หุ้น SET


GPSC ปี 67 กำไรสุทธิโต 10% แตะ 4 พันลบ.

GPSC ปี 67 กำไรสุทธิโต 10% แตะ 4 พันลบ.

       หุ้นวิชั่น - บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) เปิดเผยผลประกอบการสำหรับปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 90,730 ล้านบาท ลดลง 349 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 91,079 ล้านบาท ในส่วนของค่าใช้จ่าย มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 88,106 ล้านบาท (รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน) มีรายได้จากการดำเนินงานอื่น รายได้อื่น เงินปันผลและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า จำนวน 2,147 ล้านบาท        ทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในปี 2567 จำนวน 4,062 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.44 บาท เพิ่มขึ้น 368 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 3,694 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 288,136 ล้านบาท และมีหนี้สินรวม 129,992 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 119,142 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.87 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายทางการเงินของบริษัท

RT คว้างานแขวงทางหลวงเชียงใหม่-ภูเก็ต รวม 38.35 ล้านบาท

RT คว้างานแขวงทางหลวงเชียงใหม่-ภูเก็ต รวม 38.35 ล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน RT แจ้งคว้างานใหม่รวม 38,356,000 ล้านบาท จาก งานก่อสร้างงาน Earth Work - Slope Protection แขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 2 และ แขวงทางหลวงภูเก็ต กรมทางหลวง           นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัท ไรท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) มีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า บริษัทได้รับงานโครงการใหม่ดังนี้ 1. งานก่อสร้างงาน Earth Work - Slope Protection ทางหลวงหมายเลข 1252 ตอน ปางแฟน-แม่ตอนหลวง ตอน 5 ระหว่าง กม.19+200 - กม.19+290 ขวาทาง เจ้าของโครงการ: แขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 2 กรมทางหลวง ผู้ว่าจ้าง: แขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 2 กรมทางหลวง มูลค่าโครงการ: 14,919,000.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สถานะโครงการ: ลงนามสัญญาก่อสร้างแล้วเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ระยะเวลาสัญญา: 7 กุมภาพันธ์ - 6 กรกฎาคม 2568 2. งานก่อสร้างงาน Earth Work - Slope Protection ทางหลวงหมายเลข 4028 ตอน ห้าแยกฉลอง-กะรน ตอน 1 ที่ กม.2+750 ซ้ายทาง เจ้าของโครงการ: แขวงทางหลวงภูเก็ต กรมทางหลวง ผู้ว่าจ้าง: แขวงทางหลวงภูเก็ต กรมทางหลวง มูลค่าโครงการ: 23,437,000.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สถานะโครงการ: ลงนามสัญญาก่อสร้างแล้วเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 ระยะเวลาสัญญา: 8 กุมภาพันธ์ - 6 สิงหาคม 2568

TASCO เผยยอดขายยางมะตอยรวมปี 67 ทะลุ 1.1 ล้านตัน

TASCO เผยยอดขายยางมะตอยรวมปี 67 ทะลุ 1.1 ล้านตัน

         หุ้นวิชั่น - นายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางมะตอย เพื่อใช้ในงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงทาง เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯประจำปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 28,220 ล้านบาท  และกำไรสุทธิ 1,417 ล้านบาท กำไรที่ลดลงส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของราคาขายและอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจยางมะตอยในประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากการอนุมัติงบประมาณล่าช้า โดยยอดขายยางมะตอยรวมปี 2567 อยู่ที่ 1.1 ล้านตัน          สำหรับไตรมาส 4 บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,824 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 576 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 6,916 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 232 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากความต้องการยางมะตอยภายในประเทศไทยที่ต่อเนื่องจากไตรมาส 3          สำหรับธุรกิจก่อสร้างนั้น มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,167 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 38.11 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 3 สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งอยู่ในช่วงท้ายของโครงการ อย่างไรก็ตามบริษัทฯสามารถส่งมอบงานโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 3 นี้ให้กับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) แล้วบางส่วนในเดือนพฤศจิกายน 2567          จากการที่รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณปี 2568 เมื่อปลายไตรมาส 3 บริษัทฯ คาดว่าความต้องการยางมะตอยจะกลับมาเป็นปรกติในปี 2568 ซึ่งจะเห็นได้จากความต้องการยางมะตอยในประเทศที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2568

PTTGC ไตรมาส 4/67 ขาดทุน1.1 หมื่นล.

PTTGC ไตรมาส 4/67 ขาดทุน1.1 หมื่นล.

                  หุ้นวิชั่น - PTTGC เผยไตรมาส 4/67 ขาดทุนสุทธิรวม 11,738 ล้านบาท ส่วนทั้งปีขาดทุน 29,811 ล้านบาท รายได้ปี 2567 ที่ 604,045 ล้านบาท พร้อมกลยุทธ์ Portfolio Transformation เตรียมงบลงทุน 840 ล้านเหรียญฯ (2568-2572) มุ่งขยายธุรกิจเคมีภัณฑ์และพลังงานใหม่คาดเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ดันความต้องการผลิตภัณฑ์เพิ่ม หนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.50บาทต่อหุ้น กำหนด วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 03 มี.ค. 2568 และ กำหนดวันที่จ่ายปันผล วันที่ 24 เม.ย. 2568           นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/2567ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 132,372 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 จากไตรมาส 3/2567 และ ลดลงร้อยละ 18 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจาก กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นที่ปรับตัวลดลง จากราคาผลิตภัณฑ์ของ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปที่ปรับลดลง สอดคล้องกับราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบโลกที่ปรับลง และ กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ราคาปรับตัวลดลงในไตรมาสนี้เป็นสำคัญ           นอกจากนี้ สถานการณ์ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงมีความท้าทายจากปัจจัยกดดันทาง เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าจะมีการประกาศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีน ผลประกอบการทางการเงิน           ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 2,663 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 68 โดยมีปัจจัยหลักจาก ธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังคงอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลต่ออุปสงค์ปลายทางของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี การเริ่มดำเนินการของกำลังการผลิตใหม่ในตลาด โดยเฉพาะจากประเทศจีน ส่งผลให้ราคาขายเม็ดพลาสติก โพลิเอทิลีนเฉลี่ยปรับตัวลดลง ส่วนต่างราคากลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวลดลง           สำหรับ ธุรกิจโรงกลั่น มี ค่าการกลั่น (GRM) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดย GRM ในไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 3.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษปรับลดลง เนื่องจากผลกระทบจาก กลุ่มบริษัท Vencorex การปรับลดตามฤดูกาลของธุรกิจอื่นๆ ในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาว โดยเฉพาะใน ทวีปยุโรปและอเมริกา ส่งผลให้ปริมาณการขายของ บริษัท allnex ปรับลดลง ผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบ           ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ รับรู้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับราคาสัญญาซื้อวัตถุดิบอีเทน จาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ย้อนหลังตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้น รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ • ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และกลับรายการการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV Reversal) รวมเป็นกำไร 941 ล้านบาท • กำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงด้านราคา 253 ล้านบาท • ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิและผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน รวมเป็นขาดทุน 1,033 ล้านบาท • รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในไตรมาสนี้ จำนวน 725 ล้านบาท โดย ผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนในธุรกิจปิโตรเคมียังคงอ่อนตัว โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโพลิโพรพิลีนเป็นหลัก กลยุทธ์การบริหารจัดการ Portfolio และผลกระทบทางการเงิน           ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ดำเนินยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ Portfolio เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ (Portfolio Transformation) แต่ต้องเผชิญความท้าทายจาก • สภาวะการแข่งขันอุตสาหกรรมที่รุนแรง • การปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัท Vencorex และบริษัท พีทีที อาซาฮี เคมิคอล จำกัด (PTTAC) บริษัทฯ ได้รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ไปในไตรมาส 3 ปี 2567 โดยใน ไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทฯ รับรู้ประมาณการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ซึ่งประกอบด้วย: • ประมาณการหนี้สินของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในอนาคตของกลุ่มบริษัท Vencorex จำนวน 1,455 ล้านบาท • ประมาณการหนี้สินของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในอนาคตของ PTTAC จำนวน 2,836 ล้านบาท ผลขาดทุนสุทธิ           เมื่อรวมปัจจัยทั้งหมดแล้ว บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 11,738 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2567           ผลประกอบการในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 604,045 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 2 โดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก รายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นที่ปรับตัวลดลง จากราคาผลิตภัณฑ์ของ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูป และ กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ลดลง แม้ว่าปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง เนื่องจากในปี 2566 มี การหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงโมโนเอทิลีนไกลคอลในช่วงครึ่งปีแรก และโรงงานฟีนอลหน่วยที่ 2           โดยภาพรวมในปี 2567 บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 31,766 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 17 จากปีก่อนหน้า เนื่องจากผลประกอบการของ กลุ่มผลิตภัณฑ์โรงกลั่นที่อ่อนตัวลงตาม GRM โดย ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบปรับลดลง เป็นหลัก และผลประกอบการของ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงได้รับแรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ทำให้อุปสงค์ยังคงชะลอตัวและอุปทานของภาคปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นในระหว่างปี นอกจากนี้ บริษัทฯ รับรู้ รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่           ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV) รวม 2,457 ล้านบาท กำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวม 383 ล้านบาท           ผลขาดทุนจากเงินลงทุนที่รับรู้ในปีนี้จำนวน 1,462 ล้านบาท โดยขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า เนื่องจาก ผลประกอบการของธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลง โดยเฉพาะธุรกิจโพลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) ซึ่งได้รับผลกระทบจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PVC ที่ลดลงเป็นหลัก กลยุทธ์และการปรับโครงสร้างธุรกิจ           ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินแนวทางตาม ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ Portfolio ของธุรกิจให้เข้มแข็ง (Portfolio Transformation) เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว โดยได้ปรับโครงสร้างธุรกิจของ 2 บริษัทหลัก ได้แก่ 1️กลุ่มบริษัท Vencorex – ผู้ผลิต HDI และ HDI Derivatives ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 100 2️ PTTAC – บริษัทในกลุ่มธุรกิจอะคริโลไนไตรล์และเมทิลเมทาคริเลต ซึ่งเป็นบริษัทร่วมค้าที่ยังถือหุ้นร้อยละ 50 • เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 Vencorex France และ Vencorex TDI ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เพื่อขอเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจในชั้นศาลตามกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส • เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 ศาลแพ่งได้มีคำสั่งรับคำร้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเบื้องต้น ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3-4 เดือน • เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ศาลมีคำสั่งขยายระยะเวลาของกระบวนการดังกล่าวไปจนถึงเดือนมีนาคม 2568 • บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของกลุ่มบริษัท Vencorex และประมาณการหนี้สินสำหรับกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจ รวม 10,028 ล้านบาท ปัจจุบัน Vencorex มีความคืบหน้าในการสรรหาผู้ซื้อสินทรัพย์ในฝรั่งเศส ไทย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 • เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ PTTAC มีมติอนุมัติแผนยุติการดำเนินกิจการ ทำให้บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนตามวิธีส่วนได้ส่วนเสียจาก PTTAC รวม 11,773 ล้านบาท ผลกระทบทางการเงิน           เมื่อรวมปัจจัยทั้งหมด บริษัทฯ รายงาน ขาดทุนสุทธิรวม 29,811 ล้านบาท (-6.62 บาท/หุ้น) ในปี 2567 พิจารณาจาก Adjusted EBITDA ในปี 2567 กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น มีผลประกอบการลดลงจาก ผลกระทบของ GRM ที่ลดลงมากกว่าครึ่ง จาก 9.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2566 เป็น 4.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2567 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจาก ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบที่ลดลง กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ทรงตัว           ผลประกอบการโรงโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อนหน้า ตามทิศทางของ ส่วนต่างผลิตภัณฑ์เอทิลีนและแนฟทาที่เพิ่มขึ้น ในปี 2567 บริษัทฯ มี การหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น ได้แก่โรงงานโอเลฟินส์หน่วยที่ 2/2 ในไตรมาส 1 และไตรมาส 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ           กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง มีผลประกอบการดีขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างมาก เนื่องจาก ปริมาณขายรวมที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก หลังจากปี 2566 มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของ โรงโมโนเอทิลีนไกลคอลในช่วงครึ่งปีแรก และโรงฟีนอลหน่วยที่ 2           กลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ มีผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกอ่อนตัวลง แม้ว่าราคาเฉลี่ยของ เม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีน (PE) จะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 และ ปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2           กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน มีผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณขายของผลิตภัณฑ์เมทิลเอสเทอร์ลดลงร้อยละ 10 โดยภาครัฐมีการปรับนโยบายลด ส่วนผสมไบโอดีเซลจาก B7 เป็น B5 ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป           กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ มีผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจาก Vencorex ได้รับแรงกดดันจากราคาผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันสูง รวมถึงอุปสงค์ของลูกค้าที่ชะลอตัวลง ขณะที่ allnex มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อนหน้า จากปริมาณขายที่เติบโตใน ภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก           แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2568 แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตในระดับคงที่ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตในระดับร้อยละ 3.2 เช่นเดียวกับในปี 2567 (IMF ตุลาคม 2567) โดยมีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัว มีปัจจัยสนับสนุนจากการลดลงของเงินเฟ้อ การฟื้นตัวของภาคการผลิตและการขนส่งในบางภูมิภาค รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากหลายประเทศทั่วโลก ทำให้การบริโภคและการลงทุนฟื้นตัวได้ดีขึ้น ช่วยลดแรงกดดันต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง           อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์หลังเข้ารับตำแหน่งที่อาจส่งผลต่อนโยบายกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและสร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจโดยรวม กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น           บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2568 อยู่ที่เฉลี่ย 73-78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยความต้องการน้ำมันดิบจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากปี 2567 เนื่องจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น           อย่างไรก็ตาม นโยบายการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกและการใช้พลังงานหมุนเวียนในหลายประเทศยังเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบ ด้านอุปทานน้ำมันดิบกลุ่มโอเปกพลัสเพื่อรักษาสมดุลของตลาด ในขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันดิบที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากประเทศนอกกลุ่มโอเปก เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล และกายอานา จะช่วยลดความตึงตัวของอุปทานในตลาดลง           สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของโรงกลั่น บริษัทฯ คาดว่าสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ในปี 2568 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปี 2567 เนื่องจากอุปทานผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตโรงกลั่นใหม่ในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีนและอินเดีย ด้านอุปสงค์คาดการณ์ว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีนจะช่วยสนับสนุนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น           บริษัทฯ คาดการณ์ว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล (10 ppm) กับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 14-17 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (Low Sulfur Fuel Oil: LSFO) กับน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 9-12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันแก๊สโซลีนกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 11-15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล           ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการยังคงบริหารจัดการรูปแบบการผลิต และสัญญาขายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการการจัดหาน้ำมันดิบในการผลิตและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ให้มีความเหมาะสม โดยบริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 91 กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง           แนวโน้มสถานการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์ฟีนอลในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอล (P2F) จะอยู่ที่ 230-250 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ใกล้เคียงกับปี 2567 อุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ฟีนอล อะซิโทน และบิสฟีนอลเอ ยังคงมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว และจะค่อยๆ มีทิศทางดีขึ้น ในส่วนของอุปทานกำลังการผลิตใหม่ในประเทศจีนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีผู้ผลิตบิสฟีนอลเอในญี่ปุ่นประกาศปิดกิจการไป           สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดของผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) บริษัทฯ คาดว่าราคา MEG จะอยู่ที่ 510-540 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน คาดว่าจะยังคงมีปัจจัยกดดัน ทั้งจากทางด้านอุปสงค์ที่ยังคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ อีกทั้งยังมีหน่วยการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นในปี 2568 ซึ่งยังเป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคา กลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์           แนวโน้มสถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะเฉลี่ยอยู่ที่ 980 – 1,010 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2567 คาดการณ์ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์จะฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นำโดยประเทศกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา และจีน           อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีความผันผวนและถูกกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในประเทศจีน ด้านอุปสงค์คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโพลิเอทิลีนในปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 107 กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ           คาดการณ์ว่าความต้องการของผลิตภัณฑ์กลุ่มสารเคลือบผิวอุตสาหกรรม (Coating Resin) มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2567 จากการเติบโตของความต้องการของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะยังคงสูงกว่าการเติบโตของ GDP โดยรวม เนื่องจากสัญญาณบวกของการฟื้นตัวในอุตสาหกรรมปลายทาง เช่น กลุ่มยานยนต์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่าจะเห็นการแข่งขันด้านราคามากขึ้น โดยเฉพาะจากกำลังการผลิตใหม่           ประมาณการงบลงทุนในช่วง 5 ปี (2568-2572) ของกลุ่มบริษัท จำนวนรวม 840 ล้านเหรียญฯ แบ่งเป็น 1.งบลงทุนของบริษัทฯ และบริษัทย่อย (ไม่รวม allnex)   ที่ 183 ล้านเหรียญฯ  ประกอบด้วยปี 2568  จำนวน 163  ล้านเหรียญฯ, ปี 2569 จำนวน 20 ล้านเหรียญฯ 2.งบลงทุนบริษัท Allnex  จำนวนรวม 657 ล้านเหรียญฯ  ประกอบด้วย ปี 2568 จำนวน 126 ล้านเหรียญฯ, ปี 2569 จำนวน 141 ล้านเหรียญฯ, ปี 2570 จำนวน 160 ล้านเหรียญฯ, ปี 2571 จำนวน 138 ล้านเหรียญฯ  และปี 2572 จำนวน 92 ล้านเหรียญฯ           ทั้งนี้ยังงบลงทุนที่ยังไม่ได้นับรวม ได้แก่ งบซ่อมบำรุงประจำปีประมาณ 400 ล้านเหรียญฯ (รวมบริษัท allnex Holding GmbH) , งบลงทุน เช่น โครงการเกี่ยวกับไอที & ดิจิทัล, โครงการปรับปรุงอาคารสำนักงาน, โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต เป็นต้น, งบลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจของ Allnex รวมถึงโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วและโครงการลงทุนที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาแต่ไม่รวมโครงการ M&A ขนาดใหญ่ และสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเหรียญสหรัฐต่อสกุลยูโรอยู่ที่ 1.12 สำหรับงบลงทุนของบริษัท allnex

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

SET ฟื้น หลังปิดตลาดภาคบ่าย หลายกลุ่มอุตสาหกรรมหนุน

SET ฟื้น หลังปิดตลาดภาคบ่าย หลายกลุ่มอุตสาหกรรมหนุน

         หุ้นวิชั่น - ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 1,256.48 จุด ลดลง 15.62 จุด หรือ 1.23% จากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยดัชนีปรับฟื้นขึ้นในการซื้อขายภาคบ่าย เนื่องจากราคาหลักทรัพย์ปรับสูงขึ้นกระจายในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มทรัพยากร เป็นต้น โดยหากไม่รวมการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ DELTA และ AOT ดัชนี SET Index ปรับบวกกว่า 15 จุด ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค          ทั้งนี้ ในช่วงเปิดตลาดภาคเช้าวันนี้ ดัชนี SET Index ปรับลดลง 2.5% สาเหตุหลักมาจากการปรับลงของราคาหลักทรัพย์ DELTA ที่ลดลงหลังข่าวผลประกอบการที่ลดลงต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และการปรับลดลงของหลักทรัพย์ AOT เนื่องจากข่าวสัญญาสัมปทาน อย่างไรก็ตามบริษัทได้ชี้แจงเพิ่มเติมมาแล้วเช้าวันนี้          ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ วิเคราะห์รอบด้าน และใช้วิจารณญาณในการพิจารณาซื้อขายให้เหมาะสมกับสถานการณ์

TASCO กำไรปี67 ลดลงเหลือ1,417ล. ยอดยางมะตอยชะลอตัว

TASCO กำไรปี67 ลดลงเหลือ1,417ล. ยอดยางมะตอยชะลอตัว

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน TASCO ประกาศงบปี 67 กำไรลดลงเหลือ 1,417 ล้านบาท จากปี 66 ที่ 2,306 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมที่ 28,220 ล้านบาท เผยเหตุยอดลดเกิดจากความล่าช้างบประมาณภาครัฐในการสร้างและซ่อมบำรุงถนน           นายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ขอรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ประจำปี 2567 ตามงบการเงินรวมที่ได้รับการตรวจสอบแล้วสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ภาพรวมธุรกิจ           ความต้องการยางมะตอยในตลาดประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัทฯ ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3 หลังจากที่รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณปี 2567 ในปลายเดือนเมษายน ซึ่งล่าช้าไป 7 เดือนจากกรอบการอนุมัติเบิกจ่ายปกติ ความต้องการตลาดยางมะตอยในภูมิภาคปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในบางประเทศหลัก เช่น อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ อย่างไรก็ตาม ราคายางมะตอยอ้างอิงภูมิภาคเฉลี่ยลดลงร้อยละ 9.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การลดลงของราคานี้เกิดจากความล่าช้าในงบประมาณภาครัฐในการสร้างและซ่อมบำรุงถนนในหลายประเทศหลัก รวมถึงการเพิ่มขึ้นของปริมาณการนำเข้ายางมะตอยราคาถูกจากภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นจำนวนมาก ผลการดำเนินงานไตรมาส 4           สำหรับไตรมาส 4 บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,824 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 576 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 6,916 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 232 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากความต้องการยางมะตอยภายในประเทศไทยที่ยังคงต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ผลการดำเนินงานประจำปี 2567           สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 28,220 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,417 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 31,352 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่จำนวน 2,306 ล้านบาท กำไรที่ลดลงส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของราคาขายและอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจยางมะตอยในประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากการอนุมัติงบประมาณล่าช้า ธุรกิจยางมะตอย           รายได้จากการขายและบริการ มีจำนวน 25,797 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.55 เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุมาจากปริมาณการขายที่ลดลงของตลาดต่างประเทศ โดยกลุ่มบริษัทฯ ยังคงใช้กลยุทธ์การขายแบบเลือกตลาดที่ให้กำไรสูง อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายในตลาดในประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการยางมะตอยที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 จากการอนุมัติงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้าของรัฐบาล           ต้นทุนขายและบริการ มีจำนวน 22,743 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 88.16 (ร้อยละ 85.96 ในปี 2566) ของรายได้จากการขายและบริการ ต้นทุนขายดังกล่าวเป็นยอดที่ไม่ได้รวมผลกระทบจากการกลับรายการสำรองค่าความเสี่ยงในมูลค่าของสินค้าคงเหลือและกำไรจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากราคาสินค้า อัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนเนื่องมาจากความต้องการยางมะตอยที่ลดลงในตลาดในประเทศในช่วงครึ่งปีแรก และราคายางมะตอยในประเทศลดลงอย่างเป็นสำคัญในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ บางประเทศในภูมิภาคได้รับผลกระทบจากการนำเข้ายางมะตอยจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้บริษัทย่อยในต่างประเทศที่เป็นตลาดหลักเผชิญกับการแข่งขันของสินค้าราคาถูก ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกาการกลับรายการสำรองค่าความเสี่ยงในมูลค่าของสินค้าคงเหลือจำนวน 13 ล้านบาท และมีกำไรจากการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากราคาสินค้าจำนวน 23 ล้านบาทในปี 2567 ธุรกิจก่อสร้าง           รายได้จากธุรกิจก่อสร้าง มีจำนวน 2,167 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 38.11 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 3 สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งอยู่ในช่วงท้ายของโครงการ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถส่งมอบงานโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 3 นี้ให้กับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) แล้วบางส่วนในเดือนพฤศจิกายน 2567           ต้นทุนของธุรกิจก่อสร้าง มีจำนวน 2,121 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 97.88 ของรายได้จากธุรกิจก่อสร้าง เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 95.38 ในปี 2566 กำไรขั้นต้นที่ลดลงเนื่องมาจากปริมาณงานที่ลดลงในขณะที่มีต้นทุนคงที่บางส่วน

ก.ล.ต. ปรับปรุงเกณฑ์เพื่อให้การจัดประเภทผู้ลงทุนในการติดต่อและรับบริการมีความชัดเจนขึ้น

ก.ล.ต. ปรับปรุงเกณฑ์เพื่อให้การจัดประเภทผู้ลงทุนในการติดต่อและรับบริการมีความชัดเจนขึ้น

           หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อให้นิยามผู้ลงทุนด้านการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (สัญญาฯ) สอดคล้องกันและสามารถให้บริการและปฏิบัติต่อผู้ลงทุนแต่ละประเภทได้เหมาะสมยิ่งขึ้น            ตามที่ ก.ล.ต. มีแนวคิดในการปรับปรุงนิยามผู้ลงทุน เพื่อลดภาระของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาฯ (ผู้ประกอบธุรกิจ) ในการจัดประเภทและให้บริการผู้ลงทุนด้วยนิยามผู้ลงทุนที่แตกต่างกันในหลักเกณฑ์บางเรื่อง และสามารถให้บริการและปฏิบัติต่อผู้ลงทุนแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้ร่วมแสดงความเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว ก.ล.ต. จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (1) กรณีการประกอบธุรกิจในภาพรวม: ปรับปรุงนิยามผู้ลงทุนสถาบันให้เป็นนิติบุคคลเท่านั้นเนื่องจากเป็นผู้ลงทุนที่สามารถดูแลตัวเองได้อย่างแท้จริง เพื่อให้สอดคล้องกันทั้งด้านการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาฯ รวมทั้งการให้บริการผลิตภัณฑ์ในประเทศและผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ (2) กรณีการให้บริการพาลูกค้าไปลงทุนในผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ: ปรับปรุงให้ใช้นิยามผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth: UHNW) เพื่อให้สอดคล้องกับนิยามผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษในหลักเกณฑ์เรื่องอื่น ๆ แทนการใช้นิยาม Qualified Investor (QI) ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งปัจจุบัน ธปท. ยกเลิกนิยามดังกล่าวแล้ว            นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์กรณีพาผู้ลงทุนทั่วไปไปลงทุนในผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศที่มีการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขายสัญญาฯ (ศูนย์ซื้อขาย) โดยศูนย์ซื้อขายดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับดูแลที่เป็นสมาชิกของ IOSCO ซึ่งเป็นพหุภาคีประเภท Signatory A ใน Multilateral Memorandum of Understanding Concerning Consultation and Cooperation and the Exchange of Information (MMOU) (IOSCO MMOU) หรือเป็นศูนย์ซื้อขายที่เป็นสมาชิกของ World Federation of Exchanges (WFE)            เมื่อหลักเกณฑ์ใหม่มีผลใช้บังคับ ผู้ประกอบธุรกิจต้องจัดประเภทผู้ลงทุนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ใหม่เมื่อถึงรอบการทบทวนการทำความรู้จักลูกค้า (Know Your Client: KYC) ครั้งถัดไปของผู้ลงทุน หรือเมื่อผู้ลงทุนประสงค์จะซื้อหลักทรัพย์หรือสัญญาฯ เพิ่มเติม            ทั้งนี้ ประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว* มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป หมายเหตุ: * ประกาศที่เกี่ยวข้องจำนวน 3 ฉบับ ดังนี้ (1) ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 7/2568 เรื่อง มาตรฐานการประกอบธุรกิจ โครงสร้าง การบริหารงาน ระบบงาน และการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 19) ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 (https://publish.sec.or.th/nrs/10630p_r.pdf) (2) ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ. 8/2568 เรื่อง การให้บริการแก่ลูกค้าในการลงทุนในผลิตภัณฑ์ ในตลาดทุนที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ (ฉบับที่ 6) ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 (https://publish.sec.or.th/nrs/10632p_r.pdf) (3) ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 2/2568 เรื่อง หลักเกณฑ์ ในรายละเอียดเกี่ยวกับการติดต่อและให้บริการลูกค้าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ 15) ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 (https://publish.sec.or.th/nrs/10633p_r.pdf)

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

MINT รายได้โต 6-8% ศึกษาตั้งกองรีท

MINT รายได้โต 6-8% ศึกษาตั้งกองรีท

          หุ้นวิชั่น - MINT เดินหน้ากลยุทธ์ Asset-light Model ขยายธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารทั่วโลก ตั้งเป้าเพิ่มพอร์ตโรงแรมเป็น 1,000 แห่งในปี 2572 จาก 562 แห่งในปี 2567 พร้อมขยายร้านอาหารเป็น 4,500 สาขา ตั้งงบลงทุนปีละ 10,000-12,000 ล้านบาท ศึกษาตั้งกอง REITs มูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 เร่งเพิ่มมูลค่าหุ้นให้สะท้อนศักยภาพธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่อง           นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตในช่วง 3 ปี (2568-2570) - อัตราการเติบโตของรายได้ต่อปี (CAGR) ที่ 6-8% (High Single Digit) - การเติบโตของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่ 15-20% - อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมากกว่า 12% - อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net IBD to Equity) ต่ำกว่า 0.75 เท่า จากปีก่อนอยู่ที่ 0.8 เท่า - อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (Net IBD to EBITDA) ลดลงเป็น 4 เท่า จากปีก่อนอยู่ที่ 4.3 เท่า           ทั้งนี้การเติบโตดังกล่าวมาจากการขยายธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร ภายใต้โมเดลธุรกิจที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light Model) หรือเป็นการเข้ารับบริหารโรงแรมให้กับเจ้าของโรงแรมเป็นหลัก หรือการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ โดยธุรกิจโรงแรม ในช่วง 3 ปีจากนี้ บริษัทจะเพิ่มพอร์ตโรแรมเป็น 850 โรงแรม และในปี 2572 จะมีพอร์ตโรงแรมภายใต้การบริหารเพิ่มเป็นมากกว่า 1,000 โรงแรม จากสิ้นปี 2567 ที่มีจำนวน 562 โรงแรม ผ่านการขยายไปในประเทศเป้าหมาย ได้แก่ อเมริกา แมกซิโก แอฟริกา เติร์ก โปรตุเกส ตะวันออกกลาง อย่าง ซาอุดิอาระเบีย บาร์เรน การ์ต้า โอมาน อินเดีย ตลอดจนญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เป็นต้น สำหรับในปี 2568 จะมีโรงแรมใหม่เปิดให้บริการจำนวน 54 โรงแรม ซึ่ง 80% เป็นโรงแรมภายใต้โมเดล Asset-light (รับจ้างบริหาร) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน MINT มีสัญญารับบริหารโรงแรมในมือมากกว่า 100 โรงแรม ส่วนธุรกิจร้านอาหาร ในช่วง 3 ปีจากนี้ บริษัทจะเพิ่มขยายสาขาร้านอาหารเป็น 4,000 สาขา และในปี 2572 จะเพิ่มเป็น 4,500 สาขา จาก ณ สิ้นปี 2567 ที่มีจำนวน 2,699 สาขา โดยจะเป็นการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ ซึ่งในปี 2568 นี้ จะเริ่มมีแฟรนไซส์ร้านอย่าง บอนชอน และกาก้า           นายดิลิป มองการท่องเที่ยวในประเทศไทยยังมีการเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากยังเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากการส่งเสริมของภาครัฐ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ก็เป็นปัจจัยหนุนให้นักท่องเที่ยวสหรัฐเดินทางไปทั่วโลก รวมถึงยังได้รับอานิสงส์จากการถ่ายทำซีรีย์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจากในช่วงต้นปีนี้ โรงแรมในสมุย และภูเก็ต ของบริษัททั้ง 4 แห่ง ได้รับอานิสงส์บวกแล้ว โดยอัตราค่าห้องพัก (ADR) ได้ปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่า 40%           ด้านธุรกิจร้านอาหาร มองว่ายังมีการเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ที่มียอดขายต่อสาขา (SSSG) โต 8% โดยรายได้หลักยังมาจากในไทยมากถึง 60%           บริษัทฯ วางงบลงทุนในช่วง 3 ปี ไว้ที่ 10,000-12,000 ล้านบาทต่อปี โดยปีนี้จะใช้ราว 11,000 ล้านบาท รองรับการ Repositioning และการรีแบรนด์ (Rebrand) เพื่อเพิ่มอัตราค่าห้องพักต่อคืนต่อห้อง (Room rent)           นอกจากนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ในประเทศไทย หรือสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ Asset-light Model ที่จะลดการใช้เงินลงทุนในการขยายธุรกิจ โดยคาดว่าจะได้เห็นการจัดตั้งกอง REITs ได้ภายในปี 2568 ซึ่งจะมีขนาดประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดให้บริษัทได้ประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ           นายดิลิป กล่าวว่า ด้านราคาหุ้น MINT ปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และสวนทางกับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทคาดหวังให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดทุนมีการกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดทุนไทยมากขึ้น เพื่อช่วยในการขับเคลื่อนการลงทุนให้มูลค่าหุ้นสอดคล้องกับมูลค่าที่แท้จริง

OR เผยผลการดำเนินงานปี 2567 พร้อมแผนกลยุทธ์ปี 2568

OR เผยผลการดำเนินงานปี 2567 พร้อมแผนกลยุทธ์ปี 2568

ผลการดำเนินงานปี 2567 รายได้และผลกำไร รายได้จากการขายและบริการ 723,958 ล้านบาท ลดลง 5.9% จากปี 2566 (ลดลง 45,783 ล้านบาท) สาเหตุหลักมาจาก ปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่ลดลงและราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ในกลุ่มธุรกิจ Mobility กลุ่มธุรกิจ Lifestyle และ Global เติบโตแข็งแกร่ง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 8.2% และ 10.9% ตามลำดับ EBITDA จำนวน 17,666 ล้านบาท ลดลง จากกลุ่ม Mobility แต่ กลุ่ม Lifestyle และ Global ยังคงเติบโต ค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิปรับลดลง 11.7% จากการลดค่าใช้จ่ายด้านโฆษณาและส่งเสริมการขาย รวมถึงการทบทวนพอร์ตโฟลิโอ ยุติธุรกิจที่ไม่ทำกำไร ผลประกอบการไตรมาส 4/2567 รายได้จากการขายและบริการ 185,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% จากไตรมาสก่อน EBITDA เพิ่มขึ้น 100% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 4,887 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,999 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,608 ล้านบาท หรือมากกว่า 100% จากไตรมาสก่อน รางวัลและการรับรองความยั่งยืน OR ได้รับ SET ESG Ratings 2567 ระดับสูงสุด "AAA" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดอันดับ 1 DJSI (ดัชนีความยั่งยืนระดับโลก) ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก เป็นปีที่ 2 แผนกลยุทธ์และเป้าหมายปี 2568 แนวโน้มผลประกอบการ คาดว่าผลประกอบการจะ ปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การบริโภค และการลงทุน คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะ กลับสู่ระดับปกติ มุ่งใช้ Digitalization & Innovation เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ กลุ่มธุรกิจ Mobility รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดค้าปลีกน้ำมันในประเทศไทย ดึง Market Share กลับมา พร้อมยกระดับบริการให้เป็น Mobility Partner ผ่านเครือข่ายสถานีบริการ PTT Station ขยายจากธุรกิจน้ำมันสู่พลังงานสะอาด (New Energy-Based) เพิ่มเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ ติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) และพลังงานทางเลือกอื่น กลุ่มธุรกิจ Lifestyle รักษาความแข็งแกร่งของ Café Amazon ตลอดห่วงโซ่คุณค่า หาโอกาสลงทุนใหม่ ๆ ร่วมกับพันธมิตร เพื่อขยายธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และไลฟ์สไตล์ ศึกษาโอกาสในธุรกิจ Health & Wellness เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค กลุ่มธุรกิจ Global ขยายธุรกิจในกัมพูชา เป็น Second Home Base จากศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการสินค้า OR มองหาโอกาสขยายไปยังประเทศใหม่ ๆ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ งบลงทุนปี 2568 (รวม 18,886.9 ล้านบาท) Mobility – 7,656.7 ล้านบาท Lifestyle – 7,280.4 ล้านบาท Global – 2,771.8 ล้านบาท Innovation & New Business – 1,178.0 ล้านบาท หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR กล่าวว่า "OR ยังคงเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการขยายธุรกิจที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และพลังงานแห่งอนาคต พร้อมเสริมศักยภาพด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล"

COCOCO ลงทุนฟิลิปปินส์เสริมแกร่ง  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 11.60 บาท

