Key Highlights:
• (Figure 1) ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มูลค่าตราสารหนี้คงค้างเฉพาะที่เป็นตราสารหนี้ระยะยาวภาคเอกชน มีมูลค่าอยู่ที่ 4.35 ล้านล้านบาท ลดลง 0.46% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยในปัจจุบันมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในปี 2567 มูลค่าคงเหลือ 0.21 ล้านล้านบาท จากยอดครบกำหนดของทั้งปีที่ 0.89 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 4.8% ของมูลค่าหุ้นกู้ระยะยาวคงค้างทั้งหมด
Figure 1 : Outstanding Value of Long-term Bond with Maturity
• ในเดือนกันยายน NWR และ EP ได้ขอเลื่อนชำระหนี้หุ้นกู้ออกไป ส่งผลให้สถานการณ์ภาพรวมตลาดหุ้นกู้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีผู้ออกหุ้นกู้ขอเลื่อนชำระรวมอยู่ที่ 12 ราย ขณะที่หุ้นกู้ที่มีการผิดนัดชำระของปีนี้ ยังคงอยู่ที่ 3 ราย (DP: Default Payment) แม้จะมีหุ้นกู้ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย DP เพิ่มในเดือนกันยายนอย่าง WTX แต่บริษัทก็ได้ชำระดอกเบี้ยเป็นที่เรียบร้อยภายในเดือนเดียวกัน
• จากสถานการณ์หุ้นกู้ข้างต้น ยิ่งทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น จนส่งผลต่อบริษัทผู้ออกระดมทุนผ่านหุ้นกู้ได้ยากขึ้น โดยเฉพาะผู้เล่นรายใหม่และบริษัทที่ออกหุ้นกู้ในกลุ่ม High-Yield ซึ่งเรามองว่าได้มีส่วนที่ทำให้มูลค่าหุ้นกู้เสนอขายในเดือนกันยายนนี้ลดลง 32.85% YoY
• (Figure 2) กลุ่มธุรกิจพลังงาน (ENERG) กลุ่มเงินทุน (FIN) และ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีหุ้นกู้คงค้างในตลาดปัจจุบันมากที่สุดตามลำดับ โดยกลุ่มธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ มีสัดส่วนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระคงเหลือภายในปีมากที่สุด ด้วยมูลค่า 45.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 8.5% ของมูลค่าคงค้างรวมในกลุ่ม ขณะที่รองลงมา เป็นกลุ่มอสังหาฯ ด้วยมูลค่าที่จะครบกำหนดภายในปีเหลือ 39.1 พันล้านบาท หรือ 8% ของมูลค่าคงค้างรวมในกลุ่ม
Figure 2 : Outstanding Value of Long-term Bond with Maturity by Sector
หุ้นกู้เสนอขายในเดือนกันยายน 2567
•ในเดือนกันยายน 2567 ตราสารหนี้ระยะยาวภาคเอกชนที่ขึ้นทะเบียนกับทาง ThaiBMA จำนวน 37 รุ่น จาก 18 บริษัท มูลค่ารวม 62.89 พันล้านบาท ลดลง 22.61% MoM และลดลง 32.85% YoY เรามองว่าส่วนหนึ่งยังมาจากบริษัทผู้ออกกำลังดูแนวโน้มดอกเบี้ยที่จะมีการประชุมในวันที่ 16 ตุลาคม 67 นี้
•ผู้ออกรายใหญ่ในเดือนกันยายน ได้แก่ GULF และ BJC ซึ่งมีมูลค่าการออกหุ้นกู้รวม 38.0 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 60.42% ของมูลค่าผู้ออกหุ้นกู้รวมในเดือน
•หากไม่นับกลุ่มสถาบันการเงิน มูลค่าการระดมทุนจะอยู่ที่ 61.8 พันล้านบาท สะท้อนว่าในเดือนกันยายนบริษัทในกลุ่มสถาบันการเงินมีการออกหุ้นกู้น้อยเมื่อเทียบกับหลายเดือนที่ผ่านมาของปีนี้
•หุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนที่เสนอขายในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ประกอบด้วย หุ้นกู้ในกลุ่ม Investment grade ทั้งหมด 22 รุ่น (Issue rating) ได้แก่ BJC, GULF, NOBLE, BGRIM, BEM, SJWD, PRIN, UNIQ, KTX
•ส่วนหุ้นกู้กลุ่มที่ไม่มีการจัดอันดับเครดิตจำนวน 15 รุ่น (Issue rating) จาก FSX, NUSA, CHAYO, GRAND, RML, DTP, NCH, FPT, PTTC
•FSX (FINANSIA X PUBLIC COMPANY LIMITED) เป็นผู้ออกตราสารหนี้ระยะยาวรายใหม่ในเดือนกันยายน
• (Table 2) จากตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวที่ขึ้นทะเบียนในเดือนกันยายน เราพบว่าส่วนใหญ่สามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมาย ยกเว้น 6 บริษัทจากทั้งหมด 18 บริษัทผู้ออก ส่วนหนึ่งเรามองว่านักลงทุนมีตัวเลือกจากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้รายใหญ่ที่มีมูลค่าการระดมทุนสูงและนักลงทุนยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
Table 2: Long- Term Corporate Bonds for Sales Registered in September 2024
การปรับอันดับเครดิตองค์กร (Issuer Rating)
ในเดือนกันยายน 2567 TRIS Rating เพิ่มอันดับ เครดิตองค์กร 3 แห่ง คือ BCP BSRC และ BBGI
ลดอันดับ เครดิตองค์กร 7 แห่ง คือ PSH PS EP AGE SG LALIN และ LH
