการเติบโตและมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายของเรา" ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (Mr. Preecha Techarungchaikul, Head of Finance and Budgeting, Kiatnakin Phatra Bank Public Company Limited) กล่าว

TIDLOR คาดผลงานแกร่งสุดในกลุ่ม สินเชื่อโต-ต้นทุนเครดิตลด หนุน โบรกเคาะเป้า 23 บ.

TIDLOR คาดผลงานแกร่งสุดในกลุ่ม สินเชื่อโต-ต้นทุนเครดิตลด หนุน โบรกเคาะเป้า 23 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ TIDLOR โดยคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2567 จะแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มธุรกิจจำนำทะเบียน เนื่องจากต้นทุนด้านเครดิตลดลงมาอยู่ที่ 3.3% จากระดับ 3.9% ในไตรมาส 3 และ 4.2% ในไตรมาส 4 ปี 2566 ประกอบกับการเติบโตของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับปี 2568 เราคาดว่าจะเป็นปีที่บริษัทใช้กลยุทธ์แบบ Selective และระมัดระวัง โดยปัจจัยการเติบโตจะมาจากการลดลงของต้นทุนด้านเครดิตและการปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อมากกว่าการเติบโตของรายได้ นอกจากนี้ TIDLOR ยังมีรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกันที่เติบโตดีมาช่วยสนับสนุนในปี 2568 อีกด้วย TIDLOR : ราคาพื้นฐาน 23.00 บาท

เงินเฟ้อไทย ม.ค. เร่งตัวขึ้นต่อ กด กนง. คงดอกเบี้ย หนุนกลุ่ม BANK บวกรับอานิสงส์

เงินเฟ้อไทย ม.ค. เร่งตัวขึ้นต่อ กด กนง. คงดอกเบี้ย หนุนกลุ่ม BANK บวกรับอานิสงส์

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุ กระทรวงพาณิชย์เผยเงินเฟ้อไทยเดือนม.ค.68 - Core CPI ขยายตัว 0.83% y-y เท่ากับตลาดคาด และเร่งตัวขึ้นจาก 0.79% y-y ในเดือนธ.ค.67 - Headline CPI ขยายตัว 1.32% y-y เร่งตัวขึ้นจาก 1.23% y-y ในเดือนธ.ค.67 และมากกว่าตลาดคาดที่ 1.3% y-y           ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เนื่องจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นผลจากฐานราคาต่ำในปีที่ผ่านมา ประกอบกับราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้นจากราคาผลไม้สด เครื่องประกอบอาหาร และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นสำคัญ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเดือนก.พ.68 คาดว่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกับเดือนม.ค.68 โดยปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ได้แก่ 1. ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาท/ลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2. การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าโดยสารเครื่องบิน 3. สินค้าเกษตรบางชนิดราคายังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากปริมาณผลผลิตยังไม่เข้าสู่ระดับปกติ หลังจากได้รับผลกระทบของภัยแล้วอย่างยาวนาน โดยเฉพาะพืชสวน เช่น มะพร้าว ขณะที่ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อชะลอลง ได้แก่ 1. ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการปรับลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนและการตรึงราคาก๊าซ LPG 2. ฐานราคาผักสดในปีก่อนหน้าอยู่ในระดับสูง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ขณะที่ในปี 68 สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกมาขึ้น ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ระบบมากขึ้น 3. การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ           ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงลบต่อการเผยตัวเลขข้างต้น หลังเงินเฟ้อไทยอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ส่งผลให้ทางฝ่ายมองเป็น Sentiment เชิงลบ ท่ามกลางแรงกดดันทางด้านกำลังซื้อและต้นทุนของภาคธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ในทางกลับกัน ทางฝ่ายมองเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มธนาคาร ซึ่งจะได้ประโยชน์ในแง่อัตราผลตอบแทนสินเชื่อจะไม่ปรับลดลง Strategist Pick: BBL, SCB, KBANK, KTB

CH ก้าวสู่ 100 ปีอย่างยั่งยืน กางแผนปี 68 เป้ายอดขาย 2 พันลบ. 

CH ก้าวสู่ 100 ปีอย่างยั่งยืน กางแผนปี 68 เป้ายอดขาย 2 พันลบ. 

           หุ้นวิชั่น - CH พร้อมก้าวสู่ 100 ปี อย่างยั่งยืน กางแผนธุรกิจปี 2568 มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้   แบรนด์ Bangkok Tasty ประเภทกลุ่มขนมเพื่อสุขภาพ ผลไม้อบแห้งปรุงรส ผลไม้อบกรอบ อัดกลยุทธ์ออนไลน์เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว ตอบโจทย์เทรนด์รักสุขภาพ ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ปลากระป๋อง กลุ่มผลิตภัณฑ์ผลไม้อบแห้ง เน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม ชูมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์ เดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ ออกงาน Expo ทั้งใน และต่างประเทศ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้นโยบาย ESG วางเป้ายอดขาย 2,000 ล้านบาท รักษาอัตรากำไรขั้นต้นระดับ 16%            นายศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH ผู้ผลิตและจำหน่ายผลไม้และอาหารแปรรูป ได้แก่ ผลไม้อบแห้ง ปลากระป๋อง และขนมเพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 2568  บริษัทวางเป้าหมายยอดขายรวมที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% พร้อมรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับ 16% มุ่งเน้นกลยุทธ์รักษาฐานลูกค้าเดิม เดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งในและต่างประเทศ  พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อสร้างความหลากหลาย เพิ่มตัวเลือกให้แก่ผู้บริโภค เสริมศักยภาพการแข่งขัน โดยมีสัดส่วนรายได้แบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมเพื่อสุขภาพ 1% ผลิตภัณฑ์ผลไม้อบแห้ง 90% และผลิตภัณฑ์ปลากระป๋อง และอื่นๆ อีก 9%            โดยเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมเพื่อสุขภาพ ผลไม้อบแห้งปรุงรส ผลไม้อบกรอบ ภายใต้แบรนด์ Bangkok Tasty ที่มีรสชาติหลากหลายตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพและความสะดวกสบาย ควบคู่ไปกับการขยายช่องทางการจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้น เข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ ควบคู่กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวในวงกว้างมากขึ้น            ธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์ผลไม้อบแห้ง มุ่งเน้นการรักษาความสัมพันธ์กับฐานลูกค้าเดิมทั้งรายใหญ่ และรายย่อย ยึดมั่นมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ การส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนดเวลา ในกรอบราคาที่เหมาะสม พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ ในกลุ่มประเทศ อเมริกาและยุโรป เพิ่มขึ้น            สำหรับธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลากระป๋อง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ด้วยขั้นตอนกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐาน เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ นำเสนอรสชาติหลากหลาย เป็นที่ยอมรับระดับสากล อีกทั้ง ขยายตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก            ทั้งนี้ มุ่งมั่นดำเนินงานภายใต้นโยบาย ESG ผนวกกับการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (SDGs) ผ่านแผนพัฒนาที่ครอบคลุมทั้ง 3 มิติ อาทิ ด้านสิ่งแวดล้อม ดำเนินการปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตซึ่งจะใช้น้ำในการผลิตน้อยลง และเตรียมพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรภายในบริษัท เช่น ให้สวัสดิการพิเศษนอกเหนือจากกฎข้อบังคับของกระทรวงแรงงานไทย เพื่อการลดมลภาวะอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความยั่งยืนให้แก่สังคมในระยะยาว และเพื่อก้าวเข้าสู่ปีที่ 100 ของ CH อย่างยั่งยืน “ภาพรวมตลาดผลไม้อบแห้งและอาหารแปรรูปมีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้การแข่งขันในประเทศจะทรงตัว แต่การแข่งขันด้านราคากับประเทศเพื่อนบ้านรุนแรงขึ้น CH มั่นใจในคุณภาพและประสบการณ์ที่มีมายาวนาน 100 ปี โดยปีนี้จะมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ทำการตลาดเชิงรุกทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงบุกตลาดใหม่เพื่อสร้างการรับรู้และเพิ่มยอดขายสร้างเติบโตได้ในอนาคต” นายศักดา กล่าว

“โกลเบล็ก” ถอดสูตรลงทุนเดือนกุมภาพันธ์  คัดหุ้น 2 ธีมน่าลงทุน “รับอานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง”

“โกลเบล็ก” ถอดสูตรลงทุนเดือนกุมภาพันธ์ คัดหุ้น 2 ธีมน่าลงทุน “รับอานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง”

          หุ้นวิชั่น - บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยเดือน ก.พ. แกว่งตัว Sideway Down จากแรงกดดันนโยบายทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับสหภาพยุโรป (EU) ประกอบกับนักลงทุนเฝ้าติดตามการรายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2567 ของบริษัทจดทะเบียน จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี 1,250-1,320 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น 2 ธีมเด่นได้อานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง             นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ว่าดัชนี SET แกว่งตัวในลักษณะ Sideway Down โดยมีแรงกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยืนยันเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับสหภาพยุโรป (EU) "อย่างแน่นอน" ตอกย้ำความไม่พอใจเกี่ยวกับการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับ EU รวมไปถึงการที่เขามองว่า EU นำเข้ารถยนต์และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ น้อยเกินไป พร้อมทั้งเตือนไปยังประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ว่าอย่าคิดเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินอื่นแทนดอลลาร์สหรัฐ ถ้าไม่อยากถูกเก็บภาษีนำเข้า 100% และอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการควบคุมเพิ่มเติมในการขายชิปของอินวิเดีย (Nvidia) ให้กับจีน โดยระบุว่าการหารือยังอยู่ในขั้นต้น           ล่าสุดทางประเทศต่างๆ มีท่าทีว่าจะออกมาตรการเพื่อตอบโต้ โดยนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดาประกาศว่าจะตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯในอัตรา 25% ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องดื่มจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่เม็กซิโกประกาศว่าจะตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน ส่วนรัฐบาลจีนประกาศว่าจะยื่นคำร้องต่อ WTO เพื่อคัดค้านมาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ ซึ่งต้องจับตาใกล้ชิดว่าจะมีการลดหย่อนผ่อนปรนหรือไม่ อย่างไร           ประกอบกับนักลงทุนยังติดตามการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แม้ว่าทาง สศค.จะมีการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้ถึง 3.5% จากกรอบ 2.5 - 3.5% และมีค่ากลางเฉลี่ย 3% ได้รับปัจจัยบวกจากการบริโภคภาคเอกชน, การส่งออก, การท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐและเอกชน ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2567 โต 2.5% ขณะที่ภาระหนี้สินของ SME ไตรมาส 4/2567 มีสัดส่วนทรงตัวที่ 65% ชี้ให้เห็นถึงปัญหากำลังซื้อต่ำและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน และการแข่งขันสูงกระทบผู้ประกอบการ ดังนั้น ฝ่ายวิจัยคาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,250-1,320 จุด           สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนที่จับตาในประเทศ อาทิ สัปดาห์ที่ 2 หอการค้าไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน, ตลท. แถลงสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์, สัปดาห์ที่ 3 ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม, ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์, วันที่ 17 ก.พ. สภาพัฒน์ แถลง GDP ไตรมาส 4/67, สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ, สศอ.แถลงดัชนีอุตสาหกรรม, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, วันที่ 26 ก.พ. กำหนดประชุม กนง. ครั้งที่ 1/2568, วันที่ 28 ก.พ. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย           ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตา ได้แก่ สหรัฐ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อทั้ง 3 รายการได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งล้วนมีผลกับการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ           ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ  เช่น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy-E receipt ได้แก่ CRC, COM7, ERW, CENTEL, MINT, M, AU, TNP, SIS, SYNEX, IP และ HL รวมทั้งหุ้นปันผลสูง ได้แก่ SCB, TISCO, LH, RATCH และEGCO           ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาทองคำ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ว่า ราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากปัจจัยทางเทคนิค ขณะที่ความกังวลสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น หลังสหรัฐเริ่มใช้นโยบายการตั้งกำแพงภาษี ทำให้ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ประกอบกับประธานเฟดส่งสัญญาณไม่รีบร้อนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ           นอกจากนี้ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มชะลอลง หลังอิสราเอลและกลุ่มฮามาส สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา ทำให้ทองคำถูกลดความต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย มองกรอบทองคำเดือนนี้ 2,700 – 2,850 $/Oz แนะนำขายทำกำไรที่แนวต้าน เนื่องจากปรับตัวขึ้น 4%YTD

หุ้นโรงแรมราคาถูก โอกาสน่าลงทุน โบรกเลือกหุ้นเด่นผลงานโต MINT - SHR

หุ้นโรงแรมราคาถูก โอกาสน่าลงทุน โบรกเลือกหุ้นเด่นผลงานโต MINT - SHR

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี มีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มโรงแรม จาก i) คาดผลประกอบการ 4Q67F-1Q68F ของกลุ่มโรงแรมยังเติบโตได้เด่น YoY, QoQ จากแรงผลักดันทั้งอัตราการเข้าพัก และการปรับขึ้นค่าห้องพัก           ii) มูลค่าหุ้นที่น่าดึงดูด ด้วยราคาหุ้นในปัจจุบันปรับตัวลดลง -9% YTD ต่ำกว่า SET ส่งผลให้หุ้นซื้อขายที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเพียง -1 ถึง -2 SD ซึ่งเชื่อว่าได้สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของผลประกอบการของกลุ่ม และ ราคาปัจจุบันมีนัยยะว่ากลุ่มโรงแรมจะไม่สามารถปรับขึ้นค่าห้องพักได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป           ในขณะที่จากข้อมูลปัจจุบัน รายได้จากห้องพักยังเติบโตได้ระดับเลขตัวเดียวถึงสองหลัก โดยมองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาเป็นโอกาสในการลงทุน โดย MINT และ SHR ยังคงเป็นหุ้นแนะนำของฝ่ายวิจัย คาดกำไรปกติรวมของกลุ่ม 4Q67F เติบโต YoY, QoQ           คาดผลประกอบการรวมกลุ่มโรงแรมภายใต้การวิเคราะห์อยู่ที่ X พันล้านบาท ใน 4Q67F (+17% YoY, +28% QoQ) ซึ่งจะคละกันปัจจัยด้านฤดูกาลในแต่ละพื้นที่ ด้วยช่วง High Season ไทยและมัลดีฟส์ คาดว่าจะส่งผลให้โรงแรมที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเติบโตได้เด่น YoY, QoQ ได้แก่ ERW, AWC และ SHR           สำหรับ MINT ซึ่งเริ่มเข้าสู่ช่วง Low Season ในยุโรป แต่ผลจากไทย และมัลดีฟส์เข้ามาช่วยเสริม และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงตามภาระหนี้ ทำให้คาดกำไรยังเติบโต YoY, QoQ ในขณะที่ CENTEL คาดว่าจะลดลง YoY แต่เติบโต QoQ เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเตรียมเปิด/เปิดโรงแรมแห่งใหม่ในมัลดีฟส์ ดังนั้น หากกำไร 4Q67F เป็นไปตามที่คาดกำไรปกติของกลุ่มโรงแรมในปี 2567F จะอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท (+24% YoY) สูงกว่าระดับก่อนโควิดเท่าตัว เป็นผลมาจากความสามารถในการปรับขึ้นค่าห้องพัก และการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ราคาหุ้นสะท้อนมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการไปแล้ว - ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน หุ้นกลุ่มโรงแรมมีการปรับตัวลดลงมากกว่าดัชนี SET โดยปัจจุบันซื้อขายที่ -1.5 ถึง -2 SD ของค่าเฉลี่ยในอดีตสำหรับ EV/EBITDA และ PBV เชื่อว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นสะท้อนมุมมองตลาดที่กังวลต่อการเติบโตของกลุ่มโรงแรมที่คาดเข้าสู่ช่วงการเติบโตระดับปกติ คาดกำไรปกติ FY68F +14% YoY มาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท หลังจากช่วงฟื้นตัวอย่างมากในปี FY67 รวมถึงความกังวลต่อการปรับขึ้นค่าห้องพัก เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดเติบโตชะลอตัวมาอยู่ที่ 39.5-40 ล้านคน (+13% YoY) การแข่งขันในกลุ่มโรงแรมจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งโดยปกติเพิ่มขึ้น 3% ต่อปี -ได้ทำการศึกษาพบว่าระดับราคาหุ้นในปัจจุบันนั้นมีนัยยะเท่ากับว่า กลุ่มโรงแรมจะไม่สามารถเพิ่มหรือปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพักได้น้อยที่ 0-3% ตั้งแต่ปี 2568F เป็นต้นไป ซึ่งมองว่าเป็นมุมมองเชิงลบมากเกินไป เนื่องจากรายได้จากยอดจองในปัจจุบันยังเติบโตระดับ Mid-High Single Digit และคาดว่าจะต่อเนื่องไปถึงอย่างน้อยกลางปีนี้ เนื่องจากยังมีความต้องการในการท่องเที่ยว ทั้งนี้ได้ทำ Sensitivity Analysis ว่าการเปลี่ยนแปลงของอัตราค่าห้องพักทุกๆ1% ส่งผลต่อประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย 2-6% MINT และ SHR ยังคงเป็นหุ้นแนะนำ เนื่องจากคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการที่ยังคงเติบโตและค่อนข้างชัดเจน ไม่มีปัจจัยที่เป็นประเด็นที่ตลาดกังวล รวมทั้งมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดย MINT ซื้อขายที่ Xx EV/EBITDA และ X.x PBV และ SHR ซื้อขายที่ Xx EV/EBITDA และ X.x PBV ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบในกลุ่ม

ILM คาด Q4/67 กำไร 186 ลบ. มีปันผล 7% โบรกแนะซื้อ เป้า 21.5 บาท

ILM คาด Q4/67 กำไร 186 ลบ. มีปันผล 7% โบรกแนะซื้อ เป้า 21.5 บาท

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี มอง Neutral ต่อ ILM คาดกำไรสุทธิ 4Q67F ที่ 186 ลบ. ลดลง -5% y-y โดยรายได้ยังทรงตัว flat y-y แต่มีผลจากค่าใช้จ่ายเร่งขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงลงทุนขยายสาขาใหม่ โดยกำไร FY67F ใกล้เคียงประมาณการทั้งปี          ด้าน Outlook 1Q68F มองลดลง y-y, q-q อันเป็นผลชั่วคราวซึ่งเกิดจากการหยุดเช่าพื้นที่ขายของ Banana IT กอปรกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนขยายสาขาใหม่ เราคงประมาณการกำไรปี 67-69F และคงคำแนะนำ Buy ที่ TP25F 21.5 บาท อิง DCF (WACC 11%, Terminal Growth 2%) โดยจุดดีคือ Valuation ปัจจุบันซื้อขายบน PER 68F ที่ 9.5x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง -2SD และมีปันผลสูงราว 7% คาดกำไรสุทธิ 4Q67F ที่ 186 ลบ. (-5% y-y, -4% q-q)          เราคาด (ช่วงวันที่ 26 ก.พ.) ILM รายงานกำไรสุทธิ 4Q67F ที่ 186 ลบ. (-5% y-y, -4% q-q) ลดลง โดย i) รายได้ทรงตัว y-y โดย SSSG ค้าปลีกคาด +1% y-y, รายได้ออนไลน์คาด +8% y-y หักล้างกับงาน Project base ที่ลดลงจากฐานสูงใน 4Q66 ii) ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายสาขาใหม่, กิจกรรมส่งเสริมการขาย, และค่าใช้จ่าย Incentive พนักงานช่วงปลายปี ทั้งนี้ หากกำไรสุทธิ 4Q67F เป็นไปตามคาดจะทำให้กำไรสุทธิงวด FY67F อยู่ที่ 758 ลบ. เติบโต +5% y-y และคิดเป็น 100% ของประมาณการทั้งปี คาดแนวโน้มกำไร 1Q68F ลดลง y-y, q-q          เราคาดกำไรสุทธิ 1Q68F ลดลง y-y, q-q เนื่องจากผลของการหยุดเช่าพื้นที่จาก Banana IT ราว 10% ของพื้นที่เช่ารวม ในช่วงปลาย 4Q67F (เริ่มเห็นผลกระทบใน 1Q68F) ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างหาผู้เช่าทดแทนเพิ่มเติม รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากช่วงลงทุนขยายสาขา ขณะที่ลดลง q-q เป็นผลจาก Seasonality          ระยะยาวยังคงมุมมองปี 68F กำไรเติบโตในกรอบ +5% y-y โดยมี Growth Driver คือ -SSSG ที่ยังเป็นบวกแม้อุตสาหกรรมจะเผชิญความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจ -การเติบโตบนช่องทาง Online (เป้าปี 68F Double ถึง High single digit) -การขยายสาขาใหม่ทั้ง ILM และ Littlewalk คำแนะนำ          เราคงคำแนะนำ Buy และราคาเป้าหมาย (TP68F) ที่ 21.5 บาท อิง DCF (WACC 11%, Terminal Growth 2%) เทียบเท่า PER68F 14x บนราคาเป้าหมาย โดยปัจจุบัน ILM เป็นลักษณะหุ้นที่เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่มีจุดดีคือปันผลสูงราว 7% ในขณะที่ Valuation ปัจจุบันยังถูกบน PER ราว -2SD

SJWD ปิดบิ๊กดีล แอร์ ‘แคเรียร์’ มูลค่ากว่า 1.8 พันล้านบาท ยืนหนึ่งผู้นำโลจิสติกส์โซลูชันครบวงจร

SJWD ปิดบิ๊กดีล แอร์ ‘แคเรียร์’ มูลค่ากว่า 1.8 พันล้านบาท ยืนหนึ่งผู้นำโลจิสติกส์โซลูชันครบวงจร