COCOCO ลงทุนฟิลิปปินส์เสริมแกร่ง โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 11.60 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า คาด COCOCO กำไรปกติใน 4Q24 ที่ 73 ลบ. (-68.5% QoQ, -60.1% YoY) อ่อนแอกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้าที่กรอบ 170 - 190 ลบ. เนื่องจาก GPM คาดอยู่ที่ 19.8% ลดลงจากทั้ง 24.8% ใน 3Q24 และ 26.6% ใน 4Q23 จากการรับรู้ผลของราคามะพร้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น กดดันอัตรากำไรของสินค้ากลุ่มน้ำกะทิและน้ำมะพร้าว รวมถึง SG&A/Sales ที่คาดว่าสูงขึ้นทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากมีการจ่ายโบนัสพนักงานในช่วงท้ายปี ประกอบกับบริษัทมีการนำสินค้าไปจัดแสดงในต่างประเทศมากขึ้น ในขณะที่รายได้ยังสามารถเติบโตได้ YoY จากฐานลูกค้ารายใหม่ที่สูงขึ้น และลูกค้ารายเดิมที่ยังมีการขยายออเดอร์ต่อเนื่อง แต่อาจลดลงหากเทียบ QoQ เนื่องจากเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจที่เป็นช่วงฤดูหนาว ยังมองเป็นบวกต่อแนวโน้มกำไรในปี 2025           ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มกำไรปกติในปี 2025 ที่คาดว่ายังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง YoY จากการเริ่มรับรู้รายได้ที่มากขึ้นจากลูกค้ารายใหม่สำหรับการรับจ้างผลิตสินค้ากลุ่มน้ำกะทิในยุโรป รวมถึงลูกค้ารายใหญ่สำหรับการรับจ้างผลิตสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐฯ นอกจากนี้ ลูกค้ารายเดิมของบริษัทยังมีแนวโน้มที่จะขยายยอดคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของอุปสงค์น้ำมะพร้าว, น้ำกะทิ และอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ GPM อาจชะลอตัวลง YoY เนื่องจากการรับรู้ผลของราคามะพร้าวที่ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เรามองว่าราคามะพร้าวมีโอกาสปรับตัวลงในระยะถัดไป เนื่องจากได้รับผลกระทบของลานีญาที่จะส่งผลให้อากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกมะพร้าวมากขึ้น ซึ่งเป็น Upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการของเรา ลงทุนโรงงานในฟิลิปปินส์ ... เสริมแกร่งธุรกิจน้ำกะทิ           บริษัทได้อนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อยในฟิลิปปินส์ชื่อ “Novacoconut” (บริษัทถือหุ้น 100%) สำหรับการจัดตั้งโรงงานในฟิลิปปินส์ด้วยเงินลงทุน 430 ลบ. คาดจะเริ่ม Commercial Run ได้ตั้งแต่ใน 1Q26 เป็นต้นไป โดยโรงงานดังกล่าวจะเน้นการผลิตน้ำกะทิ ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีลูกค้ารองรับแล้วในบางส่วน โดยเงินลงทุนของบริษัทจะแบ่งเป็น 1) เงินกู้จากสถาบันทางการเงิน 90% และ 2) เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท 10% ซึ่งอาจส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายในปี 2026 สูงขึ้น แต่คาดว่าจะชดเชยได้จากรายได้ที่เติบโตเด่น สุทธิแล้ว มองว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นบวกมากกว่าลบ คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 11.60 บาท           หากกำไรใน 4Q24 ออกมาตามคาด กำไรทั้งปีจะต่ำกว่าประมาณการกำไรปี 2024 ของเรา รวมถึงในปี 2025 ที่คาดว่า GPM ยังถูกกดดันจากราคามะพร้าวที่ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปี 2024 และ 2025 ลง 12.5% และ 16.5% เป็น 721 ลบ. (+26.2% YoY) และ 930 ลบ. (+29.1% YoY) ตามลำดับ จากการปรับสมมติฐาน GPM           นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ยังปรับ PE ในการประเมินมูลค่าลงเป็น 18.0 เท่า เพื่อสะท้อนสภาวะตลาดที่ผันผวน ทำให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ ณ สิ้นปี 2025 ที่ 11.60 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 เพียง 13.2 เท่า คิดเป็น PEG เพียง 0.45 เท่า จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

TU คาดยอดขายปี 2568 โต 3-4% ทุ่มงบลงทุน 5 พันล้าน

TU คาดยอดขายปี 2568 โต 3-4% ทุ่มงบลงทุน 5 พันล้าน

          นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ TU บริษัทฯ คาดว่ายอดขายจะเติบโต 3-4% จากปีก่อน จากการเติบโตของการดำเนินงานปกติในทุกกลุ่มธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้อาจถูกชดเชยบางส่วนด้วยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากบริษัทฯ คาดการณ์ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ อัตรากำไรขั้นต้น จะอยู่ที่ 18.5 – 19.5% คาดว่าจะสอดคล้องกับการเติบโตของยอดขาย ขณะที่ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 13.0 – 13.5% เป็นผลจาก transformation costs และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่มุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ สุดท้ายนี้ บริษัทฯ คาดว่า งบลงทุน (CAPEX) จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการขยาย ระบบอัตโนมัติในคลังสินค้าของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ที่4.5 – 5.0 พันล้านบาท

NEO ทุ่มงบ 2,464 ล้านบาท  ผนึก “ฤทธา-เมตริก” สร้าง “โรงงานแห่งอนาคต”

NEO ทุ่มงบ 2,464 ล้านบาท ผนึก “ฤทธา-เมตริก” สร้าง “โรงงานแห่งอนาคต”

          บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) ผนึก บริษัท ฤทธา จำกัด และ บริษัท เมตริก วิศวกร ที่ปรึกษา และสถาปนิก จำกัด สร้าง “โรงงานแห่งอนาคต” ด้วยงบลงทุนกว่า 2,464  ล้านบาท ครบครันด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ปักธงยกระดับประสิทธิภาพด้วยระบบการผลิตที่ทันสมัย รองรับการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน และตอบสนองความต้องการของตลาดที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งเป้าแล้วเสร็จเฟสแรกปลายปี 2569           นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) และ บริษัท นีโอ แฟคทอรี่ จำกัด กล่าวว่า “นีโอ มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในตลาด FMCG ของไทยและเอเชีย ด้วยการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การลงทุนขยายโรงงานครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการผลิตภายใต้กลยุทธ์ “Efficient Supply Chain” เสริมศักยภาพการแข่งขันและรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยวางงบลงทุนตามแผนการขยายโรงงานกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก อยู่ที่ ประมาณ 2,464 ล้านบาท มุ่งพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผ้า (Fabric Care) และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิวภายในบ้าน (Home Cleaning) รวมถึงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby & Kids) ให้สอดคล้องกับตลาดที่เติบโตขึ้น ทั้งหมดนี้ดำเนินการตามมาตรฐานคุณภาพ ความปลอดภัย และหลัก ESG เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม           นายปณิธาน เทพนิกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฤทธา จำกัด กล่าวเสริมว่า “การร่วมมือกับนีโอและเมตริกในโครงการนี้ จะประสานประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมและก่อสร้างของฤทธาในการพัฒนาโรงงานที่รองรับระบบการผลิตที่ทันสมัย การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และเทคโนโลยีการผลิตเฉพาะทาง โดยมุ่งเน้นประสิทธิภาพสูงสุด ตอบโจทย์ความต้องการของนีโอทั้งในการเพิ่มกำลังการผลิตบรรลุเป้าหมายในการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรม FMCG ของไทย”           นายณรงค์ฤทธ กุศลมนิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมตริก วิศวกรที่ปรึกษา และสถาปนิก จำกัด กล่าวว่า “เมตริกมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ ซึ่งเราได้นำความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการออกแบบอาคารประหยัดพลังงาน และการใช้เทคโนโลยี BIM มาใช้ในการออกแบบและก่อสร้างโรงงานแห่งนี้ให้มีความทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้เป็นโรงงานต้นแบบที่ผสานนวัตกรรมและความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกัน ตลอดจนส่งเสริมการเติบโตของนีโอในระยะยาว”           โครงการขยายโรงงานแห่งนี้ จะใช้เวลาก่อสร้าง 36 เดือน แบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรกจะเริ่มก่อสร้างในเดือน กุมภาพันธ์ 2568  ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่โรงงานในปัจจุบันของนีโอ ในอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี มีพื้นที่ ใช้สอยกว่า 71,307 ตารางเมตร บทพื้นที่กว่า 16  ไร่  และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนพฤศจิกายน 2569 ส่วนเฟสที่สองจะเริ่มก่อสร้างในเดือน ตุลาคม 2569  และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนเมษายน 2571 ใช้งบประมาณลงทุนในการออกแบบและก่อสร้างประมาณ 2,464 ล้านบาท คาดว่าโครงการดังกล่าวสามารถรองรับกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มของใช้ในครัวเรือนซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็กอย่างน้อย 359,086 ตันต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 215,318  ตันต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 67% นอกจากนี้ การแบ่งการขยายออกเป็น 2 เฟส ยังช่วยลดภาระทางการเงิน และส่งผลดีต่อการงบการเงินรวมของบริษัทอีกด้วย           การลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของรายได้ พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เช่น เครื่องผสม (Mixing Machine) ที่เพิ่มประสิทธิภาพและลดของเสียในกระบวนการผลิต ประหยัดพลังงาน รวมถึงระบบการจัดการพลังงานและการใช้น้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐาน ISO 14001 การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม และมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ทั้งทางตรงและทางอ้อม ก่อให้เกิดการจ้างงานทั้งในส่วนการก่อสร้าง การจ้างงานในโรงงานเมื่อเปิดดำเนินการ และกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนโดยรอบ [PR News]

TU ปี67 พลิกมีกำไร 4,985 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 135.8%

TU ปี67 พลิกมีกำไร 4,985 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 135.8%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน TU ประกาศงบปี 67 พลิกกำไร 4,985 ล้านบาท จากปี 66 ขาดทุน 13,933 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 135.8% พร้อมกวาดยอดขาย 138,433 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 68 ไฟเขียวจ่ายเงินปันผล 0.35 บาทต่อหุ้น รวมปี 67 จ่ายทั้งหมด 0.66 บาท           บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ประกาศผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทฯ รายงานยอดขายอยู่ที่ 35,090 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบเชิงลบจากอัตราแลกเปลี่ยน 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการที่เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักทุกสกุล โดยเฉพาะเงินยูโร (เฉลี่ยที่ 36.26 บาทต่อยูโร ลดลง 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) และเหรียญสหรัฐ (เฉลี่ยที่ 34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) อย่างไรก็ดียอดขายที่ลดลงได้ถูกชดเชยบางส่วนจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติที่เพิ่มสูงขึ้น 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน           นอกจากนี้ ปริมาณขายเพิ่มสูงขึ้น 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากความต้องการที่สูงขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้น ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจอาหารทะลแปรรูป ธุรกิจอาหาร สัตว์เลี้ยง และธุรกิจอาหารสัตว์ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้เติบโต 0.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 18.7% ซึ่งเป็นอัตรากำไรขั้นต้นรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นอันดับ 3 ในรอบ 14 ไตรมาสที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 4,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน           ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้น และค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นซึ่งสอดคล้องกับปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจึงเพิ่มขึ้นเป็น 14.1% จาก 11.8% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวม transformation costs อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายจะอยู่ที่ 13.3% จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ทำให้กำไรจากการดำเนินงานลดลงมาอยู่ที่ 1,590 ล้านบาท           บริษัทฯ บันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 118 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 4 ปี 2566 จำนวน 68 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพในไตรมาสนี้           รายได้อื่นอยู่ที่ 236 ล้านบาท ลดลง 18.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากฐานที่สูงในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งรวมถึงการเคลมประกันภัยครั้งเดียว           ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 157 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ Avanti Group           ต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ 598ล้านบาท ลดลง5.1%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั่วโลกในไตรมาส4 ปี 2567           ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้อยู่ที่ 50 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 เทียบกับเครดิตภาษีเงินได้จำนวน 40 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นี้ส่วนใหญ่เป็นผลจากการ ไม่ได้รับประโยชน์เครดิตภาษีจาก RL หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนทั้งหมดใน RL ในไตรมาส 4 ปี 2566           ด้วยเหตุนี้กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,213 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3.5% อย่างไรก็ตาม หากไม่รวม transformation costs กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1,512 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ยอดขายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.7% โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบตามฤดูกาลของทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลงเล็กน้อย 0.8% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 18.7% ในไตรมาส 4 ปี 2567 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 5.2% จากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจาก transformation costs ค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น เนื่องด้วยผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิปรับตัวลดลง 23.3% และ 13.4% จากไตรมาสก่อน ตามลำดับ           ส่งผลให้ยอดขายในปี 2567 ซึ่งกลับมาเติบโตโดยทำสถิติรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา พร้อมด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% รวมถึง EBITDA สูงสุดเป็น อันดับ 2 ตั้งแต่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมา • บริษัทฯ รายงานยอดขายที่ 138,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน เป็นผลจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า • อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% • EBITDA สูงขึ้น 8.6% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 13,361 ล้านบาท สะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ • กำไรสุทธิอยู่ที่ 4,985 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.08 บาท เพิ่มขึ้น 7.2% และ 134% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ทั้งนี้หากไม่รวม transformation costs กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 22.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 5,685 ล้านบาท • กระแสเงินสดอิสระของบริษัทฯ อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ มีสภาพคล่องสูงพร้อมรองรับการลงทุนในอนาคตและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้งบฐานะทางการเงินพัฒนาการของธุรกิจที่สำคัญในไตรมาส 4 ปี 2567 การใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 6,000ล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายน 2567 • เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 6,000 ล้านบาทเพื่อ ลดผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หลังจากการทำธุรกรรมในครั้งนี้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจะถูกเปลี่ยนการบันทึกบัญชีจากส่วนของผู้ถือหุ้นมาเป็นหนี้สิน โดยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะถูกบันทึกในงบกำไรขาดทุนแทนกำไรสะสมในงบฐานะทางการเงิน ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพิ่มขึ้นเป็น 0.94 เท่า แต่ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 1.0-1.1 เท่า ทั้งนี้บริษัทฯกำลังพิจารณาออกเงินกู้ส่งเสริมความยั่งยืนใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนภายในปี 2568การจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 4 • เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินในจำนวนไม่เกิน 200 ล้านหุ้นหรือ 4.49% ของจำนวนทุนที่ชำระแล้ว โดยโครงการซื้นหุ้นคืนครั้งนี้มีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 การจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้น • เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจำนวน 0.35 บาทต่อหุ้นสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2567 ถ้านับรวมทั้งปี 2567 บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 0.66 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 59.96% และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ระดับ 5.7% ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลต้องได้รับการอนุมัติจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในวันที่ 8 เมษายน 2568 โดยสรุปใน ปี2567 บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 3 ตั้งแต่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมา อยู่ที่ 138,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อน มีสาเหตุหลักจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 18.5% ในปี 2567           ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวสูงขึ้น 12.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs ของกลุ่มบริษัท รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจาก Avanti Group และ Lucky Union Foods ถึงแม้ว่าบริษัทฯ ได้หยุดการรับรู้กำไรจาก LDH จากการถอนการลงทุนตั้งแต่ต้นปีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 8.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั่วโลกในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 430 ล้านบาท ในปี 2567 เนื่องจากบริษัทฯ ไม่ได้รับประโยชน์ทางภาษีจาก Red Lobster (RL) หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าเต็มจำนวนจากการลงทุนทั้งหมดใน RL ในไตรมาส 4 ปี 2566 ด้วยเหตุนี้กำไรสุทธิฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมาอยู่ที่ 4,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิตามที่ปรับปรุงในปี2566 ซึ่งไม่รวมรายการที่เกี่ยวข้องกับ RL ได้แก่ ส่วนแบ่งขาดทุน รายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียว และรายได้ภาษีเงินได้จาก RL

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

TOP พุ่ง 5.69% รับกำไร 4Q67 สูงกว่าคาด

TOP พุ่ง 5.69% รับกำไร 4Q67 สูงกว่าคาด

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ดาโอ ระบุ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท โดยใช้ 2025E PBV ที่ 0.47x (ประมาณ -2.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง)           TOP รายงานกำไรสุทธิใน 4Q67 ที่ 2.8 พันล้านบาท เทียบกับกำไร 2.9 พันล้านบาทใน 4Q66 และขาดทุน 4.2 พันล้านบาทใน 3Q67 ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของ consensus และฝ่ายวิจัยคาดไว้ที่ 18% และ 37% ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน (lube base oil) ที่สูงกว่าคาด และผลขาดทุนจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาด           ทั้งนี้ กำไรลดลงเล็กน้อย YoY เนื่องจากการรับรู้ผลขาดทุนจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน แต่ฟื้นตัว QoQ ตามแนวโน้มของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ดีขึ้น รวมถึงการรับรู้กำไรจากสต็อก (stock gain net of NRV) ที่ดีขึ้น           เชื่อว่าบริษัทอาจจะเห็นกำไรที่อ่อนตัว YoY ใน 1Q68 เนื่องจากค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่ลดลง อย่างไรก็ตามเชื่อว่า downside ของ crack spread ในปัจจุบันจะมีจำกัดแล้ว           คงประมาณการกำไรสุทธิปี 68 ไว้ที่ 9.8 พันล้านบาท (ทรงตัว YoY) โดยคาดว่าค่าการกลั่นทางบัญชี (accounting GRM) จะสูงขึ้นและช่วยชดเชยกำไรจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่ลดลง ในขณะเดียวกัน ประเมินกำไรปี 69 ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท (+8% YoY) ตามการฟื้นตัวของ market GRM และ stock loss (net of NRV) ที่ลดลง           ราคาหุ้นปรับตัวลง 52% และ underperform SET 50% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากผลกระทบของการก่อสร้างโครงการ CFP ที่ล่าช้า ราคาปิดล่าสุดสะท้อนมูลค่าหุ้นที่ไม่แพงที่ 2025E PBV 0.32x (ประมาณ -2.8SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) แม้ว่าเราจะยังเห็นความไม่แน่นอนจากการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP แต่เรามองว่าราคาปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงจากโครงการ CFP ไปมากแล้ว นอกจากนี้ บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการ 2H67 ที่ 0.7 บาทต่อหุ้น สะท้อนอัตราตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 2.8% โดยจะขึ้น XD ในวันที่ 27 ก.พ.68

EA ถูกจัดอันดับกลุ่มบริษัท Top 10% โลกด้านความยั่งยืน ESG

EA ถูกจัดอันดับกลุ่มบริษัท Top 10% โลกด้านความยั่งยืน ESG

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) หนึ่งในธุรกิจพลังงานทดแทนชั้นนำของประเทศ ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มบริษัท 10% ที่ดีที่สุดของโลกจากการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) ในกลุ่มสาธารณูปโภคไฟฟ้าในปี 2568 จาก S&P Global Corporate Sustainability Assessment องค์กรชั้นนำด้านการประเมิน ESG ผู้จัดทำดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) โดยมีผู้เข้รับการประเมิน 7,690 บริษัทจาก 62 อุตสาหกรรมทั่วโลก           นายฉัตรพล ศรีประทุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การได้รับความยอมรับในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของ EA ในเรื่องความเป็นเลิศทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลหรือธรรมาภิบาล (ESG) ตอกย้ำจุดยืนของ EA ในฐานะผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด ซึ่งทั้งหมดนี้ยืนยันถึงเจตนารมย์ของบริษัทที่มุ่งสร้างสรรค์พลังงานสะอาดและการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม”           นายฉัตรพลกล่าวเพิ่มเติมว่า "เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในบริษัทระดับท็อปของโลกในเรื่องของความยั่งยืน และเป็นเพียงหนึ่งใน 2 บริษัทจากประเทศไทยที่คว้ารางวัลในกลุ่มสาธารณูปโภคไฟฟ้า รางวัลนี้ไม่ได้เป็นเพียงความภาคภูมิใจของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นความภูมิใจของประเทศที่แสดงถึงศักยภาพของคนไทยที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับโลก เราจะยังคงเดินหน้าในการพัฒนาแหล่งพลังงานทดแทนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยจะมุ่งมั่นและยึดถือเป็นค่านิยมหลักของบริษัทต่อไป"           ในฐานะผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด EA เดินหน้าผลักดันการใช้พลังงานทดแทน ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยี Battery Energy Storage System เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของโลกไปสู่อนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (low-carbon) โดยบริษัทมีการดำเนินโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และลมขนาดใหญ่ การติดตั้งระบบจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่ และการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการสร้างโลกที่ยั่งยืนและมีใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ           ด้วยความมุ่งมั่นภายใต้แนวคิด “Energy Absolute, Energy for the Future” EA จะยังคงเป็นผู้นำนวัตกรรมที่ยั่งยืนเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยและการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลกต่อไป

RPH กำไรปี 2567 แตะ 172.53 ลบ. ลดลง 6.46%

RPH กำไรปี 2567 แตะ 172.53 ลบ. ลดลง 6.46%

         บริษัท โรงพยาบาลราชพฤกษ์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (“บริษัทฯ”) หรือ RPH รายงานกำไรปี 2567 มีกำไรที่ 172.53 ล้านบาท ลดลง 6.46% จากงวดปี 2566 ที่ 184.45 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 4/2567 กำไรสุทธิเท่ากับ 34.02 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 4/2566 ร้อยละ 7.25 ตามรายได้ที่ลดลง แม้ว่าต้นทุนจะลดลง แต่กำไรสุทธิลดลงจากไตรมาส 3/2567 ร้อยละ 47.57 เนื่องจากไตรมาส 3 เป็น High Season อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 12.30 ใกล้เคียงกับร้อยละ 12.37 ในปีที่แล้ว และลดลงจากร้อยละ 19.93 ในไตรมาสที่แล้ว สรุปภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 ภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม          ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2567 มีทิศทางดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยบวกของภาคบริการและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงรายจ่ายลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน          สำหรับเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือในไตรมาส 4/2567 ขยายตัวจากรายได้เกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่อง ภาคบริการในส่วนของการท่องเที่ยวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ตามกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวและเทศกาลสิ้นปี แต่ยังมีความกังวลจากการบริโภคภาคเอกชนที่หดตัวในบางเดือน          สำหรับอุตสาหกรรมโรงพยาบาลในประเทศไทย ในไตรมาส 4/2567 มีการเข้าใช้บริการโดยรวมลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็น High Season ที่มีโรคระบาดในฤดูฝน ในส่วนภาพรวมของธุรกิจนี้ ยังมีศักยภาพในการเติบโตและฟื้นตัวได้ดีหลังช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ด้วยคุณภาพในการรักษาที่ได้มาตรฐานดี และค่ารักษาพยาบาลที่ได้เปรียบประเทศอื่น ๆ แต่ยังมีปัจจัยที่ท้าทาย เช่น ปัญหากำลังซื้อในประเทศ ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งการฟื้นตัวของจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่มีการชะลอตัว

abs

Hoonvision

ITC คาดกำไรปี 68 ที่ 3,825 ลบ.  หุ้นมี Upside โบรกแนะซื้อ เป้า 23บาท

ITC คาดกำไรปี 68 ที่ 3,825 ลบ. หุ้นมี Upside โบรกแนะซื้อ เป้า 23บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า มอง ITC เป็นบวกมากขึ้นหลังเข้าประชุมนักวิเคราะห์ แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 เบื้องต้นคาดจะกลับมาเติบโตทั้ง QoQ และ YoY แม้จะเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจและได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีจ่ายที่จะสูงขึ้นตามกฎ Global Minimum Tax (GMT) ก็ตาม แต่เราคาดรายได้จะทรงตัวถึงเติบโตเล็กน้อยได้ QoQ จากปริมาณขายที่ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง และมีคำสั่งซื้อบางส่วนที่เลื่อนการรับรู้รายได้มาจาก 4Q24 โดยบริษัทมีการ Secured คำสั่งซื้อของลูกค้าไว้ 90% ของเป้าหมายแล้ว ประกอบกับเราคาด GPM จะฟื้นตัวขึ้น QoQ และ YoY จากการรับรู้ผลจากการทำ Transformation (Tailwind project) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการควบคุมต้นทุน ประกอบกับคาด SG&A/Sales จะดีขึ้น QoQ เนื่องจากไตรมาสก่อนมีการใช้ค่าใช้จ่ายการตลาดที่สูง และมีค่าที่ปรึกษาอื่นๆ เพิ่มเติม ผลกระทบจาก GMT หนุนอัตราภาษีสูงเป็น 7.0 - 8.5% น้อยกว่าที่ตลาดกังวล           ในส่วนผลกระทบของ GMT บริษัทให้ข้อมูลว่าผลกระทบจริงจากกฎดังกล่าวที่จะถูกจัดสรรมาจากบริษัทแม่ (TU) จะกระทบอัตราภาษีจ่ายในปี 2025 ของ ITC เพิ่มขึ้นเป็น 7.0 – 8.5% (ปี 2024 อยู่ที่ 3.8%) เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าที่เราและตลาดมองไว้ที่ระดับ 15% และยังมีโอกาสลดลงอีกหากมีความชัดเจนด้านการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากทางภาครัฐฯ           นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตรายได้ปี 2025 ที่ 13-15% YoY จากการเน้นลูกค้ากลุ่ม Private Label และได้คำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงตั้งเป้าการเติบโตของกำไรขั้นต้นที่ 10 – 12% YoY และ SG&A/Sales ที่ 9 - 10% ปรับประมาณการกำไรปี 2025 ลง เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง และสะท้อน GMT           ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2025 ลง 17.6% เป็น 3,825 ลบ. (-0.1% YoY) เพื่อเพิ่มความ Conservative ซึ่งใกล้เคียงกับกรอบล่างของเป้าหมายของบริษัท และสะท้อนอัตราภาษีจ่ายที่สูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ Trade War โดยหากสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากไทยในอัตราที่น้อยกว่ายุโรปหรือจีน อาจทำให้ได้ประโยชน์จากคำสั่งซื้อที่ย้ายมาไทยมากขึ้น แต่หากขึ้นอัตราภาษีจากไทยสูงกว่า อาจเป็น Downside risk ซึ่งบริษัทมีแผนในการลงทุนโรงงานในสหรัฐฯ หากเกิดกรณีดังกล่าว แม้ปรับกำไรและ PER ลง แต่ราคาเหมาะสมใหม่ยังมี Upside คงคำแนะนำ “ซื้อ”           ผลจากการปรับประมาณการกำไรปกติลง และเราปรับลด PER ในการประเมินมูลค่าลงจาก 20.2 เท่าเป็น 18.1 เท่า เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง, สะท้อนภาวะตลาดปัจจุบัน และความเสี่ยงจาก Trade War ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 23.00 บาท ยังมี Upside gain 27.8% และราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 เพียง 14 เท่า จากเฉลี่ยในอดีตที่ 20 เท่า สะท้อนราคาหุ้นตอบรับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

SCB ยัน King Power จ่ายดอกเบี้ยไม่ขาด โบรกชี้ไม่กังวล แนะ “ซื้อ” เป้า 130 บ.

SCB ยัน King Power จ่ายดอกเบี้ยไม่ขาด โบรกชี้ไม่กังวล แนะ “ซื้อ” เป้า 130 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุว่า วันศุกร์ที่ผ่านมาราคาหุ้น SCBX (SCB) ปรับตัวลง 3.2% DoD หลังมีกระแสข่าวเกี่ยวกับยอดลูกหนี้ไม่หมุนเวียนของ AOT ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดมองว่าลูกหนี้สำคัญที่มีการค้างชำระคือกลุ่ม King Power ซึ่งมีการขอเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) เดือน ส.ค. 2024 ถึง ก.พ. 2025 ออกไป 18 เดือน โดยยอมจ่ายค่าปรับ 9% ต่อปี สร้างความกังวลว่าจะมีผลส่งต่อมายัง SCB ซึ่งตลาดคาดจะเป็นหนึ่งในธนาคารที่เป็นผู้ออก Bank Guarantee และมี King Power เป็นลูกค้าสินเชื่อบริษัท Our Take           ► เบื้องต้นเราสอบถามไปยัง SCB และพบว่า King Power ยังถูกจัดเป็นลูกหนี้ปกติ แม้จะมีประเด็นค้างชำระค่า Minimum Guarantee กับ AOT ทำให้ธนาคารมีการตั้งสำรองสำหรับกรณีดังกล่าวเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ ข้อมูลลูกค้าถือว่าเป็นข้อมูลที่ Sensitive ทำให้ธนาคารไม่สามารถเปิดเผยมูลหนี้รวมของ King Power ที่มีกับธนาคารได้ แต่ยืนยันว่า King Power ยังมีการชำระดอกเบี้ยเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ           ► จากการสืบค้นข้อมูลงบการเงินปี 2023 ของบริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี และคิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับ AOT มีจำนวนหนี้สินรวม (Total Liabilities) 16,459 ลบ. และ 7,990 ลบ. ตามลำดับ หากประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นภายใต้สมมติฐานเลวร้าย นั่นคือทั้ง 2 บริษัทมีมูลหนี้สินเชื่อรวมที่ 24,449 ลบ. (ราว 1% ของสินทรัพย์เสี่ยง) หากมีการปรับชั้นลูกหนี้ลงเป็น Stage 2 ตามสัญญาณความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น คาดจะมีการตั้งสำรองราว 3,825 ลบ. (สมมติให้หนี้สินดังกล่าวเป็นหนี้สินที่มีหลักประกันครอบคลุมมูลหนี้ 50% และมีการตั้งสำรอง 31.3% ของมูลหนี้หลังหักมูลค่าหลักประกัน ใกล้เคียงกับการตั้งสำรองที่เกิดขึ้นใน 4Q24) คิดเป็น 8.4% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 แต่หากมีการผิดนัดชำระหนี้จนกลายเป็นหนี้ Stage 3 (NPLs) คาดจะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 6,957 ลบ. คิดเป็น 15.3% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงอาจรุนแรงน้อยกว่าที่เราประเมินเพราะบางส่วนจะถูกชดเชยด้วย Management Overlay แต่จะทำให้แนวโน้มการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในระยะยาวเพื่อสร้าง Management Overlay ใหม่ขึ้นมาชดเชย           ► ปัจจุบันเรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ของ SCB ไว้ที่ 45,435 ลบ. โต 3.4% YoY ตามประมาณการเดิม เพราะมองประเด็นดังกล่าวจะไม่กระทบต่อผลดำเนินงานของบริษัท เนื่องจาก King Power ยังมีการดำเนินธุรกิจและสามารถชำระคืนหนี้แก่ธนาคารได้ตามปกติ แต่มีโอกาสที่ธนาคารจะเพิ่มอัตราการตั้งสำรองสำหรับ King Power มากขึ้นกว่าลูกหนี้ปกติ หากมีการค้างชำระแก่ AOT นานขึ้นเรื่อยๆ           ► เรามองราคาหุ้น SCB ที่ปรับตัวลงมาเป็นจังหวะสะสม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการหุ้นธนาคารที่มีเงินปันผลน่าสนใจ เพราะแม้ประเมินผลจากการตั้งสำรองในกรณีที่ทั้ง 2 บริษัทกลายเป็นหนี้เสีย SCB ก็ยังสามารถจ่าย Div. Yield ปี 2025 ได้ในระดับสูงกว่า 5.7% ส่วนช่วงสั้นเราคาด SCB จะยังจ่ายปันผลสำหรับกำไรสุทธิ 2H24 จำนวนหุ้นละ 7 บาท คิดเป็น Div. Yield 5.9% ตามประมาณการเดิม เพราะมองประเด็นดังกล่าวไม่ได้ทำให้เงินกองทุนลดลงจนถึงระดับที่น่ากังวล จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานปี 2025 เดิมที่ 130 บาท

ตลท.แจงหุ้นร่วง เหตุราคาหุ้น DELTA รับข่าวผลงานต่ำคาด-AOT ข่าวสัมปทาน

ตลท.แจงหุ้นร่วง เหตุราคาหุ้น DELTA รับข่าวผลงานต่ำคาด-AOT ข่าวสัมปทาน

         ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) เปิดภาคเช้าวันนี้ (17 ก.พ. 2568) ปรับลดลง 31.96 จุด หรือ 2.51% ลดลงจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 1,240.14 จุด สาเหตุหลักมาจากการปรับลงของราคาหุ้น DELTA ที่ลดลงหลังข่าวผลประกอบการที่ลดลงต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และการปรับลดลงของหุ้น AOT เนื่องจากข่าวสัญญาสัมปทาน อย่างไรก็ตามบริษัทได้ชี้แจงเพิ่มเติมมาแล้วเช้าวันนี้ โดยล่าสุด (ณ เวลา 10.28 น.) ดัชนี SET Index อยู่ที่ 1,248.57 จุด ปรับลดลง 1.85% หรือ 23.53 จุด

TEGH คาดกำไร Q4/67 ที่ 248 ลบ. ปีนี้ Bio gas หนุนกำไรโต เคาะเป้า 5 บาท

TEGH คาดกำไร Q4/67 ที่ 248 ลบ. ปีนี้ Bio gas หนุนกำไรโต เคาะเป้า 5 บาท

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า คาด TEGH กำไรปกติ 4Q24 ทำระดับสูงสุดของปี หนุนจากธุรกิจยางพารา เราคาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 248 ลบ. (+13.1% QoQ, +1,043.7% YoY) เป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 ไตรมาส หนุนจากธุรกิจยางพาราเป็นหลัก โดยปริมาณขายยาง (ยางแท่ง + น้ำยาง) คาดเติบโตเป็น 68,000 ตัน จาก 59,500 ตัน ใน 3Q24 จาก Demand ที่แข็งแกร่งและรับรู้กำลังการผลิตใหม่ (+25%) ส่วนปริมาณขายยาง EUDR คาดสูงขึ้นเป็น 25,000 ตัน (จาก 3Q24 ที่ 16,000 ตัน) คิดเป็นสัดส่วนราว 35-40% ของปริมาณขายยางแท่งทั้งหมด หนุนราคาขายเฉลี่ย และ GPM           ส่วนธุรกิจ CPO คาดปริมาณขายยังลดลง QoQ เนื่องจากปริมาณผลผลิตปาล์มที่ยังชะลอตัว ทำให้เข้าสู่กระบวนการสกัดได้ไม่มากนัก แต่ชดเชยได้บางส่วนจากราคาขายเฉลี่ยน้ำมันปาล์มดิบที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มการรับรู้การขาย Bio gas ให้กับ GGC คาดหนุนรายได้ราว 20-30 ลบ. และเราประเมิน GPM ใน 4Q24 ที่ 12.1% จาก 10.9% ใน 3Q24 และ 8.4% ใน 4Q23 แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 ดีต่อเนื่อง ตามราคายางพารา           ยังคงมุมมองบวกต่อภาพอุตสาหกรรมยางพาราที่จะดีขึ้นต่อในปี 2025 และเห็นสัญญาณบวกของราคายาง SICOM ที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ราว 200 Cent/kg จะเป็นปัจจัยที่หนุนราคาขายเฉลี่ยธุรกิจยางพาราให้สูงขึ้นต่อถึง 2Q25 เป็นอย่างน้อย ขณะที่ธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบปัจจุบันปริมาณผลผลิตปาล์มยังออกมาไม่มากนัก คาดจะเห็นการฟื้นตัวได้ใน 2Q25 เป็นต้นไป           และปี 2025 TEGH จะรับรู้รายได้ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นจากการรับรู้การขาย Bio gas ให้ GGC ได้เต็มปี แม้คาดจะหนุนรายได้ไม่มากราว 120 ลบ./ปี แต่เป็นธุรกิจที่มี GPM และ NPM สูงกว่าค่าเฉลี่ยมาก จะช่วยหนุนกำไรสุทธิของบริษัท ระยะสั้นเราประเมินแนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 ของ TEGH จะเติบโตต่อทั้ง QoQ และ YoY จากธุรกิจยางพาราที่คาดเติบโต QoQ ได้ต่อแม้มีฐานที่สูงก็ตาม ปรับกำไรปี 2025 ขึ้น บนสมมติฐานที่ Conservative กว่าเป้าบริษัท           ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2025 ขึ้น 25% เป็น 723 ลบ. (+38.3% YoY) สะท้อนแนวโน้มราคาขายเฉลี่ยยางพาราที่สูงกว่าคาด และปรับสมมติฐานปริมาณขายธุรกิจยางที่ 257,000 ตัน (+12% YoY) ซึ่งยัง Conservative กว่าเป้าของบริษัทที่ 20% YoY ทำให้ประมาณการของเรายังมี Upside คาด Div. Yield 6.5% คงราคาเหมาะสมที่ 5.00 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ”           แม้เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2025 ขึ้น แต่เรายังคงราคาเหมาะสมตามเดิมที่ 5.00 บาท จากการปรับลด PER ในการประเมินมูลค่าลงเป็น 7.2 เท่า (จากเดิม 9.3 เท่า) เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง และสะท้อนภาวะตลาดในปัจจุบัน ซึ่งยังมี Upside gain 63.4% จากราคาปัจจุบัน มองว่าราคาหุ้นอยู่โซนถูกมาก และเราคาดเงินปันผลจ่ายงวดปี 2024 ที่ 0.20 บาท คิดเป็น Div. Yield 6.5% ช่วยจำกัด Downside risk คงคำแนะนำ “ซื้อ”

GDP ไทยปี67 โต2.5% โตต่ำคาด แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกลงเยอะ CPALL, BDMS, IVL, SCGP, MINT, LH, HMPRO, AP

GDP ไทยปี67 โต2.5% โตต่ำคาด แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกลงเยอะ CPALL, BDMS, IVL, SCGP, MINT, LH, HMPRO, AP

         หุ้นวิชั่น - GDP ไทย 4Q67 +3.2%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 3.8%YoY) และ +0.4%QoQ (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.5%QoQ) ทำให้ตลอดทั้งปี 2567 ขยายตัว +2.5%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.7%YoY) เศรษฐกิจไทยปี 2567 เร่งตัวจากปี 2566 โดยมีแรงหนุนเด่นๆ มาจากการบริโภคภาคเอกชน (+4.4%YoY), การลงทุนภาครัฐ (+4.8%YoY), การใช้จ่ายภาครัฐ (+2.5%YoY), การส่งออก (+6.3%YoY) ขณะที่การลงทุนเอกชนหดตัว (-1.6%YOY) สศช. คาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2568 ขยายตัว 2.8% (2.3 – 3.3%) ประเมินปัจจัยหนุนมาจากการบริโภคภาครัฐ-เอกชนเพิ่มขึ้น บวกกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว และการส่งออกสินค้าขยายตัว เศรษฐกิจบ้านเราที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด ขณะที่ระยะถัดไป GDP ไทย มีโอกาสเปิด Downside จากนโยบายตั้งกำแพงภาษีสหรัฐฯ อาจเป็น Sentiment กดดันตลาดหุ้นได้ อย่างไรก็ตาม ยังคาดหวังแรงกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐเพิ่มเติม และการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ผ่านการลดดอกเบี้ย         แนะนำหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกลงเยอะ CPALL, BDMS, IVL, SCGP, MINT, LH, HMPRO, AP

IPhone SE ใหม่ จ่อเปิดตัว 19 ก.พ.นี้ หุ้นไหนรับทรัพย์ เช็กเลย!

IPhone SE ใหม่ จ่อเปิดตัว 19 ก.พ.นี้ หุ้นไหนรับทรัพย์ เช็กเลย!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) Bloomberg เผย Tim cook โพสข้อความลงใน X จะเป็นการเปิดตัว IPhone SE รุ่นใหม่ คือ SE 4 (หรือ iPhone 16E หรือ iPhone รุ่นประหยัดที่สุดของ Apple 19 ก.พ.2025 ดีไซน์เหมือน iPhone 14 หน้าจอ LTPS OLED ขนาด 6.06 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ที่มีรีเฟรชเรต 60Hzและมีรอยบากส าหรับ Face ID กับกล้องหน้า ส่วนด้านหลังจะมีกล้องเพียงตัวเดียว ซึ่งอาจเป็นกล้องตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 16 รองรับฟีเจอร์ AI KSS มองการเปิดตัวสินค้าใหม่ IPhone SE จะเป็นบวกต่อหุ้นที่เน้นขาย Iphone อาทิ COM7, CPW, JMART

AOT ร่วง 7.45% โบรกฯ แห่หั่นเป้า เหลือเฉลี่ย 51 บ./หุ้น

AOT ร่วง 7.45% โบรกฯ แห่หั่นเป้า เหลือเฉลี่ย 51 บ./หุ้น

         หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ จากการรวบรวมข้อมูลเช้านี้พบว่า ตลาดหรือ Consensus มีการปรับลดราคาเป้าหมายเฉลี่ยของ AOT เหลืออยู่ที่ 51.00 บาท/หุ้น ประกอบด้วย - INVX ปรับลงสู่ Neutral และลดเป้าหมายสู่ 57.00 บาท/หุ้น - ASP ปรับลงสู่ Neutral เป้าหมายที่ 52.00 บาท/หุ้น - Kingsford ปรับลงสู่ Hold เป้าหมายที่ 60.00 บาท/หุ้น - PI คงที่ Hold และลดเป้าหมายสู่ 50.00 บาท/หุ้น - Maybank ปรับลงสู่ Sell ลดเป้าหมายสู่ 42.00 บาท/หุ้น - KGI ปรับลงสู่ Neutral และลดเป้าหมายสู่ 50.00 บาท/หุ้น - UOB KayHian ปรับลงสู่ Hold เป้าหมายที่ 52.00 บาท/หุ้น - CGS ปรับลงสู่ Reduce เป้าหมายที่ 45.00 บาท/หุ้น          ทั้งนี้ตลาดมีมุมมองกังวล AOT อาจต้องตั้งสำรอง หาก KPD ประสบปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งจะทำให้รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ลดลงและกังวลปัญหาลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น          มองปัจจัยลบข้างต้นจะเป็น overhang กดดันราคาหุ้น AOT ในระยะสั้นนี้ จึงแนะนำหลีกเลี่ยงลงทุนระยะสั้นออกไปก่อน ทั้งนี้นักลงทุนที่สนใจหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว แนะนำ MINT ERW เป็นทางเลือกลงทุน

MINT โกยกำไร Q4 ที่ 3.6 พันลบ. ปีนี้โรงแรมหนุน โบรกแนะซื้อเป้า 36 บาท

MINT โกยกำไร Q4 ที่ 3.6 พันลบ. ปีนี้โรงแรมหนุน โบรกแนะซื้อเป้า 36 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุ MINT รายงานกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 3.6 พันลบ. หากตัดรายการพิเศษ ได้แก่ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวรวม 0.8 พันลบ. กำไรปกติจะอยู่ที่ 2.9 พันลบ. (+9% QoQ, +15% YoY) ออกมาใกล้เคียงที่เราและตลาดคาด           ► รายได้ธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 3.1 หมื่นลบ. (-2% QoQ, +5% YoY) รายงาน RevPar เฉลี่ยที่ 3.9 พันบาท/คืน ลดลง 1% QoQ แต่เติบโต 3% YoY หนุนจากตลาดไทย +14% YoY, ยุโรป +8% YoY และมัลดีฟส์ +15% YoY (ผลกระทบ THB/USD และ THB/EUR ที่แข็งค่า YoY ทำให้รายได้เติบโตไม่มากเมื่อแปลงเป็นเงินบาท) ขณะที่ตลาดออสเตรเลีย RevPar ทรงตัว YoY           ► NHHOTEL (กลุ่มโรงแรมในยุโรป) รายงานกำไรปกติ 4Q24 ที่ 66 ล้านยูโร (ราว 2.5 พันลบ.) RevPar เติบโต 6% YoY ได้จากฐานสูง หนุนจาก ADR +4% YoY ขณะที่ Occ. Rate อยู่ในระดับสูงที่ 70% เพิ่มขึ้นจาก 68% ในปีก่อน ทำให้กำไรปกติของ NHHOTEL เติบโตเด่น 132% YoY จากรายได้, การทำกำไรที่ดีขึ้น รวมถึงมีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของโรงแรมในสเปน           ► รายได้ธุรกิจอาหารอยู่ที่ 7.6 พันลบ. (+2% QoQ, +4% YoY) ยอดขายเติบโตจากการขยายสาขาในไทยเป็นหลัก เนื่องจาก SSSG เฉลี่ยทั้งกลุ่ม -0.5% YoY (ธุรกิจในไทย +1.5% YoY, ออสเตรเลีย -1.2% YoY ขณะที่จีน -10.9% YoY แต่ติดลบน้อยลงเทียบ -20% YoY ใน 3Q24)           ► ด้านต้นทุน EBITDA Margin ของธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 27.1% ลดลง 660bps YoY เป็นผลจากการปรับปรุงบัญชีใน 4Q23 หากหักรายการดังกล่าวออก อัตราการทำกำไรจะทรงตัว YoY ขณะที่ธุรกิจร้านอาหาร EBITDA Margin อยู่ที่ 22.6% เพิ่มขึ้น 110bps YoY หนุนจากการประหยัดต่อขนาดและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพของพอร์ตในไทย           ► ต้นทุนการเงินอยู่ที่ 2.6 พันลบ. (-18% QoQ, -13% YoY) ลดลงทั้ง QoQ และ YoY ผลบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสกุลเงิน EUR, THB รวมถึงมีการลดหนี้สินก่อนครบกำหนด จากงบดุลสะท้อนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่าย ณ สิ้นปี 2024 ลดลงราว 1.0 หมื่นลบ. เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2023 ทำให้ Net IBD/E ลงเป็น 0.8x ได้ตามเป้าหมายของบริษัท           ► ทั้งปี 2024 กำไรปกติอยู่ที่ 8.4 พันลบ. (+18% YoY) ดีกว่าคาดการณ์ของเราเล็กน้อย 4% Our Take           ► ภาพรวมยอดจองใน 1Q25 สะท้อนว่ารายได้ธุรกิจกลุ่มโรงแรมในยุโรปยังเติบโตดี 5% YoY โรงแรมในไทย +9% YoY ดังนั้นเราคาดผลขาดทุนปกติ 1Q25 จะลดลง YoY หรือมีโอกาสคืนทุนได้ หนุนจากการเติบโตของรายได้ และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังบริษัทคืนหนี้ไปมากในช่วงปลาย 4Q24 อย่างไรก็ดี ผลประกอบการเทียบ QoQ เราคาดอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ กดดันจากกลุ่มโรงแรมในยุโรปเข้าสู่ช่วง Low Season เต็มไตรมาส           ► เราคงประมาณการปี 2025 คาดกำไรปกติที่ 9.5 พันลบ. (+13% YoY) และคงคำแนะนำ “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสม 36.00 บาทต่อหุ้น (อิง EV/EBITDA ที่ 7 เท่า หรือเทียบเท่า -0.75SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีช่วง Pre COVID-19)           ► บริษัทจะจัดประชุมนักวิเคราะห์ในวันนี้ (17 ก.พ.) ผู้บริหารจะแถลงแผนการดำเนินธุรกิจ, เป้าหมายการเติบโตของผลประกอบการ, ความคืบหน้าการจัดตั้งกอง REIT และแผนการลดภาระหนี้สิน เรามองเป็น Catalyst ช่วยหนุนให้ราคาหุ้นฟื้นตัวในระยะถัดไป           ► ความเสี่ยงสำคัญ: นักท่องเที่ยวต่ำกว่าคาดการณ์, เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงทั่วโลก, ภาวะสงค

TOP จ่อเปิด SPM หนุนกำไร 1.4 พันลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 31.00 บาท

TOP จ่อเปิด SPM หนุนกำไร 1.4 พันลบ. โบรกแนะซื้อ เป้า 31.00 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุว่า TOP รายงานงบ 4Q24 พลิกเป็นกำไร QoQ หนุนจากธุรกิจการกลั่นน้ำมันหล่อลื่น ประกาศกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท (พลิกจาก -4.2 พันล้านบาทใน 3Q24 แต่ -6% YoY) สูงกว่าที่เราและตลาดประเมินไว้ 13-18% สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายน้อยกว่าคาด รวมทั้งกำไรสต็อกน้ำมัน และ Hedging สูงกว่าคาด หากหักรายการพิเศษ (กำไรสต็อกน้ำมันรวม NRV 95 ล้านบาท, กำไร Hedging 230 ล้านบาท, ขาดทุน FX 487 ล้านบาท) ผลการดำเนินงานปกติทำได้ 3.0 พันล้านบาท ใกล้เคียงคาด (เติบโตสูง QoQ จากฐานต่ำ แต่ -16% YoY) เมื่อเทียบกับ 3Q24 กำไรปกติฟื้นตัว QoQ โดย Market GIM ทำได้ US$7.1/bbl (+31% QoQ) จากผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันหล่อลื่น สาระสำคัญดังนี้ แม้ค่าใช้จ่าย OPEX เพิ่มขึ้น QoQ เป็น US$2.5/bbl (vs US$1.9/bbl) ตามปัจจัยฤดูกาล Spread อะโรเมติกส์ PX และ BZ ถูกกดดันจากอุปสงค์เสื้อผ้า และปริมาณสต็อกในจีนระดับสูง อย่างไรก็ตาม กำไรปกติฟื้นตัว QoQ หนุนจาก ค่าการกลั่นทำได้ US$5.1/bbl (+38% QoQ) จากอุปสงค์ Heating Oil และการท่องเที่ยว หนุน Spread ดีเซล และน้ำมันอากาศยาน อัตรากำไรน้ำมันหล่อลื่นทำได้ US$1.1/bbl (vs US$0.5/bbl) จากความต้องการใช้เพิ่มขึ้นหลังผ่านฤดูมรสุม และผู้ผลิตในเกาหลีใต้ปิดซ่อมบำรุง แนวโน้ม 1Q25 ไม่เด่น            แนวโน้มกำไรปกติ 1Q25 ไม่เด่น ลดลงจากฐานสูง YoY และประคองตัวถึงลดลง QoQ เนื่องจากประเมินว่า การปรับตัวลงของค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล และ PX Spread เพิ่มขึ้นจาก Restocking หลังตรุษจีน – อุปสงค์ PET ช่วงฤดูร้อน จะถูกชดเชยด้วย Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันหล่อลื่น และต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้น คงประมาณการปี 2025…ติดตามความคืบหน้าเปิดใช้งาน SPM            เดือน ก.ค. TOP จะปิดซ่อมใหญ่ CDU #3 30 วัน (กำลังผลิต 180 kbd vs รวม 275 kbd) รวมทั้งหน่วยเพิ่มคุณภาพน้ำมัน, อะโรเมติกส์, น้ำมันหล่อลื่น, LAB อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ให้ข้อมูลว่าอัตรากลั่นปี 2025 จะไม่ต่ำกว่า 100% (vs สมมติฐานเราที่ 100% และปี 2024 ที่ 111%) เราคาดค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นราว US$0.4/bbl (ส่วนที่เหลือจะ Capitalized)            เรามีมุมมองบวกต่อความคืบหน้าการเปิดใช้งานท่อรับน้ำมันกลางทะเล (SPM) โดยบริษัทฯ ได้เปลี่ยนอุปกรณ์แล้ว ปัจจุบันคาดอยู่ระหว่างทดสอบการใช้งาน และขออนุมัติจากหน่วยงานภาครัฐ ช่วยลดค่าขนส่ง Ship-to-ship US$0.5/bbl และเพิ่มกำไรราว 1.4 พันล้านบาทในปี 2025 (ยังไม่รวมในประมาณการ) คงประมาณการปี 2025 ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท +15% YoY ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบมากแล้ว            แม้โมเมนตัมงบ 1Q25 ไม่เด่น และ Overhang ผลประชุม EGM 21 ก.พ. อย่างไรก็ตาม หุ้น -40% ในช่วง 3 เดือน ปัจจุบันซื้อขายบน PBV 0.3 เท่า (-2.2 SD) ถือว่าสะท้อนปัจจัยลบจากงบลงทุนเพิ่มเติมของ CFP และถูกปรับออกจากดัชนี MSCI Standard (Effective 28 ก.พ.) ไปมากแล้ว ปัจจุบัน Risk vs Reward เริ่มน่าสนใจ ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ราคาเหมาะสมใหม่ 31.00 บาท จาก ประกาศ DPS งวด 2H24 ที่ 0.70 บาท/หุ้น (Yield 2.8%) ขึ้น XD 27 ก.พ. จ่ายเงิน 28 เม.ย. ช่วยจำกัด Downside คาดรายจ่ายลงทุน CFP ปี 2025 ไม่สูง ไม่กระทบต่อการจ่ายเงินปันผลอย่างมีนัยสำคัญ ปี 2026 – 2027 กำลังผลิตโรงกลั่นใหม่ในภูมิภาคจะลดลงอย่างมีนัยยะ ติดตามการเปิดใช้ SPM และเรียกร้องสิทธิตามหนังสือค้าประกันงานรับเหมา EPC เพิ่มเติม (ได้รับแล้ว 1.2 หมื่นล้านบาทจากทั้งหมดราว 1.6 หมื่นล้านบาท) ความเสี่ยง – ผลประชุม EGM ขออนุมัติเดินหน้าโครงการ CFP – ทิศทางราคาน้ำมัน และ Crude Premium – หยุดเดินเครื่องนอกแผน – การเปิดใช้งาน SPM – การก่อสร้างโครงการ CFP

WHA Group องค์กรยั่งยืนระดับโลก “Top 1%” จาก S&P Global

WHA Group องค์กรยั่งยืนระดับโลก “Top 1%” จาก S&P Global

           หุ้นวิชั่น - 17 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เป็นสมาชิกของ S&P Global Sustainability Yearbook ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และได้คะแนนสูงสุดอันดับ 1 ในการจัดอันดับความยั่งยืนของ S&P Global หรือ Top 1% S&P Global CSA Score ปี 2567 เป็นปีแรกในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Management & Development)            นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า “รู้สึกภาคภูมิใจกับความสำเร็จในครั้งนี้ ด้วยเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ WHA Group ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลัก สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG : Environmental, Social, Governance) พร้อมตอกย้ำให้เห็นถึงบทบาทขององค์กรที่พร้อมขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนตามมาตรฐานสากล”            นอกจากนี้ WHA Group ยังให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยการทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่การเป็น “Tech Driven Organization” โดยนำเทคโนโลยีล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจได้แก่ ธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ (Logistics Business) ธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม (Industrial Development Business) ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงาน (Utilities & Power Business) ธุรกิจดิจิทัล (Digital Business)            และธุรกิจโมบิลิตี้ (Mobility) โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Mobilix นอกจากนี้ยังได้ยกระดับศักยภาพขององค์กรให้มีโอกาสเติบโต ผ่านการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น New S-Curve บริษัทฯ ยังมีความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการพัฒนาองค์กรในทุกด้าน เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงทุกมิติ (High Performance Organization) สอดคล้องกับการสร้างสังคม และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกันตามพันธกิจ “WHA: We Shape the Future” และความตั้งใจในการเป็น The Ultimate Solution for Sustainable Growth [PR News]

บล.พาย คาด SET สัปดาห์นี้ผันผวน เพิ่มความระมัดระวัง-เลือกหุ้นผลประกอบการยังดี

บล.พาย คาด SET สัปดาห์นี้ผันผวน เพิ่มความระมัดระวัง-เลือกหุ้นผลประกอบการยังดี

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.พาย ระบุ ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดลบ 165 จุด (-0.37%) แต่อย่างไรก็ตามดัชนี Nasdaq ปรับขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากหุ้น NVIDIA ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.7% เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะมีการทำข้อตกลงสันติภาพระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ช่วยบรรเทาปัญหา            คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานยอดค้าปลีกประจำเดือน ม.ค. พบว่าหดตัวราว -0.9%MoM แย่กว่าที่ Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ -0.2%MoM ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลงมาทดสอบ 4.26% จากก่อนหน้าที่ระดับ 4.4% ทั้งนี้ในส่วนของยอดค้าปลีกพบว่ายอดค้าปลีกที่ไม่รวมสินค้ายานยนต์อยู่ที่ราว -0.4%MoM สะท้อนว่ายอดค้าปลีกที่ย่ำแย่มาจากสินค้าเกี่ยวข้องกับยานยนต์ โดยสินค้าเกี่ยวข้องกับยานยนต์และอุปกรณ์ (-2.8%MoM) บ่งชี้ถึงการชะตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามเป็นเพียงปัจจัยกดดันระยะสั้นมากกว่า            กลับมาที่ปัจจัยในประเทศวันศุกร์ที่ผ่านมาพบว่า SET INDEX ปรับลง (-0.94%) รับแรงกดดันหลักๆจาก AOT CPN ในกรณีของ AOT พบว่าผลประกอบการช่วงไตรมาสแรก (1Q68) รายงานแล้วต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์หลักๆ เกิดจากรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ขยายตัวเพียงเล็กน้อย (+2%YOY) ขณะที่ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้นถึง 16%YOY ทำให้กำไรสุทธิขยายตัวเพียง 15%YoY และหลังจากนั้นพบว่ามีประชุมนักวิเคราะห์ทางบริษัทได้ให้ข้อมูลว่าหนึ่งในผู้ประกอบการในสนามบินได้ขอผ่อนผันการชำระเงินออกไปเพราะติดปัญหาสภาพคล่องและยังต้องติดตามว่าจากนี้การขยายตัวของรายได้ที่มิใช่การบินจะกลับมาขยายตัวได้มากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันมีแรงกดดันจากหุ้น DELTA หลังรายงานกำไรแย่กว่านักวิเคราะห์คาดการณ์            ปัจจัยสัปดาห์นี้รอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วย 1. การแถลงนโยบายการเงินของ FED ในรอบล่าสุด (FED Minutes) ในคืนวันพฤหัสบดี 2. ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯในคืนวันศุกร์ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 4.1 ล้านหลังคาเรือน ด้านปัจจัยในประเทศรอติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่จะทยอยรายงานออกมารวมไปถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในวันจันทร์ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 2.7%YoY หากมากกว่าที่คาดการณ์จะเป็นปัจจัยหนุน            สัปดาห์นี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,250 - 1,290 จุด ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความผันผวนแม้ Valuation จะไม่แพงแต่อาจใช้ความระมัดระวังมากขึ้นและเน้นเลือกหุ้นที่ผลประกอบการยังดี อาทิ ส่งออก (ITC TU) โรงแรม (MINT) ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CRC HMPRO) เนื้อสัตว์ (CPF) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.75 บาท) ปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q67 ต่อเนื่องถึง 1Q68 จะยังเห็นการเติบโตได้ต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลดีจากราคาเนื้อสัตว์ในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูงได้ โดยเราคาดกำไรสุทธิงวด 4Q67 ที่ระดับ 4,000 ล้านบาท เพิ่มมากจากปีก่อนเพราะราคาเนื้อสัตว์ดีขึ้น แต่ลดลงกว่า 44%QoQ ซึ่งเป็นผลตามฤดูกาล Low Seasons ของธุรกิจสัตว์น้ำ ITC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท) มองว่า ITC อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่ยังมีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯและยุโรป รวมถึงการพัฒนาสินค้าใหม่ๆที่ในปี 68 มีโครงการพัฒนาสินค้ามูลค่ากว่า 30 ล้านบาทอยู่ในมือแล้ว โดยเราคาดรายได้ปี 68 อยู่ที่ 20,079 ล้านบาท (+13%YoY) แต่มีการปรับกำไรสุทธิลง 15% มาอยู่ที่ 3,624 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 67 เพื่อสะท้อนถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นตามโครงการพัฒนาบริษัทและภาษีจ่ายที่คาดว่าจะจ่ายเพิ่มเป็น 7-8.5% ส่วนกำไรสุทธิงวด 4Q67 ออกมาตามคาดที่ 790 ล้านบาท

ANI ปี 67 มีกำไรที่ 664.4 ล้านบาท ส่วนรายได้ทำได้ 8,426.9 ล้านบาท

ANI ปี 67 มีกำไรที่ 664.4 ล้านบาท ส่วนรายได้ทำได้ 8,426.9 ล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ANI ผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัท และบริษัทย่อย (รวมเรียกว่า “บริษัทฯ”) มีการเติบโตของรายได้ที่โดดเด่น โดยมีรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 42.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีมูลค่ารวม 8,426.9 ล้านบาท การเติบโตนี้เป็นผลจากกลุ่มประเทศฮ่องกง จีน เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ฐานการผลิตและการส่งออกที่มีการเติบโตสูง ตลอดจนการเพิ่มของสัญญาสายการบินในช่วงที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ ยังสามารถใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานจากการขนส่งทางทะเลไปยังการขนส่งทางอากาศ เนื่องจากความแออัดของการขนส่งทางทะเลที่เกิดจากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สถานการณ์ในทะเลแดง และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของสินค้า e-Commerce ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 134,844 ตัน เพิ่มขึ้น 21.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว           ทั้งนี้ ในครึ่งแรกของปี 2567 การดำเนินงานของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมากจากข้อจำกัดของพื้นที่บรรทุกสินค้าบนเส้นทางการขนส่งไปยังยุโรป อเมริกา และเส้นทางภายในเอเชียที่มีความต้องการสูงบางเส้นทาง ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม ในครึ่งหลังของปี 2567 ความแออัดของการขนส่งได้ลดลง และความสามารถในการขนส่งสินค้าทางอากาศกลับมาเป็นปกติหลังจากการฟื้นตัวของห่วงโซ่อุปทานหลังโควิด การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ขนส่งสินค้าทำให้ตลาดมีการแข่งขันมากขึ้น ทำให้ในปี 2567 นี้ อัตราผลตอบแทนและกำไรขั้นต้นกลับสู่ภาวะปกติ แม้ว่าจะทำให้กำไรขั้นต้นลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมปกติ เปรียบเทียบกับช่วงปี 2566 ที่ยังได้รับอานิสงส์จากการขาดแคลนชั่วคราวของอุปทาน ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการปรับตัวจากสถานการณ์ดังกล่าว และพยายามเพิ่มสัญญาสายการบินเพื่อเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้า และชดเชยกำไรที่สูญเสียไปจากการแข่งขันข้างต้น           ด้วยการเพิ่มขึ้นของรายได้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารก็เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของธุรกิจเช่นกัน ซึ่งเกิดจากการจัดตั้งสถานีใหม่ การขยายการดำเนินงานที่มีอยู่เพื่อรองรับสัญญาสายการบินใหม่ๆ ของบริษัทฯ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับปีนี้ ซึ่งกลับรายการจากกำไรของปีที่แล้ว โดยรายการดังกล่าวเป็นรายการระหว่างกันภายในบริษัทฯ เกี่ยวกับเงินปันผลคงค้าง จากปัจจัยเหล่านี้ บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิที่เป็นส่วนของเจ้าของปี 2567 จำนวน 664.4 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า           สำหรับกลยุทธ์ของธุรกิจ เพื่อตอบสนองต่ออุปทานที่จำกัดและความต้องการที่เพิ่มขึ้น บริษัทฯ ได้ดำเนินการเชิงรุกในการขยายอุปทานการขนส่งในฐานะตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบิน (“GSA”) โดยการเพิ่มสัญญา GSA ทั้งจากสายการบินเดิมในประเทศใหม่ และในประเทศอื่นเพิ่มเติม แม้จะมีการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น แต่ผู้บริหารยังคงพยายามจัดหาสัญญาใหม่เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด โดยในปี 2567 บริษัทฯ ได้จัดหาสัญญาเพิ่มเติม 6 ฉบับ ซึ่งบรรลุเป้าหมายในการจัดหาสัญญา GSA ใหม่ ตามแผนที่วางไว้ ตลอดจนการขยายประเทศที่ให้บริการ โดยเข้าไปลงทุนในกิจการร่วมค้าในประเทศอินเดีย โดยบริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายในการขยายประเทศที่ให้บริการในปี 2568 นี้ ในตลาดหลัก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และทวีปยุโรป

DELTA ดิ่งฟลอร์ โบรกฯ แนะเลี่ยงลงทุนระยะสั้น

DELTA ดิ่งฟลอร์ โบรกฯ แนะเลี่ยงลงทุนระยะสั้น

        หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ แนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนใน DELTA ในระยะสั้น หลังจากที่ ตลาดได้ตอบรับผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาดการณ์ใน 4Q67 เนื่องจากกำไรของ DELTA ในไตรมาสนี้อยู่ต่ำกว่าประมาณการของตลาดและของบล.กรุงศรี อย่างมากถึง 60% โดยลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียง 2 พันล้านบาท (-53% yoy, -67% qoq) ซึ่งเป็นกำ ไรรายไตรมาสทต่ำที่สุดในรอบสามปี คำแนะนำปัจจุบันคือ “ขาย” ที่ราคาเป้าหมาย 110 บาท *กำไร 4Q67 ออกมาต่ำคาดอย่างมาก         รายได้ของ DELTA ใน 4Q67 อ่อนตัวลง 3% qoq สู่ระดับ 41.7 พันล้านบาท (+11% yoy) ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัยเล็กน้อย แต่ GPM อยู่ที่เพียง 22.5% เทียบกับ 27.6% ใน 3Q67 ต่ำกว่าประมาณการที่ 25.5% ซึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่บันทึกในไตรมาสนี้อยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) พุ่งสูงขึ้นสู่ระดับ 7 พันล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา โดยมีผลมาจากค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นให้กับ DELTA ไต้หวัน หลังจากมีการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน *มีความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรปี 68         ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอใน 4Q67 ทำให้กำไรของ DELTA ในปี 67เติบโตเพียง 4.5% yoy สู่ระดับ 1.89 หมื่นล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของเรา 17% สิ่งนี้ส่งผลให้มีความเสี่ยงด้านลบต่อประมาณการกำไรสำหรับปี 68 ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท (+34% yoy) ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างรอการอัพเดทเพิ่มเติมจากบริษัทเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ก่อนที่จะปรับปรุงประมาณการกำไร *หลีกเลี่ยงในระยะสั้น         ราคาหุ้นของ DELTA มักจะได้รับการประเมินมูลค่าที่พรีเมี่ยมเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่ม เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์แนวโน้มการเติบโตในอนาคต ได้แก่ AI และ data centerอย่างไรก็ตาม ด้วยผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาดการณ์ใน 4Q67 และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับต้นทุนในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่าย SG&A และ GMT ซึ่งจะกดดันการเติบโตในปี 68         แนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนใน DELTA ในระยะสั้น แม้ว่าราคาหุ้นจะลดลงมากกว่า 35% จากระดับสูงสุดและซื้อขายใกล้เคียงกับราคาเป้าหมาย ทั้งประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) และ P/E มีความเสี่ยงด้านลบ ราคาเป้าหมาย 110 บาท อิงจาก P/E 57 เท่า(+0.5SD) และมีประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 67 ที่ 0.46 บาทต่อหุ้น

MEDEZE คาดกำไรปี 68-69 โต 25% ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมหนุน

MEDEZE คาดกำไรปี 68-69 โต 25% ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมหนุน

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุว่า MEDEZE จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว “MEDEZE Hair Renaissance” ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมแห่งแรกในเอเชีย ที่ให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์รากผม ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุด ในการเก็บเซลล์รากผมในช่วงที่แข็งแรงและสมบูรณ์ที่สุด สามารถรองรับการเก็บเซลล์ในบุคคลทุกช่วงวัย สามารถเก็บเซลล์ไว้ใช้ในอนาคตได้ โดยใช้เทคโนโลยี Cryopreservation ในการแช่แข็งเซลล์รากผมที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ปราศจากการปนเปื้อน พร้อมระบบความปลอดภัยสูง และการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด ใช้เส้นผมเพียง 50 เส้น สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ได้ถึง 50 ล้านเซลล์ เพื่อรักษาคุณภาพและความสามารถในการเจริญเติบโตของเซลล์            ► สำหรับธุรกิจ MEDEZE Hair Renaissance บริษัทตั้งเป้าให้บริการลูกค้า 500 เคส ภายในปี 2025 และเพิ่มเป็น 5,000 เคส ภายในปี 2030 Our Take            ► เรามีมุมมองเป็นบวกต่อการเปิดตัว “MEDEZE Hair Renaissance” ซึ่งถือว่าเป็นไปตามแผนที่บริษัทได้แจ้งไว้ในตอนระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นให้ประชาชน (IPO) ที่จะช่วยขยายฐานรายได้และลูกค้ากลุ่มใหม่มากขึ้น            ► ด้านแนวโน้มผลประกอบการยังคงเติบโตดีต่อเนื่อง YoY ใน 4Q24 เราคงประมาณการกำไรปี 2024 ที่ 332 ล้านบาท (+39%YoY) ปัจจัยหลักจากการเติบโตของธุรกิจ Stem Cells จากการบริการรับฝากเซลล์และเพิ่มจำนวนเซลล์ต้นกำเนิดจากเนื้อเยื่อสายสะดือ และรายได้จากการเพิ่มจำนวนเซลล์เนื้อเยื่อไขมันเพิ่มขึ้น จากการขยายขนาดทีมขายของกลุ่มบริษัทฯ ทำให้สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับรายได้จากบริการทดสอบศักยภาพ NK Cells เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มจำนวนตัวแทนการให้บริการทั้ง Dealer และ Agent            ► คาดกำไรปี 2025-2026 เติบโตเฉลี่ย 25% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1. การเติบโตจาก Organic Growth ราว 20% รับผลบวกจากการเติบโตของธุรกิจตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells) 2. เติบโตจากการขยายธุรกิจใหม่ MEDEZE Hair Renaissance ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมแห่งแรกในเอเชีย            ► คงคำแนะนำ “ซื้อ” เรามองว่าราคาปรับลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว ประเด็นที่ธุรกิจ Stem Cells เคยถูกโจมตี ทางแพทยสภาได้ให้การยอมรับแล้ว ขณะที่ทางรัฐบาลให้การสนับสนุน จากการประชุมวงการแพทย์และสาธารณสุข ได้จัดให้อยู่ในกลุ่มนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ด้านผลประกอบการยังทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง เราคงมูลค่าพื้นฐานปี 2025 ที่ 12.60 บาท

JR สุดฮอต! คว้างานใหม่ของ“ ซิโน-ไทยฯ”มูลค่า 98 ลบ.

JR สุดฮอต! คว้างานใหม่ของ“ ซิโน-ไทยฯ”มูลค่า 98 ลบ.