การปรับเพิ่มอันดับเครดิต
•BCP (Bangchak Corporation) ถูกปรับเพิ่มอันดับเครดิตจาก A เป็น A+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable จากการที่บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นภายหลังการเข้าซื้อกิจการของ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) ทำให้บริษัทมี EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 6.0-7.0 พันล้านบาทต่อปี รวมถึงกำลังการผลิตของโรงกลั่นและปริมาณการขายผ่านช่องทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น สถานะทางธุรกิจที่ดีขึ้นมาจากการขยายขนาดของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งการบูรณาการในแนวดิ่งและการลงทุนที่กระจายตัว ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นต่อความผันผวนของราคา โดยการปรับเพิ่มอันดับของ BCP ได้ส่งผลต่อการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทย่อยอย่าง BSRC จาก A เป็น A+ และ BBGI จาก A- เป็น A
การปรับลดอันดับเครดิต
- PSH (Pruksa Holding) ถูกปรับลดอันดับเครดิตจาก A- เป็น BBB+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable เนื่องจากผลการดำเนินงานยังคงอ่อนแอกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความเสี่ยงจากการลงทุนขนาดใหญ่และภาระหนี้ของกลุ่มบริษัทที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยและหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อการปรับลดของบริษัทย่อยหลักอย่าง PS (Pruksa Real Estate) ในอันดับเดียวกัน
- EP (Eastern Power Group) ถูกปรับลดจากเดือนก่อนอีกครั้ง จาก BB เป็น BB- ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Negative เนื่องจากสภาพคล่องที่อ่อนแอ ส่งผลต่อความเสี่ยงที่บริษัทจะไม่สามารถชำระหนี้ที่จะครบกำหนดในระยะอันใกล้ได้ ซึ่งบริษัทได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลาไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไป 1 ปีเป็นที่เรียบร้อย
- AGE (Asia Green Energy) ถูกปรับลดจาก BBB- เป็น BB+ แนวโน้มอันดับเครดิตยังคง Negative สะท้อนความสามารถในการทำกำไรลดลงอย่างต่อเนื่อง และความไม่แน่นอนของการเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท เอเชีย ไบโอแมส ซึ่งทริสมองว่าการรวมบัญชีงบการเงินของ ABM จะส่งผลให้สถานะการเงินบริษัทด้อยลงได้
- SG (S 11 Group) ถูกปรับลดจาก BBB- มาอยู่ที่ BB+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable สะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอจากการลดลงอย่างรวดเร็วของอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อภายหลังการบังคับใช้เพดานดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์
- LALIN (Lalin Property) ถูกปรับลดจาก BBB+ เป็น BBB แนวโน้มอันดับเครดิต Stable สะท้อนผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าคาดและภาระหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยและหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ส่งผลต่อกำลังซื้อบ้านที่อ่อนแอลง
- LH (Land and Houses) ถูกปรับลดจาก A+ เป็น A แนวโน้มอันดับเครดิตยังคง Stable ต่อเนื่อง การปรับลดสะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดและระดับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สรุปภาพรวมใน 9 เดือนแรก 2567 ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร 33 แห่ง ขณะที่เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร 12 แห่ง
หุ้นกู้เสนอขายใหม่
•สำหรับตราสารหนี้ภาคเอกชนที่จะเสนอขายในช่วงกลางเดือนตุลาคม ได้แก่ TSE, TAA, CMC, TBEV, TNL, CIMBT, JMT, WEH, PF และในต้นเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ PF, SST, ADVANC
(Table 1) เราได้จัดทำตารางที่แสดงค่าเฉลี่ยของอัตราคูปองหุ้นกู้ที่อายุ 2 ปี แยกตามเรทติ้ง (Issue Rating) และอุตสาหกรรมของหุ้นกู้ที่จะเสนอขายดังกล่าว เพื่อเป็นข้อมูลเปรียบเทียบเบื้องต้นให้กับผู้ที่สนใจ
อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม คลิก https://app.visible.vc/shared-update/52af336a-9226-4a1c-85f9-1448ca47d4b8
LINE OA FynnCorp https://lin.ee/wiSLCuK