หุ้นวิชั่น – บิ๊กบอส KJL “เกษมสันต์ สุจิวโรดม” ส่องธุรกิจปี 68 คาดรายได้โตสูงถึง 17% พลังงานโซล่าร์เซลล์โตสนั่น อีวี ดาต้าเซ็นเตอร์บูม จับตา TikTok ลงทุนไทยคาดหนุนยอดใช้ไฟฟ้าพุ่ง แถมดีมานด์อุปกรณ์ไฟฟ้าขายดี เล็งอัพกำลังผลิตเท่าตัว หรือ 40 ล้านชิ้นต่อปี พร้อมวางบลงทุน 400 ล้านบาท เพิ่มเครื่องจักรรองรับอุตสาหกรรมโต ฟากโบรกคาด KJL ผลตอบแทนสูง 4.9% แนะ “ซื้อ” เป้า 9.90 บาท
นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ผู้ผลิตและจำหน่ายตู้ไฟสวิทช์บอร์ด รางเดินสายไฟ และอุปกรณ์เดินสายไฟทุกชนิด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในงานโครงสร้างพื้นฐานและจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและการเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มธุรกิจในปี 2568 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา โดยคาดว่าการเติบโตจะอยู่ที่ระดับ 10-15% และอาจสูงถึง 17% ในปี 2568 จากการขยายกำลังการผลิต การออกสินค้าใหม่ และการขยายตลาด
ทั้งนี้ การเติบโตของ KJL ยังได้รับแรงหนุนจากเมกะเทรนด์การใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เช่น การใช้พลังงานสะอาดจากโซลาร์เซลล์ (โซล่าร์ฟาร์ม, โซล่าร์รูฟ) และการใช้พลังงานในยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) รวมถึงการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์และเทคโนโลยี AI ซึ่งส่งผลให้ความต้องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นสอดคล้องกับการเติบโตของตลาดไฟฟ้าในภาพรวม
ขณะเดียวกัน โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ซึ่งมีแผนลงทุนติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ในศูนย์ข้อมูล (Data Center) คาดว่าจะส่งผลให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ความต้องการตู้ไฟและสินค้าของ KJL เติบโตตามไปด้วย
บริษัท KJL มองว่าแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มพลังงานสะอาด ทั้งโซล่าร์ฟาร์มและโซล่าร์รูฟ จะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยสอดคล้องกับการขยายตัวของธุรกิจ และคาดว่าจะมีการเติบโตในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แม้จะเติบโตไม่มากในปัจจุบัน แต่คาดว่าในอนาคตจะมีการเติบโตสูงในช่วง 3-4 ปีตามเทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับ KJL บริษัทเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2565 โดยมีกำลังการผลิต 20 ล้านชิ้นต่อปี และในปี 2566 ขยับขึ้นเป็น 30 ล้านชิ้นต่อปี ขณะที่ปี 2567 บริษัทมีการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 33 ล้านชิ้นต่อปี และคาดว่าในปี 2568 จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 40 ล้านชิ้นต่อปี หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี 2565 เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมและการออกสินค้าใหม่ของบริษัท นอกจากนี้ KJL ยังมุ่งมั่นที่จะควบคุมประสิทธิภาพการผลิตและรักษาอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization) ให้อยู่ที่ 70-80%
KJL วางแผนงบลงทุนในปี 3 ปี (2568-2570) ที่ประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมการขยายเครื่องจักรและการสร้างอาคารใหม่ ส่วนงบบริษัทจะลงทุนจริงในปี 2568 คาดจะใช้ประมาณ 150 ล้านบาทจากงบลงทุนทั้งหมด 400 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตและขยายกำลังการผลิตในระยะยาว
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง KJL ว่า คาดว่าในไตรมาส 4 ของปี 2024 (4Q24) บริษัทจะเติบโตทั้งในแง่ QoQ และ YoY โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 50 ล้านบาท (+15.5% QoQ, +63.1% YoY) ส่วนรายได้คาดว่าจะอยู่ที่ 306 ล้านบาท (+5.0% QoQ, +11.4% YoY) ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม นอกจากนี้ สินค้าในกลุ่ม Solar ทั้งในกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจเติบโตดี รวมถึงผลจากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่รายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น จะส่งผลให้ GPM เพิ่มขึ้นเป็น 32.0% จาก 30.3% ใน 3Q24 และ 30.7% ใน 4Q23 ส่วน SG&A คาดว่าจะอยู่ที่ 39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3.7% QoQ ตามปกติของไตรมาส 4 แต่ลดลง 12.6% YoY เนื่องจากไม่มีการจัดงานสัมมนาใหญ่เหมือนใน 4Q23
หากกำไรสุทธิใน 4Q24 ใกล้เคียงกับที่คาด จะส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปี 2024 อยู่ที่ 178 ล้านบาท ซึ่งดีกว่าคาดการณ์เดิม 2% สำหรับ 1Q25 โมเมนตัมยังคงดี โดยงบประมาณภาครัฐยังคงเบิกใช้ตามแผน ส่งผลให้ภาพรวมงานโครงการภาครัฐมีความต้องการเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน KJL ยังได้รับผลประโยชน์จากความต้องการสินค้าในกลุ่ม Solar ที่สูงขึ้น และการขยายเครือข่ายของช่างไฟที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับการออกสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการในทุกรูปแบบ คาดว่าผลประกอบการในช่วงต้นปี 2025 จะเติบโตต่อเนื่องทั้ง QoQ และ YoY ทำให้ GPM ยังคงทรงตัวสูงตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูง และราคาเหล็กที่ยังทรงตัว
บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 ที่ 1,400 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการของเรา แต่ตั้งเป้า GPM ที่ 30% ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 28% ทำให้แนวโน้มกำไรปี 2025 มีโอกาสทำได้เท่ากับหรือดีกว่าคาดได้ โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่แพงและมีการจ่ายปันผลสูง ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า KJL สามารถจ่ายเงินปันผลในช่วงครึ่งปีหลัง 2024 (2H24) ได้ไม่น้อยกว่า 0.33 บาท ซึ่งให้ผลตอบแทน 4.9% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER 2025 เพียง 8.2 เท่า
อย่างไรก็ตาม ปรับ PER ในการประเมินมูลค่าลงตามสภาพคล่องในตลาดที่ลดลง ทำให้หุ้นขนาดเล็กถูกซื้อขายด้วย PER ที่ต่ำลง โดยปรับจาก 14.5 เท่า เป็น 12.0 เท่า ซึ่งทำให้ราคาเป้าหมายใหม่ของบริษัทในสิ้นปี 2025 อยู่ที่ 9.90 บาท มี Upside ที่ 47.8% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision