หุ้น mai


[Vision Exclusive] ITTHI เป้าแบ็กล็อกไฟชนพันล้าน

[Vision Exclusive] ITTHI เป้าแบ็กล็อกไฟชนพันล้าน

          หุ้นวิชั่น - ITTHI ส่งซิกธุรกิจปี 68 สดใส จับตาผลงานโตก้าวกระโดด  ตั้งเป้า Backlog แตะพันล้านบาท จากปัจจุบันที่ 400 ล้านบาท ฟากผู้บริหาร "ธนเสฏฐ์ อัครบุญญาพัฒน์" จับโรงไฟฟ้า วิจัยภาคเกษตรเสริมแกร่ง จ่อบุ๊กงานใหม่โค้งแรกเพียบ           นายธนเสฏฐ์ อัครบุญญาพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิทธิฤทธิ์ ไนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITTHI เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ทิศทางธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากโครงการภาครัฐที่ทยอยออกมา ขณะเดียวกันบริษัทได้รับงานไฟถนนนวัตกรรมไทยของงานโครงการภาครัฐ จากต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 19 จังหวัด จากเดิม 11 จังหวัด ซึ่งจะช่วยเสริมการเติบโตในอนาคต โดยโครงการที่บริษัทดำเนินโครงการมา มีมูลค่า 194 ล้านบาท แบ่งเป็น งานภาคกลาง มูลค่า 128 ล้านบาท ภาคะตัวนตก มูลค่า 9 ล้านบาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 57 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน จากภาคกลาง 66% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 29% และ ภาคตะวันตก 5%           บริษัทมีศักยภาพในการรับงานเพิ่มเติม เนื่องจากมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งจากผลประกอบการที่ทำกำไรได้ดีและมีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ           และในไตรมาส 1/2568 บริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้จากการส่งมอบสินค้าจำนวนมาก โดยงานบางส่วนถูกเลื่อนมาจากปี 2567 ซึ่งมูลค่างานที่ถูกเลื่อนมาอยู่ที่ประมาณ 50-60 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีงานใหม่ที่เซ็นสัญญามาอีก 90 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้ทิศทางรายได้ของบริษัทในไตรมาสแรกปี 2568 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง           ITTHI ตั้งเป้าหมายการขยายงานในปี 2568 โดยคาดว่า Backlog หรือ งานในมือจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มี Backlog อยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านบาท หากบริษัทสามารถเพิ่ม Backlog ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ในปี 2568 คาดว่าแนวโน้มรายได้ของบริษัทจะเติบโตก้าวกระโดดจากปี 2567 โดยการขยายฐานลูกค้าและโครงการใหม่ๆ จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ           นายธนเสฏฐ์ กล่าวต่อว่า  ในปี 2568 บริษัทจะเห็นการเปิดตัวธุรกิจใหม่ที่ชัดเจน โดยจะมีการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าและโครงการวิจัยเกี่ยวกับภาคเกษตร ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการเติบโตของบริษัท นอกจากนี้ ธุรกิจเดิมของบริษัทยังคงเติบโตต่อเนื่องจากโครงการต่างๆ ที่ทยอยออกมา โดยบริษัทมั่นใจว่าโครงการใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2568 และเสริมความหลากหลายให้กับธุรกิจของบริษัทในระยะยาว           อนึ่ง ITTHI  ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าส่องสว่าง และอุปกรณ์ประเภท IET รวมทั้งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ           ขณะที่ 9 เดือนแรกปี 2567 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 470.14 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18.79 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

MGI ได้มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ซื้อลิขสิทธิ์จาก JKN

MGI ได้มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ซื้อลิขสิทธิ์จาก JKN

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน MGI บอร์ดอนุมัติเข้าลงทุนซื้อลิขสิทธิ์จัดประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) คาดใช้เงิน 180 ล้านบาท 5 ปี จาก JKN Global Content Pte. Ltd.           นายณวัฒน์ อิสรไกรศีลประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2568 ซึ่งประชุมในวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติอนุมัติเรื่องสำคัญจำนวน 2 รายการ ดังต่อไปนี้ รายการที่ 1 อนุมัติการเข้าลงทุนโดยการซื้อลิขสิทธิ์การจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 180 ล้านบาท รวมถึงการเข้าทำสัญญาซื้อลิขสิทธิ์และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเข้าลงทุนดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้           บริษัทเข้าซื้อลิขสิทธิ์การจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) สำหรับปี 2568 ถึงปี 2572 รวมทั้งสิ้น 5 ปี จาก JKN Global Content Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)           มูลค่าเงินลงทุน บริษัทจะต้องชำระค่าลิขสิทธิ์เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 180 ล้านบาท ให้กับ JKN Global Content Pte. Ltd. โดยวัตถุประสงค์ในการลงทุน เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจภายในของกลุ่มบริษัท โดยการขยายฐานการประกวดนางงามไปยังเวทีการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ซึ่งเป็นเวทีระดับโลก นอกเหนือจากเวทีการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนลที่บริษัทดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน การลงทุนในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ในระดับสากล นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการและผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นในระยะยาว บริษัทจะชำระค่าลิขสิทธิ์จำนวน 150 ล้านบาท จากแหล่งเงินทุนดังนี้ (1) เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทจำนวน 30 ล้านบาท และ (2) การกู้ยืมเงินจากนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัท โดยไม่มีหลักประกันในวงเงินกู้ 150 ล้านบาท           รายการที่ 2 อนุมัติการกู้ยืมเงินจากบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน โดยไม่มีหลักประกันในวงเงินกู้ไม่เกิน 150 ล้านบาท รวมถึงการเข้าทำสัญญากู้เงินและเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียดดังนี้ บริษัทจะกู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัท โดยไม่มีหลักประกัน วงเงินกู้ไม่เกิน 150 ล้านบาท ("วงเงินกู้") มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.5 ต่อปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าดอกเบี้ยที่บริษัทจะต้องชำระตลอดช่วงเวลาที่กู้ยืมเงินตามสัญญาจำนวนไม่เกิน 7.5 ล้านบาท โดยมีกำหนดการชำระคืนเงินกู้ภายใน 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ผู้กู้ขอเบิกใช้วงเงินกู้ ผู้ให้กู้ : นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ผู้กู้ : บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ความสัมพันธ์ : ผู้ให้กู้เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัท กล่าวคือ เป็นกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในฐานะผู้กู้ โดย ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 42.88 ของทุนจดทะเบียนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้วของบริษัท วัตถุประสงค์ในการกู้ยืมเงิน : เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการซื้อลิขสิทธิ์การจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) (รายละเอียดตามรายการที่ 1)

MOTHER ลุย “ชำระหนี้-ขยายสาขา” ลดต้นทุนการเงิน ดันผลงานโต

MOTHER ลุย “ชำระหนี้-ขยายสาขา” ลดต้นทุนการเงิน ดันผลงานโต

          หุ้นวิชั่น - MOTHER เดินหน้าสร้างการเติบโตธุรกิจตามแผน! นำเงินระดมทุนคืนหนี้ ลดภาระต้นทุนทางการเงิน สร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมรุกเปิดสาขาเพิ่ม 3 แห่ง เจาะทำเลยุทธศาสตร์ท่องเที่ยว รองรับกลุ่มลูกค้าคนไทย-ต่างชาติ ด้านกลุ่มผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร ยืนยันชัดเจนไม่มีใครขายหุ้นออก มั่นใจธุรกิจสดใส หนุนรายได้ปี 68 โต 5-10% ตามเป้า           นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ "Mother Supermarket" และ "Mother Marche" ในจังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง ในจังหวัดกระบี่ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า ภายหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัท ช่วยลดภาระหนี้ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต และเพิ่มศักยภาพการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ           ทั้งนี้ บริษัทพร้อมเดินหน้าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับนักลงทุน นำเงินจากการระดมทุนไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน เพื่อให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน ส่งผลให้ธุรกิจคล่องตัว มีผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทไม่มีภาระต้นทุนทางการเงิน โดยวางเป้าหมายรายได้ปี 2568 เติบโต 5-10% จากปี 2567           นอกจากนี้ บริษัทจะขยายสาขาเพิ่มตามแผนที่กำหนดในปี 2568 อย่างน้อย 3 สาขา บนทำเลศักยภาพสูงในแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าในพื้นที่ นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ สนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และทำให้เกิด Economies of Scale เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันและอำนาจการต่อรอง ช่วยทำให้ต้นทุนลดลงในอนาคต และสนับสนุนให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนเงินที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รองรับการขยายธุรกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุนอย่างมั่นคง           โอกาสนี้ บริษัทขอยืนยันว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของ MOTHER ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร ไม่มีการขายหุ้นออกแต่อย่างใด โดยพร้อมใจร่วมกัน Lock up หุ้น 100% เนื่องจากมีความเชื่อมั่นต่อปัจจัยพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่องไปในระยะยาว ด้วยจุดเด่นของบริษัท มีสาขาตั้งอยู่ทำเลยุทธศาสตร์ของการท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทย และต่างชาติได้เป็นอย่างดี สะท้อนภาพจากอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (same store sales growth) ที่เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ตลอดจนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อทิศทางการเติบโตของ MOTHER ในระยะยาว           “การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต โดยพื้นฐาน MOTHER  ทำธุรกิจครอบครัว จึงพร้อมใจ Lock up หุ้น 100% โดยไม่มีการขายหุ้น เพราะมั่นใจธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง และพร้อมดำเนินธุรกิจที่ควบคู่ไปกับหลักธรรมาภิบาล จึงทำให้ได้รับการยอมรับของคนในท้องถิ่น จึงขอให้นักลงทุนเชื่อมั่น โดยผู้บริหารทุกคนพร้อมดูแลธุรกิจและสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน” นายเอกพงศ์ กล่าว [PR News]

NDR ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1 พันลบ. รุกตลาดอังกฤษ-ญี่ปุ่น

NDR ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1 พันลบ. รุกตลาดอังกฤษ-ญี่ปุ่น

         บมจ. เอ็น.ดี. รับเบอร์ หรือ NDR วางเป้ารายได้ในปีนี้ ไว้ที่  1,000 ล้านบาท เล็งขยายตลาดยางรถจักรยานยนต์ไปยังอังกฤษ – ญี่ปุ่น ลุยศึกษาความเป็นไปได้ในสหรัฐฯ พร้อมยังมุ่งเสริมศักยภาพการเติบโตผ่านธุรกิจใหม่ ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ คาดติดตั้งเครื่องจักรในไตรมาส 2/2568  เริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ สนับสนุนการเติบโตระยะยาว          นายชัยสิทธิ์  สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี. รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR ผู้ผลิตและจำหน่ายยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์ N.D.Rubber  เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 2568 ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจหลัก คือ ผลิตและจำหน่ายยางในและยางนอกรถจักรยานยนต์ ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 90-95% โดยบริษัทฯมีแผนขยายตลาดไปยังประเทศอังกฤษและญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น หลังจากได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดีจากการเข้าสู่ตลาดในปีที่ผ่านมา  อีกทั้งยังเตรียมศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายตลาดไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม          ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังมุ่งเสริมศักยภาพการเติบโตผ่านธุรกิจใหม่ โดยให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด ผ่านการลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจและสอดคล้องกับเทรนด์สิ่งแวดล้อมที่ทุกอุตสาหกรรมให้ความสำคัญ การขยายเข้าสู่ธุรกิจชีวมวลนี้จะช่วยสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจหลัก และคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทในระยะยาว โดยธุรกิจนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้  ประมาณ 5% ของรายได้รวม          “เราได้ขยายโอกาสการลงทุนไปยังธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต ได้แก่ ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอ BOI คาดว่าเครื่องจักรจะเข้ามาประมาณไตรมาส 2/2568  และจะเริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นการต่อยอดธุรกิจของ NDR เพื่อสร้างความยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวโน้มพลังงานสะอาดของโลก” นายชัยสิทธิ์ กล่าว          กรรมการผู้จัดการ NDR กล่าวเพิ่มว่า แผนการลงทุนในปี 2568 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ ประมาณ 150 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบลงทุนในธุรกิจยางรถจักรยานยนต์ประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งจะใช้สำหรับการเปลี่ยนเครื่องจักรเป็นระบบ Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุน ควบคุมการสูญเสีย และลดการใช้แรงงาน ส่วนอีก 100 ล้านบาทจะใช้สำหรับการลงทุนในเครื่องจักรสำหรับธุรกิจชีวมวล เพื่อรองรับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพในอนาคต [PR News]

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

AUCT กำไรปี67ทำได้341ล้าน โต 6.7% ตามปริมาณรถจบประมูลเพิ่มขึ้น

AUCT กำไรปี67ทำได้341ล้าน โต 6.7% ตามปริมาณรถจบประมูลเพิ่มขึ้น

            หุ้นวิชั่น - บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT  รายงานผลการดำเนินปี 2567 เผยมีรายได้จากการให้บริการ 1,290.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.96 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 4.7 โดยมีรายได้จากการประมูล 1,094.93 ล้านบาท รายได้ค่าขนย้ายและบริการเสริม 195.32 ล้านบาท ส่งผลมีกำไรสุทธิเท่ากับ 371.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.36 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 6.7             นายวรัญญู ศิลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ (AUCT) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ที่ผ่านมาว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 317.55 ล้านบาท ลดลง 11.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยมีรายได้จากการประมูลเท่ากับ 270.90 ล้านบาท ลดลง 9.85 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 7.46 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนรายได้ค่าขนย้ายและบริการเสริมในไตรมาส 4/2567 เท่ากับ 46.65 ล้านบาท ลดลง 1.95 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 0.16 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากจำนวนรถที่เข้าสู่ลานประมูลและรถที่จบประมูลเริ่มชะลอตัวลงในช่วงปลายของไตรมาส 4/2567              สำหรับผลประกอบการปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 1,290.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.96 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 4.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายได้จากการประมูลเท่ากับ 1,094.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.70  ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.8 เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีรายได้ค่าขนย้ายและบริการเสริมเท่ากับ 195.32 ล้านบาท ลดลง 1.74 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.9 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถเข้าประมูลและรถจบประมูลในภาพรวมทั้งปี ส่งผลให้ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 371.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.36 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับปีก่อนตามปริมาณรถจบประมูลที่เพิ่มขึ้น             นายสุธี สมาธิ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มของธุรกิจว่า  จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมา ทั้งการแจกเงินหมื่นให้ผู้สูงอายุ การช่วยเหลือชาวนาไร่ละหนึ่งพันบาท Easy E-Receipt และมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ตลอดจนการคงนโยบายอัตราดอกเบี้ย และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น ปัจจัยบวกต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคม 2567 ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะช่วยผ่อนคลายให้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นในอนาคตได้ แต่ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ยังมีความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง และเศรษฐกิจไทยที่แม้จะปรับตัวดีขึ้นแต่ยังฟื้นตัวช้า             นอกจากนี้แล้ว การอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินยังคงมีความเข้มงวด สอดคล้องกับทิศทางการชะลอตัวของยอดจัดสินเชื่อรถยนต์ใหม่ เห็นได้จากยอดขายรถยนต์ใหม่ปี 2567 ที่ลดลงร้อยละ 26.2 เมื่อเทียบกับปี 2566 ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกันยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แสดงถึงความต้องการใช้เงินสดหมุนเวียนเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือเพื่อเป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ยังมีปริมาณรถไหลเข้าสู่ธุรกิจประมูลอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปี 2568 ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตามสถานการณ์ควบคู่กันไปอย่างใกล้ชิด โดยบริษัทฯ ยังคงแผนการเพิ่มคู่ค้าทางธุรกิจทั้งที่เป็นสถาบันการเงินและที่ไม่ใช่สถาบันการเงินอย่างสม่ำเสมอ

PIS ควง SKY คว้างาน NT มูลค่า 992 ลบ. เดินหน้านโยบาย “LEVEL-UP THAILAND”

PIS ควง SKY คว้างาน NT มูลค่า 992 ลบ. เดินหน้านโยบาย “LEVEL-UP THAILAND”

           หุ้นวิชั่น - บมจ.โปร อินไซด์ (PIS)  ฟอร์มเจ๋ง! กิจการค้าร่วม SP ที่ร่วมกับ SKY คว้างาน NT มูลค่ากว่า 992 ล้านบาท เดินหน้านโยบาย “LEVEL-UP THAILAND” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยด้วยเทคโนโลยี ดัน Backlog พุ่งแตะ 3,000  ล้านบาท  ฟากผู้บริหาร "เบญญาภา เฉลิมวัฒน์" แย้มอยู่ระหว่างร่วมประมูลงานภาครัฐหลายโปรเจค หลังจากได้เงินไอพีโอ เพิ่มโอกาสคว้างานใหญ่เติมพอร์ต มั่นใจรายได้ปี 68 เติบโตเกิน 15% ตามนัด            นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) ผู้ให้บริการ ICT Solution ครบวงจร เปิดเผยว่า กิจการค้าร่วม เอสพี (SP Consortium) ของ PIS ที่จับมือร่วมกับ บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) (SKY) โดยแบ่งสัดส่วนรับผิดชอบดำเนินโครงการ PIS 49% และ SKY 51% ได้มีการลงนามในสัญญาโครงการจัดซื้อระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทยกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) มูลค่า 992 ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย กิจกรรมที่ 1 การพัฒนาระบบบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ โดยมีระยะเวลาการดำเนินงาน 180 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา            ระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข คือ การนำระบบและเทคโนโลยีดิจิทัลในรูปแบบแพลตฟอร์มกลางเข้ามาใช้ เพื่อเชื่อมโยงระบบการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัล โดยข้อมูลสุขภาพของประชาชนจะสามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ไร้รอยต่อ ตามแนวทางของเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ (eHealth Strategy) กระทรวงสาธารณสุข ในการนำพาประเทศไปสู่ Health 4.0 โดยมีเป้าหมายสำคัญ เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้เข้าถึงการบริการและการรักษาได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น            โดยหน่วยบริการสุขภาพสามารถเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับการวินิจฉัย วางแผนการรักษา เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งต่อการรักษาในกรณีฉุกเฉิน รองรับการให้บริการทางการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ลดความแออัดในโรงพยาบาล ช่วยยกระดับคุณภาพการให้บริการด้านสุขภาพให้มีมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตนเองได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น            "การได้รับงานของ NT ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานภาครัฐ ที่ให้ความไว้วางใจ PIS ในฐานะผู้นำการให้บริการ ICT Solution ครบวงจร ภายใต้ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และเป็นมืออาชีพ มีประสบการณ์มายาวนาน"            ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PIS กล่าวอีกว่า หลังการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯผ่านการขายไอพีโอ ทำให้บริษัทฯมีเงินทุนพร้อมเข้าร่วมประมูลงานของภาครัฐที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น เพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต หลังจากได้รับงาน NT ในครั้งนี้ ทำให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) แตะ 3,000 ล้านบาท รวมทั้งอยู่ระหว่างการประมูลงานและรอผลประมูลงานในหลายโปรเจค ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแนวโน้มรายได้ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เติบโตอย่างก้าวกระโดด และมั่นใจว่ารายได้ในปี 2568 จะเติบโตเกิน 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้            ก่อนหน้านี้ กิจการค้าร่วม พี ที เอ็น พี ใอ (PTNPI) ที่ PIS ได้จับมือกับบริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด (PORTALNET) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท สามารถเทเลคอม จำกัด (มหาชน) (SAMTEL) ได้มีการลงนามสัญญาจ้างกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำหรับงานจ้างดูแลบำรุงรักษาระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป สำหรับธุรกิจหลัก (รชธ.) และบูรณาการระบบงานที่เกี่ยวข้อง มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ PIS 46% และ PORTALNET 54%            ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการในเดือนเมษายน 2568 ระยะเวลาการดำเนินงาน 24 เดือน ซึ่งPIS จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่เริ่มให้บริการ            อนึ่ง บมจ.โปร อินไซด์ (PIS)  เป็นผู้นำในธุรกิจ ICT Solution  ให้บริการด้านการให้คำปรึกษา ออกแบบพัฒนา และติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารครบวงจร ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) SKY หรือ สกาย กรุ๊ป

AU ขนมหวานซ่อนมูลค่า โกลเบล็กแนะ

AU ขนมหวานซ่อนมูลค่า โกลเบล็กแนะ "ซื้อ" อัพไซต์ 60%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง AU ว่า "ซื้อ" (ราคาเหมาะสม 13.50 บาท) มีอัพไซต์ 60% แนวโน้มกำไร 4Q67 อาจต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม แต่อมองบวกต่อแนวโน้มปี 68           • คาดแนวโน้มกำไร 4Q67 คงเติบโตต่อเนื่อง YoY แต่อาจทรงตัว QoQ (จากเดิมคาดโต QoQ) โดยแม้เข้าสู่ High Season ของธุรกิจ แต่คาดจะได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักในโซนภาคเหนือและภาคใต้ อย่างไรก็ตาม คาดยังคงเติบโต YoY จากการขยายสาขาใหม่ต่อเนื่องสู่ 63 แห่ง (+3 แห่ง YoY +2 แห่ง QoQ) รวมทั้งการเริ่มวางขายสินค้าใน 7-Eleven เมื่อช่วง ก.ค. 67 โดยเดิมเราประมาณการกำไรปี 67 ราว 296 ลบ. +66% YoY (9M67 คิดเป็น 71%) ซึ่งอาจมี Downside Risk จากประมาณการดังกล่าว (คาดประกาศงบ 4Q67 วันที่ 24 ก.พ. 68)           • ความเห็น : ฝ่ายวิเคราะห์มองเป็นกลางต่อแนวโน้ม 4Q67 ที่อาจต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม แต่ยังคงมองบวกต่อแนวโน้มปี 68 ที่คาดจะเติบโตต่อเนื่อง โดยผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 68 เติบโตราว 25-30% ซึ่งมีความกระตือรือร้นกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10-15% โดยคาดจะเติบโตดีตั้งแต่ 1Q68 เป็นต้นไป โดยมีเหตุผลสนับสนุนคือ 1) ผลิตภัณฑ์ใหม่ "ขนมปังคัสตาร์ดไข่เค็มหน้าฝอยทอง" ที่เพิ่งออกมีกระแสดี 2) เพิ่งรองรับสิทธิ์ Easy E-Receipt ได้เป็นปีแรก 3) โรงงานสำหรับผลิตสินค้าเพื่อส่งร้าน 7-Eleven เสร็จแล้ว และยังมีแผน OEM หรือร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อส่งสินค้าเข้าสู่ร้าน 7-Eleven เพิ่มเติม 4) ขยายสาขา After You อีก 8-10 แห่ง และ 5) แผนขยายแฟรนไชส์ไปยังต่างประเทศอีก 2 แห่ง ทั้งนี้คงประมาณการกำไรปี 68 ราว 332 ลบ. +15% YoY และราคาเหมาะสม 13.50 บาท มีอัพไซต์ 60% แนะนำ "ซื้อ"

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

DOD เร่งปั๊มผลงานฟื้น-เป้ารายได้800ล.

DOD เร่งปั๊มผลงานฟื้น-เป้ารายได้800ล.

        หุ้นวิชั่น - DOD เร่งปั๊มผลงานปี 68 ฟื้น ด้านผู้บริหาร "ต่อลาภ ไชยเชาวน์" สั่งลุยขยายฐานลูกค้าเพิ่มยอด ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะ 800 ล้านบาท ฉายภาพธุรกิจ AWL ไปได้สวย พร้อมเปิดโอกาสลงทุนเสริมทัพ         นายต่อลาภ ไชยเชาวน์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ในปี 2568 บริษัทจะมุ่งเน้นธุรกิจหลักคือการผลิตอาหารเสริม โดยจะเน้นขยายฐานลูกค้าและหาลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการแข่งขันในตลาดสูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าการได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่จะยากขึ้นกว่าที่ผ่านมา แต่จะยังคงพยายามสนับสนุนลูกค้าเก่าที่มีศักยภาพและช่องทางการขายที่ดี เพื่อผลักดันให้ลูกค้าเหล่านั้นกลายเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม         DOD ได้ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยมีการยุติการดำเนินงานของบริษัท สยาม เฮอเบิล เทค จำกัด (SHT) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต ขณะเดียวกันธุรกิจในกลุ่มของ DOD ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัท ออสเวลไลฟ์ จำกัด (AWL) ซึ่งสามารถทำผลประกอบการได้ดีในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าในปี 2568 ธุรกิจของ AWL จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง         บริษัทวางแผนการลงทุนในปี 2568 ด้วยงบประมาณ 30-40 ล้านบาท เพื่อลงทุนในเครื่องจักรสองประเภท ได้แก่ เครื่องจักรทดแทนแรงงานคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดระยะเวลาในการทำงาน และเครื่องจักรสำหรับผลิตอาหารเสริมในรูปแบบกัมมี่ ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศในขณะนี้         ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายในการผลักดันผลประกอบการให้กลับมาเป็นบวกในปี 2568 หลังจากขาดทุนติดต่อกันและไม่สามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนการผลิตให้มากที่สุด เพื่อให้ผลการดำเนินงานในปีนี้กลับสู่สถานะกำไร         DOD ตั้งเป้ารายได้รวมในปี 2568 ไว้ที่ประมาณ 700-800 ล้านบาท โดยคาดว่ารายได้จาก DOD จะอยู่ที่ 350-400 ล้านบาท และรายได้จากบริษัท ออสเวลไลฟ์ จำกัด (AWL) จะอยู่ที่ประมาณ 250-270 ล้านบาท         สำหรับแผนการขยายธุรกิจ บริษัทไม่ได้ปิดกั้นโอกาสในการลงทุนผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) โดยยังคงมองหาโอกาสเพื่อสร้างฐานการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอาหารเสริม หรือธุรกิจที่ใกล้เคียงกับ AWL รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

WINNER ยกเลิก “AT-ZE” ยันไม่ผลกระทบธุรกิจ

WINNER ยกเลิก “AT-ZE” ยันไม่ผลกระทบธุรกิจ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน WINNER ปรับโครงสร้างธุรกิจ รับโอน “AT-ZE” ทั้งหมด และยกเลิกบริษัทดังกล่าว ยันไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท           นางสาวกนกพรรณ เกรียงไกรกฤษฎา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ WINNER แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ตามที่ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ของบริษัท วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”)           เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ได้มีมติอนุมัติการรับโอนกิจการทั้งหมดจาก บริษัท เอสเธติค ซีเครท (แอท-ซี) จำกัด (“AT-ZE”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิวเครื่องสำอาง อาหารเสริม สมุนไพร และผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างภายในกลุ่มบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมเดียวกันให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวมากขึ้น           รวมถึงช่วยลดกิจกรรมการทำงานที่ซ้ำซ้อน ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานนั้นบริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการรับโอนกิจการทั้งหมดจาก AT-ZE แล้วเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในวันเดียวกัน AT-ZE ได้ดำเนินการจดทะเบียนเลิกบริษัทต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์และจะดำเนินการชำระบัญชีตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดต่อไป ทั้งนี้ การเลิกบริษัทย่อยดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ แต่อย่างใด

AUCT ธุรกิจประมูลรถสดใส ปี67กำไร 371.29 ล้านบาท หรือโต 6.7%

AUCT ธุรกิจประมูลรถสดใส ปี67กำไร 371.29 ล้านบาท หรือโต 6.7%

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน AUCT ปี 67 มีกำไร 371.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 66 จำนวน 23.36 ล้านบาท หรือเติบโต 6.7% ส่วนรายได้รวมทำได้ 1,290.25 ล้านบาท ชี้นโยบายรัฐหนุนความเชื่อมั่นผู้บริโภค บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2567 จำนวน 75.13 ล้านบาท ลดลง 18.03 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 17.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สำหรับปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 371.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.36 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามปริมาณรถจบประมูลที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการในไตรมาส 4/2567 เท่ากับ 317.55 ล้านบาท ลดลง 11.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการประมูลเท่ากับ 270.90 ล้านบาท ลดลง 9.85 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 7.46 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนรายได้ค่าขนย้ายและบริการเสริมในไตรมาส 4/2567 เท่ากับ 46.65 ล้านบาท ลดลง 1.95 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 0.16 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากจำนวนรถที่เข้าสู่ลานประมูลและรถที่จบประมูลเริ่มชะลอตัวลงในช่วงปลายของไตรมาส 4/2567 สำหรับปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 1,290.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.96 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายได้จากการประมูลเท่ากับ 1,094.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.70 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.8 เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีรายได้ค่าขนย้ายและบริการเสริมเท่ากับ 195.32 ล้านบาท ลดลง 1.74 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.9 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถเข้าสู่ประมูลและรถจบประมูลในภาพรวมทั้งปี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมา ทั้งการแจกเงินหมื่นให้ผู้สูงอายุ การช่วยเหลือชาวนาไร่ละหนึ่งพันบาท, Easy E-Receipt และมาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ตลอดจนการคงนโยบายอัตราดอกเบี้ยและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น ปัจจัยบวกต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคม 2567 ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะช่วยผ่อนคลายให้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นในอนาคตได้ แต่ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ยังมีความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง และเศรษฐกิจไทยที่แม้จะปรับตัวดีขึ้นแต่ยังฟื้นตัวช้า ด้านการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินยังคงมีความเข้มงวด สอดคล้องกับทิศทางการชะลอตัวของยอดจัดสินเชื่อรถยนต์ใหม่ เห็นได้จากยอดขายรถยนต์ใหม่ปี 2567 ที่ลดลงร้อยละ 26.2 เมื่อเทียบกับปี 2566 ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกันยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แสดงถึงความต้องการใช้เงินสดหมุนเวียนเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือเพื่อเป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ยังมีปริมาณรถไหลเข้าสู่ธุรกิจประมูลอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ยังมีแผนการเพิ่มคู่ค้าทางธุรกิจทั้งที่เป็นสถาบันการเงินและที่ไม่ใช่สถาบันการเงินอย่างสม่าเสมอ และมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท วันที่ 14 ก.พ.68 มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้น จากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ก.ค. 2567 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2567 โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 16 เม.ย. 2568 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 11 เม.ย. 2568 ในอัตรา 0.32 บาทต่อหุ้น และจะจ่ายปันผล วันที่ 2 พ.ค. 2568

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

CHEWA ปี 67 ขาดทุน 356.90 ล้านบาท ชี้ภาวะอสังหาฯหดตัว

CHEWA ปี 67 ขาดทุน 356.90 ล้านบาท ชี้ภาวะอสังหาฯหดตัว

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน CHEWA ขาดทุน 356.90 ล้านบาท เทียบกับปี 666 ขาดทุน 68 ล้านบาท ส่วนรายได้ทำได้ 1,903.31 ล้านบาท ใกล้เคียงเป้า 2,000 ล้านบาท ชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์หดตัว           นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า จากผลการดำเนินงานประจำปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีการขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานสำหรับปีจำนวน 356.90 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 288.90 ล้านบาท จากปี 2566 ขาดทุน 68 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมปี 2567 ทำได้ 1,903.31 ล้านบาท เทียบกับปี 2566 ที่ 1,878.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.35 ล้านบาท หรือโต 1.30%           สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงอยู่ในภาวะหดตัวอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ แม้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐที่ลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองจากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 2.0 และขยายเพดานราคาสินทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการจาก 3 ล้านบาทเป็น 5 ล้านบาทจนถึงสิ้นปี 2567 ก็ตาม นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยโยบายที่ปรับลดลงแล้ว และมีแนวโน้มปรับลดเพิ่มเติมในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้นยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค           อย่างไรก็ตามในส่วนของทางบริษัทนั้น แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากกระแสของลูกค้าที่ชะลอตัว จากสถิติที่ผ่านมาทางบริษัทพบว่า จำนวนลูกค้าที่เข้าชมโครงการไม่ได้มีอัตราลดลง แต่ลูกค้าใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจนานขึ้น รวมถึงโอกาสในการขอสินเชื่อสำเร็จลดลง ทางบริษัทจึงมีการปรับนโยบายและโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับสถานการณ์รวมถึงกระแสของธุรกิจ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในการขอสินเชื่อแก่ลูกค้าในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ทางบริษัทยังมีการจัดเก็บข้อมูลและสอบถามความคิดเห็นจากลูกค้าอย่างใส่ใจ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ทำให้ลูกค้าทุกคนประทับใจทั้งก่อนการขายและหลังการขาย           ในปี 2567 บริษัทได้ขยายโครงการแนวสูงในโครงการคอนโดมิเนียม "ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา" มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท ภายใต้การร่วมทุนกับบริษัท นิปปอน สตีล โควะ เรียลเอสเตท จำกัด (NIPPON STEEL KOWA REAL ESTATE) ผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น โดยเปิดให้เข้าชมโครงการและเปิดจองสำหรับลูกค้าเป็นครั้งแรกในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าในพื้นที่เป็นอย่างดี มียอดจองในวัน Soft launch แรกของงานมากกว่า 300 ล้านบาท และในปัจจุบันยังคงได้รับการตอบรับที่ดี มียอดจองเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คาดว่างานก่อสร้างจะแล้วเสร็จในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 และสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงไตรมาสที่ 4           นอกจากการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทมีแผนขยายโครงการอย่างต่อเนื่องในปี 2568 โดยมุ่งเน้นทั้งโครงการแนวสูงและโครงการโรงงานให้เช่าภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่หลากหลาย

MOTHER มั่นใจธุรกิจแกร่ง ท่องเที่ยวหนุนโต

MOTHER มั่นใจธุรกิจแกร่ง ท่องเที่ยวหนุนโต

          หุ้นวิชั่น -  MOTHER มั่นใจในพื้นฐานธุรกิจแกร่ง คาดยอดขายปี 68 โตสองหลัก "เอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์" เร่งเครื่องผุดสาขาใหม่ทำเงิน ปักธงขยายสาขาพื้นที่กระบี่เพิ่ม 3 แห่ง เล็งเห็นโอกาสเติบโตภาคใต้ ชี้ท่องเที่ยวฟื้นตัว            นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคภายใต้แบรนด์ “Mother Supermarket” และ “Mother Marche” เปิดเผยกับ ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า บริษัทมั่นใจในความแข็งแกร่งของพื้นฐานธุรกิจ โดยเฉพาะการจำหน่ายสินค้าขายส่ง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทสามารถจำหน่ายสินค้าได้ในปริมาณที่สอดคล้องกัน           นอกจากนี้ สถานการณ์ท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียง ที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง ได้ส่งผลดีต่อทุกกลุ่มผู้ประกอบการ รวมถึงธุรกิจของ MOTHER ซึ่งคาดว่าจะเติบโตได้ไม่แพ้กับการเติบโตของสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงนี้           สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2568  MOTHER คาดว่าจะมีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจดีกว่าช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากหลังจากที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้มีการเสริมสร้างเงินทุนหมุนเวียนเพื่อขยายกิจการมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าในปี 2568 จะมีการเติบโตในแง่ยอดขาย อัตราสองหลัก หรือ 2 ดิจิ โดยมาจากการขยายสาขาเพิ่มเติมในปีนี้อีก 2-3 สาขาในเขตจังหวัดกระบี่           นายเอกพงศ์ กล่าวถึง การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น MOTHER ว่า เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างหนัก ซึ่งทางบริษัทมองว่าเป็นเรื่องปกติของการซื้อขายหุ้น โดยทางผู้บริหารยังคงมีความเชื่อมั่นในผลประกอบการและการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัท พร้อมยืนยันว่าในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ บริษัทจะจัดประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เพื่อพิจารณาและอนุมัติผลการดำเนินงาน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

SPVI กวาดรายได้ 6,831 ล้านบาท iStudio - ออนไลน์ขายดี

SPVI กวาดรายได้ 6,831 ล้านบาท iStudio - ออนไลน์ขายดี

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า SPVI แจ้งรายได้ปี 67 ที่ 6,831.40 ล้านบาท iStudio - ออนไลน์ดันยอดโตเล็กน้อย จากปี 66 ที่ 6,770.05 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 48.39 ล้านบาท           SPVI ประกาศผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า SPVI กำไรสุทธิสำหรับปี 2567 มีจำนวน 48.39 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนจำนวน 51.80 ล้านบาท คิดเป็นการลดลงร้อยละ 51.70 ขณะที่กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 4/2566 มีจำนวน 13.26 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 5.53 ล้านบาท คิดเป็นการลดลงร้อยละ 29.43 โดยอัตรากำไรสุทธิสำหรับปี 2567 และสำหรับไตรมาส 4/2567 เท่ากับร้อยละ 0.71 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่เท่ากับร้อยละ 1.48 และร้อยละ 0.99 ตามลำดับ           นอกจากนี้ รายได้จากการขายและการบริการสำหรับปี 2567 มีจำนวน 6,831.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 61.35 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.91 จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในช่องทาง iStudio และออนไลน์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ iPhone ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายและการบริการสำหรับไตรมาส 4/2567 มีจำนวน 1,847.75 ล้านบาท ลดลง 39.18 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.08 จากช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากรายได้ในช่องทาง Corporate ที่ลดลง เนื่องจากบริษัทฯ ไม่มีงานโครงการขนาดใหญ่เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา และมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท วันที่ 13 ก.พ.68 มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้น จากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2567 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2567 โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 6 มี.ค. 68 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 5 มี.ค.68 ในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น และจะจ่ายปันผล วันที่ 25 เม.ย.68