          “บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์” หรือ SJWD ร่วมกับบริษัทในกลุ่ม ปิดดีลเมกะโปรเจกต์จาก “บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย)” และ “แคเรียร์ (ประเทศไทย)” ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศแบรนด์แคเรียร์และโตชิบา รวมมูลค่างานกว่า 1,850 ล้านบาท โชว์ศักยภาพผู้นำโลจิสติกส์โซลูชันครบวงจร สามารถให้บริการแบบ End to End Solution ตั้งแต่การจัดหาที่ดิน ออกแบบก่อสร้างและบริหารคลังสินค้า และให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจร คาดพร้อมส่งมอบคลังสินค้าหลังใหม่เพื่อเริ่มใช้งานภายในเดือนตุลาคมนี้ เตรียมต่อยอดนำเสนอบริการขนส่งข้ามแดน นำเข้าเครื่องปรับอากาศที่ผลิตจากต่างประเทศมาในไทย พร้อมรับดำเนินการพิธีการทางศุลากร           นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ผสานความร่วมมือกับ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด หรือ ALPHA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SJWD และบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI แสดงศักยภาพผู้นำการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายแบบครบวงจร จากการนำเสนอโซลูชันโลจิสติกส์ครบวงจรครอบคลุมทั้งคลังสินค้าและบริการโลจิสติกส์แบบ “End to End Solution” ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ครบถ้วน ล่าสุดได้ชนะการประมูลงานใหญ่จากบริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีความต้องการย้ายคลังสินค้าแห่งใหม่มายังพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางกะดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ โดยการประมูลงานดังกล่าวมีคู่แข่งที่เป็นบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำทั้งในประเทศและบริษัทข้ามชาติ           ทั้งนี้ ภายใต้สัญญาดังกล่าว บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการบริหารจัดการคลังสินค้าชั่วคราว พร้อมทั้งออกแบบและบริหารจัดการคลังสินค้าแห่งใหม่  การให้บริการขนส่งเครื่องปรับอากาศและอะไหล่ไปยังดีลเลอร์และลูกค้าของแคเรียร์ในประเทศไทย รวมถึงบริการ Fulfillment  และจัดส่งออเดอร์แก่ลูกค้าที่สั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น TikTok, Nocnoc, Shopee, Lazada เป็นต้น มีมูลค่างานกว่า 1,500 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 6 ปี 10 เดือน โดยเริ่มรับรู้รายได้จากบริหารจัดการคลังสินค้าชั่วคราวและการขนส่งสินค้าแล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ขณะที่บริษัทแอลฟาอินดัสเทรียลฯ เป็นผู้ก่อสร้างอาคารคลังสินค้าแห่งใหม่แบบ Built-to-Suit ตามความต้องการของลูกค้า และให้เช่าอาคารคลังสินค้าดังกล่าว โดยมีมูลค่างานกว่า 350 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 6 ปี โดยมีพื้นที่อาคารรวมกว่า 28,000 ตารางเมตร ปัจจุบันเริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบและเปิดใช้งานเดือนตุลาคมนี้           นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า การได้รับงานดีลใหญ่ครั้งนี้สะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทฯ ในด้านการให้บริการแบบครบวงจร และความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริษัทฯ รวมถึงการมี ALPHA เป็นพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ SJWD มีประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการคลังสินค้า การจัดส่งสินค้าไปยังดีลเลอร์และลูกค้าปลายทางได้ทั่วประเทศ ความพร้อมด้านฟลีทรถขนส่งกว่า 14,000 คัน และความสามารถในการให้บริการขนส่งสินค้าแบบ Next Day Delivery (จัดส่งด่วนวันถัดไป) ตรวจสอบสถานะการจัดส่งสินค้าได้แบบ Real Time ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นเรายังเพิ่มประสิทธิภาพของ Truck Utilization สำหรับขากระจายไปยังลูกค้าปลายทาง โดยการลงทุนกับรถขนส่งแบบใหม่จากเดิมที่เป็นรถกระบะ 4 ล้อปกติ และรถกระบะ 4 ล้อจัมโบ้ เป็นรถกระบะ 4 ล้อบิ๊กจัมโบ้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งต่อเที่ยวและตอบสนองการขนส่งที่คล่องตัวในเขตเมือง  รวมถึงมีศูนย์กระจายสินค้าในภาคต่าง ๆ  นอกจากนี้ บริษัทฯ นำเสนอบริการโลจิสติกส์โซลูชันเพิ่มเติมให้แก่ บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) และแคเรียร์ (ประเทศไทย) เช่น การขนส่งเครื่องปรับอากาศที่ผลิตจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย บริการขนส่งสินค้าข้ามแดน พร้อมรับดำเนินการพิธีการทางศุลกากร เป็นต้น เพื่อขยายการให้บริการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น           นายวรเศรษฐ์ ตันติศิริวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ และ บริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด มีความต้องการย้ายคลังสินค้าใหม่มายังพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับโรงงาน เพื่อลดระยะเวลาขนส่งและต้นทุนโลจิสติกส์ โดย SJWD ได้นำเสนอโซลูชันคลังสินค้าและโลจิสติกส์ที่ตอบโจทย์และตรงกับความต้องการของกลุ่มบริษัทฯมากที่สุด ประกอบกับมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการจัดการโลจิสติกส์แบบ B2B และ B2C มาป็นระยะเวลานาน จึงมีความเชื่อมั่นว่า SJWD จะส่งมอบคลังสินค้าแห่งใหม่ที่มีคุณภาพและบริการที่ดีเพื่อสนับสนุนศักยภาพด้านโลจิสติกส์และบริหารต้นทุนการขนส่งสินค้าที่ดียิ่งขึ้น [PR News]

CREDIT งบทำสถิติสูงสุด ยอดสินเชื่อแตะ 1.63 แสนล้านบาท โต 13%

CREDIT งบทำสถิติสูงสุด ยอดสินเชื่อแตะ 1.63 แสนล้านบาท โต 13%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า ปี 2024 CREDIT ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งกำไรสุทธิ 3,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% YoY และยอดสินเชื่อรวมที่ 163,159 ล้านบาท +13% YoY           สินเชื่อเติบโตสูงในส่วนของสินเชื่อบุคคล +126% YoY จากฐานต่ำในปีก่อนหน้า โดยมีฐานลูกค้าผลิตภัณฑ์ "ตังค์โต" ที่เติบโตสูงถึง 81% เป็นจำนวน 6.4 หมื่นล้านราย และได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรผู้ให้บริการเครือข่ายทรูมันนี่           ด้านคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับดี โดยมี %NPL เท่ากับ 4.4% เพิ่มขึ้นจากระดับ 4.2% ในปี 2023 แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายที่ระดับไม่เกิน 4.5% สาเหตุที่ %NPL เพิ่มขึ้นมาจากมูลค่าการขาย NPL ราว 1,900 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2,700 ล้านบาท           ความคิดเห็น : ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองบวกจากศักยภาพในการเติบโตของสินเชื่อ โดยมีเป้าหมายสินเชื่อเติบโตต่อเนื่องในระดับ 2 หลัก และ NIM คาดจะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นสู่ 8.5-9.0% จากระดับ 8.6% ในปี 2023 ส่วนเป้าหมาย credit cost คาดอยู่ที่ 2.5-3% เทียบกับ 2.65% ในปี 2024 ซึ่งลดลงจาก 2.94% ในปี 2023           ทั้งนี้ Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 2025 จะอยู่ที่ 4,081 ล้านบาท เติบโต 13% YoY ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายที่ P/BV 1.12x ซึ่งต่ำกว่าระดับ 1.3x ที่เป็นค่าเฉลี่ยของกลุ่มการเงินที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกัน และยังมี upside ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ”

SAVการบินกัมพูชาฮอต! กำไรเล็งทุบสถิติ 132 ล.

SAVการบินกัมพูชาฮอต! กำไรเล็งทุบสถิติ 132 ล.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง SAV ว่า แนวโน้มเติบโต ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินผลประกอบการ 4Q67F ของ SAV จะขยายตัวทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากปริมาณการจราจรทางอากาศของกัมพูชาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่เป็นไฮซีซัน และล่าสุดสายการบินในประเทศกัมพูชามีการรับเครื่องบินเพิ่มเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาได้เดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สนามบินนานาชาติของกัมพูชาก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยหนุนปริมาณการจราจรทางอากาศ ส่วนแนวโน้ม GPM คาดว่าจะแตะระดับ 52.5-53.0% ตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงนี้           ด้าน Bloomberg ประเมินกำไรสุทธิ 4Q67F จะทำสถิติใหม่ที่ 132 ล้านบาท (+5% QoQ, +46% YoY) ขณะที่ภาพรวมในปี 67-68F คาดว่าจะมีกำไรที่ 471 ล้านบาท (+59.5% YoY) และ 574 ล้านบาท (+25.5% YoY) ตามลำดับ โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 26.47 บาท ในเชิง Valuation มีความน่าสนใจ โดยราคาซื้อขายปัจจุบันอยู่ที่ FWD PE 12m ที่ 18.4 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มในภูมิภาคที่ 15 เท่า แต่ยังมองว่าเหมาะสมเนื่องจาก SAV มีการเติบโตของกำไรที่สูงกว่ากลุ่มในปี 67-68F และยังมีปัจจัยบวกที่รออยู่จากดีลการบริหารสนามบินในลาว และการเข้าร่วมประมูลของ AOT ดังนั้นจึงเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อสะสมระยะกลาง-ยาว แนวรับ 16.60/16.30 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา แนวต้าน 17.30/17.70/18.30

รัฐเล็งออกมาตรการท่องเที่ยวคนละครึ่ง หุ้นไหนรับโชค เช็กเลย!

รัฐเล็งออกมาตรการท่องเที่ยวคนละครึ่ง หุ้นไหนรับโชค เช็กเลย!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยรัฐบาล จะออก มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ในรูปแบบแบ่งจ่ายระหว่างนักท่องเที่ยวและรัฐบาล ในสัดส่วน 50 ต่อ 50 หรือจ่ายคนละครึ่งของค่าโรงแรมที่พัก คาดมีผลช่วงนอกฤดูกาล เพื่อรักษาโมเมนตัมภาคท่องเที่ยว           กรณีดังกล่าว บวกต่อหุ้นที่มีฐานธุรกิจโรงแรมในไทยสัดส่วนสูง ได้แก่ AWC (100%) ERW (88%) CENTEL (72%) SHR (18%) และ MINT (12%)           อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวระยะสั้นมีแนวโน้มถูกหักล้างจากภาพนักท่องเที่ยว 4 ก.พ. 25 อิงข้อมูล สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่แผ่วเหลือ 1.09 แสนคน แผ่วลงจากช่วง 1-3 ก.พ. ที่เป็นช่วงท้ายเทศกาลตรุษจีนซึ่งสูงเฉลี่ยวันละ 1.24 แสนคน กลยุทธ์ รอหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว การบิน ย่อตัวลงก่อน ค่อยหาจังหวะสะสมอีกครั้ง

จับตาเงินเฟ้อเดือน ม.ค. KSS คาดใกล้เคียงตลาด 1.3%

จับตาเงินเฟ้อเดือน ม.ค. KSS คาดใกล้เคียงตลาด 1.3%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า วันนี้ (6 ก.พ.) เงินเฟ้อ CPI ม.ค. 25 เงินเฟ้อทั่วไป ตลาดคาด 1.3%y-y, +0.1%m-m vs prev. +1.2%y-y, -0.18%m-m เงินเฟ้อพื้นฐาน ตลาดคาด +0.82%y-y, vs prev. +0.79%y-y           ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินมีโอกาสใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด อิงราคาน้ำมันเฉลี่ย ม.ค. 25 ค่อนข้างนิ่งบริเวณ 75 +/-เหรียญฯ ใกล้เดือนก่อนและช่วงเดียวกันปีก่อน เงินเฟ้อที่บวกขึ้นน่าจะเป็นสัญญาณเศรษฐกิจไทยที่ ค่อยๆฟื้นตัว โดยรวมจะเป็นภาพชี้นำความเชื่อมั่นการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หนุนหุ้น Domestic           ขณะเดียวกัน ระดับเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ยังหนุน Real Yield หนุน BOT ยัง มีช่องว่างสำหรับการลดดอกเบี้ยได้ในกรณีจำเป็น โดยรวมเป็นภาพทางบวกต่อตลาดหุ้น

SIRI ปี68 เน้นโครงการ High-End โบรกคาดกำไรโต 3% แนะซื้อ เป้า 2.02 บาท

SIRI ปี68 เน้นโครงการ High-End โบรกคาดกำไรโต 3% แนะซื้อ เป้า 2.02 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุ Sansiri (SIRI) กำไร 4Q67 โดนกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง คาดกำไรปกติ 4Q67 ลดลง QoQ และ YoY แม้คาดการโอน 4Q67 เติบโต QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลอยู่ที่ 9.3 พันลบ. (+12% QoQ, -5% YoY) อย่างไรก็ตาม ประเมินกำไรปกติที่ 1.2 พันลบ. (-6% QoQ, -6% YoY) ลดลง QoQ และ YoY เนื่องจากมีการทำกลยุทธ์ทางด้านราคาเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาดสินค้าระดับบนที่การแข่งขันรุนแรงขึ้น ส่งผลให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ลดลงอยู่ที่ 28.6% (-241 bps QoQ, -430 bps YoY) ขณะที่อัตราส่วน SG&A/Sales คาดที่ 19.9% (-53 bps QoQ, -90 bps YoY) ลดลง YoY จากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น และมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานระหว่างปี            หาก 4Q67 ใกล้เคียงกับที่เราคาด กำไรปกติปี 2567 จะอยู่ที่ 4.8 พันลบ. (-5% YoY) ต่ำกว่าประมาณการเดิมของเรา 5% แผนธุรกิจปี 2568 เน้นเปิด High-End มากขึ้น และตั้งเป้า Presales เชิงรุก            บริษัทฯ ประกาศเป้าหมายธุรกิจปี 2568 เชิงรุก ดังนี้ แผนเปิดโครงการใหม่ 29 แห่ง มูลค่า 5.2 หมื่นลบ. (+12% YoY) (แนวราบ 60%) แม้จำนวนโครงการลดลงแต่มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนโครงการระดับบนอยู่ที่ 57% จากปี 2568 ที่ 36% การเปิดโครงการจะกระจายตัวใกล้เคียงกันใน 1H68 และ 2H68 ส่วนโครงการไฮไลท์ ได้แก่ Narasiri บางนา กม.10 ราคา 60-150 ลบ. (มูลค่า 4.1 พันลบ., 1Q25) Demi พระราม 9 - เหม่งจ๋าย ราคาเริ่ม 27.9 ลบ. (มูลค่า 480 ลบ., 2Q25) Burasiri จตุโชติ (JV) ราคา 13.5-25 ลบ. (มูลค่า 2.0 พันลบ., 3Q25) โครงการใหม่ในภูเก็ต ได้แก่ แนวราบ Setthasiri เกาะแก้ว ราคา 12-20 ลบ. (มูลค่า 1.5 พันลบ., ปลาย 3Q25) แนวสูง PTY Residence Sai 1 ราคา 12-20 ลบ. (มูลค่า 3.0 พันลบ., 1Q25) ยอดขาย (Presales) 4.6 หมื่นลบ. (+13% YoY) เติบโตจากทั้งสินค้าแนวราบและแนวสูง ยอดโอน 4.6 หมื่นลบ. (+5% YoY)            ส่วนงบการลงทุน (Capex) การซื้อที่ดินอยู่ที่ 2.0 พันลบ. โดยในปีนี้จะเน้นหาพื้นที่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะภูเก็ตเป็นหลัก ปรับลดประมาณการปี 2568 ลง… คาดกำไรปกติเติบโต 3% YoY            ปัจจุบันตลาดอสังหาฯ ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย และแรงกดดันจากปัจจัยมหภาค ความต้องการที่อยู่อาศัยชะลอตัว ขณะที่อุปทานในตลาดปี 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงสินค้าระดับบน ทำให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรงขึ้น และเราคาดว่าจะกดดัน GPM ต่อเนื่องไปยังปี 2568            เราจึงปรับสมมติฐานให้รัดกุมมากขึ้น โดยปรับลดประมาณการกำไรปี 2568 ลง 6% เป็น 5.0 พันลบ. (+3% YoY) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 2.02 บาท            แม้การแข่งขันในตลาดฯ รุนแรง อย่างไรก็ดี เรามองว่า SIRI มีเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่โดดเด่น ฐานลูกค้าระดับบนแข็งแกร่ง ทำให้สามารถรักษาส่วนแบ่งในตลาด และหนุนการเติบโตให้โดดเด่นกว่ากลุ่มอสังหาฯ            นอกจากนี้ คาดเงินปันผล 2H67 ที่ 0.08 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield สูงถึง 4.5%            คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสมปี 2568 ใหม่ที่ 2.02 บาท/หุ้น

“เอเชี่ยน ฟู้ด คอร์ปอร์เรชั่น” ผถห.อันดับ 2 NRF ตัดขายหุ้น 3.9 ล้านหุ้น เหลือถือ 14.8788%

“เอเชี่ยน ฟู้ด คอร์ปอร์เรชั่น” ผถห.อันดับ 2 NRF ตัดขายหุ้น 3.9 ล้านหุ้น เหลือถือ 14.8788%

         หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการจำหน่าย หุ้นของ บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) (NRF) โดย บริษัท เอเชี่ยน ฟู้ด คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย 3,935,300 หุ้น คิดเป็น 0.2775% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคงเหลือ 210,930,580 หุ้น คิดเป็น 14.8788% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

FIL LIMITED เก็บหุ้น NRF เพิ่ม 6 หมื่นหุ้น รวมถือครอง 5.0161%

FIL LIMITED เก็บหุ้น NRF เพิ่ม 6 หมื่นหุ้น รวมถือครอง 5.0161%

              หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการได้มาของ บริษัท โรงพยาบาลราชธานี จำกัด (มหาชน) (RJH) โดย FIL LIMITED ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา 60,200 หุ้น คิดเป็น 0.0205% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา 14,689,800 หุ้น คิดเป็น 5.0161% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ขุนคลังเล็งหารือ แจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 3 หุ้นไหนรับอานิสงส์ต่อ เช็ก!

ขุนคลังเล็งหารือ แจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 3 หุ้นไหนรับอานิสงส์ต่อ เช็ก!

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า รมช.คลัง เตรียมประชุมอนุกลั่นกรองฯ ลุยแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 3 ก่อนชงบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ สรุปไทม์ไลน์ ภายในก.พ.นี้คาดเริ่มจ่าย 2Q25F หลังระบบพัฒนาเสร็จแล้ว ประเมินบวกแนวโน้มเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยงวด 1Q25 เป็นภาพนักท่องเที่ยวคึกคัก และมีมาตรการกระตุ้นรัฐฯ อาทิ ไร่ละพัน มาตรการ Easy E-Receipt และมาตรการ Digital Wallet เฟส 2          ขณะที่งวด 2Q25 นโยบาย Digital Wallet เฟส 3 ที่น่าจะมีขนาดใหญ่กว่ามาตรการงวด 1Q25 ส่วน งวด 2H25 ฝ่ายวิเคราะห์คาดโครงการลงทุนรัฐฯ ที่ ครม. อนุมัติ จะทยอยเปิดประมูลและเริ่มลงทุน โดยรวมประเมินภาพบวกต่อหุ้น Domestic โดยเฉพาะธนาคาร เน้น KTB, SCB, KBANK ค้าปลีก เน้น BJC ที่รับประโยชน์ Digital Wallet สูง ขณะที่ไม่มีประเด็นกดดันเฉพาะตัว

ราคาน้ำมันดิบปิดลบ สต็อกพุ่ง 8.6 ล้านบาร์เรล สูงกว่าตลาดคาด

ราคาน้ำมันดิบปิดลบ สต็อกพุ่ง 8.6 ล้านบาร์เรล สูงกว่าตลาดคาด

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -1.93% d-d ปิดที่ USD 74.73/barrel น้ำมันดิบ West Texas -2.30% d-d ปิดที่ USD 71.03/barrel โดยได้รับแรงกดดันจากการที่สต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด โดยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 8.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าตลาดคาดที่ 2.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งส่งสัญญาณถึงความต้องการที่อ่อนแอลง ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าครั้งใหม่ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดความกลัวการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนลง ซึ่งมองว่าเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

กองทุนมั่นคงสิงคโปร์ GIC ตัดขายหุ้น TOP 2.3 ล้านหุ้น คงเหลือถือ 4.9225%

กองทุนมั่นคงสิงคโปร์ GIC ตัดขายหุ้น TOP 2.3 ล้านหุ้น คงเหลือถือ 4.9225%

           หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการจำหน่ายหุ้นของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) โดย GIC PRIVATE LIMITED ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย 2,332,200 หุ้น หรือคิดเป็น 0.1044% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคงเหลือจำนวน 109,962,411 หุ้น คิดเป็น 4.9225% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ERW เล็งกำไรQ4โต70% เกินคาดพื้นฐาน4.40บ.

ERW เล็งกำไรQ4โต70% เกินคาดพื้นฐาน4.40บ.

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุ คงคำแนะนำ “ถือ” ERW และราคาเป้าหมายปี 2025E ที่ 4.40 บาท อิง DCF (WACC 7.6%, terminal growth 2.5%)           คาดว่า ERW จะมีกำไรปกติ 4Q24E อยู่ที่ 350 ล้านบาท (+70% YoY, +179% QoQ) มากกว่าที่คาดเดิมที่ 280-300 ล้านบาท โดย 1) ภาพรวมรายได้เฉลี่ยต่อห้องที่ไม่รวม Budget (RevPAR) อยู่ที่ 3,050 บาท (+15% YoY, +22% QoQ) จาก High season ของไทยและญี่ปุ่น ส่วน Hop Inn ก็ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และ 2) มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเพียง +4% YoY และ +9% QoQ (ปกติจะเพิ่มราว +15-20% QoQ) จากการบริหารค่าใช้จ่ายได้ดี รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายลดลง -5% QoQ จากการนำเงินที่ได้จากการแปลงสิทธิ์ของ Warrant มาคืนเงินกู้เรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2025E ไว้ที่ 884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +8% YoY ซึ่งเป็นการเติบโตที่น้อยที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากจะมีการ Renovate ที่ Grand Hyatt Erawan ช่วง 3Q25E-4Q26E           ขณะที่คาดแนวโน้มกำไร 1Q25E จะยังเติบโตได้ทั้ง YoY/QoQ จาก High season ของไทยราคาหุ้น ERW ลดลง -3% และ -5% ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมา จากนักท่องเที่ยวจีนที่ชะลอตัวลงจากข่าวความไม่ปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ขณะที่ความเสี่ยงในการต่อสัญญาที่แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณยังเป็น overhang ต่อเนื่อง ด้าน Valuation ซื้อขายที่ 2025E EV/EBITDA ที่ 15x (10-yr average EV/EBITDA) ซึ่งแพงกว่า CENTEL ที่ 12x และ MINT ที่ 10x

KSS คาด SET วันนี้“สร้างฐาน” แนะ KTB-GULF-MTC เด่น!

KSS คาด SET วันนี้“สร้างฐาน” แนะ KTB-GULF-MTC เด่น!

           หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้“สร้างฐาน” ต้าน 1292/1300 จุด รับ 1276/1270 จุด ดัชนีS&P500 บวก +0.39% แม้จีนยังตอบโต้ สหรัฐฯจะตรวจสอบนโยบายของ Apple แต่บ่งชี้ตลาดซึมซับความเสี่ยงสงครามการค้าในระดับเชิงต่อรอง / เชิงสัญลักษณ์แล้ว ผสานจิตวิทยาบวก US Bond Yield 10 ปีลงแรง -9 bps ทำให้ปัจจัยต่างประเทศเป็นกลาง-บวกอ่อนๆต่อภาพลงทุน            ด้านภายในวานนี้ตลาดหุ้นปรับลงจากปัจจัยเฉพาะตัวกรณีเกณฑ์ใหม่ดัชนีSET50 และ SET100 กำหนดหุ้น 1 บริษัทมีน้ำหนักต่อดัชนีไม่เกิน 10% ซึ่งกระทบ DELTA แต่ น้ำหนักใน SET50 ยังสูง 12.2% ทำให้ยังน่าจะมีแรงขายต่อ แต่หุ้นอื่นที่เม็ดเงินถูกกระจายออกไปที่ปรับตัวลดลงตาม คาดเริ่มฟื้นตัวได้ ผสาน Fund Flows เริ่มซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง ตั้งแต่ SET ลงต่ำกว่า 1300 จุดที่เป็นโซน Value ที่มีEquity Risk Premium > Avg + 1 S.D. คาดช่วย SET ค่อยๆสร้างฐานเพื่อฟื้นตัวระยะถัดไป            หุ้นนำ คือ หุ้น Big Cap ที่เม็ดเงิน DELTA มีโอกาสสลับเข้าลงทุน หุ้น Bond Yield ทั้งนอก+ใน (วันนี้ คาดเงินเฟ้อยังออกมา < ดอกเบี้ยนโยบาย) แกว่งลงหนุน วันนี้แนะนำ KTB (เก็งโอกาส Treasury Stock), GULF, MTC เด่น

CPALL ดีลซื้อ 7-11ญี่ปุ่นกดดัน โบรกชี้ไม่น่าเกิดขึ้น-เป้า-86บ.

CPALL ดีลซื้อ 7-11ญี่ปุ่นกดดัน โบรกชี้ไม่น่าเกิดขึ้น-เป้า-86บ.

          หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” CPALL ที่ราคาเป้าหมาย 86.00 บาท อิง PER ปี 2025E ที่ 28x (หรือเท่ากับ -0.8SD below 5-yr avg. PER)           มีมุมมองเป็นกลาง จากการที่บริษัทไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับกับข่าว Seven & I Holdings เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในญี่ปุ่น ที่มีการเจรจากับเครือซีพีให้ร่วมลงทุน (Management Buyout) ซื้อหุ้น “Seven & I Holdings” เพื่อนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น เพื่อหลีกเลี่ยงการครอบงำกิจการจาก “Alimentation Couche-Tard” จากแคนาดา โดยมูลค่าดีลอยู่ที่ 58,000 ล้านดอลลาร์           โดยปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน จากประเด็นดังกล่าว เชื่อว่าหากกลุ่มซีพีสนใจ CPALL จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่จะเข้าร่วมซื้อกิจการในครั้งนี้ด้วย           ได้วิเคราะห์สถานะทางการเงินของ CPALL และประเมินว่า CPALL จะสามารถเข้าร่วมลงทุนที่ 15% ของหุ้น “Seven & I Holdings” คิดเป็นเงินลงทุน 2.93 แสนล้านบาท โดยใช้เงินกู้ 100% ที่อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี ซึ่งจะทำให้ D/E ratio ปรับขึ้นเป็น 1.82x จากปัจจุบันที่ 0.88x (Fig 1.)           โดยหากการเข้าซื้อกิจการสำเร็จ จะส่งผลให้กำไร (ก่อนหักภาษี) ของ CPALL ปี 2025E/26E ลดลง 3.4/2.4 พันล้านบาท หรือคิดเป็น -12%/-7% ของกำไรสุทธิตามลำดับ (Fig 2.) โดยเป็นผลกระทบที่ยังไม่รวมปัจจัยอื่นเช่น ผลบวกจาก synergy benefits             อย่างไรก็ดี มองว่าดีลนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากขนาดของดีลมีมูลค่าที่สูงมาก           ยังคงประมาณการกำไร 2024E/25E อยู่ที่ 2.5 และ 2.7 หมื่นล้านบาท โต +33%/+11% YoY จากประมาณการกำไร 4Q24E ที่ 6.4 พันล้านบาท และต่อเนื่องไปในปี 2025E ราคาหุ้น underperform SET -9% ในช่วง 3 เดือน ระยะสั้นราคาหุ้นคาดว่าจะยังคงถูกกดดันจาก ประเด็นข่าวการเข้าร่วมลงทุนใน Seven & I Holdings

คัดหุ้น3 ธีมน่าสะสม มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวค้ำ

คัดหุ้น3 ธีมน่าสะสม มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวค้ำ

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ มอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์หลังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ โดยมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1350 จุด กลยุทธ์ลงทุนแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว           1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐอย่าง Easy E-Receipt ในช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568 และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้ผู้สูงอายุ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO TNP) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT AWC ERW AOT)           2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุน แนะนำ AP KTB BBL PTT 3. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนกำไร 4Q67-1Q68 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC

11หุ้น โดดรับประโยชน์ ไทยเดินหน้า Financial Hub

11หุ้น โดดรับประโยชน์ ไทยเดินหน้า Financial Hub

          นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ฯ เผย การผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) จะส่งผลดีต่อธุรกิจหลายกลุ่ม เช่น ธุรกิจธนาคารพาณิชย์, ธุรกิจประกันภัย,  ธุรกิจบริการการชำระเงิน, ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และธุรกิจ Data Center  ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจและการลงทุนในประเทศ อย่างไรก็ดี Financial Hub จะมีทั้งหุ้นที่ได้รับประโยชน์โดยตรง และหุ้นที่ได้ประโยชน์โดยอ้อม รวมทั้งสิ้น 10 หุ้น ได้แก่ BBL-KBANK-SCB-KTB-JMART-GULF-ADVANC-WHA-BBIK-AIT-BE8              นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัท ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า จากการผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) มองจะมีทั้งหุ้นที่ได้รับประโยชน์โดยตรง และหุ้นที่ได้ประโยชร์โดยอ้อม ดังนี้           หุ้นที่ได้ประโยชน์โดยตรง ประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL), ธนาคารกสิกรไทย (KBANK), ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB), ธนาคารกรุงไทย (KTB) และธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (JMART)           ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์โดยอ้อม ได้แก่ ธุรกิจ Data Center เช่น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF), บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เช่น บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) รวมถึงธุรกิจการวางระบบด้านการเงิน เช่น บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (BBIK) , บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (AIT) และ บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) (BE8) เป็นต้น           อนึ่ง วานนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบหลักการของร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... เพื่อดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ           มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การพิจารณาใบอนุญาตและการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจภายใต้ Financial Hub มีความครบวงจร เป็นสากล และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ รวมทั้งให้มีหน่วยงานหลักกำหนดนโยบายในการส่งเสริมให้ไทยเป็น Financial Hub และกำหนดนโยบายในการพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการเงิน (Ecosystem) ทั้งการพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานให้สอดรับกับความต้องการของบริษัทด้านการเงินระดับโลก           ร่าง พ.ร.บ. ประกอบด้วย 9 หมวด 96 มาตรา ยกเว้นกฎหมาย 7 กฎหมาย กำหนดรายละเอียดธุรกิจเป้าหมายใน Financial Hub จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินให้เป็นหน่วยงานให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop Authority: OSA) กำหนดคุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจและกลไกการขออนุญาต กำหนดสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจนักลงทุน รวมไปถึงแนวทางการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามหลักสากล โดยสรุปหลักการร่าง พ.ร.บ. ได้ดังนี้ ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ ธุรกิจที่จะเกิดขึ้นใน Financial Hub (1) ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ (2) ธุรกิจบริการการชำระเงิน (3) ธุรกิจหลักทรัพย์ (4) ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (5) ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (6) ธุรกิจประกันภัย (7) ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ (8) ธุรกิจทางการเงินหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนธุรกิจทางการเงิน ต้องมีสถานที่ตั้งในเขตพื้นที่ที่กำหนด ต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามกำหนด สามารถให้บริการแก่ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศเท่านั้น ยกเว้นในบางเงื่อนไขที่เป็นไปเพื่อการประกอบธุรกิจ การขออนุญาต ยื่นขอใบอนุญาตผ่านสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (One Stop Authority: สำนักงาน OSA) ที่จะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อเป็นหน่วยงานให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (End to end) โดยมีคณะกรรมการ OSA ทำหน้าที่ (1) กำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็น Financial Hub (2) กำหนดแนวทางการส่งเสริมธุรกิจเป้าหมาย (3) กำหนดประเภทและขอบเขตของการอนุญาต (4) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขในการขออนุญาต การอนุญาต รวมทั้งการเพิกถอน (5) กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแล สิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษีและมิใช่ภาษีตามที่ คกก. กำหนด โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องแข่งขันได้ และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษี เช่น การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว สิทธิประโยชน์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในประเทศไทย การให้กรรมสิทธิในการถือครองห้องชุดเพื่อการประกอบธุรกิจและอยู่อาศัย เป็นต้น           การพัฒนาไทยให้เป็น Financial Hub เป็นโอกาสของไทยที่จะสามารถดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทย พัฒนาภาคการเงินของประเทศไทย รวมทั้งสร้างโอกาสให้แก่แรงงานไทย ดังนี้ พัฒนาระบบการเงินและนวัตกรรมทางการเงิน สร้างไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน โดยการเข้ามาของผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินระดับโลกจะนำมาซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้สะดวกและทันสมัย ทำให้ไทยระบบนิเวศน์การเงินที่ทันสมัย เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค โดยไทยจะเป็นประเทศต้นๆ ในโลกที่เปิดกว้างสำหรับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลใน Financial Hub พัฒนาทักษะแรงงานไทย การเข้ามาของผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินระดับโลกจะช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และทักษะทางการเงินที่ทันสมัย และเปิดโอกาสให้แรงงานไทยได้ทำงานในบริษัทชั้นนำและพัฒนาศักยภาพของตนเอง สร้างโอกาสการจ้างงานและรายได้ที่สูง โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เทคโนโลยี และบริการสนับสนุนด้านการเงิน เป็นการส่งเสริมอาชีพที่มีรายได้สูง แรงงานไทยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากการลงทุนของผู้ประกอบธุรกิจต่างชาติจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคารสำนักงาน ระบบขนส่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น และทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเชื่อมโยงกับธุรกิจทางการเงินเพื่อขยายโอกาสการเติบโต

“Jurassic World” มา! ดึงเม็ดเงินท่องเที่ยวต่างชาติ

“Jurassic World” มา! ดึงเม็ดเงินท่องเที่ยวต่างชาติ

          หุ้นวิชั่น - โครงการ "Jurassic World: The Experience" โครงการมูลค่า 1,200 ล้านบาท ของ AWC ตั้งเป้าปั้นเป็นศูนย์กลางความบันเทิงระดับโลกแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักวิเคราะห์มองบวก คาดช่วยหนุนภาคท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว ดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง           นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า มีมุมมองบวกต่อการลงทุนในโครงการ “Jurassic World: The Experience” ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศไทยและเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับมุมมองเชิงบวกต่อภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและกระตุ้นเม็ดเงินไหลเข้าประเทศ           บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) ถูกมองว่าเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามว่าโครงการนี้จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติได้มากเพียงใด รวมถึงระยะเวลาการก่อสร้างที่จะส่งผลต่อความคืบหน้าของโครงการ           นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการสร้างแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ “Jurassic World: The Experience” ของบริษัท แอสเสท เวิรด์ แอทแทรคชั่น แอนด์ รีเทล จำกัด บริษัทในเครือของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร โดยโครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท บนพื้นที่ 4,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยบริษัทจะพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวดังกล่าวให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของกรุงเทพฯ และประเทศไทย           โครงการดังกล่าวถือเป็นการลงทุนสร้างศูนย์กลางการท่องเที่ยวและความบันเทิงระดับโลกโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ชื่อดัง “Jurassic World” จาก Universal Pictures และ Amblin Entertainment ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างไดโนเสาร์แอนิมาทรอนิกส์ที่มีการเคลื่อนไหวเสมือนจริง โดยใช้นวัตกรรมการออกแบบ 3 มิติ และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมการเคลื่อนไหว เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่สมจริงมากที่สุด ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะแฟนคลับคนรักไดโนเสาร์ที่มีอยู่ทั่วโลก โดยโครงการนี้ถือเป็นประสบการณ์ความบันเทิงรูปแบบอิมเมอร์ซีฟที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก และเป็นแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้           “ภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนำเงินเข้าสู่ประเทศไทย โดยปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 1.67 ล้านล้านบาท ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฮับการท่องเที่ยวของภูมิภาค เราจำเป็นต้องเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวให้พร้อม ทั้งด้านบุคลากร คุณภาพของการบริการ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การจัดกิจกรรมนานาชาติหรืออีเวนต์ขนาดใหญ่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมทั้งการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแบบ Man-made ที่จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว           ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2558 – 2567) บีโอไอได้ส่งเสริมลงทุนกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจำนวน 209 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 2 แสนล้านบาท ครอบคลุมทั้งกิจการโรงแรม ศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทย กิจการมหกรรม ดนตรี กีฬา และเทศกาลนานาชาติ รวมทั้งกิจการสวนสนุก

ASW ลุย 10 โครงการใหม่ ตั้งเป้ารายได้ 10,500 ลบ.

ASW ลุย 10 โครงการใหม่ ตั้งเป้ารายได้ 10,500 ลบ.

           หุ้นวิชั่น - ASW ประกาศวิสัยทัศน์ครบรอบ 20 ปี “Growing Success, Growing Happiness” มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน กางแผนเปิดโครงการใหม่คอนโด-บ้าน 10 โครงการ มูลค่ารวม 22,000 ล้านบาท ขยายพอร์ตภูเก็ตรุกตลาดวิลล่าหรูครั้งแรก ตั้งเป้ายอดขายรวม 19,500 ล้านบาท และเป้ารายได้ 10,500 ล้านบาท ลงทุนธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ ทั้งเอนเตอร์เทนเมนต์-คอมมูนิตี้มอลล์-Health & Wellness เดินหน้า ESG จับมือพันธมิตรดูแลการศึกษาเยาวชน            นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ กล่าวว่า ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 20 แอสเซทไวส์มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง ผ่านแผนธุรกิจ “Growing Success, Growing Happiness” เพื่อส่งมอบความสุขให้กับผู้บริโภคผ่านโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ซึ่งเป็นการเดินหน้าต่ออย่างมั่นคงจากปี 2567 ที่บริษัทสามารถทำยอดขายปี 2567 ได้ถึง 19,330 ล้านบาท สูงเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ และเติบโตขึ้นกว่า 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า            “ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2568 มีความท้าทายจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่ยังคงมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงที่ช่วยกระตุ้นการผลิตการลงทุน ไปจนถึงเทรนด์รักสุขภาพและ Aging Society ทำให้ธุรกิจ Health & Wellness เติบโตขึ้น สำหรับประเทศไทยเองได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการส่งออกที่ส่งสัญญาณดีขึ้น การเข้ามาลงทุน Data Center ของบริษัทระดับโลก ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานทั้งคนในประเทศและ Expats ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของคนในประเทศและกระตุ้นแรงซื้อจากชาวต่างชาติ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม แอสเซทไวส์จึงเดินหน้าธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “Growing Success, Growing Happiness” ควบคู่กับสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง” นายกรมเชษฐ์ กล่าว            ในปี 2568 แอสเซทไวส์เดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างเต็มกำลังบน Strategic Location ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูเก็ต ครอบคลุมหลากหลายเซ็กเมนต์ โดยวางแผนเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่ารวม 20,500 ล้านบาท ผ่านแบรนด์หลักอย่าง KAVE, ATMOZ และ MODIZ พร้อมสานต่อความสำเร็จของโครงการ Leisure Residences ในภูเก็ตแบรนด์ THE TITLE ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ในเครือแอสเซทไวส์ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท เตรียมขยายแบรนด์ THE TITLE สู่โครงการ Luxury Villa เป็นครั้งแรกอีก 2 โครงการบนทำเลหาดในยางและเชิงทะเล            ด้านเป้าหมายยอดขายและรายได้ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 19,500 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 10,500 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2567 ขณะเดียวกัน แอสเซทไวส์ยังมีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2568 ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,050 ล้านบาท และปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) สิ้นปี 2567 มูลค่ารวมกว่า 25,200 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นโครงการในกรุงเทพฯ ปริมณฑล จำนวน 12,600 ล้านบาท โครงการในทำเล EEC จำนวน 2,700 ล้านบาท และโครงการในภูเก็ตอีกกว่า 9,900 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้สร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2570            บริษัทยังขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income) โดยเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ และเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของคนทุกเจเนอเรชันผ่านบริษัทย่อยในเครือ เริ่มจากธุรกิจ Health & Wellness ผ่าน WHB ให้บริการ Rocket Fitness ฟิตเนสทางเลือกใหม่ในราคาและทำเลเข้าถึงง่าย และ Vitala คลินิกกายภาพบำบัดและฟื้นฟูร่างกาย มีแผนขยายสาขาต่อเนื่อง ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์ ผ่าน ZAAP World ในการจัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์ต่างๆ โดยในปีที่ผ่านมาได้จัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์ไปแล้วกว่า 40 งาน อาทิ SangSom MOONLAB งานอาร์ตแลนด์มาร์กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี, SkyTrain Music Fest เทศกาลดนตรีบนรถไฟฟ้าครั้งเเรกในเอเชีย เป็นต้น ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์และรีเทล ผ่าน Treasure M โดยพัฒนา Mingle Mall แหล่งไลฟ์สไตล์ที่รวมร้านค้า ร้านอาหาร ศูนย์กีฬาในร่ม ซึ่งล่าสุดเปิด “Mingle Naiyang” จ.ภูเก็ต            พร้อมกันนี้ แอสเซทไวส์ยังมุ่งสร้างความสุขอย่างยั่งยืนให้กับสังคม ลูกค้า และ Stakeholder ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม นำแนวคิด GrowGreen มาปฏิบัติจริงในองค์กร โครงการที่อยู่อาศัย และขยายผลสู่ชุมชนต่างๆ ด้านสังคม ร่วมกับมูลนิธิก้าวคนละก้าว ซึ่งมีตูน-อาทิวราห์ คงมาลัย เป็นประธานมูลนิธิฯ โดยสนับสนุนเงินจำนวน 10 ล้านบาท ให้กับโครงการ “ก้าวเพื่อน้องปีที่ 5” ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ไปจนถึงยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านโครงการ PUNN by AssetWise ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับบริจาคของมือสองสภาพดีเพื่อนำไปหารายได้มอบเป็นทุนการศึกษา และด้านบรรษัทภิบาล มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ทำให้บริษัทติดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ในระดับ AA            นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในโอกาสพิเศษนี้บริษัทยังเปิดตัวพรีเซนเตอร์ โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร และไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ คู่รักนักเปียโนและผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ที่มีคาแรคเตอร์สมาร์ท อบอุ่น ที่สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กลุ่มคนทุกเจเนอเรชัน มาร่วมสะท้อนตัวตนของแบรนด์แอสเซทไวส์ และถ่ายทอดแนวคิด “การสร้างความสุข ให้ทุกจังหวะของชีวิต” ที่ตั้งใจส่งมอบความสุขผ่านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพแบรนด์ต่างๆ ในเครือ โดยเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา AssetWise 20 years of Happiness ผ่านโซเชียลมีเดียครั้งแรกในวันที่ 5 ก.พ.นี้ สามารถรับชมได้ทาง Facebook Page: AssetWise และ YouTube: AssetWise [PR News]

