หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท มิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) หรือ MGI แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัทมีรายได้รวมในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 314.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 108.46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 151.02 ล้านบาท
การเติบโตของรายได้ในไตรมาสนี้มาจากสามปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) การขยายตัวของธุรกิจในเชิงพาณิชย์ที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และ (2) การปรับเปลี่ยนกำหนดการจัดการประกวดมิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2025 ให้ว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 1 ของปี ส่งผลให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากกิจกรรมดังกล่าวได้เร็วกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งการประกวดฯ ในปี 2567 สิ้นสุดในไตรมาสที่ 2 (3) บริษัทฯ ได้รับสิทธิในการบริหารจัดการการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับศักยภาพทางธุรกิจของบริษัทฯ สิทธิดังกล่าวไม่เพียงแต่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ของบริษัทฯ ในอุตสาหกรรมความงามและบันเทิง แต่ยังส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของธุรกิจในทุกกลุ่มที่บริษัทฯ ดำเนินการอยู่ ทั้งด้านกิจกรรมประกวด การผลิตคอนเทนต์ การจัดอีเวนต์ การจำหน่ายสินค้า และการบริหารความร่วมมือทางธุรกิจ โดยเสริมสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้า เพิ่มรายได้
และบริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 91.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึงร้อยละ 330.33 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
การเติบโตของกำไรสุทธิดังกล่าวเป็นผลจากการขยายตัวของธุรกิจเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะกิจกรรมส่งเสริมการขายที่บริษัทฯ จัดขึ้นในช่วงการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2025 เพื่อเฟ้นหา Best Seller Award ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เข้าประกวดและมีผลโดยตรงต่ยอดขายของบริษัทฯ อย่างชัดเจน โดยในวันสุดท้ายของกิจกรรม ผู้เข้าประกวดที่ทำยอดขายสูงสุด ได้แก่ มิสแกรนด์ภูเก็ต มียอดขายถึง 6.16 ล้านบาท และอันดับสองคือ มิสแกรนด์ลำปาง มียอดขาย 3.32 ล้านบาท ภายในช่วงระยะเวลาแข่งขันในวันสุดท้าย
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการปรับกำหนดการจัดการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2025 ให่เสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 1 ซึ่งแตกต่างจากปีที่ผ่านมา ที่สิ้นสุดในไตรมาสที่ 2 ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากกิจกรรมดังกล่าวได้เร็วขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมของกำไรสุทธิในไตรมาสนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 บริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 28.98 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากร้อยละ 14.04 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตรากำไรสุทธิที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นผลจากการเติบโตของรายได้จากการขายสินค้าและบริการควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่สามารถควบคุมได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การขยายขนาดของธุรกิจ (business scale) ยังช่วยให้บริษัทฯ เกิดประสิทธิภาพในเชิงต้นทุน (economies of scale) โดยเมื่อรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายคงที่และค่าใช้จ่ายดำเนินงานบางส่วน ทำให้สัดส่วนต้นทุนต่อหน่วยลดลง และส่งผลเชิงบวกต่ออัตราการทำกำไรของบริษัทฯ อย่างชัดเจน