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

KLINIQ เปิดสาขาใหม่ทำเงิน โกลเบล็กเคาะเป้า 39.60 บาท

KLINIQ เปิดสาขาใหม่ทำเงิน โกลเบล็กเคาะเป้า 39.60 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง KLINIQ ว่า คาดกำไร 4Q67 ราว 77 ลบ. -1%YoY, +4%QoQ ขณะที่คาด SSSG +13%YoY           ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์รายได้จากการขายและบริการจำนวน 800 ลบ. +7%QoQ, +24%YoY จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เติบโตราว 13%YoY และการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่ที่เปิดในช่วง 9M67 โดยในงวด 4Q67 มีการเปิดสาขาใหม่ 6 สาขาแบ่งเป็นแบรนด์ L.A.B.X 3 สาขา แบรนด์ The KLINIQUE 2 สาขา และแบรนด์ KLINIQ Wellness Spa 1 สาขา ขณะที่มีการปิด 3 สาขาเนื่องจากทำเลของที่ตั้งสาขามีจำนวนคนเดินศูนย์การค้า (Traffic) น้อยกว่าที่บริษัทคาด ทำให้ปี 67 มีสาขารวม 72 สาขา           คาดอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ที่ระดับ 51.0% ปรับตัวลดลง QoQ จาก 51.5% ในงวด 3Q67 เนื่องจากมีการเปิดสาขาใหม่ซึ่งจะมีต้นทุนเข้ามาในช่วงแรก และลดลง YoY จาก 53.0% ใน 4Q66 เนื่องจากการเติบโตของรายได้ THE KLINIQUE SURGERY CENTER และ L.A.B.X ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมี Margin ต่ํากว่าแบรนด์ THE KLINIQUE ส่งผลให้เราคาดว่ากำไรสุทธิงวด 4Q67 อยู่ที่ราว 77 ลบ. +4%QoQ, -1%YoY คงคาดการณ์กำไรปี 67-68 ราว 301 ลบ. และ 363 ลบ. เติบโต 4% และ 21% ตามลำดับ ปี 68 บริษัทตั้งเป้าเปิด 10 สาขา คาดการณ์รายได้ปี 67-68 ที่ 2,939 ลบ. +29%YoY และ 3,439 ลบ. +17%YoY ตามลำดับ เติบโตจากยอดขายสาขาเดิม และการเปิดสาขาใหม่ ปี 68 บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ 10 แห่ง คงสมมติฐาน %GPM ปี 67-68 ที่ระดับ 50.9% และ 51.5% ตามลำดับ ปี 68 Margin ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากสาขาที่เปิดไปในปี 67 สร้างรายได้เกินจุดคุ้มทุน ส่งผลให้เราคงคาดการณ์กำไรสุทธิปี 67-68 เท่ากับ 301 ลบ. +4%YoY และ 363 ลบ. +21%YoY ตามลำดับ โดยกำไรในช่วง 9M67 คิดเป็นสัดส่วน 73% ของประมาณการปี 67 คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเหมาะสม 39.60 บาท           ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี Prospective PER ที่ 24x ซึ่งเป็นระดับ -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 68 ที่ 1.65 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 68 ที่ 39.60 บาท โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 49% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 5.6% ต่อปี จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

MGT ปี67กวาดกำไร104ล. พร้อมแจกปันผล 0.07บ.ต่อหุ้น

MGT ปี67กวาดกำไร104ล. พร้อมแจกปันผล 0.07บ.ต่อหุ้น

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน MGT ประกาศงบปี 67 กำไร 104.44 ล้านบาท เติบโต 14.13% พร้อมกวาดรายได้ 1,072.48 ล้านบาท บอร์ดใจดีจ่ายปันผล 0.07 บาทต่อหุ้น เล็งจ่าย 22 พฤษภาคม 68 กำหนดขึ้น XD วันที่ 7 พฤษภาคมนี้            ดร.วิทยา อินาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า ไตรมาส 4/2567 บริษัทมีรายได้ 263.84 ล้านบาท เทียบกับปี 2566 ที่ 230.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.39 ล้านบาท หรือเติบโต 14.49% ส่วนกำไรสุทธิ ทำได้ 28.08 ล้านบาท เทียบกับปี 2566 ที่ 23.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.69%            ส่งผลให้ปี 2567 บริษัทมีรายได้ที่ 1,072.48 ล้านบาท เทียบกับปี 2566 ที่ 970.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.72 ล้านบาท หรือโต 10.48%            ขณะที่กำไรสุทธิปี 2567 ทำได้ 104.44 ล้านบาท เทียบกับปี 2566 ที่ 91.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.93 ล้านบาท หรือโต 14.13%            จากผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 4/2567 และปี 2567 บริษัทสามารถสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทยังคงพัฒนาเพื่อให้บริการแก่พันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมติดตามสถานการณ์ที่อาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในด้านต่างๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบริษัท พร้อมทั้งหาแนวทางป้องกันอย่างรอบคอบ            รวมถึงก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บริษัทตามเป้าหมายด้วยการบริการที่มีคุณภาพสูงสุดในอุตสาหกรรมเคมี โดยบริษัทยืนยันจะส่งมอบการให้บริการที่ดี เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับคู่ค้าอย่างดีเยี่ยม เพื่อเพิ่มโอกาสทางด้านธุรกิจ เพิ่มผลกำไรอย่างต่อเนื่อง ต่อองค์กร และสิ่งที่สำคัญยังคงรักษาผลประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น และบริษัทต่อไป            ขณะเดียวกันคณะกรรมการบริษัท วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้น จากผลการดำเนินงานวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567  โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 8 พฤษภาคม 2568 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 7 พฤษภาคม 2568 โดยกำหนดอัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสดที่ 0.07 บาทต่อหุ้น และจะจ่ายเงินปันผลวันที่ 22 พฤษภาคม 2568

ผถห.ADD ไฟเขียวเพิ่มทุน 8 ล้านหุ้น ซื้อกิจการ GLORY LIMITED–OCEAN

ผถห.ADD ไฟเขียวเพิ่มทุน 8 ล้านหุ้น ซื้อกิจการ GLORY LIMITED–OCEAN

          หุ้นวิชั่น - นายสมโภช ทนุตันติวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท แอดเทค ฮับ จำกัด (มหาชน) หรือ ADD ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์และให้บริการดิจิทัลโซลูชัน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-EGM) โดยมี นายจิรพันธ์ สินธุนาวา ประธานกรรมการบริษัทฯ ร่วมด้วย นายชวัล บุญประกอบทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย คณะกรรมการ บมจ.แอดเทค ฮับ เข้าร่วมการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ในครั้งนี้ เพื่อขอมติผู้ถือหุ้นในการพิจารณาอนุมัติการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 8 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการออกและเสนอขายหุ้นในวงจำกัด ให้แก่ บริษัท จีแอนด์เค แอดไวซอรี่ คัมปะนี ลิมิเต็ด (G&K Advisory Company Limited)  ในราคา 7.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 60 ล้านบาท แทนการชำระด้วยเงินสด โดยแลกหุ้น บริษัท กลอรี่ ลิมิเต็ด (Glory Limited) จำนวน 27.40 หุ้น ในอัตรา 1 หุ้นสามัญใน Glory Limited ต่อ 292,000 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ ADD ซึ่งผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติเพิ่มทุน 8 ล้านหุ้น เพื่อสวอปหุ้นให้กับ G&K ตามแผน           สำหรับการซื้อกิจการของบริษัท กลอรี่ ลิมิเต็ด (Glory Limited) ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการสนับสนุนการสร้างรายได้จากเพลง (Music Monetization Service) และบริษัท โอเชียน ไชน์ ฟาร์ อีสท์ ลิมิเต็ด (Ocean Shine Far East Limited) ซึ่งดำเนินธุรกิจผู้ผลิตเพลงเพื่อประกอบวีดีโอคอนเทนต์ต่าง ๆ ในช่องทางออนไลน์ (Social Media Platform) ในครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้กับ ADD ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากเป็นการนำเอาจุดแข็งของแต่ละบริษัทมาต่อยอดธุรกิจ ภายใต้การวางกลยุทธ์ร่วมกัน เพื่อช่วยผลักดันให้ธุรกิจ Music Monetization Service กลายเป็นธุรกิจ Flagship ใหม่ สยายปีกการใช้ Music Content เพื่อบุกตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่มีดีมานด์การใช้เพลงในการผลิต Content เพื่อลง Platform ต่างๆ           ดังนั้น การที่ ADD เข้าลงทุนใน GLORY LIMITED และ OCEAN จึงเสริมศักยภาพการเติบโตในด้านการให้บริการและสร้างรายได้จากเพลงที่ใช้ประกอบในวีดีโอบนช่องทางออนไลน์ให้กับกลุ่ม Creator ได้อย่างครบวงจร ซึ่งภาพหลังการเข้าลงทุนแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 2/2568 ทาง ADD จะสามารถรับรู้รายได้จากการให้บริการผ่าน Social Media Platform ที่มีการให้บริการวีดีโอคอนเทนต์ทั่วโลกเข้ามาทันที           “ADD เข้าลงทุนใน GLORY LIMITED และ OCEAN ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจจากการเติบโตของ Music Monetization Service ซึ่งถือเป็น New S-Curve ใหม่ของบริษัทฯ ในการปั้นรายได้สู่การเติบโตแบบยั่งยืน ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ อีกด้วย  นอกจากนี้ ADD เชื่อมั่นว่าธุรกิจใหม่ภายใต้ Music Monetization Service จะเข้ามาช่วยผลักดันรายได้ให้บริษัทฯ กลับมาเติบโตอีกครั้ง และจะหนุนผลประกอบการปี 2568 นี้ กลับมาเทิร์นอะราวด์ แตะรายได้ระดับ 500 ล้านบาท และจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ”

abs

Hoonvision

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง "สกิลเลน เทคโนโลยี" เตรียมขายหุ้น IPO 15 ล้านหุ้น เข้า mai

          หุ้นวิชั่น - บมจ. สกิลเลน เทคโนโลยี หรือ SKILL บริษัทชั้นนำธุรกิจเทคโนโลยีด้านการศึกษา (Education Technology : EdTech) ของไทย เตรียมเสนอขายหุ้น IPO 15 ล้านหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai หลัง ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง ชูจุดเด่นผู้นำ EdTech ผ่านการให้บริการแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์แบบครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาหลักสูตรการเรียนออนไลน์ (Content) แพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ (Platform) และการให้บริการที่ปรึกษาการเรียนออนไลน์ (Service) รวมถึงธุรกิจให้คำปรึกษาและพัฒนานวัตกรรมด้านการศึกษา พร้อมตั้งเป้าหมายขยายและพัฒนาธุรกิจเพื่อยกระดับการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)           นายฐิติพงศ์ พิสิฐวุฒินันท์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกิลเลน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SKILL บริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีด้านการศึกษา (Education Technology : EdTech) ของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์แบบครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาหลักสูตรการเรียนออนไลน์ (Content) แพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ (Platform) และการให้บริการที่ปรึกษาการเรียนออนไลน์ (Service) โดยมุ่งเน้นให้ลูกค้าสามารถเรียนรู้ และพัฒนาทักษะของตนเองได้อย่างสะดวกโดยปราศจากข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ เพื่อเพิ่มศักยภาพของตนเองและบรรลุเป้าหมายของแต่ละช่วงในชีวิตได้ นอกจากนี้ SKILL ยังประกอบธุรกิจให้คำปรึกษาและพัฒนานวัตกรรมด้านการศึกษา แก่หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษามากว่า 10 ปี โดยมีคอร์สออนไลน์คุณภาพมากกว่า 3,900 คอร์สเรียน สอนโดยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 1,300 คน และมีการเปิดบัญชีผู้ใช้งานในระบบมากกว่า 1,300,000 บัญชีสำหรับบุคคลทั่วไปและลูกค้าองค์กร โดยในปัจจุบัน บริษัทฯ มีบริการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่           1.ธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์แบบครบวงจร 1.1 สำหรับบุคคลทั่วไป (SkillLane for Public : B2C) ให้บริการแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์สำหรับบุคคลทั่วไป ซึ่งรวบรวมคอร์สออนไลน์จำนวนมาก โดยผู้เรียนสามารถเลือกคอร์สออนไลน์ที่ตนสนใจ ลงทะเบียน และชำระเงินผ่านแพลตฟอร์ม และสามารถเข้าเรียนผ่านเว็บไซต์ www.SkillLane.com หรือแอปพลิเคชัน SkillLane โดยแบ่งการให้บริการคอร์สเรียนออนไลน์เป็น 2 ประเภท ดังนี้ (1) การเรียนรู้ตามความต้องการตนเอง (On-Demand) ให้บริการแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ ซึ่งรวบรวมคอร์สออนไลน์ในหลากหลายหัวข้อซึ่งมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญทางการปฏิบัติ (Practical Skills) ที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานได้ และ (2) การพัฒนาความรู้ทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่องสำหรับบุคคลทั่วไป (Continuing Professional Development : CPD) ให้บริการระบบอบรมเก็บชั่วโมงออนไลน์ (e-Learning) แก่บุคคลทั่วไป สำหรับการขอรับหรือขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ โดยปัจจุบันมี 2 วิชาชีพ ได้แก่ วิชาชีพประกันภัย และวิชาชีพการลงทุน 1.2 สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร (SkillLane for Business : B2B) ให้บริการแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์สำหรับองค์กร (Corporate Online Training) เพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถ ทักษะในด้านต่าง ๆ รวมทั้งเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้แก่พนักงานขององค์กร โดยสามารถเลือกคอร์สเรียนได้อย่างอิสระตามเป้าหมายการพัฒนาบุคลากรขององค์กรนั้น ๆ ซึ่งรูปแบบคอร์สเรียนมีดังนี้ (1) การเรียนแบบไม่จำกัด (Buffet) ให้บริการแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับแต่ละองค์กร โดยมีคอร์สเรียนออนไลน์ของบริษัทฯ กว่า 1,500 คอร์สเรียน ให้แก่พนักงานขององค์กร (2) การพัฒนาความรู้ทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง           สำหรับองค์กร (Continuing Professional Development : CPD) ให้บริการระบบอบรมเก็บชั่วโมงออนไลน์ (e-Learning) แก่พนักงานขององค์กร ซึ่งต้องการขอรับและ/หรือขอต่อใบอนุญาตตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิต ตัวแทนและนายหน้าประกันวินาศภัย ผู้แนะนำการลงทุน ผู้วางแผนการลงทุน และนักวิเคราะห์การลงทุน และ (3) ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ในองค์กร (Learning Management System : LMS) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาและให้บริการระบบจัดการการเรียนรู้ในองค์กรทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้บริการตั้งแต่การติดตั้งระบบ การเชื่อมต่อฐานข้อมูล และการโอนย้ายข้อมูล (Implementation, Data Integration และ Data Migration) ของระบบคอร์สเรียนออนไลน์ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าองค์กรแต่ละรายโดยเฉพาะ 1.3 สำหรับปริญญาออนไลน์ (SkillLane for Online Degrees) ให้บริการแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ สำหรับหลักสูตรปริญญาออนไลน์ โดยการเรียนปริญญาออนไลน์แบบ Self-Paced ช่วยแก้ปัญหาให้แก่ผู้ที่ต้องการศึกษาปริญญาแต่มีข้อจำกัดด้านเวลาและการเดินทาง  สามารถเรียนปริญญาออนไลน์ได้จากทุกที่ทุกเวลา โดยในปัจจุบัน SKILL ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้บริการแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ สำหรับปริญญาโทออนไลน์ภายใต้โครงการ TUXSA โดยเป็นหลักสูตรแบบ Self-Paced Online Master’s Degree ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการหลักสูตรปริญญาโทออนไลน์จำนวน 4 หลักสูตร นอกจากนี้  SKILL ยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ โดยมีแผนในการพัฒนาหลักสูตรปริญญาโทออนไลน์สำหรับหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตจำนวน 3 หลักสูตรภายในปี 2570 ซึ่งมุ่งเน้นด้านการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) เทคโนโลยีทางการตลาด (Marketing Technology) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) ธุรกิจการให้คำปรึกษาและพัฒนานวัตกรรมด้านการศึกษา (SkillLane Innovation) ปัจจุบัน SKILL เริ่มพัฒนานวัตกรรมระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ของผู้ใช้งาน ได้แก่ การพัฒนาแพลตฟอร์ม แอปพลิเคชัน ซอฟต์แวร์ และระบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องสำหรับการเรียนรู้ เพื่อช่วยยกระดับการศึกษาไทย “SKILL มีความมุ่งมั่นที่จะใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษามายกระดับการศึกษาไทย โดยเราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาและขยายผลิตภัณฑ์รวมถึงบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและองค์กร พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่แก่การศึกษาไทย ให้การศึกษาไทยก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน” นายฐิติพงศ์ กล่าว           นายวิศรุต อังศุภากร ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ความคืบหน้าแผนการเสนอขายหุ้น IPO และการนำ “SKILL” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) แล้ว เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 15 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายนำเงินจากการเสนอขาย IPO ไปใช้ในการพัฒนาและขยายธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อสนับสนุนผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน

[Vision Exclusive] TRP ความสวยทำเงิน ดีเดย์โรงพยาบาลใหม่

[Vision Exclusive] TRP ความสวยทำเงิน ดีเดย์โรงพยาบาลใหม่

          หุ้นวิชั่น - TRP ตั้งตาเปิดโรงพยาบาลใหม่ Q2/68 ฟากผู้บริหาร "คงศักดิ์ เตชะวิบูลย์ผล" เดินหน้าลุยตลาดความสวย เจาะกลุ่มวัยรุ่นทำเงิน ชี้สักส่วนปัจจุบันยังน้อย หรือไม่ถึง 5% เชื่อโอกาสโตสูง ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10-15%           นายแพทย์คงศักดิ์ เตชะวิบูลย์ผล กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) หรือ TRP เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ในปี 2568 บริษัทจะมุ่งเน้นการให้บริการภายหลังการเปิดโรงพยาบาลใหม่ โดยคาดว่าการให้บริการและผลิตภัณฑ์ในด้าน Century จะเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ TRP ยังให้บริการด้าน Century ในกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไป ที่เคยทำมาแล้วและมีสัดส่วนรายได้น้อย หรือเป็นบริการใหม่ เช่น ความงาม ศัลยกรรมจมูก เส้นผม และการดูแลผิว หรือกลุ่ม Skin ซึ่งยังคงมีโอกาสเติบโตสูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นในตลาด           นอกจากนี้ กลุ่มผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งจะทำให้บริการใหม่ๆ มุ่งเน้นจับกลุ่มลูกค้าที่สนใจทำศัลยกรรมและความงามเป็นหลัก สำหรับบริการใหม่ที่จะเปิดตัวในปี 2568 ปัจจุบันยังมีสัดส่วนน้อยมาก คิดเป็นไม่ถึง 5% ของรายได้รวมของ TRP แต่ในอนาคต บริษัทเชื่อว่าสัดส่วนบริการดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายการให้บริการ           TRP คาดว่าโรงพยาบาลแห่งใหม่จะเริ่มเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 2/2568 ซึ่งจะช่วยขยายพื้นที่บริการและเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน โดยยังคงเน้นการให้บริการแก่ลูกค้าเดิม พร้อมรักษาตลาดกลุ่มเดิม เช่น การทำ ดึงหน้า “เฟสล็อค” และเสริมบริการใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าและครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย           สำหรับทิศทางการเติบโตในปี 2568 TRP คาดว่ารายได้จะเติบโตในระดับ 10-15% เมื่อรวมกับการเปิดให้บริการโรงพยาบาลใหม่ โดยการเติบโตดังกล่าวจะสอดคล้องกับการขยายการให้บริการของบริษัท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] AU ความหวานทรงพลัง เด้งรับวาเลนไทน์ทำเงิน

[Vision Exclusive] AU ความหวานทรงพลัง เด้งรับวาเลนไทน์ทำเงิน

           หุ้นวิชั่น - AU ความหวานฮอตติดกระแส รับอานิสงส์วาเลนไทน์ทำเงิน ฟากนักวิเคราะห์ "วิลาสินี บุญมาสูงทรง" ชี้ไอซีซั่นดันยอดพองโต อัพประมาณการกำไรปี 67 เป็น 296 ลบ. +66% เคาะ "ซื้อ" ส่องพิกัด 13.50 บาท            นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า หุ้นในกลุ่มบริการ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและขนมหวาน คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากเทศกาลวาเลนไทน์ เนื่องจากคู่รักจะนิยมรับประทานอาหารนอกบ้านในช่วงวันพิเศษดังกล่าว            คาด บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU จะได้รับประโยชน์จากเทศกาลวาเลนไทน์เช่นกัน และ AU ถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจในแง่ของการเติบโต โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่นที่เริ่มจากปลายปีและต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี            ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไร 4Q67 เติบโตต่อเนื่องทั้ง YoY และ QoQ จากการเข้าสู่ High Season และปรับประมาณการกำไรปี 2567 เพิ่มขึ้น 10% สู่ 296 ลบ. +66% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศในช่วงปลายปีและฤดูกาลท่องเที่ยวของต่างชาติ สะท้อน SSSG เดือน ต.ค.-พ.ย. ที่ผ่านมายังเป็นบวก            โดยหลักยังคงได้แรงหนุนจากสาขาภาคใต้ (หาดใหญ่) ที่ได้รับกระแส Viral ในสินค้ากลุ่มโทสต์จากชาวมาเลเซีย รวมทั้งปัจจัยหนุนเฉพาะตัว คือ 1) ธุรกิจร้านขนมหวานยังมีแผนขยายสาขาอีก 2 สาขา โดยเน้นเปิดในพื้นที่ที่มีกำลังซื้อสูงและคนหนาแน่น 2) เพิ่งเปิด After You สาขาแรกที่พนมเปญ 3) รีแบรนด์ร้าน Mikka Cafe เป็น Mikka Coffee Roasters เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Premium มากขึ้น 4) เปิดร้านแบบ Pop-up Store ตามสถานที่ท่องเที่ยว และ 5) ร่วมมือกับ "การบินไทย" ให้บริการเสิร์ฟขนมปังแบรนด์ After You (มีสัญญาจนถึงช่วงพ.ค. 68)            ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการรายได้และกำไรปี 2567 เพิ่มขึ้น 10% สู่ 1,592 ลบ. +31% YoY และ 296 ลบ. +66% YoY ตามลำดับ   และคาดการณ์กำไรปี 2568 ราว 332 ลบ. +12% YoY คาดการณ์รายได้ ราว 1,810 ลบ. +14% YoY จากปัจจัยสนับสนุนหลัก 2 ประการ คือ 1) แผนขยายสาขา After You ราว 7-10 สาขา สู่ทั้งหมด 70-73 สาขา และ 2) รับรู้รายได้จากการวางขายสินค้าในร้าน 7-Eleven เต็มปี            รวมทั้งแผนการเพิ่มกำลังการผลิตให้ครอบคลุมร้าน 7-Eleven 14,000 สาขา คาดแล้วเสร็จภายในช่วง 1Q68 โดยหากเทียบกับช่วง 3Q67 ที่มีรายได้จากกลุ่มดังกล่าวราว 30 ลบ./ไตรมาส ซึ่งปัจจุบันครอบคลุม 7-Eleven เพียง 8,000-9,000 สาขา ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเราประเมินเบื้องต้นหากวางจำหน่ายสินค้าครอบคลุม 7-Eleven ทุกสาขา คาดจะทำให้มีรายได้ส่วนเพิ่มราว 150-200 ลบ./ปี (เฉพาะกลุ่มสินค้าขนมปังเนยสด ยังไม่รวมแผนการนำสินค้าอื่นๆเข้ามาขายเพิ่มเติม)            นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆเพิ่มเติม อาทิ การขยายในตลาดต่างประเทศทั้งในรูปแบบการขายแฟรนไชส์ หรือหา Distributor เพื่อจำหน่ายสินค้า (ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจา) การทยอยออกสินค้าใหม่ๆ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy e-receipt ซึ่งจะเริ่มใช้สิทธิช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568            คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเหมาะสม 13.50 บาท อัพไซต์ 26%: บริษัทมีศักยภาพการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีจากนี้ราว 10-20% ต่อปี จากแบรนด์ที่ติดตลาด แผนการขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ การวางขายสินค้าใน Modern Trade ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ได้รับกระแสนิยมทุกปี โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 26% ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

YUASA แจ้งกำไรปี 67 ที่ 172.42 ล. โต 40.1% ยอดขายแบตเตอรีโตทุกตลาด

YUASA แจ้งกำไรปี 67 ที่ 172.42 ล. โต 40.1% ยอดขายแบตเตอรีโตทุกตลาด

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายสึเนะโนริ โยชิมูระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัวซ่าแบตเตอรี่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ YUASA แจ้งผลประกอบกาาต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า ในปี 2567 บริษัทดำเนินโครงการปรับปรุงกำลังการผลิตแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์แล้วเสร็จ รวมถึงโครงการต่อเนื่องด้านการลดการใช้พลังงานและทรัพยากร ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 172.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 49.39 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 40.1           รายได้จากการขาย บริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากปี 2566 คิดเป็นร้อยละ 8.7 หรือ 229.67 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นในทุกตลาด โดยเฉพาะในตลาดผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์ในต่างประเทศจากโครงการของผู้ประกอบการรายหนึ่ง รายได้จากการขายแบตเตอรี่รถยนต์ในตลาดทดแทนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 20.6 จากการเติบโตของยอดขายในร้านค้าและธุรกิจค้าปลีก อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายแบตเตอรี่รถยนต์ในตลาดผู้ประกอบการยานยนต์ในประเทศลดลงร้อยละ 32.0 ตามการหดตัวของตลาดยานยนต์ในประเทศ และรายได้จากการขายแบตเตอรี่รถยนต์ในตลาดส่งออกลดลงร้อยละ 32.0 สาเหตุหลักจากผลกระทบของสถานการณ์ในประเทศพม่า ซึ่งรวมถึงการล่าช้าเนื่องจากกฎเกณฑ์ด้านใบอนุญาตนำเข้าสินค้า           ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัว แต่การขยายตัวมีความแตกต่างกันในแต่ละส่วน หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังเป็นแรงกดดันการบริโภคภาคเอกชน โดยอุตสาหกรรมยานยนต์เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น มีการหดตัวของการผลิตเพื่อขายในประเทศค่อนข้างมาก ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้งปัจจัยเฉพาะของอุตสาหกรรม ปัจจัยเชิงวัฏจักร และปัจจัยเชิงโครงสร้าง

AMARC โอกาสโตเด่น โบรกแนะ

AMARC โอกาสโตเด่น โบรกแนะ "ซื้อ" เป้า 2 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คงคำแนะนำ Buy สำหรับ AMARC เนื่องจาก 1) คาด 4Q24F กำไรสุทธิ ดีกว่าคาดเดิม จากบริการ Testing เติบโตดี 2) ปรับกำไรสุทธิปี 24F-26F ขึ้น 19%-20% สะท้อนเป้าหมายการเติบโตของบริษัทและโอกาสเติบโตจากการขยายขอบข่ายให้บริการ 3) คาดปี 25F-26F กำไรสุทธิเติบโต +12%CAGR นอกจากนี้ราคาหุ้นซื้อขายเทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า -2.0SD และ PBV 0.9 เท่า ซึ่งไม่สมเหตุผลเมื่อเทียบกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัท ทิศทาง 4Q24F ดีกว่าคาดเดิม จากบริการตรวจวิเคราะห์ (Testing)           ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองบวกต่อ 4Q24F คาดกำไรสุทธิ 9 ลบ. (+4,757%y-y -47%q-q) เติบโตสูง y-y เนื่องจาก 1) คาดรายได้จากบริการรวม (+20%y-y -10%q-q) เติบโตจากบริการตรวจวิเคราะห์ (Testing) และบริการสอบเทียบเครื่องมีปริมาณงานเพิ่มขึ้น ประกอบกับผลบวกจากผลผลิตลำไยและทุเรียนของกลุ่มลูกค้าส่งออกเพิ่มขึ้น 2) คาด Gross margin 37% ดีขึ้น y-y จากบริการ Testing (margin เฉลี่ยเกิน 40%) มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น และมี economies of scale จากปริมาณงานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้กำไรสุทธิคาดลดลง q-q เป็นไปตามปัจจัยฤดูกาลที่มีปริมาณงานลดลง เป้าหมายปี 2025 รายได้ให้บริการเติบโตเกิน 10% และ Net margin ดีขึ้น           ในปี 2025 ผู้บริหารตั้งเป้าหมายรายได้จากบริการรวมเติบโตเกิน 10% y-y และ Net margin ดีขึ้น (vs ปี 24F คาด Net margin 11%) ปัจจัยผลักดัน 1) บริการตรวจวิเคราะห์ (Testing) ผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารมีปริมาณงานเพิ่มขึ้นจากการขยายขอบข่ายบริการตรวจวิเคราะห์ 2) บริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง ฝ่ายวิเคราะห์ปรับกำไรสุทธิปี 24F-26F ขึ้น 19%-20% เป็น 38 ลบ. (เดิม 32 ลบ.) / 42 ลบ. (เดิม 35 ลบ.) / 48 ลบ. (เดิม 40 ลบ.) ตามลำดับ เนื่องจาก 1) ปรับสมมติฐานรายได้บริการ Testing ขึ้น +6% ต่อปี สะท้อนเป้าหมายการเติบโตของบริษัท และโอกาสเติบโตจากการขยายขอบข่ายให้บริการเพิ่มขึ้น 2) ปรับสมมติฐาน Gross margin ปี 2025F-26F ขึ้นเป็น 40.5% (เดิม 40.3%) จากคาดมี economies of scale ของปริมาณงานเพิ่มขึ้น แนะนำ Buy คาดปี 25F เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ซื้อขาย PBV 0.9 เท่า           ฝ่ายวิเคราะห์ คงคำแนะนำ Buy สำหรับ AMARC ประเมินราคาเป้าหมายปี 25F ที่ 2.00 บาท วิธี DCF WACC 8.1% คิดเป็น Imply PE ปี 25F ที่ 20 เท่า เทียบเท่า Forward PE +2.0SD ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่า -2.0SD และ 0.9 เท่าของมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น ซึ่งมองว่าไม่สมเหตุผลเมื่อเทียบกับแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิต่อปี +12%CAGR ปี 2025F-26F ประกอบกับไม่เห็นความเสี่ยงต่อปัจจัยพื้นฐานที่จะแย่ลงจนเป็นผลขาดทุน รวมทั้งคาดมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 4% ต่อปี

BC  ท่องเที่ยวบูม! โรงแรมเชียงใหม่อัตราเข้าพักพุ่ง

BC ท่องเที่ยวบูม! โรงแรมเชียงใหม่อัตราเข้าพักพุ่ง

          บูทิค คอร์ปอเรชั่น (BC) ผู้นำอสังหาฯ โมเดล BOS ยิ้มรับท่องเที่ยวบูม หนุนปี 68 สดใสต่อเนื่อง กลุ่มโรงแรม (Hospitality) ฟอร์มดี ชูไฮไลท์โรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ โนโวเทล - ไอบิส อัตราการเข้าพักพุ่งทำสถิติสูงสุด นักท่องเที่ยวแห่รับลมหนาว ประกอบกับไฟลต์บินตรงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น และมองว่ายังมีสตอรี่ใหม่หนุนต่อเนื่องในปีนี้           นายปรับ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BC) ผู้นำด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โมเดลธุรกิจ “สร้าง-ดำเนินการ-ขาย” (Build-Operate-Sale : BOS) เปิดเผยว่าภาพรวมปี 2568 สัญญาณดี รับการท่องเที่ยวคึกคัก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2567 ประเทศไทยสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 35 ล้านคน ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ หนึ่งในปัจจัยสนับสนุนมาจากมาตรการฟรีวีซ่าที่รัฐบาลไทยนำมาใช้ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกมากขึ้นในปี 2568 โดยเฉพาะการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน อินเดีย และรัสเซีย ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งแนวโน้มการทำงานและการพักผ่อน (Workation) ที่เติบโตขึ้น จากค่าครองชีพที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ประเทศไทยดึงดูดชาวต่างชาติที่ต้องการมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ การท่องเที่ยวที่คุ้มค่า ทั้งในด้านที่พัก อาหาร และกิจกรรมต่างๆ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง และส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรมของ BC ที่อยู่ภายใต้การบริหารและดำเนินการ (Operate) จำนวน 10 แห่ง ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อีกทั้ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างเดินหน้าพัฒนาโรงแรมใหม่ที่ภูเก็ตอีก 2 แห่ง และที่สุขุมวิท ซอย 5 ตามแผน โดยตั้งเป้าจากธุรกิจโรงแรมในปีนี้เติบโต 20% จากปีก่อน           อย่างไรก็ดี บริษัทฯ เห็นสัญญาณที่ดีตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 การท่องเที่ยวในภาคเหนือของประเทศไทยมีการฟื้นตัวอย่างโดดเด่น จังหวัดเชียงใหม่ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ และเป็นพื้นที่ทำรายได้แข็งแกร่ง เรียกว่าเป็น Best Performance ของกลุ่มธุรกิจโรงแรมในพอร์ต ดันอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) โรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่พุ่งสูงขึ้นไปถึงมากกว่า 90% ในช่วงไฮซีซั่น ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เปิดดำเนินการ ประกอบกับอัตราค่าห้องพักที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ช่วยเสริมรายได้จากนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาในช่วงฤดูหนาว           นอกจากนี้ ปัจจัยบวกสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในภาคเหนือ ได้แก่ สนามบินเชียงใหม่มีไฟลต์บินตรงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น กระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้ง อีเวนท์ใหญ่ กิจกรรมและเทศกาลสำคัญ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างสีสันและกระตุ้นการเดินทาง การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราการเข้าพักในโรงแรมหลายแห่งอยู่ในระดับสูง  และยังคึกคักรับลมหนาวยาวมาจนถึงต้นปี 2568 อย่างไรก็ดี  จากปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในบางพื้นที่ แต่ด้วยการจัดการที่มีประสิทธิภาพและการสนับสนุนจากภาครัฐ สถานการณ์ได้คลี่คลายลง ทำให้การท่องเที่ยวยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง           “เรามองว่าจังหวัดเชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งในพื้นที่ที่มีการเติบโตในระดับสูง เนื่องจากเป็นเมืองหลักของการท่องเที่ยวในภาคเหนือ อีกทั้งกลยุทธ์จากทีมบริหาร ตั้งแต่การเลือกทำเลที่ตั้ง จนถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารงานโรงแรมมากกว่า 20 ปี ทำให้เราสามารถทำรายได้จากกลุ่มโรงแรมได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ทั้ง โรงแรมโนโวเทล เชียงใหม่ นิมมาน เจอร์นีย์ฮับ (Novotel Chiang Mai Nimman Journeyhub) โรงแรมระดับ 4 ดาว ด้วยจำนวนกว่า 200 ห้อง กลางเมืองเชียงใหม่ ในย่านนิมมาน และ โรงแรมไอบิส เชียงใหม่ นิมมาน เจอร์นีย์ฮับ (Ibis Chiang Mai Nimman Journeyhub) ด้วยจำนวน 142 ห้อง ตั้งอยู่ใจกลางเขตเมืองใหม่ ในย่านนิมมานที่ทันสมัย ไม่ไกลจากดอยสุเทพ ใกล้สนามบิน และเป็นพื้นที่ปลอดน้ำท่วม ซึ่งในปี 2568 นี้ ก็ยังมั่นใจว่า โรงแรมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จะยังเป็นไฮไลท์สำคัญของกลุ่มโรงแรม BC ต่อไป” นายปรับกล่าวปิดท้าย [PR News]

SEI คาดปี67 กำไรพุ่ง 134%  ผลงานโตเด่น เคาะเป้า 7.00 บาท

SEI คาดปี67 กำไรพุ่ง 134% ผลงานโตเด่น เคาะเป้า 7.00 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาด SEI  กำไร 4Q67 ที่ 12 ล้านบาท -39% QoQ, +3,715% YoY ซึ่งใน 4Q66 มีกำไรเพียง 0.30 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก การเติบโตของรายได้ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ วัสดุสิ้นเปลือง เนื่องจากงบประมาณภาครัฐที่ได้รับอนุมัติมากขึ้น และการเติบโตของรายได้จากการให้บริการบำรุงรักษาตามฐานลูกค้าที่เพิ่ม รวมถึงมีการปรับเพิ่มราคาบริการค่าซ่อม ส่งผลให้รายได้รวมปรับเพิ่ม 28% YoY เป็น 112 ล้านบาท ประสิทธิภาพในการทำกำไรดีขึ้น YoY นอกจากผลของรายได้ที่เพิ่มยังมาจากกลยุทธ์ในการบริหารจัดการต้นทุน โดยลดต้นทุนการผลิตผ่านการปรับปรุงระบบจัดซื้อและการควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนของโลจิสติกส์ และจากการขายสินค้าประเภทอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้เพิ่มขึ้น โดยอุปกรณ์ทางการแพทย์มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าเครื่องมือทางการแพทย์ ส่งผลให้ EBITDA Margin ปรับเพิ่มจาก 4Q66 ที่ 2.3% เป็น 17.0% เทียบ QoQ ผลประกอบการชะลอตามปัจจัยฤดูกาล ภาพรวมปี 2567 คาดกำไรสุทธิที่ 51 ล้านบาท +134% YoY สูงกว่าประมาณการเดิมเรา 14% จากประสิทธิภาพในการทำกำไรที่ดีกว่าคาด แนวโน้มปี 2568 ยังเติบโตดีต่อเนื่อง           แม้ปี 2567 แนวโน้มกำไรจะสูงกว่าประมาณการเดิมของเรา แต่ในปี 2025 เราคงประมาณการกำไรแบบอนุรักษ์นิยมที่ 60 ล้านบาท +17% YoY โดยเราประมาณการรายได้เติบโต 11% YoY เป็น 488 ล้านบาท โดยรับผลบวกจาก การเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ - วิทยาศาสตร์การแพทย์ และ Health & Wellness ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลให้การสนับสนุน คาดว่ารัฐบาลจะมีการจัดสรรงบในส่วนนี้มากขึ้น ปีนี้มีแผนเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่จากเดิมที่มี 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ (กลุ่มทารกแรกเกิด, กล้องส่องตรวจ, ผ่าตัด, อุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์, ผลิตภัณฑ์ความงาม) เพิ่มเป็น 7 ผลิตภัณฑ์ ส่วนของเดิมที่มีอยู่ก็จะขยายสายผลิตภัณฑ์ในทุกกลุ่ม ประสิทธิภาพในการทำกำไรมีแนวโน้มดีขึ้น จากผลของรายได้ที่เพิ่ม และการขยายฐานรายได้ในกลุ่มสินค้าสิ้นเปลืองที่มีอัตรากำไรที่สูง           สำหรับดีลที่อยู่ระหว่างเจรจาในโครงการร่วมลงทุนกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการแพทย์ รวมถึงคลินิกหรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง มีโอกาสล่าช้าจากเดิมที่จะทราบความคืบหน้าภายในช่วงครึ่งปีแรกเป็นครึ่งปีหลัง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทำให้บริษัทรอจังหวะในการลงทุนโครงการดังกล่าว อย่างไรก็ตามเรายังไม่ได้นับรวมโครงการใหม่ในประมาณการอยู่แล้ว แนะนำ “ซื้อ” ราคาหุ้นปรับลดลงมากเกิน เป็นจังหวะเข้าลงทุน           ด้วยแนวโน้มผลประกอบการมีโอกาสทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องในปี 2568 ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงตามตลาด สวนทางผลประกอบการที่เติบโตดี เรามองเป็นจังหวะเข้าลงทุน เราคงมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 7.00 บาท อิงวิธี PER โดยใช้ค่ากลาง (Median) ของหุ้นกลุ่มธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ที่ 20x

เก็งงบหุ้นมินิดาวเด่น ATP30-TNP ท็อปฟอร์ม

เก็งงบหุ้นมินิดาวเด่น ATP30-TNP ท็อปฟอร์ม

          หุ้นวิชั่น -  เก็งงบหุ้นมินิ ธุรกิจบริการดาวเด่น ส่อง ATP30 ผลงาน Q4/67 สดใส ตุนแบ็กล็อก 1.87 พันล้านบาท คาดกำไรทั้งปี 67 โตแรง 59% พร้อมปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 1.25 บาท ด้าน TNP ค้าปลีกเชียงราย เงินสะพัด แจกเงินหมื่นหนุน แถมไฮซีท่องเที่ยวช็อปสนั่น โกลเบล็กเคาะกำไรปี 67 ราว 183 ล้านบาท หรือโต 18% แนะ “ซื้อ” ชี้พิกัด 5 บาท           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ฝ่ายวิเคราะห์มองแนวโน้มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ คาดจะมีผลประกอบการในไตรมาส 4/2567 และทั้งปี 2567 คือ กลุ่มบริการ โดยฝ่ายวิเคราะห์มองหุ้นที่น่าสนใจ 2 บริษัท ประกอบไปด้วย บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 และ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP           สำหรับ ATP30 คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2567 เติบโตต่อเนื่อง 5% QoQ และ 30% YoY จาก  Backlog ณ ต้นงวด จำนวน 1,870 ล้านบาทอยู่ในระดับสูงเมื่อผนวกกับการเริ่มรับรู้รายได้จากการให้บริการลูกค้าใหม่ 5 ราย ทำให้กำไรยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบ QoQ และ YoY โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดรายได้ในงวดไตรมาส 4/2567 ราว 195 ล้านบาท +7% QoQ +12% YoY และกำไร 12.6 ล้านบาท +5% QoQ +30% YoY ตามลำดับ           ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการรายได้และกำไรสุทธิในปี 2567 เพิ่มขึ้นสู่ 730 ล้านบาท และ 46 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งเติบโต 9% และ 59% YoY และปรับเพิ่มประมาณการสำหรับปี 2568 โดยคาดการณ์รายได้ 760 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 50 ล้านบาท ซึ่งเติบโตต่อเนื่อง 4% และ 9% ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของกำไรสุทธิระหว่างปี 2566 – 2568 ราว 20% ต่อปี ทั้งการเติบโตของผลประกอบการมาจากส่วนผสมที่ลงตัวจากการมีลูกค้าใหม่ ลูกค้าเก่ารับบริการเพิ่มขึ้น การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และจำนวนรถที่หมดภาระในการบันทึกค่าเสื่อมราคาจำนวน 25 คันในปี 2567           คงคำแนะนำ “ซื้อ” และฝ่ายวิเคราะห์ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมสำหรับปี 2568 เป็น 1.25 บาท (จากเดิม 1.16 บาท) โดยมีมุมมองบวกต่อศักยภาพในการเติบโตของรายได้จากการให้บริการรถรับส่งพนักงานในพื้นที่ EEC ครอบคลุมจังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากมาตรการ EEC Free Visa และการขยายฐานการผลิตสู่พื้นที่ดังกล่าว           ในการประเมินราคาเหมาะสมสำหรับปี 2568 ซึ่งอิง Prospect PER ที่ระดับ 17 เท่าซึ่งสอดคล้องกับ CAGR จากประมาณการกำไรใหม่ สำหรับปี 2568 ทำให้คาดการณ์กำไรต่อหุ้นปรับขึ้นสู่ 0.073 บาท (จากเดิม 0.069 บาท) คำนวณราคาเหมาะสมสำหรับปี 2567 ได้เท่ากับ 1.25 บาท (จากเดิม 1.16 บาท) จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”           ขณะที่ TNP ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไร 4/2567 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ ราว 2% แม้ไตรมาสก่อนฐานสูง ส่วนทั้งปี 2567 คาดเติบโต 18%           ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ 4/2567 ราว 754 ล้านบาท +8% YoY +3% QoQ และกำไรราว 49 ล้านบาท +2% YoY และ +2% QoQ ตามลำดับ คงเติบโตต่อเนื่องแม้ไตรมาสก่อนฐานสูง โดย 3Q67 มีกำไร 47 ล้านบาท +41% YoY +12% QoQ เนื่องจากได้ประโยชน์จากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือทำให้มีการเร่งกักตุนสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าว ส่งผลให้ SSSG ในช่วง 4/2567 เป็นลบราว -3%           อย่างไรก็ตาม คาดผลประกอบการจะยังคงเติบโตจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ การเข้าสู่ High Season การได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินหมื่นบาทที่กลุ่มผู้มีสิทธิ์เพิ่งได้รับเมื่อปลายไตรมาส 3/2567 รวมทั้งรอบเก็บตกในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.67 และการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง สู่ทั้งหมด 50 แห่ง ณ สิ้นปี 67           โดยวิเคราะห์ประมาณการกำไรทั้งปี 2567 ราว 183 ล้านบาท +18% YoY ซึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไร 135 ล้านบาท +25% YoY และคิดเป็น 73% ของประมาณการดังกล่าว           คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเหมาะสม 5.00 บาท อัพไซต์ 62% ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสม TNP โดยอิง Prospective P/E Ratio ที่ 20x ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PE เพียง 13.6x ที่ระดับ -2SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี) และคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2568 ที่ราว 0.25 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 5.00 บาท โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 62% และจ่ายปันผลในอัตรา 3% ต่อปี จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

[Vision Exclusive] HPT สโตนแวร์โตเท่าตัว-แบ็กล็อกแน่น

[Vision Exclusive] HPT สโตนแวร์โตเท่าตัว-แบ็กล็อกแน่น

          หุ้นวิชั่น - HPT ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 50% เล็งขยายตลาดออสเตรเลีย-เอเชียทำเงิน พร้อมเพิ่มยอดขายกลุ่มสโตนแวร์เท่าตัว ทะยาน 100% ฟากผู้บริหาร "นิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ" ขอคุมต้นทุน รักษา Gross Profit Margin ที่  30% โชว์ Backlog เต็มหน้าตัก  100 ล้าน[km           นางสาวนิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ รองประธานกรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม พอตเทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HPT เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า แผนการเติบโตของบริษัทในปี 2568 ตั้งเป้าเติบโตที่ระดับ 40-50% โดยการเติบโตหลักจะมาจากกลุ่มสินค้าสโตนแวร์ ซึ่งบริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการผลิตและจำหน่าย และคาดอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จะอยู่ที่ระดับ 25-30% โดยได้รับผลบวกจากการเพิ่มยอดขายการควบคุมต้นทุนการผลิต รวมถึงการบริหารจัดการโรงงานที่มีประสิทธิภาพอย่างรัดกุม           บริษัทมีงานในมือ (Backlog) มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากงานดังกล่าวภายในระยะเวลา 3-4 เดือนข้างหน้า           ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของยอดขายในกลุ่มสินค้าดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 บริษัทจะเพิ่มปริมาณการจำหน่ายสินค้ากลุ่มสโตนแวร์อีก 50% หรือเพิ่มเป็น 100%  ซึ่งการเพิ่มกำลังการผลิตนี้มีความสำคัญ เนื่องจากก่อนหน้านี้พันธมิตรได้ให้ HPT ผลิตสินค้าในปริมาณที่ไม่มากนัก และคาดยอดขายจะเติบโตได้เท่าตัวตามการเพิ่มกำลังผลิต           บริษ้ทคาดว่าในปี 2568 ปริมาณการผลิตกลุ่มสโตนแวร์ของ HPT จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพื่อรองรับการเติบโตที่คาดว่าจะสูงถึง 100% ในปีนี้ แต่สัดส่วนยอดขายของกลุ่มสโตนแวร์อาจจะยังไม่มากเมื่อเทียบกับสินค้ากลุ่มไฟไชน่า ซึ่งยังคงเป็นสินค้าหลักของบริษัท สินค้ากลุ่มไฟไชน่ายังคงมีส่วนแบ่งการขายที่สูงถึง 70% ของยอดขายรวมของบริษัท ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่มสินค้าดังกล่าวยังคงเป็นกลุ่มสินค้าหลักที่สร้างรายได้ให้บริษัทในปัจจุบัน           HPT คาดว่าในปี 2568 สินค้ากลุ่มไฟไชน่าจะมีการเติบโตที่ระดับ 10-15% โดยการเติบโตนี้จะมาจากการขยายฐานลูกค้าและดีมานด์ที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง           บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดในออสเตรเลียและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มเอเชีย เนื่องจากทั้งสองทวีปยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดไม่มาก โดยคาดว่าสัดส่วนยอดขายในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 15% ในประเทศ และ 85% จากต่างประเทศ ซึ่งลูกค้าหลักจะอยู่ในแถบยุโรป           นางสาวนิจวรรณ กล่าวต่อว่า บริษัทมีแผนลงทุนเครื่องเสริมในสายการผลิต เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตสินค้าและขยายตลาดในกลุ่ม B2C ทั้งในฝั่งครัวเรือนและผู้บริโภคโดยตรง โดยคาดการณ์การเติบโตในการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 15%           ทั้งนี้การจำหน่ายภายในประเทศ โดยในประเทศไทย HPT ได้จัดจำหน่ายสินค้าผ่าน บริษัท เซ็นทรัล ฮอสพิแทลลิที จำกัด (CHL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือที่บริษัทถือหุ้น 98% โดย CHL ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ครัวครบวงจร ภายใต้สโลแกน “ครบพร้อมสำหรับธุรกิจด้านอาหาร” และมีแผนขยายฐานลูกค้าในตลาดไทยให้กว้างขวางขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างยั่งยืน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] TQR คว้ารางวัล Best Broker of the Year จาก Emerging Asia Insurance Awards 2024

[ภาพข่าว] TQR คว้ารางวัล Best Broker of the Year จาก Emerging Asia Insurance Awards 2024

          คุณชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR) เข้ารับรางวัลบริษัทนายหน้าประกันภัยที่ดีที่สุดแห่งปี (Best Broker of the Year) จาก Mr.Joydeep K Roy (ซ้าย), Partner-PwC India, Financial Services Advisory Leader & Global Health Insurance Practice Leader ในงานประกาศรางวัล Emerging Asia Insurance Awards 2024 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมและมอบรางวัล Emerging Asia Insurance Conclave & Awards 2024 ครั้งที่ 5 จัดโดยหอการค้าอินเดีย (ICC) ร่วมกับองค์กรพันธมิตร และสถาบันประกันภัยไทย ซึ่งการรับรางวัลในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่น ทุ่มเท คิดค้น และนำนวัตกรรมมาพัฒนาให้กับผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมประกันภัยและประกันภัยต่อในระดับสากล ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมแรมแบรนดท์ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

[ภาพข่าว] “MOTHER เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก”

[ภาพข่าว] “MOTHER เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก”

          หุ้นวิชั่น - ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ พร้อมด้วย เอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ของ บมจ. มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 400.40 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “MOTHER”

MGI ปี 67 มีกำไรที่ 121.12 ลบ. ยอมรับการแข่งขันสูง โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม TikTok

MGI ปี 67 มีกำไรที่ 121.12 ลบ. ยอมรับการแข่งขันสูง โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม TikTok

            หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท มิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI รายงานกำไรปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 121.12 ล้านบาท เมื่อพิจารณาภาพรวมทั้งปี 2567 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1.57% จากปี 2566 แม้ว่าจะไม่ได้เติบโตในสัดส่วนเดียวกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในธุรกิจพาณิชย์ โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม TikTok ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรลดลง และอีกสาเหตุมาจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการจัดประกวด Miss Grand International 2024 ในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทฯ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจัดงานเองทั้งหมด             สำหรับอัตรากำไรสุทธิในปี 2567 บริษัทฯ อยู่ที่ 16.22% ลดลง 3.14% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยปัจจัยหลักมาจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจพาณิชย์ ซึ่งส่งผลต่ออัตรากำไรของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม             บริษัทยังคงแสดงศักยภาพในการเติบโตด้วยรายได้รวม 226.93 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2566 และ 746.82 ล้านบาทตลอดปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้น 23.28% และ 21.21% ตามลำดับ การเติบโตนี้เป็นผลมาจากแนวโน้มธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะธุรกิจพาณิชย์และธุรกิจการประกวดที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง และก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม แนวโน้มในอนาคตยังคงสดใส ด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง และโอกาสในการขยายธุรกิจที่เปิดกว้าง พร้อมเดินหน้าสู่การเติบโตที่ยั่งยืน             ล่าสุด มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสด จาดงวดดำเนินงานวันที่ 01 ม.ค. 2567 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2567 โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 26 ก.พ. 2568 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 25 ก.พ. 2568 ทั้งนี้ MGI กำหนดจ่ายปันผลในอัตรา 0.231 บาท ต่อหุ้น และจะจ่ายในวันที่ 28 เม.ย. 2568 กิจกรรมการดำเนินงานที่เกิดขึ้น ไตรมาส 4 ปี 2567 สินค้าของบริษัทฯ ที่ขายดีที่สุด 5 อันดับ ประจำปี 2567 อันดับ 1 น้ำพริก ตรำนางงาม ยอดขาย 490,804 กระปุก เป็นจำนวน 72.16 ล้านบาท อันดับ 2 NangNgam Sunscreen Serum Lifting & Whitening ยอดขาย 623,493 ชิ้น เป็นจำนวน 71.48 ล้านบาท อันดับ 3 NangNgam Neck Serum Lifting & Whitening ยอดขาย 552,335 ชิ้น เป็นจำนวน 58.48 ล้านบาท อันดับ 4 Finverr Eau De Parfume ยอดขาย 342,861 ชิ้น เป็นจำนวน 41.96 ล้านบาท อันดับ 5 NangNgam Anti Melasma & Dark Spot Cream ยอดขาย 162,090 ชิ้น เป็นจำนวน 27.03 ล้านบาท             ยอดขายที่แข็งแกร่งของสินค้ากลุ่มนี้สะท้อนถึงความนิยมของแบรนด์ กลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ และความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารและความงาม Miss Grand International 2024             การประกวด Miss Grand International 2024 รอบตัดสินจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ณ เอ็มจีไอฮอลล์ บราวโว่ บีเคเค โดย “ราเชล คุปตะ” สาวงามวัย 20 ปีจากอินเดีย คว้ามงกุฎไปครอง เป็นมงกุฎแรกของอินเดียบนเวทีนี้ บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของ Miss Grand International ในฐานะเวทีนางงามระดับโลก Engfa Reborn Hong Kong             อิงฟ้า วราหะ จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกที่ฮ่องกงในงาน “Engfa Reborn Hong Kong” โดยมีกำหนดการดังนี้: 26 ตุลาคม 2024 – งาน Meet & Greet สุดพิเศษกับแฟนๆ 27 ตุลาคม 2024 – คอนเสิร์ต Reborn สุดอลังการ พร้อมการแสดงร่วมจากชาล็อต และ สแน็ก             งานนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของอิงฟ้าในการขยายฐานแฟนคลับระดับนานาชาติและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการบันเทิงไทยบนเวทีสากล 1st Fan Meet Englot in Bangkok             งานแฟนมีตครั้งแรกของ Engfa และ Charlotte ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2567 ณ MGI Hall ห่าง Bravo ได้รับความสนใจจากแฟนคลับอย่างมาก โดยมีบรรยากาศอบอุ่นและใกล้ชิด สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เข้าร่วมงานนี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างความผูกพันกับฐานแฟนคลับ ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมการเติบโตในระยะยาว การลงทุนในกิจกรรมเช่นนี้มีศักยภาพในการสร้างรายได้และขยายฐานผู้สนับสนุนในอนาคต Rachel & Friends FanMeet             งานแฟนมีตครั้งแรกของเหล่า Top 9 MGI 2024 ซึ่งนำทีมโดย เรเชล คุปตะ และสมาชิกในกลุ่ม ได้แก่ คริสติน จูเลียน โอเปีย ซาม, ซาฟีเอตู คัมเบงเกเล, ทามลิตา ฮาร์ทมันน์, มาเรีย เฟลิกซ์, โนวา เลียนา, อาร์เลตต์ รูเจล, ซูซานา เมดินา, วิรัญญา เบอรี่ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2024 เป็นโอกาสที่แฟนคลับได้สัมผัสความน่ารักและใกล้ชิดกับเหล่าศิลปินมากยิ่งขึ้น สร้างบรรยากาศอบอุ่นและเต็มไปด้วยความประทับใจ หยดฝนกลิ่นสนิม ในงาน EP.5 Fan Screening             กิจกรรมสุดพิเศษในงาน EP.5 Fan Screening ของ หยดฝนกลิ่นสนิม ที่จัดขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม 2024 ณ สยามภาวลัย ชั้น 6 สยามพารากอน เป็นโอกาสที่แฟนคลับได้ร่วมชมและสัมผัสความฟินไปพร้อมกัน โดยมีบรรยากาศอบอุ่นและใกล้ชิด พร้อมกิจกรรมที่สร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วม BD Charlotte | Sport Day & After Party | X’mas Party             งานฉลองวันเกิดของชาร์ล็อตต์ ใน “Smile(y) All Around Charlotte Birthday Celebration” ที่จัดขึ้นในวันที่ 20 ธันวาคม 2567 เป็นกิจกรรมที่เต็มไปด้วยความ สนุกสนานและความอบอุ่น จากการร่วมฉลองกับแฟนคลับในวันที่ถัดมา 21 ธันวาคม 2567 จะมีงาน Sport Day & After Party ของ มิสแกรนด์และเหล่าแฟนคลับ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่น่าสนุกและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างศิลปินและผู้ชมและในวันที่ 22 ธันวาคม 2567 งาน X’mas Party – Cozy Christmas พร้อมกิจกรรมมากมาย รวมถึงการจับสลากลุ้นรับของรางวัลกับแฟนคลับ สร้างความสนุกและความตื่นเต้นตลอดทั้งวัน

MOTHER  เทรดวันแรกราคาเหนือจอง 54.29%

MOTHER เทรดวันแรกราคาเหนือจอง 54.29%

         หุ้นวิชั่น - บมจ.มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง (MOTHER) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก ราคาเปิดอยู่ที่ 2.16 บาท เพิ่มขึ้น 54.29% จากราคา IPO 1.40 บาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท รุกเดินหน้าเปิดสาขาเพิ่ม 3 สาขา เจาะทำเลแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนในจังหวัดกระบี่ หนุนรายได้ปี 2568 เติบโต 5-10%          นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ “Mother Supermarket” และ “Mother Marche” ในจังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง ในจังหวัดกระบี่ และสุราษฏร์ธานี เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ราคาเปิด 2.16 บาท เพิ่มขึ้น 0.76 บาท เหนือจอง 54.29% จากราคา IPO ที่ 1.40 บาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานธุรกิจและแบรนด์ของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดกระบี่ มากว่า 40 ปี ทั้งนี้จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ โดยนำเงินจากการระดมทุนประมาณ 120.40 ล้านบาท ไปต่อยอดธุรกิจและสร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตแข็งแกร่ง          “ขอบคุณนักลงทุนที่ให้การต้อนรับ MOTHER อย่างอบอุ่น จากพื้นฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งมากกว่า 40 ปี สามารถให้บริการและมีสินค้าหลากหลายที่ตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละกลุ่มอย่างครบครัน แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในจังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยทีมผู้บริหารพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน”นายเอกพงศ์ กล่าว          สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-10 % จากปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่เพิ่มขึ้น โดยปี 2567 จังหวัดกระบี่มีรายได้จากการนักท่องเที่ยวมากถึง 91,042 ล้านบาท รวมถึงได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล ตลอดจนการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจประเทศ ทำให้ธุรกิจเติบโตต่อเนื่องตามกำลังซื้อของผู้บริโภค          ทั้งนี้บริษัทฯ วางงบลงทุนราว 15 ล้านบาท ขยายสาขาเพิ่มอย่างน้อย 3 สาขา ทั้งรูปแบบ Mother Supermarket และ Mother Marche เจาะทำเลสำคัญที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและชุมชนในพื้นที่จังหวัดกระบี่ รองรับดีมานด์คนในพื้นที่ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ นับเป็นการเพิ่มศักยภาพการให้บริการและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภค เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ในการจับจ่ายสินค้าที่หลากหลายและครบครันที่สุด ตลอดจนการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดด         ด้านนายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ วาณิชธนกิจ บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับ MOTHER ในโอกาสเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง เห็นได้จากรายได้และกำไรที่เติบโตจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต          โดยบริษัทจะนำเงินจากการระดมทุน จำนวน 15 ล้านบาท ไปใช้ขยายสาขาอย่างน้อย 3 สาขา ในจังหวัดกระบี่, นำเงินไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน จำนวน 45 ล้านบาท เพื่อให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจคล่องตัว ไม่มีภาระต้นทุนที่สูง เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ จำนวน 54.77 ล้านบาท รองรับการขยายตัวของธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของ MOTHER ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร พร้อมใจร่วมกัน Lock up หุ้นเดิมทั้งหมด 100% เป็นระยะเวลา 3 เดือน          “หลังการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ทำให้ MOTHER มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสการเติบโตให้กับธุรกิจเดิมที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงการขยายโอกาสสู่ธุรกิจใหม่อนาคต ด้วยทีมผู้บริหารที่มากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน” นายสัมฤทธิ์ชัย กล่าว

CHEWAเล็งออกหุ้นกู้ ไม่เกิน 280 ล. อัตราดอกเบี้ย 7.25/ปี

CHEWAเล็งออกหุ้นกู้ ไม่เกิน 280 ล. อัตราดอกเบี้ย 7.25/ปี

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ของบริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562 มีมติอนุมัติการออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 4,500 ล้านบาท เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ บริษัทฯใคร่ขอแจ้ง ข้อมูลของการออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้ โดยออกหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ มีประกัน โดยมีผู้ค้ำประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน มูลค่าที่เสนอขาย ไม่เกิน 280 ล้านบาท อายุตราสาร 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 7.25 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ย ทุกๆ 3 เดือน และกำหนดวันตราสาร คือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 และวันที่ครบกำหนดอายุคือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2570และผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบไปด้วย บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จํากัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ บริษัทฯมีวงเงินคงเหลือก่อนการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ จำนวน 2,698 ล้านบาท

I2 ตั้งบ.ย่อย 'พาวแพ็คเกอร์' ทุนจดทะเบียน 20 ล.

I2 ตั้งบ.ย่อย 'พาวแพ็คเกอร์' ทุนจดทะเบียน 20 ล.

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายอธิพร ลิ่มเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ I2 แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2567 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 มีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อยนั้น บริษัทฯ ขอเรียนให้ทราบว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีทุนจดทะเบียน 20,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้น 200,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ภายใต้ชื่อว่า “บริษัท พาวแพ็คเกอร์ จำกัด”

[Vision Exclusive] SK ตุนแบ็กล็อกแน่น-ปักธงรายได้ 600ล.

[Vision Exclusive] SK ตุนแบ็กล็อกแน่น-ปักธงรายได้ 600ล.

          หุ้นวิชั่น -  SK ส่งซิกต้นทุนนิ่ง หนุนมาร์จิ้นพุ่ง ผู้บริหาร "ภากร ตั้งนุกูลกิจ" จับตางานก่อสร้าง พร้อมแผนลงทุนโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิต 2 พันล้านบาท ตุน Backlog งานผลิตภัณฑ์ 50 ล้านบาท คาดรายได้ปีนี้ใกล้เคียง 600 ล้านบาท           นายภากร ตั้งนุกูลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท ศิรกร จำกัด (มหาชน) หรือ SK เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ภาพรวมธุรกิจของ SK ในปี 2568 ด้านผลิตภัณฑ์จะอยู่ในทิศทางที่ดี เนื่องจากต้นทุนค่อนข้างนิ่ง ราคาขายและอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เริ่มฟื้นตัวกลับมา และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2568 จะดีกว่าปี 2567           สำหรับงานก่อสร้างที่ได้รับมาจากปลายปีที่ผ่านมา ขณะนี้เริ่มดำเนินการได้แล้ว 1 โครงการจากทั้งหมด 2 โครงการ โดยมีงานต่อเนื่องที่คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในส่วนของการก่อสร้างเสาไฟฟ้า           คาดปี 2568 การเติบโตของรายได้รวมจะไม่สูงมาก โดยคาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ 600 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจก่อสร้างมีความล่าช้ากว่ากำหนด และมีโครงการหนึ่งที่ยังไม่ได้ดำเนินการและยังไม่สามารถรับรู้รายได้ได้ แต่คาดว่าโครงการก่อสร้างที่ชะลอตัวจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2568 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการประกาศจากเจ้าของพื้นที่           บริษัทคาดธุรกิจผลิตภัณฑ์จะเติบโตจากกลุ่มพลังงานทดแทน เนื่องจากเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสายส่งเพื่อรับไฟฟ้าจากโครงการพลังงานทดแทนต่างๆ ซึ่งการลงทุนในธุรกิจพลังงานมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน บริษัทจะติดตามงานก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2568 จะมีงานใหม่ทยอยเปิดประมูลให้แข่งขันกันพอสมควร หลังจากที่ในปี 2567 งบประมาณการลงทุนบางส่วนขาดหายไป จึงคาดว่าจะเห็นการลงทุนในปี 2568 เพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2567 ทั้งในงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค           จากแผนการลงทุนของโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตในเบื้องต้น ว่าจะมีแผนลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนในด้านการประมูลงานผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คาดว่าการแข่งขันจะใกล้เคียงกับปี 2567 โดยคู่แข่งลดลง เนื่องจากงานผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นงานสายส่งพลังงานทางเลือก ขนาด 115 kV ซึ่ง SK มีความได้เปรียบจากการที่มีโรงงานกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค ทำให้สามารถแข่งขันได้ในหลากหลายพื้นที่           ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) อยู่ประมาณ 50 ล้านบาท และอยู่ระหว่างติดตามงานจากทั้งภาครัฐและเอกชน คาดว่าจะมีโอกาสได้รับงานเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าบางส่วนกลับมาใช้บริการ SK อีกครั้ง ซึ่งบริษัทสามารถตอบสนองได้ดีในด้านการบริการและระยะเวลาในการดำเนินงาน รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

CHEWA ลุยขายหุ้นกู้ ชูดอกเบี้ย7.25%

CHEWA ลุยขายหุ้นกู้ ชูดอกเบี้ย7.25%

          หุ้นวิชั่น - นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ของบริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562 มีมติอนุมัติการออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 4,500 ล้านบาท เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ บริษัทฯ ใคร่ขอแจ้งข้อมูลของการออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้ ประเภทตราสาร: หุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ มีประกัน โดยมีผู้ค้ำประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน มูลค่าที่เสนอขาย: ไม่เกิน 280 ล้านบาทอายุตราสาร: 2 ปี อัตราดอกเบี้ย: อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 7.25 ต่อปี การจ่ายดอกเบี้ย: ทุกๆ 3 เดือน วันที่ออกตราสาร: วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 วันที่ครบกำหนดอายุ: วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2570 ผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้: • บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด • บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด • บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด • บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด • บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) • บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) • บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) • บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) นายทะเบียนหุ้นกู้: ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้: ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด ทั้งนี้ บริษัทฯ มีวงเงินคงเหลือก่อนการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จำนวน 2,698 ล้านบาท

GFC ปักธง รุก 3 สาขา ให้บริการผู้มีบุตรยากเต็มพิกัด ส่งซิกปี 68 ปั้นรายได้โต 20%

GFC ปักธง รุก 3 สาขา ให้บริการผู้มีบุตรยากเต็มพิกัด ส่งซิกปี 68 ปั้นรายได้โต 20%

           หุ้นวิชั่น - บมจ.เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ หรือ “GFC” เผยดีมานด์การใช้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เดินหน้าสานฝัน เพื่อเติมเต็มคำว่า “ครอบครัว ที่สมบูรณ์แบบ”  ด้าน CEO “กรพัส อัจฉริยมานีกูล” ตั้งเป้าปี68 รายได้ทะยานกว่า 20% ภายใต้แผนยุทธ์ศาสตร์ ปักหมุดให้บริการครบทั้ง 3 สาขา (GFC Ubon - GFC Rama 9 International – GFC Rama 3) แบบเต็มพิกัด จ่อทะยานสร้ารายได้สู่ New S-Curve เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมชูธุรกิจ “ฝากไข่” จะเป็นอีกหนึ่ง Asset ที่เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงสำหรับผู้ต้องการมีลูกในอนาคต            ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินแนวโน้มธุรกิจบริการรักษาภาวะมีบุตรยากในปี 2568 ว่า ตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโต 6.2 % จากปี 2567 โดยมีมูลค่ากว่า 6.3 พันล้านบาท ตามความต้องการใช้บริการที่ยังเพิ่มขึ้นจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สอดคล้องไปกับเทรนด์ของโลก โดยในปี 2568 มูลค่าตลาดของผู้รับบริการชาวไทย คาดว่าจะขยายตัว 5.0 % จากค่านิยมมีบุตรช้าลง จากปัญหาด้านการเจริญพันธุ์ที่มีความซับซ้อน จึงทำให้ต้องพึ่งพาวิธีการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ขณะที่มูลค่าตลาดผู้รับบริการชาวต่างชาติ คาดว่าจะขยายตัว 7.6 % โดยมีแรงหนุนจากราคาและคุณภาพบริการที่ยังโดดเด่น รวมถึงการขยายตลาดใหม่ของธุรกิจ            นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) "GFC"  ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เปิดเผยว่า หากพิจารณาจากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย จะเห็นได้ว่ามูลค่าตลาดให้บริการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากทั่วโลกยังมีทิศทางการเติบโตเพิ่มขึ้น  อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในประเทศไทยก็เป็นหนึ่งประเทศที่มีดีมานด์การเข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยากสูงเช่นเดียวกัน จากปัจจัยดังกล่าวทำให้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ จึงเป็นนวัตกรรมเพื่อเพิ่มโอกาสสำหรับคนมีบุตรยาก กลายเป็นหนึ่งในธุรกิจเมกะเทรนด์ของโลกที่น่าจับตา และถือเป็นการส่งผลเชิงบวกต่อภาพรวมอุตสาหกรรม รวมถึง GFC ที่จะมีแนวโน้มการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ GFC ได้วางกลยุทธ์เดินหน้าขับเคลื่อนการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก ภายใต้ศักยภาพความแข็งแกร่งในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยในด้านการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยาก            โดยในปี 2568 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น 20 % จากการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก ครบทั้ง 3 สาขา ได้แก่  GFC Ubon - GFC Rama 9 International และ GFC Rama 3  ซึ่งทั้ง 3 สาขา จะให้บริการผู้เข้ารับการรักษาสำหรับผู้มีบุตรยากได้ครอบครบทุกมิติ ตั้งแต่การตรวจเบื้องต้น, การรักษาด้วยวิธี ICSI, การฝากไข่ และการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน PGT-A รวมถึงชูนวัตกรรมการนำเอาเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ PGT-A Plus มาใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจความผิดปกติของพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนการฝังตัว เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคัดกรองหาตัวอ่อนที่มีความสมบูรณ์และเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ ซึ่งทุกสาขา จะร่วมขับเคลื่อนการสร้างรายได้สู่ New S-Curve ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ควบคู่กับแผนการขยายฐานกลุ่มลูกค้าต่างชาติ            โดยเฉพาะตลาดกลุ่มลูกค้าจีน รวมถึงยังได้ศึกษาแผนการขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้า CLMV  ลูกค้าอินเดีย รวมถึงลูกค้าตะวันออกกลาง ด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากตลาดลูกค้ากลุ่มนี้นอกจากมีดีมานด์ที่สูงแล้ว ยังมีกำลังทรัพย์ที่สูงในการเข้ามารับการรักษาด้วยเช่นเดียวกัน GFC Ubon สาขาอุบลราชธานี ปัจจุบันเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสาขาดังกล่าวสามารถรองรับผู้เข้ารับการรักษาได้ครอบคลุมในพื้นที่อุบลฯ และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้การดูแลจากทีมแพทย์ผู้ชำนาญการและประสบการณ์ด้านการทำเด็กหลอดแก้ว ICSI การฉีดเชื้อ IUI รวมถึงบริการฝากไข่ บริการตรวจ AMH และบริการตรวจโครโมโซม ดังนั้นด้วยทีมแพทย์ ทีมนักวิทยาศาสตร์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ จะสามารถทำให้มั่นใจว่า GFC Ubon จะสามารถขยายฐานและเพิ่มโอกาสการเติบโตของลูกค้ากลุ่มใหม่ รวมถึงสร้างรายได้ให้กับ GFC ได้ GFC Rama 9 International สาขาพระราม 9 เตรียมเปิดให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) ในวันที่ 21 ก.พ. 2568 โดยสาขานี้เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่สำคัญของกรุงเทพฯ ที่จะยกระดับการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากอย่างครอบคลุม รวมถึงยังสามารถรองรับลูกค้าต่างประเทศได้เต็มรูปแบบ มีห้องวิจัยและห้องปฏิบัติการสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยห้องประชุมสัมมนาวิชาการทางการแพทย์ ศูนย์ฝึกอบรมนักเทคนิคการแพทย์ภายในของกลุ่มบริษัท (In-house training) เพื่อเป็นการบริหารทรัพยากรบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น            GFC มุ่งยกระดับมาตรฐานการรักษาลูกค้าผู้มีบุตรยาก ควบคู่กับการยกระดับทีมบุคลากรผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และการนำเอาเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์มาใช้เพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ สู่การสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคง            ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GFC ยังได้กล่าวทิ้งท้ายถึงแนวโน้มการ “ฝากไข่” ซึ่งถือเป็นเทรนด์ผู้หญิงยุคใหม่ในปัจจุบันว่า การฝากไข่ ถือว่าเป็น Asset หรือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง เนื่องจากเป็นหลักประกันที่เพิ่มโอกาสในการมีลูกในอนาคต เพราะ Asset ดังกล่าวจะเข้ามาช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับครอบครัว ดังนั้น GFC จึงมุ่งเน้นให้ความสำคัญในธุรกิจนี้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งในธุรกิจในการให้บริการที่จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ในอนาคต [PR news]

MAGURO คาด Q4/67 กำไรพุ่ง 149% ต้นทุนลด หนุนอัพไซด์ เคาะเป้า 26.00 บาท

MAGURO คาด Q4/67 กำไรพุ่ง 149% ต้นทุนลด หนุนอัพไซด์ เคาะเป้า 26.00 บาท

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุว่า คุณจักรกฤติ สายสมบูรณ์ CEO ของ MAGURO เผยงบปี 2024E สดใสตามเป้า นอกจากนี้ปัจจุบันราคาต้นทุนวัตถุดิบหลัก อาทิ Salmon ราคาค่อนข้างคงที่ ซึ่งลดลง YoY ในขณะที่เนื้อวากิว ราคาลดลง -10-15% ทำราคาได้ดีตั้งแต่ต้นปี ดังนั้น คาดว่ารายได้ปี 2025E เติบโตแข็งแกร่ง ทะลุเป้าเตรียมขยายสาขาและเพิ่ม SSSG พร้อมทั้งเปิดตัวแบรนด์ใหม่อีก 2 แบรนด์ในปีนี้ (ที่มา: stock focus)          เรามีมุมมองเป็นบวกจากประเด็นข้างต้น เราประเมินกำไรสุทธิ 4Q24E ที่ 34 ล้านบาท (+149% YoY, +17% QoQ) กำไรโต YoY หนุนโดย 1. รายได้ขยายตัว +42% YoY จาก SSSG +4.5%, ขยายสาขาเป็น 38 สาขา (4Q23 ที่ 25 สาขา) อีกทั้งแบรนด์ใหม่เติบโตดีกว่าคาด โดยเฉพาะ Tonkatsu Aoki โตสูงกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้มาก, 2. GPM ขยายตัว จากสัดส่วน Hitori Shabu ที่ high margin ปรับตัวเพิ่มขึ้น และ 3. SG&A to sales ปรับตัวลดลงจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี ด้านกำไรเติบโต QoQ จาก high season          สำหรับต้นทุน salmon มีสัดส่วนเป็น 20-25% ของ COGS ของ MAGURO เรามองว่าต้นทุน salmon & เนื้อวากิว ที่ลดลง YoY จะช่วยหนุน GPM ขยายตัว เป็น upside ต่อประมาณการเรา เบื้องต้น เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 96 ล้านบาท (+33% YoY) และปี 2025E ที่ 141 ล้านบาท (+47% YoY) จากรายได้ที่เติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง +23% YoY จาก SSSG +3% YoY และขยายสาขา 13 สาขา เราคาดรายได้จากแบรนด์ใหม่ที่ 132 ล้านบาท คาด NPM ของแบรนด์ใหม่ที่ 9-10%, GPM ขยายตัวจากสัดส่วนรายได้ของ Hitori Shabu, Tonkatsu Aoki, Cou Cou ซึ่ง high margin ปรับตัวเพิ่มขึ้น❑ ฃ          เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 26.00 บาท อิง 2025E PER 23.5x เรายังชอบ MAGURO จาก 1. ธุรกิจร้านอาหารแบบ Full-Service ไทย ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง, 2. มี penetration rate ที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง, 3. มี Brand Awareness และ Brand Loyalty ที่แข็งแกร่ง โดยสัดส่วนรายได้จากสมาชิกสูง > 55% และ 4. valuation ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรปี 24-25E ที่ทำ All Time High ปัจจุบัน MAGURO เทรดอยู่ที่ 2025E PER 15.6x ต่ำกว่า peer ที่ 19x และมี short-term catalysts จากกำไร 4Q24E ที่เดินหน้าทำ new high

CHOW จับมือ “ยิ่งยงมินิมาร์ท” ติด Solar Rooftop “เซเว่น” 114 สาขา

CHOW จับมือ “ยิ่งยงมินิมาร์ท” ติด Solar Rooftop “เซเว่น” 114 สาขา

          หุ้นวิชั่น - CHOW ควง “ยิ่งยงมินิมาร์ท” Sub-Area License ร้าน “เซเว่น อีเลฟเว่น” พื้นที่ 4 จังหวัดภาคอีสานร่วมสังคมคาร์บอนต่ำติดตั้ง Solar Rooftop บนหลังคา “เซเว่น” 114 สาขากว่า 2,689.22 กิโลวัตต์ เพื่อลดภาระค่าพลังงานไฟฟ้าในระยะยาว “ปรมัตถ์ จุฬวนิช” เผย CHOW มีทีมงานมืออาชีพครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศแล้ว พร้อมดูแลทุกโครงการอย่างทั่วถึง ระบุปี 68 เร่งขายไฟให้ครบ 200 เมกะวัตต์ พร้อมกวาดโครงการใหม่เข้ามือต่อเนื่อง           นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศ และธุรกิจพลังงานทดแทน ประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านบริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อย เปิดเผยว่า หลังจากที่  CHOW ประสบความสำเร็จในการติดตั้งโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ให้กับทั้งภาครัฐและเอกชนไปแล้วกว่า 10,000 โครงการ ทั่วประเทศ           ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท ยิ่งยงมินิมาร์ท จำกัด บริษัทผู้รับสิทธิช่วงในอาณาเขต (Sub-Area License) สำหรับการเปิดร้าน “เซเว่น อีเลฟเว่น” ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอำนาจเจริญ ให้เป็นผู้ติดตั้งโครงการ Solar Rooftop ให้กับร้าน “เซเว่น อีเลฟเว่น” ของบริษัท จำนวน 114 สาขา กำลังการผลิตรวม 2,689.22 กิโลวัตต์           “CHOW ได้รับความไว้วางใจจาก ยิ่งยงมินิมาร์ท ให้เป็นผู้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่นในเครือทุกสาขา เพื่อเข้าร่วมสังคมคาร์บอนต่ำ โดยสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้า พร้อมดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งการใช้พลังงานสะอาดในครั้งนี้จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้จำนวน 271,611 ต้น สามารถช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 1,700 ตันต่อปี”           สำหรับโครงการของบริษัท ยิ่งยงมินิมาร์ท จำกัด บริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการอย่างครบวงจร ทั้งเทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าการลงทุน และการดูแลรักษาตลอดอายุการใช้งานด้วยทีมงานระดับผู้เชี่ยวชาญครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย โดยมั่นใจว่าจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงานทดแทนที่มีประสบการณ์จากโครงการทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งของ CHOW และกระแส Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ จะสนับสนุนให้ธุรกิจพลังงานทดแทนของ CHOW ในปี 2568 เติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาได้อย่างแข็งแกร่ง  ทั้งโครงการใหม่ที่คาดว่ายังเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก และโครงการที่เปิดขายไฟในเชิงพาณิชย์ (COD) ที่มีเป้าหมายจะทะลุ 200 เมกะวัตต์ในปีนี้           “เรามั่นใจว่าโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าบนหลังคาภายใต้สัญญา Private PPA ของ CHOW ในปัจจุบัน ลูกค้าจะได้รับประโยชน์สูงสุดตลอดอายุสัญญา เนื่องจากเรามีทีมงานที่ทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดทั้งในช่วงพัฒนาโครงการ และดูแลซ่อมบำรุงตลอดอายุสัญญาเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้ตรงกับทุกความต้องการ ยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับแต่ละกับธุรกิจ ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ผลิตพลังงานได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งลูกค้าจะได้รับประโยชน์ทั้งส่วนลดค่าพลังงานที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกันยังช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญให้ธุรกิจพลังงานของ CHOW เติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้” [PR News]

D ทำฟันปี68 พลิกโต 17% โบรกส่อง Yield สูง ให้เป้า 4 บ.

D ทำฟันปี68 พลิกโต 17% โบรกส่อง Yield สูง ให้เป้า 4 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง D ว่า กำไร 4Q67E ฟื้น QoQ, YoY แต่ปรับกำไร 67E ลดลงจากเดิม 20%           ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการรายได้ปี 67 ตามเดิมที่ 965 ล้านบาทซึ่งเติบโต 4% แต่ปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นจากเดิม 35% เหลือ 34% จากนโยบายปรับลดอัตราค่าบริการลงจากเดิม 10-20% เพื่อเข้าถึงลูกค้าคนไทยมากขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ทางทันตกรรมที่ลดลง ขณะที่ประมาณการค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น 2.5% จากการใช้งบประชาสัมพันธ์ยาสีฟัน Elite Smile และการขึ้นค่าคอมมิชชั่นให้กับพนักงานขาย ส่งผลให้ประมาณการกำไรใหม่ปี 67 ลดลง 20% เหลือ 59 ล้านบาท ซึ่งหดตัว 18% จากปี 66 ทั้งนี้ประมาณการรายได้และกำไรงวด 4Q67E อยู่ที่ราว 252 และ 14 ล้านบาท +18% YoY, +3% QoQ และ +69% YoY, +42% QoQ ตามลำดับ คาดกำไรปี 68 พลิกเติบโต 17% YoY           ภาพรวมการดำเนินงานในปี 68 มีโอกาสพลิกเติบโตจากคาดการณ์กำไรหดตัวในปี 67 เนื่องจากการปรับเปลี่ยนแบรนด์ (Rebranding) เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าคนไทยมากขึ้น การเปิดเพิ่มสาขาคลินิกทันตกรรมราว 4 สาขาโดยเน้นเปิดใน กทม. และต่างจังหวัดที่เป็นเขตท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ต คงประมาณการรายได้ปี 68 ตามเดิมที่ 1,013 ล้านบาท เติบโต 5% YoY แต่เราปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นเหลือ 34.5% จากเดิม 35% ส่งผลให้ประมาณการกำไรใหม่ลดลงจากเดิม 12% เหลือ 69 ล้านบาท +17% YoY กำไรต่อหุ้น 0.20 บาทจากเดิม 0.23 บาท คงแนะนำ "ซื้อ" ปรับลดราคาเหมาะสมเหลือ 4 บาท (เดิม 5.06 บาท)           ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบอกต่อศักยภาพในการเติบโตของผลประกอบการปี 68 ที่คาดจะพลิกเติบโตราว 17% ในการประเมินราคาเหมาะสมซึ่งอิง Prospective PER ที่ปรับลดเหลือ 20 เท่าจากเดิม 22 เท่า (สอดคล้องกับภาวะตลาด) จากประมาณการกำไรต่อหุ้นใหม่ที่ 0.20 บาท (จากเดิม 0.23 บาท) คำนวณเป็นราคาเหมาะสมใหม่ที่ 4 บาท (จากเดิม 5.06 บาท) ซึ่งยังมี upside จากราคาปิดล่าสุด พร้อมคาดการณ์ Yield ราว 3.2-3.7% จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"

โกลเบล็ก ชอบ

โกลเบล็ก ชอบ "TACC" อัพไซต์ สูง 45% เคาะเป้า 5.8 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง TACC ว่า "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 5.80 บาท มีอัพไซต์ 45% "มุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้ม 4Q67 ส่วนปี 68 คาดเติบโตราว 10%" คาดแนวโน้มกำไร 4Q67 เติบโตเล็กน้อย YoY และ QoQ โดยหลักยังคงเติบโตควบคู่กับการขยายสาขา 7-Eleven อีกราว 180 แห่ง ประกอบกับเข้าสู่ High Season ของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม คาดจะได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักในโซนภาคเหนือและภาคใต้ ประกอบกับมีต้นทุนวัตถุดิบบางรายการที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ %GPM ปรับลงต่ำกว่าระดับปกติที่ 33% สู่ราว 32% โดยเราคาดการณ์กำไรปี 67 ราว 255 ลบ. +24% YoY (9M67 คิดเป็น 75% ของประมาณการดังกล่าว)           ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้ม 4Q67 ส่วนปี 68 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 10% จากการขยายสาขา 7-Eleven เฉลี่ยปีละ 700 แห่ง และการเป็นพาร์ทเนอร์กับร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่มีแผนขยายสาขาเชิงรุกจาก 1,282 แห่งในปี 67 สู่ราว 5,000 แห่งในปี 70 แต่คาด %GPM อาจต่ำกว่าระดับ 33% เนื่องจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ทรงตัวสูง           อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ชื่นชอบ TACC ในแง่สินค้าที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายผ่านร้าน 7-Eleven และราคาไม่แพง ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ส่วนราคาเหมาะสม 5.80 บาท มีอัพไซต์ 45% รวมทั้งจ่ายปันผลในอัตรา 8-9% ต่อปี แนะนำ "ซื้อ"

mai ต้อนรับ บมจ. มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง (MOTHER) เริ่มซื้อขาย 11 ก.พ. นี้

mai ต้อนรับ บมจ. มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง (MOTHER) เริ่มซื้อขาย 11 ก.พ. นี้

         หุ้นวิชั่น - นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บมจ. มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มบริการ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “MOTHER” ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568          MOTHER ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ผ่านสำนักงานใหญ่และร้านสาขาชื่อ “Mother Supermarket” และ “Mother Marche” รวม 20 สาขา โดยแบ่งเป็น มาเธอร์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำนวน 10 สาขา และ   มาเธอร์ มาเช่ จำนวน 10 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดกระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานี อีกทั้งมีศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง ในจังหวัดกระบี่ และสุราษฎร์ธานี โดยมีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติที่เป็นผู้มาพักอาศัยและนักท่องเที่ยว ซึ่งสามารถเลือกซื้อสินค้าผ่าน 4 ช่องทางการจำหน่าย ได้แก่ การจำหน่ายสินค้าผ่านร้านสาขา การจำหน่ายสินค้าแบบค้าส่งผ่านศูนย์กระจายสินค้า ช่องทางออนไลน์ และการขายผ่านหน่วยรถ สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง รายได้บริการและอื่นๆ ในสัดส่วนร้อยละ 69 : 30 : 1          MOTHER มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 143 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 200 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 86 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 73.10ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 12.90 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ลงทุนระหว่างวันที่ 27 - 29 มกราคม 2568 ในราคาหุ้นละ 1.40 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 120.40 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 400.40 ล้านบาท          ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 21.40 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2567 ซึ่งเท่ากับ 18.71 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.07 บาท โดยมีบริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบริษัทหลักทรัพย์ พายจำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ          นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง (MOTHER) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลามากกว่า 40 ปี บริษัทมุ่งมั่นและพัฒนาซุปเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบใหม่ ภายใต้แนวคิด “ประหยัด ทันสมัย ใกล้บ้านคุณ” โดยจำหน่ายสินค้ามากกว่า 10,000 รายการ ครอบคลุมสินค้าอุปโภคบริโภค ตลอดจนของสดและ อาหารแช่แข็ง เพื่อตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าในท้องถิ่นและลูกค้าชาวต่างประเทศที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นเงินทุนในการขยายสาขา ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท          MOTHER มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ กลุ่มครอบครัวนายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ ถือหุ้น 68.81% และกลุ่มครอบครัวโชคชัยวิทัศน์ 1.12% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทฯ หลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับบริษัท ผู้ลงทุนและผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียด จากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.mothermarket.co.th และ www.set.or.th

[Vision Exclusive] K อินทีเรีย-อีเวนต์คึก เป้ารายได้แตะพันล้าน

[Vision Exclusive] K อินทีเรีย-อีเวนต์คึก เป้ารายได้แตะพันล้าน

         หุ้นวิชั่น - K ฉายภาพธุรกิจปี 68 สดใส รอชิงงานในไปป์ไลน์ 500 ล้านบาท จับตางาน Interior ทยอยออกเพียบ ส่วน Exhibition & Events จัดทัพลุยลักชัวรี , Pop up ทำยอด ด้านผู้บริหาร "วงศกร พิเศษสิทธิ์" ตั้งเป้ารายได้แตะพันล้านบาท พร้อมรักษา Gross Profit Margin ระดับ 25%          นายวงศกร พิเศษสิทธิ์ ผู้จัดการด้านสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ. จำกัด (มหาชน) หรือ K เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แนวโน้มธุรกิจของบริษัทในปี 2568 ยังคงมีทิศทางที่ดี แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะยังไม่สดใส แต่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้าง และการเปิดห้างสรรพสินค้าสาขาใหม่ยังคึกคัก รวมถึงการรีโนเวทพื้นที่ส่วนกลางในโรงแรมหลายแห่งที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณงานในปี 2568 ค่อนข้างคึกคัก          ขณะเดียวกัน งานในกลุ่ม Exhibition & Events (MICE Industries) ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมธุรกิจของบริษัทในปี 2568 คาดว่าจะคล้ายกับปี 2567 ที่ผ่านมา และคาดจะเติบดตทั้งสองส่วน ทั้ง ธุรกิจงานตกแต่งภายใน (Interior) และ งาน Exhibition & Events          ปัจจุบันบริษัทมีงานในไปป์ไลน์รวมมูลค่า 400-500 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยงานรีโนเวทพื้นที่ส่วนกลาง (Public Area) และงานออกแบบ Lounge โดยตั้งแต่ต้นปี 2568 บริษัทได้รับงานแล้ว 1 โครงการ มูลค่า 100 ล้านบาท และเตรียมรู้ผลการประมูลงานใหม่เร็วๆ นี้อีก 1 โครงการ มูลค่า 100 ล้านบาท          สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมที่ 1,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะได้รับรายได้จากกลุ่มงาน Interior Design ประมาณ 20-25% หรือ 200-250 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะมาจากกลุ่ม Exhibition & Events (MICE) 80% หรือ 800 ล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายในการหางานใหม่เพิ่มเติม เพื่อเติม Backlog ให้ได้เป็น 400 ล้านบาท ทั้งนี้ หากเป็นไปตามแผนและได้รับงานใหม่เข้ามาตามที่กำหนด คาดว่า Backlog จะถูกรับรู้เป็นรายได้ในครึ่งปีแรกของปี 2568 ราว 200 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะถูกรับรู้รายได้ในปี 2569          นอกจากการตั้งเป้ารายได้ในปี 2568 ที่ 1,000 ล้านบาทแล้ว บริษัทยังจะมุ่งเน้นที่การปรับปรุงอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เพื่อสร้างผลกำไรให้ได้ตามเป้าหมาย โดยจะคัดเลือกโครงการที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในกรอบที่กำหนด เพื่อผลักดันผลงานให้เติบโตอย่างยั่งยืน เบื้องต้น บริษัทตั้งเป้าหมายในการทำ Gross Profit Margin โดยรวมให้อยู่ในระดับ 20-25% ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินธุรกิจในปี 2568 และสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมแก่ผู้ถือหุ้น          กลุ่มงาน Exhibition & Events ในปี 2568 จะเป็นปีที่ท้าทายและอิ่มตัว หากจะเติบโตได้จะต้องเน้นการจัดงานขนาดใหญ่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่าในปี 2568 กลุ่มงานนี้จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งเป็นการเติบโตที่คล้ายกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะงานในตลาดลักชัวรี และงานแบรนด์ขนาดใหญ่ที่จัด Pop up ซึ่งคาดว่าจะมีงานจำนวนมากในช่วงต้นปีและท้ายปี          ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตในกลุ่ม Exhibition & Events บริษัทอาจจะต้องขยายทีมงาน เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทมีทีมงานไม่มาก ทำให้การขยายตัวในกลุ่มนี้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย          กลุ่มงาน Event เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจับตามอง โดยบริษัทได้ตั้งทีมและเริ่มงานในกลุ่มนี้มาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และสามารถสร้างรายได้จากงาน Event ได้ประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในปี 2568 กลุ่มงาน Event จะเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากมีโอกาสขยายตัวในตลาดที่มีความต้องการสูง รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] AF รุกสินเชื่อยั่งยืน

[Vision Exclusive] AF รุกสินเชื่อยั่งยืน "ESG Finance" ฮอต!

          หุ้นวิชั่น - AF เปิดเกมรุก "ESG Finance" สู่ความยั่งยืน คาดปี 68 โต 20% หลังปล่อยสินเชื่อแล้วกว่า 300 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร 'อัครวิทย์ สุกใส' ลั่นธีมลดคาร์บอนฮอต! เชื่อกระตุ้นดีมานด์คึก พร้อมลุยตลาดอุปกรณ์การแพทย์ จับตากลุ่มผู้สูงอายุโตเด่น!           นายอัครวิทย์ สุกใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AF เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า หลายองค์กรอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงจากธุรกิจปกติไปสู่การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG - Environment, Social, and Governance) ซึ่งเป็นแนวทางที่ AF เริ่มให้ความสำคัญ โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปล่อยสินเชื่อในกลุ่ม ESG หรือที่เรียกว่า ESG Finance ไปแล้วมากกว่า 300 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด           คาดว่าในปี 2568 ดีมานด์สินเชื่อ ESG Finance จะเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากหลายองค์กรต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทาง ESG และคาดว่าสินเชื่อในกลุ่มนี้จะเติบโตได้ถึง 20% ในปี 2568           "ซัพพลายเชนท์อุปกรณ์พลังงานและอุปกรณ์ประหยัดพลังงานกำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน รวมถึงธุรกิจที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนหรือส่งคาร์บอนไปยังชั้นบรรยากาศ ซึ่งถือเป็นตลาดใหม่ที่บริษัทกำลังมุ่งไป โดยคาดว่ากลุ่มธุรกิจนี้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของธุรกรรมในปี 68" นายอัครวิทย์ กล่าว           บริษัทมองทิศทางอุปกรณ์ทางการแพทย์ในปี 2568 โดยเฉพาะสินค้าและบริการสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีการเติบโตอย่างดี บริษัทคาดว่าทั้งกลุ่ม ESG Finance และการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจอุปกรณ์ทางการแพทย์จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของ AF ต่อไปในปี 2568 นี้ และบริษัทตั้งเป้าหมายการควบคุมหนี้เสีย (NPL) หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในปี 2568 ให้ใกล้เคียงกับระดับของปีที่ผ่านมา หรือไม่เกิน 5% ตามแผนการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม           นายอัครวิทย์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไทยปี 2568 ยังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีลูกค้ากลุ่มส่งออกในพอร์ต แต่คิดเป็นสัดส่วนไม่มากนัก หรือไม่ถึง 5% ของพอร์ตรวม           ขณะเดียวกันบริษัทจะเฝ้าระวังนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศ หลังจากที่คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจประกาศลดดอกเบี้ยในปลายปีที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีท่าทีในการประกาศลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจแฟคทอริ่งที่ต้นทุนขึ้นอยู่กับดอกเบี้ย           หากแนวโน้มดอกเบี้ยยังไม่ชัดเจนหรือไม่ปรับลดในเวลาอันใกล้ อาจสร้างความกังวลในหมู่ผู้ประกอบการและกลุ่ม SME รวมถึงอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งอาจทำให้การเข้าถึงลูกค้าหรือการปล่อยสินเชื่อในบางกลุ่มยากขึ้น บริษัทจึงจะมุ่งเน้นการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เช่น กลุ่มบริการและการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะมีดีมานด์สินเชื่อในปี 2568 นี้ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

MOTHER พร้อมลั่นระฆังเทรดตลาด mai 11 ก.พ.นี้

MOTHER พร้อมลั่นระฆังเทรดตลาด mai 11 ก.พ.นี้

          บมจ.มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “MOTHER” วันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ ระดมทุน “ขยายธุรกิจ-ชำระหนี้เงินกู้-เป็นเงินทุนหมุนเวียน” นำธุรกิจก้าวกระโดดสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้านกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมประกาศ Lock up หุ้น 100% สร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้นักลงทุน           นายเอกพงศ์ โชคชัยวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ “Mother Supermarket” และ “Mother Marche” ในจังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง ในจังหวัดกระบี่ และสุราษฏร์ธานี มามากกว่า 40 ปี เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจบริการ โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “MOTHER” ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568           การระดมทุนดังกล่าวจะเสริมความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน เพื่อรองรับการขยายธุรกิจและการเติบโตของรายได้ในอนาคต โดยบริษัทเตรียมนำเงินระดมทุนไปใช้ 1.ขยายสาขาเพิ่มอย่างน้อย 3 สาขา ทั้งรูปแบบ Mother Supermarket และ Mother Marché ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและทำเลที่มีศักยภาพการลงทุนสูงในจังหวัดกระบี่ 2.ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และ 3.เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว           จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของผู้บริหารในอุตสาหกรรมค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ในจังหวัดกระบี่ มานานกว่า 40 ปี  ทำให้ MOTHER เข้าใจในวิถีการดำเนินชีวิตและความต้องการสินค้าของคนในพื้นที่เป็นอย่างดี สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งมีการบริหารต้นทุนที่เหมาะสม มีกลยุทธ์การตลาดที่สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงการคัดสรรผลิตภัณฑ์และการบริการที่แตกต่างและโดดเด่นจากแบรนด์อื่น ทำให้ “Mother Supermarket” และ “Mother Marche” ได้รับความไว้วางใจและเป็นที่ยอมรับของลูกค้าตลอดมา โดยสามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในปี 2567 ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน บริษัทมีรายได้รวม 959.38 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขาย 952.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.64% จากงวดเดียวกันของปีก่อน           พร้อมกันนี้ กลุ่มครอบครัว “โชคชัยวิทัศน์” ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แสดงความมั่นคง Lock Up หุ้นที่มีอยู่ 100% เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้นักลงทุน           “การเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างโอกาสเติบโตให้กับบริษัท เสริมให้ MOTHER ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทีมบริหารที่มีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ธุรกิจที่ชัดเจน โดยเฉพาะการขยายสาขาเพิ่มบนทำเลศักยภาพโซนท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่และจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมในภาคใต้หลังจากนี้” นายเอกพงศ์ กล่าว           ขณะที่ นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ วาณิชธนกิจ บริษัท พาย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า MOTHER เป็นหุ้น IPO ที่มีศักยภาพโดดเด่น มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง ตามการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล การฟื้นตัวของการบริโภคในพื้นที่ รวมถึงความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของผู้บริหารในการดำเนินธุรกิจมากว่า 40 ปี ทำให้ MOTHER  มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งรายได้และกำไร ตลอดจนโอกาสในการขยายฐานลูกค้าเพิ่มในอนาคต นับเป็นการตอกย้ำศักยภาพธุรกิจที่แข็งแกร่ง           การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ครั้งนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพฐานทุนให้แข็งแกร่ง และต่อยอดการให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในพื้นที่และนักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ มั่นใจว่า MOTHER จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เห็นได้จากการขายหุ้น IPO จำนวน 86  ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.40 บาท ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน เนื่องจากมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโต           “MOTHER  มีเป้าหมายขยายสาขาเพิ่ม พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่บริษัทและการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต มั่นใจ MOTHER  จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน” นายสัมฤทธิ์ชัย กล่าว [PR News]

[Gossip] SVR กำเงิน 91 ล้านบาท ชำระหุ้นกู้ก่อนกำหนด

[Gossip] SVR กำเงิน 91 ล้านบาท ชำระหุ้นกู้ก่อนกำหนด

         หุ้นวิชั่น - เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้นำอสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่ทิ้งไลน์ความเก๋าจริงๆ สำหรับ บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท หรือ SVR เพราะล่าสุด แม่ทัพใหญ่ “รณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์” ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส กำเงิน จำนวน 91 ล้านบาท ไปชำระคืนหุ้นกู้ก่อนกำหนด  รุ่น “SVR253A” ครั้งที่ 1/2566 ชุดที่ 1 ตามนัดวันนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญการชำระหนี้ในครั้งนี้ยังเป็นการลดภาระดอกเบี้ย รวมถึงสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯ ที่ต่ำแล้วให้ลดลงเข้ามาไปอีก          แค่นั้นยังไม่พอ ยังแอบกระซิบอีกว่า สำหรับหุ้นกู้รุ่น 2 ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนครั้งต่อไปในช่วงสิ้นปี 2568 นี้ ตอนนี้บริษัทฯ ซุ่มวางแผนทางการเงิน  เพื่อเตรียมชำระในครั้งต่อไปไว้แล้ว          เอาเป็นว่าเหล่าบรรดา FC สบายใจได้หายห่วง  แบบนี้สินะที่เค้าเรียกว่าผู้นำดี มีชัยไปกว่าครึ่ง มิหนำซ้ำยิ่งถ้าบริษัทฯ มีศักยภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินได้ดี มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะสะท้อนภาพลักษณ์ เชิงบวกให้กับองค์กร และ นักลงทุน ได้เห็นอย่างแน่นอน

[Gossip] MAGURO คุมต้นทุนหนุนกำไรขั้นต้น งบปี 67 คาดมาตามนัด

[Gossip] MAGURO คุมต้นทุนหนุนกำไรขั้นต้น งบปี 67 คาดมาตามนัด

          หุ้นวิชั่น - สำเร็จตามโรดแมพทุกไตรมาส สำหรับ บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO งานนี้ บิ๊กบอสอย่าง “คุณจักรกฤติ สายสมบูรณ์” เป็นปลื้ม เพราะตั้งแต่ต้นปีมีแต่ข่าวดี มั่นใจแนวโน้มงบประมาณ ปี 2567 สดใสตามเป้าหมาย นอกจากนี้ด้านราคาต้นทุนของวัตถุดิบหลัก สำหรับสินค้าเมนูเรือธง อย่าง เนื้อปลาแชลมอนราคาค่อนข้างคงที่ ซึ่งถูกกว่าช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ในขณะที่เนื้อวากิวราคาต้นทุนลดลง ประมาณ 10 -15 % แต่คุณภาพพรีเมียมเท่าเดิม ทำราคาได้ดีตั้งแต่ต้นปี คาดว่าปีนี้รายได้เติบโตแข็งแกร่ง ทะลุเป้า เตรียมขยายกิจการเปิดสาขาเพิ่มอีกรัวๆ พร้อมแผนเพิ่มยอดขายร้านเดิม (SSSG) ในทุกๆ แบรนด์ และยังมีแผนจะเปิดตัวร้านอาหาร 2 แบรนด์ใหม่ในปีนี้อีกด้วย           ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือรวมทั้งหมด 38 ร้านจาก 5 แบรนด์ คือ แบรนด์ MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิระดับพรีเมียม 18 ร้าน แบรนด์ SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่าง สไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม 6 ร้าน แบรนด์ HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 10 ร้าน และร้าน HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิม ในรูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course สาขาแรกที่เอกมัย 12 แบรนด์ TONKATSU AOKI ร้านหมูทอด สาขาแรก ณ เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 3 และแบรนด์ CouCou ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก สาขาแรกที่ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม

KLINIQ ความสวยเป็นเหตุ คาดกำไรทุบสถิติ!

KLINIQ ความสวยเป็นเหตุ คาดกำไรทุบสถิติ!

         หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ประเมินหุ้น KLINIQ (ซื้อ/ปรับเป้าลงเป็น 34.00 บาท) กำไร 4Q24E เดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่          ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายเป็นปี 2025E ที่ 34.00 บาท อิง 2025E PER20.0x (เดิม 38.00 บาท อิง 2024E PER 27.0x) ฝ่ายวิจัย derate PER ลงเพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศที่ช้ากว่าคาด          ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิ 4Q24E ที่ 94 ล้านบาท (+20% YoY, +27% QoQ) สูงกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ เดิมจาก SSSG ที่ดีกว่าคาด จาก 1) รายได้รวมขยายตัว +27% YoY จาก SSSG +13% และการขยายสาขา โดยใน 4Q24 มีสาขาทั้งหมด 72 สาขา (4Q23 = 55 สาขา, 3Q24 = 69 สาขา), 2) GPM ทรงตัว YoY ด้านกำไรโต QoQ จาก GPM ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากสาขาที่เปิดใน 1H24 พลิกกลับมามีกำไรรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ขึ้น +3% สะท้อนกำไร 4Q24E ที่ดีกว่าคาด          แต่ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ลง -3% เพื่อสะท้อนกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยประเมินกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 317 ล้านบาท (+10% YoY) และ ปี 2025E ที่ 375 ล้านบาท ( + 18% YoY)          ราคาหุ้น underperform SET -6% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบัน KLINIQ เทรดอยู่ที่ PER 15.0x ฝ่ายวิจัยชอบ KLINIQ จาก 1) จำนวนสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และ 2) valuation น่าสนใจ ยังไม่สะท้อนกำไรปี 2024E-25E ที่เติบโตสูงสุดใหม่

[Vision Exclusive] WARRIX

[Vision Exclusive] WARRIX "เสื้อโปโล" ฮอต! ยอดอินเตอร์โตแรง 125%

          หุ้นวิชั่น - WARRIX เจาะฐานองค์กร "เสื้อโปโล" ยอดขายโตสนั่น ใส่เกียร์ชิงมาร์เก็ตแชร์เพิ่ม บอสใหญ่ "วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล" ปักธงตลาดต่างแดน จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เร่งเครื่องดันทำเงิน ชี้ยอดขาย 9 เดือนปี 67 อินเตอร์ทะยาน 125% พร้อมตั้งเป้าดันสัดส่วนเป็น 2 หลักใน 2 ปีข้างหน้า จัดทัพลุยตลาดไลฟ์สไตล์ชิงยอด           นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 โดยเน้นการเติบโตในกลุ่มตลาดเดิมและสินค้าเดิม โดยเฉพาะในหมวดสุขภาพและกีฬา ซึ่ง "เสื้อโปโล" ถือเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัท โดยมียอดขายประมาณ 50% ของยอดขายรวมของ WARRIX นอกจากนี้ กลุ่มเสื้อโปโลยังมีอัตราการเติบโตสูงในกลุ่มลูกค้า Project หรือองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงเสื้อกีฬา และการที่รัฐเชิญชวนให้สวมใส่เสื้อเหลืองตราสัญลักษณ์ฯ งานฟุตบอลสัมพันธ์จุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ 2024 ปัจจัยดังกล่าวช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาด (Market Share) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มนี้           นอกจากการเติบโตในตลาดเดิมแล้ว WARRIX ยังมองหาโอกาสในการเติบโตร่วมกับพันธมิตรใหม่ ๆ และการใช้รูปแบบธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การขยายช่องทางขายผ่าน TikTok Live โดยบริษัทได้เปิด "Tiktok Academy" เพื่อปรับโมเดลและช่องทางการขายที่ตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2568           สัดส่วนยอดขายสินค้าในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 ของ WARRIX โดยมีรายละเอียดดังนี้กลุ่ม Project Based 25% Traditional Trade 27% Online 19% Modern Trade 11% Shop 8% Inter Sale 5% Physical Clinic 1% Retail 3% และ Others 1%           สำหรับการเติบโตของแต่ละช่องทางในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่า Traditional Trade เติบโตสูงถึง 47%, Modern Trade ขยายตัว 24%, Inter Sale เพิ่มขึ้นถึง 125%, Online เติบโต 67%, Retail โต 37%, Shop ขยายตัว 70%, Project Based โต 14%, Physical Clinic ขยายตัว 13% และ Others โต 67%.           กลยุทธ์ในปี 2568 โดยมุ่งมั่นในการสร้างแบรนด์ให้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท พร้อมทั้งเดินหน้าขยายช่องทางการจำหน่ายให้เพิ่มขึ้น ทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ ด้วยการปรับตัวและพัฒนาโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล           นายวิศัลย์ กล่าวต่อว่า กลยุทธ์สำคัญในการขยายตลาดต่างประเทศ โดยล่าสุดได้เซ็นสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายในกลุ่ม Inter Sale ให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายอยู่ใน 3 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และจีน           โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 กลุ่ม Inter Sale เติบโตสูงถึง 125% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้จะมีสัดส่วนรายได้เพียง 5% แต่บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายจาก Inter Sale ให้เป็น 2 หลักในอีก 1-2 ปีข้างหน้า           บริษัทเตรียมขยายกลุ่มสินค้าเข้าสู่ตลาดเสื้อผ้าไลฟ์สไตล์มากขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถตอบสนองต่อการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดและส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์และขยายฐานลูกค้าใหม่ ด้านแผนการลงทุนร่วมกับ Synergic พาร์ทเนอร์ บริษัทมีแผนการลงทุนอยู่แล้ว โดยการลงทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มจุดขายและขยายช่องทางการกระจายสินค้า โดยคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มยอดขายของบริษัท อย่างไรก็ตาม รายละเอียดและขั้นตอนต่างๆ รวมถึงกระบวนการการพิจารณาและอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทจะต้องรอการพิจารณาในขั้นตอนต่อไป รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

IND คว้างานติดตั้ง Internal floating Roof จาก BAFS มูลค่า 22 ล.

IND คว้างานติดตั้ง Internal floating Roof จาก BAFS มูลค่า 22 ล.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายรัฐวิชญ์ ณ ลําพูน เลขานุการบริษัทบริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ IND แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้ลงนามสัญญาโครงการติดตั้ง Internal floating Roof (IFR) สําหรับถังเก็บนํ้ามันเชื้อเพลิงอากาศยาน (T-2305) ขนาดความจุ 15,000 ลูกบาศก์เมตร พร้อมอุปกรณ์ระบบที่เกี่ยวข้อง จํานวน 1 ถัง ณ สถานีบริการจัดเก็บนํ้ามัน สุวรรณภูมิ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ผู้ว่าจ้าง : บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) (BAFS) วันที่ลงนาม : 4 กุมภาพันธ์ 2568 มูลค่าสัญญาประมาณ : 22,256,000.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาดําเนินการ : 11 เดือน

BBIK ฮอตสุดในกลุ่ม โบรกเคาะเป้าหมาย 47 บาท แนะ

BBIK ฮอตสุดในกลุ่ม โบรกเคาะเป้าหมาย 47 บาท แนะ"ซื้อ"

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง BBIK ว่า คาดรายได้ทำสถิติใหม่อีกครั้ง           ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรหลักใน 4Q24F ของ BBIK จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 103 ล้านบาท (+32% YoY, +17% QoQ) โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยฤดูกาล ประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น และการฟื้นตัวของความต้องการด้านการให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยี ส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปีอาจสูงกว่าประมาณการเดิมของเรา 8% และอาจดีกว่าคาดในปี 2025 เช่นกัน เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 47 บาท BBIK ยังคงเป็นหุ้น Top Pick เนื่องจากคาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มในปี 2024 และ 2025 คาดกำไร 4Q24 เป็นสถิติใหม่           คาดว่ารายได้กลุ่มจะเพิ่มขึ้น 12% YoY และ 7% QoQ สู่ระดับ 415 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากฤดูกาลที่มีความต้องการสูง GPM คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 50.8% จากการจัดการต้นทุน หากไม่รวมปัจจัยดังกล่าว GPM ยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากประสิทธิภาพต้นทุนที่ดีขึ้นและ economy of scale รายได้จากบริษัทร่วมคาดว่าจะยังคงสูงที่ 22 ล้านบาท ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรสุทธิจะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 103 ล้านบาทใน 4Q24 (+32% YoY, +17% QoQ) และผลักดันให้กำไรสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 302 ล้านบาท (+8% YoY) ซึ่งสูงกว่าประมาณการเดิมที่ 280 ล้านบาท (+8%) ยังมี Upside risk ในปี 2025           บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปีนี้ที่ 20-30% โดยได้รับแรงหนุนจากโครงการใหม่ๆ และความต้องการด้าน AI, Cloud, Cybersecurity และบริการพัฒนาแอปพลิเคชัน งานภาครัฐจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการเติบโตที่สำคัญ โดยมีสัดส่วนรายได้ของกลุ่มต่ำกว่า 10% ในปี 2024 แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10-15% ในปีนี้ เนื่องจากบริษัทเพิ่งได้รับโครงการใหม่ภายใต้โครงการ Digital Wallet ซึ่งเป็นก้าวแรกในการเข้าถึงโครงการภาครัฐมากขึ้น คงประมาณการกำไรสุทธิในปี 2025F ที่ 336 ล้านบาท (+20% YoY) และมี Upside risk ทำให้ปีนี้จะเป็นอีกปีที่ดีสำหรับ BBIK โดยได้รับแรงหนุนจาก (1) การเข้าซื้อหุ้น Innoviz ที่เหลืออีก 15% (ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 85%) และ (2) Backlog ที่แข็งแกร่งและความต้องการอย่างต่อเนื่องในการเพิ่ม/ปรับปรุง/อัพเกรดเทคโนโลยีในองค์กรต่างๆ คงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 47 บาท           BBIK เป็นบริษัทเพียงแห่งเดียวในกลุ่มที่คาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรในปี 2024 และคาดว่าจะมีกำไรที่แข็งแกร่งในปีนี้ ความต้องการเทคโนโลยีในทุกองค์กรยังคงมีอย่างต่อเนื่อง BBIK ยังคงเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มเทคโนโลยี ราคาเป้าหมายของเราอยู่ที่ 47 บาท โดยอิงจาก P/E ที่ 28 เท่า (+0.5SD ของค่าเฉลี่ย) ฝ่ายวิเคราะห์คงความเห็นว่ากลุ่มเทคโนโลยี (บริการให้คำปรึกษา) ควรซื้อขายที่ระดับ P/E 20-30 เท่า เนื่องจากมีแนวโน้มระยะยาวที่แข็งแกร่ง มูลค่าปัจจุบันยังได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งซื้อขายที่ระดับ 25-35 เท่า

“โกลเบล็ก” ถอดสูตรลงทุนเดือนกุมภาพันธ์  คัดหุ้น 2 ธีมน่าลงทุน “รับอานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง”

“โกลเบล็ก” ถอดสูตรลงทุนเดือนกุมภาพันธ์ คัดหุ้น 2 ธีมน่าลงทุน “รับอานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง”

          หุ้นวิชั่น - บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยเดือน ก.พ. แกว่งตัว Sideway Down จากแรงกดดันนโยบายทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับสหภาพยุโรป (EU) ประกอบกับนักลงทุนเฝ้าติดตามการรายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2567 ของบริษัทจดทะเบียน จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี 1,250-1,320 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น 2 ธีมเด่นได้อานิสงส์ Easy-E receipt-ปันผลสูง             นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ว่าดัชนี SET แกว่งตัวในลักษณะ Sideway Down โดยมีแรงกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยืนยันเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับสหภาพยุโรป (EU) "อย่างแน่นอน" ตอกย้ำความไม่พอใจเกี่ยวกับการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับ EU รวมไปถึงการที่เขามองว่า EU นำเข้ารถยนต์และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ น้อยเกินไป พร้อมทั้งเตือนไปยังประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ว่าอย่าคิดเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินอื่นแทนดอลลาร์สหรัฐ ถ้าไม่อยากถูกเก็บภาษีนำเข้า 100% และอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการควบคุมเพิ่มเติมในการขายชิปของอินวิเดีย (Nvidia) ให้กับจีน โดยระบุว่าการหารือยังอยู่ในขั้นต้น           ล่าสุดทางประเทศต่างๆ มีท่าทีว่าจะออกมาตรการเพื่อตอบโต้ โดยนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดาประกาศว่าจะตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯในอัตรา 25% ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องดื่มจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่เม็กซิโกประกาศว่าจะตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน ส่วนรัฐบาลจีนประกาศว่าจะยื่นคำร้องต่อ WTO เพื่อคัดค้านมาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ ซึ่งต้องจับตาใกล้ชิดว่าจะมีการลดหย่อนผ่อนปรนหรือไม่ อย่างไร           ประกอบกับนักลงทุนยังติดตามการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แม้ว่าทาง สศค.จะมีการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้ถึง 3.5% จากกรอบ 2.5 - 3.5% และมีค่ากลางเฉลี่ย 3% ได้รับปัจจัยบวกจากการบริโภคภาคเอกชน, การส่งออก, การท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐและเอกชน ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2567 โต 2.5% ขณะที่ภาระหนี้สินของ SME ไตรมาส 4/2567 มีสัดส่วนทรงตัวที่ 65% ชี้ให้เห็นถึงปัญหากำลังซื้อต่ำและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน และการแข่งขันสูงกระทบผู้ประกอบการ ดังนั้น ฝ่ายวิจัยคาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,250-1,320 จุด           สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนที่จับตาในประเทศ อาทิ สัปดาห์ที่ 2 หอการค้าไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน, ตลท. แถลงสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์, สัปดาห์ที่ 3 ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม, ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์, วันที่ 17 ก.พ. สภาพัฒน์ แถลง GDP ไตรมาส 4/67, สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ, สศอ.แถลงดัชนีอุตสาหกรรม, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค, วันที่ 26 ก.พ. กำหนดประชุม กนง. ครั้งที่ 1/2568, วันที่ 28 ก.พ. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย           ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตา ได้แก่ สหรัฐ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อทั้ง 3 รายการได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งล้วนมีผลกับการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ           ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ  เช่น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy-E receipt ได้แก่ CRC, COM7, ERW, CENTEL, MINT, M, AU, TNP, SIS, SYNEX, IP และ HL รวมทั้งหุ้นปันผลสูง ได้แก่ SCB, TISCO, LH, RATCH และEGCO           ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาทองคำ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ว่า ราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากปัจจัยทางเทคนิค ขณะที่ความกังวลสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น หลังสหรัฐเริ่มใช้นโยบายการตั้งกำแพงภาษี ทำให้ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ประกอบกับประธานเฟดส่งสัญญาณไม่รีบร้อนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ           นอกจากนี้ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มชะลอลง หลังอิสราเอลและกลุ่มฮามาส สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา ทำให้ทองคำถูกลดความต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย มองกรอบทองคำเดือนนี้ 2,700 – 2,850 $/Oz แนะนำขายทำกำไรที่แนวต้าน เนื่องจากปรับตัวขึ้น 4%YTD

SECURE คาดปีนี้ กำไรพุ่ง 30%  Virtual Banking หนุน โบรกแนะซื้อเป้า 20.40 บ.