          บมจ. เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ (JR) แจกข่าวดี! คว้างานใหม่ของบริษัท ซิโน-ไทยฯ ในโครงการ Solar Power Plant มูลค่า 98 ล้านบาท ระยะเวลา 13 เดือน สอดรับกลยุทธ์รับงาน Quick Win และ Oil & Gas  ดันผลงานเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน มั่นใจปี 68 Backlog ทะลุ 9,000 ล้านบาท ตามแผนที่วางไว้           นายสุรเดช อุทัยรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) (JR) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้รับแจ้งลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงสั่งจ้างงาน จาก บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)  สำหรับโครงการ Supply and Installation of Electrical Package โครงการ SB – PYO1 Solar Power Plant มูลค่าโครงการ 98,200,000 บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 13 เดือน นับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญา           "การได้รับงานใหม่จากซิโน-ไทยฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของคู่ค้า ที่มีต่อ JR ในฐานะผู้รับเหมาฯ ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจงานระบบไฟฟ้าและไอซีที"           ภายหลังการได้รับงานในครั้งนี้ ส่งผลให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มเป็น 8,062.2 ล้านบาท ทยอยรับรู้ภายใน 1-3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทฯ ยังคงสานต่อกลยุทธ์ Quick Win ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับธุรกิจ Oil & Gas ที่ทีมงานมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งถือเป็นจุดแข็ง และคู่แข่งในตลาดมีน้อย อีกทั้งมาร์จิ้นยัง อยู่ในระดับสูง รวมทั้งงานที่เป็นประเภท Green Energy เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตมั่นคง           รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JR กล่าวอีกว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังภาครัฐและเอกชนเดินหน้าขยายการลงทุน ซึ่งส่งผลดีกับบริษัทฯในฐานะผู้ให้บริการงานด้านระบบไฟฟ้าและไอซีทีของ JR ซึ่งเติบโตตามเทรนด์โลกที่ทุกภาคส่วนล้วนมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับองค์กร หนุน Backlog ในปีนี้ แตะ 9,000 ล้านบาท ตามแผนงานที่วางไว้           ทั้งนี้ งานบริการหลักของ JR ประกอบด้วย ธุรกิจรับเหมาวางระบบ (Turnkey Project) ทั้งงานระบบไฟฟ้า (Electrical Power System) ที่ให้การออกแบบ จัดหา ก่อสร้าง และติดตั้งระบบไฟฟ้าครบวงจร รวมถึงสายส่งไฟฟ้าแรงสูง (High Voltage Transmission Line System) และสถานีไฟฟ้าย่อย (High Voltage Substation) รวมถึงงานเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (Telecom & ICT) ซึ่งรวมถึงการออกแบบ จัดหา ติดตั้งอุปกรณ์ วางระบบรวมทั้งให้คำปรึกษาด้านระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจการให้บริการซ่อมบำรุงรักษา (Maintenance) โดยบริษัทฯ ให้บริการซ่อมและบำรุงรักษาอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจการจำหน่ายอุปกรณ์ (Supply) บริษัทฯ จำหน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ [PR News]

[ภาพข่าว] IHL  ร่วมออกบูธแสดงสินค้าในงานระดับโลก NW Material Show February 2025

[ภาพข่าว] IHL ร่วมออกบูธแสดงสินค้าในงานระดับโลก NW Material Show February 2025

          หุ้นวิชั่น - คุณองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหาร (คนที่ 1 จากซ้าย) และคุณวศิน ดำรงสกุลวงษ์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไป (คนที่ 2 จากซ้าย) บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายหนังสำหรับรถยนต์ รองเท้า ร่วมออกบูธแสดงสินค้าของบริษัทในงานระดับโลกอย่าง NW Material Show February 2025 ที่เมือง Portland และ Oregon ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นงานแสดงวัสดุและเทคโนโลยีชั้นนำที่มีผู้ประกอบการจากหลากหลายประเทศเข้าร่วม โดย IHL ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์หนังคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดสากล

จับตา GPSC 4Q24 เติบโตเด่น Bloomberg ให้เป้า 40.56 บาท

จับตา GPSC 4Q24 เติบโตเด่น Bloomberg ให้เป้า 40.56 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง GPSC ว่า แนวโน้มผลงาน 4Q24 เติบโตเด่น            แนวโน้มผลประกอบการ 4Q24 จาก Bloomberg ราว 1.0-1.1 พันล้านบาท ขยายตัว QoQ และ YoY เนื่องจาก 1. ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ และราคาถ่านหินที่ลดลง ในขณะที่ค่า Ft ยังคงที่ 4.18 บาท/หน่วย จากไตรมาสก่อน ทำให้แนวโน้ม margin ของโรงไฟฟ้า SPP ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 25% (จาก 3Q24 ที่23%) 2. ปริมาณการขายไฟที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าเก็คโค-1 กลับมาเดินเครื่องเกือบเต็มไตรมาส หลังปิดซ่อมตามแผนใน 3Q24 3. รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการไซยะบุรีที่ดีขึ้น จากการดำเนินงานที่ราบรื่น ไม่มีการหยุดการดำเนินงาน ส่วนภาพทั้งปีคาดการณ์ที่ 4.2 พันล้านบาท +12%YoY            สำหรับแนวโน้มปี 25F ยังมีปัจจัยบวลบผสมผสานกัน โดยมีปัจจัยหนุนจากการปรับเพิ่มสัญญา Gas-linked ของลูกค้าแตะระดับ 70% และพร้อมขานรับการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ยังประเมินการกลับมาดำเนินงานอย่างราบรื่นของโครงการไซยะบุรี รวมถึงโครงการร่วมทุน อื่นๆ และการขยายธุรกิจไปยังอินเดีย (Avaada) ส่วนปัจจัยลบ โอกาสในการปรับลดค่า Ft ในปีนี้ยังมีอยู่            ในเชิง sentiment รับปัจจัยบวกจาก GPSC ถูกเพิ่มเข้าสู่ดัชนี MSCI Global Small Cap ซึ่งจะปรับน้ำหนักดัชนีในวันที่ 28 ก.พ. และตลาดได้ปรับลดประมาณการกำไรในปี 24-25F พอสมควรแล้ว โดยราคาเป้าหมายเฉลี่ยปัจจุบันจาก Bloomberg อยู่ที่ 40.56 บาท            แนวรับ 27/25.75 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา แนวต้าน 28/30/31

AOT แจงยิบ ไม่ได้แก้ไขสัญญาสัมปทาน “คิง เพาเวอร์” ยังดำเนินการตามสัญญา

AOT แจงยิบ ไม่ได้แก้ไขสัญญาสัมปทาน “คิง เพาเวอร์” ยังดำเนินการตามสัญญา

         หุ้นวิชั่น - บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่ปรากฏหัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์รายวัน “ข่าวหุ้นธุรกิจ” เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ระบุว่า “คิงเพาเวอร์เผชิญสภาพคล่องตกต่ำ จับตาอาจต้องแก้สัญญาเพิ่ม” นั้น บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า ทอท.มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์จากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดย ทอท.ขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ดังนี้          1.สารสนเทศดังกล่าวได้ระบุถึง ความเห็นของนักวิเคราะห์ที่ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารของ ทอท. โดย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุว่า ปัญหาสภาพคล่องของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์อาจมีผลกระทบต่อรายได้ของ ทอท. หากสถานการณ์นี้ยังยืดเยื้อ ซึ่งอาจนําไปสู่การเจรจาปรับเงื่อนไข เกี่ยวกับข้อตกลงสัมปทาน โดยเฉพาะในเรื่องค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของ ทอท.จากการสัมปทานดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันรายได้จากสัมปทานมีสัดส่วนประมาณ 33% ของรายได้รวมที่ ทอท. คาดว่าจะได้รับในปีงบประมาณ 2568 และยังเป็นแหล่งกําไรหลักของ ทอท. หากมีการปรับเงื่อนไขสัมปทานจริง อาจส่งผลกระทบต่อประมาณการกําไรของ ทอท. ในด้านการลงทุน CGSI มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่แน่นอน ซึ่งอาจทำให้เกิดความกังวลจากนักลงทุน โดยคาดว่าราคาหุ้นของ ทอท.อาจได้รับแรงกดดันในเชิงลบในระยะสั้น เช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) หรือ KS ระบุว่า ทอท.กําลังเผชิญกับปัญหาลูกหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้น จากการที่ผู้รับสัมปทานขอเลื่อนการชําระเงินออกไปอีก 18 เดือน โดยระหว่างนี้ผู้รับสัมปทานจะต้องจ่ายค่าปรับในอัตราประมาณ 18% ต่อเดือน          2. ทอท.ขอชี้แจงว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) มีหนังสือถึง ทอท. ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2567 เรื่อง ขอความอนุเคราะห์เลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากการประกอบกิจการจำหน่าย สินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) โดยระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในหลายประเทศตั้งแต่ต้นปี 2563 ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะต่อ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย รวมถึง KPD ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรง เนื่องจากรัฐบาล ได้ออกข้อกำหนดในการจำกัดและควบคุมการเดินทางอย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้จำนวน เที่ยวบินและผู้โดยสารลดลงอย่างมาก ทำให้ KPD ไม่สามารถดำเนินธุรกิจตามสัญญาได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ KPD ประสบปัญหาสถานการณ์โควิด-19 นั้น KPD ก็พยายามประคับประคองธุรกิจให้ดำเนินการต่อ เพื่อให้ธุรกิจรวมถึงพนักงานทุกคนสามารถอยู่รอดในสภาวะที่ยากลำบากนี้ อันเกิดจากการที่ร้านค้าจำหน่ายสินค้า ปลอดอากรต้องปิดร้านค้าชั่วคราวตามคำสั่งของรัฐบาลอันเนื่องมาจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 และเป็นเหตุให้พนักงานขายต้องขาดรายได้หลัก และส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพอย่างมาก แต่ด้วยความอนุเคราะห์ของ ทอท. ที่ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการฯ ในสนามบิน โดยการให้ผู้ประกอบการฯ เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ ตอบแทนเพื่อให้สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ จากการที่ KPD ได้รับมาตรการการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน จาก ทอท. KPD จึงสามารถดูแลและเยียวยาพนักงานของ KPD ได้จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ของ โรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่ KPD ยังคงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง และไม่สามารถฟื้นคืนธุรกิจได้อย่าง เต็มที่ตามที่เคยประเมินไว้ รวมถึงความจําเป็นที่ต้องลงทุนเป็นจำนวนมากเพื่อการปรับปรุง ก่อสร้าง ติดตั้งระบบต่าง ๆ ภายในอาคารผู้โดยสาร ทสภ., ทภก. และ ทดม. เป็นผลให้ KPD ประสบปัญหาสภาพคล่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกเหนือจากนั้น การที่สถาบันการเงินมีนโยบายไม่ปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติม รวมถึงการทยอยครบกำหนดชำระหนี้ต่าง ๆ กับสถาบันการเงิน และค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่ครบกำหนดชำระให้แก่ ทอท. (งวดปกติและงวดที่ถึงกำหนดชําระ จากการเลื่อนชําระ) และการชําระค่าสินค้าที่ได้สั่งซื้อไว้กับ Supplier (ซึ่งเป็นหัวใจหลักเพื่อให้มีสินค้าไว้จําหน่าย) ทำให้สถานะทางการเงินของ KPD ที่มีภาระต้องชําระค่าภาระต่าง ๆ เกิดการกระจุกตัวในช่วงที่ผ่านมาเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น จำนวนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ KPD ต้องชําระให้แก่ ทอท.นั้น คิดเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง จากการที่ประมาณการเติบโตของยอดใช้จ่ายของผู้โดยสารไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เนื่องจากประมาณการที่เติบโตฯ ดังกล่าวประเมินจากสถานการณ์ก่อนเกิดวิกฤตการณ์โรคโควิด-19 เป็นผลให้สัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับรายได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตาม เป้าหมายที่กำหนดไว้ เนื่องจากการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้โดยสารระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และการใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าปลอดอากรก็เติบโตน้อยลงกว่าที่ได้ประมาณการไว้ จากเหตุผลดังกล่าวเป็นเหตุให้รายได้ ของ KPD ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และประสบกับปัญหาขาดทุน โดยในปี 2566 ขาดทุนถึง จำนวน 651,512,785 บาท ซึ่ง KPD ได้พยายามดำเนินการในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 จนถึงปัจจุบัน KPD ก็ยังคงประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด จากข้อเท็จจริงดังกล่าว KPD จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องขอความอนุเคราะห์จาก ทอท. ในการเลื่อนการชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำซึ่งครบกำหนดชําระตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 จนถึง เดือนกรกฎาคม 2568 (รวม 12 งวด) ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน ซึ่งจะทำให้ KPD มีระยะของช่องว่าง ทางการเงินที่เพียงพอกับการฟื้นฟูให้สภาพคล่องของ KPD กลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง รวมถึงการขอเลื่อน ชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนนับแต่งวดชําระปลายเดือนสิงหาคม 2567 นั้น สืบเนื่องมาจากช่วงดังกล่าวเริ่มเข้าสู่ ฤดูท่องเที่ยว (Peak Season) KPD คาดการณ์ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ในช่วง Peak Season ดังนั้น KPD จึงต้องเตรียมความพร้อมเพื่อการสั่งซื้อสินค้ามาจําหน่ายเพิ่มเติม เพื่อรองรับ ผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ณ ทสภ. ทภก. และ ทดม. ในช่วงดังกล่าว และเพื่อให้สามารถผลักดันยอดรายได้จากฤดูกาล ท่องเที่ยวที่กําลังจะมาถึงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถกระทำได้ นอกจากนี้ การเลื่อนชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทน ขั้นต่ำดังกล่าวจะทำให้ KPD ไม่มีภาระเพิ่มเติมในช่วงระหว่างการเลื่อนชําระ และจะทำให้KPD สามารถแก้ปัญหา สภาพคล่องในปัจจุบันตามที่กล่าวข้างต้นได้ โดย KPD คาดหวังว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น และจะทำให้สภาพคล่อง ทางการเงินดีขึ้นตามลำดับ และกลับเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงปี 2569 ทั้งนี้ KPD ใคร่ขอเรียนว่าการขอเลื่อนการชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตามที่กล่าว ข้างต้นนั้น เกิดจากผลกระทบจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นพร้อมกันและต่อเนื่อง (ตามข้อเท็จจริงที่เรียนไว้ข้างต้น) อันเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ของสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ไม่คาดคิดและเป็นเหตุสุดวิสัยที่ KPD ไม่สามารถควบคุมได้ จนส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (ถึงแม้สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับก็ตาม) ทำให้รายได้ของ KPD ไม่เป็นไปตามที่ KPD คาดการณ์ไว้และนํามาสู่ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้          3.ทอท.ได้พิจารณาหนังสือดังกล่าวจาก KPD ตามข้อ 2 แล้ว และได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจาก ผลประกอบการตามสัญญา พบว่าสัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของ KPD อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับ รายได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้จึงมีความเห็นว่า KPD ประสบปัญหาสภาพคล่องตามที่ได้ระบุในหนังสือฯ จริง และการดำเนินการดังกล่าวเป็นการแจ้งการผิดนัดชำระหนี้ ตามเงื่อนไขในสัญญา ซึ่งไม่เกิดความเสียหายแก่ ทอท. แต่เนื่องจากสัญญาได้ระบุค่าปรับผิดนัดชำระไว้ที่ร้อยละ 18 ทอท.จึงแจ้งต่อคู่สัญญา ตามหนังสือที่ ทอท.16818/2567 อนุญาตให้KPD เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ของเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน โดยไม่ยกเว้นการเรียกเก็บ ค่าปรับจากการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าว          4.ที่ผ่านมา ในปี 2567 ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง เช่น กลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าเชิงพาณิ ชย์ ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) กลุ่มผู้ประกอบการรถเช่า สายการบินบางราย และบริษัทร่วม ต่างประสบปัญหาในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ดังระบุในข้อ 3 เป็นผลให้ในปี 2567 มีผู้ประกอบการกว่า 70 ราย ขอเลื่อนชำระ/ผ่อนชำระ ขอยกเลิก ประกอบกิจการ ขอลดขนาดพื้นที่ จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ประกอบการฯ สายการบิน หรือคู่ค้าอื่น ๆ ของ ทอท. ประสบปัญหาจากการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ทอท. เช่น ผลประกอบการขาดทุน จนทำให้สภาพคล่อง ไม่เพียงพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายให้แก่ ทอท.ตามกำหนด ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการฯ ของ ทอท.โดยเฉลี่ยมีการชำระ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำสูงกว่าอัตราส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) เกินกว่าร้อยละ 50 ในการนี้ ผู้ประกอบการฯ บางส่วนจึงได้แสดงเจตนาพร้อมเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนเพื่อขอผ่อนชำระ ขยายระยะเวลา การชำระเงิน หรือปรับโครงสร้างการชำระเงิน โดย ทอท.ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อ ทอท.แล้ว พบว่าการอนุญาตให้ ผู้ประกอบการฯ ปรับโครงสร้างการชำระเงินจะเป็นประโยชน์กับ ทอท.มากกว่าการไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการฯ ดำเนินการตามที่ร้องขอ รวมทั้งดีกว่าการยกเลิกสัญญาและทำการประมูลใหม่ เนื่องจากอาจทำให้ ทอท.ได้รับ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนต่ำกว่าที่เคยได้รับอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ผ่านมา ทอท.จะเรียกเก็บค่าปรับจากการผิดนัดชำระ ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขสัญญาในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราค่าปรับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเบี้ยปรับของรัฐวิสาหกิจอื่น และสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2564 ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี อย่างมีนัยสำคัญ          5.ดังนั้น เพื่อให้ ทอท.ยังสามารถรักษาผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่มีศักยภาพ แต่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง ภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์สงครามในยูเครนและอิสราเอล ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ทอท.จึงได้จัดทำ โครงการขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ประกอบการฯ และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ที่เผชิญ สภาพคล่องตกต่ำ เสนอคณะกรรมการ ทอท. ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ซึ่งที่ประชุม ได้มีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ ดังกล่าว โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ 5.1.1 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะต้องมีหนังสือแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ล่วงหน้าก่อนวันครบกำหนดชำระเงินตามสัญญา พร้อมทั้งต้องแสดงเหตุผลของการขาดสภาพคล่องให้ ทอท.พิจารณา ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 5.1.2 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่ขอเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีหลักประกันสัญญา และวงเงินของหลักประกันสัญญาต้องครอบคลุมเงินต้นรวมกับค่าปรับจากการผิดนัดชำระในอัตรา 18% ต่อปี 4 5.1.3 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะสามารถเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระค่าผลประโยชน์ ตอบแทน หรือค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) โดยระยะเวลาที่ขอเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระ งวดสุดท้ายจะต้องสิ้นสุดไม่เกินอายุสัญญาและไม่เกิน 24 เดือน นับถัดจากเดือนที่ ทอท.มีมติอนุมัติโครงการฯ (มกราคม 2570) 5.1.4 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินต้องชำระดอกเบี้ยของยอดเงินที่ขอเลื่อน และ/หรือ แบ่งชำระทุกเดือน ตามอัตราที่ ทอท.กำหนด โดยอัตราดอกเบี้ย (ร้อยละต่อปี) คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย ที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (Minimum Loan Rate : MLR) ของธนาคารพาณิชย์ ขนาดใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบวกเพิ่มอีก 2% ต่อปีซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าต้นทุนทางการเงิน (Weighted Average Cost of Capital : WACC) ของ ทอท. โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR และ WACC ณ วันที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินแต่ละราย ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ทอท.อนุมัติเป็นต้นไป โดยไม่มีผลย้อนหลัง (ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องชำระดอกเบี้ยให้ ทอท. ทุกเดือน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง ซึ่งโดยปกติแล้ว ทอท.จะเรียกเก็บดอกเบี้ยกรณีผิดนัดชำระพร้อมกับเงินต้น ในคราวเดียวกัน) 5.1.5 ในกรณี ที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินผิดนัดชำระเงินของโครงการฯ งวดใดงวดหนึ่งหรือมีหนี้สินเกิดขึ้นใหม่ ให้ถือว่าสิทธิ์ตามโครงการนี้สิ้นสุดลงทันที และ ทอท.จะดำเนินการตามเงื่อนไข สัญญาต่อไป 5.1.6 ทอท.ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตามความเหมาะสมและยกเลิกโครงการฯ ได้และ ให้ผลการพิจารณาของ ทอท. ถือเป็นที่สุด จากการชี้แจงดังกล่าว ทอท.ขอยืนยันว่า ทอท.มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดย ปฏิบัติตาม หลักธรรมาภิบาล และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างเคร่งครัด

คัด 8 หุ้น Laggard คาดดัชนี้ SET ผันผวน

คัด 8 หุ้น Laggard คาดดัชนี้ SET ผันผวน

          หุ้นวิชั่น  - บล.เอเซียพลัส ประเมินดัชนีดูผันผวน แต่..หุ้นรายตัวมีโอกาสฟื้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง -12 จุด มาอยู่ที่ 1272 จุด โดยหลักถูกกดดันจาก 2 บริษัท ถึง 11 จุด จาก AOT -8.56 จุด และ DELTA -2.5 จุด ความผันผวนจากทั้ง 2 บริษัทยังมีต่อในวันนี้จาก DELTA กำไรต่ำคาด -60% และ AOT กังวลประเด็นลูกหนี้ขยาย ระยะเวลาในการชำระ ประเมินทุกๆ การเปลี่ยนแปลง 1 บาท ของ AOT กดดัน SET -1.15 จุด กดดัน SET50 -1 จุดและทุกๆ การเปลี่ยนแปลง DELTA กดดัน SET -1 จุด กดดัน SET50 -0.9 จุด           แม้ดัชนี SET Index จะผันผวน แต่หากลงรายละเอียดเป็นรายหุ้นผ่าน AD Line พบว่า เริ่มมีจำนวนหุ้นที่ปรับตัวลงน้อยลง (ลงกระจุก) และจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากขึ้น (ขึ้นกระจายตัวมากขึ้น) ขณะเดียวกันต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินไทยมากขึ้น โดยซื้อสุทธิทุกตลาดในเดือน ก.พ. (mtd) เริ่มจากต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1.4 พันล้านบาท (mtd) , ซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย 5.6 พันล้านบาท (mtd), ซื้อสุทธิ SET50Futures 75,769 สัญญา ตรงกันข้ามกับสถาบันในประเทศ ขายสุทธิหุ้นไทย -8.2 พันล้านบาท (mtd)           กลยุทธ์การลงทุนเริ่มเห็น Rotation มาที่หุ้น Laggard แนะนำ CPALL, HMPRO, BDMS, GPSC, MINT, IVL, SCGP, AP

AOT ยันไม่แก้ไขสัญญาสัมปทาน คิงเพาเวอร์แค่เลื่อนจ่าย

AOT ยันไม่แก้ไขสัญญาสัมปทาน คิงเพาเวอร์แค่เลื่อนจ่าย

         หุ้นวิชั่น – AOT หรือ ทอท.ยัน มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง แค่เลื่อนจ่ายผลประโยชน์ และชำระค่าปรับ 18 % ตามสัญญา นายกฤช ภาคากิจ เลขานุการบริษัท ทอท. หรือ AOT ได้ชี้แจงมายังตลาดหลักทรัพย์ว่า ได้พิจารณาหนังสือดังกล่าวจาก บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด หรือ KPD เรื่อง ขอความอนุเคราะห์เลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากการประกอบกิจการจำหน่าย สินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)          โดยระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในหลายประเทศตั้งแต่ต้นปี 2563 ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะต่อ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย รวมถึง KPD ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรง          และได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจาก ผลประกอบการตามสัญญา พบว่าสัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของ KPD อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับ รายได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงมีความเห็นว่า KPD ประสบปัญหาสภาพคล่องตามที่ได้ระบุในหนังสือฯ จริง          และการดำเนินการดังกล่าวเป็นการแจ้งการผิดนัดชำระหนี้ ตามเงื่อนไขในสัญญา ซึ่งไม่เกิดความเสียหายแก่ ทอท. แต่เนื่องจากสัญญาได้ระบุค่าปรับผิดนัดชำระไว้ที่ร้อยละ 18 ทอท.จึงแจ้งต่อคู่สัญญา ตามหนังสือที่ ทอท.16818/2567 อนุญาตให้ KPD เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ของเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน โดยไม่ยกเว้นการเรียกเก็บ ค่าปรับจากการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าว          ที่ผ่านมา ในปี 2567 ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ ง 6 แห่ง เช่น กลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าเชิงพาณิชย์ ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) กลุ่มผู้ประกอบการรถเช่า สายการบินบางราย และบริษัทร่วม ต่างประสบปัญหาในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์  เป็นผลให้ในปี 2567 มีผู้ประกอบการกว่า 70 ราย ขอเลื่อนชำระ/ผ่อนชำระ ขอยกเลิก ประกอบกิจการ ขอลดขนาดพื้นที่ จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ประกอบการฯ สายการบิน หรือคู่ค้าอื่น ๆ ของ ทอท. ประสบปัญหาจากการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ทอท. เช่น ผลประกอบการขาดทุน จนทำให้สภาพคล่อง ไม่เพียงพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายให้แก่ ทอท.ตามกำหนด          ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการฯ ของ ทอท.โดยเฉลี่ยมีการชำระ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำสูงกว่าอัตราส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) เกินกว่าร้อยละ 50 ในการนี้ ผู้ประกอบการฯ บางส่วนจึงได้แสดงเจตนาพร้อมเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนเพื่อขอผ่อนชำระ ขยายระยะเวลา การชำระเงิน หรือปรับโครงสร้างการชำระเงิน          โดย ทอท.ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อ ทอท.แล้ว พบว่าการอนุญาตให้ ผู้ประกอบการฯ ปรับโครงสร้างการชำระเงินจะเป็นประโยชน์กับ ทอท.มากกว่าการไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการฯ ดำเนินการตามที่ร้องขอ รวมทั้งดีกว่าการยกเลิกสัญญาและทำการประมูลใหม่ เนื่องจากอาจทำให้ ทอท.ได้รับ ค่าผลประโยชน์ตอบแทนต่ำกว่าที่เคยได้รับอย่างมีนัยสำคัญ          โดยที่ผ่านมา ทอท.จะเรียกเก็บค่าปรับจากการผิดนัดชำระ ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขสัญญาในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราค่าปรับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเบี้ยปรับของรัฐวิสาหกิจอื่น และสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2564 ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี อย่างมีนัยสำคัญ          ดังนั้น เพื่อให้ ทอท.ยังสามารถรักษาผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่มีศักยภาพ แต่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่องภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์สงครามในยูเครนและอิสราเอล ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้          ทอท.จึงได้จัดทำ โครงการขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ประกอบการฯ และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ที่เผชิญ สภาพคล่องตกต่ำ เสนอคณะกรรมการ ทอท. ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ซึ่งที่ประชุม ได้มีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ ดังกล่าว โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะต้องมีหนังสือแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ล่วงหน้าก่อนวันครบกำหนดชำระเงินตามสัญญา พร้อมทั้งต้องแสดงเหตุผลของการขาดสภาพคล่องให้ ทอท.พิจารณา ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่ขอเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีหลักประกันสัญญา และวงเงินของหลักประกันสัญญาต้องครอบคลุมเงินต้นรวมกับค่าปรับจากการผิดนัดชำระในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี 4 5.1.3          ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะสามารถเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระค่าผลประโยชน์ ตอบแทน หรือค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) โดยระยะเวลาที่ขอเลื่อน และ/หรือแบ่งชำระ งวดสุดท้ายจะต้องสิ้นสุดไม่เกินอายุสัญญาและไม่เกิน 24 เดือน นับถัดจากเดือนที่ ทอท.มีมติอนุมัติโครงการฯ (มกราคม 2570)          ผู้ประกอบการฯ และสายการบินต้องชำระดอกเบี้ยของยอดเงินที่ขอเลื่อน และ/หรือ แบ่งชำระทุกเดือน ตามอัตราที่ ทอท.กำหนด โดยอัตราดอกเบี้ย (ร้อยละต่อปี) คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย ที่ ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (Minimum Loan Rate : MLR) ของธนาคารพาณิชย์ ขนาดใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบวกเพิ่มอีกร้อยละ 2 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าต้นทุนทางการเงิน (Weighted Average Cost of Capital : WACC) ของ ทอท. โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR และ WACC ณ วันที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินแต่ละราย ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ทอท.อนุมัติเป็นต้นไป โดยไม่มีผลย้อนหลัง (ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องชำระดอกเบี้ยให้ ทอท. ทุกเดือน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง ซึ่งโดยปกติแล้ว ทอท.จะเรียกเก็บดอกเบี้ยกรณีผิดนัดชำระพร้อมกับเงินต้น ในคราวเดียวกัน)          ในกรณีที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินผิดนัดชำระเงินของโครงการฯ งวดใดงวดหนึ่งหรือมีหนี้สินเกิดขึ้นใหม่ ให้ถือว่าสิทธิ์ตามโครงการนี้สิ้นสุดลงทันที และ ทอท.จะดำเนินการตามเงื่อนไข สัญญาต่อไป 5.1.6 ทอท.ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตามความเหมาะสมและยกเลิกโครงการฯ ได้ และ ให้ผลการพิจารณาของ ทอท. ถือเป็นที่สุด          จากการชี้แจงดังกล่าว ทอท.ขอยืนยันว่า ทอท.มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิบัติตาม หลักธรรมาภิบาล และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างเคร่งครัด

ASL คาด SET แกว่งตัว “Sideway” กรอบ 1,260-1,292 จุด ชี้ GPSC เด่น!

ASL คาด SET แกว่งตัว “Sideway” กรอบ 1,260-1,292 จุด ชี้ GPSC เด่น!

          หุ้นวิชั่น - บล.เอเอสแอล ประเมินแนวโน้ม SET Index แนวโน้ม SET Index ประเมินแกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,260-1,292 จุด โดยตลาดซึมซับแผนเก็บภาษีตอบโต้ของทรัมป์ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ จะพิจารณาแต่ละประเทศเป็นรายกรณีและคาดว่าการศึกษาในประเด็นนี้จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 เม.ย. ทั้งนี้ตลาดให้ความสำคัญกับทรัมป์ว่าเขาจะทำอะไร และทิศทางการตอบโต้ทางด้านภาษีจะเป็นไปในทิศทางไหน รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งแรกของปีนี้หลังเจอปัจจัยกดดันมั้งการเก็บภาษีเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25%, การเพิ่มขึ้นของ CPI ที่สูงกว่าคาด และความเห็นในเชิงคุมเข้มนโยบายของพาวเวล ทำให้คาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงดอกเบี้ยจนถึงมิ.ย.           สำหรับปัจจัยในประเทศมีมาตรการ Jump+ จาก ตลท. ที่จะเสนอแก่ก.คลัง ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นตลาดระยะกลาง โดยจะมีการเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเสนอยกเว้นภาษีกำไรส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นระหว่างร่วมโครงการหากสามารถเติบโตได้ตามแผน รวมทั้งไม่เก็บภาษีย้อนหลังกับบริษัทนอกตลาดที่ถูกควบรวมหรือซื้อกิจการกับบริษัทในโครงการ           นอกจากนี้ยังสนับสนุนการทำ M&A เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของผลประกอบการบจ. ขณะที่มาตรการระยะสั้น จะมีการรื้อฟื้น กองทุน LTF ซึ่งจะศึกษาและนำเสนอแนวทางการย้ายกองมายัง TESG เพื่อสนับสนุน Trust & Confidence รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนใน ESG มองเป็นบวกต่อกลุ่ม Big cap. ส่วนด้าน Earnings season มีรายงานงบ DELTA ต่ำคาด 60% และ TOP ดีกว่าคาด 23% รวมถึงประเด็นของ AOT ที่อาจกระทบต่อกลุ่มธนาคาร           นอกจากนี้ติดตาม  PMI สหรัฐฯ ยุโรป, ข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯ ตัวเลข GDP ของไทย และฝันสุดท้ายของการ Hearingเกณฑ์ Cap weigh.           Stock Pick: GPSC แนวโน้มผลงาน 4Q24 เติบโตเด่น เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 31.00 บาท

AOT โบรกมองราคาหุ้นปรับลง  โอกาส หรือ ความเสี่ยง?

AOT โบรกมองราคาหุ้นปรับลง โอกาส หรือ ความเสี่ยง?

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินหุ้น AOT โดยฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย (TP25F) 64.50 บาท ราคาหุ้น AOT ลดลง -14%dd มาปิดที่ 47 บาท ใกล้กรณีWorst case หากต้องยกเลิกสัญญา King Power ขณะที่ฝ่ายวิจัยประเมินมีความเป็นไปได้น้อย จากอุตฯการบินฟื้นตัวหนุน King Power กลับมาชำระหนีได้ตามปกติ           นอกจากนี้หุ้น AOT ยังมีUpside 10-20% จากการเรียกเก็บ PSC transit/transfer และขึ้น ค่า PSC ฝ่ายวิจัยงมองเป็นโอกาส “ทยอยสะสม” ราคาหุ้น AOT ถูกกดดันจาก Sentiment ลบความเสี่ยงหากต้องประมูลสัมปทาน Duty Free สุวรรณภูมิใหม่ และได้MG ต่ำกว่าสัญญาปัจจุบัน           อย่างไรก็ตาม ประเมินมีโอกาสน้อยที่จะเกิดการประมูลใหม่ และกรณีWorst case หากประมูลใหม่แล้ว MG กลับไปเท่ากับสัญญาสัมปทานก่อนหน้ามูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 46.18 บาท ใกล้เคียงราคาปิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา           นอกจากนี้ราคาเป้าหมายมีโอกาสเกิด Upside +6.75 ถึง +13.75 บาท/หุ้น จากการเก็บค่า PSC transit/transfer และการขึ้นค่า PSC ที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีปฎิทิน 2025 (คาดผลการศึกษาแล้วเสร็จกลางปี2025)           ฝ่ายวิจัยจึงมองราคาหุ้น AOT ที่ลดลงจากความกังวลข้างต้นเป็นโอกาส “ทยอยสะสม” หุ้น AOT ที่เป็นผู้ให้บริการสนามบินหลักของ ประเทศซึ่งมีโอกาสเติบโตตามอุตฯ ท่องเที่ยวไทย

ส่อง 15 หุ้นเด่น ช่วงเปลี่ยนผ่าน LTF สู่ ThaiESG2

ส่อง 15 หุ้นเด่น ช่วงเปลี่ยนผ่าน LTF สู่ ThaiESG2

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.เอเซียพลัส ระบุว่า รมต.คลัง พบแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย ด้วยการยกระดับเก็บภาษีคนลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสกัดเงินไหลออก และเตรียมจัดตั้งกองทุนประหยัดภาษี ThaiESG2 เป้าหมายลงทุนหุ้นไทย 100% ซึ่งจะเป็นการนำเงินกองทุน LTF ที่ครบอายุมาลงทุน โดยคาดว่าระยะเวลาถือครองกองใหม่อยู่ที่ 5 ปี           กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หวังจะได้เม็ดเงินจากต่างชาติหนุน และกองทุนในประเทศหากมีการเปลี่ยนผ่านจาก LTF สู่ ThaiESG2 เน้นหุ้นขนาดใหญ่ Top 3 ในแต่ละ Sector ที่มี ESG Rating A ขึ้นไป รวมถึงยังมี P/E, PBV ต่ำกว่าปกติ อาทิ PTT CPALL BDMS CPN SCC CPF IVL TLI HMPRO PTTGC GPSC SCGP SAWAD TU AP เป็นต้น วันจันทร์นี้ ติดตาม GDP 4Q67 ไทย คาดโต 3.8% YoY และนักลงทุนเตรียมเฮรับกองทุน ThaiESG2 คาดลงทุนหุ้นไทย 100% คาดหนุนให้ SET สดใสในวันนี้           วันจันทร์นี้ ติดตาม GDP 4Q67 ไทย ซึ่ง Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ +3.8% YoY ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก รัฐบาลไทย ที่พยายามเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่างๆ ในไตรมาสดังกล่าว อาทิ แจกเงินเฟส 1, เติมเม็ดเงินให้ชาวนาไร่ละ 1000 บาท อีกทั้งไตรมาสนี้เป็น High Season ที่มีการจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้ว ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าว ออกมาเท่าคาด จะหนุนให้ GDP ทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ +2.65% YoY           ขณะที่ในปีหน้าสำนักเศรษฐกิจต่างๆ คาดการณ์ GDP 2568F ใกล้เคียงกับการประมาณการล่าสุดของ IMF และ WORLD BANK โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ +2.9% จากแรงหนุนภาคครัวเรือน (C) ทั้งการปรับขึ้นค่าจ้าง 400 บาท นำร่อง 4 จังหวัดเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 68 โครงการ EASY E-RECEIPT, แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2-3 รวมถึงภาคท่องเที่ยวไทยที่คาดหวังปัจจัยหนุนจากกระทรวงท่องเที่ยวออกโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ภายใต้ “โครงการไทยเที่ยวด้วยกัน” เฟส 6 ซึ่งจะเริ่มเปิดใช้สิทธิได้ในช่วงเดือน มิ.ย. 68           ขณะที่อีก 1 ประเด็นหนุน คือ รมต.คลังพบแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย ด้วยการยกระดับเก็บภาษีคนลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสกัดเงินไหลออก แล้วได้เม็ดเงินกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย ซึ่งล่าสุดมูลค่า Foreign Currency Deposit (FCD) อยู่ไทยยังอยู่ระดับสูงมากราว 8.2 แสนล้านบาท อีกทั้งเตรียมจัดตั้งกองทุนประหยัดภาษี ThaiESG2 เป้าหมายลงทุนหุ้นไทย 100% ซึ่งจะเป็นการนำเงินกองทุน LTF ที่ครบอายุมาลงทุน (มูลค่า AUM คงเหลือประมาณ 1.8 แสนล้านบาท) โดยคาดว่าระยะเวลาถือครองกองใหม่อยู่ที่ 5 ปี ซึ่ง รมต.คลัง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 1-2 สัปดาห์นี้           ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หวังจะได้เม็ดเงินจากต่างชาติหนุน และกองทุนในประเทศหากมีการเปลี่ยนผ่านจาก LTF สู่ ThaiESG2 เน้นหุ้นขนาดใหญ่ Top 3 ในแต่ละ Sector ที่มี ESG Rating A ขึ้นไป รวมถึงยังมี P/E, PBV ต่ำกว่าปกติ อาทิ PTT CPALL BDMS CPN SCC CPF IVL TLI HMPRO PTTGC GPSC SCGP SAWAD TU AP เป็นต้น