PTTGC จับมือ UCHA รุกตลาด Polyamide ในกลุ่มอุตสาหกรรม

PTTGC จับมือ UCHA รุกตลาด Polyamide ในกลุ่มอุตสาหกรรม

          บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต และ บริษัท อูเบะ เคมิคอลส์ (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ UCHA ผู้นำด้านการผลิตสารคาโปรแลคตัม ไนลอน และไนลอนคอมพาวน์ รวมถึง ปุ๋ยแอมโมเนีย ซัลเฟต ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการขยายตลาด Polyamide ในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อ่อนตัว (Flexible Packaging) และ เส้นใยยาว (Filament) เป็นต้น           นายสาโรจน์ พุทธธรรมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าเพิ่ม บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) กล่าวว่า “ปัจจุบัน GC และ UCHA เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญต่อเนื่องมายาวนาน โดย GC เป็นผู้ดำเนินการจัดหา CX (Cyclohexane) ให้กับ UCHA เพื่อนำไปผลิตเป็น Caprolactam ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต Polyamide (Nylon) ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยนำไปผลิตและขึ้นรูปชิ้นส่วนยานยนต์หลากหลายรูปแบบ  GC เล็งเห็นศักยภาพในการขยายโอกาสทางธุรกิจร่วมกับ UCHA ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ผลิตภัณฑ์กลุ่มบรรจุภัณฑ์อ่อนตัว (Flexible Packaging) อาทิ ถุงใส่อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง และ เส้นใยยาว (Filament) ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเกิดขึ้น โดยจะช่วยขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่ม Nylon ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึงเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และธุรกิจ ระหว่าง GC และ UCHA”           นายวัชระ พัฒนานิจนิรันดร กรรมการผู้อำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อูเบะ เคมิคอลส์ (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) (UCHA) กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกันระหว่าง GC และ UCHA ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของทั้งสองบริษัท ในการพัฒนาและขยายตลาด Polyamide ให้เติบโตอย่างยั่งยืนโดย UCHA ซึ่งมี Knowhow ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Polyamide  และเป็นผู้นำในตลาด Specialty ได้เล็งเห็นความสำคัญของตลาด Flexible Packaging ที่เติบโตสูงในอาเซียน ขณะที่ GC มีความเชี่ยวชาญในตลาดที่หลากหลาย การรวมความรู้และเทคโนโลยีของทั้งสองบริษัทจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการผสานศักยภาพของทั้งสองฝ่าย เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูง ตอบโจทย์ตลาดและผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด”           ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นการนำจุดแข็งของทั้งสองบริษัทมาต่อยอดโอกาสทางธุรกิจและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกันได้อย่างสมบูรณ์ เชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถสร้างความแตกต่างทำให้ผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่น ตอบโจทย์เมกะเทรนด์ ตลาดที่หลากหลาย และความต้องการของผู้บริโภค  พร้อมสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

DELTA ดิ่งหนัก 7% ขายลดเสี่ยง รับผลกระทบจำกัดน้ำหนัก SET50-SET100

DELTA ดิ่งหนัก 7% ขายลดเสี่ยง รับผลกระทบจำกัดน้ำหนัก SET50-SET100

หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ระบุ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังรับฟังความคิดเห็นกรณีปรับปรุงวิธีคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 เพื่อลดผลกระทบของดัชนีจากหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ และทำให้การกระจายตัวของน้ำหนักหลักทรัพย์เหมาะสมมากขึ้น และจะนำแนวทางนี้มาใช้กับดัชนี SET50, SET100, SET50FF และ SET100FF การศึกษาของตลาดหลักทรัพย์พบว่าดัชนีชั้นนำในต่างประเทศใช้การจำกัดน้ำหนักในหลายแนวทางหลักๆ ซึ่งแบ่งเป็น 2 แบบ การจำกัดน้ำหนักในระดับรายหลักทรัพย์ (วิธีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ วางแผนเลือกใช้) เป็นแนวทางที่แพร่หลาย โดยดัชนีที่ศึกษากำหนดเพดานน้ำหนักต่อ 1 หุ้นบริษัทจะอยู่ในกรอบ 8% - 15% การจำกัดน้ำหนักของกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่หรือกลุ่มอุตสาหกรรม ถูกใช้ในดัชนีชั้นนำ เช่น MSCI และ NASDAQ100  โดยในกรณีของ NASDAQ100 หลักทรัพย์ 5 อันดับแรกที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดจะต้องมีน้ำหนักรวมกันไม่เกิน 38.5% ของมูลค่าตลาดดัชนี ทั้งนี้ในเบื้องต้นการเสนอรับฟังความคิดเห็น ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนจะจำกัดน้ำหนักของ 1 หลักทรัพย์ในดัชนี SET50, SET100, SET50FF และ SET100FF ไม่เกิน 10% ของมูลค่าตลาดของดัชนี KSS ประเมินผลกระทบ อิงตามกรอบข้อเสนอเบื้องต้น ประเมินหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบเชิงลบใน SET50 และ SET100 ได้แก่  DELTA คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจากกองทุน Passive fund ราว +/- 1,600 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบัน DELTA มีน้ำหนักใน SET50 และ SET100 ที่ประมาณ 13% และ 11% ตามลำดับ ใน SET50FF และ SET100FF ไม่มีหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มีหลักทรัพย์ใดที่มีน้ำหนักเกิน 10% ของดัชนี หลักทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับผลบวกเด่น (จากโอกาสที่จะมี Passive fund เข้าซื้อกรณีปรับน้ำหนักตามเกณฑ์ใหม่ > 50 ล้านบาท) ได้แก่ PTT, ADVANC, AOT, GULF, PTTEP, CPALL, SCB, TRUE, KBANK, BDMS, KTB ระยะสั้นมองเป็นผลลบต่อดัชนี เนื่องจาก DELTA  อาจเผชิญแรงขาย เพื่อลดความเสี่ยง แต่หากการรับฟังความคิดเห็นผ่านและนำมาใช้ (คาดว่าจะเริ่มต้นในครึ่งปีหลัง 2568) ปัจจัยนี้อาจกลับมาเป็นปัจจัยกระทบอีกครั้งเมื่อมีการ Rebalance ครั้งแรกจากการปรับพอร์ตของ Passive Fund กลยุทธ์แนะนำ: ในระยะสั้นควรหลีกเลี่ยงการเก็งกำไรใน DELTA และสามารถจับจังหวะเก็งกำไรในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับน้ำหนัก เช่น PTT, ADVANC, AOT, GULF

ส่องคาดการณ์กำไร ADVANC ไตรมาส 4/2567

ส่องคาดการณ์กำไร ADVANC ไตรมาส 4/2567

          บล.เอเชียพลัส ระบุถึง คาดว่า ADVANC จะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/67 ที่ 9.0 พันล้านบาท (+3% QoQ, +29% YoY) โดยกำไรที่เติบโตทั้ง QoQ และ YoY เป็นผลมาจาก รายได้ที่เพิ่มขึ้น ในธุรกิจมือถือ (ธุรกิจหลัก) และธุรกิจบรอดแบนด์ (ธุรกิจรอง) ประกอบกับ มาร์จิ้นที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากทยอยปรับค่าบริการขึ้น และลดการอุดหนุนค่าเครื่องจากแนวโน้มกำไร 4Q67 ที่สดใส คาดว่ากำไรสุทธิรวมทั้งปี 2567 จะออกมาใกล้เคียงกับประมาณการของเรา ทำให้เราคง ประมาณการกำไรปี 2567-2568 ไว้ที่ 34,000 ล้านบาท (+18% YoY) และ 38,000 ล้านบาท (+12% YoY) ตามลำดับ           นอกจากนี้ เรายังคง ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 313 บาท และคงคำแนะนำ “Outperform” ด้วยปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ 1.แนวโน้มกำไร 4Q67 ที่แข็งแกร่ง 2.อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่คาดไว้ 1.9% สำหรับ 2H67 และ 4.0% สำหรับปี 2568 ซึ่งยังคงน่าสนใจ

GULF คาดกำไร Q1 โตต่อ เสี่ยงต่ำรัฐลดค่าไฟ โบรกเคาะเป้า 64.50 บ.

GULF คาดกำไร Q1 โตต่อ เสี่ยงต่ำรัฐลดค่าไฟ โบรกเคาะเป้า 64.50 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ GULF เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำจากการปรับลดค่าไฟฟ้า โดยโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นแบบ IPP ที่มีโครงสร้างต้นทุนที่สามารถส่งผ่านได้ และมีสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้า SPP ที่ขายให้กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งอาจได้รับผลกระทบเพียง 9% เท่านั้น            ทั้งนี้ เราประเมินว่าหากมีการลดค่าไฟฟ้าลงทุก 0.1 บาทต่อกิโลวัตต์ จะส่งผลกระทบต่อกำไรของ GULF เพียง 1%            นอกจากนี้ GULF ยังมีแนวโน้มกำไรเชิงบวก ทั้งจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าหลัก และธุรกิจดิจิทัลที่เติบโตผ่านการลงทุนใน ADVANC ซึ่งช่วยหนุนให้ผลประกอบการแข็งแกร่งต่อเนื่อง            โดยเราคาดว่ากำไรปกติในไตรมาส 4 ปี 2567 จะเติบโตได้ทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน รวมถึงแนวโน้มกำไรในไตรมาส 1 ปี 2568 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น            GULF : ราคาพื้นฐาน 64.50 บาท

ก.ล.ต. ชู “ดูแล้วเว่ออ…อย่าเผลอลงทุน”  ชี้ 5 ข้อ รู้ทันกลโกงหลอกลงทุน

ก.ล.ต. ชู “ดูแล้วเว่ออ…อย่าเผลอลงทุน” ชี้ 5 ข้อ รู้ทันกลโกงหลอกลงทุน

          หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต่อยอดแคมเปญ “ดูแล้วเว่ออ… อย่าเผลอลงทุน” สร้างสรรค์สื่อความรู้ในรูปแบบใหม่ ๆ ช่วยสร้างความตระหนักให้ประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อกลโกงมิจฉาชีพหลอกลงทุน ด้วยการตอกย้ำ 5 สัญญาณอันตรายเว่ออ ๆ ที่ต้อง เอ๊ะ! ผ่านการใช้สื่อความรู้ในรูปแบบเพลง           ปัจจุบันเทคโนโลยีโดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ทำให้การบริหารจัดการต่าง ๆ มีความสะดวกสบาย ง่าย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการทำธุรกรรมทางการเงินและการลงทุน ขณะเดียวกัน ก็เป็นช่องทางให้เหล่ามิจฉาชีพแฝงตัวผ่านกลโกงต่าง ๆ เข้ามาชักชวนหลอกลงทุนได้โดยง่ายด้วย โดยมักใช้เทคโนโลยีเพื่อหลอกให้เหยื่อหลงกล แล้วได้เงินไปแบบง่าย ๆ เป็นภัยร้ายใกล้ตัวเพียงแค่ปลายนิ้ว ซึ่งแนวโน้มของอาชญากรรมทางการเงินการลงทุนนี้ มีอัตราความเสียหายที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี           นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ในปี 2567 พบว่า มีผู้ร้องเรียนและแจ้งเบาะแสการหลอกลงทุนมายัง ก.ล.ต. กว่า 5,590 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการถูกหลอกลงทุนผ่านช่องทางออนไลน์ โดยแบ่งเป็นเรื่องหลอกลงทุน 3,388 ครั้ง ส่วนที่เหลือเป็นการให้คำปรึกษาเรื่องการหลอกลงทุน 2,202 ครั้ง ซึ่ง ก.ล.ต. รับรู้ถึงปัญหาและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้มีการดำเนินการในหลายมิติเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อปิดกั้นบัญชีโซเชียลมีเดียที่มีพฤติกรรมหลอกลงทุน ซึ่ง ก.ล.ต. สามารถปิดกั้นไปแล้ว ร้อยละ 99.76 ของจำนวนบัญชีที่ประสานขอปิดกั้น           “ก.ล.ต. มุ่งหวังให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันที่ดี สามารถป้องกันตัวเองได้ก่อนที่จะเกิดเหตุหลอกลงทุน โดยให้การสนับสนุนโครงการที่ให้ความรู้เรื่องการป้องกันภัยกลโกงหลอกลงทุนมาโดยตลอด” นางพรอนงค์ กล่าว           ทั้งนี้ เมื่อปี 2566 ก.ล.ต. ได้ริเริ่มแคมเปญ “ดูแล้วเว่ออ..อย่าเผลอลงทุน” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนในวงกว้างเกี่ยวกับสัญญาณอันตราย 5 เว่อ ได้แก่ (1) สูงเว่ออ อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงผิดปกติ (2) ไวเว่ออ อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนภายในเวลาอันรวดเร็ว (3) ชัวร์เว่อ การันตีว่าได้ผลตอบแทนสูงอย่างแน่นอน (4) เร่งเว่ออ เสนอสิทธิพิเศษเฉพาะในช่วงเวลานั้น เพื่อเร่งให้รีบตัดสินใจ และ (5) ลอยเว่ออ แอบอ้างผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ คนมีชื่อเสียง โดยมียอดผู้เข้าถึงสื่อ 52.7 ล้านครั้ง           ในปี 2568 นี้ ก.ล.ต. ยังได้ต่อยอดแคมเปญ “ดูแล้วเว่ออ..อย่าเผลอลงทุน” เพื่อมุ่งเน้นสร้างการจดจำให้ประชาชนได้ตระหนักและฉุกคิดก่อนตัดสินใจลงทุน ผ่านการใช้สื่อความรู้ในรูปแบบเพลง โดยเนื้อหาของเพลงกลั่นกรองมาจากข้อมูลการถูกหลอกลงทุนที่พบบ่อยจากการทำ social listening (การเปิดรับฟังเสียงกระแสสังคมออนไลน์) เพื่อให้ครอบคลุมรูปแบบกลโกงที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ง่ายต่อการจดจำ รวมทั้งมุ่งหวังให้ประชาชนฉุกคิดและค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่หลงเชื่อการชักชวนที่ให้ผลตอบแทนดีเกินจริง ตัวอย่างเนื้อเพลง “อะไรที่ดูแล้วเว่ออ อย่าเพิ่งเผลอไปเชื่อใจ อะไรดูดีเว่ออ ๆ ก็ช่วยเอ๊ะ! กันหน่อยไหม ใครชวนไป รวยเว่ออ สบายเว่ออ ให้เธอรีบเอะใจ ดูเว่ออเกินเบอร์ซะมากมาย อย่าเผลอไปลองเสี่ยง” ผู้ลงทุนและประชาชนทั่วไปสามารถติดตาม รับฟังเพลง “ดูแล้วเว่ออ…อย่าเผลอลงทุน” ได้แล้ววันนี้ ทางช่อง Youtube ThaiSEC หรือทาง คลื่นวิทยุ Green Wave 106.5 และEFM 94 ได้ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนมีนาคม 2568 แบ่งปันประสบการณ์การถูกหลอกให้รัก หลอกให้ลงทุน ในรายการ Club Friday ทุกวันศุกร์ ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2568 รับชม สื่อความรู้ ที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันภัยกลโกงหลอกลงทุน ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กเพจ “Start-to-invest” (@StartToInvest) และช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ของ ก.ล.ต. รับชม Music VDO ฉบับเต็ม พร้อมกันในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ได้ทางเฟซบุ๊กเพจ “สำนักงาน กลต.” เฟซบุ๊กเพจ “Start-to-invest” Youtube “ThaiSEC” และ Tiktok “ThaiSEC Official”

เจาะ  8หุ้น น่าทยอยสะสม รับแรงกระแทก Trade war มากเกินไป

เจาะ 8หุ้น น่าทยอยสะสม รับแรงกระแทก Trade war มากเกินไป

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ระบุ วานนี้ (4 ก.พ. 68) คำสั่งของสหรัฐฯ ในการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% มีผลบังคับใช้แล้ว ก่อนที่เวลาต่อมา รัฐบาลจีนตอบโต้กลับ ประกาศมาตรการทั้ง TARIFF และ NON-TARIFF ดังนี้ จีนเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 10-15% (รวมราว 80 รายการ) เริ่ม 10 ก.พ. 68 โดยจะเก็บภาษีในสินค้ากลุ่มถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลวในอัตรา 15% (รวมมูลค่า $4.4 BLN) และกลุ่มสินค้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ทางการเกษตร และรถยนต์บางรุ่น ในอัตรา 10% (รวมมูลค่า $9.5 BLN) จีนประกาศจะสอบสวน “GOOGLE” ในกรณีละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาด รวมถึงเพิ่มชื่อบริษัทไว้ในบัญชีดำ ได้แก่ บริษัท PVH (เจ้าของ CALVIN KLEIN) และบริษัท ILLUMINA           หากพิจารณามาตรการ “จีนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ” มีเป้าหมายควบคุมการส่งออกทังสเตนและโลหะสำคัญอื่น ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การบิน และการป้องกันประเทศ โดยมีมูลค่ารวมราว $14 BLN ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับ “สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าจากจีน” มูลค่าราว $525 BLN ในแง่มุมของผลกระทบต่อการพึ่งพิงการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ “จีน” มีสัดส่วนราว 13% “ไทย” มีสัดส่วนราว 17% ในระยะถัดไป หากสถานการณ์การตอบโต้ทางการค้า (TARIFF) และไม่ใช่ทางการค้า (NON-TARIFF) ไม่รุนแรงขึ้น รวมถึงมีการเจรจากันระหว่างประเทศ คาดว่าจะช่วยลดแรงกดดันจาก TRADE WAR ลงไปได้ ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสหรัฐฯ ทาง ปธน. TRUMP จะสนทนาทางโทรศัพท์กับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในวันที่ 4 ก.พ. 68 ส่วนประเทศไทย รัฐบาลไทยเตรียมประเด็นเจรจา ยอมเพิ่มนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ (เอทานอล-สินค้าเกษตร) พร้อมเล็งเพิ่มความสัมพันธ์ทางทหารเพื่อลดผลกระทบจากการถูกขึ้นภาษี โดยกระทรวงพาณิชย์มีกำหนดการเยือนสหรัฐฯ วันที่ 4-8 ก.พ. 68 ตลาดหุ้นไทยตื่นตระหนก TRADE WAR 2.0 เกินไปหรือเปล่า? หลังจากที่ TRUMP มีการเจรจากับประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นการปรับขึ้น TAX TARIFF จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีประเด็นด้วย คือ ประเทศที่สหรัฐฯ มีมูลค่าการนำเข้าเกิน 10% ทุกประเทศ อาทิ MEXICO, CHINA, CANADA และ EUROPE ดังนั้น โอกาสที่ไทยถูกตั้งกำแพงภาษีอาจไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เพราะ สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยในสัดส่วนแค่ 2.2% เท่านั้น ขณะที่หากพิจารณาช่วงปี 2018 ซึ่งเกิด TRADE WAR 1.0 จะเห็นได้ว่า รายได้ทั้งหมดของบริษัทใน SET INDEX ไม่ได้ลดลง แถมเติบโตด้วยซ้ำ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 12.6 ล้านล้านบาท เติบโต 11% YOY อีกทั้ง MARKET CAP/รายได้ ปัจจุบันอยู่ต่ำเพียง 0.88 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 10 ปีที่ 1.24 เท่า และหากดูผลตอบแทนเปรียบเทียบของดัชนีต่าง ๆ ในช่วง TRADE WAR 1.0 จะเห็นได้ว่า SET -10.8% ซึ่งน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นอย่าง MEXICO, CANADA, CHINA แต่ในภาวะปัจจุบัน หรือ TRADE WAR 2.0 ตลาดหุ้นไทย (SET) กลับเกิด PANIC SELL และปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นที่กำลังถูกสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษี เช่น MEXICO, CANADA, CHINA ทั้งในช่วงเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่ TRUMP เข้ารับตำแหน่งถึงปัจจุบัน) และในสัปดาห์นี้ (WTD) ดังรูปด้านล่าง ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ จึงคาดว่า หุ้นใน SET ที่ปรับตัวลงลึกตั้งแต่ 5 พ.ย. 67 – 4 ก.พ. 68 และรับแรงกระแทกจากประเด็น TRADE WAR 2.0 ไปมากแล้ว เช่น KCE, TOP, HANA, GLOBAL, SCGP, BGRIM, BH, ITC ถือเป็นโอกาสทยอยสะสม เพื่อหวังผลกำไรในระยะกลาง-ยาว

AURA คาดกำไร Q1 โตเด่นกว่า 300 ลบ. ตรุษจีน-วาเลนไทน์ หนุน โบรกแนะซื้อ เป้า 18.50 บ.