SECURE คาดปีนี้ กำไรพุ่ง 30% Virtual Banking หนุน โบรกแนะซื้อเป้า 20.40 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุ Nforce Secure (SECURE) Cybersecurity PER25 9x ... กำไรโตระเบิด           คาดกำไรปกติ 4Q67 เติบโต 41% QoQ และ 31% YoY คาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ 39 ล้านบาท (+41% QoQ, +31% YoY) กำไรปกติที่เติบโตเด่น QoQ และ YoY มาจากรายได้หลักที่เติบโต           สรุปสาระสำคัญดังนี้ รายได้หลักคาดที่ 360 ล้านบาท (+37% QoQ, +12% YoY) รายได้ที่เติบโตเด่นหนุนจากงานต่อเนื่องของลูกค้าเดิม การฟื้นตัวของกลุ่มงานภาครัฐ และการได้โครงการขนาดใหญ่ในกลุ่มสื่อสารใน 4Q67 อัตรากำไรขั้นต้นคาดที่ 20.0% (+24bps QoQ, +9bps YoY) กำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากการได้ economies of scale SG&A คาดที่ 25 ล้านบาท (+0% QoQ, -7% YoY)           หากกำไรออกมาตามคาด กำไร 4Q67 จะเป็นระดับสูงสุดของปี 2567 และเป็นอีกไตรมาสที่ SECURE ทำกำไรรายไตรมาสสูงที่สุดในรอบ 4 ปีหลังสุด           เราคาดเงินปันผล 2H67 ที่ 0.34 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Yield เฉพาะเงินปันผลครึ่งหลังที่ 3% SECURE จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 27 ก.พ. 2567 คงประมาณการปี 2568           หากกำไรออกมาตามคาด กำไรปกติทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ 116 ล้านบาท (+30% YoY) เทียบกับคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 ของเราที่ 107 ล้านบาท (+20% YoY)           ขณะที่ปี 2568 เราคาดว่าจะเป็นปีที่เด่นอีกปีของงานด้าน Cybersecurity การเข้าสู่ตลาดของ Data Center ขนาดใหญ่จำนวนมาก การปรับตัวเป็น Digital ความจำเป็นต้องรับมือกับ Cyber Attack และการเริ่มเติบโตของตลาด AI ในประเทศไทย ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตของตลาด Cybersecurity           นอกจากนี้ ปี 2568 ยังมีโอกาสที่งานกลุ่ม Virtual Banking จะเข้าสู่ตลาดเพิ่มเติมกว่างานปกติ เราคงประมาณการปี 2025 กำไรปกติที่ระดับ 128 ล้านบาท (+19% YoY) หรือคิดเป็น EPS25 ที่ 1.24 บาทต่อหุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 20.40 บาทต่อหุ้น           เราปรับลด Multiple ลงเป็น -1.0SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง เพื่อให้สะท้อนความผันผวนของตลาดทุนที่สูงขึ้น เราปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 แทนปี 2567 ที่ 20.40 บาทต่อหุ้น อิง PER 16.5x           เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 ที่ 9x หุ้นถูกมากเทียบกับศักยภาพการเติบโตที่ทำให้เห็นอย่างต่อเนื่องในระดับ 20%-30% นอกจากนี้ ณ สิ้น 3Q24 SECURE มีเงินสดในมืออีก 4.65 บาทต่อหุ้น หรือ 42% ของมูลค่าตลาดในปัจจุบัน           ราคาหุ้นปัจจุบันถูกเกินไปมาก เราให้ SECURE เป็นหุ้นเด่นสำหรับเก็งกำไรผลประกอบการ 4Q24 ความเสี่ยงสำคัญ Chip Shortage กลับมารุนแรง ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงทั่วโลก สูญเสียบุคลากรสำคัญ

GFCเนรมิตรสาขาพระราม 9 ต่างชาติหนุนฐาน โบรกชี้เป้า 8.30 บ.

GFCเนรมิตรสาขาพระราม 9 ต่างชาติหนุนฐาน โบรกชี้เป้า 8.30 บ.

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง GFC ว่า ยังมองบวกต่อโอกาสเติบโตและ Valuation ที่น่าสนใจ          ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ "Buy" สำหรับ GFC เนื่องจากยังมองบวกต่อโอกาสเติบโตจากการให้บริการของสาขาพระราม 9 ตลอดปี และการขยายตลาดลูกค้าต่างชาติ โดยคาดว่าในระยะสั้น (4Q24F-1Q25F) ผลประกอบการอาจไม่เด่นนักจากความท้าทายฐานสูงในช่วง 4Q23-1Q24 ซึ่งมีอานิสงส์จากปีมังกร และมองว่าราคาหุ้นตอบรับปัจจัยนี้ไปแล้ว โดยราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PE ปี 25F เฉลี่ย 12.6 เท่า ซึ่งต่ำกว่า Forward PE ที่ -2.0SD ถือเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว ประเด็น เมื่อวานนี้ราคาหุ้น GFC ปรับตัวลงเกือบ -20% ทำนิวโลว์ที่ราคา 4.94 บาท ความเห็นและคำแนะนำ          ฝ่ายวิเคราะห์ได้ตรวจสอบกับบริษัทแล้วไม่พบปัจจัยลบใหม่ที่มีผลต่อปัจจัยพื้นฐานของ GFC อย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้บริหารมองบวกต่อโอกาสเติบโตในปีนี้ และตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตในอัตราเลข 2 หลัก (Double digit growth) จากการให้บริการสาขาใหม่ 2 แห่ง (สาขาอุบลฯ และสาขาพระราม 9) ที่ให้บริการเต็มปี และการขยายตลาดลูกค้าต่างชาติร่วมกับเอเจนซี่มากกว่า 1 ราย          ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเมื่อวานนี้ น่าจะมีสาเหตุจาก 1) ระยะสั้นไม่มีปัจจัยบวกใหม่ 2) คาดจำนวนรอบการเก็บไข่และฝั่งตัวอ่อนใน 4Q24F จะลดลงทั้งในระยะปีต่อปี (y-y) และไตรมาสต่อไตรมาส (q-q) และ 3) ใน 1Q25F จะมีความท้าทายจากฐานสูงใน 1Q24 ที่มีอานิสงส์บวกจากปีมังกร          คงมุมมองต่อปัจจัยพื้นฐานของ GFC ตามบทวิเคราะห์ล่าสุด (31 ม.ค. 25) คาดว่าใน 4Q24F กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 14 ล้านบาท (-39% y-y, -17% q-q) ลดลงจากปีที่ผ่านมา เนื่องจาก 1) คาดว่ารายได้จากการให้บริการจะลดลง (-15% y-y, -8% q-q) ตามจำนวนรอบการเก็บไข่/ฝั่งตัวอ่อนที่ลดลง 2) คาดค่าใช้จ่าย SG&A จะเพิ่มขึ้น (+10% y-y, +3% q-q) จากค่าใช้จ่ายในการตลาดและค่าใช้จ่ายพนักงานที่เปิดสาขาใหม่ 2 แห่ง          ในปี 25F คาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 87 ล้านบาท (+7% y-y) ซึ่งเติบโตจากรายได้การให้บริการ (+16% y-y) ที่เติบโตดีขึ้น โดยมีปัจจัยบวกจากการให้บริการสาขาพระราม 9 เต็มปี การปรับขึ้นค่าบริการ และการขยายตลาดลูกค้าต่างชาติ (ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้เพียง 1%) คงคำแนะนำ "Buy" สำหรับ GFC (TP 8.30 บาท)          โดยประเมินมูลค่าด้วยวิธี DCF ที่ WACC 8.7% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 3% เนื่องจาก 1) ยังมองบวกต่อโอกาสเติบโตจากการขยายสาขาและตลาดลูกค้าต่างชาติ          2) คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตเฉลี่ย +15% CAGR ในปี 25F-26F และจะจ่ายเงินปันผลที่ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 3-4% 3) มีโอกาสเกิด upside หากจำนวนลูกค้าต่างชาติที่ใช้บริการมากกว่าคาด (สมมุติฐานปี 25F สาขาพระราม 9 เริ่มมีรายได้จากลูกค้าต่างชาติใน 2H25F โดยมีจำนวนเคสเฉลี่ย 5 เคสต่อเดือน)          นอกจากนี้ ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเมื่อวานนี้ ทำให้ราคา PE ปี 25F ลดลงเหลือ 12.6 เท่า ซึ่งต่ำกว่า Forward PE ที่ -2.0SD ถือเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว

[Vision Exclusive] IND คุมงานกลับมาเด่น! โปรเจ็กต์รถไฟรางคู่จ่อ

[Vision Exclusive] IND คุมงานกลับมาเด่น! โปรเจ็กต์รถไฟรางคู่จ่อ

          หุ้นวิชั่น - IND ตุน Backlog แน่น 3 พันล้าน หนุนการเติบโตยาว 3 ปี เล็งสอยงานใหม่เข้าพอร์ต เกาะติดบิ๊กโปรเจ็กต์รถไฟรางคู่ 6 สายหลัก ดีดลูกคิดงานประมูลใหม่ปี 68 รวมพันล้านบาท คาดคว้างานได้สูง 60% ด้านแม่ทัพใหญ่ "พรลภัส ณ ลำพูน" ส่องรายได้ปี 68 โตที่ระดับ 15% หลังกลับสู่ภาวะปกติ จับตาผลงานเข้าสู่ช่วงไฮไลท์           ดร.พรลภัส ณ ลำพูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IND เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 2568 จะเป็นไปในทิศทางที่ดี และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะ 3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทได้รับงานใหม่สำคัญหลายโครงการ ล่าสุดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามสัญญากับการรถไฟฟ้าขนส่งแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในการเป็นที่ปรึกษาบริหารโครงการและควบคุมงานในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มูลค่า 1,413,726,200 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 70 เดือน           นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับโครงการออกแบบและก่อสร้างสถานีสูบถ่ายและเพิ่มแรงดันสระบุรี สำหรับโครงการส่วนต่อขยายระบบท่อขนส่งน้ำมันสายเหนือระยะที่ 3 สระบุรี-อ่างทอง จากบริษัท บาฟส์ขนส่งทางท่อ จำกัด ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป           Backlog ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาท และคาดว่าในปี 2568 ยอด Backlog จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการรับงานโครงการใหม่ โดยบริษัทตั้งเป้าเข้าประมูลงานใหม่รวมมูลค่าหลักพันล้านบาทในปี 2568 โดยโครงการที่บริษัทอยู่ระหว่างติดตามและคาดว่าจะเข้าประมูล ได้แก่ โครงการการรถไฟแห่งประเทศไทย รางคู่ 6 สายหลัก ซึ่ง IND คาดว่าจะได้รับงาน 2 สายหลักจากโครงการดังกล่าว ซึ่งจะช่วยเติมเต็ม Backlog ให้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ           IND เชื่อว่า งานภาครัฐจะทยอยออกมาตามการเบิกจ่ายและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะงานโครงการรถไฟรางคู่ที่คาดว่าจะทยอยเปิดประมูล ซึ่งบริษัทคาดว่า งานสนามบินจะทยอยออกมาต่อเนื่องหลังจากนั้น ทั้งนี้ จากโครงการต่าง ๆ ที่มีมูลค่าประมาณพันกว่าล้านบาทที่จะทยอยเปิดประมูลในปี 2568 IND คาดว่าจะสามารถคว้างานได้ราว 60% ของมูลค่าทั้งหมดในการประมูลดังกล่าว           "งานที่มีอยู่ในมือจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า พร้อมมั่นใจว่า หากสามารถคว้างานใหม่เพิ่มได้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว ช่วยสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินงาน"ดร.พรลภัส กล่าว           ล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 เส้นทางนครราชสีมา-หนองคาย มูลค่า 3.4 แสนล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี (2025-2032) ซึ่งหากโครงการเดินหน้าตามแผน  IND คาดว่าจะมีส่วนร่วมในงานดังกล่าว โดย IND ยังคงมุ่งหางานใหม่เพิ่มเติมที่บริษัทถนัดและเชี่ยวชาญ พร้อมตั้งเป้าหมายให้เป็นงานที่มีอัตรากำไรสูงและส่งผลดีต่อผลประกอบการในอนาคต           ดร.พรลภัส กล่าวต่อว่า  คาดการณ์การเติบโตของบริษัทในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 15% เนื่องจากการมี Backlog จากงานคุมงานก่อสร้างที่ทยอยเข้ามาเติมทุกเดือน หลังจากที่ธุรกิจของ IND ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการรับรู้รายได้ที่ช้ากว่ากำหนดในช่วงโควิด-19 แต่ปัจจุบันบริษัทกลับเข้าสู่ภาวะปกติและคาดว่า ปี 2568 จะเป็นปีที่มีการเติบโตโดดเด่นอีกครั้ง รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

“KJL” ประเดิมปี 2568 ขึ้นเหนือจัดสัมมนารวมพลคนไฟฟ้า จ.เชียงใหม่

“KJL” ประเดิมปี 2568 ขึ้นเหนือจัดสัมมนารวมพลคนไฟฟ้า จ.เชียงใหม่

          บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ตู้ไฟ รางไฟ อันดับหนึ่ง ที่ช่างไฟเชื่อมั่นในประสบการณ์กว่า 35 ปี ได้จัดงานสัมมนา “KJL รวมพลคนไฟฟ้า” จัดกิจกรรมเชิงวิชาการ ที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับการติดตั้งระบบไฟฟ้าอย่างถูกต้อง เพื่อยกระดับความปลอดภัย และเพิ่มศักยภาพให้แก่ช่างไฟฟ้า วิศวกร หรือ ผู้ออกแบบ ทั่วประเทศ           กิจกรรมในครั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสองท่านวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างอาจารย์ลือชัย ทองนิล เลขาธิการสภาวิศวกร และอาจารย์สุธี ปิ่นไพสิฐ อดีตผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรมโครงสร้างและงานระบบกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ขึ้นบรรยายเรื่องการติดตั้งไฟฟ้าอย่างมืออาชีพ พร้อมอัพเดทคู่มือและมาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้า (วสท.) ฉบับปี 2568           ทั้งนี้ทาง KJL ได้รับผ่านการรับรองการเป็นองค์กรแม่ข่ายจากสภาวิศวกรเรียบร้อยแล้ว วิศวกรที่ผ่านการอบรมในครั้งนี้ครบ 6 ชั่วโมงเต็มจะได้รับคะแนน CPD 6 คะแนนโดยอัตโนมัติ           โดยวันที่ 23 มกราคม 2568 บริษัทฯ ได้จัดงานสัมมนา KJL รวมพลคนไฟฟ้าขึ้น ณ นิมมาน คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรม ยู นิมมาน เชียงใหม่ ได้กระแสตอบรับที่ดีจากผู้เข้าร่วมงาน นอกจากนี้จะวางแผนจัดงานสัมมนาต่อไป ที่ กรุงเทพมหานคร เพื่อทำตามวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ ที่จะยกระดับความปลอดภัย และเพิ่มศักยภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่แวดวงวิศวกรรมต่อไป           แล้วพบกันครั้งต่อไป KJL “สัมมนารวมพลคนไฟฟ้า” ON TOUR ที่ กรุงเทพมหานคร ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่จะถึงนี้ !! [PR News]

JUBILE ส่งคอลเลกชัน ‘LUCK & LOVE’ รับวาเลนไทน์

JUBILE ส่งคอลเลกชัน ‘LUCK & LOVE’ รับวาเลนไทน์

          ยูบิลลี่ ไดมอนด์ แบรนด์เครื่องประดับเพชรแท้ชั้นนำของไทย เปิดตัวคอลเลกชันพิเศษต้อนรับเทศกาลวาเลนไทน์ “LUCK & LOVE” ถ่ายทอดความหมายของรักแท้ที่เปล่งประกายและความโชคดีที่ไม่มีวันสิ้นสุดผ่านดีไซน์ที่ทันสมัย คอลเลกชันที่ผสมผสานระหว่างความสวยงามเหนือกาลเวลาของเพชรแท้ เข้ากับความโรแมนติกได้อย่างลงตัว โดยนำเสนอความรักออกมาเป็นสองรูปแบบ ที่มีความหมายสุดลึกซึ้ง คือ  “The Line of Luck” และ “The Heart of Love” พร้อมความโดดเด่นของเพชรแท้ E Color Diamond  ที่คัดสรรมาจากแหล่งเจียระไนเพชรชั้นนำระดับโลก ณ เมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม           นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE  กล่าวว่า “วาเลนไทน์เป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคนิยมเลือกซื้อเครื่องประดับเพชรเพื่อเป็นของขวัญแทนใจ และเรามองว่าการเลือกสรรเครื่องประดับที่มีทั้งความหมายและคุณค่าเป็นสิ่งที่สำคัญ คอลเลกชัน ‘LUCK & LOVE’ ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดที่ว่า รักแท้ต้องเปล่งประกายและโชคดีต้องไม่มีวันสิ้นสุด แสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ระหว่างคู่รักอันแสนพิเศษที่มีร่วมกัน ความสง่างามแบบเรียบง่ายของ “The Line of Luck” หรือเสน่ห์อันแสนโรแมนติกของ “The Heart of Love” เราต้องการให้เครื่องประดับชุดนี้เป็นตัวแทนของความรักที่มั่นคงและงดงามเหนือกาลเวลา นอกจากนี้ เรายังคงให้ความสำคัญกับการเลือกเพชรแท้คุณภาพดีที่สุด เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่พิเศษให้กับลูกค้าของเรา”           คอลเลกชันนี้รังสรรค์ขึ้นเพื่อให้เป็นของขวัญล้ำค่าที่เปี่ยมไปด้วยความหมายในวันแห่งความรัก ด้วยตัวเลือกเครื่องประดับที่ตอบโจทย์ทุกสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นแหวนเพชร ต่างหูเพชร จี้เพชรพร้อมสร้อยคอ ซึ่งออกแบบมาให้สามารถสวมใส่ง่ายและเสริมลุคให้ดูเรียบหรูในทุกโอกาส ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเครื่องประดับเพชรที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในทุกช่วงเวลาสำคัญ           เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรัก ยูบิลลี่ ไดมอนด์มอบของขวัญสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าในคอลเลกชันนี้ รับฟรีกล่องสุ่มพวงกุญแจตุ๊กตาหมี “Lovely Lucky Bear: A Hug Full of Love and Fortune” มีให้เลือกสะสม 2 แบบ ได้แก่ น้อง Kisses และ น้อง Cuddles มูลค่า 1,590 บาท เพื่อเติมเต็มความสุขและความโชคดีให้กับเทศกาลนี้           คอลเลกชัน “LUCK & LOVE” เปิดให้เลือกเป็นเจ้าของในราคาที่เข้าถึงได้ โดยเริ่มต้นที่ 25,900 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษ ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน และรับเครดิตเงินคืนกับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ สามารถเลือกซื้อได้ที่ ยูบิลลี่ ไดมอนด์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือช้อปออนไลน์ ได้ที่ www.jubileediamond.co.th           นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถใช้สิทธิ์ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 30,000 บาท จากการซื้อเครื่องประดับเพชรในทุกคอลเลกชันของยูบิลลี่ ไดมอนด์ ภายใต้โครงการ EASY E-Receipt 2.0 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Jubilee Diamond (Thailand), เว็บไซต์: www.jubileediamond.co.th, Jubilee Contact Center: 02-625-1111 หมายเหตุ: เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด

MEB เป้ารายได้ปี 68 โต 10-15% Content ใหม่หนุน

MEB เป้ารายได้ปี 68 โต 10-15% Content ใหม่หนุน

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด ระบุถึง MEB ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายและบริการในปี 68 เติบโต 10-15% YoY ตามพฤติกรรมผู้อ่านออนไลน์ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น MEB มองผลประกอบการ 4Q67 จะเติบโตต่อเนื่อง QoQ และ YoY หนุนด้วยการเติบโตของรายได้จากแพลตฟอร์ม MEB และ ReadAwrite ตามจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือน (MAUs) ที่คาดจะเติบโตในระดับ Single Digit ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ไตรมาสนี้คาดทรงตัวจาก 3Q67 เนื่องจากบริษัทได้มีการทำ Promotion เพื่อดึงดูดลูกค้าหลังการแข่งขันจากคู่แข่งในอุตสาหกรรมเริ่มมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายและบริการในปี 68 เติบโต 10-15% YoY ตามพฤติกรรมผู้อ่านออนไลน์ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงบริษัทได้มีการนำ Content ใหม่ๆ และ Event ต่างๆ เข้ามาให้บริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลบวกต่ออัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของบริษัท โดย ConsensusAvg. มอง TP68 : 35.70 บาท

JPARKกำไรQ1โตต่อ หยวนต้าเคาะผลงานทะยาน 52.1% เป้า 8.45 บาท

JPARKกำไรQ1โตต่อ หยวนต้าเคาะผลงานทะยาน 52.1% เป้า 8.45 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง JPARK แนวโน้ม 4Q24 อยู่ในกรอบประมาณการ           คาดกำไรใน 4Q24 ที่ 21 ล้านบาท แม้ว่าจะลดลง QoQ เนื่องจาก 3Q24 มีการรับรู้กำไรจากการปล่อยเช่าช่วงของพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ในโครงการอาคารจอดรถ รพ. พระนั่งเกล้าฯ อย่างไรก็ตามกำไรยังเติบโตสูง 65.8% YoY คาดรายได้ที่ 128 ล้านบาท ลดลง 14.4% YoY จากงาน CIPS ที่ลดลง แต่ GPM คาดที่ 26.5% เพิ่มขึ้นจาก 19.4% ใน 4Q23 เพราะ 4Q23 มีการปรับวิธีการรับรู้ค่าเสื่อมราคาเป็นตามอายุสัญญาจากเดิมตามอายุสินทรัพย์ ส่วน QoQ คาดรายได้เพิ่มขึ้น 4.7% QoQ จากรายได้ CIPS เพิ่มขึ้น 100% QoQ เป็น 10 ล้านบาท จากงานขนาดเล็กหลายโครงการยังคงมีต่อเนื่อง ส่งผลให้ GPM เพิ่มขึ้นจาก 22.4% ใน 3Q24 นอกจากนี้ยังมีรายได้จากพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ในโครงการ รพ. พระนั่งเกล้าฯ อีกราว 4.5 ล้านบาท บันทึกเป็นดอกเบี้ยรับตามมาตรฐานบัญชี โครงการ PS ใหม่เร็วๆ นี้และ CIPS ขนาดใหญ่อยู่ระหว่างกระบวนการ           คาดกำไรสุทธิ 1Q25 เติบโตต่อที่ระดับ 25 – 30 ล้านบาท หรือมากกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณงาน CIPS ที่ยังมีงานขนาดเล็กหลายโครงการเข้ามาต่อเนื่อง แม้งานโครงการขนาดใหญ่ยังต้องใช้เวลาก็ตาม แต่ก็คาดว่าจะได้ข้อสรุปและเป็นรายได้บางส่วนได้ทันในปี 2025 ทำให้มีโอกาสที่รายได้จาก CIPS อาจสูงกว่าที่เราคาด และสูงกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 100 ล้านบาทในปีนี้ เพราะโครงการมีมูลค่าสูงกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่งานขนาดเล็กก็ยังทยอยหาได้ใหม่ทุกไตรมาส นอกจากนี้มีโอกาสที่งาน PS จะเกิดขึ้นได้เร็วกว่า โดยมีทั้งโครงการที่เสร็จแล้วสามารถสร้างรายได้ทันที และที่ต้องก่อสร้างใหม่ คาดว่าภายใน 1H25 จะมีความชัดเจนอย่างน้อย 1 โครงการ ยังคงประมาณการ ... PER25 ต่ำ คงคำแนะนำ “ซื้อ”           ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคาดกำไรปี 2025 ที่ 153 ล้านบาท (+52.1% YoY) ส่วนปี 2026 เป็นปีแรกที่เริ่มรับรู้รายได้จากอาคารจอดรถศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ศิริราชพยาบาล คาดกำไรเติบโตอีก 47.8% YoY เป็น 227 ล้านบาท เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่กว่า รพ. พระนั่งเกล้าฯ 2 เท่า ทั้งพื้นที่จอดและพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขาย PER2025 ตํ่าเพียง 15.0 เท่า เราปรับ PER ในการประเมินมูลค่าลงตามภาวะตลาดเป็น 22 เท่าจาก 28 เท่า ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2025 ที่ 8.45 บาท มี Upside gain 47% คงคำแนะนำ "ซื้อ"

จับตา BBIK งบทำสถิติใหม่ แนะนำ “ซื้อ” เป้าปี 68 ที่ 47.50 บาท

จับตา BBIK งบทำสถิติใหม่ แนะนำ “ซื้อ” เป้าปี 68 ที่ 47.50 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง BBIK ว่า คาดกำไรปกติ 4Q24 เติบโตเด่น QoQ และ YoY คาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 101 ล้านบาท (+15% QoQ, +28% YoY) เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2024 และจะเป็นจุดสูงสุดใหม่ของบริษัทฯ อีกครั้ง กำไรปกติที่เติบโตเด่นทั้ง QoQ และ YoY มาจากรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทฯ ร่วมที่แข็งแกร่ง สรุปสาระสำคัญดังนี้ คาดรายได้หลักที่ 409 ล้านบาท (+5% QoQ, +10% YoY) หนุนจากรอบการรับรู้งานใน Backlogs กลุ่มที่ยังเติบโตดียังคงเป็นกลุ่มด้าน Digital Excellence and Delivery           คาดอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ 51.0% (+408 bps QoQ, +577 bps YoY) อัตรากำไรขั้นต้นดีกว่าปกติแต่มีผลของการปรับปรุงรายการทางบัญชี แต่หากไม่รวมผลบวกทางบัญชี คาดว่า GPM ปกติจะยังปรับเพิ่มขึ้นจาก economies of scale SG&A คาดที่ 113 ล้านบาท (+5% QoQ, +20% YoY) ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดที่ 20 ล้านบาท (-14% QoQ, -14% YoY) อัตราภาษีจ่ายคาดที่ 10% BBIK จะรายงานผลประกอบการ 4Q24 ในวันที่ 19 ก.พ. 25 ตั้งเป้าหมายปี 2025 เติบโตในกรอบ 25%-30%           หากกำไรออกมาตามคาด กำไรปกติทั้งปี 2024 จะอยู่ที่ 301 ล้านบาท ดีกว่าคาดการณ์ของเราที่ 287 ล้านบาท ราว 5% และแม้เป็นปีที่ถูกท้าทายจาก 1H24 ที่งานขาดหายไป แต่บริษัทฯ ชดเชยได้ดีใน 2H24 ที่เด่น ขณะที่แนวโน้มปี 2025 BBIK วางเป้าหมายการเติบโตที่ระดับ 25%-30% YoY โดยปัจจัยหนุนสำคัญอยู่ที่การเจาะงานภาครัฐเพิ่มขึ้นจากเดิม 5% ของกลุ่มขึ้นเป็นระดับ 10%-15% ของกลุ่ม และการลงทุนต่อเนื่องของภาคเอกชนโดยเฉพาะในงานด้าน AI, Cybersecurity, และงานด้าน Digital Transformation ปรับลดประมาณการการเติบโตปี 2025 ให้อนุรักษ์นิยมมากขึ้นเพื่อให้สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังท้าทายและความผันผวนที่สูงของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้า เราปรับสมมติฐานการเติบโตให้อนุรักษ์นิยมมากขึ้น โดยคาดกำไรปกติปี 2025 ที่ 360 ล้านบาท (+26% YoY) อิงสมมติฐาน           รายได้เติบโต 16% YoY GPM รักษาระดับได้ ส่วนแบ่งกำไรจาก Orbit รักษาระดับได้ ปัจจัยหนุนสำคัญที่จะทำให้ประมาณการของเราต่ำเกินไป ได้แก่ BBIK ได้งาน Virtual Bank ขนาดใหญ่ในช่วง 2H25 ขณะที่ความเสี่ยงของประมาณการคือภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอทำให้บริษัทฯ ขนาดใหญ่เลือกชะลอการลงทุนด้านเทคโนโลยี หรือเลือกลงทุนเท่าที่จำเป็น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ที่ 47.50 บาทต่อหุ้น           เราปรับปรุงสมมติฐานในการประเมินมูลค่าของเราดังนี้ ปรับลด Multiple จาก 32x เหลือ 26.5x หรือที่ระดับ -1.5SD ของค่าเฉลี่ยในอดีตเพื่อให้สะท้อนความเสี่ยงของตลาดทุนที่ผันผวนมากขึ้นและการเติบโตที่ท้าทายขึ้นจากฐานกำไรที่สูงกว่าเดิม และ ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 แทนราคาเหมาะสมกลางปี 2025           ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ของ BBIK ที่ 47.50 บาทต่อหุ้น อิง PER 26.5x เชิงพื้นฐานเราคงคำแนะนำ “ซื้อ” กำไรของ BBIK ยังเด่นต่อเนื่องและดีเพียงพอที่จะสนับสนุน PER ที่อยู่ในระดับสูงกว่ากลุ่ม ขณะที่อิงประมาณการที่อนุรักษ์นิยมมากขึ้น ราคาหุ้นปัจจุบันก็ยังซื้อขายบน PER25 ที่เพียง 18.6x เทียบกับศักยภาพการเติบโตระดับ 25%-30% ที่คาดจะยังทำได้ไปอีกระยะ หุ้นไม่แพงเทียบกับการเติบโต

[Vision Exclusive] JUBILE อีเว้นต์เครื่องประดับเพชรคึกคัก

[Vision Exclusive] JUBILE อีเว้นต์เครื่องประดับเพชรคึกคัก

          หุ้นวิชั่น - JUBILE ทุ่มจัดอีเว้นต์เครื่องประดับสุดคึกคัก กระตุ้นยอดขาย แม่ทัพหญิง "อัญรัตน์ พรประกฤต" อินเทรนด์เข้าโครงการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี 3 หมื่นบาท จับตาแคมเปญ 'Jubilee x POP MART' สร้างการเติบโตปี 68           นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทคาดว่าปี 2568 จะเป็นปีที่เต็มไปด้วยสีสันและกิจกรรมต่างๆ ทั้งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่และการจัดแคมเปญพิเศษ โดยในช่วงต้นปี 2568 บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "Spiral of Luck" ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นสายที่โค้งเวียนเป็นเกลียว ซึ่งสื่อถึงการเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งและการเติบโตสู่เป้าหมายที่ไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมผสมผสานแรงบันดาลใจจากสัตว์ประจำปีนักษัตร “มะเส็ง” หรือ “งูเล็ก”           โดยผลิตภัณฑ์นี้มีราคาที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านโครงการ Easy E-Receipt 30,000 บาท นอกจากนี้ บริษัทยังจัดแคมเปญพิเศษเมื่อซื้อสินค้าผ่านโครงการดังกล่าว ลูกค้าจะได้รับต่างหูเพชรแท้ฟรี มูลค่า 32,000 บาทอีกด้วย           ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ JUBILE เตรียมปล่อยคอลเล็กชั่นใหม่เพื่อรองรับเทศกาลวาเลนไทน์ โดยในช่วงระหว่างวันที่ 1-9 กุมภาพันธ์ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าครบตามราคาที่กำหนดจะได้รับของสมนาคุณพิเศษตามโปรโมชั่น หรือสินค้าสำหรับคู่รัก เช่น แหวนคู่รัก 2 วง มูลค่า 50,000 บาท พร้อมช่อดอกไม้ฟรีในช่วงเวลานี้           JUBILE เตรียมเดินหน้าแคมเปญพิเศษ “Jubilee x POP MART” ซึ่งเป็นการจับมือครั้งแรกกับแบรนด์ POP MART แบรนด์โกลบอลชื่อดัง โดยจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ คาดว่าแคมเปญนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัยและหลากหลายมากขึ้น           นางสาวอัญรัตน์ กล่าวต่อว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนและตัวเลขการเติบโตสำหรับปี 2568 โดยมีแผนที่จะขยายการเติบโตทั้งในด้านยอดขายและการขยายสาขาตลอดทั้งปีปัจจุบัน JUBILE มีสาขาทั้งสิ้น 130 สาขา แบ่งเป็นแบรนด์ JUBILE จำนวน 120 สาขา และแบรนด์ Forevermark จำนวน 8 สาขา รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] XO สงครามการค้าเดือด! โอกาสทองส่งออกซอส

[Vision Exclusive] XO สงครามการค้าเดือด! โอกาสทองส่งออกซอส

          หุ้นวิชั่น - XO มองสงครามการค้าเป็นโอกาส ส่งออกซอสปรุงรสไปอเมริกาและแคนาดา ชี้ได้เปรียบภาษีนำเข้าต่ำ ยอดขายอเมริกายังน้อยไม่เกิน 7% บอสใหญ่ "จิตติพร จันทรัช" เผยแคนาดาป้อนออเดอร์ จับตาคำสั่งซื้อ Q2/68 พร้อมส่งสัญญาณธุรกิจปี 68 ไม่แย่กว่าปีก่อน           นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า สถานการณ์สงครามการค้า (Trade War) กลับสร้างโอกาสให้กับบริษัทในการส่งออกซอสปรุงรสไปยังอเมริกาและแคนาดา เนื่องจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากการตอบโต้ของแคนาดาต่อการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกาที่ 25% ทำให้ XO ได้เปรียบมากกว่าผู้ผลิตในอเมริกา ซึ่งต้องส่งสินค้าข้ามไปแคนาดา ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากการส่งออกซอสปรุงรสไปยังอเมริกาของ XO ยังมีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย แต่คำสั่งซื้อจากประเทศแคนาดากลับเริ่มทยอยเข้ามามากขึ้น โดยคาดว่าในระยะต่อไปแคนาดาจะสั่งซื้อซอสปรุงรสเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ดังกล่าว  สัดส่วนรายได้จากการส่งออกซอสปรุงรสไปยังอเมริกาของบริษัทอยู่ในระดับไม่เกิน 7%           นายจิตติพร กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากปี 2567 โดยการเติบโตในปีนี้คาดว่าจะไม่แย่ไปกว่าปีก่อนหน้า           ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่าถึง XO ว่า ฝ่ายวิเคราะห์ ลดเป้ารายได้ 2024F เหลือทรงตัว จากเดิม +10-15%  y-y (vs ฝ่ายวิเคราะคาด +3%  y-y) จากลูกค้าหลักทั้งยุโรป  (80% ของรายได้)  ชะลอตัวจากก่อนหน้านี้  เร่งออเดอร์ช่วง 2Q23-2Q24ไปมาก และเหลือสต็อคสูง ขณะที่ สหรัฐ (ลดจาก 25% เหลือ 3% ของรายได้) ยังมีปัญหา Supply เหลือสูงเช่นกัน และปัญหาการแข่งขัน ที่เจ้าตลาดตัดราคา           โดยระยะสั้น 4Q24F มองออเดอร์จะยังลดลง y-y และยังลงเล็กน้อย q-q ต่อเนื่อง  ซึ่งโดยรวม มองการจัดการด้านสต็อคต้องใช้เวลาอีกราว 1-2 ไตรมาส ขณะที่ อิงอดีตที่ผ่านมา ในรอบธุรกิจที่ดี หลังรายได้ทำจุด Peak จะใช้เวลา 5-7 ไตรมาส เพื่อกลับสู่ Peak อีกรอบ (รอบนี้รายได้พีค 4Q23)           Line ผลิตใหม่เริ่มTest run และคงแผนสร้างโรงงาน โดย Line ผลิตใหม่อีก 1ไลน์ (ลงทุน 200ลบ., ตัดค่าเสื่อม 10ปี, สร้าง Max revenue 1 พันลบ.) เริ่ม Test run 4Q24F และจะเริ่มเชิงพาณิชย์ 1Q25F โดยจะได้ BOI ขณะที่ คงแผนสร้างโรงงานใหม่ ลงทุนราว 700 ลบ. ใช้เวลา 12-18 เดือน           คาด Eff tax rate ปี 2025F 8-9% หลังทยอยหมด BOI ไลน์ปัจจุบัน 3Q24 และรวมประโยชน์จาก BOI ไลน์ใหม่เข้าไปแล้ว โดยเทียบ Eff tax rate 1H243.3%, 3Q247.2% ความเห็นและคำแนะนำ           มีมุมมอง “Slightly  negative” ต่อข้อมูลที่ได้รับจากงานประชุมนักวิเคราะห์และลดประมาณการกำไรปี 2024F-26F ลงเฉลี่ย 2% จากลดรายได้ลง  โดยกำไรปี 2024-25F ที่ 805ลบ. (+3%) และ 752ลบ. (-7%)           ระยะสั้น 4Q24F คาดกำไรยังลดทั้ง y-y,  q-q จากรายได้ที่ยังชะลอ โดยจุดที่ต้องจับตา คือ ในแนวโน้มรายได้ชะลอตัว ขณะที่ จะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา อาจกระทบอัตรากำไรในช่วงแรก           แม้ราคาหุ้นปรับลดมามาก และซื้อขาย Valuation PER25F เหลือ 11.4 เท่า (-1.6SD) แต่หุ้นยังขาดปัจจัยบวก ยังแนะนำ “Neutral” และจะหาจุดเข้าลงทุนต่อไป จาก TP25F ใหม่ 21.1บาท (เดิม 27บาท) อิง PER 12เท่า เทียบเท่า ค่าเฉลี่ย-1.5SD รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Gossip] Jubilee X POP MART พลิกโฉมจิวเวลรี่แห่งปี

[Gossip] Jubilee X POP MART พลิกโฉมจิวเวลรี่แห่งปี

           หุ้นวิชั่น - ยูบิลลี่ ไดมอนด์ ทำเอาวงการสะเทือน! ปล่อยโลโก้ “Jubilee x POP MART” สร้างกระแสฮือฮาในหมู่แฟนเพชรและสาวกอาร์ตทอยทั่วประเทศ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่โปรเจคสุดพิเศษนี้ว่าจะเป็นการร่วมมือแบบไหน และจะมีอะไรที่เหนือความคาดหมาย นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เพชรสุดหรูและอาร์ตทอยระดับโลกมาบรรจบกัน  ความร่วมมือครั้งนี้จะมาในรูปแบบของเครื่องประดับสุดลิมิเต็ด, คอลเลกชันพิเศษที่ต้องมีไว้ครอบครอง หรือจะเป็นการพลิกโฉมวงการของสะสมครั้งประวัติศาสตร์ สาวกทั้งหลายห้ามพลาด ! เตรียมตัวนับถอยหลังสู่การเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่ ที่รับรองว่า เกินจินตนาการ และจะทำให้ทุกคนต้องร้องว้าว ! โปรเจคแห่งปีที่ทุกคนต้องจับตามอง กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้

[Gossip] EURO เปิดตัว Poltrona Frau เฟอร์นิเจอร์อิตาลีระดับตำนาน!