โบรกคาดการณ์ งบ NER ไตรมาส4/2567

โบรกคาดการณ์ งบ NER ไตรมาส4/2567

           หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ระบุถึง NER ว่า คาดกำไรปกติ 4Q24F ที่ 470 ล้านบาท (+9% y-y, +113% q-q) และรายได้ที่ 8,842 ล้านบาท (+34% y-y, +44% q-q) ซึ่งเป็นจุดสูงสุดใหม่ คาดปริมาณการขายราว 136,000 ตัน (+7% y-y, +39% q-q) ได้แรงหนุนจากปัจจัยฤดูกาล เนื่องจาก Q4 เป็น High Season ของการส่งออกยาง มีวัตถุดิบมาก คาดราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 65 บาท/กก. (+26% y-y, +3% q-q) อย่างไรก็ตาม คาดว่า GPM จะอยู่ที่ 8.8% ต่ำกว่าที่คาดไว้เดิมที่มองว่าจะฟื้นตัวเป็นตัวเลขสองหลัก (เทียบกับ 11.3% ใน 4Q23 และ 8.3% ใน 3Q24) เนื่องจากราคาต้นทุนยางเร่งตัวขึ้น ทั้งนี้ คาด FX loss ประมาณ -100 ล้านบาท ส่งผลให้คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 370 ล้านบาท (-20% y-y, +3% q-q)            สำหรับปี 2024F คาดกำไรปกติอยู่ที่ 1,660 ล้านบาท (+5% y-y) ต่ำกว่าประมาณการปัจจุบันที่คาดไว้ -13% หรือ 1,900 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการคาดการณ์ว่า GPM ปี 2024F จะอยู่ที่ 10.1% ต่ำกว่าสมมติฐานเดิมที่ 11.8% เนื่องจากราคาต้นทุนวัตถุดิบใน 4Q24F ปรับขึ้นเร็วกว่าคาด เบื้องต้นคำนวณว่า ทุกๆ -0.1% การลดลงของ GPM จะกระทบกำไรปกติปี 2024F -1.4% หากตัวแปรอื่นคงที่ ขณะที่ปริมาณการขายปี 2024F คาดว่าจะอยู่ที่ 439,000 ตัน ใกล้เคียงเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ที่ 440,000 ตัน            คำแนะนำเป็น “Buy” คง TP ที่ 5.85 บาท อิง PER 6.4 เท่า (เดิม Trading Buy) จาก upside ที่เปิดกว้างขึ้น และมองว่าเป็นหุ้นปันผลสูง คาด เงินปันผลที่ 0.32 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield สูงถึง 6.8% คาด XD ช่วงเดือนเมษายน และจ่ายปันผลในเดือนพฤษภาคมนี้

SSP ตอกย้ำกำไรแกร่ง ทุ่ม 200 ล้านซื้อหุ้นคืน 

SSP ตอกย้ำกำไรแกร่ง ทุ่ม 200 ล้านซื้อหุ้นคืน 

          หุ้นวิชั่น - SSP ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน จำนวน 2.73% ของทุนจดทะเบียน วงเงิน 200 ล้าบาท           นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บัญชีและการเงิน บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") หรือ SSP ขอแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ("ตลาดหลักทรัพย์ฯ") ให้ทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัท เพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ภายในวงเงินจำนวนไม่เกิน 200 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 35,000,000 หุ้น ซึ่งจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็นร้อยละ 2.73 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท           บริษัทจึงขอเปิดเผยข้อมูลโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน และโปรดพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแบบรายงานการเปิดเผยการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (แบบ TS-1.2) และแบบแสดงรายงานการกระจายหุ้น ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย เหตุผลในการซื้อหุ้นคืน 3.1 เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3.2 เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) รวมถึงเพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) 3.3 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

SMPC ถังแก๊สกำไรพุ่ง61% จัดเต็มจ่ายปันผล 0.27 บาท 

SMPC ถังแก๊สกำไรพุ่ง61% จัดเต็มจ่ายปันผล 0.27 บาท 

          หุ้นวิชั่น - บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC แจ้งมายังตลาดหลักทรัพย์ว่า ผลประกอบการปี 2567 มีกำไรทั้งสิ้น 597.55 ล้านบาท หรือ 1.12 บาทต่อหุ้น จากปีก่อนมีกำไรทั้งสิ้น 371.23 ล้านบาท หรือ 0.69 บาทต่อหุ้น เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 61% พร้อมจ่ายปันผล 0.27 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 4 เม.ย. 2568 สาเหตุกำไรโต            1. รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 766.06 ล้านบาท (20.1%) จาก 3,810.87 ล้านบาท เป็น 4,576.93 ล้านบาท จากความต้องการต่อเนื่องเพื่อใช้ถังเป็นบรรจุภัณฑ์ในการขายแก๊สและทดแทนถังเดิมบางส่วน ต้นทุนวัตถุดิบ (เหล็ก) ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 15% แต่ราคาขายใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากยอดขายถังสามส่วนที่ราคาขายสูงกว่าถังสองส่วนเพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทอ่อนลงเล็กน้อย           2. ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 406.35 ล้านบาท (12.9%) จาก 3,139.59 ล้านบาท เป็น 3,545.94 ล้านบาท สอดคล้องกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่วนต้นทุนวัตถุดิบ (เหล็ก) ลดลงจากปีก่อน 15% และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 20% ทำให้ต้นทุนผลิตต่อหน่วยลดลง           3. กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 359.71 ล้านบาท (53.6%) จาก 671.28 ล้านบาท เป็น 1,030.99 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 17.6% เป็น 22.5% เป็นผลจากปีก่อนสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงถดถอยส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ในขณะที่ปีนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้น บริษัทได้รับคำสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก การแข่งขันด้านราคาจึงลดลง ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ทำให้อัตราการทำกำไรดีขึ้น           4. รายได้อื่นเพิ่มขึ้น 43.62 ล้านบาท (20.7%) จาก 211.00 ล้านบาท เป็น 254.62 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าขายเศษเหล็กเพิ่มขึ้นตามปริมาณผลิตที่เพิ่มขึ้น และจากกำไรจากเงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนอื่น สุทธิกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง           5. ค่าใช้จ่ายในการขายและการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 146.75 ล้านบาท (75.7%) จาก 193.86 ล้านบาท เป็น 340.61 ล้านบาท สอดคล้องกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นและอัตราค่าระวางเรือปรับขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งในหลายภูมิภาค           6. ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 77.55 ล้านบาท (37.1%) จาก 209.09 ล้านบาท เป็น 286.64 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากค่าบริจาคการกุศลตามโครงการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้านการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นด้านสาธารณสุข ซึ่งบริษัทมีสิทธิหักภาษีได้สัดส่วนร้อยละ 200 ของเงินลงทุนดังกล่าว นอกจากนี้ยังเกิดจากค่าส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้นตามยอดขาย และจากโบนัสจ่ายพนักงานเพิ่มขึ้นตามผลประกอบการที่ดีขึ้น           7. ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 11.56 ล้านบาท (59.8%) จาก 19.33 ล้านบาท เป็น 30.89 ล้านบาท สอดคล้องกับภาระหนี้จากการซื้อวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามอัตราตลาด           8. ภาษีเงินได้ลดลง 58.84 ล้านบาท (66.3%) จาก 88.76 ล้านบาท เหลือ 29.92 ล้านบาท ในขณะที่ผลประกอบการดีขึ้น เนื่องจากการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากโครงการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้านการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นด้านสาธารณสุข โดยมีอัตราภาษีคงเดิมที่ 20%           9. กำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้น 226.31 ล้านบาท (61.0%) จาก 371.24 ล้านบาท เป็น 597.55 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น อัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น และภาษีลดลง

SCGP กำไรปี67 ทรุด 30% กัดฟันปันผลอีก 30 สตางค์ 

SCGP กำไรปี67 ทรุด 30% กัดฟันปันผลอีก 30 สตางค์ 

          หุ้นวิชั่น- SCGP ยอมรับตันทุนกระดาษรีไซเคิล ความผันวน ของค่าเงินกดกำไรปี 2567 ลดลง 30% จากปีก่อน พร้อมอนุมัติจ่ายปันผลปลอบใจนักลงทุน 0.30 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 21 เมษายน 2568 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน 2568 ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 1 เมษายน 2568           นาย ดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงินบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP แจ้งมายังตลาดหลักทรัพย์ฯว่า มีกำไรสำหรับปี 2567 เท่ากับ 3,699 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30 จากปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 3           EBITDA ลดลงร้อยละ 9 จากปีก่อน และมี EBITDA margin อยู่ที่ร้อยละ 12 ทั้งนี้ EBITDA และกำไรสำหรับปีลดลงจากปีก่อน มีสาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานของธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ ที่ลดลงซึ่งเป็นผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ที่สูงขึ้น รวมถึงมีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีนัยสำคัญในภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567           นอกจากนี้ กำไรสำหรับปีรวมผลการดำเนินงานของธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียในสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 แม้ว่าอัตรากำไรจะลดลง บริษัทยังคงมีความมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้กำลังการผลิต การดำเนินงาน เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ และการบริหารจัดการต้นทุนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า รายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปีก่อน             รายได้จากการขายเติบโตขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของอุปสงค์ในประเทศซึ่งส่งผลให้ปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ และบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้น ประกอบกับการฟื้นตัวของตลาดส่งออกโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นความต้องการบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าคงทนให้สูงขึ้นด้วย จ่ายเงินปันผลอีก 0.30 บาท            จากผลการดำเนินงานของปี 2567 คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลงวดระหว่างกาลไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ในวันที่ 21 เมษายน 2568 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 เมษายน 2568

หุ้นกู้ SENA ผู้เล่นอสังหาฯที่ปรับตัวตาม เมกะเทรนด์ [HoonVision x FynnCorp]

หุ้นกู้ SENA ผู้เล่นอสังหาฯที่ปรับตัวตาม เมกะเทรนด์ [HoonVision x FynnCorp]

หุ้นวิชั่น - หุ้นกู้ SENA ผู้เล่นอสังหาฯที่ปรับตัวตาม เมกะเทรนด์ กว่า 40 ปีในการดำเนินธุรกิจที่เน้นกลุ่ม Low-Middle Income โดยเฉพาะแบรนด์ SENA Kith และ Cozi ซึ่งที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางลงมา ยังเป็นที่ต้องการและเป็นกลุ่มใหญ่ในประเทศ ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงในภาวะหนี้สินครัวเรือนสูง ท่ามกลางราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้น ผ่านโครงการ LivNex, LivNex Gold และ RentNex ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น เสนอขายหุ้นกู้ แก่ผู้ลงทุนทั่วไป เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย [5.70-5.95%] ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยให้จองซื้อระหว่างวันที่ 14 และ 17-18 มีนาคม 2568 ภาพรวมธุรกิจ โครงสร้าง SENA Group ที่มี 3 กลุ่มบริษัท ได้แก่ SENA Development, SENX และ SENA Green Energy  ในปัจจุบัน ภาพรวมของโครงสร้างกลุ่มบริษัท (SENA Group) ประกอบด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจหลัก ภายใต้ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) ถัดมาเป็นบริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (Sen X) ซึ่งชื่อเดิม คือ SENAJ ทำธุรกิจอสังหาฯ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย พร้อมให้บริการด้านการบริหารอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร และบริษัทเสนา กรีน เอนเนอร์ยี่ จำกัด ผู้บุกเบิกพลังงานโซลาร์ครบวงจร โดยทั้งสองบริษัท อยู่ภายใต้การบริหารของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ SENA Development (SENA) บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เดิมชื่อ บริษัท กรุงเทพเคหะกรุ๊ป จำกัด ก่อตั้งในปี 2536 โดยคุณธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์ ซึ่งเริ่มต้นธุรกิจจากการจำหน่ายและติดตั้งวัสดุก่อสร้างประเภทไม้ ก่อนที่จะทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ เป็นโครงการแรกในปี 2527 หลังจากนั้น ก็ได้เปิดโครงการประเภทอื่นเพิ่ม อย่าง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด คอนโดมิเนียม และอาคารพาณิชย์ จนได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนในปี 2552 เพื่อระดมทุนไปใช้ในธุรกิจหลักอย่างพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีกลุ่มลูกค้าหลักระดับรายได้ปานกลางลงมา ต่อมาได้ขยายธุรกิจสู่พลังงานแสงอาทิตย์และธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าในปี 2558 ปัจจุบัน SENA ดำเนินธุรกิจโดยมีบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 หน่วยธุรกิจ (ตามแหล่งรายได้ในงบการเงินรวม) ได้แก่ 1) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยเพื่อขาย และให้บริการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ อาคารพาณิชย์ และคอนโดมีเนียม ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลเป็นหลัก ภายใต้แบรนด์ตามรูปด้านล่าง อีกทั้ง ให้บริการหลังการขายแบบครบวงจร เช่น การดูแลด้านความปลอดภัย รับบริหารดูแลสาธารณูปโภคส่วนกลาง ในรูปแบบรับจ้างบริหารนิติบุคคล หรือ โครงการ ภายใต้การบริหารโดยบริษัทย่อย 2) ธุรกิจให้เช่าและบริการ ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งอพาร์ทเม้นให้เช่า คลังสินค้าให้เช่า ศูนย์การค้าขนาดเล็ก (Community Mall) ให้เช่า รวมถึงสนามกอล์ฟ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง 3) ธุรกิจโซลาร์ ประกอบด้วย โซลาร์รูฟ โกดังสุขุมวิท 50 กำลังการผลิต 0.75 MW โซลาร์ฟาร์มในจังหวัดสระบุรี และนครปฐม รวม 46.5 MWp รวมถึงธุรกิจลงทุนติดตั้งและขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รูปแบบ Private PPA และธุรกิจรับติดตั้ง จำหน่ายอุปกรณ์ แผงโซลาร์ 4) ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ ผ่านตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า Brand NETA ภายใต้ บริษัท เสนา กรีน ออโตโมทีฟ จำกัด (บริษัทในเครือ) โดยเริ่มดำเนินธุรกิจนี้ในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่ง ณ ไตรมาสนั้น ทำยอดขายได้ 156 คัน หรือมูลค่าประมาณ 85 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายสูงสุดอันดับ 2 ของตัวแทนจำหน่ายแบรนด์นี้ในไทย โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย หรือคิดเป็น 48.6% ของรายได้จาก 4 กลุ่มธุรกิจในช่วง 9M2567 ตามมาด้วยรายได้จากการให้เช่าและบริการ 45% รายได้ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ 5.4% และจากธุรกิจโซลาร์ 1% ตามลำดับ ซึ่งหากเปรียบเทียบ โครงสร้างรายได้จากปี 2566 จะพบว่า ธุรกิจให้เช่าและบริการจะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็น 45% ของรายได้รวมจาก 4 กลุ่ม แผนการเติบโตในปี 2568 ผ่านกลยุทธ์ 3 ข้อ ในปี 2568 บริษัทคาดว่า ยังคงระบายโครงการเดิมและจำกัดการเปิดตัวโครงการใหม่ เนื่องจากกำลังซื้อยังเปราะบาง จำเป็นต้องอาศัยมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ ขณะที่ยังมีความเข้มงวดเรื่องการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินให้กับรายย่อย อย่างไรก็ตาม บริษัทได้วางแผนผ่านกลยุทธ์หลัก ดังนี้ เน้นส่งเสริม Ecosystem ภายในกลุ่มบริษัทหลัก เพื่อสร้างมูลค่าให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน ได้แก่ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) ผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยครบวงจร, เซ็นเอกซ์ (SENX) ธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายและบริการ, และ เสนา กรีน เอนเนอร์ยี่ (SENA Green Energy) ที่ดำเนินธุรกิจพลังงานสะอาดครบวงจร ดำเนินธุรกิจตาม Mega Trend เพื่อกระจายความเสี่ยงและยังเป็นการส่งเสริมธุรกิจหลัก อย่าง 1) การดำเนินธุรกิจพลังงานสะอาดมาต่อเนื่องกว่า 10 ปี ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์ (PPA) กว่า 1,000 หลังคาเรือน และขยายธุรกิจ EV Business ทั้งการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าและสถานีชาร์จไฟ รวมทั้งดำเนินธุรกิจ Carbon Credit Trading ทั้งในและต่างประเทศ 2) ให้บริการที่ช่วยสนับสนุนการขายในธุรกิจอสังหาฯ ตั้งแต่ การบริหารจัดการโครงการนิติบุคคล จนถึงบริการเสริมประสบการณ์ลูกค้า 3) ร่วมมือกับ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ลงทุนร่วมกันกันมาตลอดกว่า 8 ปี รวมจำนวน 69 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 86,200 บาท 4) พัฒนา Livnex และ Rentnex ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าที่ต้องการเวลาในการเตรียมความพร้อมด้านการเงิน โดย LivNex ออกแบบให้ลูกค้าสามารถสะสมเงินค่าเช่าเพื่อใช้เป็นเงินดาวน์ในอนาคต โดยมี บริษัท เงินสดใจดี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเสนา ช่วยวางแผนการขอสินเชื่อ และมีพันธมิตรเป็น ธอส. ขณะที่ RentNex ตอบโจทย์กลุ่มผู้เช่าและลูกค้าสามารถย้ายที่อยู่ได้ตามทำเลของโครงการที่เข้าร่วมโปรแกรม เช่าออมบ้าน (Livnex) เกิดขึ้นเพื่อดูแลลูกค้าที่สถาบันการเงินยังไม่อนุมัติวงเงินกู้ แต่มีแนวโน้มที่จะมีความสามารถในการกู้ได้ภายในช่วงเวลา 3 ปี ให้ความสำคัญในการบริหารสภาพคล่อง ซึ่งจากความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับพันธมิตร ส่งผลให้บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจากธนาคารต่างชาติในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และเงื่อนไขการเบิกจ่ายที่ยืดหยุ่น นอกจากนั้น บริษัทขยายธุรกิจตามแนวทาง ESG และธรรมาภิบาล เพื่อรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินในระยะยาว Financial Performance ธุรกิจอสังหาฯ ทั้งกลุ่ม ซึ่งรวม SENA, JV, SENX ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท แม้จะมียอดโอนกรรมสิทธิ์ลดลง แต่มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นดีขึ้น โดยมีรายได้ 9M2567 อยู่ที่ 2,180 ล้านบาท กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนเพิ่มขึ้น 10.2% มาอยู่ที่ 346 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่น และบริษัทมีการจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี สอดคล้องไปกับแผนการขายและโอน รวมถึง อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้มีแนวโน้มดีขึ้น งบกำไรขาดทุนรวม งวด 9 เดือน ปี 2567 ตัวโครงการ Livnex เป็นการเพิ่มฐานลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ (ซึ่งจะรับรู้รายได้เป็นค่าเช่า) จากยอดโอนในอนาคตได้ และในช่วง 9 เดือนแรกในปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดทำสัญญาจำนวน 186 ยูนิต มูลค่า 330 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดทำสัญญาสะสมทั้งหมด 381 ยูนิต มูลค่า 700 ล้านบาท คิดเป็นรายได้ประมาณ 3-4 ล้านบาทต่อเดือน และบริษัทคาดว่ารายได้จะทยอยรับรู้ได้ในช่วง 3 ปี ยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 5,815 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่พร้อมจะโอนและรับรู้รายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 3,338 ล้านบาท และรับรู้รายได้ภายในปี 2568 และ 2569 เป็นจำนวน 559 ล้านบาท และ 1,918 ล้านบาท ตามลำดับ อีกทั้ง บริษัทมีสินค้าคงเหลือขายมูลค่า 52,362 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินค้าที่สร้างเสร็จพร้อมขาย มูลค่า 13,941 ล้านบาท Backlog As of 30 Sep 2024 Total 5,815MB. หุ้นกู้ SENA ไม่มีประวัติเลื่อนหรือผิดนัดชำระ ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ระดับ BBB- ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิตคงที่ จากการเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางลงมาที่ได้รับการยอมรับ ประกอบกับเงินได้จำนวนมากมาจากการลงทุนในกิจกรรมร่วมทุน (Joint Venture) และบริษัทยังคงบริหารจัดการสภาพคล่องได้ อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งบริษัทได้เผชิญกับผลกระทบเชิงลบจากอัตราดอกเบี้ยมาเป็นระยะเวลานานและหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ซึ่งทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารสูงขึ้นตาม ส่งผลต่อการชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางลงมา ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท โดยเหตุผลดังกล่าวนี้ ทำให้ทริสได้เคยลดอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้จากระดับ BBB เป็น BBB- เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 และคงอันดับดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน ประวัติอันดับเครดิต ข้อกำหนดการดำรงอัตราส่วนทางการเงิน บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Interest Bearing Debt to Equity Ratio) ไม่เกิน 2.5 เท่า ณ วันสิ้นงวดบัญชีรายไตรมาสตลอดอายุของหุ้นกู้ โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัท SENA มีอัตราส่วนดังกล่าวเท่ากับ 1.72 เท่า ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2566 ที่มีค่า 1.45 เท่า เป็นผลจากการกู้ยืมสถาบันการเงินและการออกหุ้นกู้เพิ่มเติม หุ้นกู้คงค้างของบริษัท (Outstanding bonds) จากในอดีตจนถึงปัจจุบัน SENA จะมีระดับหนี้สินจากหุ้นกู้อยู่ที่ประมาณ 6,000 - 8,000 ล้านบาทในแต่ละปี ซึ่งบริษัทเคยออกหุ้นกู้มาแล้วทั้งหมด 23 รุ่น โดยเป็นหุ้นกู้ที่คงค้างอยู่ในตลาดปัจจุบันจำนวน 5 รุ่น รวมมูลค่า 6,625 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระภายในปี 2568 มูลค่าเงินต้น 2,730 ล้านบาท หุ้นกู้เสนอขายใหม่ แก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย [5.70-5.95%] ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยให้จองซื้อระหว่างวันที่ 14 และ 17-18 มีนาคม 2568 วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ ปัจจัยเสี่ยง ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนเเรกเริ่มโครงการสูงและจะได้รับเงินในวันโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งใช้ระยะเวลานานเป็นปี จึงทำให้มีความเสี่ยงในการขาดแคลนสภาพคล่องสูง บริษัทจึงได้ดำเนินนโยบายเพิ่มสภาพคล่องในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับสถาบันการเงินหลายแห่ง ซึ่งบริษัทได้รับความไว้วางใจ ได้รับการสนับสนุนสินเชื่อตลอดมา ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย หากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะใช้เงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย จะส่งผลต่อการชะลอการตัดสินใจซื้อได้ ซึ่งบริษัทมีการศึกษาสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยและพฤติกรรมลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประสานงานกับสถาบันการเงินเพื่อติดตามนโยบายสินเชื่อแต่ละแห่งอย่างใกล้ชิดทำให้จัดเงื่อนไขการซื้อและผ่อนดาวน์ของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม สะท้อนจากการเปิดโครงการ LivNex การเช่าออมบ้านให้ลูกค้าที่มีศักยภาพ ซึ่งในระหว่างนี้บริษัทก็จะมีรายได้จากค่าเช่าอีกด้วย ความเสี่ยงจากภาระหนี้สิน ของบริษัทยังอยู่ในระดับสูงจากระยะเวลาในการทยอยขายสินค้า ใช้เวลามากขึ้น โดยมูลค่าโครงการที่เหลือขายอยู่ที่ประมาณ 52,000 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน ปี 2567 จากประมาณ 29,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://app.visible.vc/shared-update/190a7079-4032-4513-8c16-b322fe9c89d8

SUN คาดปี68 โต 16% ชี้ราคาหุ้นไม่แพง เคาะ “ซื้อ”

SUN คาดปี68 โต 16% ชี้ราคาหุ้นไม่แพง เคาะ “ซื้อ”

           หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ ประเมินหุ้น SUN โดยคงแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายเป็นปี 2025E ที่ 4.40 บาท อิง 2025E PER 9.6x (เดิม 4.60 บาท อิง 2024E PER 11.5x)            ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิ 4Q24E ที่ 46 ล้านบาท (-61% YoY, -67% QoQ) ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์เดิม กำไรชะลอตัว YoY จาก 1) GPM ปรับตัวลดลง จากปริมาณ วัตถุดิบที่เข้าสู่ไลน์การผลิตลดลงจากผลกระทบน้ำท่วมในเดือน ก.ย.- ต.ค. และ utilization rate ลดลง, 2) FX loss ที่ -15 ล้านบาท (4Q23 = 40 ล้านบาท) ด้านกำไรที่ชะลอตัว QoQ เป็นไปตามฤดูกาลโดย 4Q เป็น low season และ ใน 3Q24 มี FX gain ที่ 62 ล้านบาท            ฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 307 ล้านบาท (-14% YoY) สำหรับปี 2025E ปรับประมาณการกำไรสุทธิลง -8% เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศที่ช้ากว่าคาด โดยประเมินกำไรสุทธิปี 2025E ที่ 357 ล้านบาท (+16% YoY) ราคาหุ้น underperform SET -3% ใน 1เดือนที่ผ่านมา สะท้อนกำไร 4Q24E ที่ชะลอตัว            ฝ่ายวิจัยชอบ SUN จาก valuation ที่ไม่แพงโดยเทรดที่ 2025E PER 7.1x และเป็นผู้นำข้าวโพดหวานส่งออกของไทย

ORI ปิดยอดขายหุ้นกู้ เต็มจำนวน 1,500 ล้านบาท ตามเป้า

ORI ปิดยอดขายหุ้นกู้ เต็มจำนวน 1,500 ล้านบาท ตามเป้า

        หุ้นวิชั่น - ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ประสบความสำเร็จหลังเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 จำนวน 3 ชุด นักลงทุนจองซื้อทะลุเต็มจำนวน 1,500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 5.15% ต่อปี สะท้อนความมั่นใจในธุรกิจ           นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 ทั้งหมด 3 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 1 เดือน 8 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.50% ต่อปี , หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.85% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 5.15% ต่อปี ซึ่งเสนอขายระหว่างวันที่ 10, 11 และ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมานั้น ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่อเนื่องทำให้มียอดจองล้นและสามารถปิดการจองซื้อเต็มจำนวน 1,500 ล้านบาท         “การเปิดขายหุ้นกู้ครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการสร้างความมั่นคงทางการเงินและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว ขอบคุณทุกความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุนทุกราย เรามุ่งหวังที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพ การแข่งขันในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ออริจิ้นฯ ได้เตรียมเงินทุนพร้อมสำหรับการชำระหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนเมษายนนี้เรียบร้อยแล้ว” นายพีระพงศ์ กล่าว         หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” ความสำเร็จจากการปิดการซื้อจองหุ้นกู้เต็มจำนวนครั้งนี้ สะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อธุรกิจของบริษัทออริจิ้นฯ จากผลงาน ที่แข็งแกร่ง โดยในปี 2567 บริษัทฯมียอดขายหรือ Presale จากโครงการที่อยู่อาศัยจำนวน 35,442 ล้านบาท ตามเป้าหมาย และ มี Backlog ในมือ 47,329 ล้านบาท ที่รอรับรู้สร้างรายได้ต่อเนื่อง 5 ปี อีกทั้งยังมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจเคียงข้าง การพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

DELTA ทุ่มงบกว่า 3,424 ล้าน ลุยสร้างโรงงานใหม่ในบางปู

DELTA ทุ่มงบกว่า 3,424 ล้าน ลุยสร้างโรงงานใหม่ในบางปู

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายเจิ้ง อัน กรรมการบริษัท บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติอนุมัติการทำรายการ อนุมัติการซื้อเครื่องจักรกับบุคคลเกี่ยวโยง ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 ผู้ซื้อ : บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”)ผู้ขาย : บริษัท Delta Electronics, Inc (DEI) เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 5.54 ของบริษัทฯ บริษัท Delta Electronics Int’l (Singapore) Pte. Ltd. เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นร้อยละ 42.85 ของบริษัทฯ และเป็นบริษัทย่อยของ Delta Electronics, Inc (DEI) ที่ถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 100 ของทุนชำระแล้ว บริษัท Cyntec Electronics (Suzhou) Co., Ltd. บริษัทย่อยของ Delta Electronics, Inc (DEI) ที่ถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 100 ของทุนชำระแล้ว การซื้อเครื่องจักรใหม่ • ประเภทและมูลค่ารายการ: การซื้อเครื่องจักรใหม่มูลค่าสิ่งตอบแทนรวมประมาณ 432.18 ล้านบาท (หรือประมาณ 12.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีรายละเอียดดังนี้ ➢ การซื้อเครื่องจักรจากบริษัท Delta Electronics, Inc มูลค่าสิ่งตอบแทนประมาณ 177.29 ล้านบาท (หรือประมาณ 5.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เท่ากับราคาที่ประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ ➢ การซื้อเครื่องจักรจากบริษัท Delta Electronics Int’l (Singapore) Pte. Ltd. มูลค่าสิ่งตอบแทนประมาณ 254.89 ล้านบาท (หรือประมาณ 7.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เท่ากับราคาที่ประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ • ขนาดรายการรวม: คิดเป็นร้อยละ 0.549 ของสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 • แหล่งเงินทุน: เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ • เงื่อนไขการชำระเงิน: ภายใน 70 วันหลังจากได้รับเครื่องจักร • ประโยชน์ที่บริษัทจดทะเบียนจะได้รับ: เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การผลิตของบริษัทในการเปลี่ยนแปลงสู่โรงงานอัจฉริยะ Delta Smart Manufacturing ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิในการผลิตให้กับบริษัทฯ มากขึ้น การซื้อเครื่องจักรเก่า • ประเภทและมูลค่ารายการรวม: การซื้อเครื่องจักรเก่าจากบริษัท Cyntec Electronics (Suzhou) Co., Ltd. มูลค่าสิ่งตอบแทนประมาณ 49.03 ล้านบาท (หรือประมาณ 1.45 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เท่ากับราคาที่ประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ • ขนาดรายการรวม: คิดเป็นร้อยละ 0.062 ของสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 • แหล่งเงินทุน: เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ • เงื่อนไขการชำระเงิน: ภายใน 70 วันหลังจากได้รับเครื่องจักร • ประโยชน์ที่บริษัทจดทะเบียนจะได้รับ: การซื้อเครื่องจักรข้างต้นเป็นการรับโอนเครื่องจักรมาผลิตในประเทศไทยเพื่อตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการให้ย้ายการผลิตมาจากประเทศจีนมายังประเทศไทยของกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (CPBG) ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มียอดคำสั่งซื้อในกลุ่มผลิตภัณฑ์ข้างต้นมากขึ้น และอนุมัติการซื้อเครื่องจักรของบริษัทย่อยกับบุคคลเกี่ยวโยง ในไตรมาส 1 ปี 2568 โดยคู่สัญญาที่เกี่ยวข้องและความสัมพันธ์กับบริษัทจดทะเบียน ผู้ซื้อ: บริษัท Delta Electronics India Pvt. Ltd. (DIN) เป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียนแล้ว ผู้ขาย: บริษัท Delta Electronics Int’l (Singapore) Pte. Ltd. เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นร้อยละ 42.85 ของบริษัทฯ และเป็นบริษัทย่อยของ Delta Electronics, Inc (DEI) ที่ถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียนแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สัญญา กลุ่มบริษัท DEI เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ โดย ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2567 ถือหุ้นในบริษัทฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อมประมาณร้อยละ 63.07 ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วของบริษัทฯ          นอกจากนี้ยังอนุมัติการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ (โรงงาน D16, D17 และ D18) ในเขตบางปู จ.สมุทรปราการของบริษัทฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้ • วัน เดือน ปี ที่ก่อสร้าง – คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 และจะแล้วเสร็จภายในกันยายน ปี 2569 • ขนาดและที่ตั้งของที่ดิน โรงงาน D16: อาคาร 4 ชั้น ขนาดอาคารรวม 25,500 ตารางเมตร ในเขตบางปู จ.สมุทรปราการ โรงงาน D17: อาคาร 7 ชั้น (อาคารจอดรถและโรงอาหาร) ขนาดอาคารรวม 26,500 ตารางเมตร ในเขตบางปู จ.สมุทรปราการ โรงงาน D18: อาคาร 4 ชั้น ขนาด 55,000 ตารางเมตร ในเขตบางปู จ.สมุทรปราการ • มูลค่ารายการ – ประมาณ 3,424 ล้านบาท • ขนาดของรายการ – ประมาณร้อยละ 2.78 ของสินทรัพย์รวมของบริษัทฯ ตามงบการเงินรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 • ผู้รับเหมาก่อสร้าง – อยู่ระหว่างการพิจารณาแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับบริษัทฯ • เงื่อนไขการชำระเงิน – ตามความคืบหน้าของงาน • ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ – ตอบสนองต่อศักยภาพการเติบโตสูงของกลุ่มธุรกิจเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ กำลังและระบบ (PSBG) และกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICTBG) ของกลุ่มบริษัทเดลต้า รวมถึงรองรับการขยายตัวด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติม • แหล่งเงินทุนที่ใช้ – เงินหมุนเวียนจากการดำเนินงานของบริษัทฯ

DELTA กำไรสุทธิปี 67 แตะ 1.9 หมื่นลบ. รับอานิสงค์ AI

DELTA กำไรสุทธิปี 67 แตะ 1.9 หมื่นลบ. รับอานิสงค์ AI

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) รายงานผลประกอบการ ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 18,939 ล้านบาท เทียบกับ 12.6% และ 12.9% ในปี 2566 และ 2565 กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.52 บาทในปี 2567 เทียบกับ 1.48 บาทในปี 2566 และ 1.23 บาทในปี 2565           และมีกำไรจากการดำเนินงานในปี 2567 อยู่ที่ 10.8% เทียบกับ 12.3% และ 12.2% ในปี 2566 และ 2565 ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้           บริษัทฯ มียอดขายจำนวน 164,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.5% และ 39% จากปี 2566 และปี 2565 ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์กำลังไฟฟ้า โดยได้รับแรงหนุนจากโซลูชันการจัดการพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูลและ DC-DC คอนเวอร์เตอร์สำหรับไมโครโปรเซสเซอร์ที่มีความต้องการสูง เพื่อรองรับแนวโน้มการใช้งานที่ขับเคลื่อนด้วย AI กล่าวโดยสรุป เทคโนโลยี AI ได้เร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลและเครือข่ายเพื่อรองรับความต้องการในการประมวลผลประสิทธิภาพสูง           ในปี 2567 สัดส่วนรายได้จากการขายในตลาดเอเชียเพิ่มขึ้นจาก 39% เป็น 44% ในทางกลับกัน สัดส่วนรายได้จากการขายในภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปลดลงจาก 32% เป็น 29% และจาก 28% เป็น 26% ตามลำดับ *ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน           การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 70 ล้านบาทในปี 2567 เทียบกับกำไรจำนวน 675 ล้านบาทในปี 2566 เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอย่างมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2568 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงปฏิบัติตามนโยบายที่รอบคอบในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิของแต่ละสกุลเงินเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน           ต้นทุนขายในปี 2567 คิดเป็น 75.4% ของยอดขายรวม เทียบกับ 77.1% และ 76.4% ในปี 2566 และ 2565 ตามลำดับ โดยในปี 2567 อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมานั้น เนื่องจากมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลังให้มีอัตราการหมุนเวียนสินค้าคงคลังสูงขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์กำลังไฟฟ้าสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ออกแบบเฉพาะสำหรับการประมวลผลประสิทธิภาพสูง           ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมถึงการวิจัยและพัฒนา) ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 46.2% และ 68.3% จากปี 2566 และ 2565 ตามลำดับ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย พร้อมกับค่าธรรมเนียมการสนับสนุนทางเทคนิคที่เกี่ยวกับ AI เพื่อรองรับความต้องการตลาดที่เพิ่มขึ้นในแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI

DELTA ปันผล 0.46 บาท XD 27 ก.พ. 2568

DELTA ปันผล 0.46 บาท XD 27 ก.พ. 2568

         หุ้นวิชั่น - บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติ อนุมัติการจ่ายเงินปันผล 0.46 บาทต่อหุ้น วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 27 ก.พ. 2568 และกำหนด วันที่จ่ายปันผล : 28 เม.ย. 2568

อัยการสั่งฟ้อง

อัยการสั่งฟ้อง "หมอบุญ" ตามความเห็น DSI สั่งการส่งมอบทรัพย์ที่อายัดไว้ให้ ปปง. คืนผู้เสียหาย

          หุ้นวิชั่น - พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ติดตามความคืบหน้าการพิจารณาของพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ซึ่งได้รับการยืนยันว่า พนักงานอัยการได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว           โดยมีความเห็นสั่งฟ้อง นายแพทย์บุญ กับพวก รวม 16 คน ต่อศาลอาญา ตามความเห็นของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในข้อกล่าวหา ฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และประมวลกฎหมายอาญา โดยนายแพทย์บุญ (สงวนนามสกุล) นางสาวกชพร (สงวนนามสกุล) และนางสาวฐิติพร (สงวนนามสกุล) ซึ่งพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษมีคำสั่ง สั่งฟ้อง แต่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง จึงได้แจ้งให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จัดการให้ได้ตัวมาดำเนินคดีภายในกำหนด อายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิดได้มีความเห็นสั่งฟ้อง           หลังจากนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ดำเนินการให้ได้ตัวนายแพทย์บุญฯ มาดำเนินคดีภายในอายุความ โดยได้ประสานงานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในต่างประเทศผ่านขั้นตอนทางกฎหมาย           นอกจากนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการประสานส่งมอบทรัพย์คดีหมอบุญที่อายัดได้เพิ่มกว่า 1,000 ล้านบาท ให้ ปปง. เฉลี่ยทรัพย์คืนผู้เสียหายเช่นบัญชีกองทุนมูลค่ารวม 303,218,795.66 บาท บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ มูลค่ารวม 17,080,985.00 บาท บัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ มูลค่ารวม 37,607,388.40 บาท การทำประกันชีวิต มูลค่ารวม 398,483 บาท อสังหาริมทรัพย์ได้แก่ โฉนดที่ดิน จำนวน 282 แปลง ห้องชุด จำนวน 182 ห้อง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก., น.ส.3) จำนวน 11 แปลง และรถยนต์ที่ถูกอายัด จำนวน 71 คัน           ส่วนกรณีผู้เสียหายรายใหม่ที่ประสงค์จะร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดี นายแพทย์บุญฯ กับพวก กรมสอบสวนคดีพิเศษจะเปิดให้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมได้ในสัปดาห์หน้าโดยจะแจ้งวันเวลาและสถานที่ให้ทราบต่อไป           ทั้งนี้ การดำเนินการสอบสวนคดีพิเศษให้มีความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม เป็นนโยบายหลักประการสำคัญของ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการสอบสวน คดีพิเศษและให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของสังคมในการป้องกันปราบปราม สืบสวนสอบสวนคดีในความรับผิดชอบเพื่อให้การบริหารองค์การมีความยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลต่อไป

TOP ปี67มีกำไรที่9.9พันล. ไฟเขียวปันผลอีก 0.70 บาท

TOP ปี67มีกำไรที่9.9พันล. ไฟเขียวปันผลอีก 0.70 บาท

          หุ้นวิชั่น - TOP โชว์ฟื้นตัวในไตรมาส 4/67 มีกำไรสุทธิ 2,767 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 4,218 ล้านบาท ส่วนทั้งปีทำกำไรสุทธิ 9,959 ล้านบาท ขณะที่โครงการ Clean Fuel Project (CFP) เดินหน้าต่อเนื่อง หลังขยายงบลงทุนเพิ่ม รวมกว่า 18,165 ล้านบาท พร้อมอนุมัติ ปันผล 0.70 บาท/หุ้น XD 27 ก.พ. 68 และกำหนดจ่าย 28 เม.ย. นี้           นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลประกอบการ ในไตรมาส 4/2567 กลุ่มไทยออยล์มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้จากการขาย 111,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,944 ล้านบาท จากปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น กลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม ไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 7.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากไตรมาสที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากกำไรขั้นต้นจากการกลั่นที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น           ปัจจัยหลักที่หนุนให้กำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน, น้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด, น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตากับน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะ ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินกับน้ำมันดิบดูไบ ที่เพิ่มขึ้นจากอุปทานในภูมิภาคที่มีแนวโน้มตึงตัวขึ้น เนื่องจากการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของจีนมีแนวโน้มลดลงจากการปรับลดส่วนลดภาษี ขณะที่ ส่วนต่างน้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าดกับน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามการท่องเที่ยวช่วงสิ้นปี รวมถึง ส่วนต่างน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบ ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อผลิตความร้อนในช่วงฤดูหนาว นอกจากนี้ ส่วนต่างน้ำมันเตากำมะถันสูงกับน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น จากอุปทานที่ลดลงจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ OPEC+           ด้าน Crude Premium ในไตรมาสนี้ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากความกังวลต่อความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม กำไรขั้นต้นจากธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลง จาก ส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่ลดลง เนื่องจากความต้องการเสื้อผ้าและสิ่งทอไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ประกอบกับ กำไรจากธุรกิจปลายน้ำ เช่น สาร PTA ยังคงถูกกดดัน ขณะที่ ส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวลดลง จากปริมาณสารเบนซีนคงคลังของจีนที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี และการเปิดดำเนินการของโรงผลิตสารเบนซีนหลังปิดซ่อมบำรุงในไตรมาสก่อนหน้า สำหรับ กำไรขั้นต้นจากกลุ่มธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับทำความสะอาดปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นหลังสิ้นสุดฤดูมรสุม ขณะที่ กำไรขั้นต้นจากธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับเพิ่มสูงขึ้น จากความต้องการใช้ที่ฟื้นตัวหลังผ่านฤดูฝน และอุปทานที่ยังคงตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกลุ่มที่ 1 ในเกาหลีใต้           ด้าน ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยใน Q4/67 เทียบกับ Q3/67 ปรับลดลง ส่งผลให้ใน Q4/67 กลุ่มไทยออยล์มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 2,010 ล้านบาท หรือ 2.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันลดลง 3,370 ล้านบาท ส่งผลให้ กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 5.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจาก Q3/67           เมื่อรวม การกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 2,105 ล้านบาทใน Q4/67 เทียบกับ รายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 2,097 ล้านบาทใน Q3/67 และ ผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ 224 ล้านบาท (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) แล้ว กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA อยู่ที่ 6,472 ล้านบาท เทียบกับ ผลขาดทุน EBITDA 4,268 ล้านบาทในไตรมาสก่อน           นอกจากนี้ ใน Q4/67 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน 6 ล้านบาท ลดลง 56 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้า และมี ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 487 ล้านบาท (โดยเป็นผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิของสินทรัพย์และหนี้สินที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ 233 ล้านบาท) เทียบกับ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 1,645 ล้านบาทใน Q3/67 เมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว ส่งผลให้ ใน Q4/67 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 2,767 ล้านบาท หรือ 1.24 บาทต่อหุ้น เทียบกับ ขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาทใน Q3/67           เมื่อเทียบปี 2567 กับปี 2566 กลุ่มไทยออยล์มีอัตราการใช้กำลังการกลั่นลดลง เนื่องจากมีการหยุดเดินเครื่องนอกแผนของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 3 (Crude Distillation Unit 3: CDU-3) เป็นเวลา 13 วัน ในเดือนมกราคม 2567 และมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 1 (Crude Distillation Unit 1: CDU-1) และหน่วยที่เกี่ยวข้องเป็นเวลา 11 วัน ในเดือนพฤษภาคม 2567 ประกอบกับราคาขายผลิตภัณฑ์หลายรายการที่ปรับลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 455,857 ล้านบาท ลดลง 3,545 ล้านบาท           ด้าน กำไรขั้นต้นจากการกลั่นปรับลดลง จากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน, น้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด และน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบที่ปรับลดลง อันเนื่องมาจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นใหม่ที่เริ่มดำเนินการ ขณะที่ กำไรขั้นต้นจากธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวสูงขึ้น จาก ส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณเบนซีนคงคลังของจีนอยู่ในระดับต่ำในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี อย่างไรก็ตาม กำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดปรับลดลง จากอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง ประกอบกับ อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับลดลง เช่นกัน           ส่งผลให้ กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลง 2.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 7.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2567 เทียบกับปี 2566 ปรับลดลง จากความกังวลต่อ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้ กลุ่มไทยออยล์รับรู้ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 5,913 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 5,105 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า           ขณะที่มี รายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 80 ล้านบาท ลดลง 45 ล้านบาท จากปี 2566 เมื่อรวมกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ 626 ล้านบาท (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) ส่งผลให้ กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA 22,026 ล้านบาท ลดลง 13,427 ล้านบาท นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์มีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงิน 265 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 52 ล้านบาท และมีกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ 1,134 ล้านบาทเมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว ส่งผลให้ ปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 9,959 ล้านบาท ลดลง 9,484 ล้านบาท เทียบกับปี 2566           บริษัทฯและบริษัทในกลุ่มมีแผนการลงทุนโครงการในอนาคตที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2570 รวมจำนวนทั้งสิ้น 438 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยประกอบด้วยโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) 69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์ของบริษัทฯ ผ่านการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk ประมาณ 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงโครงการอื่นของบริษัทฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ตามรายละเอียดประมาณการรายจ่ายสำหรับแผนการลงทุนปี 2568 – 2570 สรุปแผนการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP)           โครงการ CFP มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทฯ โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต เพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และขยายกำลังการกลั่นน้ำมัน เพื่อให้สามารถ กลั่นน้ำมันดิบได้มากขึ้นและหลากหลายชนิดขึ้น ซึ่งช่วยให้เกิด การประหยัดด้านขนาด (Economies of Scale) ลดต้นทุนวัตถุดิบ และเสริมสร้าง ความมั่นคงด้านพลังงาน รวมถึง สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว           บริษัทฯ ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 ให้เข้าลงทุนในโครงการ CFP โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 4,825 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 160,279 ล้านบาท และ ดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,016 ล้านบาท บริษัทฯ ได้ลงนามใน สัญญาออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (Engineering, Procurement and Construction - EPC) กับผู้รับเหมาหลัก ได้แก่ • PSS Netherlands B.V. สำหรับงานออกแบบวิศวกรรมและการจัดหาวัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรในต่างประเทศ • กิจการร่วมค้า (Unincorporated Joint Venture) ของ o Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. o Petrofac South East Asia Pte. Ltd. o Saipem Singapore Pte. Ltd. สำหรับงานก่อสร้างและการจัดหาวัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรในประเทศไทยผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19           สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อโครงการ CFP ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ทั้งในขั้นตอนการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาอุปกรณ์ และการก่อสร้าง ซึ่งต้องดำเนินการภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงาน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบดังกล่าว ทำให้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการเพิ่มขึ้น และต้อง ขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปจากที่คาดการณ์ไว้เดิม ที่ประชุม คณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 9/2564 ได้พิจารณาอนุมัติ • การขยายกรอบวงเงินดอกเบี้ยระหว่างก่อสร้างของโครงการ CFP จาก 151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,016 ล้านบาท • เพิ่มขึ้นอีก 422 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 14,278 ล้านบาท ต่อมา ในการประชุม คณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2565 ได้พิจารณาอนุมัติ • งบประมาณเพิ่มเติมในการดำเนินโครงการ CFP • เพิ่มงบประมาณของโครงการอีกประมาณ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 18,165 ล้านบาท • ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการไปอีก 24 เดือน ตามเงื่อนไขในสัญญา EPC การปรับปรุงแผนงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้โครงการ CFP สามารถดำเนินต่อไปจนแล้วเสร็จ และ เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีการอนุมัติ TOP ปันผล 0.70 บาท ขึ้น XD 27 กุมภาพันธ์ 2568 กำหนดการจ่ายเงิน 28 เมายน 2568

SIS กำไรสุทธิปี 67 โต 8.1% เน้นขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม

SIS กำไรสุทธิปี 67 โต 8.1% เน้นขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (SIS) รายงานผลการดำเนินงานปี 2567 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้รวมปี 2567 เท่ากับ 28,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,123 ล้าน บาทหรือ 4.1% ประกอบด้วย รายได้จากส่วนงานขายและบริการ 28,795 ล้านบาท และรายได้อื่นจำนวน 38 ล้านบาท สรุปโดยภาพรวม ปี 2567 มีดังนี้ - สินค้าเชิงพาณิชย์ยอดขายลดลง 1,143 ล้านบาท หรือ 14.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจาก ความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณของภาครัฐ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายในครึ่งปีแรกที่ลดลงถึง 1,554 ล้านบาท แม้ว่ายอดขายในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นหลังการอนุมัติงบประมาณ แต่ยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่เข้ามาสนับสนุนให้ ยอดขายกลับมาสู่ระดับเดิมเหมือนปีก่อน - สินค้าสำหรับผู้บริโภค ยอดขายเพิ่มขึ้น 235 ล้านบาท หรือ 2.8% ถึงแม้ว่ายอดขายโดยรวมจะดีขึ้น แต่ ยอดขายยังคงผันผวนตามภาวะตลาดและปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อ การใช้จ่ายของผู้บริโภค การฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น โครงการกระตุ้น เศรษฐกิจ 10,000 บาท และบางส่วนมาจากการขายให้กับภาครัฐ - สินค้ามูลค่าเพิ่ม ยอดขายเพิ่มขึ้น 568 ล้าน หรือ 12.1% โดยสินค้ามูลค่าเพิ่มส่วนใหญ่เป็นสินค้าโซลูชั่น ชั้นสูง เช่น ระบบไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่ตลาดยังเติบโตอยู่ - สินค้าโทรศัพท์ ยอดขายเพิ่มขึ้น 874 ล้าน หรือ 20.8% เนื่องจากในปี 2567 มีโทรศัพท์รุ่นใหม่ในราคาประหยัดออกสู่ตลาดหลายรุ่น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของยอดขายนี้ส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่อทดแทนรุ่นเดิมที่ใช้อยู่ - สินค้าจากส่วนงานอื่น ยอดขายเพิ่มขึ้น 614 ล้าน หรือ 25.7% มาจากสินค้าประเภท Surveillance, บริการ Cloud, Energy เป็นหลัก ซึ่งสินค้าเหล่านี้ เป็นสินค้ากลุ่มใหม่ที่ผู้ใช้ยังคงมีความต้องการสูง ส่งผลให้รายได้เติบโต อย่างต่อเนื่อง           นอกจากการแบ่งสินค้าตามส่วนงานข้างต้นแล้ว บริษัทฯ ยังได้แบ่งประเภทสินค้าที่จำหน่ายออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ตามลักษณะสินค้าที่ต้องการการจัดการที่แตกต่างกัน ดังนี้ 1. สินค้า Volume คือ กลุ่มสินค้าที่มียอดขายจำนวนมาก แต่กำไรต่ำ โดยเป็นสินค้าที่ได้รับการพัฒนาจน สมบูรณ์ ใช้งานง่าย ตลาดอิ่มตัว อัตราการเติบโตน้อย กำไรต่ำ และมีการแข่งขันสูง สินค้ากลุ่มนี้มาจาก 3 ส่วนงานหลัก คือ สินค้าเชิงพาณิชย์ สินค้าสำหรับผู้บริโภค และสินค้าโทรศัพท์ กลยุทธ์หลักของสินค้าในกลุ่มนี้ คือ จะเน้นการขยายการจำหน่ายให้ครอบคลุม เพิ่มประสิทธิภาพในการ ดำเนินงาน และลดค่าใช้จ่าย เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน 2. สินค้า Value คือ กลุ่มสินค้าที่มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นสูง แต่ยอดขายน้อย โดยเป็นสินค้าเทคโนโลยีใหม่ที่อยู่ ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ซึ่งอาจยังไม่มีมาตรฐานในการขายและใช้งานได้ยาก มักต้องมีบริการควบคู่ไป ด้วย สินค้ากลุ่มนี้มาจากส่วนงานสินค้ามูลค่าเพิ่ม และสินค้าจากส่วนงานอื่น ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้จะเป็นสินค้าที่ อยู่ในช่วงเติบโต แม้ว่าตลาดจะมีขนาดเล็กกว่า แต่มีศักยภาพในการสร้างกำไรได้ดีกว่า โดยในระยะยาว เมื่อ พัฒนาจนสมบูรณ์แล้ว สินค้าเหล่านี้ก็สามารถปรับไปจัดการแบบสินค้า Volume ได้           ในปี 2567 หากพิจารณาแยกตามประเภทสินค้าที่เป็น Volume กับ Value พบว่า แม้ยอดขายสินค้าประเภท Volume จะยังสูงกว่า แต่สินค้าประเภท Value กลับทำกำไรได้มากกว่า ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการ ดำเนินธุรกิจ           บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิรวมจากการดำเนินงานในปี 2567 เท่ากับ 697 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 52 ล้านบาท หรือ 8.1% โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้ 2.1 กำไรขั้นต้น: กำไรขั้นต้นสำหรับปี 2567 เท่ากับ 2,178 ล้านบาท คิดเป็น 7.6% ของยอดขาย ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน อันเป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นขยายและเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าในส่วนงานที่เป็น Value เช่น สินค้ามูลค่าเพิ่ม, สินค้ากลุ่ม Surveillance, บริการ Cloud และกลุ่ม Energy ซึ่งสินค้าเหล่านี้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าสินค้าในส่วนงานที่เป็น Volume เช่น สินค้าพาณิชย์, สินค้าสำหรับผู้บริโภค และสินค้าโทรศัพท์ 2.2 ค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่าย: ค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายสำหรับปี 2567 มีจำนวน 842 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 132 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายพนักงานจำนวน 74 ล้านบาท เนื่องจากการขยายกำลังคนเพื่อรองรับธุรกิจกลุ่มใหม่ รวมทั้งบริษัทฯ ได้เริ่มต้นโครงการร่วมลงทุนระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง (EJIP) ในปี 2567 นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายทางการตลาดจำนวน 54 ล้านบาท เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว 2.3 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร: ค่าใช้จ่ายในการบริหารสำหรับปี 2567 มีจำนวน 442 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 64 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มค่าใช้จ่ายพนักงานจำนวน 31 ล้านบาท 2.4 ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน: ปี 2567 บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 16 ล้านบาท เนื่องจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ปีก่อน บริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 35 ล้านบาท 2.5 กลับรายการขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงิน: ปี 2567 บริษัทฯ มีการกลับรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงินจำนวน 12 ล้านบาท เนื่องจากได้รับชำระหนี้จากลูกค้า ขณะที่ปีก่อนมีขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงินจำนวน 29 ล้านบาท 2.6 ต้นทุนทางการเงิน: ต้นทุนทางการเงินสำหรับปี 2567 มีจำนวน 81 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนจำนวน 15 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง และบริษัทฯ มีการลดการถือครองสินค้าคงเหลือ ส่งผลให้สภาพคล่องดีขึ้น ทำให้การกู้ยืมเงินลดลง *ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือการเติบโตในอนาคต           ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการดำเนินงานหรือการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต มีหลายด้าน ได้แก่ - ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ เช่น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจของคู่ค้า และการปรับตัวต่อเทคโนโลยีใหม่ - ความเสี่ยงจากการดำเนินงาน เช่น การบริหารสินค้าคงคลังที่มีความล้าสมัยง่าย และการแข่งขันที่รุนแรงใน ตลาด - ความเสี่ยงด้านการเงิน เช่น ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และความสามารถของลูกค้าในการชำระหนี้ - ความเสี่ยงด้านความยั่งยืน เช่น ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลง อย่างต่อเนื่อง           เพื่อรับมือกับปัจจัยเหล่านี้ บริษัทฯ ได้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุม เช่น การสร้างความสัมพันธ์ เชิงกลยุทธ์กับคู่ค้า การปรับกลยุทธ์สินค้าและการให้บริการที่แตกต่าง การติดตามแนวโน้มตลาด และการปรับตัวให้ สอดคล้องกับกฎระเบียบสากล นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงติดตามและเฝ้าระวังความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน

SIS กำไรปี 67 โต 8.1% แตะ 697 ลบ. รับดีมานด์สินค้าเทคฯ-โซลูชันใหม่

SIS กำไรปี 67 โต 8.1% แตะ 697 ลบ. รับดีมานด์สินค้าเทคฯ-โซลูชันใหม่

          หุ้นวิชั่น - SIS มีกำไรสุทธิรวมจากการดำเนินงานในปี 2567 เท่ากับ 697 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 52 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8.1 มีรายได้รวมประจำปี 2567 เท่ากับ 28,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,123 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4.1 ประกอบด้วย รายได้จากส่วนงานขายและบริการ 28,795 ล้านบาท และ รายได้อื่นจำนวน 38 ล้านบาท สรุปโดยภาพรวม ปี 2567 มีดังนี้ • สินค้าเชิงพาณิชย์ ยอดขายลดลง 1,143 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 14.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจาก ความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณของภาครัฐ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายในครึ่งปีแรกที่ลดลงถึง 1,554 ล้านบาท แม้ว่ายอดขายในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นหลังการอนุมัติงบประมาณ แต่ยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่เข้ามาสนับสนุนให้ยอดขายกลับมาสู่ระดับเดิมเหมือนปีก่อน • สินค้าสำหรับผู้บริโภค ยอดขายเพิ่มขึ้น 235 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2.8 ถึงแม้ว่ายอดขายโดยรวมจะดีขึ้น แต่ยอดขายยังคงผันผวนตามภาวะตลาดและปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค การฟื้นตัวในครึ่งปีหลังมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท และบางส่วนมาจากการขายให้กับภาครัฐ • สินค้ามูลค่าเพิ่ม ยอดขายเพิ่มขึ้น 568 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 12.1 โดยสินค้ามูลค่าเพิ่มส่วนใหญ่เป็น สินค้าโซลูชันขั้นสูง เช่น ระบบไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ที่ตลาดยังเติบโตอยู่ • สินค้าโทรศัพท์ ยอดขายเพิ่มขึ้น 874 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 20.8 เนื่องจากในปี 2567 มีโทรศัพท์รุ่นใหม่ในราคาประหยัดออกสู่ตลาดหลายรุ่น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของยอดขายนี้ส่วนใหญ่เป็น การซื้อเพื่อทดแทนรุ่นเดิมที่ใช้อยู่ • สินค้าจากส่วนงานอื่น ยอดขายเพิ่มขึ้น 614 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 25.7 มาจากสินค้าประเภท Surveillance, บริการ Cloud, Energy เป็นหลัก ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็น สินค้ากลุ่มใหม่ที่ผู้ใช้ยังคงมีความต้องการสูง ส่งผลให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

TPIPL กำไรสุทธิปี 67 ลดลง 43.66% เหลือ 1.4 พันลบ.

TPIPL กำไรสุทธิปี 67 ลดลง 43.66% เหลือ 1.4 พันลบ.

         หุ้นวิชั่น - บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) รายงานผลประกอบการ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายจำนวน 35,770 ล้านบาท ลดลง 16.44% จากจำนวน 42,807 ล้านบาทในปี 2566 โดยในปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมจำนวน 37,862 ล้านบาท ลดลง 15.79% จากจำนวน 44,963 ล้านบาท ในปี 2566 บริษัทฯ บันทึกกำไรสุทธิ จำนวน 2,425 ล้านบาท (โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 1,442 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 0.076 บาท) ลดลงจำนวน 1,880 ล้านบาท หรือลดลง 43.66% จากกำไรจำนวน 4,305 ล้านบาท (โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 3,218 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 0.170 บาท) ทั้งนี้ กำไรในปี 2567 จำนวน 2,425 ล้านบาท ประกอบด้วยกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 2,822 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิจำนวน 88 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 485 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรในปี 2566 จำนวน 4,305 ล้านบาท ประกอบด้วยกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 4,509 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิจำนวน 88 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 292 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีมูลค่ารวมสินทรัพย์จำนวน 159,687 ล้านบาท และรวมส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 64,824 ล้านบาท โดยมีมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นเท่ากับ 3.42 บาท ผลการดำเนินงานด้าน ESG ในปี 2567 บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้การพัฒนาที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยมีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่สำคัญในปี 2567 ดังนี้ ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental): บริษัทฯ นำเชื้อเพลิงขยะจำนวน 233,728.42 ตัน มาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านหินในกระบวนการผลิตปูนซิเมนต์ หรือประมาณ 12% ของปริมาณความร้อนที่ต้องการ บริษัทฯ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงปูนซิเมนต์ลงจำนวน 1,580,430.38 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือลดลงร้อยละ 18.46 จากเดิมจำนวน 8,559,903.20 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2566 เป็นจำนวน 6,979,472.82 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2567 บริษัทฯ สามารถลดการใช้พลังงานลงจำนวน 6,812,561.90 จิกะจูล หรือลดลงร้อยละ 20.27 จากเดิมจำนวน 33,609,161.81 จิกะจูล ในปี 2566 เป็นจำนวน 26,796,599.91 จิกะจูล ในปี 2567 บริษัทฯ ลงทุนในด้าน Green Mining / Green Quarry โดยการเปลี่ยนรถเจาะ รถตัก รถดัมพ์ และรถขุดในเหมืองที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมาเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด (จำนวน 71 คัน) และด้าน Green Packing Line / Warehouse ใช้รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า 100% (จำนวน 65 คัน) ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งพร้อมกับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการเกิดฝุ่น PM 2.5 บริษัทฯ นำน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิตกลับมากรองใช้ใหม่ รวม 1,110,051 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 46.82% ของปริมาณการใช้น้ำรวม 2,371,070 ลูกบาศก์เมตร บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายให้สามารถใช้ประโยชน์จากกากอุตสาหกรรมได้ 95% ของปริมาณกากอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นรวม ซึ่งในปี 2567 บริษัทฯ ได้นำกากอุตสาหกรรมที่เกิดจากกระบวนการผลิตมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นเชื้อเพลิงทดแทน วัสดุทดแทน และนำไปรีไซเคิลรวมจำนวน 2,876.46 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.70 ของปริมาณกากอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นรวม ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งไว้ กลุ่มทีพีไอ โพลีน ได้สนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567 โดยร่วมกับหน่วยงานและชุมชนในจังหวัดสระบุรีในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น กิจกรรมวันอนุรักษ์ลำน้ำมวกเหล็ก ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย ร่วมกับ อ.มวกเหล็ก การปลูกต้นไม้ฟื้นฟูป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียวร่วมกับสถานีวิจัยทับกวาง คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และการปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบในหลายพื้นที่ รวมถึงบริเวณป่าชุมชน ป่าสงวนแห่งชาติ และสถานศึกษา โดยปลูกต้นไม้จำนวนรวมมากกว่า 10,667 ต้น ครอบคลุมพื้นที่ปลูกป่ารวม 150 ไร่ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่สีเขียว ลดก๊าซเรือนกระจก ลดมลพิษทางอากาศ ป้องกันการพังทลายของดิน และช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ในช่วงปลายปี 2567 ทีพีไอ โพลีน ได้ลงนามสัญญากับกรมโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อดำเนินการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอส (Aluminum Dross) ปริมาณ 7,000 ตัน ซึ่งเป็นตะกรันที่เกิดจากกระบวนการผลิตอะลูมิเนียม โดยบริษัทภายนอก โดยมีสารบางชนิดระเหยออกมาเป็นไอกรดในระหว่างการผลิตและถูกลักลอบทิ้งฝังกลบ ส่งผลให้ชาวบ้านในพื้นที่เผชิญกับผลกระทบจากพิษของกากอุตสาหกรรมที่ปนเปื้อนทั้งในดิน น้ำ และอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฝนตก ซึ่งกากอุตสาหกรรมจะระเหยกลิ่นและสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนบ้านหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดย ทีพีไอ โพลีน ได้ช่วยขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสจากพื้นที่ดังกล่าวไปกำจัดที่โรงงานปูนซีเมนต์ของบริษัทฯ ณ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี อย่างถูกต้องตามกฎหมายและมาตรฐานสากล โดยไม่คิดค่ากำจัดใดๆ ทั้งสิ้น อนึ่ง ทีพีไอ โพลีน ได้รับใบอนุญาตประเภทโรงงาน 101 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างยั่งยืนในฐานะองค์กรที่มีจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะมีบทบาทในการแก้ปัญหาของเสียที่เกิดจากอุตสาหกรรมโดยไม่มุ่งหวังผลกำไร

COCOCO ดิ่ง 15.66% รับกำไร Q4/67 หด 49.8%

COCOCO ดิ่ง 15.66% รับกำไร Q4/67 หด 49.8%

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์ เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ ประเมินกำไรสุทธิ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) (COCOCO) งวด 4Q67 ที่ 95 ล้านบาท ลดลง 49.8% yoy และ 44.9% qoq โดยหากไม่รวม FX gain คาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ 85 ล้านบาท ลดลง 53.9% yoy และ 63.6% qoq ตามฐานรายได้ที่ลดลงตาม seasonal บวกกับ ฐาน 4Q66 ที่สูงกว่าปกติ ประกอบกับ ต้นทุนผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น

SCB ร่วง 4% รับ “เจพี มอร์แกน” หั่นเป้า- King Power ชำระหนี้ AOT ล่าช้า

SCB ร่วง 4% รับ “เจพี มอร์แกน” หั่นเป้า- King Power ชำระหนี้ AOT ล่าช้า

         หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.เอเซียพลัส ระบุ ราคาหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ปรับตัวลดลงในวันนี้ โดยมีปัจจัยหลักมาจาก เจพี มอร์แกน ปรับลดน้ำหนักการลงทุน          บริษัทหลักทรัพย์ เจพี มอร์แกน ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนของหุ้น SCB ลงจาก "Neutral" หรือ "คงเดิม" มาเป็น "Underweight" หรือ "ต่ำกว่าตลาด" พร้อมกับปรับลดราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 105 บาท จากเดิมที่ 122 บาท โดยให้เหตุผลว่า หุ้นกลุ่มธนาคารไทย รวมถึง SCB มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมือง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบาง สำหรับการปรับลดเป้าหมายในครั้งนี้ ประเมินจากค่า PBV ที่ 0.75 เท่า ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2568 ใหม่ที่ 118 บาท ลดลงจากเดิมที่ 127 บาท          อย่างไรก็ตาม SCB ยังคงเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง โดยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 7% อิงจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 65% ในปี 2567-2568 ลดลงจาก 80% ในปี 2566          นอกจากนี้ตลาดยังกังวลต่อประเด็น King Power ที่มีการชำระหนี้แก่ AOT ล่าช้า ซึ่งตลาดคาด SCB จะเป็นธนาคารที่เป็นคนให้ Bank Gurantee กับ King Power ทั้งนี้ปัจจุบันยังติดต่อกับทางบริษัทไม่ได้ เบื้องต้นยอดลูกหนี้ค้างจ่ายของ AOT ที่เพิ่มขึ้นมาจากกรณีดังกล่าวยังอยู่ที่ราว 4 พันล้านบาท

PTT Station & Café Amazon คว้ารางวัล World Branding Awards 8 ปีซ้อน!

PTT Station & Café Amazon คว้ารางวัล World Branding Awards 8 ปีซ้อน!