AURA คาดกำไร Q1 โตเด่นกว่า 300 ลบ. ตรุษจีน-วาเลนไทน์ หนุน โบรกแนะซื้อ เป้า 18.50 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุจากเดิมคาดว่าเติบโตเด่นเพียง QoQ เราคาดกำไร 4Q67 ที่ 276 ล้านบาท (+34.5% QoQ, +14.1% YoY) ดีกว่าที่เคยประเมินเบื้องต้นไว้ราว 10% โดยได้แรงหนุนจากปัจจัยฤดูกาลทั้งธุรกิจค้าปลีกทองคำและธุรกิจรับขายฝาก เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลของธุรกิจค้าปลีก และการนำทองมาขายฝากเพราะมีความจำเป็นต้องใช้เงินสด ยอด AR ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ราว 4.8 พันล้านบาท สูงกว่าเป้าบริษัทที่ 4.5 พันล้านบาท คาดรายได้หลักที่ 8.8 พันล้านบาท (+11.9% QoQ, +9.1% YoY) โดยเป็น -รายได้จากการค้าปลีกที่ 8.7 พันล้านบาท (+12.0% QoQ, +8.5% YoY) -รายได้รับขายฝากที่ 150 ล้านบาท (+5.0% QoQ, +65.1% YoY) คาด GPM ที่ 10.6% ทรงตัว QoQ แต่เพิ่มขึ้นจาก 9.9% ใน 4Q66 หากกำไรสุทธิ 4Q67 ใกล้เคียงกับที่คาดไว้ จะส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2567 สูงกว่าประมาณการ 3% กำไรสุทธิ 1Q68 คาดโตเด่นต่อ ... มีโอกาสสูงในการปรับประมาณการขึ้น เราคาดกำไรสุทธิใน 1Q68 มีโอกาสกลับมาที่ระดับสูงกว่า 300 ล้านบาท ได้ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการรับซื้อคืนในช่วง 4Q67 และ ราคาทองยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใน 1Q68 ประกอบกับความเป็น High Season ในช่วงเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ ทำให้การซื้อของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง หนุนทั้งรายได้และ GPM ส่วนธุรกิจ "ทองมาเงินไป" ยังเติบโตต่อเนื่องตาม ปริมาณ AR ที่เพิ่มขึ้น และการขยายสาขา -ณ สิ้นปี 2567 จำนวนสาขาของร้านทองอยู่ที่ 267 สาขา (เพิ่มขึ้น 6 สาขา จากปี 2566) -ทองมาเงินไปอยู่ที่ 210 สาขา (เพิ่มขึ้น 72 สาขา จากปี 2566) บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำ แผน 3 ปี คาดว่าจะมีการเปิดเผยในช่วงการประชุมนักวิเคราะห์ และมีแนวโน้มออกมาเป็นบวก -บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาร้านทองอีก 20 สาขาในปี 2568 -ขยายสาขาของ "ทองมาเงินไป" อีกไม่น้อยกว่า 100 สาขา (+50%) ทำให้ บริษัทตั้งเป้าเติบโตในปี 2568 ไม่น้อยกว่า 20% เทียบกับประมาณการของเราที่ยังให้กำไรปี 2568 ทรงตัวถึงเติบโตเพียงเล็กน้อย YoY เราจึงมองว่า มีโอกาสสูงที่เราอาจปรับประมาณการขึ้น หลังรายงานงบปี 2567 และได้ข้อมูลเพิ่มเติมหลังการประชุมนักวิเคราะห์วันที่ 7 มี.ค. ราคาหุ้นไม่แพง … คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาหุ้น YTD ปรับตัวลง 2.1% ขณะที่ ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 6.5% YTD ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายด้วย PER 2568 ก่อนปรับประมาณการกำไรขึ้นที่เพียง 15.8 เท่า ขณะที่ผลประกอบการ 4Q67 เติบโตเด่นทั้ง QoQ และ YoY และดีกว่าที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้าราว 10% อีกทั้ง คาดเติบโตต่อเนื่องใน 1Q68 และบริษัทตั้งเป้าการเติบโตเชิงรุก สวนทางกับประมาณการของ Consensus จึงมีโอกาส ปรับประมาณการกำไรขึ้น จึงเป็นโอกาสซื้อ ราคาเป้าหมาย 18.50 บาท

BCPG รัฐลดค่าไฟไม่กระทบกำไร  Data Center – AI ในสหรัฐหนุน

BCPG รัฐลดค่าไฟไม่กระทบกำไร Data Center – AI ในสหรัฐหนุน

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุ ปัจจุบันรัฐบาลได้มีแนวคิดในการปรับลดค่าไฟฟ้าลงเป็น 3.70 บาท/หน่วย (ลดลงราว 11% จากปัจจุบัน) ผ่านการลดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อนของระบบการจ่ายไฟฟ้าและต้นทุนก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการปรับสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังงานหมุนเวียนเดิมเพื่อให้สามารถปรับลดค่า Ft ลงได้ ส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลงเฉลี่ย 4% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา            เนื่องจากการปรับลดค่า Ft จะส่งผลให้ราคารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าแบบ Adder ลดลง อย่างไรก็ตาม จากการประเมินของเราคาดว่าการปรับลดค่าไฟฟ้าลงเป็น 3.70 บาท/หน่วย จะส่งผลกระทบต่อกำไรของ BCPG เพียง 5% ของประมาณการกำไรปี 2568            นอกจากนี้ BCPG ยังถือว่าเป็นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีความเสี่ยงเชิงนโยบายน้อยกว่ากลุ่มฯ เพราะปัจจุบันมี สัดส่วนกำลังผลิตที่อยู่ในไทยเพียง 193MW หรือคิดเป็นเพียง 10% ของกำลังผลิตรวม โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ จะได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรม Data Center            ปัจจุบัน สหรัฐฯ ถือเป็นประเทศที่มีการลงทุนในอุตสาหกรรม Data Center มากที่สุดในโลก (ผลจากการมีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่จำนวนมาก) และหากมองไปยังพื้นที่ของ ตลาด PJM (ตลาดไฟฟ้าในสหรัฐฯ ที่โรงไฟฟ้าของ BCPG ตั้งอยู่)            ตลาดดังกล่าวมีการจ่ายไฟฟ้าให้กับ Data Center รวมราว 3,375MW ในปี 2566 และมีแนวโน้มเพิ่มเป็น 7,041MW ในปี 2573 ตามการเติบโตของอุตสาหกรรม Data Center และ AI ซึ่งอุตสาหกรรมดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพสูง            ทำให้ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่เป็น Base Load (เช่น ก๊าซธรรมชาติ) สูงขึ้นต่อเนื่อง และทำให้ ค่าความพร้อมจ่าย ของตลาดดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน            หากอิงข้อมูลจาก PJM พบว่าค่าความพร้อมจ่ายของตลาดดังกล่าวสำหรับรอบ 2568/69 (เริ่ม มิ.ย. 25 – พ.ค. 26) ได้มีการปรับเพิ่มเป็น 269.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ/MW-day จากรอบก่อนที่ระดับ 28.90-48.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ/MW-day ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568-2569  ขึ้น 28% และ 46% ตามลำดับ            ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568-69 ขึ้น 28% และ 46% ตามลำดับ เป็น 1,583 ล้านบาท (+75% YoY) และ 1,931 ล้านบาท (+52% YoY) ตามลำดับ เพื่อสะท้อนค่าความพร้อมจ่ายของสหรัฐฯ สำหรับงวด  2568-69 (มิ.ย. 25 - พ.ค. 26) ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 269.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ/MW-day (เรายังไม่ได้รวมโครงการลมในเวียดนามขนาด 99MW ไว้ในประมาณการ)            มองว่าการเติบโต YoY ในปี 2025 จะได้แรงหนุนจาก ความสามารถในการทำกำไรของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น (ผลจากการปรับขึ้นค่าความพร้อมจ่ายและราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น)            รวมถึงการเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการลม Monsoon ที่มีกำหนดทยอย COD ในช่วง 2H25            หากมองไปปี 2026 คาดว่ากำไรปกติสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการลม Monsoon แบบเต็มปี และการรับรู้รายได้จากโครงการแสงอาทิตย์ในไต้หวัน ที่ COD ในช่วงปลาย 2025 ราว 100MW แบบเต็มปี คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเหมาะสมเป็น 9.50 บาท            ผลจากการปรับประมาณการขึ้นส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ของเราเพิ่มขึ้นเป็น 9.50 บาท/หุ้น มี Upside 39%            ทั้งนี้ เรามองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันมีโอกาสฟื้นตัวได้ในระยะกลาง-ยาวจาก ผลประกอบการที่คาดว่าผ่านจุดต่ำสุดของรอบไปแล้ว และมีโอกาสกลับมาเติบโต YoY ได้ต่อเนื่อง ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรม Data Center และ AI ในสหรัฐฯ            จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว

BTG คาด Q4 พลิกกำไร 986 ลบ. โบรกชี้หุ้นยังถูก แนะซื้อเป้า 23.50 บาท

BTG คาด Q4 พลิกกำไร 986 ลบ. โบรกชี้หุ้นยังถูก แนะซื้อเป้า 23.50 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาดกำไรปกติ 4Q24 เติบโตทั้ง QoQ และ YoY ดีกว่าเดิมที่คาดว่าจะชะลอลง QoQ เราคาดกำไรสุทธิ 4Q67 ของ BTG ที่ 986 ล้านบาท แต่หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและสินทรัพย์ชีวภาพที่คาดรวมกันที่ 38 ล้านบาท คาดกำไรปกติที่ 948 ล้านบาท เติบโต 4.7% QoQ และพลิกจากขาดทุน 681 ล้านบาท ใน 3Q67 เป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 ไตรมาส ดีกว่าเดิมที่เราประเมินว่าจะชะลอลง QoQ            หนุนจาก GPM ที่ปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง คาดที่ 14.5% (+70 bps QoQ, +610 bps YoY) แม้ราคาขายเฉลี่ยจะลดลงตามทิศทางราคาไก่ที่ปรับลง แต่ได้อานิสงส์จากราคาต้นทุนวัตถุดิบการเลี้ยงที่ต่ำ และการปรับช่องทางการจัดจำหน่าย เน้นช่องทางที่มี GPM สูงขึ้น อาทิช่องทาง Food Service หนุน Product Mix ขณะที่รายได้เราคาดที่ 30,000 ล้านบาท ทรงตัว QoQ และ +10% YoY หนุนจากปริมาณขายที่เติบโตเป็นหลักในทุกธุรกิจหลัก คาด SG&A/Sales ที่ 10.6% (+50 bps QoQ, +100 bps YoY) จากค่าใช้จ่ายโฆษณาและการส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้น ราคาหมู/ไก่ฟื้นหลังปีใหม่ หนุนราคาขายเฉลี่ย ประเมินกำไร 1Q68 โตต่อ QoQ, YoY            เราประเมินแนวโน้มกำไรปกติ 1Q68 จะเร่งตัวเติบโตต่อทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจาก ราคาขายเฉลี่ยคาดว่าดีขึ้น ตามทิศทางราคาหมูในประเทศที่ปัจจุบันปรับขึ้นมาอยู่ที่ 74-75 บาท/กก. สูงกว่าเฉลี่ย 4Q24 ที่ 73 บาท/กก. และเราคาดว่าราคาหมูมีโอกาสปรับขึ้นต่อถึง 2Q68 เป็นอย่างน้อย ไปใกล้เคียงราคาประกาศของ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรที่ 80 บาท/กก. เนื่องจากปัจจุบัน Supply ใหม่ออกสู่ตลาดไม่มากนัก และได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ขณะที่แนวโน้มราคาต้นทุนวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับลงต่อ โดยเฉพาะ ราคากากถั่วเหลือง (20% ของวัตถุดิบการเลี้ยง) หนุนให้ GPM เร่งตัวขึ้นต่อ นอกจากนี้ คาดดีลซื้อ Eggriculture (จำหน่ายไข่ไก่ในสิงคโปร์) สัดส่วน 75% จะแล้วเสร็จใน 1Q68 และเริ่มรับรู้รายได้เป็นไตรมาสแรก ราคาหุ้นปรับลงสวนทางกับแนวโน้มกำไร ... ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”            ราคาหุ้นปัจจุบันปรับลงตามภาวะตลาด ทำให้ซื้อขายบน PER25 เพียง 12 เท่า ต่ำสุดนับตั้งแต่ IPO ไม่สอดคล้องกับแนวโน้มผลประกอบการที่จะเติบโตขึ้นต่อ QoQ และ YoY ใน 4Q24 และ 1Q25 เป็นอย่างน้อย นอกจากนี้ หากกำไรปกติ 4Q67 ใกล้เคียงที่เราคาด จะทำให้ประมาณการกำไรทั้งปี 2567 มี Upside ราว 6% เราคงราคาเหมาะสมที่ 23.50 บาท มี Upside Gain 39.9% ปรับคำแนะนำขึ้นจาก Trading เป็น “ซื้อ” และคาดเงินปันผลจ่ายงวดปี 2567 ที่ 0.34 บาท คิดเป็น Div. Yield 2%

PLANB คาดกำไรปีนี้ที่ 1,111 ลบ.  จ่อนำ AI มาใช้หนุนประสิทธิภาพ OOH

PLANB คาดกำไรปีนี้ที่ 1,111 ลบ. จ่อนำ AI มาใช้หนุนประสิทธิภาพ OOH

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุ PLANB แนวโน้มกำไรยังเติบโตต่อเนื่อง... ราคาลงเป็นจังหวะลงทุน คาดผลประกอบการ 4Q67 ยังเติบโต QoQ, YoY           คาดกำไรสุทธิ 4Q67 ที่ 305 ล้านบาท +8% QoQ, +5% YoY แม้คาดรายได้ชะลอตัว -6% QoQ, -3% YoY จากฐานสูง เนื่องจากไตรมาสก่อนมีบันทึกรายได้บริหารสื่อโฆษณาโอลิมปิกเข้ามาราว 400 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสนี้มีผลกระทบจากน้ำท่วมในบางพื้นที่ช่วงเดือน ต.ค. แต่คาดว่าประสิทธิภาพในการทำกำไรดีขึ้น เนื่องจากไม่มีรายได้จากธุรกิจบริหารสื่อโฆษณาโอลิมปิกที่มีอัตรากำไรที่ต่ำมาก           ขณะที่สัดส่วนรายได้ธุรกิจสื่อนอกบ้าน (OOH) ที่มีอัตรากำไรสูงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น และยังเป็นไตรมาสแรกที่บริษัทจะเริ่มใช้เทคโนโลยี Magnetic 2.0 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ PLANB พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการโฆษณานอกบ้าน (OOH) โดยใช้ AI ขั้นสูง ในการวิเคราะห์และวัดผลสื่อโฆษณาแบบเรียลไทม์ ระบบนี้ทำงานโดยการติดตั้งกล้อง CCTV ไว้ในทำเลยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อเก็บข้อมูลการจราจรที่ผ่านหน้าสื่อโฆษณา ทำให้สามารถกำหนดแผนการโฆษณาที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น           คาด EBITDA Margin ที่ 44.4% ปรับตัวดีขึ้นจาก 3Q67 ที่ 40.9% และ 4Q66 ที่ 42.5%           ภาพรวมปี 2567 คาดกำไรที่ 1,033 ล้านบาท +13% YoY ดีกว่าประมาณการเดิมของเรา 4% ปี 2568 คาดสื่อ OOH ยังเติบโตดีกว่าสื่อออนไลน์           คงประมาณการกำไรปี 2568 ที่ 1,111 ล้านบาท เติบโต 8% YoY โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้ แม้ปี 2568 อุตสาหกรรมโฆษณายังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวในระดับต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการยังคงระมัดระวังในการใช้งบ แต่เราคาดว่าเม็ดเงินของอุตสาหกรรม สื่อนอกบ้าน (OOH) เติบโต 7% YoY ดีกว่าอุตสาหกรรมโฆษณาทั้งระบบที่เติบโต 4% YoY โดยคาดว่า Media Capacity ของ PLANB อยู่ที่ 9,700 ล้านบาท และ Utilization rate ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่ 75% เป็น 80% ธุรกิจ Engagement Marketing ยังเติบโต จากธุรกิจกีฬาและ E-Sport ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตดี ในส่วนของบริษัทลูก I AM คาดว่ามีรายได้จากการจัดงานเพิ่มขึ้นจากการจัดงานเลือกตั้ง BNK ผลบวกเต็มปีจากการใช้เทคโนโลยี Magnetic 2.0 ในการจัดการสื่อโฆษณา (การนำเทคโนโลยี AI และ Big Data มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำหนดกลยุทธ์โฆษณา ช่วยขยายฐานรายได้จากการปรับขึ้นค่าโฆษณา และช่วยบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”           ราคาหุ้น PLANB ปรับลดลงตามตลาด เรามองว่าเป็น จังหวะเข้าลงทุน ซึ่งผลประกอบการของ PLANB ในปี 2567 ถือว่าเติบโตดีกว่ากลุ่มสื่ออื่น ๆ และทำสถิติสูงสุด ขณะที่ปี 2568 คาดว่ายังเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมสื่อ OOH และแผนขยาย Capacity รวมถึงขยายธุรกิจสื่อใหม่ ๆ เพิ่ม           ล่าสุดมีการร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ MAJOR ในการสร้างภาพยนตร์ ซึ่งเป็นโครงการใหม่ที่เรายังไม่ได้รวมในประมาณการ ถือเป็น Upside Risk ในการปรับเพิ่มประมาณการ           เราคง มูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 10.60 บาท อิงวิธี DCF สมมติฐาน WACC 8.0% (Ke 9.1%), Terminal growth 3%

SPALI คาด Q4 กำไรที่ 1.6 พันลบ. เล็งปันผลที่ 0.60 บ. เคาะซื้อเป้า 20.50 บาท

SPALI คาด Q4 กำไรที่ 1.6 พันลบ. เล็งปันผลที่ 0.60 บ. เคาะซื้อเป้า 20.50 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ 1.6 พันลบ. (-20% QoQ, -21% YoY) ปรับตัวลดลง QoQ และ YoY ตามการโอนส่งมอบลดลง ประกอบด้วย 1. แนวสูง ไม่มีโครงการสร้างเสร็จใหม่เริ่มโอน การรับรู้รายได้ส่วนใหญ่จึงมาจากโครงการที่แล้วเสร็จช่วง 9M67 จำนวน 5 แห่ง มูลค่ารวมกว่า 1.6 หมื่นลบ. โดยมีโครงการไฮไลท์ขนาดใหญ่ ได้แก่ Supalai Icon Sathorn ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นลบ. และ 2. แนวราบ แม้มีการเปิดโครงการใหม่จำนวนมากในปี อย่างไรก็ดี ยอด Presales เติบโตอย่างจำกัดตามตลาดแนวราบที่ซบเซา ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดที่ 36.9% (-265 bps QoQ, +200 bps YoY) ตาม Product Mix สัดส่วนการโอนโครงการแนวสูงลดลง (GPM สูงกว่าแนวราบ)หากกำไรปกติ 4Q67 ใกล้เคียงกับที่เราคาด จะส่งผลให้ประมาณการกำไรปกติปี 2567 อยู่ที่ 5.8 พันลบ. (-3% YoY) ใกล้เคียงกับประมาณการเดิมของเรา คาด Presales ปี 2568 เติบโต YoY จากโครงการแนวสูงเปิดใหม่ใน 2H68 บริษัทฯ ประกาศแผนธุรกิจปี 2568 ดังนี้ 1. แผนเปิดโครงการใหม่ 36 แห่ง มูลค่ารวม 4.6 หมื่นลบ. (-10% YoY) โดยเปิดโครงการแนวสูงทั้งหมด 8 แห่ง มูลค่า 1.3 หมื่นลบ. (+21% YoY) ขณะที่ลดการเปิดโครงการแนวราบ เน้นทำเลศักยภาพสูง และเพิ่มโครงการในจังหวัดใหม่ ๆ เช่น ลพบุรี สุพรรณบุรี และเกาะสมุย ซึ่งโครงการเปิดใหม่ราว 80% อยู่ใน 2H68 2. เป้ายอดจองซื้อ (Presales) 3.2 หมื่นลบ. (+20% YoY) (แนวราบ 65% : แนวสูง 35%) 3. รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ 30,000 ลบ. เราประเมินยอด Presales ปี 2568 เติบโต YoY จากฐานต่ำ และแผนเปิดโครงการแนวสูงใหม่ที่เพิ่มขึ้นเด่น อีกทั้งช่วยหนุน Backlog แนวสูงที่อยู่ในระดับต่ำให้กลับมาแข็งแกร่ง และชดเชย Presales แนวราบบางส่วนที่อุปสงค์ยังชะลอตัวจากแรงกดดันปัจจัยมหภาค ปรับลดประมาณการปี 2568 ลง 9% เพื่อให้รัดกุมมากขึ้น            บริษัทฯ มี Backlog สิ้นปี 2024 จำนวน 1.2 หมื่นลบ. ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2025 เพียง 7.5 พันลบ. (คิดเป็น Secured Revenue เพียง 24%) เนื่องจากปี 2025 บริษัทฯ มีโครงการแนวสูงสร้างเสร็จใหม่เริ่มโอนเพียง 1 แห่ง ได้แก่ Supalai Blue Whale Huahin มูลค่า 1.2 พันลบ. (ยอดจองซื้อ 72%) (ลดลงจากปี 2024 ที่มีโครงการสร้างเสร็จใหม่ 5 แห่ง มูลค่ารวม 1.6 หมื่นลบ.) จึงเน้นขายสินค้าแนวสูงที่สร้างเสร็จแล้วพร้อมโอน            ขณะที่อุปสงค์แนวราบยังมีแนวโน้มชะลอตัวและฟื้นตัวช้ากว่าคาดจากปัจจัยกดดันทั้งกำลังซื้อที่ยังชะลอตัว และความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อยังอยู่ระดับสูง ส่งผลให้เรามองการเติบโตของผลประกอบการปี 2025 ค่อนข้างท้าทาย และเพื่อความรัดกุมมากขึ้นจึงปรับประมาณการกำไรปี 2025 ลง 9% เป็น 5.7 พันลบ. (ทรงตัว YoY) โดยมีแรงหนุนสำคัญจากโครงการ JV ในออสเตรเลียที่คาดจะเห็นการโอนส่งมอบเพิ่มขึ้นเด่น YoY หุ้นปันผล... ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 20.50 บาท            จากการปรับประมาณการ ทำให้ได้ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2025 ใหม่ที่ 20.50 บาท/หุ้น แม้ระยะสั้นผลประกอบการมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามตลาดอสังหาฯ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถรักษาระดับ Market share ได้ดีกว่ากลุ่มฯ และเราคาดปันผล 2H24 ที่ 0.60 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. Yield ราว 3-4% และทั้งปีราว...

OR ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว  คาด Q4 พลิกกำไร - เป้า 16 บ.