[Gossip] EURO เปิดตัว Poltrona Frau เฟอร์นิเจอร์อิตาลีระดับตำนาน!

          หุ้นวิชั่น - บมจ. ยูโร ครีเอชั่นส์ (EURO) ได้เปิดตัวอย่างอลังการไปแล้วสำหรับ Poltrona Frau Mono brand Store แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อิตาลีระดับตำนานใจกลางทองหล่อ Design District พร้อมเดินหน้าบุกตลาดไทยตามแผนเสริมแกร่งพอร์ตซูเปอร์ลักชัวรี่ด้วยงาน Leather & Craftsmanship ระดับโลก เจาะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงที่มองหาไลฟ์สไตล์เหนือระดับ  บอสใหญ่ "เควิน กัมบีร์" แอบกระซิบเทรนด์ยุคใหม่ เลือกลงทุนกับประสบการณ์ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น... มั่นใจ DNA ของแบรนด์ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ากลุ่มนี้อย่างลงตัว เพราะ "Life is better in a beautiful space"    งานนี้ทั้งสายดีไซน์และนักลงทุนต้องจับตาไว้เลยคร้าา!!!

NETBAY คาดกำไร 4Q67 โตแกร่ง แนะนำ

NETBAY คาดกำไร 4Q67 โตแกร่ง แนะนำ"ซื้อ" ชูเป้า 20.50บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง NETBAY ว่า คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายยังคงเดิมที่ 20.50 บาท            ฝ่ายวิเคราะห์ ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" NETBAY เนื่องจากคาดว่ากำไรปกติ 4Q67 จะเติบโตแข็งแกร่ง (+33% YoY, +11% QoQ) และมีอัพไซด์ 23% ต่อประมาณการกำไรปกติปี 68 จากการเจรจาเรื่องค่าธรรมเนียม National Single Window (NSW) แม้ว่าฝ่ายวิเคราะห์จะรวมผลกระทบเชิงลบจากค่าธรรมเนียม NSW จำนวน 42 ล้านบาทในประมาณการกำไรปกติปี 68 (-15% YoY) แล้ว แต่ NETBAY ตั้งเป้าที่จะส่งผ่านต้นทุนเพิ่มเติมนี้ให้กับลูกค้า 100% ดังนั้น ทั้งนี้ยังคงราคาเป้าหมายที่ 20.50 บาท (P/E ปี 68 ที่ 22.8 เท่า) ปัจจุบัน NETBAY ซื้อขายที่ P/E ล่วงหน้า 1 ปีที่ 16 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 28 เท่าอยู่ 1.6 SD คาดกำไร 4Q67 โตแกร่งจากปริมาณนำเข้า-ส่งออกที่เพิ่มขึ้น            คาดว่ากำไรปกติ 4Q67 จะอยู่ที่ 57 ล้านบาท (+33% YoY, +11% QoQ) จากรายได้ 150 ล้านบาท (+24% YoY, +9% QoQ) โดย NETBAY จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 21 ก.พ. การเติบโตของรายได้ YoY ได้รับแรงหนุนจากปริมาณนำเข้า-ส่งออกของไทยที่เพิ่มขึ้น 9% และรายได้จากโครงการ Smart Zoo ที่ทำร่วมกับ DITTO (สร้างรายได้ราว 10 ล้านบาท/ไตรมาสเริ่มตั้งแต่ 2Q67) ส่วนการเติบโตของรายได้ QoQ มาจากอุปสงค์ที่ถูกกดดันก่อนหน้า (น้ำท่วมในเวียดนามทำให้การนำเข้าของไทยชะลอตัวลงในช่วง 3Q67) และ high season ของปริมาณการนำเข้า-ส่งออกใน 4Q รวมผลกระทบจาก NSW 42 ล้านบาทในประมาณการกำไรปี 68            ประมาณการกำไรปกติปี 68 (-15% YoY) ได้รวมผลกระทบหลังหักภาษีจากค่าธรรมเนียม NSW จำนวน 42 ล้านบาท (ก่อนภาษี 52 ล้านบาท) โดย NETBAY ได้ใช้ NSW ให้บริการ e-Customs gateway ตั้งแต่ปี 66 เราคาดว่า NETBAY จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 105 บาท (3.50 บาท/ธุรกรรม) ในปี 2568 และจะสามารถส่งผ่านต้นทุนให้ลูกค้าได้ 50% ทำให้ NETBAY ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษี 52 ล้านบาท การเจรจา NSW มีโอกาสหนุนกำไรเพิ่มเติม            NETBAY กำลังเจรจาค่าธรรมเนียม NSW กับบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) โดยเส้นตายคือ 25 เม.ย. 68 ผู้บริหารระบุว่าการเจรจาคืบหน้าไปในทางที่ดีและบริษัทมีแผนส่งผ่านต้นทุนทั้งหมดให้ลูกค้า ซึ่งจะสร้างอัพไซด์ 23% ต่อประมาณการกำไรปกติปี 68 ในกรณีที่ทางบริษัทสามารถส่งผ่านต้นทุนได้ทั้งหมด กำไรปกติปี 68 จะเติบโต 5% และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลจะอยู่ที่ 7%

AMA ชูธงปี 68 รายได้โต 10% ธุรกิจรถขนส่งสินค้าบูม

AMA ชูธงปี 68 รายได้โต 10% ธุรกิจรถขนส่งสินค้าบูม

         หุ้นวิชั่น - บมจ.อาม่า มารีน (AMA) ประเมินธุรกิจโลจิสติกส์ปี 68 เติบโตต่อเนื่อง ฟากผู้บริหาร “พิศาล รัชกิจประการ” ปักธงปีนี้รายได้โต 10% ชี้ธุรกิจรถขนส่งสินค้าขาขึ้น ดีมานด์ลูกค้าพุ่ง ทั้งลูกค้าหลัก-รายใหม่ ขณะที่บริษัทย่อย “ทีเอสเอสเค โลจิสติกส์” (TSSK) เตรียมสั่งซื้อรถเพิ่มอีก 20 คัน ในไตรมาส 2 / 68 พร้อมมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ เน้นโลจิสติกส์ “รถขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ-คลังสินค้า-โดรน” สร้างการเติบโตยั่งยืน          นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) (AMA) ผู้ให้บริการขนส่ง สินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืช เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตต่อ เนื่องจาก ปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% เทียบปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าทางรถของบริษัทฯ และของบริษัทย่อย บริษัท เอ เอ็ม เอ โลจีสติกส์ ( AMAL ) ที่ได้เพิ่มจำนวนรถ 30 คัน เป็น 334 คัน ในช่วงปลายปี 2567          ทั้งนี้ ธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ มาจากกลุ่มลูกค้าหลักอย่าง บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) ซึ่งใช้บริการรถขนส่งน้ำมันของ AMA คิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% และแผนการขยายสาขาของ PTG จะทำให้ปริมาณการขนส่งมากขึ้น ส่วนลูกค้ารายอื่นมีความต้องการใช้รถขนส่งมากขึ้นเช่นกัน ขณะที่การให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือมีการเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน          “ ธุรกิจขนส่งทางรถในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากดีมานด์ลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ ซึ่งเราได้มีการเตรียมแผนรองรับ โดยบริษัท ทีเอสเอสเค โลจิสติกส์ จำกัด (TSSK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ AMA ถือหุ้น 67% ทำธุรกิจขนส่งเม็ดพลาสติก เตรียมสั่งซื้อรถเพิ่มอีก 20 คัน ภายในไตรมาส 2/2568 ส่วนธุรกิจขนส่งทางเรือ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมีเรือขนส่งจำนวน 8 ลำ ขนาด 8.6 หมื่นเดทเวทตัน รองรับดีมานด์ลูกค้า” ”นายพิศาล กล่าว          กรรมการผู้จัดการ AMA กล่าวอีกว่า บริษัทฯเตรียมขยายธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต ซึ่งยังคงโฟกัสในธุรกิจโลจิสติกส์เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ  Warehouse และขนส่งทางโดรน คาดได้ข้อสรุปภายในปีนี้  ซึ่งในส่วนการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุน ซึ่งมี 2 แนวทาง คือ การลงทุนเอง และการร่วมมือกับพันธมิตร [PR News]

“ลงทุนแมน” นับหนึ่งไฟลิ่ง จ่อขายหุ้นไอพีโอ 50 ล้านหุ้น

“ลงทุนแมน” นับหนึ่งไฟลิ่ง จ่อขายหุ้นไอพีโอ 50 ล้านหุ้น

          ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง “LTMH” เสนอขาย IPO ไม่เกิน 50,000,000 หุ้น ต่อยอดธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่นคั่ง (WealthTech)           นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซียไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) หรือ LTMH เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนของ LTMH เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568           โดยปัจจุบัน LTMH มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 200,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150,000,000 หุ้น และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 50,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯในครั้งนี้ และมีแผนจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดบริการ (SERVICE)           วัตถุประสงค์ของการใช้เงิน เพื่อใช้สำหรับการขยายการดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ที่กู้ยืมมาลงทุนในหุ้น บลจ.ทาลิส และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน           นายธณัฐ เตชะเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) หรือ LTMH เปิดเผยว่า บริษัทฯ เริ่มต้นจากเพจ “ลงทุนแมน” ในปี 2560 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะถ่ายทอดความรู้เรื่องราวธุรกิจและการลงทุนให้เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ จนพัฒนามาเป็นสื่อออนไลน์ชั้นนำ ประกอบด้วยแบรนด์ระดับ Mega-Influencer อย่าง “ลงทุนแมน” ที่มีผู้ติดตามรวมทุกช่องทางมากกว่า 4,000,000 คน และแบรนด์ระดับ Macro-Influencer ที่มีผู้ติดตามรวมทุกช่องทางมากกว่า 500,000 คน อีก 5 แบรนด์ ได้แก่ ลงทุนเกิร์ล, MarketThink, BrandCase, MONEY LAB และ Mao-Investor           นอกจากนี้ LTMH ยังดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร พร้อมกับธุรกิจจัดงานอิเวนต์และสัมมนาด้านการเงินการลงทุนที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มสื่อ Blockdit ที่พัฒนาโดยหน่วยงานเทคโนโลยีของ LTMH           ด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างระบบนิเวศธุรกิจ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง LTMH ยังได้มองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เช่น การเข้าถือหุ้น 25% ใน บลจ.ทาลิส ซึ่งประกอบธุรกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. โดยการเข้าลงทุนดังกล่าวเป็นการวางรากฐานสำคัญ ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริการทางการเงินของกลุ่มบริษัทไปอีกขั้น           โดยภายหลังการระดมทุน LTMH มีแผนขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) ภายใต้ชื่อ WealthX โดยได้จัดตั้งบริษัทจำนวน 2 บริษัท คือ บริษัท เวลท์เอกซ์ แมเนจเมนต์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ และออกแบบโครงสร้างและเนื้อหาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และ บริษัท หลักทรัพย์ เวลท์เอกซ์ จำกัด ซึ่งอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตจากสำนักงาน กลต. เพื่อดำเนินธุรกิจบริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน และ/หรือ การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้           “LTMH ก่อตั้งขึ้นด้วยพันธกิจ ที่ช่วยให้ทุกคนมีความรู้ในการสร้างความมั่งคั่ง และมุ่งมั่นพัฒนาเครื่องมือที่จะช่วยยกระดับฐานะทางการเงินของทุกคน ผ่านการขยายไปยังธุรกิจเกี่ยวข้องที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ระบบนิเวศธุรกิจด้านความมั่งคั่ง (Wealth Ecosystem) ที่ครอบคลุมและโดดเด่น โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ ควบคู่ไปกับการเติบโตของธุรกิจเดิมอย่างสมดุล เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืนในระยะยาว" นายธณัฐ กล่าวทิ้งท้าย [PR News]

LEO ตั้งบ.ร่วมทุน

LEO ตั้งบ.ร่วมทุน "ลีโอ จี๋ทู อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี" ขายสินค้าผ่านแอพฯ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหนี้ที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ที่ประชุมคณะผู้บริหาร (Executive Committee) ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติให้บริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด (LSSC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เข้าร่วมลงทุนกับ Yunnan Xiaomaolv Information Technology Co., Ltd. โดยตั้งบริษัทจัดร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท ลีโอ จี๋ทู อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจนำเข้า ให้เช่า และจำหน่าย Power Bank / จักรยานไฟฟ้า ผ่าน Application บริการโฆษณาผ่านอุปกรณ์มือถือ หรือ Application บริการจัดเก็บข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ตลาด บริการเทคโนโลยีสื่อสาร และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท           โดยบริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด ลงทุน 2,550,000 บาท คิดเป็น 51% และ Yunnan Xiaomaolv Information Technology Co., Ltd. ลงทุน 2,450,000 บาท คิดเป็น 49% คาดว่าจะดำเนินการจัดตั้งแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2568

88TH เตรียมยื่นไฟลิ่งเทรดใน mai หนุ่ม กรรชัย พาร์ทเนอร์ LYO ร่วมยินดี 

88TH เตรียมยื่นไฟลิ่งเทรดใน mai หนุ่ม กรรชัย พาร์ทเนอร์ LYO ร่วมยินดี 

           บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ 88TH โดย นพรัตน์ มาลัยวงค์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท  ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะชื่อดัง “LYO” ที่อยู่คู่กับคนไทยมากว่า 4 ปี เตรียมก้าวสู่ปีที่ 5  โดยที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจาก 2 พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ ระหว่าง “หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” ผู้ประกาศข่าวชื่อดังจากรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ และ รายการโหนกระแส และ Plan B Media ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจด้านสื่อโฆษณา Out of Home จนวันนี้ทำให้ “LYO” เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ และกลายเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะที่อยู่ในใจผู้บริโภค            ล่าสุด บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ “LYO” รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่รู้จักกันอย่าง “Hone” และ “ver.88” ซึ่งอยู่ระหว่างยื่นไฟลิ่งเพื่อเตรียมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ mai ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการเติบโตทางธุรกิจ งานนี้ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของ แบรนด์ LYO และ Hone พร้อมด้วย พาขวัญ วงศ์พลทวี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและพันธมิตรธุรกิจ (CMPO) ของ Plan B Media ร่วมมอบดอกไม้แสดงความยินดีกับ นพรัตน์ มาลัยวงค์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท            โดย “หนุ่ม กรรชัย” เผยถึงเรื่องนี้ “วันนี้ แบรนด์ LYO ได้ความร่วมมือจาก 2 พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจคือ ผม และ Plan B Media ถึงวันนี้กว่า 4 ปีแล้ว กำลังเข้าสู่ปีที่ 5 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ โดยแบรนด์ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วประเทศ จนทำให้เป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง วันนี้ บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างยื่นไฟลิ่งเพื่อเตรียมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย”

CHEWA จัดกิจกรรม

CHEWA จัดกิจกรรม "Chewathai Society Movie Day"

          บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA โดยชีวาทัย โซไซตี้ นำโดย นางสาวจิราพัชร์ ฉัตรเพ็ชร์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานขายและการตลาด (ที่ 6 จากซ้าย), นายยุทธนา บุญสิทธิวราภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการก่อสร้าง (ที่ 6 จากขวา) และ นายภูเบศร์ สำราญเริงจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (ที่ 3 จากซ้าย) ได้จัดกิจกรรม "Chewathai Society Movie Day" ครั้งที่ 10 นำครอบครัวชีวาทัยร่วมรับชมภาพยนตร์ "ไอ้เป๊าะ CEO ม.6" ณ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ เมื่อเร็วๆ นี้           ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณขจรศักด์ ศรีบุญเรือง ประธานกรรมการ บริษัท นีโอ 727 จำกัด, บริษัท นีโอ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด, บริษัท ยูเวิร์ค 999 จำกัด และบริษัท ทีเคอาร์ โบรกเกอร์เรจ จำกัด เจ้าของเรื่องราวและแรงบันดาลใจตัวจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้อำนวยการสร้าง พร้อมด้วยทีมนักแสดงนำ ได้แก่ ซันนี่ วรรณรัตน์ วัฒดาลิมมา, พิม ลัทธ์กมล ปิ่นโรจน์กีรติ, ไม้เอก สันติภาพ ทองระย้า, เดียว วงศ์พัทธ์ เจียมวิจิตร, จิมมี่ ณัฐพงษ์ เผ่าจินดา และ ศิตา ชุติภาวรกานต์           บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง โดยมีการสัมภาษณ์ทีมนักแสดงเกี่ยวกับประสบการณ์ในการถ่ายทอดบทบาท รวมถึงคุณขจรศักดิ์ได้แบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จและบทเรียนล้ำค่าจากชีวิตจริง ซึ่งเน้นย้ำถึงพลังแห่งความดี ความเชื่อมั่น และแรงศรัทธาในการก้าวผ่านอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเล่นเกมและแจกของรางวัลมากมายให้กับผู้ร่วมงาน           กิจกรรม "Chewathai Society Movie Day" ในครั้งนี้ นอกจากจะมอบความบันเทิงให้กับครอบครัวชีวาทัยแล้ว ยังเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจและข้อคิดดีๆ จากภาพยนตร์ "ไอ้เป๊าะ CEO ม.6" ซึ่งสะท้อนเรื่องราวของความพยายามและความมุ่งมั่นในการสร้างความสำเร็จให้กับตนเองอีกด้วย

[Gossip] TATG รับนโยบาย BOI เร่งส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) - ชิ้นส่วนยานยนต์

[Gossip] TATG รับนโยบาย BOI เร่งส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) - ชิ้นส่วนยานยนต์

          TATG พร้อมลุย! ยิ้มรับข่าวดี BOI ประกาศนโยบายส่งเสริมการลงทุนปี 68 มุ่งเน้นการลงทุนเพื่อรับเมกะเทรนด์ในอนาคต สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมขั้นสูงและใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อน โดยตั้งเป้าเพิ่มการลงทุน 5 กลุ่มหลัก และหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมคือกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินการลงทุนในปีนี้ ไม่น้อยกว่า 8 แสนลบ. เลยทีเดียว...           งานนี้บอสใหญ่ ดร.พยุง ศักดาสาวิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย (TATG) ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตแม่พิมพ์และชิ้นส่วนยานยนต์ รับฟังนโยบายของ BOI แบบนี้ก็ไม่รอช้า เตรียมพร้อมเดินหน้าเต็มกำลัง เพราะหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้วางแผนลงทุนเครื่องจักรและพัฒนาการผลิตรอไว้แล้ว อีกทั้ง มีการวิจัยและพัฒนาไปพร้อมความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้ TATG สามารถขึ้นรูปชิ้นส่วนรถไฮบริด และ EV จึงเตรียมรอรับข่าวดี TATG ไม่ตกขบวนเมกะเทรนด์นี้แน่นอน! อีกทั้ง แว่วๆ มาว่า ผลงานปี 67 คาดจะปิดงบตามนัด...นักลงทุนสบายใจหายห่วง

[Gossip] NDR ลุยธุรกิจพลังงาน เสริมพอร์ตรายได้

[Gossip] NDR ลุยธุรกิจพลังงาน เสริมพอร์ตรายได้

          "ชัยสิทธิ์  สัมฤทธิวณิชชา" เอ็มดี บมจ. เอ็น.ดี. รับเบอร์ หรือ NDR แย้มแผนในปี 2568 จะพึ่งพาทั้งธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง  โดยธุรกิจใหม่ด้านการผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพ ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นขอ BOI คาดว่าเครื่องจักรน่าจะเข้ามาประมาณไตรมาส 2/2568  และจะเริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งการเข้าสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด  เป็นการต่อยอดธุรกิจของ NDR เพื่อสร้างความยั่งยืนและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับพลังงานทางเลือกและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับมุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายยางในและยางนอกรถจักรยานยนต์ โดยมีการเติบโตทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก จากความต้องการยางจักรยานยนต์ในตลาดยังคงสูง ทำให้มั่นใจว่าการเสริมพอร์ตรายได้จากธุรกิจใหม่และการเติบโตของธุรกิจเดิม จะช่วยให้ NDR มีรายได้ที่แข็งแกร่งในปี 2568 และสร้างความยั่งยืนให้กับบริษัทฯ

TMI เล็งทบทวนแผนลงทุนโซลาร์ฟาร์มยุโรป 20 ก.พ.นี้

TMI เล็งทบทวนแผนลงทุนโซลาร์ฟาร์มยุโรป 20 ก.พ.นี้

          หุ้นวิชั่น - นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI ตามที่ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ บริษัท ไบโอคลีน อินเตอร์เนชั่นแนล (2010) จำกัด (“BIO”) เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ในทวีปยุโรปร่วมกัน ซึ่งมีรายละเอียดตามที่ระบุในข่าวที่แจ้งต่อสาธารณะ ตามหนังสือเลขที่ TMI013/2567 ลงวันที่ 18 กันยายน 2567 และบริษัทได้แจ้งข่าวต่อสาธารณะ ตามหนังสือเลขที่ TMI017/2567 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ว่าจะแจ้งความคืบหน้าให้นักลงทุนทราบเกี่ยวกับการลงทุนในโครงการดังกล่าวภายในเดือนมกราคม 2568 นั้น           ปัจจุบันคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัทพิจารณาแล้วว่ามีข้อควรพิจารณาหลายประการ จึงแนะนำให้ระงับการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการโซลาร์ฟาร์มในทวีปยุโรปไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัทจะมีการจัดประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัท โดยจะมีการนำเรื่องโครงการโซลาร์ฟาร์มดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง โดยบริษัทจะแจ้งให้นักลงทุนทราบถึงผลการพิจารณาการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยเร็วต่อไป

[Vision Exclusive] KJL โซล่าร์-อีวีสุดปัง! หนุนดีมานด์ตู้ไฟพุ่ง

[Vision Exclusive] KJL โซล่าร์-อีวีสุดปัง! หนุนดีมานด์ตู้ไฟพุ่ง

           หุ้นวิชั่น - บิ๊กบอส KJL "เกษมสันต์ สุจิวโรดม" ส่องธุรกิจปี 68 คาดรายได้โตสูงถึง 17% พลังงานโซล่าร์เซลล์โตสนั่น อีวี ดาต้าเซ็นเตอร์บูม จับตา TikTok ลงทุนไทยคาดหนุนยอดใช้ไฟฟ้าพุ่ง แถมดีมานด์อุปกรณ์ไฟฟ้าขายดี เล็งอัพกำลังผลิตเท่าตัว หรือ 40 ล้านชิ้นต่อปี พร้อมวางบลงทุน 400 ล้านบาท เพิ่มเครื่องจักรรองรับอุตสาหกรรมโต ฟากโบรกคาด  KJL ผลตอบแทนสูง 4.9% แนะ "ซื้อ" เป้า 9.90 บาท            นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ผู้ผลิตและจำหน่ายตู้ไฟสวิทช์บอร์ด รางเดินสายไฟ และอุปกรณ์เดินสายไฟทุกชนิด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในงานโครงสร้างพื้นฐานและจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและการเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มธุรกิจในปี 2568 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา โดยคาดว่าการเติบโตจะอยู่ที่ระดับ 10-15% และอาจสูงถึง 17% ในปี 2568 จากการขยายกำลังการผลิต การออกสินค้าใหม่ และการขยายตลาด            ทั้งนี้ การเติบโตของ KJL ยังได้รับแรงหนุนจากเมกะเทรนด์การใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เช่น การใช้พลังงานสะอาดจากโซลาร์เซลล์ (โซล่าร์ฟาร์ม, โซล่าร์รูฟ) และการใช้พลังงานในยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) รวมถึงการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์และเทคโนโลยี AI ซึ่งส่งผลให้ความต้องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นสอดคล้องกับการเติบโตของตลาดไฟฟ้าในภาพรวม            ขณะเดียวกัน โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ซึ่งมีแผนลงทุนติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ในศูนย์ข้อมูล (Data Center) คาดว่าจะส่งผลให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ความต้องการตู้ไฟและสินค้าของ KJL เติบโตตามไปด้วย            บริษัท KJL มองว่าแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มพลังงานสะอาด ทั้งโซล่าร์ฟาร์มและโซล่าร์รูฟ จะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยสอดคล้องกับการขยายตัวของธุรกิจ และคาดว่าจะมีการเติบโตในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แม้จะเติบโตไม่มากในปัจจุบัน แต่คาดว่าในอนาคตจะมีการเติบโตสูงในช่วง 3-4 ปีตามเทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า            สำหรับ KJL บริษัทเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2565 โดยมีกำลังการผลิต 20 ล้านชิ้นต่อปี และในปี 2566 ขยับขึ้นเป็น 30 ล้านชิ้นต่อปี ขณะที่ปี 2567 บริษัทมีการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 33 ล้านชิ้นต่อปี และคาดว่าในปี 2568 จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 40 ล้านชิ้นต่อปี หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี 2565 เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมและการออกสินค้าใหม่ของบริษัท นอกจากนี้ KJL ยังมุ่งมั่นที่จะควบคุมประสิทธิภาพการผลิตและรักษาอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization) ให้อยู่ที่ 70-80%            KJL วางแผนงบลงทุนในปี 3 ปี  (2568-2570) ที่ประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมการขยายเครื่องจักรและการสร้างอาคารใหม่ ส่วนงบบริษัทจะลงทุนจริงในปี 2568 คาดจะใช้ประมาณ 150 ล้านบาทจากงบลงทุนทั้งหมด 400 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตและขยายกำลังการผลิตในระยะยาว            ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด  ระบุถึง KJL ว่า คาดว่าในไตรมาส 4 ของปี 2024 (4Q24) บริษัทจะเติบโตทั้งในแง่ QoQ และ YoY โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 50 ล้านบาท (+15.5% QoQ, +63.1% YoY) ส่วนรายได้คาดว่าจะอยู่ที่ 306 ล้านบาท (+5.0% QoQ, +11.4% YoY) ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม นอกจากนี้ สินค้าในกลุ่ม Solar ทั้งในกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจเติบโตดี รวมถึงผลจากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่รายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น จะส่งผลให้ GPM เพิ่มขึ้นเป็น 32.0% จาก 30.3% ใน 3Q24 และ 30.7% ใน 4Q23 ส่วน SG&A คาดว่าจะอยู่ที่ 39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3.7% QoQ ตามปกติของไตรมาส 4 แต่ลดลง 12.6% YoY เนื่องจากไม่มีการจัดงานสัมมนาใหญ่เหมือนใน 4Q23            หากกำไรสุทธิใน 4Q24 ใกล้เคียงกับที่คาด จะส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปี 2024 อยู่ที่ 178 ล้านบาท ซึ่งดีกว่าคาดการณ์เดิม 2% สำหรับ 1Q25 โมเมนตัมยังคงดี โดยงบประมาณภาครัฐยังคงเบิกใช้ตามแผน ส่งผลให้ภาพรวมงานโครงการภาครัฐมีความต้องการเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน KJL ยังได้รับผลประโยชน์จากความต้องการสินค้าในกลุ่ม Solar ที่สูงขึ้น และการขยายเครือข่ายของช่างไฟที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับการออกสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการในทุกรูปแบบ คาดว่าผลประกอบการในช่วงต้นปี 2025 จะเติบโตต่อเนื่องทั้ง QoQ และ YoY ทำให้ GPM ยังคงทรงตัวสูงตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูง และราคาเหล็กที่ยังทรงตัว            บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 ที่ 1,400 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการของเรา แต่ตั้งเป้า GPM ที่ 30% ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 28% ทำให้แนวโน้มกำไรปี 2025 มีโอกาสทำได้เท่ากับหรือดีกว่าคาดได้ โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่แพงและมีการจ่ายปันผลสูง ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า KJL สามารถจ่ายเงินปันผลในช่วงครึ่งปีหลัง 2024 (2H24) ได้ไม่น้อยกว่า 0.33 บาท ซึ่งให้ผลตอบแทน 4.9% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER 2025 เพียง 8.2 เท่า            อย่างไรก็ตาม ปรับ PER ในการประเมินมูลค่าลงตามสภาพคล่องในตลาดที่ลดลง ทำให้หุ้นขนาดเล็กถูกซื้อขายด้วย PER ที่ต่ำลง โดยปรับจาก 14.5 เท่า เป็น 12.0 เท่า ซึ่งทำให้ราคาเป้าหมายใหม่ของบริษัทในสิ้นปี 2025 อยู่ที่ 9.90 บาท มี Upside ที่ 47.8% จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] บิ๊ก

[Vision Exclusive] บิ๊ก "LEO" เก็บหุ้นเข้าพอร์ต-ขนส่งคึกคัก

          หุ้นวิชั่น - LEO ขนส่งคึกคัก วอลุ่มโลจิสติกส์ส่งออกแน่น ด้านผู้บริหาร "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" โชว์พอร์ต ซื้อหุ้นรวม 1 แสนหุ้น คิดเป็นเงิน  292,000 บาท           นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ยังคงมีทิศทางที่ดี แม้หลายประเทศจะมีความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ออเดอร์การขนส่งลดลง แต่จากการศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง พบว่าแม้ทรัมป์จะขึ้นรับตำแหน่งและประกาศการขึ้นภาษี 25% กับแคนาดาและแม็กซิโก แต่ปริมาณการขนส่งจากผู้ประกอบการในช่วงที่ผ่านมา กลับมีอวลุ่มการขนส่งที่เพิ่มขึ้น           อย่างไรก็ตามเชื่อว่า การย้ายฐานการผลิตอาจปรับตำแหน่งจากแคนาดา แม็กซิโก และจีน มาที่ไทย อินโดนีเซีย และอินเดีย ซึ่งจะเป็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชีย           ดังนั้นฐานลูกค้าส่งออกของบริษัทไปยังสหรัฐฯ ยังคงมีปริมาณการขนส่งที่แข็งแกร่ง ไม่ลดลงจากเดิม จึงมั่นใจว่าธุรกิจโลจิสติกส์ของ LEO จะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งหากสถานการณ์สงครามในต่างประเทศยุติลงอย่างสมบูรณ์ จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคและเสริมสร้างบรรยากาศเศรษฐกิจให้ดีขึ้น           นายเกตติวิทย์ กล่าวต่อว่า สำหรับการเข้าซื้อหุ้น LEO ในช่วงที่ผ่านมา เป็นการซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิม           ขณะที่การเข้าซื้อหุ้นของ LEO ตามการรายงานของ กลต. วันที่ 30 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา พบว่า นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ เข้าซื้อหุ้นรวม 100,000 หุ้น ที่ราคา 2.78 บาท และ 3.06 บาท โดยเข้าซื้อในวันที่ 26 ธันวาคม 2567 , 30 ธันวาคม 2567 , 1 มกราคม 2568 และวันที่ 27 มกราคม 2568 คิดเป็นมูลค่ารวม 290,000 บาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

โอกาสทอง LTS ดีมานด์ Data Center - GPU แนะ

โอกาสทอง LTS ดีมานด์ Data Center - GPU แนะ "ซื้อ"