           หุ้นวิชั่น - PTT Station และ Café Amazon ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR สร้างประวัติศาสตร์คว้ารางวัล World Branding Awards 2024-2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8     ในฐานะแบรนด์แห่งปี (Brand of the Year) สะท้อนความสำเร็จของแบรนด์ไทยบนเวทีระดับโลก โดย PTT Station ได้รับรางวัลในหมวด Petrol/Gas Stations และ Café Amazon ได้รับรางวัลในหมวด Retailer – Coffee ซึ่งทั้งสองเป็นแบรนด์ไทยเพียงแบรนด์เดียวที่ได้รับรางวัลในแต่ละหมวดหมู่            ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เปิดเผยว่า รางวัลนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อ PTT Station และ Café Amazon เรามุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Empowering All toward Inclusive Growth” หรือ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน”           ตลอดเวลาที่ผ่านมา PTT Station เป็นผู้นำสถานีบริการน้ำมันที่ผู้บริโภคไว้วางใจด้วยส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 และมาตรฐานคุณภาพน้ำมันระดับสากลที่ผ่านการคัดสรรสารเติมแต่งจากบริษัทชั้นนำระดับโลก พร้อมตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วยการควบคุมคุณภาพน้ำมันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่น้ำมันออกจากโรงกลั่นจนถึงมือผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพระดับสากลและมาตรฐานเดียวกันใน PTT Station ทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมนำเสนอสินค้าและบริการที่ครบครันภายในสถานีบริการ เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และเป็นพื้นที่ดูแลผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ขณะที่ Café Amazon แบรนด์กาแฟที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในประเทศไทย ด้วยยอดขายที่สูงที่สุดในตลาดกว่า 400 ล้านแก้วต่อปี พร้อมสร้างประสบการณ์การบริโภคที่ครบวงจรและตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้บริโภคได้อย่างรอบด้าน จากแนวคิด “กาแฟที่แฟร์กับคนทั้งโลก” โดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งแฟร์กับสิ่งแวดล้อม ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ แฟร์กับผู้ขาดโอกาส ผ่านการสนับสนุนเกษตรกรและการจ้างงานผู้ด้อยโอกาส และแฟร์กับผู้บริโภค ด้วยเครื่องดื่มคุณภาพ         สำหรับ World Branding Awards จัดขึ้นโดย World Branding Forum องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลก ซึ่งพิจารณารางวัลจาก การประเมินคุณค่าของแบรนด์ (Brand Valuation) การได้รับการยอมรับจากสาธารณชน ผ่านการโหวตออนไลน์ (Public Online Voting) และการวิจัยผู้บริโภคในตลาดนั้น ๆ (Consumer Market Research) โดย PTT Station และ Café Amazon เป็นแบรนด์ไทยเพียงแบรนด์เดียว ที่ได้รับรางวัลในหมวดของตน สะท้อนถึงการเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคทั่วโลก [PR News]

MINTกวาดกำไร 7,750 ล้านบาท โต 43% โรงแรม-ร้านอาหารแกร่ง

MINTกวาดกำไร 7,750 ล้านบาท โต 43% โรงแรม-ร้านอาหารแกร่ง

            หุ้นวิชั่น - บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) สร้างผลการดำเนินงานทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 7,750 ล้านบาทในปี 2567 ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นนี้สะท้อนถึงการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม ความต้องการเดินทางทั่วโลกที่ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง และสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น             ความแข็งแกร่งต่อเนื่องในธุรกิจโรงแรมขับเคลื่อนโดยการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนและการขยายตัวของตลาด ควบคู่ไปกับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับแรงหนุนจากนวัตกรรมของแบรนด์และจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังประสบความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิการดำเนินงาน โดยได้รับประโยชน์จากโมเดลธุรกิจที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light Model) ที่เติบโตขึ้น ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงวินัยทางการเงินผ่านการลดหนี้             ปิดท้ายปีด้วยผลงานที่น่าประทับใจ MINT มีกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 269 เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 3,632 ล้านบาท ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำหรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในปี 2568 ธุรกิจโรงแรม: รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเติบโตแข็งแกร่ง และการขยายตลาดผลักดันผลการดำเนินงาน ธุรกิจโรงแรมของ MINT ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการเดินทางทั่วโลกและการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในตลาดสำคัญ ยุโรปและอเมริกา: รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน นำโดยราคาห้องพักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากวินัยด้านการกำหนดราคาและการเดินทางในภูมิภาคที่สม่ำเสมอ โดยสเปนเป็นประเทศที่มีผลงานการเติบโตดีที่สุด รองลงมาคือยุโรปกลาง เบเนลักซ์ และอิตาลี ประเทศไทย: รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนพุ่งสูงขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น การขยายเส้นทางการบิน และกลยุทธ์การขายแบบกำหนดเป้าหมายที่ดึงดูดนักเดินทางคุณภาพสูงจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย             MINT ยังคงขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง โดยเปิดโรงแรมใหม่ 30 แห่งที่มีห้องพักกว่า 3,000 ห้องในปี 2567 ภายใต้โมเดลธุรกิจ Asset-light Model เป็นหลัก ส่งผลให้ MINT มีฐานการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในเมืองสำคัญต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และโอเชียเนีย โดยการเปิดตัวโรงแรมครั้งสำคัญ ได้แก่ โรงแรม NH Collection Helsinki Grand Hansa ในประเทศฟินแลนด์ โรงแรม Anantara Stanley & Livingstone Victoria Falls ในประเทศซิมบับเว และ Anantara Jewel Bagh Jaipur Hotel ในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของ MINT ในตลาดใหม่ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง ธุรกิจร้านอาหาร: นวัตกรรมและแฟรนไชส์ขับเคลื่อนการเติบโต             ไมเนอร์ ฟู้ดประสบความสำเร็จในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกปี โดยมียอดขายโดยรวมทุกสาขา (TSS) ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และสิงคโปร์มียอดขายรวมเติบโตขึ้นร้อยละ 12 เป็นผลมาจากการขยายตัวของยอดขายต่อร้านเดิมและจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น             ความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนานวัตกรรมและแนวคิดที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภคนำไปสู่การเปิดตัวแบรนด์และรูปแบบร้านค้าใหม่ๆ ที่ประสบความสำเร็จ เช่น ร้าน สเต็ก แอนด์ มอร์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นตัวเลือกการรับประทานอาหารระดับพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้ และร้าน แบทเทอร์แคช (สิงคโปร์) ซึ่งเป็นแนวคิดร้านฟิชแอนด์ชิปส์สมัยใหม่ที่ดึงดูดผู้บริโภคในเมือง             ในขณะเดียวกัน ไมเนอร์ ฟู้ดได้เร่งการขยายธุรกิจด้วย Asset-light Model ผ่านความสำเร็จของการขายแฟรนไชส์ทรัพย์สินทางปัญญาระดับโลกที่บริษัทเป็นเจ้าของ เช่น เบนิฮานา, ซิซซ์เล่อร์ และกาก้า โดยมีการเปิดร้านเบนิฮานาที่กรุงปารีส การเปิดสาขาซิซซ์เล่อร์หลายแห่งในประเทศญี่ปุ่นและเวียดนาม และการขยายสาขาร้านกาก้าทั่วประเทศไทย ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นสนับสนุนการเร่งการเติบโต ความมุ่งมั่นของ MINT ในการรักษาวินัยทางการเงินช่วยลดภาระหนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญดังต่อไปนี้ อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นปรับตัวดีขึ้นจาก 0 เท่าในปี 2566 เป็น 0.8 เท่าในปี 2567 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมลดลงจาก 9 เท่าเป็น 4.3 เท่า การลดภาระหนี้สินจำนวน 1 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และเพิ่มศักยภาพในการสนับสนุนโครงการเติบโตที่ให้ผลตอบแทนสูง มองไปข้างหน้า: ปี 2568 และอนาคต – เส้นทางที่ชัดเจนสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม             MINT เตรียมพร้อมก้าวสู่อีกปีที่แข็งแกร่งในปี 2568 โดยใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 นอกจากนี้ MINT อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวโรงแรมเชิงกลยุทธ์ในประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายการดำเนินงานในตลาดสำคัญที่มีการเติบโตสูง ตลอดจนการเติบโตของร้านอาหารผ่านนวัตกรรมของแบรนด์ การปรับรูปแบบร้านค้าให้มีความหลากหลาย และการขยายแฟรนไชส์ ส่วนหนึ่งของแผนงานเชิงกลยุทธ์สำหรับปี 2567–2570 MINT ตั้งเป้า อัตราการเติบโตของรายได้ต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ร้อยละ 6-8 การเติบโตของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่ร้อยละ 15-20 อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมากกว่าร้อยละ 12 การขยายกลุ่มธุรกิจทั่วโลกสู่โรงแรม 850 แห่งและร้านอาหาร 4,000 แห่งภายในปี 2570 สารจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร             นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT แสดงความมั่นใจในแนวโน้มการเติบโตของบริษัท โดยกล่าวว่า “ผลการดำเนินงานที่เป็นประวัติการณ์ของ MINT ตอกย้ำความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจและการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ของเรา ด้วยงบแสดงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เราพร้อมที่จะเร่งการเติบโตในปี 2568 และในอนาคต เราจะยังคงใช้ประโยชน์จากแนวโน้มการท่องเที่ยวทั่วโลก ขยายโมเดลธุรกิจ Asset-light Model และขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารของเราต่อไป เราจะมุ่งเน้นไปที่การส่งมอบผลกำไรที่ยั่งยืนและเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวขณะที่เราขยายฐานการดำเนินงานไปทั่วโลก”

บอร์ด TFM ไฟเขียวแตกพาร์ เป็น 1.00 บาท/หุ้น

บอร์ด TFM ไฟเขียวแตกพาร์ เป็น 1.00 บาท/หุ้น

           หุ้นวิชั่น -  “บอร์ด TFM” ไฟเขียวแตกพาร์เหลือ 1.00 บาทต่อหุ้น จากเดิมหุ้นละ 2.00 บาทต่อหุ้น เพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนให้เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น โดยหลังเปลี่ยนพาร์จำนวนหุ้นจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้น 500,000,000 หุ้น เป็น 1,000,000,000 หุ้น โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่กระทบต่อทุนจดทะเบียน ทุนชำระแล้วและสัดส่วนการถือหุ้นในปัจจุบัน”            บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทย แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 4 เมษายน 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติ การเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญ จากเดิม 2.00 บาทต่อหุ้น เป็น 1.00 บาทต่อหุ้น เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นสามัญของบริษัท พร้อมทั้งดึงดูดนักลงทุนให้สามารถเข้าถึงหุ้นได้มากยิ่งขึ้น            โดยภายหลังเปลี่ยนแปลงพาร์ จะส่งผลให้บริษัทมีหุ้นจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 500,000,000 หุ้น จากเดิมจำนวน 500,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 2.00 บาท เป็นจำนวน 1,000,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถือครองอยู่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 2 หุ้นสามัญใหม่

AOT ราคาร่วงแรง กังวลรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ต่ำ-ยอดลูกหนี้ค้างจ่ายสูง

AOT ราคาร่วงแรง กังวลรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ต่ำ-ยอดลูกหนี้ค้างจ่ายสูง

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) ราคาหุ้นลงแรงหลังประชุมบ่ายวันนี้ โดยมีประเด็นกังวล 2 ประเด็น - รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์โตต่ำกว่าคาดเนื่องจากมีรายได้บางส่วนที่ไม่ได้เพิ่มตามปริมาณผู้โดยสาร - ยอดลูกหนี้ค้างจ่ายสูงขึ้นจากผู้ประกอบการในสนามบินมีปัญหาสภาพคล่อง แต่อย่างไรก็ตาม ระยะเวลายังไม่เกินวงเงินประกันที่ AOT เรียกเก็บจากผู้ประกอบการ           อย่างไรก็ตาม ลุ้นเรียกเก็บ PSC transit/transfer และขึ้นค่า PSC ในปีนี้

‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ ติดอันดับความยั่งยืนโลก พร้อมคว้ารางวัลสองปีซ้อน จาก S&P Global 

‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ ติดอันดับความยั่งยืนโลก พร้อมคว้ารางวัลสองปีซ้อน จาก S&P Global 

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งค้าปลีก “แม็คโคร-โลตัส” ได้รับการประเมินด้านความยั่งยืน Corporate Sustainability Assessment (CSA) ประจำปี 2024 จาก S&P Global ในระดับ Top 10% พร้อมได้รับการยกย่องให้เป็น Industry Mover หรือ องค์กรที่มีพัฒนาการสูงสุดด้านความยั่งยืน 2 ปีซ้อน ด้วยคะแนน 84 จาก 100 คะแนน สูงเป็นอันดับ 4 ในกลุ่มอุตสาหกรรม Food & Staples Retailing ในรายงาน ‘The S&P Global Sustainability Yearbook 2025’ ตอกย้ำความมุ่งมั่นขององค์กรในการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาด้านความยั่งยืน           นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า “ซีพี แอ็กซ์ตร้า ภูมิใจที่ได้รับการจัดอันดับด้านการพัฒนาความยั่งยืนในระดับสากล อีกทั้ง ได้รับการยกย่องให้เป็นองค์กรที่มีพัฒนาการสูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากบริษัททั่วโลกที่เข้ารับการประเมินในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งเป็นผลจากความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างแท้จริง”           ซีพี แอ็กซ์ตร้า มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG (Environmental, Social and Governance) ตั้งเป้าสู่องค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2030 และมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ผ่านโครงการต่างๆ เช่น การติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ในสาขาแม็คโคร-โลตัส และศูนย์กระจายสินค้ากว่า 924 แห่ง ในปี 2024 พร้อมตั้งเป้าลดขยะอาหารสู่หลุมฝังกลบให้เป็นศูนย์ผ่าน โครงการ “เปลี่ยนขยะเป็นประโยชน์” นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 290,000 ราย จากเป้าหมาย 400,000 รายในปี 2030 พร้อมยึดมั่นในการดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล การสนับสนุนด้านสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม และความหลากหลายทางเพศ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างยั่งยืน [PR News]

MINT ปี67 กำไร7,750 ล.โต43% ปักธงรายได้3ปี โต6-8%

MINT ปี67 กำไร7,750 ล.โต43% ปักธงรายได้3ปี โต6-8%

          หุ้นวิชั่น - MINT รายงานผลประกอบการปี 2567 กำไรพุ่งแตะ 7,750 ล้านบาท เติบโต 43% จากปีก่อน รับอานิสงส์ ท่องเที่ยวฟื้นตัว-ธุรกิจโรงแรมแข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้าขยายพอร์ตโรงแรมและร้านอาหารทั่วโลก ตั้งเป้ามีโรงแรม 850 แห่ง และร้านอาหาร 4,000 แห่ง ภายในปี 2570 ด้านแผนธุรกิจระยะ 3 ปี (2567-2570) มุ่งขยายรายได้ 6-8% ต่อปี และดันกำไรสุทธิโต 15-20% ผ่านกลยุทธ์ Asset-light, ขยายช่องทางขายตรง และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ดันศักยภาพเติบโตยั่งยืน           บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) รายงานผลกำไรเติบโตโดดเด่นในปี 2567 แสดงถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งและความแข็งแกร่งทางการเงินที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทเติบโตร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 166,034 ล้านบาท เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานของโรงแรมและร้านอาหารที่ดีขึ้น การท่องเที่ยวทั่วโลกที่เฟื่องฟูและความสำเร็จของกลยุทธ์การกำหนดราคาส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ในยุโรปและเอเชียเพิ่มขึ้น และการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ทำให้ผลการดำเนินงานของโรงแรมแข็งแกร่งยิ่งขึ้น           ในขณะเดียวกัน จำนวนลูกค้าและยอดขายที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยและสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แคมเปญการตลาด การขยายสาขา และการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ผลักดันให้ธุรกิจร้านอาหารเติบโต กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อม (Core EBITDA) เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 44,572 ล้านบาท           โดยมีอัตราการเติบโตต่ำกว่ารายได้เนื่องจากการปรับปรุงบัญชีในด้านบวก ณ สิ้นปี 2565 รวมไปถึงการลงบัญชีด้านต้นทุนของ Oaks ตามมาตรฐานบัญชี IFRS 16 กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 8,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นเป็นร้อยละ 5.1 จากความสามารถในการดำเนินงานที่ดีขึ้นและการใช้ประโยชน์จากผลขาดทุนทางภาษีสะสม           ในไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานเติบโตร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 41,757 ล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมที่สูงขึ้น ยอดขายโดยรวมทุกสาขา (TSS) ของธุรกิจร้านอาหาร และการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจของบริษัทโดยรวม           ทั้งนี้ การปรับปรุงบัญชีในด้านบวก ณ สิ้นปี ซึ่งถูกบันทึกในไตรมาส 4 ปี 2566 ตามที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อม ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 10,949 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลงจากการลดหนี้และการบริหารจัดการภาษีที่มีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มผลกำไร ทำให้กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 อยู่ที่ 2,876 ล้านบาท           หากนับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวตามรายละเอียดในภาคผนวก บริษัทมีรายได้และกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมตามที่รายงานในปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และร้อยละ 8 ตามลำดับ อยู่ที่ 166,409 ล้านบาท และ 44,441 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรตามที่รายงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 7,750 ล้านบาท เนื่องมาจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากการป้องกันความเสี่ยงและตราสารอนุพันธ์ โดยในไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทมีรายได้ตามที่รายงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 41,936 ล้านบาท           ในขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมตามงบการเงินเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 อยู่ที่ 11,895 ล้านบาท กำไรตามที่รายงานเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า อยู่ที่ 3,632 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปี 2566 ที่ 984 ล้านบาท โดยหลักมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการป้องกันความเสี่ยงและตราสารอนุพันธ์ที่ถูกบันทึกไว้ เมื่อเทียบกับการขาดทุนในปีก่อน ไมเนอร์ โฮเทลส์ ยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรหลัก โดยมีกำไรคิดเป็นร้อยละ 70 ของกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในปี 2567 แนวโน้มในอนาคต           ในปี 2568 MINT ยังคงมั่นใจในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแรงหนุนของกิจกรรมการเดินทางทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นและโครงการเชิงกลยุทธ์ต่างๆ ตลาดหลักอย่างยุโรปและประเทศไทยมีแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าพักที่แข็งแกร่ง โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ในช่วงปี 2567-2575 ที่ระดับเลขหลักเดียวตอนกลางสำหรับยุโรป และระดับเลขหลักเดียวตอนสูงสำหรับประเทศไทย ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจากยอดจองล่วงหน้าในไตรมาสแรกของปี 2568 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ในยุโรป และร้อยละ 9 ในประเทศไทย           ภายใต้แผนระยะสามปี (2567-2570) MINT ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ต่อปีที่ร้อยละ 6-8 และการเติบโตของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่ร้อยละ 15-20 โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของอัตรากำไรที่สูงขึ้นจากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมจากการรับจ้างบริหารโรงแรมและแฟรนไชส์ร้านอาหาร เราตั้งเป้าจะบรรลุผลตอบแทนจากเงินลงทุนให้สูงกว่าร้อยละ 12 พร้อมเร่งขยายธุรกิจในรูปแบบที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light) โดยตั้งเป้าให้มีโรงแรมมากกว่า 850 แห่งและร้านอาหาร 4,000 แห่งทั่วโลกภายในปี 2570 ลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ต่างๆ ในกลุ่ม           MINT ยังคงพัฒนาและขยายแบรนด์ต่างๆ ในกลุ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบรับเทรนด์ นอกจากการเปิดตัว Minor Hotels' Masterbrand ซึ่งเป็นแนวคิดการสร้างแบรนด์แบบรวมศูนย์ที่เชื่อมโยงโรงแรมกว่า 560 แห่งไว้ภายใต้กลุ่มเดียวกัน เรายังเตรียมเปิดตัวแบรนด์โรงแรมใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป แบรนด์ใหม่ที่จะเปิดตัวในปีที่จะมาถึงได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำสัญญารับจ้างบริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโครงการแปลงสภาพ           ในขณะเดียวกัน ไมเนอร์ ฟู้ด กำลังขยายธุรกิจร้านอาหารด้วยแนวคิดร้านอาหารแบบสบายๆ (Casual Dining) ที่เข้าถึงง่ายในประเทศไทย สิงคโปร์ และจีน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในด้านนวัตกรรมและการปรับตัวเข้ากับตลาด การขยายธุรกิจเพื่อการเติบโต           MINT ให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจด้วยรูปแบบการลงทุนที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ผ่านการรับจ้างบริหารโรงแรมและสัญญาแฟรนไชส์ร้านอาหาร ซึ่งช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ พร้อมทั้งลดรายจ่ายด้านเงินทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากเงินลงทุน           ไมเนอร์ โฮเทลส์ วางแผนเปิดโรงแรมใหม่เกือบ 300 แห่งภายในปี 2570 โดยมุ่งเน้นไปที่เมืองศูนย์กลางและตลาดเกิดใหม่ที่มีการเติบโตสูง พร้อมปรับสมดุลโรงแรมจากที่เคยกระจุกตัวอยู่ในยุโรป สู่ขอบเขตทางธุรกิจที่กระจายตัวทั่วโลกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวมถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์           การขยายธุรกิจใน เอเชียเหนือ อินเดีย โมร็อกโก อียิปต์ และตุรกี อยู่ระหว่างดำเนินการ พร้อมกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ อนันตรา และ เอ็นเอช คอลเลคชั่น ในตะวันออกกลาง ไมเนอร์ ฟู้ด กำลังเร่งการเติบโตทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ รวมถึงประเทศไทยและอินโดนีเซีย พร้อมกับการวางรากฐานสำหรับอุตสาหกรรมร้านอาหารในอินเดีย ทั้งนี้ การร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับผู้นำในท้องถิ่นจะช่วยเพิ่มความสามารถในการขยายธุรกิจ โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญระดับโลกของ MINT เพื่อผลักดันความสำเร็จในตลาดใหม่ การเพิ่มผลกำไรสูงสุด           MINT กำลังเพิ่มความสามารถในการทำกำไรผ่านโมเดลธุรกิจที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ช่องทางการขายตรง และการลดภาระหนี้ การเสริมสร้างวินัยทางการเงินที่เข้มแข็งช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ย ส่งผลให้มีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นสำหรับแผนการเติบโตที่ให้ผลตอบแทนสูง           ไมเนอร์ โฮเทลส์ และ ไมเนอร์ ฟู้ด มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับช่องทางการขายตรงเพื่อขับเคลื่อนความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ยกระดับการผนึกกำลังระหว่างแบรนด์ ตลอดจนพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าและการรักษาลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น โดย Masterbrand ของไมเนอร์ โฮเทลส์ และ โปรแกรมสมาชิก GHA Discovery จะช่วยเพิ่มยอดการจองโดยตรงและลดการพึ่งพาบุคคลที่สาม ขณะที่ ไมเนอร์ ฟู้ด กำลังขยายโปรแกรมสมาชิกเพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าที่กลับมาใช้บริการซ้ำ และสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับทุกแบรนด์ในเครือ การบูรณาการความยั่งยืน           ความยั่งยืนยังคงเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ของ MINT เรามุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากร การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลกิจการที่เข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืนในระยะยาว เราได้ผสานแนวปฏิบัติทางธุรกิจที่ยั่งยืนไว้ในทุกส่วนของการดำเนินงาน เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราต่อความเป็นเลิศด้าน ESG อนาคตที่แข็งแกร่งรออยู่ข้างหน้า           MINT ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ด้วยแรงขับเคลื่อนการเติบโต แผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน และความมุ่งมั่นสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและให้ผลตอบแทนสูง ความทุ่มเทเพื่อความเป็นเลิศของเราได้รับการยอมรับในระดับโลกอย่างต่อเนื่อง เราภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละของทีมงานในการสร้างคุณค่า           โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MINT ได้รับการจัดอันดับเป็นบริษัทอันดับ 1 ของประเทศไทยใน 'World's Best Companies 2024' โดยนิตยสาร TIME และ Statista ซึ่งโดดเด่นในด้านความพึงพอใจของพนักงาน ผลการดำเนินงานทางการเงิน และความโปร่งใสด้านความยั่งยืน           นอกจากนี้ หน่วยงานส่งเสริมความยั่งยืนมูลค่า 5 พันล้านบาทของ MINT ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ 3 รางวัล ได้แก่ • The Asset Triple A Sustainable Finance Award for Best Sustainability-Linked Loan ในภาคธุรกิจโรงแรมของประเทศไทย • The FinanceAsia Achievement Award 2024 • The Most Innovative Deal จาก Thai BMA           ด้วยความสำเร็จเหล่านี้ ประกอบกับการขยายฐานธุรกิจทั่วโลก กำไรที่เพิ่มขึ้น และความเป็นผู้นำในตลาด MINT มั่นใจในการส่งมอบคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำระดับโลกด้านธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร

AAV คาดปี68 กำไรที่ 1.41 พันลบ. โบรกแนะนำซื้อ เป้าที่ 3.60 บาท

AAV คาดปี68 กำไรที่ 1.41 พันลบ. โบรกแนะนำซื้อ เป้าที่ 3.60 บาท

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.เคจีไอ คาดว่ากำไรปกติของ AAV ใน 4Q67F จะออกมาแข็งแกร่งที่ 1.41 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ อย่างไรก็ตาม บริษัทน่าจะต้องบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.3 พันล้านบาท เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐใน 4Q67 ดังนั้น เราจึงคาดว่ากำไรสุทธิของ AAV ใน 4Q67F จะอยู่ที่ 111 ล้านบาท ตามปกติแล้วไตรมาสที่สี่จะเป็นไตรมาสที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบปีของ AAV เพราะเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวของไทยแข็งแกร่งตามฤดูกาล           เราคิดว่า Thai Air Asia (TAA) จะสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ในระดับสูงได้ที่ 39% ในช่วงปลายปี 2567 หลังจากที่จำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ 5.5 ล้านคน โดยที่ load factor แข็งแกร่งที่ 89% ทั้งนี้ ตลาดในประเทศยังคงเป็นตลาดหลักที่ขับเคลื่อนจำนวนผู้โดยสาร โดยมีผู้โดยสารเที่ยวบินในประเทศรวม 3.5 ล้านคน แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมภาคเหนือตั้งแต่ต้นปี           ในขณะที่จำนวนผู้โดยสารเที่ยวบินระหว่างประเทศของ TAA อยู่ที่ 2.0 ล้านคน โดยมี load factor อยู่ที่ 85% เพราะได้แรงหนุนจากการเปิดเส้นทางบินใหม่ไปยังอินเดีย, เวียดนาม, เนปาล และกัมพูชา ซึ่งเมื่ออิงตามสถิติการดำเนินงานเบื้องต้นของบริษัทใน 4Q67 จำนวนผู้โดยสารรวมอยู่ที่ 5.5 ล้านคน (+8.0% YoY, +12.8% QoQ) และ มีจำนวนเที่ยวบิน 33,690 เที่ยว (+8.6% YoY, +13.6% QoQ)           ในขณะที่ Load factor ของเครื่องบินที่มีการใช้งานอยู่ที่ 89% (-1.0ppt YoY, -1.0ppt QoQ) เราคาดว่ายอดขายของ AAV ใน 4Q67F จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.30 หมื่นล้านบาท (+4.7% YoY, +19.3% QoQ) เพราะจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 21.0% (จาก 17.6% ใน 4Q66 และ 11.9% ใน 3Q67) เนื่องจากราคาน้ำมันเครื่องบินลดลง (18-19% YoY)           ทั้งนี้ เมื่ออิงตามประมาณการ 4Q67F เราคาดว่ากำไรสุทธิของ AAV ในปี 2567F จะอยู่ที่ 3.23 พันล้านบาท ดีขึ้นอย่างมาก YoY จาก 466 ล้านบาทในปี 2566 เราคาดว่า AAV จะพลิกเป็นมีกำไรปกติ 3.42 พันล้านบาทได้ในปี 2567F จากที่มีผลขาดทุนปกติ 206 ล้าบาทในปี 2566 ผลประกอบการใน 1Q68F มีแนวโน้มบวก           เมื่อพิจารณาจากการที่บริษัทมีกำไรจากธุรกิจหลักติดต่อกันทุกไตรมาสในปี 2567 เราจึงมองบวกกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในปี 2568F (จำนวนผู้โดยสาร 21.8 ล้านคน และสามารถคงค่าตั๋วไว้ที่ระดับสูงได้ที่ 2,000 บาท) สำหรับใน 1Q68F เราคิดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของบริษัทน่าจะแข็งแกร่งเพราะ i) ยังเป็นช่วง high season ของการท่องเที่ยว ii) จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง iii) ทั้งค่าตั๋ว และ occupancy อยู่ในระดับสูง และ iv) บริหารจัดการต้นทุนได้ดี ดังนั้น เราจึงคาดว่าผลการดำเนินงานของ AAV จะแข็งแกร่งโดยมีกำไรจากธุรกิจหลัก 3.06 พันล้านบาทในปี 2568F           เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง YoY เราจึงยังคงคำแนะนำซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 3.60 บาท (อิงจาก EV/EBITDA ที่ 8x)

CPN คาดกำไรปีนี้ ที่ 1.8 หมื่นลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 72.00 บาท

CPN คาดกำไรปีนี้ ที่ 1.8 หมื่นลบ. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 72.00 บาท

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ดาโอ คงแนะนำ “ซื้อ” CPN และราคาเป้าหมายปี 2568E ที่ 72.00 บาท อิง SOTP โดยแบ่งเป็นธุรกิจหลัก = 71.00 บาท อิง DCF (WACC 8.1%, Terminal Growth 2.5%) และธุรกิจ Residential = 1.00 บาท อิง Forward PER กลุ่มอสังหาฯที่ 7.0x) โดยเราคาดกำไรปกติ 4Q67E จะอยู่ที่ 3.9 พันล้านบาท ลดลง -2% YoY และ -5% QoQ (ต่ำกว่าที่เราคาดไว้เบื้องต้นเล็กน้อยที่ 4 พันล้านบาท) โดยการลดลงมาจาก SG&A to sale ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด เพราะมีการจัดงานอีเวนต์เยอะตามเทศกาลต่างๆ และมีการจัดในหลายศูนย์ฯ เพิ่มมากขึ้น           อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยรายได้ค่าเช่ายังทรงตัวระดับสูงอยู่ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นได้ดี +7% YoY และ +1% QoQ โดยต่างจังหวัดโตได้มากกว่ากทม. ด้านดอกเบี้ยจ่ายลดลง -13% QoQ ได้เพราะมีการคืนเงินกู้และ Refinance เป็นหุ้นกู้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้จะมีรายการพิเศษที่เป็น one-time item จำนวน -300 ล้านบาท เข้ามาใน 4Q67E ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิ 4Q67E จะเหลือที่ 3.6 พันล้านบาท ลดลง -9% YoY และ -12% QoQ           ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568E อยู่ที่ระดับ 1.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +7% YoY จากการเปิดศูนย์ฯ เพิ่มที่โครงการดุสิตเซ็นทรัลปาร์ค (3Q68E) และจังหวัดกระบี่ (ต.ค. 25) รวมถึงจะมียอดโอนคอนโดและแนวราบที่จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 1Q68E จะเติบโต YoY/QoQ ได้จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายการตลาดที่ลดลงตามฤดูกาล ราคาหุ้นลดลง -3% เมื่อเทียบกับ SET ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากแนวโน้มกำไร 4Q67E ที่หดตัวทั้ง YoY/QoQ           อย่างไรก็ตาม ด้านราคาหุ้นยังไม่แพงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด (ปี 2562 ทำจุดสูงสุด ราว 80.00 บาท) ส่วน Valuation ลงมาซื้อขาย 2568E EV/EBITDA เพียง 11x เทียบเท่า –2.00SD below 8-yr average EBITDA           คาดกำไรปกติ 4Q67E ลดลง -2% YoY และ -5% QoQ จาก SG&A ที่เพิ่มขึ้น เราคาดกำไรปกติ 4Q67E จะอยู่ที่ 3.9 พันล้านบาท ลดลง -2% YoY และ -5% QoQ (ต่ำกว่าที่เราคาดไว้เบื้องต้นเล็กน้อยที่ 4 พันล้านบาท) โดยการลดลงมาจาก SG&A to sale ที่เพิ่มขึ้นเป็น 23.8% จาก 19.1% ใน 4Q66 และ 16% ใน 3Q67 เพราะมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการจัดงานอีเวนต์เยอะ ตามเทศกาลต่างๆ และมีการจัดในหลายศูนย์ฯ เพิ่มมากขึ้น           อย่างไรก็ตามธุรกิจหลักยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง โดย 1) รายได้ค่าเช่ายังทรงตัวระดับสูงอยู่ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นได้ดี +7% YoY และ +1% QoQ โดยภาพรวมมี Occ. Rate ใน 4Q67 ลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูงที่ 91% จาก 3Q67 ที่ 92% เพราะมีการ Renovate 5 ศูนย์ฯ ขณะที่ Traffic ในต่างจังหวัดโตได้ถึง +120% เมื่อเทียบกับปี 19 โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว ส่วน Traffic ในกทม. โตได้ที่ +95% เมื่อเทียบกับปี 19 ส่วน 2) รายได้ในธุรกิจอสังหาฯ ลดลง -4% YoY ตามสถานการณ์อสังหาฯ ที่ชะลอตัวลงจาก Rejection rate ที่เพิ่มขึ้น โดยเดือน ม.ค. 25 แนวราบเริ่มมีการโอนที่ช้าลง 3) GPM ของรายได้ค่าเช่าทรงตัว QoQ มาอยู่ที่ 58% ส่วน GPM ของธุรกิจโรงแรมทรงตัว QoQ มาอยู่ที่ 66% ด้าน GPM ของธุรกิจ Residential ลดลงมาอยู่ที่ 34% จาก 36% ใน 3Q67 เพราะมีการโอนแนวราบมากขึ้น 4) ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น +21% YoY แต่เริ่มลดลง -13% QoQ ได้เพราะมีการคืนเงินกู้และ Refinance เป็นหุ้นกู้เพิ่มมากขึ้น  5) จะมีรายการพิเศษที่เป็น one-time item และเป็น non-cash จำนวน - 300 ล้านบาท เข้ามาใน 4Q67E ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิ 4Q67E จะเหลือที่ 3.6 พันล้านบาท ลดลง -9% YoY และ -12% QoQ           คงประมาณการกำไรกำไรสุทธิปี 2568E, คำกำไร 1Q68E จะโต YoY/QoQ ได้จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568E อยู่ที่ระดับ 1.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +7 YoY จากการเปิดศูนย์ฯ เพิ่มที่โครงการดุสิตเซ็นทรัลปาร์ค (3Q68E) และจังหวัดกระบี่ (ต.ค. 25) รวมถึงจะมียอดโอนคอนโดและแนวราบที่จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เราคาดว่า แนวโน้มกำไร 1Q68E จะเติบโต YoY/QoQ ได้จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายการตลาดที่ลดลงตามฤดูกาล

PRINC เปิด “ศูนย์มะเร็งและรังสีรักษา” แห่งแรกของศรีสะเกษ

PRINC เปิด “ศูนย์มะเร็งและรังสีรักษา” แห่งแรกของศรีสะเกษ

          หุ้นวิชั่น บมจ.พริ้นซิเพิล แคปิตอล (PRINC) ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจสุขภาพในนามเครือ “พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์“ โดยโรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ ทำพิธีเปิดศูนย์มะเร็งและรังสีรักษา โรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ นับเป็นศูนย์มะเร็งและรังสีรักษาแห่งแรกของจังหวัดศรีสะเกษ มุ่งดูแลรักษาผู้รับบริการในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียงรวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชา พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในพื้นที่อย่างครบวงจรและทันสมัย สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่มุ่งเน้นการดูแลผู้ป่วยมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจนถึงระยะสุดท้าย และมะเร็งรักษาได้ทุกที่  (Cancer Anywhere) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาค           นายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.พริ้นซิเพิล แคปิตอล (PRINC) กล่าวถึงการเปิดดำเนินกาาศูนย์มะเร็งและรังสีรักษา รพ.พริ้นซ์ ศรีสะเกษว่า เป็นส่วนหนึ่งของแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานของเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ ที่มุ่งสู่การยกระดับการแพทย์การรักษาโรคเฉพาะทาง โรคยากซับซ้อน เพื่อร่วมดูแลคน ชุมชนและสังคม           โดยเปิดให้บริการแบบครบวงจร เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของเครือ PRINC ที่มุ่งการกระจายการเข้าถึงสาธารณสุขในรูปแบบ Hub and spoke ร่วมมือกับโรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ ในโซนพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวม 4 แห่ง และมุ่งเชื่อมโยงให้ครอบคลุมทุกสิทธิการรักษา โดยมีเป้าหมายให้บริการรักษามะเร็งและรังสีรักษา ที่มีมาตรฐานสากลเพื่อชาวศรีสะเกษและพื้นที่ใกล้เคียง ให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม           "ในทางการแพทย์หากผู้ป่วยเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการดูแลรักษาอย่างรวดเร็วย่อมมีโอกาสทำให้การรักษายิ่งมีโอกาสเกิดประสิทธิผลมากเท่านั้น การขยาย ศูนย์การแพทย์เฉพาะทางมายังจังหวัดศรีสะเกษในครั้งนี้ ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันโรคระดับปฐมภูมิ การให้คำปรึกษาความเสี่ยงโรคมะเร็ง วางแผนเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยแต่ละราย รวมถึงการตรวจคัดกรอง ตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งต่างๆ ด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมและเพียงพอต่อผู้รับบริการ ตลอดจนฟื้นฟูร่างกายและจิตใจให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น" นพ.กฤตวิทย์กล่าว           สำหรับการเปิดตัว ศูนย์มะเร็งและรังสีรักษา รพ.พริ้นซ์ ศรีสะเกษ ในครั้งนี้ นับเป็นการยกระดับการรักษาพยาบาล และการตรวจวินิจฉัยโรคเฉพาะทางด้านมะเร็งในจังหวัดศรีสะเกษ และพื้นที่อีสานตอนล่าง โดยมุ่งดูแลให้ครอบคลุมทุกสิทธิการรักษาภายในปี 2568 รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ผ่านทาง https://www.princsisaket.com/medical-center/Cancer-Center หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่หมายเลข 045 968 888 [PR News]

AOT ร่วง 3.21% รับกำไร Q1/68 ต่ำคาด

AOT ร่วง 3.21% รับกำไร Q1/68 ต่ำคาด

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ระบุ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) มีกำไรจากการดำเนินงานปกติเติบโต 16% yoy และ 26% qoq ใน 1Q68 แต่ยังต่ำกว่าประมาณการ และ Bloomberg consensus เพราะรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบินอ่อนตัว           ทั้งนี้สังเกตเห็นว่า AOT มีลูกหนี้การค้า (AR) เพิ่มขึ้นจาก 1.28 หมื่นล้านบาทในเดือนก.ย.67 เป็น 1.5 หมื่นล้านบาทในเดือนธ.ค.67 โดยลูกหนี้การค้าไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดถึง 143% qoq เป็น 6.24 พันล้านบาทใน 1Q68 ซึ่งในหมายเหตุประกอบงบการเงินของ AOT ระบุว่าลูกหนี้การค้าไม่หมุนเวียน ประกอบด้วยลูกหนี้ที่มีแผนการชำระหนี้ระยะยาวและลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ หากบริษัท คิง เพาเวอร์(King Power) ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานหลักยังต้องใช้ความพยายามเพื่อจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนตามอัตราขั้นต่ำ (คิดเป็น 33% ของรายได้ AOT ในปี 68) เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อแนวโน้มกำไรของ AOT ในอนาคต (ทั้งนี้ AOT มีมาตรการช่วยเหลือทางการเงินแก่ King Power เช่นการขยายเครดิตเทอมในปลายปี 66)           โดยรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ต่อจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศอยู่ที่ 270 บาท (-17% yoy, -10% qoq) หรือ ต่ำกว่าที่คาดไว้ 10% ถึงแม้ว่าพื้นที่สัมปทานจะลดลงใน 1Q68 แต่รายได้ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศยังคงลดลงมากกว่าที่คาดไว้           อย่างไรก็ดี ค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหลักที่หนุนให้รายได้เกี่ยวกับกิจการการบินเพิ่มขึ้น เป็น 8.8 พันล้านบาทใน 1Q68 (+24% yoy, +14% qoq) โดย จำนวนผู้โดยสารใน 1Q68 เพิ่มขึ้น 16% yoy และ 15% qoq เป็น 33.6 ล้านคน แบ่งเป็น 1. ผู้โดยสารระหว่าง ประเทศเพิ่มขึ้น 23% yoy และ 15% qoq เป็น 20.9 ล้านคนหลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลกฟื้นตัว 2. ขณะที่ ผู้โดยสารภายในประเทศเพิ่มขึ้นช้ากว่าหรือ 7% yoy และ 15% qoq เป็น 12.8 ล้านคน AOT จะจัดการประชุมทางโทรศัพท์เพื่อชี้แจงผลประกอบการวันที่ 14 ก.พ.68 ซึ่งคาดว่านักลงทุนจะเน้นสอบถามเรื่องรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์, กำหนดปรับขึ้น PSC และแผนลงทุน           ยังแนะนำ “ถือ” AOT ที่ราคาเป้าหมาย 60 บาท ตามวิธี DCF (WACC: 7.6% TG: 3.0%) เพราะเชื่อว่าตลาดรับรู้เรื่องที่จำนวนผู้โดยสารน่าจะเติบโตดีในปี 68 แล้วรวมทั้งสะท้อนอยู่ในการประเมินมูลค่าในปัจจุบันของ AOT