OR ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว คาด Q4 พลิกกำไร - เป้า 16 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ดาโอ ประเมินว่า OR จะรายงานกำไรสุทธิ 4Q67E ที่ 2.6 พันล้านบาท (สูงกว่าที่คาดก่อนหน้านี้) เทียบกับ กำไร 193 ล้านบาทใน 4Q66 และ ขาดทุน 1.6 พันล้านบาทใน 3Q67 โดยสูงขึ้น YoY, QoQ หลัก ๆ ตามปริมาณขายน้ำมันในประเทศและกำไรขั้นต้นต่อลิตร (GP/litre) ที่สูงขึ้น           ในขณะเดียวกัน เชื่อว่ารายได้ของธุรกิจ Lifestyle จะสูงขึ้นตาม จำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นและยอดขายที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี เชื่อว่าบริษัทจะต้องมีการบันทึกการตั้งสำรองด้อยค่าของสินทรัพย์ (loss on impairment of assets) ที่เป็นไปได้เพิ่มเติมจากการออกจากธุรกิจที่ไม่สร้างกำไร หลังจากรับรู้ผลขาดทุนจาก Texas Chicken และ Kouen Sushi ไปแล้วใน 3Q67 คงประมาณการ กำไรสุทธิปี 2567E/2568E ที่ 6.0/9.1 พันล้านบาท เทียบกับ 1.11 หมื่นล้านบาทในปี 2566 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ ดังนี้: GP/litre จะลดลงอยู่ในช่วง Bt0.84/litre - Bt0.90/litre จาก Bt1.00/litre ในปี 2566 จากผลกระทบของ stock loss EBITDA margin ของธุรกิจ Lifestyle อยู่ที่ 25.3%-26.8% เทียบกับ 26.7% ในปี 2566 สะท้อนผลกระทบจากการตั้ง loss on impairment of assets ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (equity income) ลดลงอยู่ในช่วง 8-117 ล้านบาท เทียบกับ 539 ล้านบาทในปี 2566 เนื่องจาก FX loss สำหรับธุรกิจในเมียนมาร์           ราคาหุ้นปรับตัวลง 28% และ Underperform SET -27% ในช่วง 6 เดือน           ราคาหุ้นสะท้อน ความกังวลต่อ regulatory risk ที่เป็นไปได้ จากการที่กระทรวงพลังงานเตรียมร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่ เพื่อควบคุมเพดานภาษีน้ำมันและการใช้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (oil fuel fund)           แม้ว่าราคาปัจจุบันจะสะท้อน 2568E PER ที่ 14.9x (-3.0SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีของกลุ่มค้าปลีก) แต่ยังมองว่า regulatory risk อาจเป็น overhang ต่อราคาหุ้นในระยะสั้นถึงกลาง Event: 4Q67E Earnings Preview ❑ คาดกลับมารายงานกำไรสุทธิใน 4Q67E ประเมินว่า OR จะรายงานกำไรสุทธิ 4Q67E ที่ 2.6 พันล้านบาท เทียบกับ กำไร 193 ล้านบาทใน 4Q66 ขาดทุน 1.6 พันล้านบาทใน 3Q67 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ ดังนี้ ธุรกิจ Mobility: คาด ปริมาณขายน้ำมันในประเทศที่ 7.1 พันล้านลิตร (+1% YoY, +9% QoQ) QoQ เติบโตแรงตาม อุปสงค์การเดินทางที่สูงขึ้นในช่วงวันหยุด คาด GP/litre ที่ Bt0.90/litre (+20% YoY, +77% QoQ) หนุนจาก stock loss ที่ลดลง ธุรกิจ Lifestyle: คาด รายได้ที่ 6.0 พันล้านบาท (+7% YoY, +8% QoQ) เติบโตตาม จำนวนสาขาของ Café Amazon และร้านสะดวกซื้อที่เพิ่มขึ้น คาด ปริมาณขายเครื่องดื่ม Café Amazon ที่ 103 ล้านแก้ว (+8% YoY, +5% QoQ) คาด EBITDA margin ที่ 22.1% เทียบกับ 25.6% ใน 4Q66 และ 20.2% ใน 3Q67 โดยสูงขึ้น QoQ ตาม loss on impairment of assets ที่ลดลง ธุรกิจ Global: คาด ปริมาณยอดขายน้ำมันในต่างประเทศที่ 512 ล้านลิตร (+38% YoY, -1% QoQ) เติบโต YoY จาก ยอดขายที่ดีขึ้นในฟิลิปปินส์ รายการอื่น ๆ: คาดบริษัทจะมีกำไรจาก รายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน (เช่น FX gain และเครื่องมือทางการเงิน) ที่ 214 ล้านบาท เทียบกับ ขาดทุน 625 ล้านบาทใน 4Q66 ขาดทุน 1.8 พันล้านบาทใน 3Q67 ดีขึ้นหลัก ๆ จาก การรับรู้ FX gain ในไตรมาสนี้ ❑ Regulatory Risk ยังคงเป็น Overhang ในปี 2568E           เชื่อว่าบริษัทจะยังคงเผชิญกับ regulatory risk ในปี 2568E จาก กระทรวงพลังงานมีแผนปรับ โครงสร้างราคาน้ำมันใหม่ ซึ่งอาจกระทบต่อ marketing margin แผนการใช้ ระบบน้ำมันสำรองยุทธศาสตร์ (SPR) แทนการใช้ oil fuel fund อาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันมี ต้นทุนที่สูงขึ้น Implication           คงประมาณการ กำไรสุทธิปี 2567E/2568E ที่ 6.0/9.1 พันล้านบาท เทียบกับ 1.11 หมื่นล้านบาทในปี 2566 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ: GP/litre จะลดลงอยู่ในช่วง Bt0.84/litre - Bt0.90/litre จาก Bt1.00/litre ในปี 2566 จาก stock loss EBITDA margin ของธุรกิจ Lifestyle ที่ 25.3%-26.8% เทียบกับ 26.7% ในปี 2566 Equity income ที่ลดลงอยู่ในช่วง 8-117 ล้านบาท เทียบกับ 539 ล้านบาทในปี 2566 จาก FX loss สำหรับธุรกิจในเมียนมาร์ Valuation / Catalyst / Risk           คง ราคาเป้าหมายปี 2568E ที่ 16.00 บาท อิง PER เป้าหมายที่ 21.1x (-2.1SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีของกลุ่มค้าปลีก)           แม้ว่า ผลประกอบการของบริษัทน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีแล้ว แต่มองว่า regulatory risk ที่ยังไม่ชัดเจน อาจเป็น overhang ต่อราคาหุ้นในระยะสั้นถึงกลาง

SNNP คาดกำไรปีนี้พุ่งนิวไฮ ในประเทศโต – ส่งออก หนุน แนะซื้อเป้า 20.80 บาท

SNNP คาดกำไรปีนี้พุ่งนิวไฮ ในประเทศโต – ส่งออก หนุน แนะซื้อเป้า 20.80 บาท

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาดกำไร Q4/67 ทำ New High ต่อเนื่อง … ยอดขายในเวียดนามเริ่มฟื้นตัว เราคาดรายได้ใน Q4/67 ที่ 1,598 ลบ. (+15.0% QoQ, -2.5% YoY) เนื่องจาก 1. คาดรายได้ในประเทศที่ 1,201 ลบ. เติบโตทั้ง QoQ และ YoY หนุนจากการเข้าสู่ช่วง High season รวมถึงการเร่งออกสินค้าใหม่มากขึ้นในช่วงท้ายปี และ 2. คาดรายได้จากต่างประเทศที่ 398 ลบ. ฟื้นตัวเด่น QoQ และลดลง YoY ในอัตราที่น้อยลงจากใน 3Q24 เนื่องจากการปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าในเวียดนามที่สิ้นสุดลง ส่งผลให้ลูกค้าเริ่มกลับมาออเดอร์สินค้ามากขึ้น รวมถึงการรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายรายที่ 3 ในฟิลิปปินส์เต็มไตรมาส             ขณะที่ GPM คาดที่ 30.3% ดีขึ้นต่อเนื่องทั้ง QoQ และ YoY จาก U-rate ที่สูงขึ้น รวมถึง Product Mix ที่ดีขึ้นจากสัดส่วนรายได้จากการส่งออกที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง ส่วน Siripro คาดขาดทุนน้อยลงต่อเนื่องเป็น 4 ลบ. จากการเริ่มรับรู้ผลที่มากขึ้นของการปรับโครงสร้างธุรกิจที่มีการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริษัทตลอดทั้งปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งสุทธิแล้วทำให้เราคาดกำไรใน Q4/67 ที่ 174 ลบ. (+6.7% QoQ, +5.5% YoY) ทำ New High ได้ต่อเนื่อง คาดกำไรปี 2568 ทำ New High ต่อ จากการเติบโตจากทั้งในและต่างประเทศ             เรายังมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มกำไรปกติในปี 2568 ที่คาดยังสามารถทำ New High ได้ต่อเนื่อง หนุนจากรายได้ที่กลับมาเติบโต YoY ได้อีกครั้งจาก 1. รายได้จากในประเทศที่เติบโตต่อเนื่องจากการได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงขึ้นหนุนการบริโภค ประกอบกับการออกสินค้าใหม่ ๆ ต่อเนื่องเพื่อขยายฐานลูกค้า 2. รายได้จากการส่งออกที่กลับมาเติบโตได้อีกครั้งจากการรับรู้ผลของการปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าในเวียดนามที่สิ้นสุดลงเต็มปี รวมถึงรายได้จากฟิลิปปินส์ที่เติบโตได้ต่อเนื่องจากการรับรู้ผลของการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายทั้ง 3 รายเต็มปี และการเพิ่มผู้จัดจำหน่ายรายใหม่ 1 ราย ตั้งแต่ในช่วง 1Q25 แนะนำ “ซื้อ” ราคาหุ้นถูก และมี Downside risk จำกัด จากโครงการซื้อหุ้นคืน             หากกำไรใน Q4/67 ออกมาใกล้เคียงคาด กำไรของทั้งปีจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประมาณการของเรา จึงยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 และ 2568 ที่ 667 ลบ. (+4.8% YoY) และ 772 ลบ. (+15.8% YoY) ตามลำดับ และคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 20.80 บาท             ราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2567 โดยซื้อขายบน PER25 เพียง 15.1 เท่า คิดเป็น -1.9 SD ของ PE Band ย้อนหลัง 5 ปี เนื่องจากความผิดหวังเรื่องยอดขายในเวียดนามที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น หลังจากการปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าที่สิ้นสุดไปตั้งแต่ในช่วงต้น Q4/67 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ราคาหุ้นในปัจจุบันยังมี Downside จำกัดจากโครงการซื้อหุ้นคืนในช่วง 23 ธ.ค. 24 – 20 มิ.ย. 25 จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

WHA คาดกำไร Q4 พุ่ง 264%  ยอดขายที่ดินทะลุเป้า เคาะเป้า 6.60 บาท

WHA คาดกำไร Q4 พุ่ง 264% ยอดขายที่ดินทะลุเป้า เคาะเป้า 6.60 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.แลนด์แอนด์เฮาส์ คาด WHA กำไร 4Q67F เพิ่มขึ้นเด่น +264% QoQ เป็นจุดสูงสุดของปี แต่ลดลง -31% YoY จากฐานสูง ตามยอดโอนที่ดินแข็งแกร่ง GP ของการโอนที่ดินเพิ่มขึ้นมาก และกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ ส่งผลให้คาดกำไรทั้งปี FY67F +8% YoY ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4           ยอดขายที่ดินปีที่แล้วทะลุเป้า หนุนโดยการขายที่ดินแปลงใหญ่ ขณะที่ปีนี้ยังตั้งเป้า Conservative แต่ยอดโอนที่ดินจะเพิ่มขึ้นอย่างมากตาม Backlog ที่เพิ่มขึ้นราว +50%           แนวโน้มกำไรแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยกำไรมีโอกาสทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องทั้งปีที่แล้วและปีนี้; คงคำแนะนำ “ซื้อ” ประเด็นการลงทุน คาดกำไร 4Q67F เพิ่มขึ้นเด่น +264% QoQ และเป็นจุดสูงสุดของปี เราคาดว่า WHA จะรายงานกำไร 4Q67F (21 ก.พ.) 1.67 พันลบ. (+264% QoQ, -31% YoY) เป็นจุดสูงสุดของปี การลดลง YoY เกิดจากฐานสูงในปีก่อน ทั้งยอดโอนที่ดินและการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ การเพิ่มขึ้น QoQ นอกเหนือจากฐานต่ำตามรายได้อื่นที่ต่ำกว่าปกติและค่าใช้จ่ายภาษีก้อนใหญ่แล้ว ยังเกิดจาก: ยอดโอนที่ดิน 500 ไร่ (+35% QoQ) แบ่งเป็นของ WHA 402 ไร่ และ WHA IER (WHA ถือหุ้น 60%, IRPC 40%) ต่อเนื่อง 98 ไร่ (vs. 199 ไร่ใน 3Q67 ปีที่แล้วไม่มี) GP ของการโอนที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 63% (3Q67: 51.1%, 4Q66: 58.4%) รายได้ธุรกิจโลจิสติกส์ +34% YoY ตามพื้นที่ให้เช่าใหม่ทั้งปี 167,000 ตร.ม. การปรับขึ้นค่าเช่า และรายได้จากธุรกิจ Mobility (ธุรกิจให้เช่ารถ EV) ซึ่งเริ่มธุรกิจเป็นปีแรก รายได้สาธารณูปโภค (WHAUP) +6% YoY ตามปริมาณใช้น้ำเพิ่มขึ้นทั้งปี +7% YoY (ไทย +5% YoY, เวียดนาม +11% YoY) แต่ Excessive charge ลดลง ส่วนแบ่งกำไร (ปกติ) รวม 471 ลบ. โดย WHA IER ลดลงมากตามยอดโอนที่ดินที่ลดลง แต่ส่วนแบ่งกำไรจาก SPP เพิ่มขึ้นตามต้นทุนก๊าซลดลง กำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ WHA IER มูลค่าราว 1 พันลบ. ซึ่งให้มาร์จิ้นสูงราว 50% เนื่องจากเป็นการขายแบบ Leasehold           ทั้งนี้ หากคาดการณ์ถูกต้อง กำไรทั้งปี FY67F 4.79 พันลบ. (+8% YoY) ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ยอดขายที่ดินปีที่แล้วทะลุเป้า ปีนี้ยังตั้งเป้า Conservative WHA ทำยอดขายที่ดินปีที่แล้ว 2,565 ไร่ (-7% YoY) แต่ดีกว่าเป้าหมาย 2,500 ไร่ แบ่งเป็นไทย 2,453 ไร่ และเวียดนาม 112 ไร่ หนุนโดยแปลงใหญ่ 2 แปลงของ Google และ Haier ขณะที่มียอดโอนที่ดิน (รวม บ.ร่วม-WHA IER) 2,070 ไร่ (ไทย 1,727 ไร่, เวียดนาม 343 ไร่) ยอดโอนที่ดินที่ต่ำกว่ายอดขายใหม่ ส่งผลให้ Backlog เพิ่มขึ้นราว 500 ไร่ +50% YoY เป็น 1,538 ไร่ (ของ WHA IER 385 ไร่) ทำให้ยอดโอนที่ดินปีนี้ (FY68F) เฉพาะของไทยอาจทำได้ถึง 2,000-2,100 ไร่ ปีนี้ WHA ยังตั้งเป้ายอดขายที่ดิน Conservative 2,350 ไร่ แบ่งเป็นไทย 1,700 ไร่ เวียดนาม 650 ไร่ แต่เดือน ม.ค. เดือนเดียว ก็ทำยอดขายในไทยไปแล้ว 500 ไร่ ความต้องการที่ดินของลูกค้าที่ต้องการย้ายฐานการผลิตมาไทยและเวียดนามแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้าจีนและไต้หวัน ธุรกิจที่จะรุกหนักในปีนี้คือ ธุรกิจ Mobility ตั้งเป้าลูกค้าเซ็นต์สัญญาใหม่ 1,370 คัน สะสม 1,700 คัน และมีเป้าหมายเชิงรุก 20,000 คันในห้าปีข้างหน้า คำแนะนำ แนวโน้มกำไรแข็งแกร่งต่อเนื่อง; คงคำแนะนำ “ซื้อ” เรามองบวกต่อ WHA จากแนวโน้มกำไรแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยปีที่แล้วคาดกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ตาม Backlog ที่เพิ่มขึ้นมาก กำไรระยะถัดไปถูกหนุนด้วยธุรกิจ Mobility ทำให้ Drivers ของกำไรจะเปลี่ยนไปเป็น Recurring income มากขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปัจจัยเสี่ยง ความเสี่ยงด้านการลงทุนในไทยและต่างประเทศซึ่งมีผลต่อความต้องการที่ดิน ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย กฎระเบียบ และนโยบายของลูกค้าซึ่งมีผลต่อความต้องการที่ดินและบริการสาธารณูปโภค

ตลท.เปิดเฮียริ่งปรับกฏคำนวณดัชนีฯ หุ้นใหญ่ได้เพิ่มสัดส่วนน้ำหนักมากกว่าหุ้นเล็ก

ตลท.เปิดเฮียริ่งปรับกฏคำนวณดัชนีฯ หุ้นใหญ่ได้เพิ่มสัดส่วนน้ำหนักมากกว่าหุ้นเล็ก

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ธนชาต ระบุ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิด hearing การปรับปรุงเกณฑ์คำนวณดัชนีกรณีใช้ capped weight หุ้นรายตัวไม่เกิน 10% สำหรับ SET50/SET50FF/SET100/SET100FF โดยจะมีการ rebalance น้ำหนักหุ้นในดัชนีทุกสิ้นไตรมาส ซึ่งการ hearing จะอยู่ในช่วง 4-17 ก.พ.68 และจะมีการสรุปผลอีกครั้ง จากเกณฑ์ดังกล่าวปัจจุบันหุ้นที่มีน้ำหนักเกิน 10% ใน SET50 จะมีเพียง DELTA ตัวเดียวที่น้ำหนัก 13% ซึ่งหากนำเกณฑ์นี้มาใช้จะทำให้น้ำหนักส่วนเกินของ DELTA (ส่วนเกิน market cap ราว 3.6 แสนล้าน) จะกระจายไปยังตัวอื่น แต่หากเฉลี่ยในหุ้น SET50 แล้วมีผลไม่มากอยู่แค่ราว 0.1% อย่างไรก็ดีมองว่าหุ้นที่มี market cap ใหญ่ อย่าง PTT ,SCB, KBANK, ADVANC, BBL, BDMS, CPN, AOT, GULF, MINT มีโอกาสถูกปรับสัดส่วนน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าหุ้นกลุ่มเล็ก

ตลท.เปิดเฮียริ่ง “ปรับปรุงการคำนวณดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ” วันที่ 4-17 ก.พ.นี้

ตลท.เปิดเฮียริ่ง “ปรับปรุงการคำนวณดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ” วันที่ 4-17 ก.พ.นี้

        หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดรับฟังความคิดเห็น “การปรับปรุงการคำนวณดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 4-17 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.การจัดทำและเผยแพร่ดัชนี SET Index Series ของตลาดหลักทรัพย์ฯ         ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จัดทำและเผยแพร่ดัชนี SET Index Series ซึ่งประกอบไปด้วยดัชนีที่มีความหลากหลาย ทั้งในด้านการคัดเลือกและการคำนวณ เพื่อให้ผู้ลงทุนมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้ดัชนีต่างๆ ได้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ         ดัชนี SET50 และ SET100  ซึ่งเป็น Tradable Index ใช้วิธีการคำนวณดัชนีในรูปแบบ Market Capitalization Weight โดยใช้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในการกำหนดน้ำหนักของหลักทรัพย์แต่ละตัวในดัชนี อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบดัชนีมีขนาดบริษัท (Market Capitalization) ใหญ่อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับหลักทรัพย์อื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบ ซึ่งอาจส่งผลให้หลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่มีสัดส่วนน้ำหนัก (Index weight) ในดัชนีมาก และมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี ทำให้ดัชนีอาจไม่สะท้อนภาพรวมของตลาดอย่างที่ควร การจำกัดน้ำหนักรายหลักทรัพย์จึงเป็นแนวทางเพิ่มเติมที่อาจช่วยให้โครงสร้างดัชนีสมดุลมากขึ้น 2.การจำกัดน้ำหนักหลักทรัพย์ (Capped Weight) ในระดับสากล         เพื่อแก้ปัญหาหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลมากต่อดัชนี ตลาดหลักทรัพย์หรือผู้จัดทำในต่างประเทศจึงเลือกใช้การกำหนด Capped Weight ในการคำนวณดัชนี เพื่อจำกัดสัดส่วนของหลักทรัพย์/กลุ่มหลักทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยการจำกัดน้ำหนักของหลักทรัพย์ในดัชนีนั้นเป็นมาตรฐานที่ใช้ในหลายดัชนีทั่วโลก เช่น EuroStoxx50, HSI, MSCI, CAC40, NASDAQ100 และ Nikkei225 เป็นต้น         จากการศึกษาจากดัชนีชั้นนำในต่างประเทศ การใช้ Capped Weight สามารถดำเนินการได้หลายแนวทาง โดยพิจารณาใน 2 มิติหลัก ได้แก่ การจำกัดน้ำหนักในระดับรายหลักทรัพย์ และ/หรือ กลุ่มหลักทรัพย์ 2.1 การจำกัดน้ำหนักในระดับรายหลักทรัพย์ (Constituent Stock Weight Capping) : เป็นแนวทางที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในดัชนีต่างประเทศ เช่น HSI, MSCI, EuroStoxx50 และ NASDAQ100 โดยกำหนดเพดานน้ำหนักของหลักทรัพย์รายตัวให้อยู่ในช่วง 8-15% เพื่อลดอิทธิพลของหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ 2.2 การจำกัดน้ำหนักของกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่/กลุ่มอุตสาหกรรม (Top-Weight/Sector/Industry Weight Capping) : มีบางดัชนีที่จำกัดน้ำหนักของกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ เพิ่มเติมจากการจำกัดน้ำหนักรายหลักทรัพย์ เช่น ดัชนี NASDAQ100 กำหนดให้ 5 หลักทรัพย์ที่มี Market Capitalization สูงสุด (Top 5) มีน้ำหนักรวมกันไม่เกิน 38.5% เพื่อให้แน่ใจว่าดัชนีไม่ถูกครอบงำโดยหลักทรัพย์ขนาดใหญ่เหล่านั้นด้วย ข้อเสนอในการจำกัดน้ำหนักหลักทรัพย์รายตัวใน SET50 และ SET100 Index Series         ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอให้พิจารณาจำกัดน้ำหนักหลักทรัพย์รายตัว (Constituent Stock Weight Capping) เพื่อช่วยลดอิทธิพลของหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ต่อดัชนี เนื่องจากเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับผลการหารือเบื้องต้นกับผู้ใช้งานดัชนีและผลการศึกษาจากต่างประเทศข้างต้น โดยจะพิจารณานำ Capped Weight มาใช้กับ SET50, SET100, SET50FF และ SET100FF         ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทำการทดสอบ (Index Simulation) พบว่าการจำกัดน้ำหนักหลักทรัพย์รายตัวในดัชนี SET50 และ SET100 ที่ระดับ 10% นั้น สามารถลดอิทธิพลของหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงรักษาโครงสร้างและความสามารถในการสะท้อนภาพรวมของตลาดไว้ได้ นอกจากนี้ ระดับ 10% ยังสอดคล้องกับข้อกำหนดของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่กำหนดให้กองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (Retail Mutual Fund) ไม่สามารถลงทุนในหลักทรัพย์รายตัวเกิน 10% (ประกาศ ทน. 87/2558) ข้อเสนอ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอเสนอแนวทางการปรับปรุงการคำนวณดัชนีด้วยการ Capped Weight รายหลักทรัพย์ ดังนี้ กำหนดให้หลักทรัพย์รายตัวที่เป็นองค์ประกอบในดัชนี SET50, SET50FF, SET100 และ SET100FF มีน้ำหนักไม่เกิน 10% ในแต่ละรอบการคัดเลือก กำหนดให้มีการ Rebalance น้ำหนักของหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีดังกล่าวเป็นรายไตรมาส และในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างรอบคัดเลือก เช่น กรณีหลักทรัพย์ IPO ขนาดใหญ่ หรือกรณีควบรวมและซื้อกิจการ (Merger & Acquisition) โดยแนวทางการ Rebalance จะเน้นการลด Index Turnover ที่ไม่จำเป็น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ใช้ดัชนี