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง LTS ว่า ตลาดยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อปริมาณความต้องการของ GPU โดยเฉพาะกับ DeepSeek ซึ่งยังคงจำเป็นต้องใช้ GPU ของ NVIDIA และหากความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้นมากก็จะต้องใช้ Data Center จำนวนมาก ดังนี้            การเป็น Open Source อาจตอบโจทย์ในระดับ Retail หรือธุรกิจขนาดเล็ก แต่สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่และการแข่งขันด้านความรวดเร็วในการประมวลผลยังคงต้องใช้ GPU ที่มีความสามารถสูง โดยการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของแต่ละธุรกิจมีความต้องการที่แตกต่างกันไป ซึ่งบางธุรกิจอาจไม่สามารถใช้ Open Source ที่ต้องแชร์ข้อมูล Source Code ให้กับสาธารณะได้ เพราะไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้เท่ากับการพัฒนาเอง DeepSeek ปัจจุบันยังคงต้องใช้เครื่อง GPU รุ่น H100 ของ NVIDIA แต่อาจไม่จำเป็นต้องใช้รุ่นใหม่ล่าสุด            อย่างไรก็ตาม GPU ที่ใช้ต้องรองรับการประมวลผลขั้นสูงและต้องใช้งานใน Data Center ที่มี Infrastructure รองรับมากกว่าที่ปรากฏในข่าว Siam AI สามารถให้บริการ GPU ได้ทุกแบรนด์ ไม่จำเป็นต้องให้บริการเฉพาะของ NVIDIA เท่านั้น แต่การได้สิทธิ์ NCP จาก NVIDIA ถือเป็นความพิเศษเฉพาะตัวของ Siam AI ซึ่งเป็นรายแรกและรายเดียวในไทย ณ ปัจจุบัน โดย GPU ของ NVIDIA ได้รับการยอมรับในเรื่องประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน            ดังนั้น มองว่า ประเด็นนี้ยังคงทำให้ความต้องการ Data Center และ GPU มีโอกาสเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วยดึงผู้ประกอบการหรือผู้ใช้รายบุคคลเข้ามาในตลาดมากขึ้น เพราะต้นทุนต่ำ จึงทำให้ปริมาณความต้องการสูงขึ้น และ DeepSeek ไม่สามารถลงทุนใน GPU ของ NVIDIA ได้โดยตรงเนื่องจากเป็นบริษัทจีน สิ่งที่สามารถทำได้คือการเช่าใช้นอกประเทศจีน หากมองในเอเชีย ไทยและเวียดนามจะมีศักยภาพในการให้บริการ และหากเป็นในไทยคงต้องเป็นบริการผ่าน Siam AI ซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายได้จากการงาน Commissioning และการให้เช่า GPU (สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก) ของ LTS ประเด็นการลงทุน Data Hosting ของ TikTok และโครงการ AI Cloud Service ของ Siam AI            ความเห็น ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าทั้ง 2 โครงการนี้จะสร้างโอกาสให้ LTS ได้งาน Commissioning ต่อเนื่อง โดยโครงการของ Siam AI มองว่าตลาดเข้าใจได้ไม่ยากว่าเป็นโอกาสของ LTS ส่วนการลงทุนของ TikTok ถือเป็นโอกาสทางอ้อมสำหรับ LTS เนื่องจากคาดว่าการลงทุนของ TikTok ตามข่าวคือการลงทุนในระบบ Cloud และการใช้เครื่องประมวลผลขั้นสูง ซึ่งไม่ว่าจะใช้แบรนด์ GPU ใด หากมีการทำในประเทศไทย มีโอกาสสูงมากที่จะต้องทำผ่าน Siam AI            กล่าวคือ อาจจะต้องมีการเช่าใช้ระดับ Hyper scale กับ Siam AI เนื่องจากเป็นผู้ได้สิทธิ์จากเจ้าของสินค้า และ Data Center แห่งใหม่ในไทยที่เหมาะสำหรับการให้บริการ AI ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและถูกจองโดย Siam AI ไปมากแล้ว นอกจากนี้ Siam AI เคยให้ข้อมูลถึงแผนการลงทุนที่ 1 แสนล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า            ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับข่าวที่มีออกมา ดังนั้นงาน Commissioning ซึ่งเป็นงานด่านแรกของธุรกิจจะทยอยออกมาหลังจากนี้ และเป็นงานที่ Siam AI ยังไม่เคยให้ผู้ประกอบการรายใดนอกจาก LTS            ฝ่ายวิเคราะห์ยังรวมงานส่วนนี้ไว้เพียง 769 ล้านบาทในปี 2025, 1,000 ล้านบาทในปี 2026 และ 1,300 ล้านบาทในปี 2027 เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการทั้งหมด ดังนั้นเราจึงมองว่าเป็น Upside risk ต่อประมาณการกำไรของ LTS ราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 20 บาท +/- เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนสูงในปี 2024 เมื่อเทียบกับราคา IPO ที่เพียง 3.00 บาท และตลาดมีความผันผวน สภาพคล่องหุ้นในตลาดค่อนข้างน้อย จึงทำให้หุ้นเคลื่อนไหวเร็วและแรง รวมถึงมีการปรับลงจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเด็น DeepSeek ปัจจุบันหุ้นซื้อขายด้วย PER 2025 ที่ต่ำเพียง 17 เท่า บนสมมติฐานกำไรที่มีโอกาสปรับขึ้นได้อีก หากงาน Commissioning ของ LTS มากกว่าคาด ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์มองว่าอย่างน้อยราคาควรกลับไปซื้อขายที่ระดับ 16 บาท +/- ก่อนที่จะเกิด Panic sell จากประเด็น DeepSeek และเคลื่อนไหวตามความชัดเจนของงาน Commissioning ที่จะทยอยประกาศออกมา ราคาสูงสุดที่เป็นไปได้ในวันนี้ที่ 15.2 บาท ยังเทียบเท่ากับ PER 2025 ที่เพียง 21.7 เท่า เทียบกับการเติบโตของกำไรที่ 90% YoY ฝ่ายวิเคราะห์ จึงแนะนำ "ซื้อ"

มาตรการรัฐหนุน TNP แถมผุดสาขาใหม่ อัพยอด-เป้า 5 บาท

มาตรการรัฐหนุน TNP แถมผุดสาขาใหม่ อัพยอด-เป้า 5 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง TNP ว่าคาดกำไร 4Q67 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ ราว 2% แม้ไตรมาสก่อนฐานสูง ส่วนทั้งปี 67 คาดเติบโต 18%. ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ 4Q67 ราว 754 ล้านบาท (+8% YoY, +3% QoQ) และ กำไรประมาณ 49 ล้านบาท (+2% YoY, +2% QoQ) ซึ่งจะยังคงเติบโตต่อเนื่องแม้ไตรมาสก่อนจะมีฐานสูง โดย 3Q67 มีกำไร 47 ล้านบาท (+41% YoY, +12% QoQ) เนื่องจากได้รับประโยชน์จากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ ทำให้มีการเร่งกักตุนสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าว ส่งผลให้ SSSG ในช่วง 4Q67 คาดจะเป็นลบประมาณ -3%.           อย่างไรก็ตาม คาดผลประกอบการจะยังคงเติบโตจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) การเข้าสู่ High season, 2) อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินหมื่นบาทให้กลุ่มผู้มีสิทธิ์ในช่วงปลาย 3Q67 รวมถึงรอบเก็บตกในช่วงตุลาคม-ธันวาคม 67, และ 3) การขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 3 แห่ง สู่ทั้งหมด 50 แห่ง ณ สิ้นปี 67. เราประมาณการกำไรทั้งปี 67 ราว 183 ล้านบาท (+18% YoY), โดย 9M67 มีกำไร 135 ล้านบาท (+25% YoY) ซึ่งคิดเป็น 73% ของประมาณการดังกล่าว คาดกำไรปี 68 เติบโต 8% จากมาตรการรัฐที่ช่วยหนุนในช่วง 1H68 และแผนขยายสาขาทั้งหมด 5 แห่ง           คาดการณ์รายได้ปี 68 ราว 3,175 ล้านบาท (+10% YoY), โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 2 ประการ ได้แก่ 1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 1H68 ซึ่งรวมถึง 1.1) มาตรการ Easy E-receipt ที่บริษัทจำหน่ายทั้งสินค้าทั่วไปและสินค้า OTOP, 1.2) มาตรการเงินหมื่นบาทเฟส 2 (รอบผู้สูงอายุที่ได้รับเงินวันที่ 27 ม.ค. 68), และ 1.3) มาตรการเงินหมื่นบาทเฟส 3 (รอบบุคคลทั่วไปที่จะได้รับเงินช่วงเม.ย.-มิ.ย. 68), และ 2) แผนขยายสาขาอีก 5 แห่ง สู่ทั้งหมด 55 แห่ง ณ สิ้นปี 68 ซึ่งจะเน้นเปิดในพื้นที่ที่มีกำลังซื้อสูง. ส่วน %GPM คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 17.3% เท่ากับช่วงปี 67, ส่งผลให้เราคาดกำไรปี 68 ราว 198 ล้านบาท (+8% YoY) คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเหมาะสม 5.00 บาท อัพไซต์ 62%           ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมของ TNP โดยอิงจาก Prospective P/E Ratio ที่ 20 เท่า ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ P/E เพียง 13.6 เท่า, ที่ระดับ -2SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี) และคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 68 ที่ราว 0.25 บาทต่อหุ้น. คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 68 ที่ 5.00 บาท โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 62% และคาดจ่ายปันผลในอัตรา 3% ต่อปี. ดังนั้น จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

GFC จับตาต่างชาติเข้า สาขาใหม่หนุนผลงาน เคาะเป้า 8.30 บ.

GFC จับตาต่างชาติเข้า สาขาใหม่หนุนผลงาน เคาะเป้า 8.30 บ.

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ส่องหุ้น GFC โดยแนะนำ Buy สำหรับ GFC เนื่องจากคาดปี 25F กำไรสุทธิเติบโตดีขึ้น จากผลบวกของการเปิดสาขาใหม่เต็มปี และปรับขึ้นราคา รวมทั้งมีโอกาสเติบโต จากตลาดลูกค้าใหม่กลุ่มต่างชาติ ทั้งนี้ระยะสั้นคาดกำไรสุทธิผ่านช่วงแย่ใน 4Q24F และราคาหุ้นตอบรับไปแล้ว โดยราคาหุ้นซื้อ ขาย PE ปี 25F ที่ 17 เท่าเทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า -1.0SD มองเป็นโอกาสลงทุน คาดกำไรสุทธิ4Q24F ที่14 ลบ. (-39%y-y -17%q-q)           คาดว่าใน 4Q24F GFC จะมีกำไรสุทธิ14 ลบ. (-39%y-y -17%q-q) ลดลง เนื่องจาก 1) คาดรายได้ให้บริการ (-15%y-y -8%q-q) ลดลงตามจำนวนรอบการเก็บไข่/ฝั่งตัวอ่อน 2) คาดค่าใช้จ่าย SG&A (+10%y-y +3%q-q) เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายการตลาดและค่าใช้จ่ายพนักงานเปิด 2 สาขาใหม่           หากกำไรสุทธิ 4Q24F เป็นไปตามคาด จะทำให้ปี 24F มีก าไรสุทธิ 76 ลบ. (-1%y-y) ทรงตัวจากปี 23 และต่ำกว่าที่คาดไว้-6% จากใน 4Q24F ลูกค้าที่ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นเคสที่กระตุ้นไข่ได้น้อย ทำให้จำนวนรอบการเก็บไข่/ฝั่งตัวอ่อนน้อยกว่าคาด ปี 2025F มีปัจจัยบวกสาขาใหม่เต็มปีและเริ่มให้บริการลูกค้าต่างชาติ           ช่วงต้นเดือน ม.ค.25 สาขาพระราม 9 เปิดให้บริการเป็นทางการ เริ่มให้บริการ 2 ห้องตรวจ (vs Full Phase ที่ 12 ห้อง) รองรับการให้บริการราว 25-30 เคสต่อเดือน โดยเรารวมสาขาใหม่ในประมาณ การแล้ว คาดปี 25F มีกำไรสุทธิ 87 ลบ. (+7%y-y) จากคาดรายได้ให้บริการ (+16%y-y) เติบโตดีขึ้นจากจำนวนรอบการเก็บไข่/ฝั่งตัวอ่อนเพิ่มขึ้น ประกอบกับคาดมีผลบวกเปิดสาขาใหม่เต็มปีและ ปรับขึ้นค่าบริการ           นอกจากนี้การเปิดสาขาพระราม 9 ทำให้คาดสามารถขยายตลาดลูกค้าใหม่กลุ่มต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีนที่ทำการตลาดร่วมกับเอเจนซี่ 3-4ราย (สมมติฐานปี 25F สาขาพระราม 9เริ่มมีรายได้ลูกค้าต่างชาติใน 2H25F มีจำนวนเคสเฉลี่ย 5เคสต่อเดือน ) แนะนำ Buy สำหรับ GFC (TP 8.30 บาท)           ด้วยวิธี DCF WACC 8.7% เนื่องจากคาดกำไรสุทธิมีแนวโน้ม เติบโตเฉลี่ย +15%CAGR 25F-26F และมีโอกาสเกิด upside หากมีจำนวนลูกค้าต่างชาติใช้บริการ มากกว่าคาด นอกจากนี้ราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 25F ที่17เท่า เทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า-1.0SDมองเป็นโอกาสลงทุนสำหรับการลงทุนระยะยาว

[Vision Exclusive] LTS ดาต้าเซ็นเตอร์ฮอต! บีโอไอหนุนลงทุน 1.7แสนล.

[Vision Exclusive] LTS ดาต้าเซ็นเตอร์ฮอต! บีโอไอหนุนลงทุน 1.7แสนล.

          หุ้นวิชั่น - BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุน Data Hosting จับตา TikTok ลงทุนติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ในไทย พร้อมหนุน AI Cloud Service ดีมานด์ล้น บอสใหญ่ LTS "ภัฏ ตรัสโฆษิต" ส่งซิกคู่ค้า สยาม เอไอ คึก คาดเริ่มงานได้โค้งแรกปี 68 ใส่เกียร์ปั๊มปีนี้โตเท่าตัว           นายภัฏ ตรัสโฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการสำคัญ โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 170,000 ล้านบาท ซึ่ง 2 ใน 3 โครงการมีความสำคัญเป็นพิเศษ ได้แก่ โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ซึ่งจะลงทุนติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ในศูนย์ข้อมูล (Data Center) มูลค่า 126,000 ล้านบาท โครงการนี้ถือเป็นการลงทุนใหม่ที่เข้ามาเพิ่มเติม โครงการกิจการ AI Cloud Service ของบริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด มูลค่า 3,250 ล้านบาท หากการลงทุนในทั้งสองโครงการเป็นไปตามแผน บริษัท LTS คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในตลาด AI Cloud Service           โครงการ AI Cloud Service เป็นหนึ่งในไปป์ไลน์ของบริษัท ซึ่งได้มีการพูดคุยและเจรจากับพันธมิตรก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนและไทม์ไลน์ในการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2568           ขณะเดียวกัน โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ซึ่งจะมีการลงทุนติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ในศูนย์ข้อมูล (Data Center) คาดว่าดีมานด์และการขยายตัวของ Data Center จะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ LTS มีโอกาสที่จะได้รับงานจากการขยายตัวของ Data Center ในอนาคต           นายภัฏ กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่ารายได้จากกลุ่มไอทีในปี 2568 จะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากการลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ โดยบริษัทได้เริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มไอทีในช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2568 ขณะเดียวกัน รายได้รวมของบริษัทในปี 2568 คาดจะเติบโตได้เท่าตัวเช่นเดียวกัน           อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 บริษัทมีรายได้ที่ 332.95 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 53.11 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] VL วางงบ 300ล. ซื้อเรือเสริมทัพขนส่ง

[Vision Exclusive] VL วางงบ 300ล. ซื้อเรือเสริมทัพขนส่ง

           หุ้นวิชั่น - VL ขนส่งปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ปี 68 คึกคัก อวดพีเรียตเดินเรือเฉียด 100% แม่ทัพหญิง "ชุติภา กลิ่นสุวรรณ" กางแผนธุรกิจ วางงบ 300 ล้านบาท เล็งเรือใหม่ 2 ลำ ลำละ 2 พันเดทเวทตันเสริมทัพ มองรายได้ปีนี้ โตไม่น้อยกว่า 10% จ่อเซ็นสัญญาบริการลูกค้าเพิ่ม            นางชุติภา กลิ่นสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ VL เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทมองแนวโน้มธุรกิจในปี 2568 เป็นไปในทิศทางที่ดี สอดคล้องกับปริมาณการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามการบริโภคภายในประเทศ เช่น การท่องเที่ยวและการเดินทางภายในประเทศ เป็นต้น และอัตราการขนส่ง หรือ Utilization ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงเกือบ 100% ซึ่งทำให้ทิศทางการขนส่งในปี 2568 ยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดีและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง            สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทมีแผนจะเปลี่ยนเรือลำใหม่ทดแทนเรือลำเก่าที่มีอายุการใช้งานมากว่า 29-30 ปี ซึ่งใช้ขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์มายาวนาน โดยการเปลี่ยนเรือลำใหม่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจของบริษัท            สำหรับแผนการเปลี่ยนเรือ บริษัทจะมองหาเรือลำใหม่จำนวน 2 ลำเพื่อทดแทนเรือลำเก่าที่มีอายุการใช้งานนาน โดยขนาดของเรือใหม่จะอยู่ที่ 2,000 เดทเวทตัน และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเปลี่ยนเรือใหม่ในไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ปี 2568 หากสามารถได้เรือใหม่ตามแผน คาดว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองเรือและการขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบประมาณลงทุนไม่เกิน 300 ล้านบาทสำหรับการซื้อเรือใหม่            ปัจจุบันสัดส่วนการขนส่งของบริษัทยังคงเป็นการขนส่งภายในประเทศ 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นการขนส่งระหว่างประเทศ สำหรับแผนการเติบโตในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตไม่น้อยกว่า 10% จากการให้บริการขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ โดยในปี 2568 บริษัทวางแผนที่จะเซ็นสัญญาขนส่งสินค้าให้กับลูกค้าใหม่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้จากบริการขนส่งของ VL ได้อย่างมีนัยสำคัญ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

JPARK ช่องจอดจ่อแตะ 50,000 ช่อง คาดกวาดกำไร 117 ลบ. โบรกเคาะเป้า 7.25 บ.

JPARK ช่องจอดจ่อแตะ 50,000 ช่อง คาดกวาดกำไร 117 ลบ. โบรกเคาะเป้า 7.25 บ.

           หุ้นวิชั่น - “สันติพล เจนวัฒนไพศาล” บิ๊กบอส บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) หรือ JPARK แอบกระซิบแผนปี 68 เดินหน้าขยายช่องจอดรถอีก 10,000 ช่องจอด ดันสิ้นปีเพิ่มเป็น 50,000 ช่องจอด พร้อมเดินหน้ารับรู้รายได้ธุรกิจ CIPS มั่นใจภาพรวมทั้งปีผลงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง งานนี้กูรูค่าย บล.ดาโอ (ประเทศไทย) เชียร์ให้ “ซื้อ” เคาะเป้าหมาย  7.25 บาท มองแนวโน้มปี 68 ฟอร์มสวย!! คาดกวาดกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท ทะยาน 40%  แถมยังมีโอกาสคว้าโครงการใหม่ อีกด้วย....ใครที่ยังเล็ง JPARK อย่าช้า เพราะเรื่องดีๆ ยังมีอีกเยอะคร้า

AU คาดงบ Q4 สะดุด แต่ไม่เป็นอุปสรรค จับตากำไรนิวไฮ 2 ปีซ้อน

AU คาดงบ Q4 สะดุด แต่ไม่เป็นอุปสรรค จับตากำไรนิวไฮ 2 ปีซ้อน

              หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ ประเมินหุ้น AU ในขณะที่ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรสุทธิของ AU ใน 4Q67F จะเติบโต แข็งแกร่ง 72% YoY แต่น่าจะลดลงเล็กน้อย QoQ อยู่ที่ 81 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากรายได้จากร้านขายขนมหวาน และเครื่องดื่ม (dessert café) ลดลง 13% QoQ ด้วยเหตุจากภาวะน้ำท่วม โดยเฉพาะในภาคใต้ของไทย               อย่างไรก็ดีผลบวกของรายได้ไม่ใช่จากธุรกิจร้านขายขนมหวาน และ เครื่องดื่ม (non-café) ดีขึ้นอย่างมากทําให้กําไรยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่การขยายกําลังการผลิตจะปลดล็อกขีดจํากัดการผลิตของ non-café และหนุนกําไรปี 2568F ให้เติบโตต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 342 ล้านบาท ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่ากําไรของ AU จะกลับมาเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ ใน 1Q68F คาดกําไรจะทําสถิติสูงสุดอีกครั้งในปี2568F               ฝ่ายวิจัยคาดผลประกอบการที่สะดุดใน 4Q67F ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของ AU ในปี2568 โดยคาดว่ากําไรสุทธิ จะทําสถิติสูงสุดใหม่เป็นปีที่สองติดต่อกัน อยู่ที่342 ล้านบาท โดยที่รายได้จากธุรกิจ non-caféจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักโดยเพิ่มขึ้น 53% YoY ทั้งนี้ สายการผลิตใหม่ (+30% ของ capacity ทั้งหมด) ได้เริ่มดําเนินการผลิตแล้วในเดือนมกราคม 2568 โดยจะปลดล็อกขีดจํากัดด้านการผลิตของ สินค้าnon-café ต่าง ๆ ได้นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะเปิดตัวขนมปังเนยสด (butter bun) รสชาติใหม่ๆ เร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ คาดว่ากําไรของ AU จะกลับมาเติบโตทั้ง YoY และ QoQ ใน 1Q68F

BE8 รับอานิสงส์ SRF call center  ธนาคารลงทุน cybersecurity หนุน

BE8 รับอานิสงส์ SRF call center ธนาคารลงทุน cybersecurity หนุน

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ BE8 ซึ่งเป็นบริษัทที่จะได้รับอานิสงส์จากการเพิ่มการลงทุนของกลุ่มธนาคาร เพื่อยกระดับความปลอดภัยของระบบ IT หลังจากที่รัฐบาลและ ธปท. ได้ให้ความสนใจต่อปัญหา scammer call center และแนวโน้มกฎการรับผิดชอบร่วมกันที่เรียกว่า Shared Responsibility Framework (SRF)           ซึ่ง SRF จะเริ่มบังคับใช้ และกำหนดให้ทั้งธนาคารและบริษัทสื่อสารมีความรับผิดชอบร่วมกันหากเกิด online scam ในอนาคต ตามเงื่อนไขที่กำหนด เนื่องจาก BE8 มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ cybersecurity ราว 30-40% ของรายได้ทั้งหมด BE8: ราคาพื้นฐาน 19.05 บาท

KJL คาดงบสวย กำไรเด้ง 15.5% จับตาโตจากสินค้าใหม่

KJL คาดงบสวย กำไรเด้ง 15.5% จับตาโตจากสินค้าใหม่

          หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ส่องหุ้น KJL โดยฝ่ายวิจัยคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ KJL ปี 2025 กลับมาขยายกำลังการผลิตอีกไม่น้อย กว่า 30%             ทั้งนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อ ขายที่ PER68 ต่ำเพียง 8.2 เท่า คาดเงินปันผลงวด 2H67 อีก 0.33 บาท/หุ้น ให้ ผลตอบแทน 4.9% คงค าแนะนำ ซื้อ  ฝ่ายวิจัยปรับลด PER ในการประเมินมูลค่าลงตามภาวะตลาด จาก 14.5 เท่า เป็น 12.0 เท่า คงคำแนะนำ ซื้อ           นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิ 4Q24 ที่50 ลบ. (+15.5% QoQ, +63.1% YoY) จากรายได้เติบโตจากออเดอร์หลัง น้ำท่วมและกลุ่ม Solar อีกทั้งหนุนให้GPM สูงขึ้น และ SG&A อยู่ในระดับปกติ และมองแนวโน้ม 1Q25 คาดยังได้แรงหนุนจากสินค้า กลุ่ม Solar และสินค้าใหม่ที่ออกในช่วง 2H24 ยัง ทำตลาดต่อเนื่อง

[Vision Exclusive] UBA บิ๊กโปรเจ็กต์700ล.  เล็งแผนลงทุนเสริมแกร่ง

[Vision Exclusive] UBA บิ๊กโปรเจ็กต์700ล. เล็งแผนลงทุนเสริมแกร่ง

          หุ้นวิชั่น - UBA บิ๊กโปรเจ็กต์จ่อออก 700 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร "สมชาติ สังหิตกุล" โชว์ศักยภาพรับงานเพียบ ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โตเกิน 10% รับอานิสงส์บริการจัดการน้ำเดินระบบ พร้อมลุยติดตั้งอุปกรณ์ขยายตัวต่อ อวดเงินสด 300 ล้านบาท เล็งแผนลงทุนเสริมแกร่ง           นายสมชาติ สังหิตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูทิลิตี้ บิสิเนส อัลลายแอนซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ UBA เปิดเผยกับทีมข่าว หุ้นวิชั่น ว่า ในปี 2568 บริษัทเตรียมติดตามโครงการที่ถูกเลื่อนมาจากปี 2567 ทั้งจากภาครัฐและเอกชน จากการสำรวจของบริษัท พบว่ามีโครงการรวมที่ถูกเลื่อนมาจากปี 2567 มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท โดยคาดว่าสัดส่วนการรับงานหรือมูลค่าที่บริษัทจะได้รับจะอยู่ที่ 30-40% ของมูลค่ารวม           แม้โครงการบางส่วนจะถูกเลื่อนจากปี 2567 มายังปี 2568 แต่ UBA มองว่า การเลื่อนดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เนื่องจากในปี 2567 บริษัทสามารถรับรู้รายได้ตามแผนที่วางไว้ทั้งนี้ โครงการที่ถูกเลื่อนจะเป็น ส่วนหนึ่งของการขยายงานของ UBA ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในปี 2568 และต่อเนื่องในอนาคต           UBA คาดการณ์ว่ารายได้ปี 2568 จะเติบโตมากกว่า 10% จากการเข้าชิงงานใหม่ในโครงการที่จะเกิดขึ้นตลอดปี โดยโครงการหลักจะมุ่งเน้นให้บริการ จัดการน้ำ เดินระบบ และบำรุงรักษาแบบครบวงจร (Integrated Operation and Maintenance หรือ "IOM")           นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการ ให้คำปรึกษา ออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ตามความต้องการของลูกค้า เพื่อสนับสนุนธุรกิจบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจร ซึ่งแนวโน้มงานติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีรายได้จากงานติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ราว 100 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 15%           UBA ยืนยันความพร้อมในการรับงานใหม่จากทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการขยายงานติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยบริษัทมี กระแสเงินสดและเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ สำหรับรองรับโครงการใหม่ ทั้งนี้ บริษัทมีเงินสดในงบการเงินที่รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ 300 ล้านบาท ซึ่งช่วยให้สามารถรับงานใหม่ได้อีกจำนวนมากเพราะไม่มีภาระดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ตอกย้ำความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน และความสามารถในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง           นายสมชาติ กล่าวต่อว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกาาแผนการลงทุน ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการจัดการน้ำเดินระบบและบำรุงรักษา พร้อมทั้งการบริการให้คำปรึกษา ออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆแบบครบวงร และธุรกิจอื่นๆ           โดย วันที่ 30 พฤษภาคม 2567 บริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อย โดยมีรายละเอียดดังนี้ ชื่อบริษัท บริษัท ยูบีวี จำกัด วันที่จดทะเบียน 30 พฤษภาคม 2567 วัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนในบริษัทอื่นเป็นหลัก ทุนจดทะเบียนและทุนที่เรียกชำระ 10,000,000 บาท (สิบล้านบาท) หุ้นสามัญจำนวน 1,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท ชำระมูลค่าหุ้น ร้อยละ 25 และ UBA ถือหุ้น 99.997% ส่วนแหล่งที่มาของเงินลงทุนมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท           อนึ่ง 9 เดือนแรกปี 2567 UBA มีรายได้อยู่ที่ 448.70 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 55.81 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

READY ชนะเลิศ! การทำโฆษณาออนไลน์ จาก Google ประเทศไทยเป็นครั้งที่ 3

READY ชนะเลิศ! การทำโฆษณาออนไลน์ จาก Google ประเทศไทยเป็นครั้งที่ 3

           บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ READY ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญอีกครั้ง ด้วยการคว้ารางวัลชนะเลิศจากการแข่งขัน Google Growth Hackathon ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ในเวทีการแข่งขันที่รวบรวมเอเจนซี่ด้านการตลาดออนไลน์ชั้นนำจากทั่วประเทศ เพื่อทำโฆษณาออนไลน์ด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือของ Google จนสามารถสร้างผลลัพธ์และเพิ่มรายได้แก่ลูกค้าอย่างได้ผล            READY เคยได้รับรางวัล Best in Automation Excellence ในปี 2023 และ 2024 ซึ่งสะท้อนความสามารถด้านการบริหารจัดการแคมเปญโฆษณาออนไลน์ด้วยระบบอัตโนมัติ และในการแข่งขันครั้งล่าสุด บริษัทฯ ยังคงแสดงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการตลาด (Marketing Technology) อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถคว้ารางวัล Best Client Success Story จากการผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับความเชี่ยวชาญของทีมงานในการบริหารแคมเปญโฆษณา เพื่อสร้างผลลัพธ์สูงสุดให้กับลูกค้า            ความสำเร็จในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการตอกย้ำถึงบทบาทของ READY ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมการตลาดออนไลน์และเทคโนโลยีการตลาด พร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจลูกค้าอย่างยั่งยืนต่อไป            ด้าน นายบุรินทร์ เกล็ดมณี รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปัจจุบันการทำโฆษณาออนไลน์ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ธุรกิจให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีการแข่งขันสูง  การทำธุรกิจต่างต้องการลดต้นทุนต่อการได้ลูกค้าใหม่ (Cost per Acquisition หรือ CPA) เพื่อให้การลงทุนในโฆษณามีความคุ้มค่าสูงสุด เพราะฉะนั้นการบริหารแคมเปญโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง            Readyplanet ได้นำเทคโนโลยีของบริษัทฯ มาทำงานร่วมกับเทคโนโลยีของ Google เพื่อขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุมและตรงจุดมากขึ้น นำไปสู่การสร้างผลลัพธ์ความสำเร็จ ที่สามารถช่วยลด Cost Per Acquisition (CPA) ได้ถึง 30% และเพิ่มความคุ้มค่าในการทำโฆษณา Return on Ad Spend (ROAS) ขึ้น 23% อีกทั้งสามารถสร้างการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นถึง 40% และมีอัตรา Conversion Rate สูงขึ้น 53% ภายในระยะเวลาไม่ถึงปี            นายบุรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “รางวัล Best Client Success Story ในปีนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจและเครื่องยืนยันถึงความเชี่ยวชาญและความมุ่งมั่นของทีมงาน Readyplanet เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนธุรกิจไทยให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในยุคดิจิทัล พร้อมทั้งพัฒนานวัตกรรมการตลาดเพื่อสร้างคุณค่าและความสำเร็จที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจ [PR News]

FPI ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะ 3 พันลบ. อินเดียดัน Backlog พุ่ง 1,000 ลบ.

FPI ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะ 3 พันลบ. อินเดียดัน Backlog พุ่ง 1,000 ลบ.

          หุ้นวิชั่น - บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) สุดสตรอง! ตั้งเป้ารายได้ปี 68 ทะยานแตะ 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องจากปีก่อน บิ๊กบอส "สมพล ธนาดำรงศักดิ์" ระบุ ลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่ พร้อมรับออเดอร์พุ่งกระฉูดโดยเฉพาะจากลูกค้าอินเดีย หนุน Backlog แน่น 1,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 2 ปี ลุยเพิ่มกำลังการผลิต และรุกขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ           นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) (FPI) เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ที่ระดับ 3,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 10% สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องจากปี 2567 หลังจากผ่านการลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่ พร้อมกับปรับปรุงระบบการจัดการภายในทั้งหมด รวมถึงระบบ ERP เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา           โดยเฉพาะธุรกิจของบริษัทลูกในประเทศอินเดีย 2 แห่ง มีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่น ทั้ง บริษัท เอฟพีไอ ออโต้ พาร์ท อินเดีย และ บริษัท อาร์บีเอส พลาสติก อินโนเวชั่น จำกัด ที่มีคำสั่งซื้อ OEM จากลูกค้าเข้ามาจำนวนมาก ขณะที่ลูกค้าในประเทศไทยก็มีแนวโน้มการเติบโตในทิศทางที่ดีเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ล่าสุดบริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ใน 2 ปี           ปัจจุบัน บริษัทฯ วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามามากขึ้น พร้อมกับมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ           “แผนการลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่และการปรับปรุงระบบต่างๆ เราทำเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2567 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการภายในทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว และมั่นใจว่าจากออเดอร์ในอินเดียที่เข้ามาจำนวนมาก และยอดขายในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สนับสนุนอนาคตเติบโตต่อเนื่อง” นายสมพล กล่าวในที่สุด [PR News]

TVDH บอร์ดไฟเขียวลงทุน

TVDH บอร์ดไฟเขียวลงทุน "ทีวีดี บรอดแคส" รุกธุรกิจวิทยุ โทรทัศน์

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวจิราภรณ์ พินิจนรชัย รักษาการเลขานุการบริษัทฯ บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVDH ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการเข้าลงทุนในบริษัท ทีวีดี บรอดแคส จำกัด โดยบริษัท ทีวีดี ลิงค์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นโดยอ้อมในสัดส่วน ร้อยละ 100.00 ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ ร้อยละ 45.00 มูลค่าการลงทุน 19.50 ล้านบาท และลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญในบริษัท ทีวีดี บรอดแคส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2568 ส่งผลให้บริษัท ทีวีดี ลิงค์ จำกัด ถือหุ้นบริษัท ทีวีดี บรอดแคส จำกัด เพิ่มขึ้นจากเดิม ร้อยละ 55.00 เป็นร้อยละ 100.00 ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ชื่อบริษัท : บริษัท ทีวีดี บรอดแคส จำกัด (TVD BROADCAST CO., LTD.) วัตถุประสงค์ : เพื่อลงทุนในธุรกิจการแพร่กระจายเสียงหรือการแพร่ภาพทางวิทยุและโทรทัศน์ โดยผลิตหรือให้บริการเป็นเสียง หรือภาพ หรือเป็นข้อมูล ทุนจดทะเบียนและหุ้น : 4,000,000 บาท แบ่งออกเป็น 40,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 100 บาท          บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า รายการดังกล่าว ไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551 (รวมถึงฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) และไม่เข้าข่าย เป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ที่มีนัยสำคัญตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 20/2551 (รวมถึงฉบับแก้ไขเพิ่มเติม)          ทั้งนี้ ขนาดของรายการดังกล่าวคำนวณจากเกณฑ์ มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน (อ้างอิงจากงบการเงินรวมที่สอบทานแล้วของกลุ่มบริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2567) โดยพิจารณารวมกับรายการที่เกิดขึ้นย้อนหลัง 6 เดือน แล้ว พบว่าขนาดของรายการอยู่ที่ 6.86% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 15%          อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องรายงานการจัดตั้งบริษัทย่อย ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศ และการปฏิบัติของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากเป็นกรณีที่บริษัทฯ ได้มาซึ่งเงินลงทุนในบริษัทอื่นส่งผลให้บริษัทดังกล่าวมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน

JPARK ช่องจอดมาตามนัด4หมื่นช่อง ชี้เป้า 6.80บ.

JPARK ช่องจอดมาตามนัด4หมื่นช่อง ชี้เป้า 6.80บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุถึง คาดกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 21 ลบ. ลดลง 77% q-q เพราะไม่มีกำไรจากรายการพิเศษที่เป็นส่วนต่างสัญญาเช่า-ให้เช่าช่วงพื้นที่เหมือนใน 3Q24 แต่เพิ่มขึ้น 64% y-y หลักๆ มาจากฐานกำไรที่ต่ำของปีก่อน           ด้านธุรกิจ PS มีรายได้เพิ่มขึ้นจากโครงการอาคารที่จอดรถและพื้นที่เช่าพระนั่งเกล้าตั้งแต่ 3Q24 เป็นต้นมา ส่วน PMS มีรายได้เพิ่มขึ้นจากค่าบริหารที่จอดรถบริเวณสนามบินขอนแก่น และ One Bangkok ทำให้ทั้งปี 2024 มีจำนวนช่องจอดรถทั้งหมด 40,000 ช่องจอด ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคาดกำไรปกติปี 2024 +34% y-y และปี 2025 คาด +10% y-y คงราคาเป้าหมาย 6.80 บาท แนะนำ “ถือ”

TACC ตั้งเป้ารายได้ปี68โตอย่างน้อย 10% รุกพัฒนาโปรดักส์ใหม่ในกลุ่มธุรกิจ B2B และ B2C

TACC ตั้งเป้ารายได้ปี68โตอย่างน้อย 10% รุกพัฒนาโปรดักส์ใหม่ในกลุ่มธุรกิจ B2B และ B2C

         หุ้นวิชั่น - บมจ.ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) กางแผนปี 68 ตั้งเป้ารายได้เติบโตอย่างน้อย 10% ขึ้นไป มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าด้านความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพ เพื่อธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน (Compounding Quality Value) ลุยพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่มธุรกิจ B2B (7-Eleven) และ B2C (Non 7-Eleven) สอดรับเทรนด์ผู้บริโภค พร้อมสร้างสินค้าใน Brand ของบริษัทฯ เจาะกลุ่มสินค้า Health & Wellness อัพรายได้ และผลักดันการใช้แนวคิด ESG เป็นแนวคิดสำคัญในการดำเนินธุรกิจ เพื่อพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านต้นทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง          นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) (TACC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโตอย่างน้อย 10% ขึ้นไป จากปีก่อน โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าด้านความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพ เพื่อธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน (Compounding Quality Value) และการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านต้นทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเตรียมออกสินค้าใหม่ให้สอดรับเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งในส่วนของกลุ่มธุรกิจ B2B (7-Eleven) และกลุ่มธุรกิจ B2C (Non 7-Eleven)          สำหรับภาพรวมกลุ่มธุรกิจ B2B (7-Eleven) ในปี 2568 บริษัทฯมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า Core Menu และ New Menu รวมทั้งออกสินค้าใหม่ร่วมกันในฐานะ Key Strategic Partner ไม่ว่าเป็นเครื่องดื่มเย็นในโถกด (Jet Spray) และ เครื่องดื่ม Non-Coffee Menu ใน All Café          ขณะที่ 7-Eleven ต่างประเทศ (ประเทศกัมพูชาและลาว) มีการเติบโตตามการขยายสาขา ในส่วนของประเทศกัมพูชา มีการร่วมพัฒนาสินค้าเครื่องดื่มใหม่ ๆ ในกลุ่ม Counter drink เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคชาวกัมพูชา          “เรายังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้ากลุ่มใหม่ๆ เพิ่มเติมร่วมกับ 7-Eleven ที่เป็นพันธมิตรหลักทางธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าแต่ละ Segmentation และกระตุ้นยอดขาย โดยยังคงรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรหลักทางธุรกิจให้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง”          ส่วนภาพรวมกลุ่มธุรกิจ B2C (Non 7-Eleven) ในปี 2568 บริษัทฯพร้อมพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม Café Business  และการเพิ่มลูกค้ารายใหม่ให้มากขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ  นอกจากนี้ ยังมีแผนสร้างสินค้าที่เป็น Brand ของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นกลุ่ม Health  & Wellness Products อย่างต่อเนื่อง และมีแผนการขยายช่องทางการขายใหม่  ขณะที่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ ในส่วนของคาแรคเตอร์ มีการสร้างการรับรู้ในตัวคาแรคเตอร์ใหม่มากขึ้น          ประธานกรรมการบริหาร TACC กล่าวอีกว่า บริษัทฯยังมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่มาจากการ M&A, JV เพื่อเป็น New S-Curve  สามารถมาต่อยอดกับธุรกิจเดิม และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น [PR News]

[Vision Exclusive] ARROW ปั๊มแบ็กล็อกพันล. โรงงานใหม่ดันส่งออกโตเท่าตัว

[Vision Exclusive] ARROW ปั๊มแบ็กล็อกพันล. โรงงานใหม่ดันส่งออกโตเท่าตัว

          หุ้นวิชั่น - ARROW ตั้งเป้า Backlog ปี 68 แตะพันล้าน จากปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาที่ 700 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร "ธานินทร์ ตันประวัติ"  คาดรายได้โต 5-10% รับดีมานด์เหล็กฟื้น หนุนมาร์จิ้นเติบโต พร้อมทุ่มงบ 150 ล้านบาท ขยายโรงงาน Free Zone ดันส่งออกโตเท่าตัวแตะ 20%           นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW เปิดเผยถึง แนวโน้มธุรกิจในปี 2568 ว่า แม้ภาพรวมอาจยังไม่ชัดเจนจากปัจจัยเศรษฐกิจและการลงทุนที่มีความผันผวน แต่บริษัทได้วางแผนมุ่งเน้นสะสม Backlog หรือยอดคำสั่งซื้อรอการส่งมอบให้ได้มากที่สุด           สำหรับเป้าหมายในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ายอด Backlog แตะระดับ 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่ยอด Backlog ทยอยเพิ่มขึ้นจนแตะระดับ 700 ล้านบาทแล้ว ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการในตลาดที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง บิราทจะเดินหน้าขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการหางานใหม่เพิ่มเติมในปี 2568 เพื่อสนับสนุนการเติบโตและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ อีกทั้งบริษัทมีแผนเชิงรุกในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มปริมาณงานใหม่ เพื่อสร้างความมั่นคงและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายการเติบโตในสิ้นปี 2568           ARROW ประเมินทิศทางการเติบโตในปี 2568 มีแนวโน้มสดใส โดยคาดว่าความต้องการใช้เหล็ก (ดีมานด์) จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ           บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 2568 เติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 ในอัตรา 5-10% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของยอดขายดังกล่าวคาดว่าจะช่วยสนับสนุนอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) ให้เติบโตในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ARROW ยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตในตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง           "สถานการณ์ต้นทุนวัตถุดิบที่ไม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ช่วยเพิ่มโอกาสให้บริษัทเดินหน้าเก็บงานใหม่เพิ่มเติมได้อย่างต่อเนื่อง โดยหากยอดขายเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้มาร์จิ้นเติบโตตามไปด้วย"นายธานินทร์ กล่าว           นายธานินทร์ กล่าวต่อว่า ARROW วางแผนลงทุนเชิงรุกในปี 2568 โดยเตรียมขยายโรงงานในเขตปลอดอากร (Free Zone) เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าและรองรับการส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยบริษัทตั้งเป้าขยายสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 15-20% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนส่งออกประมาณ 7% โดยการลงทุนครั้งนี้ใช้งบประมาณ 150 ล้านบาท สำหรับสร้างโรงงานใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความคืบหน้าของโครงการและโครงสร้างโรงงานได้ภายในปลายปี 2568           ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการมองหาที่ดินสำหรับก่อสร้างโรงงาน พร้อมจัดทำแผนการก่อสร้างอย่างละเอียด เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในตลาดส่งออกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] ATP30 ลูกค้าใหม่จ่อ-วางงบ 130ล. รถอีวีฮอต!

[Vision Exclusive] ATP30 ลูกค้าใหม่จ่อ-วางงบ 130ล. รถอีวีฮอต!

          หุ้นวิชั่น - ATP30 ส่งสัญญาณบริการรับส่งพนักงานปี 68 คึกคัก ลูกค้าใหม่ในไปป์ไลน์แน่น พร้อมขยายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อีก 25 คัน คาดใช้งบลงทุน 130 ล้านบาท ด้านบอสใหญ่ "ปิยะ เตชากูล" มองรายได้โตต่อไม่ต่ำกว่า 10% จับตาอัตราการทำกำไรสวย           นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการรถรับส่งพนักงานจากแหล่งที่พักอาศัยไปยังโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ รอบเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) และเขตอุตสาหกรรมภาคกลาง เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า ทิศทางธุรกิจบริการรับส่งพนักงานในปี 2568 มีแผนขยายฐานลูกค้าใหม่และปรับเปลี่ยนการให้บริการลูกค้าเดิมไปสู่การใช้รถไฟฟ้า (EV) มากขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและการเปลี่ยนผ่านสู่การให้บริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต           ปัจจุบันบริษัทได้รับการยืนยันจากลูกค้าใหม่แล้ว 2 ราย และอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มเติมอีก 2 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้           ATP30 วางแผนเพิ่มจำนวนรถไฟฟ้า (EV) อีก 15-25 คันในปี 2568 จากปัจจุบันที่มีรถ EV ให้บริการอยู่ 13 คัน โดยมีอัตราการใช้งาน (Utilization) เต็ม 100% หลังจากที่บริษัทได้ทดลองใช้รถ EV มาแล้ว 2 ปี และได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า บริษัทตั้งงบลงทุนในการเพิ่มรถ EV ในครั้งนี้ที่ 130 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการบริการที่เพิ่มขึ้น พร้อมผลักดันการใช้รถไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม           และปัจจุบัน ATP30 มีรถทั้งหมด 730 คันที่ให้บริการลูกค้าในเขตอุตสาหกรรมภาคตะวันออกและภาคกลาง บริษัทมองทิศทางการให้บริการรถรับส่งพนักงานในปี 2568 ภาพรวมของตลาดอาจมีการปรับตัวลดลงบ้างจากปัจจัยภายนอก แต่สำหรับ ATP30 ยังคงได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าเรียกใช้บริการรถเต็มจำนวน และมีแนวโน้มที่ลูกค้าใหม่จะสนใจใช้บริการเพิ่มขึ้น           แม้จะมีความท้าทายจากภาพรวมตลาดที่อาจชะลอตัว แต่บริษัทมั่นใจในความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าใหม่ และการขยายตัวของบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการในด้านการขนส่งพนักงานจากแหล่งชุมชนไปสู่โรงงานอุตสาหกรรม           นายปิยะ กล่าวต่อว่า ทิศทางการเติบโตปี 2568 คาดรายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่แนวโน้มอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) ปี 2568 จะดีกว่าปี 2567 เล็กน้อย โดย Gross Profit Margin ปีที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 20% รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision  

BKA เปิดฉากโรดโชว์ ตอกย้ำ “ที่ 1 เรื่องบ้านมือสอง”

BKA เปิดฉากโรดโชว์ ตอกย้ำ “ที่ 1 เรื่องบ้านมือสอง”

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA เปิดฉากนำเสนอข้อมูลนักลงทุนทั่วไป (RETAIL INVESTOR ROADSHOW) ตอกย้ำ “BKA ที่ 1 เรื่องบ้านมือสองตกแต่งใหม่” เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ก่อนเสนอขาย IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น             นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ผู้นำในธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ นำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนทั่วไป (RETAIL INVESTOR ROADSHOW)ในครั้งนี้ เพื่อตอกย้ำถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านแต่ง” หรือเรียกว่า “Flipping”) ซึ่งเป็นการรับฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงก่อนขาย เพื่อให้มีสภาพใหม่พร้อมอยู่อาศัย พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (“ธุรกิจบ้านฝาก”) และ ธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านตัด”) ก่อนที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น ที่ราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai)           การระดมทุนในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจของ BKA ให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ สู่การขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้นรวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการ ซื้อขายอสังหาฯ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลาย เพิ่มมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์           “ด้วยศักยภาพ รวมถึงโอกาสทางธุรกิจ ในฐานะผู้นำธุรกิจบ้านมือสอง ทำให้วันนี้ BKA สามารถตอบโจทย์ความเป็น “ที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง” ภายใต้จุดเด่นและความได้เปรียบกว่าบ้านมือหนึ่ง บนทำเลเดียวกัน ราคาที่คุ้มค่ากว่า และพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ถือเป็นหัวใจหลักที่ผลักดันให้  BKA เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน จนก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชนในวันนี้”           ด้วยศักยภาพและจุดเด่นดังกล่าว สะท้อนถึงผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 1,304.94 ล้านบาท 1,302.92 ล้านบาท 1,313.59 ล้านบาท และ 870.03 ล้านบาท ตามลำดับ           ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ระดับ 49.77 ล้านบาท 21.44 ล้านบาท 22.27 ล้านบาท และ 27.64 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 3.81 ร้อยละ 1.65 ร้อยละ 1.70 และร้อยละ 3.18 ในปี 2564 - 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 ตามลำดับ           ด้านนางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า BKA มีจุดเด่นข้อได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจบ้านมือสอง ได้แก่ 1. บ้านมือสองมีความได้เปรียบทั้งด้านทำเล และราคาที่คุ้มค่ากว่า เมื่อเทียบกับบ้านโครงการใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้หาซื้อบ้าน 2. Model ธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) เป็นการวางเงินประกัน ปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนบ้านทั้งหลัง ทำให้ประหยัดเงินลงทุนไปได้มาก และได้ผลตอบแทนสูง 3. ตลาดบ้านมือสองยังมีศักยภาพการเติบโต เนื่องจากสถาบันการเงินและ AMC มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ในระบบจำนวนมาก ซึ่งเป็นสินค้าบ้านมือสองทำเลดี และราคาคุ้มค่าต่อการลงทุน 4. BKA เป็นผู้นำในธุรกิจบ้านมือสองที่มีจำนวนบ้านมือสองตกแต่งใหม่พร้อมขายจำนวนมาก โดยให้บริการปรับปรุง และขายบ้านมือสอง ซึ่งมีรายได้กระจายไปในบ้านแต่ง บ้านฝาก และบ้านตัด หลายโครงการในทำเลที่ดี โดยไม่ได้ Focus โครงการใดโครงการหนึ่งเป็นหลัก และ 5.ผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจมาเป็นระยะเวลากว่า 12 ปี  รวมทั้งมี Website ที่ทำให้สะดวกในการเข้าถึงข้อมูลบ้านมือสองในทำเลต่าง ๆ และยังมีเครือข่าย Agent  ที่สามารถอำนวยความสะดวก และรวดเร็วให้กับลูกค้า ซึ่งช่วยสนับสนุนการขาย และสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัทฯ ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจของ BKA ที่จะมุ่งสู่การสร้างโอกาส ในธุรกิจบ้านมือสอง ให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต           “BKA เตรียมการเพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยปัจจุบัน BKA มีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 210 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้(พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ [PR News]

PROEN ผนึก VMware ยกระดับ SEA Cloud ดันองค์กรเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล

PROEN ผนึก VMware ยกระดับ SEA Cloud ดันองค์กรเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล

          PROEN ประกาศจับมือ VMware ยกระดับ SEA Cloud สู่การให้บริการด้วยมาตรฐานระดับโลก ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างราบรื่น เพื่อเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจ นายวิศรุต มานูญพล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายนวัตกรรม บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN เปิดเผยว่า PROEN ได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัท วีเอ็มแวร์ หรือ VMware ผู้นำด้านเทคโนโลยี Virtual Machine ระดับโลก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ SEA Cloud ระบบ Infrastructure-as-a-Service(IaaS) โดยใช้พื้นที่โครงสร้างข้อมูลบนศูนย์ข้อมูลของ PROEN ให้เป็นโซลูชั่นมาตรฐานสากลระดับโลก สามารถรองรับความต้องการขององค์กรในยุคดิจิทัล ที่ต้องการโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพได้อย่างครอบคลุม โดยเน้นความปลอดภัย ความเร็ว และความง่ายดาย นายวิศรุต กล่าวต่อว่า การประกาศความร่วมมือในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ PROEN ในการยกระดับ SEA Cloud ที่ออกแบบมาให้เป็นโซลูชั่นคลาวด์ที่ทันสมัยและครบวงจร เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การค้าปลีก การเงิน การศึกษา หรือการบริการสุขภาพ เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างราบรื่น ด้วยเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่นและปลอดภัย การเพิ่มประสิทธิภาพ SEA Cloud ออกแบบมาให้เป็นโซลูชั่นคลาวด์ที่ทันสมัยและครบวงจรในครั้งนี้ จึงเป็นทางเลือกชั้นนำด้านคลาวด์โซลูชันสำหรับองค์กร ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ที่หลากหลายทั้งด้าน อาทิเช่น - ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ในการลงทุนในทรัพยากรที่เกินความจำเป็น ทั้งในส่วนของการจัดซื้อฮาร์ดแวร์ การบำรุงรักษาระบบ - รองรับการขยายตัวของธุรกิจได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวได้รวดเร็วในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง - มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล สร้างความมั่นใจให้กับองค์กร เพื่อให้ข้อมูลและระบบได้รับการป้องกันสูงสุด -สามารถใช้ร่วมกับโซลูชันเทคโนโลยีต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรสามารถนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุด มาใช้งานร่วมกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ -มีส่วนช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้กับสังคม เพราะ SEA Cloud ช่วยลดการใช้พลังงานและทรัพยากรที่ไม่จำเป็น           "PROEN มุ่งมั่น และพร้อมจะพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการที่ดีที่สุด ให้กับองค์กรต่างๆ เพื่อเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจ  รองรับการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน" นายวิศรุต กล่าว

CMO ชำระหุ้นกู้ ตามกำหนด พร้อมเปิดแผนธุรกิจปี 68 อีเวนต์บูม

CMO ชำระหุ้นกู้ ตามกำหนด พร้อมเปิดแผนธุรกิจปี 68 อีเวนต์บูม

          “ซีเอ็มโอ” (CMO) สร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ชำระคืนหุ้นกู้รุ่น CMO23NA งวดที่ 6  พร้อมดอกเบี้ย ตามกำหนด เป็นจำนวนเงิน 5,774,500.29 บาท ด้านผู้บริหารเปิดแผนลุยธุรกิจ ควบคู่การรักษากระแสเงินสด ตั้งเป้าปี 68 เติบโต 15-20% รับตลาดอีเวนต์บูม พัฒนาเทคโนโลยี เร่งขยายฐานต่างแดน           นางสาวนภามาศ พลายงาม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO ดำเนินธุรกิจสร้างสรรค์บริหารจัดการงานอีเวนต์ นิทรรศการ พิพิธภัณฑ์ งานประชุมสัมมนา คอนเสิร์ต และเฟสติวัล เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ยงวดที่ 6 ของ “หุ้นกู้ CMO23NA” ให้กับผู้ถือหุ้นกู้ทุกท่านเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 โดยผ่านนายทะเบียนหุ้นกู้ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 5,774,500.29 บาท  คิดเป็นร้อยละ 5 ของมูลค่าเงินต้นหุ้นกู้ ณ วันออกหุ้นกู้           “บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานและบริหารจัดการทางการเงิน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน รวมทั้งการจัดสรรเงินทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ ขอให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัททุกราย เชื่อมั่นว่าบริษัทฯ ได้นำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นหุ้นกู้ได้ครบตามกำหนดมาตลอด ทั้งนี้ บริษัทฯ จะดำเนินงานตามแผนที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัด เดินหน้าพัฒนาและยกระดับองค์กรสร้างโอกาส ในการขยายตลาดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต” นางสาวนภามาศ กล่าว           ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมาทาง บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO ได้ชำระคืนหุ้นกู้ตามกำหนดไปแล้ว รวมทั้งสิ้นคิดเป็นมูลค่ากว่า 55 ล้านบาท อย่างไรก็ดี การบริหารจัดการการเงินของบริษัทฯ มุ่งเน้นความรอบคอบและโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนทุกคน และการชำระคืนหุ้นกู้ตรงเวลาในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการบริหารเงินที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็น การสะท้อนย้ำถึงศักยภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน และ ยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี           ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ซีเอ็มโอ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับเป้าหมายในปี 2568 บริษัทฯ ลุ้นผลงานกลับมาเทิร์นอะราวด์ จากการเดินหน้าขยายธุรกิจปรับโครงสร้างทั้งกลยุทธ์ภายใน และ กลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มมาร์จิ้น พร้อมตั้งเป้าเติบโต 15-20% มุ่งเน้นการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจองค์กรและหน่วยงานภาครัฐที่มีแนวโน้มใช้งบประมาณด้านอีเวนต์เพิ่มขึ้น ตลอดจนมีแผนการขยายตลาดต่างประเทศ ไปยังประเทศที่มีศักยภาพสูงและมีความต้องการงานอีเวนต์ การจัดงานระดับโลกอย่างต่อเนื่อง [PR News]

TQR ตั้งเป้ารายได้โต 5-10% ลุยประกันภัยต่อ Alternative-Traditional เต็มสปีด

TQR ตั้งเป้ารายได้โต 5-10% ลุยประกันภัยต่อ Alternative-Traditional เต็มสปีด

          บมจ.ที คิว อาร์ (TQR) เปิดแผนธุรกิจปี 68 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-10% จากปีก่อน เดินหน้าพัฒนา ประกันภัยต่อ Alternative และ Traditional  รูปแบบใหม่ร่วมกับบริษัทประกันภัยชั้นนำต่อเนื่อง ส่วนบริษัทร่วมทุน อัลฟ่าเซคฯ และ อาร์สแควร์ฯ นำเทคโนโลยี AI มาพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน หนุนผลงานเติบโตอย่างมั่นคง                       นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR)  เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 5-10% จากปีก่อน โดยธุรกิจประกันภัยต่อ Traditional และ Alternative ยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง TQR มีการพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ๆ ร่วมกับบริษัทประกันภัยชั้นนำ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงและรับมือกับความเสี่ยงอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต           “ปี 2568 เราประเมินว่า ผู้บริโภคมีความต้องการในการทำประกันภัยเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากความเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ และการระบาดของโรคอุบัติใหม่ประกอบกับ บริษัทฯ วางแผนนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ร่วมกับบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) (TQM) เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้มากขึ้น ทั้ง ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับ ESG โดยเฉพาะในด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และรถยนต์ไฟฟ้า (EV), ประกันภัยต่อสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident and Health), ประกันภัยไซเบอร์ (Cyber), ประกันภัยความรับผิดของกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหาร (Directors and Officers), ประกันภัยต่อการก่อการร้ายและภัยทางการเมือง (Political Violence), ประกันภัยที่อยู่อาศัย ซึ่งธุรกิจประกันภัยต่อจะมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยงให้กับบริษัทประกันภัย พร้อมทั้ง จะช่วยผลักดันผลงาน TQR ให้เติบโตมั่นคงและยั่งยืน” นายชนะพันธุ์กล่าว                     นางยุพเรศ พิริยะพันธุ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR) กล่าวว่า สำหรับบริษัทร่วมทุนทั้ง 2 บริษัท ประกอบด้วย “บริษัท อัลฟ่าเซค จำกัด” โดย TQR ถือหุ้นในสัดส่วน 30% เพื่อประกอบธุรกิจประกันภัยไซเบอร์  มีการพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการให้เป็นระบบอัตโนมัติ (Automatically) และนำเทคโนโลยีAI มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ลูกค้า อีกทั้ง ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังได้เริ่มขยายธุรกิจในด้านการให้คำปรึกษาและบริการ DPO Outsourcing ไปในกลุ่มอุตสาหกรรมประกันภัยที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจการเงิน การธนาคาร และธุรกิจประกันภัย                     ในส่วนของธุรกิจให้บริการ (Service) ของบริษัทร่วมทุน “บริษัท อาร์สแควร์ จำกัด” ในปีนี้ มุ่งเน้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการปรับปรุงคุณภาพของแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการลูกค้า โดยนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในด้าน Face Recognition ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการแล้วจำนวน 4 ราย และมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าและเครือข่ายไปในอีกหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ในรูปแบบการควบรวมกิจการ (M&A) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ

BJC คาดปีนี้กำไรโต 10%   SSSG บวกต่อ โบรกแนะ “ซื้อ” ที่ 30 บาท

BJC คาดปีนี้กำไรโต 10% SSSG บวกต่อ โบรกแนะ “ซื้อ” ที่ 30 บาท

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ใน 4Q24F คาดว่า BJC จะมีกำไรหลักของ BJC จะลดลง 6% yoy เป็น 1.5 พันล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าเช่าลดลง 2% yoy (เพราะมีการปรับปรุงห้างหลายแห่ง) เหลือ 2.3 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอื่นๆ เติบโตได้ดี โดยเฉพาะบิ๊กซี (มีส่วนแบ่งรายได้ 65%) การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) อยู่ที่ 1.5% อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มขยายตัว 0.8ppt yoy เป็น 21% อาจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 130 ล้านบาทจากการป้องกันความเสี่ยงในบัญชีเจ้าหนี้ เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยในไตรมาสนี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ 30 บาท เนื่องจากเราคิดว่า SSSG จะยังคงเป็นบวกต่อไปในปี 2025 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น นอกจากนี้ BJC ซื้อขายที่ 17.5 เท่า P/E ปี 2568F -2SD ของค่าเฉลี่ยระยะยาว 4Q24F กำไรหลักลดลงจากค่าเช่าแต่ยอดขายยังดีอยู่ เราประเมินยอดขายเติบโต 3% yoy โดยได้แรงหนุนจากยอดขายเติบโตดีในทุกหมวด โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจสุขภาพที่อาจเติบโต 7% yoy (เนื่องจากเพิ่มงบประมาณจากความล่าช้าครั้งก่อน) Big C (ส่วนแบ่งรายได้ 65%) SSSG หันมาเป็นบวกที่ 1.5% (จาก 0% ใน 3Q24) เนื่องจากสามารถปรับปรุงการเลือกสรรและความสดของผลิตภัณฑ์อาหารสดที่ดึงดูดลูกค้าได้ ยอดขายกลุ่มบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น 3% yoy เนื่องจากยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดีขึ้นในประเทศไทย และเวียดนามซึ่งเจาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มรายย่อย เราคาดว่าธุรกิจผู้บริโภคยอดขายจะลดลง 3% yoy จากแนวโน้มการบริโภคที่ซบเซาในประเทศไทย อัตรากำไรขั้นต้นอาจเพิ่มขึ้น 0.8ppt yoy (เป็น 21%) จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง (เช่น โซดาแอชในธุรกิจบรรจุภัณฑ์) รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นที่ Big C จากอาหารสดที่ดีขึ้นซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น2025 กำไรหลักคาดว่าจะโต 10% เราคาดว่ากำไรหลักจะเติบโต 10% ในปี 2025F โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของยอดขาย 5% จากทั้งสี่กลุ่ม SSSG ของ Big C อาจอยู่ที่ 2% และอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มอาจทรงตัว yoy (ที่ 20%) เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ (โซดาแอช อะลูมิเนียม) ทรงตัวเป็นส่วนใหญ่ ความเสี่ยงหลักคือการฟื้นตัวของการบริโภคที่อาจช้ากว่าที่คาด เราให้ TP ที่ 23.8x P/E ปี 2025F ซึ่งต่ำกว่าตัวคูณเฉลี่ยระยะยาว -1SD เรามองว่าการฟื้นตัวของ SSSG เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเชิงบวก ความเสี่ยงที่สำคัญคือการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศไทยช้ากว่าคาด

[Vision Exclusive] CHEWA ส่งซิกคอนโดขายดี-ยอดโอนเพียบ

[Vision Exclusive] CHEWA ส่งซิกคอนโดขายดี-ยอดโอนเพียบ

          หุ้นวิชั่น - CHEWA เตรียมแถลงแผนธุรกิจ 19 ก.พ. นี้ ลุ้นเปิดตัวโครงการอสังหาฯทำเงิน ด้านบอสใหญ่ "บุญ ชุน เกียรติ" ชี้คอนโดมิเนียมขายดี ส่งซิกดีมานด์ล้น ลั่นสิ้นปี 68 โครงการร่วมทุนพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่นสร้างเสร็จ จ่อบุ๊กยอดโอนกรรมสิทธิ์เข้าพอร์ตต่อ           นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า บริษัทเตรียมแถลงแผนธุรกิจประจำปี 2568 ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้ โดยจะนำเสนอแผนการดำเนินธุรกิจและเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 นอกจากนี้ คาดว่าแผนการซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวสูงจะถูกเปิดเผยในวันดังกล่าว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญที่สะท้อนถึงทิศทางการขยายธุรกิจของ CHEWA ในอนาคต           สำหรับทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ยังคงเผชิญความท้าทาย โดยมองว่าแนวโน้มตลาดโดยรวมอาจไม่เติบโตจากปี 2567 เนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ CHEWA พบว่าโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียมยังคงได้รับความนิยม โดยโครงการ ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 ทั้ง 2 เฟส สามารถปิดการขายได้หมดแล้วและอยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์ เช่นเดียวกับโครงการ ชีวาทัย ปิ่นเกล้า ที่ยอดขายใกล้ปิดจบทั้งหมด ด้วยยอดขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่แข็งแกร่งดังกล่าว ทำให้ CHEWA มีตัวเลขยอดรอโอนในปี 2568 จำนวนมาก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันรายได้ของบริษัทในปีนี้           ในช่วงสิ้นปี 2568 บริษัทคาดว่าจะมีโครงการที่พัฒนาแล้วเสร็จ ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น และพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงเวลาดังกล่าว โครงการใหม่นี้จะเข้ามาทดแทนโครงการเดิมที่ปิดการขายและอยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2568 โดย CHEWA มั่นใจว่าความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่นจะช่วยเสริมศักยภาพการพัฒนาโครงการและสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในอนาคต           นายบุญ กล่าวต่อว่า ทิศทางดอกเบี้ยในปัจจุบันแม้การปรับลดดอกเบี้ยอาจช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของบริษัท แต่ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการขายโครงการที่อยู่อาศัยในปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับดอกเบี้ย           "ปัญหาหลักของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้อยู่ที่ความสามารถในการขอสินเชื่อของผู้ซื้อ และความต้องการซื้อบ้านที่ขึ้นอยู่กับความพร้อมในการกู้มากกว่า" นายบุญกล่าว           ทั้งนี้ CHEWA ยังคงติดตามสถานการณ์ดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด และมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision  

[Vision Exclusive] TM ปั๊มยอดรับมือ PM2.5! The Parents ถึงจุดคุ้มทุน

[Vision Exclusive] TM ปั๊มยอดรับมือ PM2.5! The Parents ถึงจุดคุ้มทุน

          หุ้นวิชั่น - TM ชูเครื่องฟอกอากาศใหญ่ เจาะตลาดห้องประชุม ร้านอาหาร รับมือ PM2.5 ด้านแม่ทัพใหญ่ "สุนทรี จรรโลงบุตร" มั่นใจธุรกิจปี 68 โตแกร่ง คาดรายได้รวมแตะ 770 ล้านบาท พร้อมโครงการ The Parents ถึงจุดคุ้มทุน ปีนี้ทะยานเท่าตัว เร่งเครื่องปั๊มผลงานพลิกบวก           นางสุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทมีสินค้าประเภทเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสำหรับห้องขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 170-500 ตารางเมตร เช่น ห้องประชุม ร้านอาหาร และห้องจัดเลี้ยง           เครื่องฟอกอากาศดังกล่าวมีคุณสมบัติเด่นในการฟอกอากาศ ลดกลิ่น และฆ่าเชื้อโรค รวมถึงสามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย TM เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องฟอกอากาศสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น ห้องประชุม ร้านอาหาร และห้องจัดเลี้ยง โดยมุ่งตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจที่ต้องการควบคุมคุณภาพอากาศ พร้อมยกระดับมาตรฐานด้านสุขอนามัยในพื้นที่ให้บริการ           สินค้าดังกล่าวได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงที่ปัญหามลภาวะทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละออง PM2.5 ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม TM ระบุว่ายอดขายเครื่องฟอกอากาศผ่านช่องทางออนไลน์อาจยังไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับยอดขายรวมของบริษัท เนื่องจากสินค้าหลักยังคงเป็นวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ที่จำหน่ายให้กับโรงพยาบาลชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชน           สำหรับทิศทางในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งการจำหน่ายและการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเป็น 730 ล้านบาท จากปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย           นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าปี 2568 จะเป็นปีที่โครงการ The Parents ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจรของ TM จะถึงจุดคุ้มทุน (Break Even) เนื่องจากแนวโน้มการให้บริการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนผู้เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของโครงการและศักยภาพการเติบโตในระยะยาว คาดโครงการ The Parents ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2568 โดยตั้งเป้าการเติบโตสูงถึง 100% จากปี 2567 ซึ่งเติบโตราว 60% และปี 2568 คาดว่าโครงการ The Parents จะสร้างรายได้ราว 30-40 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายและการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโต           ทั้งนี้ TM ตั้งเป้ารายได้รวมในปี 2568 แตะระดับ 770 ล้านบาท พร้อมมุ่งผลักดันผลประกอบการให้กลับมาเป็นบวก โดยอาศัยแนวโน้มธุรกิจที่แข็งแกร่งและการขยายตลาดในกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต และ TM ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจและขยายช่องทางการจำหน่ายเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

CMO แจ้งชำระคืนหุ้นกู้บางส่วนพร้อมดอกเบี้ย

CMO แจ้งชำระคืนหุ้นกู้บางส่วนพร้อมดอกเบี้ย

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้ดำเนินการชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้บางส่วนพร้อมดอกเบี้ยงวดที่ 6 ของ “หุ้นกู้ของบริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน” (“หุ้นกู้” หรือ “CMO23NA”) ให้กับผู้ถือหุ้นกู้ทุกท่านแล้ว เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 โดยผ่านนายทะเบียนหุ้นกู้ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 5,774,500.29 บาท (คิดเป็นร้อยละ 5 ของมูลค่าเงินต้นหุ้นกู้ ณ วันออกหุ้นกู้)           บริษัทขอแสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นกู้ตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้หากมีความคืบหน้าบริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบในครั้งถัดไป

โกลเบล็กแนะ

โกลเบล็กแนะ"ซื้อ" TNP ค้าปลีกเชียงรายฮอต เคาะเป้า 5 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง TNP ว่า แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 5 บาท มีอัพไซต์ 62% ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไร 4Q67 และช่วง 1H68 คาดคงเติบโตต่อเนื่อง           คาดการณ์กำไรในไตรมาส 4/67 ยังคงเติบโตทั้งเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (YoY) และไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แม้ว่าไตรมาสก่อนจะมีฐานที่สูง โดยในไตรมาส 3/67 มีกำไร 47 ล้านบาท (+41% YoY, +12% QoQ) ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ ซึ่งกระตุ้นให้มีการเร่งกักตุนสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าว ส่งผลให้ SSSG ในไตรมาส 4/67 ลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการจะยังคงเติบโตจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การเข้าสู่ช่วง High Season อานิสงส์จากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ที่กลุ่มผู้มีสิทธิ์เพิ่งได้รับในช่วงปลายไตรมาส 3/67 รวมถึงรอบเก็บตกในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม การขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 สาขา รวมเป็น 49 สาขา ณ สิ้นปี 2567           ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 181 ล้านบาท (+13% YoY) โดย 9 เดือนแรกของปี 2567 คิดเป็น 75% ของประมาณการนี้           ความเห็น: ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองบวกต่อแนวโน้มกำไรในไตรมาส 4/67 และช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ Easy E-receipt มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 (สำหรับผู้สูงอายุได้รับเงินวันที่ 27 มกราคม 2568) และเฟส 3 (สำหรับบุคคลทั่วไปได้รับเงินในช่วงเมษายน-มิถุนายน 2568)           และแผนการขยายสาขาอีก 5 แห่ง ช่วยผลักดันให้ผลประกอบการปี 2568 เติบโตประมาณ 8-10% นอกจากนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/E เพียง 13.6 เท่า (-2SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี) พร้อมอัตราปันผล 3% ต่อปี และราคาเหมาะสมที่ 5 บาท ซึ่งมีอัพไซด์ 62% ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ "ซื้อ"

LEO ผู้บริหารผนึกกำลัง เก็บหุ้นเข้าพอร์ต 8.46 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.65%

LEO ผู้บริหารผนึกกำลัง เก็บหุ้นเข้าพอร์ต 8.46 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.65%

          หุ้นวิชั่น - ผู้บริหาร LEO นำโดย ”เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทฯ ผนึกกำลังซื้อหุ้นเข้าพอร์ตรวมกว่า 8.46 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 2.65% จากผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งของบริษัท ตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และผู้ถือหุ้น สะท้อนถึงความตั้งใจจริงในการบริหารงาน เดินหน้าผลักดันการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน           บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) รายงานว่า จากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ระบุว่า บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) ขอแจ้งการซื้อขายหุ้นของ LEO ตามที่ได้ปรากฏในรายการซื้อขายหุ้น LEO ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) จำนวนรวม 8,469,700 หุ้น หรือคิดเป็น 2.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ LEO โดยรายการดังกล่าวเกิดจากการขายหุ้นโดยนายวิเศษ สิทธิสุนทรวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ LEO (ที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการ)           ทั้งนี้ LEO ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ LEO ว่า การขายหุ้นใน LEO ครั้งนี้ เป็นการเสนอขายให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัท​และปัจจุบันเป็นคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัท​  และกลุ่มคณะกรรมการของบริษัทท่านอื่นๆ​ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัท​และเป็นคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัท 1.1 นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ จำนวน 1,269,700 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.40 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 1.2​ นางสาวศรีไพร เอกวิจิตร์ จำนวน 1,000, 000​ หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.31 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และนายเมธา เอกวิจิตร์  (พี่ชาย​ของ​ นางสาวศรีไพร เอกวิจิตร์)  จำนวน 1,0000,0000 หุ้นหรือคิดเป็นร้อยละ 0.31 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 2.กลุ่มคณะกรรมการของบริษัท 2.1 นายเสนีย์ แดงวัง จำนวน 1,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.31 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 2.2 นายธีระชัย เชมนะสิริ จำนวน 2,200,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.69 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 2.3. นายอภิชาต ลี้อิสสระนุกูล จำนวน 2,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.62 ของทันที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด           โดยรายการดังกล่าวเป็นการตกลงระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อตามราคาปิดของหุ้นในวันที่ 23 มกราคม 2568 และมีส่วนลดเล็กน้อยสำหรับการซื้อบนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) โดยมีวัตถุประสงค์ในการช่วยแก้ไขปัญหาและทำให้หุ้นไม่ได้ถูกบังคับขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม และยังเป็นความประสงค์ของผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทซึ่งต้องการรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมไว้ อีกทั้งยังการเป็นการรักษาเสถียรถาพของราคาหุ้น  เนื่องจากคณะกรรมการของบริษัทต้องการถือหุ้นและลงทุนในบริษัทในระยะยาว ซึ่งจะดีกว่าการที่หุ้นจะถูกบังคับขายในตลาดและอาจตกไปอยู่กับนักลงทุนที่ไม่ได้ต้องการลงทุนบริษัทในระยะยาว           อย่างไรก็ตาม การขายหุ้นของ LEO ในครั้งนี้ ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการจัดการและนโยบายการดำเนินธุรกิจของ LEO แต่อย่างใด  อีกทั้ง บริษัทฯ มีจุดแข็งจากความสามารถในการปรับตัวตามแนวโน้มตลาดและความต้องการของผู้บริโภค และให้ความสำคัญกับกิจกรรมและบริการโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมของ LEO ภายใต้คอนเซ็ปต์ “LEO Go Green” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ LEO ในฐานะผู้นำด้านการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อย่างแท้จริง           “ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ LEO ผมยืนยันว่ายังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความมั่นคงของบริษัทฯ และที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของ LEO ได้รับการยอมรับในฐานะผู้ให้บริการขนส่งโลจิสติกส์ครบวงจรชั้นนำของเมืองไทย มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง การขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรชั้นนำช่วยเสริมสร้างรากฐานที่มั่นคง และแสดงถึงความพร้อมของบริษัทฯ ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว” นายเกตติวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย [PR News]

DEXON อเมริกาโชว์นวัตกรรมในงาน PPIM2025

DEXON อเมริกาโชว์นวัตกรรมในงาน PPIM2025

           บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ DEXON  ผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ให้บริการการตรวจสอบโครงสร้างทางวิศวกรรม และการตรวจสอบแบบไม่ทำลาย (NDT)   โดย Dexon Technology USA Inc. หรือ DEXUS ร่วมออกบูธในงาน 37th Pipeline Pigging & Integrity Management (PPIM2025) เป็นงานประชุมของบริษัทพลังงานชั้นนำภายในงานประกอบด้วยการอบรมและการออกบูธของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียมชั้นนำในอเมริกาเหนือ และทั่วโลก ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 28 – 30 มกราคม 2568 ณ เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา และสามารถเข้าเยี่ยมชมบูธ DEXON ได้ที่บูธหมายเลข 143            PPIM2025 ถือเป็นอีกหนึ่งงานที่สำคัญซึ่งจัดขึ้นปีละครั้ง และเป็นงานที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียม จัดที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็น 1 ในประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ในการจัดงานปี 2024 ที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 4,000 คน จาก 170 บริษัท และมีการนำเสนอข้อมูลทางเทคนิคมากกว่า 90 หัวข้อ ที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญและนวัตกรรมในวงการอุตสาหกรรมพลังงาน            และในปีนี้ DEXUS ได้รับเชิญเข้าร่วมนำเสนอข้อมูลและเทคโนโลยีการตรวจสอบท่อแบบไม่ทำลาย เช่น การแตกร้าวเนื่องจากการกัดกร่อน หรือ Stress corrosion cracking  , การวิเคราะห์ผลการตรวจสอบภายในระบบท่อ หรือ ILI Analysis  และ การตรวจสอบ และการจัดการรอยแตกขนาดเล็กภายในท่อ หรือ Crack assessment and management และภายในงานนี้จะได้พบกับ ผู้บริหารระดับสูง คุณสตูวิค สตาเล่ มาร์ติน ประธานคณะกรรมการบริหาร และ คุณไลล่า เคราแก้ว สตูวิค  ผู้จัดการทั่วไปของ DEXUS นอกจากนี้ยังมีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ พร้อมอุปกรณ์ตรวจสอบท่อโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงด้วยเทคนิคการตรวจสอบความสมบูรณ์ของท่อโดยคลื่นความถี่สูง ( Ultrasonic Testing In-Line Inspection / UT)            เด็กซ์ซอนคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากการออกบูธในครั้งนี้ และสร้างการรับรู้พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในอเมริกา และภูมิภาคใกล้เคียงเพิ่มมากขึ้น