AAVบินสนั่น ดันกำไรทะยาน 552.7% ส่องราคาพื้นฐาน 3.30 บาท

AAVบินสนั่น ดันกำไรทะยาน 552.7% ส่องราคาพื้นฐาน 3.30 บาท

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง AAV ว่า 4Q67 คาดกำไรปกติโตดี แต่มีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้พลิกเป็นขาดทุนสุทธิ 4Q67 การท่องเที่ยวของประเทศยังคงฟื้นตัว          โดยมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 9.46 ล้านคน +18.2% YoY ซึ่งสัดส่วนผู้โดยสารของ AAV เป็นต่างประเทศ 40% แต่การเติบโตในประเทศยังคงต่ำกว่าระหว่างประเทศ ประกอบกับการเปิดเส้นทางบินใหม่ 6 เส้นทาง (ในประเทศ 1 เส้นทาง และระหว่างประเทศ 5 เส้นทาง) คาดผู้โดยสารรวมเพิ่มขึ้น +7.9% YoY ที่ 5.5 ล้านคน ค่าตั๋วเฉลี่ยคาดที่ 1,990 บาท/คน -1.9% YoY จากปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลาย 3Q67 โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในภาคเหนือ จึงไม่สามารถดันราคาตั๋วขึ้นได้ และคาดรายได้เสริมใกล้เคียงปีก่อนที่ 410 บาท/คน          คาดรายได้จากการขาย/บริการที่ 13,191 ล้านบาท +6% YoY ต้นทุนได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันเครื่องบินที่อ่อนตัวลงทั้ง YoY และ QoQ แม้เที่ยวบินเพิ่มขึ้น คาดต้นทุนลดลง -1.4% และ SG&A โตตามเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น จากการใช้จ่ายด้านการตลาดและค่าใช้จ่ายปลายปี คาดมีกำไรปกติที่ 1,308 ล้านบาท +227.1% YoY          แต่เงินบาทปิดอ่อนค่าใน 4Q67 ที่ 33.99 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสิ้น 3Q67 ที่ 32.29 บาท คาดว่าจะมีขาดทุน Fx ที่ 1,736 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร Fx ที่ 2,314 ล้านบาท จึงพลิกเป็นขาดทุนสุทธิที่ 81 ล้านบาท -102.9% YoY จากปีก่อนที่มีกำไร 2,814 ล้านบาท          ภาพรวมทั้งปี 2567 AAV คาดมีรายได้ +19.8% ที่ 49,401 ล้านบาท จากผู้โดยสาร +10.3% เป็น 20.82 ล้านคน และคาดกำไรสุทธิที่ 3,040 ล้านบาท +552.7% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 466 ล้านบาท 1Q68 ยังเป็น high season          ส่วนข่าวดาราจีนถูกหลอกยังไม่มีนัยและน่าจะมีผลระยะสั้น ปกติ 1Q จะเป็น high season ต่อเนื่องจาก 4Q แม้จะมีข่าวนักแสดงจีนถูกหลอกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมียนมา โดยมาลงไทยก่อนเดินไปเมียนมา เกิดกระแสความไม่ปลอดภัยในการเดินทางมาไทย ซึ่งนายกสมาคมโรงแรมไทยให้ข้อมูลช่วง ม.ค. มีการยกเลิกห้องพัก 12,428 ห้อง เป็นนักท่องเที่ยวจีน 4,572 ห้อง ยังไม่ได้มีนัย          แต่ต้องติดตามการแก้ไขของรัฐบาลในเรื่องคนจีนถูกหลอกจากขบวนการค้ามนุษย์ ในขณะที่ข้อมูลของวิทยุการบินแห่งประเทศไทย รายงานปริมาณเที่ยวบินช่วงตรุษจีน 26 ม.ค. – 1 ก.พ. 2568 (7 วัน) จะมีเที่ยวบินทั้งในและระหว่างประเทศรวม 19,305 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 14% โดยเที่ยวบินระหว่างไทย-จีน อยู่ที่ 2,718 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 48% และเป็นสัดส่วนสูงสุดของเที่ยวบินระหว่างประเทศ          ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับ AOT ที่ได้ประมาณการผู้ใช้สนามบิน 6 แห่งของ AOT ช่วงตรุษจีน 24 ม.ค. – 2 ก.พ. 2568 จะมีผู้โดยสารราว 4.03 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเที่ยวบิน 24,599 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 16.7% ยังคงสะท้อนภาพเชิงบวกของนักท่องเที่ยวในช่วงตรุษจีนและการเติบโตของนักท่องเที่ยวใน 1Q68 ได้ดี 1Q68 ยังเป็นไตรมาสที่ดีของ AAV ตามการท่องเที่ยวที่เติบโต และนักท่องเที่ยวอินเดียโตดี          วันที่ 1 ม.ค. - 2 ก.พ. จากรายงานกระทรวงการท่องเที่ยวฯ มีนักท่องเที่ยวมาไทยแล้ว 3.97 ล้านคน +21% YoY โดยนักท่องเที่ยวจีนยังมาเป็นอันดับ 1 และเมื่อดูจากช่วงตรุษจีนที่กล่าวมาข้างต้น แนวโน้มใน 1Q68 ของ AAV คาดว่าจะดีขึ้น YoY เพราะ AAV มีเส้นทางบินไปจีน 12 เมือง ในขณะที่นักท่องเที่ยวอินเดียจะโตได้ดีหลังจากการเจรจาสิทธิการบินระหว่างกันไทย-อินเดียได้ข้อตกลงร่วมกันในการเพิ่มจำนวนที่นั่งฝั่งละ 7,000 ที่นั่ง/สัปดาห์ ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2567 ใน 6 เมืองสำคัญ “มุมไบ-เดลี-เชนไน-กัลกาตา-บังกาลอร์-ไฮเดอราบัด” ซึ่ง 5 ใน 6 เมือง AAV มีเส้นทางบินอยู่ และเปิดเส้นทางบินในประเทศเพิ่ม โดยใช้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นฐานบินไปขอนแก่นและอุดรธานี เริ่ม 1 ก.พ. รวมถึงเข้าร่วมโครงการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt 2.0 สำหรับคนไทยที่ซื้อตั๋วโดยสารเดินทางภายในประเทศตั้งแต่ 16 ม.ค. - 28 ก.พ. ช่วยหนุนผู้โดยสารภายในประเทศ ช่วงที่เหลือของปีจะเปิดเส้นทางบินใหม่จากภูเก็ต-โกชิ เริ่มบิน 11 เม.ย. เป็นเส้นทางบินที่ 3 ที่บินจากภูเก็ตไปอินเดีย ทำให้บินไปอินเดีย 13 เมือง 16 เส้นทางบิน รวมถึงมีแผนเปิดบินไปเมืองออรังคาบัดเป็นเมืองที่ 14 และปี 2568 มีแผนรับเครื่องบินเพิ่ม 6 ลำ เพื่อเน้นตลาดในประเทศ ซึ่งใน 3Q67 AAV มีส่วนแบ่งตลาด 39% มากสุด และอาจเห็นการได้สิทธิการบินที่ 5 (บินไปประเทศที่ 3) จากประเทศอื่นเพิ่มจากเดิมที่ได้สิทธิการบินที่ 5 จากไต้หวันบินไปญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้โดยสาร คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 3.30 บาท ยังโตได้ตามการท่องเที่ยวของประเทศ          ในปี 2568 ทาง ททท. ตั้งเป้าให้ได้นักท่องเที่ยวที่ 40 ล้านคน สูงกว่าก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2562 เล็กน้อย แม้นักท่องเที่ยวจีนอาจยังไม่กลับเท่าปี 2562 ที่ 11 ล้านคน แต่จะเห็นนักท่องเที่ยวชาติอื่น ๆ โตทดแทน อีกทั้งการรับเครื่องบินเพิ่มอีก 6 ลำ มาเน้นตลาดในประเทศที่ AAV มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ซึ่งในปี 2567 AAV คาดการณ์ผู้โดยสาร 20-21 ล้านคน ได้มาที่ 20.82 ล้านคน ก็อยู่ในกรอบเป้าหมาย          ส่วนในปี 2568 ทางฝ่ายคาดผู้โดยสารที่ 22.50 ล้านคนเท่าปี 2562 มีแนวโน้มสูงที่แผนธุรกิจของ AAV ที่ยังไม่ประกาศจะสูงกว่าที่คาดไว้จากการเพิ่มเครื่องบินและจุดบิน คาดในปี 2568 AAV จะมีรายได้ที่ 54,608 ล้านบาท รายได้เฉลี่ย/ตั๋วที่ 2,010 บาท และคาดกำไรสุทธิ (ไม่รวมค่าเงิน) ที่ 3,053 ล้านบาท +9.5% YoY และดีกว่าในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 อิง P/B ของปี 2568 ที่ 3 เท่า (เทียบเท่ากับ P/E ที่ 9 เท่า) ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 3.30 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

SPALI ปี 68 แข็งกว่าอุตสาหกรรม! เป้า 19.50 บาท

SPALI ปี 68 แข็งกว่าอุตสาหกรรม! เป้า 19.50 บาท

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SPALI คาดว่า 4Q67 กำไรอ่อนตัว YoY และ QoQ 4Q67 เปิดตัว 11 โครงการ มูลค่ารวม 15,190 ล้านบาท มี Presale 6,679 ล้านบาท คาดรายได้ 8.4 พันล้านบาท -15.9% YoY และ -13.6% QoQ จากการโอนคอนโด Supalai Icon Sathorn ที่ลดลง และคอนโด Supalai Loft Phasi Chareon Station ที่โอนหมดในช่วง 3Q67 ที่ผ่านมา คาด GPM ที่ 37.5% สูงขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ ตาม Product Mix จากสัดส่วนรายได้คอนโดที่โอน SG&A to Sale คาดที่ 14.9% สูงขึ้น YoY และ QoQ จากปีนี้มีค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้น มีส่วนแบ่งกำไรสูงขึ้น YoY และ QoQ จากการลงทุนในออสเตรเลียที่เพิ่มมากขึ้น คาดกำไร 1,489 ล้านบาท -26.2% YoY และ -25.1% QoQ จะทำให้มีกำไรทั้งปี 67 ที่ 5,690 ล้านบาท -5.0% YoY คาดจ่ายปันผล 2H67 เพิ่มอีก 0.78 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 4.7% จากราคาปัจจุบัน          รวมทั้งปี 67 เปิดตัว 41 โครงการ มูลค่า 52,380 ล้านบาท สูงสุดเท่าที่เคยมีมา ส่วนใหญ่เป็นแนวราบ 37 โครงการ มูลค่า 46,580 ล้านบาท แนวสูง 4 โครงการ มูลค่า 5,800 ล้านบาท ทำ Presale 26,743 ล้านบาท -7.4% YoY ปี 68 รุกตลาดคอนโด คาดกำไรแข็งแกร่งกว่าอุตฯ          แผนปี 68 เปิดตัว 36 โครงการ รวมมูลค่า 46,000 ล้านบาท แม้ลดลงกว่าปีก่อนแต่ถือว่ายังอยู่ในระดับที่สูงกว่าอดีตที่เคยเปิดมา โดยเปิดตัวแนวราบ 28 โครงการ มูลค่ารวม 33,170 ล้านบาท ลดลง YoY ขายร่วมกับแนวราบที่เปิดตัวค่อนข้างมากในปีก่อน เปิดตัวคอนโด 8 โครงการ มูลค่า 12,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ในภาวะภาพรวมของตลาดที่ทำยอดขายได้ไม่ดี ธนาคารยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อโครงการให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯ ซึ่งจะกระทบกับการปล่อยสินเชื่อของโครงการคอนโดใหม่ๆ          ทำให้ในปี 68 จะยังมีซัพพลายคอนโดใหม่เข้ามาลดลง เป็นข้อได้เปรียบของ SPALI ที่มีฐานะทางการเงินที่ดี IBD/E 0.7 เท่า ต้นทุนทางการเงิน 2.97% ตํ่ากว่า MLR เฉลี่ยที่ 6% หันเข้ามาบุกตลาดคอนโดเพิ่มมากขึ้น และด้วยต้นทุนที่ดินที่ต่ำทำให้มีความได้เปรียบในด้านการกำหนดราคาที่ต่ำกว่าแสนบาท/ตรม. เพื่อหวังกินส่วนแบ่งการตลาดในเซกเมนต์นี้          โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขาย 32,000 ล้านบาท สูงขึ้น YoY หลักมาจากการขายคอนโดในปีนี้ที่เปิดโครงการเพิ่มขึ้น ตั้งเป้ารายได้ 30,000 ล้านบาท ลดลง YoY เนื่องจากปี 68 มีคอนโดครบกำหนดโอนเข้ามาลดลง กอปรกับเน้นขายโครงการแนวราบ RTM ที่เปิดตัวในปี 67 ค่อนข้างมาก ส่วนผลประกอบการปี 68 คาดว่ายังคงแข็งแกร่งกว่าอุตฯ จากการลงทุนที่ออสเตรเลียเพิ่มกว่าเท่าตัว (ส่วนแบ่งกำไร) เข้ามาเสริมทดแทนรายได้โอนในไทยที่ลดลง ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 19.50 บาท/หุ้น อิง P/E 6.5 เท่า          ทางฝ่ายฯ ปรับลด GPM ปี 68 ลง จากคาดว่าแนวสูงมีสัดส่วนรายได้โอนลดลงกว่าปี 67 ปรับกำไรปี 68 ลง 7.5% อยู่ที่ 5,689 ล้านบาท ทรงตัว YoY ใช้ P/E เฉลี่ย 1 ปีย้อนหลังที่ 6.5 เท่า บวกค่าความยั่งยืนของกิจการที่ 0.8% ปรับราคาพื้นฐานลงมาที่ 19.50 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

บล.กรุงศรี มองกฟภ.เตรียมตัดไฟ 5 จุดในเมียนมา ไม่กระทบกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP

บล.กรุงศรี มองกฟภ.เตรียมตัดไฟ 5 จุดในเมียนมา ไม่กระทบกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP

         หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า จากข่าวที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เตรียมงดขายไฟฟ้า 5 จุดในประเทศเมียนมา ก่อนที่หน่วยงานที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติจะมีมติการตัดไฟนั้น โดยทั่วไปไม่สามารถทำได้ทันที ทั้งนี้เนื่องจากมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟภ.กับลูกค้า หากจะมีการตัดไฟ กฟภ. จะต้องมีหลักฐานและข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ว่ามีการผิดสัญญาจริง          สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ฝ่ายวิจัยมองว่าไม่มีผลกระทบ เพราะปกติแล้ว กฟภ. จะมีปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว ส่วนจะขายไฟให้ใคร ไม่เกี่ยวกับโรงไฟฟ้า          อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัย คาดว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ ที่ทางกฟภ. ขอให้หน่วยงานความมั่นคงของไทย มีความเห็นว่าจำเป็นต้องตัดไฟ เนื่องจากเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ โดยหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงดังกล่าวคือนายกรัฐมนตรี ก็จะสามารถมีคำสั่งให้ กฟภ. ตัดไฟได้ และถ้าหากจะมีการฟ้องร้อง ก็จะเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ราคาเนื้อสัตว์พลิกฟื้น หุ้นไหนเด็ด เช็กเลย!

ราคาเนื้อสัตว์พลิกฟื้น หุ้นไหนเด็ด เช็กเลย!

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ผลประกอบการของผู้ผลิตเนื้อสัตว์ค่อนข้างแข็งแกร่ง ฝ่ายวิเคราะห์ คาดว่าผลประกอบการรวมของผู้ผลิตเนื้อสัตว์ที่ฝ่ายวิเคราะห์ศึกษาอยู่จะพลิกฟื้นอย่างแข็งแกร่ง YoY เป็นกำไรสุทธิ 7.10 พันล้านบาท (จากขาดทุนสุทธิรวม 986 ล้านบาทใน 4Q66)          จากราคาเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศโดยราคาหมูในประเทศที่เพิ่มขึ้นหลังจากถูกกระทบจากปัญหาหมูเถื่อนเมื่อปีที่แล้วเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ GPM เพิ่มขึ้นอย่างมาก YoY และ หนุนให้ผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่พลิกเป็นกำไรยกเว้น GFPT ซึ่งทำธุรกิจไก่อย่างเดียว          โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะลดลงเล็กน้อย YoY เพราะราคาชิ้นส่วนไก่ลดลง ทั้งนี้ เมื่อเทียบ QoQ เราคาดว่ากำไรสุทธิรวมจะลดลง 30% เพราะเป็นช่วงที่การส่งออกต่ำตามฤดูกาล, ราคาไก่ในประเทศลดลง และ ราคาหมูในต่างประเทศลดลง คาดว่า Betagro (BTG.BK/BTG TB) จะเป็นเพียงบริษัทเดียวในกลุ่มที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ จากการขยายช่องทางการจำหน่ายที่มีอัตรากำไรสูง ซึ่งรวมถึงการส่งออกในไตรมาสนี้ด้วย          ราคาเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนกำไรใน 1Q68F คาดว่าโมเมนตัมผลประกอบการของกลุ่มผู้ผลิตเนื้อสัตว์มีแนวโน้มจะกลับมาเป็นบวกใน 1Q68F จากราคาเนื้อสัตว์ที่ขยับสูงขึ้น โดยราคาหมู และ ไก่ในประเทศเพิ่มขึ้นมาแล้ว 5% และ 9% QTDตามลำดับ          ในขณะเดียวกันคาดว่าต้นทุนอาหารสัตว์จะยังต่ำต่อเนื่องโดยเฉพาะกากถั่วเหลืองซึ่งอยู่ระดับเกือบต่ำสุดในรอบสี่ปี ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าอุปสรรคข้างหน้าจะมาจากฐานการส่งออกไก่ที่สูงใน 2H67 และ อุปสงค์การบริโภคที่อ่อนแอในประเทศจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับ Charoen Pokphand Foods (CPF.BK/CPF TB) โดยเฉพาะการขยายกำลังการผลิตจะเป็นปัจจัยกระตุ้นหลักในปี2568F การขยายกำลังการผลิตตลอดปี 2567 จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2568F          โดยในปีที่แล้ว BTG ได้ทำการขยายกำลังการผลิตของฟาร์มหมู และ ไก่ในประเทศ ซึ่งจะทำให้ได้ประโยชน์จากราคาเนื้อสัตว์ในประเทศที่กำลังขยับสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน Thaifoods Group (TFG.BK/TFG TB) จะได้อานิสงส์จากการที่ราคาหมูในเวียดนามขยับสูงขึ้น          อย่างไรก็ตามโรงงานใหม่ของ GFPT (GFPT.BK/GFPT TB) อาจจะเสร็จช้ากว่ากำหนด จากเดิมคาดเปิดใน 3Q68F Valuation and action ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ “เท่ากับตลาด” โดยคาดว่ากำไรสุทธิรวมในปี 2568F จะลดลงเล็กน้อย ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงเลือก BTG เป็นหุ้นเด่นของในกลุ่มนี้ เพราะโมเมนตัมกำไรที่โดดเด่นทั้งใน 4Q67F และ ในปี 2568F

NOVA แจง “ปาลีรัฐ” ผถห.ใหญ่ ขาย Big Lot รวม 23.58 ล้านหุ้น ลดสัดส่วนถือหุ้นที่ได้มาในเดือนก.ย.67

NOVA แจง “ปาลีรัฐ” ผถห.ใหญ่ ขาย Big Lot รวม 23.58 ล้านหุ้น ลดสัดส่วนถือหุ้นที่ได้มาในเดือนก.ย.67

          หุ้นวิชั่น - บริษัท โนวา เอมไพร์ จำกัด (มหาชน) (NOVA) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสารสนเทศที่บริษัทได้เปิดเผยไปแล้ว ตามหนังสือลงวันที่ 30 กันยายน 2567 และ 1 ตุลาคม 2567 เกี่ยวกับรายการ Big Lot ในหุ้น NOVA จำนวน 15,897,113 หุ้น เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 และรายการ Big Lot ในหุ้น NOVA อีกรายการหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวน 8,685,786 หุ้น           รวมถึงหนังสือชี้แจงสารสนเทศลงวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ซึ่งได้ชี้แจงถึงการไม่มีเจตนาที่จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทฯ (ประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ หรือ Tender Offer) ของนางสาวปาลีรัฐ ปานบุญห้อม แต่เกิดจากการคำนวณสัดส่วนการถือหุ้นตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 246 ที่เกี่ยวข้องกับการนับจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด ซึ่งคำนวณจาก “สิทธิออกเสียงทั้งหมดของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด หักสิทธิออกเสียงของหุ้นที่ซื้อคืน ณ สิ้นเดือนก่อนเดือนที่เกิดรายการ”           ซึ่งจะทำให้จำนวนหุ้นที่นางสาวปาลีรัฐฯ ถืออยู่ก่อนรายการ Big Lot คิดเป็น 24.2% ซึ่งเมื่อเกิดรายการ Big Lot จะเป็นผลให้เป็นผู้ถือหุ้นรวมกันเกินกว่า 25% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ซึ่งมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทฯ ตามมาตรา 247 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง           บริษัทฯ ได้รับแจ้งจากคุณปาลีรัฐฯ ว่าได้ทำรายการ Big Lot ในหุ้น NOVA จำนวน 1,000,000 หุ้น เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 และ Big Lot ในหุ้น NOVA รวมจำนวน 23,582,899 หุ้น เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีเจตนาลดสัดส่วนการถือหุ้นทั้งหมดตามจำนวนที่ได้มาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 และวันที่ 30 กันยายน 2567           ทั้งนี้ ณ ปัจจุบันบริษัทฯ ไม่มีความคืบหน้าหรือการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในระยะเวลาอันใกล้เกี่ยวกับโครงสร้างองค์กร หรือการเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจควบคุมแต่อย่างใด           หากมีความคืบหน้าประการใด บริษัทฯ จะชี้แจงความคืบหน้าให้ทราบโดยทันที

INTUCH อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแกร่ง จับตาแผนควบรวม เป้า 107.7 บ.

INTUCH อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแกร่ง จับตาแผนควบรวม เป้า 107.7 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบถุึง INTUCH ว่า "ซื้อ" INTUCH (Bloomberg Consensus 107.70 บาท) "การควบรวมกับ GULF คาดจะแล้วเสร็จภายใน 2Q68"          บริษัทมีกำไรสุทธิ 3Q67 เท่ากับ 3,459 ล้านบาท ทรงตัว QoQ และ +6% YoY ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งผลกำไรจาก ADVANC จากการรับรู้รายได้ของ TTTBB และการเติบโตปกติของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมถึงการเติบโตของ ARPU และจำนวนเลขหมายที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากการมุ่งเน้นบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ใน 3Q67 INTUCH มีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่าธรรมชาติของเงินลงทุนในโครงการ InVent (เป็นโครงการลงทุนใน Venture Capital) จำนวน 31 ล้านบาท ฝ่ายวิจัยให้ความคิดเห็น          ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นบวกต่อผลประกอบการ 4Q67 โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต QoQ และ YoY ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่แข็งแกร่ง และบริหารต้นทุนด้านเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเติบโตได้ตามเศรษฐกิจที่มีโอกาสขยายตัวจากจำนวน นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ตอบรับมาตรการของภาครัฐ และการเบิกจ่ายภาครัฐที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงท้ายของงบประมาณปี 67 ขณะที่การควบรวมกับ GULF คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2Q68 แนะนำ “ซื้อ”

บ.เอสพีบีแอล โฮลดิ้ง ผถห.อันดับ 2-SOTUS & FAITH #1 LIMITED เข้าเก็บหุ้น EA เพิ่ม

บ.เอสพีบีแอล โฮลดิ้ง ผถห.อันดับ 2-SOTUS & FAITH #1 LIMITED เข้าเก็บหุ้น EA เพิ่ม

          หุ้นวิชั่น - สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการได้มาหุ้นของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) โดยบริษัท เอสพีบีแอล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นการได้มาเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 8.7776% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 15.5254% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาของกลุ่มคิดเป็น 16.9117% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาของกลุ่มคิดเป็น 30.0718% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ           และรายงานการได้มาหุ้นของ EA โดย SOTUS & FAITH #1 LIMITED ซึ่งเป็นการได้มาทางวันที่ 29 มกราคม 2568 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 8.0815% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 14.4413% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาของกลุ่มคิดเป็น 16.9117% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาของกลุ่มคิดเป็น 30.0718% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

บอร์ด PRG อนุมัติเข้าซื้อ ระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์ ของ MBK-AAA

บอร์ด PRG อนุมัติเข้าซื้อ ระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์ ของ MBK-AAA

          หุ้นวิชั่น - บริษัท พีอาร์จี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (PRG) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติอนุมัติให้ซื้อระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จากบริษัท เอ็มบีเค จำกัด (มหาชน) (MBK) (PRG เป็นบริษัทย่อยโดยตรงที่ MBK ถือหุ้น 74.63% ของทุนชำระแล้ว และเป็นผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้น MBK 29.54% ของทุนชำระแล้ว)           และบริษัท แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด (AAA) (บริษัทย่อยที่ MBK ถือหุ้น 53.56% ของทุนจดทะเบียนแล้ว) ให้กับบริษัท พีอาร์จี โกลบอล เอนเนอร์จี จำกัด (PRG-GE) (บริษัทย่อยโดยตรงของ PRG ถือหุ้น 99.99% ของทุนชำระแล้ว) ทั้งนี้ MBK และ AAA จะลงนามสัญญาภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยรายการดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของ MBK           สำหรับ PRG-GE จะซื้อระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของ MBK และ AAA โดยระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของ MBK กำลังผลิตอยู่ที่ 478 kWp และ 40 kWp ประกอบด้วย แผงเซลล์แสงอาทิตย์, อุปกรณ์แปลงไฟฟ้า (Inverter), อุปกรณ์จับยึด (Mounting), และอุปกรณ์อื่นๆ เอกสารหรือคู่มือต่างๆ ของระบบ ซึ่งติดตั้งอยู่บนหลังคาของอาคาร MBK Center และอาคารสำนักงาน AAA โดยหลังจากที่ทาง MBK และ AAA ได้ขายระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่ PRG-GE แล้ว จากนั้น PRG-GE จะเป็นผู้จำหน่ายพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับ MBK และ AAA ต่อไป โดยการซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวเป็นรายการสนับสนุนธุรกิจปกติของ MBK และเป็นรายการธุรกิจปกติของ PRG รายละเอียดระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มีดังนี้ สถานที่ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของ MBK ติดตั้งบริเวณหลังคาของอาคาร เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ เลขที่ 444 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของ AAA ติดตั้งบริเวณหลังคาของอาคารสำนักงาน เลขที่ 99/88 หมู่ 2 ถนนติวานนท์ ตำบลบางกะดี อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ระยะเวลาสัญญา MBK มีระยะเวลาตามสัญญา 8 ปี AAA มีระยะเวลาตามสัญญา 24 ปี (โดยนับจากวันลงนามในสัญญา)           เงื่อนไขกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินที่ติดตั้ง ในระยะเวลาตามสัญญา กรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินจะเป็นของ PRG-GE และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญา MBK และ AAA จะเป็นผู้รับมอบกรรมสิทธิ์ในระบบผลิตไฟฟ้าบนพื้นที่ติดตั้งแต่ละแห่งจาก PRG-GE โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการรับมอบกรรมสิทธิ์เพื่อใช้งานระบบผลิตไฟฟ้าต่อไป           วัตถุประสงค์ในการทำรายการ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ และเป็นธุรกิจใหม่ของ PRG           ทั้งนี้จะมีราคาซื้อรวมทั้งหมด 13,384,706.59 บาท แบ่งเป็น ราคาซื้อจาก MBK 12,301,144.95 บาท (อ้างอิงตามมูลค่าทางบัญชีหลังหักค่าเสื่อมตามอายุการใช้งานของอุปกรณ์) และราคาซื้อจาก AAA 1,083,561.64 บาท (อ้างอิงตามมูลค่าทางบัญชีหลังหักค่าเสื่อมตามอายุการใช้งานของอุปกรณ์)

AOT ลุ้นกำไรโตต่อเนื่อง คาดQ1/68 นทท.หนุน เที่ยวบินแน่น

AOT ลุ้นกำไรโตต่อเนื่อง คาดQ1/68 นทท.หนุน เที่ยวบินแน่น

          หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ประเมินหุ้น AOT โดยมองว่าหากงบ 1Q24/25 ออกมาใกล้เคียงคาด จะคิดเป็น 26% ของประมาณการทั้งปี ฝ่ายวิจัยคงคาดการณ์กำไรปกติปี 2024/25 ที่2.2 หมื่นลบ. (+14% YoY) อิงสมมติฐานจำนวนผู้โดยสาร รวมฟื้นตัว 96% เทียบปี 2562 และจำนวน เที่ยวบินรวมเติบโต 8% YoY ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย คงเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ที่ 69.00 บาท ต่อหุ้น ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ ”           โดยคาดกำไรปกติ 1Q24/25 ที่ 5.6 พันลบ. เติบโตดี28% QoQ จากช่วง High Season และโต 21% YoY ตามการฟื้นตัวเด่นของ ภาคท่องเที่ยวหนุนให้จำนวนผู้โดยสาร และเที่ยวบินรวมเติบโต 15-16% YoY ด้านแนวโน้ม 2Q24/25 (ม.ค-มี.ค.) ฝ่ายวิจัยคาดกำไรเติบโตทั้ง QoQ และ YoY สอดคล้อง กับการเติบโตของจำนวนเที่ยวบิน และ ผู้โดยสารรวม

จับตาจีนขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เริ่ม 10 ก.พ.นี้

จับตาจีนขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เริ่ม 10 ก.พ.นี้

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า Trade war (US Vs China ทางออกยังมี – จีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐในอัตรา 15%, น้ำมันและรถแทรกเตอร์ 10% เริ่มมีผลตั้งแต่ 10 ก.พ. เป็นต้นไป พร้อมกันนี้จีนสั่งให้มีการสอบสวน Google เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐสั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 10%          เราไม่ได้กังวลกับประเด็นนี้เพราะมองเป็นเพียงการตอบโต้ในเชิงสัญลักษณ์เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในอนาคตเท่านั้น เนื่องจากมาตรการตอบโต้ครั้งนี้มีมูลค่าเพียง 13,900 ล้านดอลลาร์ (น้ำมัน, รถแทรกเตอร์, อุปกรณ์การเกษตร 9,500 ล้านดอลลาร์ และ ถ่านหิน, ก๊าซฯ 4,400 ล้านดอลลาร) คิดเป็น 8% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดจากสหรัฐในปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับคำสั่งสอบสวน Google เรามองผลกระทบจำกัดเนื่องจาก Google ถูกสั่งห้ามดำเนินธุรกิจในจีนนับตั้งแต่ปี 2010 การตอบสนองของตลาดหุ้นฮ่องกงน่าจะสอดคล้องกับสิ่งที่เราประเมิน โดยวานนี้ดัชนี ฮั่งเส็งปรับลงทันทีที่มีข่าวจีนเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐแต่จากนั้นดัชนีฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจนปิดตลาดเพิ่มขึ้นได้ราว 2.8%

KSS คาดSET วันนี้ “Sideways Up” ต้าน 1323 จุด ชู KBANK, KTB, ERW เด่น

KSS คาดSET วันนี้ “Sideways Up” ต้าน 1323 จุด ชู KBANK, KTB, ERW เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1315/1323 จุด รับ 1295/1288 จุด ดัชนี S&P500 ฟื้น +0.72% บรรยากาศสงครามการค้าออกในแนวเชิงสัญลักษณ์ ระดับผลกระทบนโยบายระลอกแรก โดยเฉพาะจีนที่มีการตอบโต้ปรับเพิ่มภาษีนำเข้าจากสหรัฐในส่วนน้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติและรถแทรกเตอร์ คิดเป็นมูลค่า 1.39 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็นเพียง 8% ของยอดนำเข้าจากสหรัฐของจีน แม้เราคงมุมมองการใช้นโยบายจะอยู่ในลักษณะดังกล่าว           อย่างไรก็ตาม เราประเมินบรรยากาศลงทุนโดยเฉพาะหุ้นอิงภายนอกยังมีโอกาสผันผวนไปตามจิตวิทยาลบสงครามการค้าสหรัฐและคู่กรณีต่างๆ กลยุทธ์หลัก เน้นหุ้นอิงภายใน ซึ่งปัจจัยหนุนเข้ามาต่อเนื่อง           วานนี้ ครม. อนุมัติ Mega Project ใหญ่ รถไฟความเร็วสูงไทย - จีน เฟส 2 มูลค่า 3.4 แสนล้านบาท, เดินหน้าออกกฎหมายรองรับ Financial Hub ขณะที่นักท่องเที่ยว แม้เป็นช่วงท้ายตรุษจีน 1-2 ก.พ. ยังสูงเฉลี่ยวันละ 1.29 แสนคน ยังมีโมเมนตัมบวกที่อยู่ในระดับใกล้เคียง Pre-Covid กอปรกับ วันนี้ติดตามรายงานเงินเฟ้อ หากขยับขึ้นตามตลาดประเมิน ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสะท้อนภาพบวกภายใน ประเมิน SET วันนี้แกว่งขึ้น หุ้นนำ คือ หุ้น Domestic ธนาคาร ท่องเที่ยว นิคม สื่อสาร รับเหมา วันนี้แนะนำ KBANK, KTB, ERW เด่น

จีนขึ้นภาษีสหรัฐฯ แต่ยังไร้สัญญาเจรจาทรัมป์ มองหุ้นขนาดใหญ่น่าสะสม

จีนขึ้นภาษีสหรัฐฯ แต่ยังไร้สัญญาเจรจาทรัมป์ มองหุ้นขนาดใหญ่น่าสะสม

         หุ้นวิชั่น - บล.พาย เผยจีนขึ้นภาษีสหรัฐฯ ทรัมป์ยังไม่มีท่าทีอะไร แต่ล่าสุดมีรายงานว่าทั้ง 2 ประเทศจะคุยกัน โดยแรงงานสหรัฐฯเริ่มมีสัญญาณชะลอ ในประเทศตัวเลขนักท่องเที่ยว YoY ยังโต หุ้นไทยไม่แพงยังมองเป็นโอกาสสะสม          ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 134 จุด (+0.3%) นักลงทุนคาดหวังว่าสหรัฐฯ กับจีนจะบรรลุข้อตกลงกันได้เช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ สามารถเจรจากับแคนาดาและเม็กซิโกได้ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.3% กังวลอุปสงค์จะถูกกระทบจากสงครามการค้า          เมื่อวานที่ผ่านมาช่วงบ่ายตามเวลาประเทศไทย จีนได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่ม 15% ในสินค้าบางชนิดจากสหรัฐฯประกอบไปด้วย แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันดิบ อุปกรณ์การเกษตร รวมถึงรถยนต์บางประเภทในอัตรา 10% มีผลบังคับใช้วันที่ 10 ก.พ. แต่อย่างไรก็ตามรายงานล่าสุดระบุว่าทั้ง 2 ประเทศเตรียมจะเจรจากันเร็วๆ นี้ หากมีสัญญาณคืบหน้าจะเป็นบวกกับตลาดหุ้น          ส่วนเมื่อคืนสหรัฐฯ ได้รายงานตัวเลขตำแหน่งเปิดรับสมัครงาน (Job Opening) ที่ 7.6 ล้านตำแหน่งแย่กว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 8 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นสัญญาณชี้ถึงตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัว ทำให้เมื่อคืนที่ผ่านมา US Bond Yield กลับมาปรับตัวลง พร้อมกับการอ่อนค่าของ Dollar Index หนุนให้บาทกลับมาแข็งค่า          ระยะสั้นเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย ข้อมูลล่าสุดจาก CME FED Watch ให้น้ำหนักที่ FED จะลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. จากนี้รอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯโดยเฉพาะตลาดแรงงาน คืนนี้จะมีการรายงานการจ้างงานภาคเอกชน (ADP) Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.48 แสนรายและดัชนี PMI จาก ISM Bloomberg ประเมินไว้ที่ 54.2 หากแย่กว่าคาดการณ์จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลก          ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาออกมารายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในช่วง 27 ม.ค.- 2 ก.พ. พบว่าอยู่ที่ 9.46 แสนราย (+7.5%WoW) โดยนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 1.77 แสนราย (-0.5%WoW) มาเลเซีย 1.7 แสนราย (+79%WoW) รัสเซีย 5.5 หมื่นราย (+2.9%WoW) และทำให้ YTD มีนักท่องเที่ยวสะสมราว 3.96 ล้านคน (+21%YoY) หรือ คิดเป็นต่อวันเฉลี่ยที่ 1.35 แสนราย และสร้างรายได้ต่อประเทศ 1.95 แสนล้านบาท          ในขณะเดียวกันเมื่อวานที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติมาตรการดึงดูดผู้ประกอบการธุรกิจการเงินจากต่างประเทศให้มาประกอบธุรกิจในไทยเพื่อหนุนการส่งเสริม Financial Hub เป็นปัจจัยบวกเชิงจิตวิทยาเล็กน้อยต่อการลงทุนในหุ้นไทย          วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,295 - 1,315 จุด ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะสะสมเช่นเดิมในหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) การเงิน (MTC SAWAD) โรงพยาบาล (BDMS) ส่งออก (ITC TU) ธนาคารพาณิชย์ (BBL CREDIT) CREDIT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 24.00 บาท) คาดกำไรสุทธิจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 7.4% ในปี 2568 และ Valuation ที่ไม่แพงซื้อขายที่ 0.9x PBV’25E และ 6.1x PE’25E บนสมมติฐาน ROE สูงที่ 15.6% อย่างไรก็ดี CREDIT อาจไม่เหมาะกับการลงทุนเพื่อรับเงินปันผล เพราะคาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเพียง 0.8% ในปี 2568 เพราะ CREDIT ต้องรักษาเงินกองทุนระดับสูงเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อ สำหรับผลกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2567 แข็งแกร่งที่ 1.2 พันล้านบาท (+65.8% YoY, +2.6% QoQ) ด้านคุณภาพสินเชื่อ NPL ratio ลดลงที่ 4.4% และ Coverage ratio เพิ่มขึ้นเป็น 148.6% CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 87.00 บาท) ไตรมาส 4/2567 ยังมีมุมมองเดิมที่คาดว่ารายได้จะกลับมาเติบโตจากไตรมาส 3/2567 เพราะเป็นช่วง High Seasons ของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงยอดการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่จะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งหลังมี Backlog รอโอนกว่า 5,700 ล้านบาท ซึ่งประมาณ 1,100 ล้านบาทจะรับรู้เข้ามาได้ในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้

นักท่องเที่ยวล่าสุดเพิ่ม8% ชู CENTEL-MINT เด่น

นักท่องเที่ยวล่าสุดเพิ่ม8% ชู CENTEL-MINT เด่น

          หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ระบุว่า นักท่องเที่ยวสัปดาห์ล่าสุด (27 ม.ค.-2 ก.พ.) เพิ่มขึ้น +8% WoW จากมาเลเซียและรัสเซีย รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 ม.ค.-2 ก.พ.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 946,958 คน (+8% WoW/+23% YoY) คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 135,280 คน           โดยประเทศที่เพิ่มขึ้นเรียงตามลำดับ คือ 1) มาเลเซีย 170,797 คน (+80% WoW/+122% YoY) ซึ่งเรามองว่าเติบโตแบบปกติ เพราะช่วงตรุษจีนปีก่อน +64% WoW และ 2) รัสเซีย 55,359 คน (+3% WoW) ส่วนประเทศที่ลดลงเรียงตามลำดับ คือ, 1) ไต้หวัน (ขึ้นมาติดอันดับ 5 ใน Top 5 จากเดิมที่อยู่อันดับ 6) อยู่ที่ 33,878 คน (-16% WoW), 2) เกาหลีใต้ 45,902 คน (-10% WoW/+4% YoY) และ 3) จีน 177,834 คน (-0.5% WoW/+3% YoY)           โดยการเพิ่มขึ้นมาจากนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน รวมถึงการมีมาตรการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และมาตรการด้านวีซ่าของรัฐบาล สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-2 ก.พ. 24 ทั้งสิ้น 3,967,469 คน เพิ่มขึ้น +21% YoY (ที่มา: กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา)           มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวรวมที่ทำสถิติสูงสุด ตั้งแต่มีการรายงานตัวเลขรายสัปดาห์มา ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนปรับตัวลดลงเล็กน้อย -0.5% WoW ซึ่งหากเที่ยบค่าเฉลี่ย 2 สัปดาห์ที่เป็นช่วงสัปดาห์ก่อนตรุษจีนและช่วงตรงกับวันตรุษจีนของปี 2024 ที่ตรงกับวันที่ 10 ก.พ. 24 พบว่าค่าเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 185,182 คน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของ 2 สัปดาห์ของปี 2025 ที่อยู่ที่ 178,298 คน ถือว่ามีการปรับตัวลดลงเพียง -3% เมื่อเทียบกับช่วงตรุษจีนของปีก่อน ทำให้เรามองว่าผลกระทบจากความไม่ปลอดภัยน่าจะจำกัดมากขึ้น เมื่อเทียบกับข่าวก่อนหน้านี้ที่สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ATTA) คาดนักท่องเที่ยวจีนจะลดลงถึง 10-20%           อย่างไรก็ดี เราคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์ในช่วง 3-9 ก.พ. 25 จะทำได้เพียงทรงตัว เพราะเพิ่งผ่านเทศกาลตรุษจีนไป แต่เราคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องช่วง 1Q25E เพราะเป็นช่วง High season ของไทย และการเข้ามาของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรปที่เข้ามาช่วยหนุนเป็นหลัก           ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวเดือน ม.ค. 25 อยู่ที่ระดับ 3.7 ล้านคน ซึ่งเท่ากับช่วงก่อนโควิดในเดือน ม.ค. 19 แล้ว แม้ว่านักท่องเที่ยวจีนปี 24 จะกลับมาเพียง 61% จากปี 19 ก็ตาม สำหรับภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2025E ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและนักท่องเที่ยวจีนที่เราประเมินไว้           โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้ในประเทศ ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHRคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2025E เพิ่มขึ้น +10% YoY และนักท่องเที่ยวจีน +19% YoY เรายังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2025E จะอยู่ที่ 39 ล้านคน เพิ่มขึ้น +10% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 8 ล้านคน เพิ่มขึ้น +19% YoY Valuation/Catalyst/Risk ให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดย Top pick ของกลุ่มชอบ CENTEL, และ MINT CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) จาก 4Q24E-1Q25E โตได้ต่อเนื่องจากการเข้าสู่ High season ขณะที่กำไรปกติปี 2025E จะเติบโตได้สูงที่สุด (+18% YoY) เมื่อเทียบกับ MINT และ ERW MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2025E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่คาดกำไรปกติ 4Q24E จะโต YoY/QoQ ได้ต่อเพราะเป็น High season ที่ไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน ประกอบกับมีแผนการจัดตั้ง REIT ที่จะช่วยลดความผันผวนได้หลาย