SJWD ขยายคลัง-ได้งานยาว โบรกแนะซื้อ เป้า 11.60 บาท

SJWD ขยายคลัง-ได้งานยาว โบรกแนะซื้อ เป้า 11.60 บาท

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า คาด SJWD รายได้รวม 4Q67 ที่ 6,246 ลบ. (+1% QoQ, -1% YoY) แบ่งเป็น 1) คาดรายได้ธุรกิจกลุ่มคลังสินค้าที่ 997 ลบ. เติบโต 6% QoQ จากการฟื้นตัวของธุรกิจ Automotive ที่ได้แรงหนุนจากการนำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ในช่วงสิ้นปีและการ Restocking ของสินค้าในธุรกิจคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิ 2) กลุ่มขนส่งคาดรายได้อยู่ที่ 2,980 ลบ. ชะลอตัว 3% QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล 3) คาดรายได้กลุ่มขนส่งอื่นๆ ที่ 719 ลบ. (+4% QoQ, +21% YoY) โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการขยายธุรกิจ Freight ในช่วง High Season และ 4) รายได้จากธุรกิจในต่างประเทศคาดที่ 990 ลบ. เติบโต 5% QoQ และ 32% YoY ในช่วง High Season อีกทั้งรับรู้รายได้จาก SCG Inter Vietnam           คาด GPM ที่ 13.2% เพิ่มขึ้นเทียบ 12.9% ใน 3Q67 จากการขยายตัวของธุรกิจ Automotive, Cold Chain Storage และ Freight ที่เป็น High Margin ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดที่ 116 ลบ. (-10% QoQ, +170% YoY) อัตราส่วน SG&A/Sales คาดที่ 9.8% สูงขึ้นเทียบ 8.8% ใน 3Q67 และ 9.2% ใน 4Q66 จากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานและโบนัสเพิ่มเติม เป็นปัจจัยหลักที่กดดันผลประกอบการ 4Q67 คาดกำไรปกติที่ 203 ลบ. (-21% QoQ, -24% YoY) ปรับประมาณการกำไรปี 2567-2569 ลง 6-10%           แนวโน้มกำไรปกติ 1Q68 ลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลแต่กลับมาเติบโต YoY จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ANI และรวมงบ SCG Inter Vietnam เราคงมุมมองบวกต่อการเติบโตของผลประกอบการในปี 2568 คาดธุรกิจหลักฟื้นตัวต่อเนื่องและทยอยรับรู้ Synergy มากขึ้นทั้งในด้านรายได้และต้นทุน           SJWD เดินหน้าขยายธุรกิจคลังสินค้าทั้งในและต่างประเทศเพื่อเพิ่ม Capacity การให้บริการ Logistics บริษัทได้ลูกค้าคลังสินค้าใหม่จาก บี.กริม แคเรียร์ และ แคเรียร์ (ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ) มูลค่ากว่า 1.9 พันลบ. ในสัญญายาว 6 ปี เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนรายได้ธุรกิจคลังสินค้าและการขนส่ง           หากกำไรปกติ 4Q67 ออกมาใกล้เคียงคาดจะคิดเป็น 90% ของประมาณการเดิม ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567-2569 ลง 6-10% เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายใน 4Q67 ที่เพิ่มขึ้นและแนวโน้มรายได้ธุรกิจหลักที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดในปี 2567 เป็น 794 ลบ. (+2% YoY), 965 ลบ. (+22% YoY), และ 1,127 ลบ. (+17% YoY) ตามลำดับ ทั้งนี้ ประมาณการของเรามี Upside หาก SJWD สามารถปิดดีลการลงทุนได้เพิ่มเติม คาดเห็นความชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ ราคาหุ้นสะท้อนกำไร 4Q67 ที่ไม่เด่นไปมากแล้ว คงคำแนะนำ “ซื้อ”           เราปรับลด PE Multiple ลงจากเดิมที่ 27.4x เป็น 21.8x (-1S.D. 5-Yr. Average) เพื่อสะท้อนความเสี่ยงของตลาดที่มากขึ้น ทำให้ได้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ใหม่ที่ 11.60 บาท ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER25 ที่ 13.6x เทียบเท่า -2S.D. ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีและต่ำกว่าระดับตอน COVID-19 เทียบแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง ประเมินราคาหุ้นที่ปรับตัวลงกว่า 30% YTD สะท้อนผลประกอบการ 4Q67 ที่ลดลง QoQ และ YoY จากรายการ One Time ไปมากแล้ว คงคำแนะนำ “ซื้อ”

QTC ปี 67 กวาดรายได้ 1.5 พันลบ. หม้อแปลงไฟฟ้า-โซลาร์พุ่ง

QTC ปี 67 กวาดรายได้ 1.5 พันลบ. หม้อแปลงไฟฟ้า-โซลาร์พุ่ง

          หุ้นวิชั่น - บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) แจ้งงบปี 2567 กวาดรายได้รวม 1,515 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% (YoY) กำไรสุทธิ 112 ล้านบาท ชี้ยอดขายหม้อแปลงไฟฟ้า-โซลาร์พุ่ง ดันรายได้เพิ่ม ล่าสุดบอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผล 0.25 บาท จ่อ XD วันที่ 16 เมษายน 2568 ด้าน CEO “พูลพิพัฒน์ ตันธนสิน” เดินเกมรุกขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า-รถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ และสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ควบคู่กับการขยายตลาดเชิงรุกของธุรกิจโซลาร์ หนุนรายได้ปี 2568 แตะ 1,800 ล้านบาท           นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ผู้ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (Made to Order) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,515 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% (YoY) และมีกำไรสุทธิ 112      ล้านบาท จากการรับรู้รายได้จากธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า (Core Business) และธุรกิจพลังงาน จำนวน 1,100       ล้านบาท ธุรกิจโซลาร์ จำนวน 345 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของการใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้า และพลังงานทดแทนในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 มี Backlog ประมาณ 600 ล้านบาท           ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายปันผลงวดปี 2567   (ม.ค.-ธ.ค.) ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 17 เมษายน 2568 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 16 เมษายน 2568 เพื่อดำเนินการจ่ายปันผลในวันที่ 30 เมษายน 2568           นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในปี 2568 ว่าภาพรวมการเติบโตในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมที่ระดับ 1,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของแต่ละกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า     ที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากในระยะเวลา 5-7 ปีข้างหน้า ความต้องการหม้อแปลงฯ ภายในประเทศจะสูงขึ้นประมาณ 10% ตามการเร่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ ทั้ง โซลาร์รูฟ โซลาร์ฟาร์ม รวมทั้งพลังงานทดแทนอื่นๆ เช่น การเปิดให้บริการสถานีชาร์จ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งรถแท็กซี่มีแนวโน้มหันมาใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดีมานด์การใช้หม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ           จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ บริษัทฯ มีแผนขยายการลงทุนใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้โดยมุ่งเน้นธุรกิจ   ยานยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ รวมถึงการลงทุนเปิดสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ขณะที่ธุรกิจโซลาร์จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ทำให้บริษัทฯ มีการวางกลยุทธ์การขยายตลาดด้วยการเพิ่มคู่ค้าที่มีศักยภาพ ทั้ง Global Partner และ Local Partner และเพิ่มประเภทสินค้าให้ครอบคลุมธุรกิจโซลาร์ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงเพิ่มพันธมิตรทางการค้าที่หลากหลายในแต่ละกลุ่มสินค้า

CPN ร่วง 5.26% สวนทางโบรกฯ แนะ ซื้อ คาด Q4/67 โตดี

CPN ร่วง 5.26% สวนทางโบรกฯ แนะ ซื้อ คาด Q4/67 โตดี

         หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุ คาดกำไรปกติ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) ในไตรมาส 4/67 ที่ 4.1 พันล้านบาท +0.5% q-q, +4% y-y ดีกว่าที่เคยคาดเดิมเล็กน้อย กำไรที่โตมาจากการเติบโตของทุกธุรกิจตามฤดูกาลทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม รวมถึงอสังหาฯ จบปี 67 คาดกำไรปกติที่ 1.7 หมื่นล้านบาท +14% y-y          ปี 68 คาดการเติบโตจะไม่สูง คาดำไรปกติ 1.8 หมื่นล้านบาท +6% y-y โดยธุรกิจศูนย์การค้ายังทยอยเติบโตได้ แต่ธุรกิจอสังหาฯ คาดว่าค่อนข้างท้าทาย อย่างไรก็ตามในด้าน Valuation ถือว่าไม่แพง เทรด 2025PER 13.3 เท่า ถูกกว่าช่วงปี 64-65 ที่ยังปิดเมือง ทำให้ Dividend Yield สูงขึ้นเป็นราว 3.5-4% ต่อปี แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 83 บาท

SSP จ่อออก Green Bond วงเงินรวม 2,000 ลบ. เปิดจองซื้อ 20 - 21 และ 24 ก.พ. นี้

SSP จ่อออก Green Bond วงเงินรวม 2,000 ลบ. เปิดจองซื้อ 20 - 21 และ 24 ก.พ. นี้

          หุ้นวิชั่น - บมจ.เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (“SSP” หรือ “บริษัท”) เตรียมเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จำนวน 2 รุ่น วงเงินรวม 2,000 ลบ. เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 20 - 21 และ 24 กุมภาพันธ์ 2568 มั่นใจกระแสตอบรับดี ฟากบิ๊กบอส “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ระบุเตรียมนำเงินคืนหนี้เดิมและ รองรับแผนลุยโปรเจคใหม่ หนุนผลงานโตก้าวกระโดด            นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SSP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ระยะยาว สกุลเงินบาท ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ รวมทั้งหมด 2 รุ่น แบ่งเป็น หุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 และหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2568           โดยสำหรับหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 (จัดสรรให้กับผู้ลงทุนสถาบัน) เป็นหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แบบมีประกัน โดยมีผู้ค้ำประกัน คือ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM) อายุหุ้นกู้ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.20% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายรวมไม่เกิน 1,200 ล้านบาท โดยหุ้นกู้รุ่นดังกล่าว ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ "AAA" แนวโน้มอันดับเครดิต "คงที่" โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568           ทั้งนี้ ด้วยศักยภาพการเติบโตของบริษัทและแผนการลงทุนที่มั่นคงในพลังงานสีเขียว สนับสนุนให้ได้รับการการันตีหุ้นกู้โดย EXIM ส่งผลให้หุ้นกู้ Green Bond ชุดดังกล่าว ได้รับเรตติ้งในระดับสูงสุดที่ “AAA” แนวโน้ม “คงที่” ซึ่งถือเป็นการค้ำประกันหุ้นกู้ครั้งแรกของ EXIM ช่วยเสริมความมั่นใจและเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนสถาบัน           สำหรับหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2568 (จัดสรรให้กับผู้ลงทุนรายใหญ่) เป็นหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แบบไม่มีประกัน อายุหุ้นกู้ 3 ปี 1 เดือน อัตราดอกเบี้ย 4.90% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายรวมไม่เกิน 800 ล้านบาท โดยหุ้นกู้รุ่นดังกล่าว ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ  "BBB" แนวโน้มอันดับเครดิต "คงที่" โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ “Investment Grade”           นายวรุตม์ กล่าวว่า "หุ้นกู้ SSP เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนคงที่ และสม่ำเสมอ ในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง  และต้องการลงทุนในบริษัทที่มั่นคง นอกจากนี้ SSP มั่นใจว่าจะสามารถชำระดอกเบี้ยได้ตามกำหนดเวลาที่วางไว้ โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญและตระหนักเป็นอย่างดีต่อการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ เพื่อดำรงไว้ซึ่งหลักการการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล โปร่งใส และเติบโตอย่างต่อเนื่อง"           ผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้กรีนบอนด์ของ SSP รุ่นอายุ 3 ปี 1 เดือน สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ได้ในระหว่างวันที่ 20 - 21 และ 24 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ ได้แก่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)           วัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้เพื่อนำไปใช้จะนำเงินไปใช้ในการชำระคืนหนี้หุ้นกู้เดิมของบริษัทฯ ที่กำลังจะครบกำหนดไถ่ถอน และเพื่อรองรับการขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ของบริษัทฯ ในระยะต่อ ๆ ไป           กลุ่มเสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น ถือเป็นผู้ประกอบการพลังงานทดแทนชั้นนำของไทยที่มีศักยภาพและมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีโครงการที่ดำเนินการแล้ว 283 เมกะวัตต์ และยังมีโครงการใหม่ที่จ่อทยอย COD ตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2573 จำนวน 15 โครงการ รวม 410 เมกะวัตต์  โดยเป็นโครงการโซลาร์ฟาร์มรวม 189 เมกะวัตต์ โครงการวินด์ฟาร์มรวม 204 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 17 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มประเดิม COD โครงการโซลาร์ฟาร์ม ลีโอ 2 ที่ประเทศญี่ปุ่น ขนาด 16.4 เมกะวัตต์ในไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นโครงการแรกของ Pipeline ตอกย้ำความมั่นใจของ บริษัทฯ ตามเป้าหมายขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าเติบโตอย่างก้าวกระโดด [PR News]

TPIPP กำไร Q4 โตแกร่ง โบรกคาดปีนี้มีกำไร 2.7 พันลบ. เป้า 3.20 บ.

TPIPP กำไร Q4 โตแกร่ง โบรกคาดปีนี้มีกำไร 2.7 พันลบ. เป้า 3.20 บ.

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า ระบุว่า TPIPP ประกาศกำไรสุทธิ 4Q67 อยู่ที่ 912 ล้านบาท เติบโต +9% QoQ และ +10% YoY ถือเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการแข็งแกร่ง เป็นจุดสูงสุดของปี ► เมื่อเทียบกับ 3Q67 ผลประกอบการเติบโตจากรายได้รวมอยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท (+4% QoQ) และอัตรากำไรขั้นต้นทำได้ 38.3% (+170 bps QoQ) ปัจจัยหนุนหลักมาจากยอดขายไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มขึ้นตามปริมาณเรียกรับไฟฟ้าของโรงงานปูนซีเมนต์ หลังอุปสงค์ผ่านฤดูมรสุมในไตรมาสก่อน และการรับรู้กำลังผลิตใหม่จากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ► ทั้งปี 2567 กำไรสุทธิอยู่ที่ 3.3 พันล้านบาท ต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า 9% (จากผลประกอบการช่วง 9M67) โดยแม้รายได้รวมและอัตรากำไรขั้นต้นจะประคองตัว YoY (ระดับ 1.1 หมื่นล้านบาท และ 36.5% ตามลำดับ) เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขายไฟฟ้าสามารถชดเชยราคาขายไฟฟ้าที่ลดลงตามทิศทางค่า Ft ได้ อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการปรับตัวลดลง -10% YoY กดดันจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายภาษี และต้นทุนการเงินของการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา Our Take ► ปี 2568 คงประมาณการกำไรปกติอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท ลดลง -19% YoY สาเหตุหลักมาจากสัญญาค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) ของโรงไฟฟ้า TG4 และ TG6 จำนวน 90 MW จะสิ้นสุดลงในเดือนเม.ย. 2568 เป็นต้นไป ► คาดเงินปันผลงวด 2H67 ที่ 0.11 บาท/หุ้น คิดเป็น Yield 3.8% ประเมินจาก Payout Ratio 50% (เท่ากับ Payout Policy) ► คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 3.20 บาท ภายใต้วิธี Implied Dividend Yield ที่ 5.0% และสมมติฐาน DPS ปี 2568 อยู่ที่ 0.16 บาท/หุ้น อ้างอิง Payout Ratio ที่ 50% ► คงคำแนะนำ TRADING ระยะสั้น หุ้นมีปัจจัยหนุนจากงบ 4Q67 แข็งแกร่ง และคาดเงินปันผลระดับสูง ทั้งนี้ ระยะกลางหุ้นยังมีความท้าทายจากแนวโน้มผลประกอบการ และ DPS ปี 2568 จะเริ่มได้รับผลกระทบจากการสิ้นสุด Adder ความเสี่ยง – ผลกระทบจากการสิ้นสุด Adder, ปิดซ่อมบำรุงนอกแผน, สิทธิประโยชน์ทางภาษี, ข้อพิพาททางคดีความ, ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่เป็นไปตามคาดหวัง

ITC กำไร 4Q67 ใกล้เคียงคาด  มีปันผล 0.75 บ. ขึ้น XD 26 ก.พ.68

ITC กำไร 4Q67 ใกล้เคียงคาด มีปันผล 0.75 บ. ขึ้น XD 26 ก.พ.68

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า ระบุ ITC รายงานกำไรสุทธิ 4Q67 ที่ 790 ลบ. แต่มีรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและขาดทุนพิเศษอื่นๆ สุทธิที่ 11 ลบ. ทำให้กำไรปกติอยู่ที่ 802 ลบ. (-22.1% QoQ, -1.1% YoY) ใกล้เคียงกับคาดการณ์ของเรา และทำให้กำไรปกติทั้งปี 2567 อยู่ที่ 3,830 ลบ. (+65.6% YoY) ► รายได้อยู่ที่ 4.70 พันลบ. (+5.9% QoQ, -1.1% YoY) ใกล้เคียงคาด เติบโต QoQ จากปัจจัยฤดูกาลที่เป็นช่วง High Season แต่ถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัท เนื่องจากมีคำสั่งซื้อบางส่วนถูกชะลอมารับรู้ใน 1Q68 แทนจากปัญหาการขนส่งทางเรือ ► GPM อยู่ที่ 25.5% ดีกว่าคาด โดยชะลอลงจาก 29.8% ใน 3Q67 และ 27.7% ใน 4Q66 จากการรับรู้ค่าเสื่อมราคามากขึ้น และไม่รับรู้การกลับรายการสินค้าคงเหลือมากเหมือนไตรมาสก่อน ► ขณะที่ SG&A/Sales อยู่ที่ 11.2% สูงขึ้นจาก 9.5% ใน 3Q67 และ 6.7% ใน 4Q66 จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาสำหรับการปรับโครงสร้างธุรกิจ ► รายงานเงินปันผลจ่ายงวด 2H67 ที่ 0.75 บาท หรือคิดเป็น Div Yield 4.4% ขึ้น XD วันที่ 26 ก.พ. 2568 Our Take ► แนวโน้มกำไรปกติ 1Q68 คาดชะลอ QoQ และทรงตัว YoY แม้รายได้คาดจะทรงตัว QoQ ได้แม้เป็นช่วง Low Season แต่คาดจะถูกกดดันจากอัตราภาษีจ่ายที่สูงขึ้นตามกฎ Global Minimum Tax ► เราอยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการปี 2568 และราคาเหมาะสมใหม่ เบื้องต้นเราอาจจะปรับกำไรปกติลงราว 10 – 15% เพื่อสะท้อน SG&A/Sales ที่สูงขึ้น และอัตราภาษีจ่ายที่สูงขึ้น แต่เบื้องต้นราคาหุ้นปรับลงมามาก ซื้อขายบน PER25 เพียง 14 เท่า เทียบกับอุตสาหกรรมที่ราว 15-20 เท่า คงคำแนะนำ “ซื้อ”

ROCTEC Q3 67/68 โตแกร่ง ขายหุ้น Hello Bangkok เสริมธุรกิจ ICT

ROCTEC Q3 67/68 โตแกร่ง ขายหุ้น Hello Bangkok เสริมธุรกิจ ICT

          หุ้นวิชั่น - ROCTEC ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567/68 เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง พร้อมการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ขาย Hello Bangkok เสริมสร้างศักยภาพการเติบโตในธุรกิจ ICT           นายเว่ย แซม แลม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ร็อคเทค โกลบอล (ROCTEC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567/68 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการเติบโตทางธุรกิจและประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการขายหุ้น 50% ใน บจก. ฮัลโล บางกอก แอลอีดี (HELLO) ซึ่งช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางการเงินและมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจบริการไอซีที (ICT Solutions)ที่มีศักยภาพสูงในอนาคต           ในไตรมาส 3 ปี 2567/68 บริษัทมีรายได้รวม 727 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567/68 ROCTEC มีรายได้สะสมรวม 2,303 เพิ่มขึ้น 15.2% และบริษัทฯ ยังกำไรสุทธิรายไตรมาสอยู่ที่ 84 ล้านบาท เติบโตถึง 24.0% และกำไรสะสมช่วง 9 เดือนอยู่ที่ 238ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนและการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้จากธุรกิจบริการไอซีทีอยู่ที่ 622 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การเติบโตนี้สะท้อนถึงความต้องการที่แข็งแกร่งในตลาดระบบคมนาคมขนส่ง ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของโครงการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศฮ่องกงและไทย รวมถึงการนำเสนอโซลูชันทางเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเติบโตนี้ยังเป็นผลมาจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับปรุงบริการของ ROCTEC โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยและพัฒนาภายในองค์กร (in-house R&D) เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างต่อเนื่อง           ROCTEC ได้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการขายหุ้น 50% ใน HELLO ให้กับ บมจ. แพลน บี มีเดีย (Plan B) มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ i) มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจบริการไอซีทีที่มีศักยภาพสูงในอนาคต และ ii) เสริมสร้างความยืดหยุ่นทางการเงิน โดย ณ ไตรมาส 3 ปี 2567/68 บริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดกว่า 1,634 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายได้จากการขาย HELLO จะช่วยเพิ่มระดับสภาพคล่องของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งในปัจจุบัน บริษัทฯ เป็นบริษัทปลอดหนี้           นายเว่ย แซม แลม ยังได้ให้มุมมองทิศทางธุรกิจในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า ROCTEC ยังคงมุ่งมั่นขยายบทบาทในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศฮ่องกงและไทย พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีงานในมือ (backlog) มากกว่า 90% ที่ได้รับการส่งมอบหรือเซ็นสัญญาแล้ว ซึ่งแสดงถึงความมั่นคงของรายได้และโอกาสในการเติบโตในอนาคต นอกจากนี้ การเข้าร่วมเป็นบริษัทย่อยของ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS Group) ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เสริมโอกาสในการขยายตลาด และการเข้าถึงโครงการขนส่งขนาดใหญ่ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของ BTS Group ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในธุรกิจบริการไอซีที ICT ของ ROCTEC อย่างยั่งยืน .............

AOT คาด 2Q67/68 โตต่อรับไฮซีซั่นนทท.  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 64.00 บาท

AOT คาด 2Q67/68 โตต่อรับไฮซีซั่นนทท. โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 64.00 บาท

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า ระบุว่า AOT รายงานกำไรสุทธิ 1Q67/68 ที่ 5.3 พันลบ. หากตัดรายการพิเศษ ได้แก่ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ และตราสารอนุพันธ์ กำไรปกติจะอยู่ที่ 5.4 พันลบ. (+23% QoQ, +16% YoY) เติบโตดี QoQ จากช่วง High Season และเติบโต 16% YoY ตามการฟื้นตัวเด่นของภาคท่องเที่ยวหนุนให้จำนวนผู้โดยสารรวมและเที่ยวบินรวมเติบโต 16% YoY และ 15% YoY ตามลำดับ ► กำไรปกติ 1Q67/68 ออกมาต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด 4-6% สาเหตุหลักจากรายได้รวมที่ต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่เติบโตเพียง 2% YoY ► รายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน (Aeronautical Revenue) อยู่ที่ 8.8 พันลบ. (+14% QoQ, +25% YoY) เติบโตดี YoY จากรายได้ค่าบริการผู้โดยสารขาออกและค่าบริการสนามบินเป็นหลัก เนื่องจาก AOT รายงานจำนวนผู้โดยสารรวมที่ 33.6 ล้านคน (+15% QoQ, +16% YoY) และจำนวนเที่ยวบินรวม 2.0 แสนเที่ยว (+11% QoQ, +15% YoY) ► รายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Non-Aeronautical Revenue) อยู่ที่ 8.9 พันลบ. (-2% QoQ, +3% YoY) ต่ำกว่าคาดการณ์ของเรา 8% หลักๆ มาจากรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่รายงาน 5.6 พันลบ. (+4% QoQ, +2% YoY) แม้จะมีผลกระทบเชิงลบจากการขอพื้นที่เชิงพาณิชย์ทั้งหมด 3 ครั้งในปี 2024 แต่เราประเมินว่าด้วยจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เติบโตถึง 22% YoY ควรเพียงพอชดเชยให้รายได้ดังกล่าวเติบโต YoY ดีกว่าที่ทำได้เพียง 2% คาดผู้บริหารจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวในการประชุมนักวิเคราะห์ช่วงบ่ายวันนี้ ► GPM รายงานที่ 46.6% (+383bps QoQ, +87bps YoY) อัตราการทำกำไรเติบโต YoY น้อยกว่าการเติบโตของรายได้ เนื่องจากมีการรับรู้ค่าเสื่อมราคาของรันเวย์ 3 (เปิด พ.ย. 24) แต่ต้นทุนค่าใช้จ่ายอื่นต่อรายได้รวมอยู่ที่ 4% ใกล้เคียง 1Q66/67 Our Take ► แนวโน้มผลประกอบการ 2567/68 (ม.ค.-มี.ค. 25) คาดกำไรปกติเติบโต QoQ ต่อเนื่องจากช่วง High Season โดยปกตินักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาสหนึ่งจะเติบโตราว 10-15% QoQ สอดคล้องกับข้อมูล 1QTD ที่ AOT รายงานจำนวนผู้โดยสารรวมเฉลี่ยต่อวัน +11% QoQ และจำนวนเที่ยวบินรวม +9% QoQ ขณะที่เทียบ 2Q66/67 เราคาดผลประกอบการเติบโต YoY สอดคล้องกับรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1QTD ที่ 4.8 ล้านคนเติบโตดี 17% YoY ► กำไรปกติ 3M67/68 จะคิดเป็น 25% ของคาดการณ์ทั้งปี 2567/68 ของเราที่ 2.2 หมื่นลบ. (+14% YoY) ประเด็นบวกที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ ได้แก่ การขอปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) และการเก็บค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร Transit/Transfer คาดเห็นความคืบหน้าใน 2H68, การเปิดประมูลผู้ให้บริการภาคพื้นรายที่ 3 ที่สนามบินสุวรรณภูมิคาดภายใน 1Q68 และการรับโอน 3 ท่าอากาศยานจาก ทย. ► เราคงประมาณการและคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับ WACC ที่ใช้ประเมินมูลค่าขึ้นเป็น 8.3% (จากเดิม 7.9%) เพื่อสะท้อนสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 64.00 บาท ► เชิงกลยุทธ์ ตลาดมีโอกาสตอบสนองเชิงลบต่อราคาหุ้นจากผลประกอบการที่ออกมาต่ำกว่าคาด แนะนำรอหุ้นปรับฐาน หรือหากปรับตัวลงที่ระดับ 51-52 บาท ประเมินเป็นจุดที่น่าเข้าเก็งกำไร ► ความเสี่ยงสำคัญ: ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่ำกว่าคาด การออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงทั่วโลก

RABBIT ปี 67 ขาดทุนลดลงเหลือ 1 พันลบ. ไม่รับรู้ขาดทุนจากด้อยค่าเงินลงทุน SINGER เพิ่ม

RABBIT ปี 67 ขาดทุนลดลงเหลือ 1 พันลบ. ไม่รับรู้ขาดทุนจากด้อยค่าเงินลงทุน SINGER เพิ่ม

หุ้นวิชั่น - บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (RABBIT) รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2567 บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 1,162 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 4,341 ล้านบาท เนื่องจากไม่มีการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนใน SINGER เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การลดลงของผลขาดทุนดังกล่าวถูกหักกลบบางส่วนด้วยค่าใช้จ่ายของธุรกิจประกันชีวิตที่เพิ่มขึ้น          บริษัทฯ มีรายได้รวมปี 2567 จำนวน 5,881 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 598 ล้านบาท หรือ 11.3% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้รวม 5,283 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นของรายได้รวมมีปัจจัยหลักมาจาก 1. การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการประกอบกิจการโรงแรม จำนวน 846 ล้านบาท คิดเป็น 43.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากโรงแรม อีสติน แกรนด์ พญาไท ภายใต้โครงการ เดอะ ยูนิคอร์น โดยมีสาเหตุจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยและการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2. การเพิ่มขึ้นของกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทย่อย จำนวน 233 ล้านบาท คิดเป็น 655% จากการจำหน่ายหุ้นในบริษัท ยูนิซัน วัน จำกัด (อาคาร TST Tower) 3. การเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าเช่า จำนวน 183 ล้านบาท คิดเป็น 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการให้เช่ากลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรปและพื้นที่สำนักงานภายใต้โครงการ เดอะ ยูนิคอร์น 4. การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ย จำนวน 81 ล้านบาท คิดเป็น 17.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นดังกล่าวถูกชดเชยบางส่วนด้วย 5. ไม่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยในปี 2566 มีการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 481 ล้านบาท 6. ไม่มีกำไรจากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ในปี 2566 มีการรับรู้รายได้จากการจำหน่ายห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียม พาร์ค รามอินทรา จำนวน 110 ล้านบาท          ค่าใช้จ่ายรวม จำนวน 6,078 ล้านบาท ลดลง 1,502 ล้านบาท หรือ 19.8% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีค่าใช้จ่ายรวม 7,580 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากไม่มีผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนใน SINGER เพิ่มเติม ขณะที่ในปี 2566 มีการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าดังกล่าวจำนวน 2,372 ล้านบาท , การลดลงของผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์จำนวน 748 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักมาจากอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การลดลงดังกล่าวถูกชดเชยบางส่วนด้วย , การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการประกันภัย จำนวน 1,406 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรองประกันภัยเป็นค่าผ่านการจ่าย ซึ่งเกิดจากกรมธรรม์ขาดกำลังต่ออายุ และการลดลงของอัตราดอกเบี้ย          ส่วนแบ่งผลกำไร/(ขาดทุน) จากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า จำนวน 236 ล้านบาท เทียบกับปี 2566 ที่มีส่วนแบ่งผลขาดทุน จำนวน 1,120 ล้านบาท โดยส่วนแบ่งผลกำไรในปี 2567 ประกอบด้วย โครงการร่วมทุนกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) จำนวน 353 ล้านบาท จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด, กำไรจากการร่วมกับบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เมธา จำกัด (เมธา) จำนวน 54 ล้านบาท หักกลบบางส่วนด้วยส่วนแบ่งผลขาดทุนจากการลงทุนในการร่วมค้าที่อื่น ๆ จำนวน 158 ล้านบาท และเงินลงทุนใน SINGER จำนวน 13 ล้านบาท          ต้นทุนทางการเงิน จำนวน 1,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 169 ล้านบาท หรือ 17.9% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ 946 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน แผนธุรกิจและมุมมองในอนาคต ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ สามารถลดผลขาดทุนสุทธิลงเหลือ 1,162 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 4,341 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ซึ่งได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 35.5 ล้านคน โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคนในปี 2568 ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ 39.8 ล้านคน คาดว่าจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการบริการและโรงแรม ในปี 2567 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการจำหน่ายสินทรัพย์ด้านอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดสัดส่วนการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นการจำหน่ายสินทรัพย์ด้านอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมในอนาคต เพื่อปรับโครงสร้างเงินทุนและนำเงินทุนดังกล่าวไปชำระคืนเงินกู้ยืม และขยายธุรกิจบริการทางการเงินต่อไป          ธุรกิจบริการทางการเงินภายใต้แรบบิท ประกันชีวิต เผชิญความท้าทายในปี 2567 อันเนื่องมาจากอัตราการต่ออายุกรมธรรม์ที่ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในระยะสั้น ทั้งนี้ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงกระบวนการรับสมัครพนักงาน เพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรมฝึกอบรม และนำโครงสร้างผลตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานมาประยุกต์ใช้ โดยคาดหวังว่าผลประกอบการจะมีเสถียรภาพและปรับตัวดีขึ้นในปี 2568          ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและสินทรัพย์รอการขาย ไพร์มโซนมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่ดีจากระดับหนี้ภาคครัวเรือนของไทยที่ประมาณ 16.3 ล้านล้านบาท ซึ่งความต้องการในการปรับโครงสร้างหนี้ที่เพิ่มขึ้นถือเป็นโอกาสให้ไพร์มโซนขยายบริการได้มากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน เมธา ซึ่งดำเนินธุรกิจบริหารจัดการกองทุน ยังคงมีผลการดำเนินงานที่มั่นคง โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในการนำเสนอแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย          แนวโน้มในอนาคต แม้ว่าบริษัทฯ จะยังคงเผชิญความท้าทาย แต่ยังมีมุมมองเชิงบวกจากเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเติบโต3.5% ในปี 2568 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ด้วยปัจจัยสนับสนุนต่างๆ เหล่านี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะสร้างความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในปี 2568 และวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

SSP คาดลมหนุนกำไร Q4 พุ่ง 112% โบรกมองปีนี้โตต่อ แนะซื้อ เป้า 6.80 บาท

SSP คาดลมหนุนกำไร Q4 พุ่ง 112% โบรกมองปีนี้โตต่อ แนะซื้อ เป้า 6.80 บาท

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า ระบุ โครงการลมหนุนช่วยหนุนให้ SSP กำไร 4Q67 ทำ New High คาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ 302 ล้านบาท เติบโต 112% QoQ และ 82% YoY ทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาส แม้ถูกกดดันจากการที่โครงการแสงอาทิตย์ SPN (โครงการรูปแบบ Adder ขนาด 40MW) ยังอยู่ระหว่างการหยุดดำเนินงานบางส่วนเพื่อเปลี่ยนแผง Solar PV และการเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวของญี่ปุ่นเพราะได้แรงหนุนจาก คาดรายได้ของโครงการลมในไทย (วินชัย, ขนาด 45MW) เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลและการเปลี่ยนจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเป็นการรวมงบการเงินหลังเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็น 100% ในช่วง 1Q67 (ในช่วง 4Q23 ถือหุ้น 25% และรับรู้ส่วนแบ่งกำไร 42 ล้านบาท) คาดรายได้ของโครงการลมในเวียดนามที่สูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล คาดค่าใช้จ่าย SG&A ที่ 92 ล้านบาท (-12% QoQ, -25% YoY)            หากกำไรปกติ 4Q67 ออกมาใกล้เคียงคาด กำไรปกติปี 2567 จะอยู่ที่ 825 ล้านบาท (-4% YoY) ใกล้เคียงกับประมาณการของเรา ปรับประมาณการปี 2568-69 ลง เพื่อสะท้อนเงินเยนที่แข็งค่าช้ากว่าคาด            ปรับกำไรปี 2568-69 ลง 10% เป็น 874 ล้านบาท (+4% YoY) และ 914 ล้านบาท (+5% YoY) ตามลำดับ จากการปรับสมมติฐานค่าเงินเยนลงเป็น 0.21 บาท/เยน เพื่อสะท้อนแนวโน้มค่าเงินเยนที่แข็งค่าช้ากว่าที่เราประเมินไว้เดิม (ผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดที่ช้ากว่าคาด)            อย่างไรก็ตามเรามองว่ากำไรปกติปี 2568 จะยังสามารถเติบโตได้ YoY จากการรับรู้รายได้จากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในวินชัยแบบเต็มปี (ปี 2567 รับรู้ราว 10 เดือน) และปริมาณขายไฟฟ้าของโครงการ SPN ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังเสร็จสิ้นการเปลี่ยนแผง Solar PV ในช่วง 1H68 รวมถึงการเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ Leo 2 ขนาด 16MW ที่มีกำหนด COD ในช่วงต้น 4Q25 แนวโน้มกำไร 1Q68 ยังทรงตัวได้ YoY แม้ Adder ของโครงการ SPN หมดอายุ            เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 1Q68 ที่ราว 250 ล้านบาท +/- ลดลง QoQ จากฐานที่สูงตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นและโครงการลมในเวียดนาม รวมถึงการรับรู้ผลกระทบจาก Adder ของโครงการแสงอาทิตย์ SPN ที่หมดลงในเดือน ม.ค. อย่างไรก็ตามคาดกำไรปกติจะสามารถทรงตัวได้ YoY แม้รับรู้ผลกระทบจาก Adder ที่หมดลงเพราะสามารถชดเชยได้จากการรับรู้รายได้จากโครงการวินชัย ซึ่งอยู่ในช่วง High Season แบบเต็มไตรมาส (ใน 1Q67 รับรู้ส่วนแบ่งกำไร 2 เดือนและรับรู้รายได้ 1 เดือน)            หากมองไปช่วง 2Q68 คาดกำไรปกติจะสามารถกลับมาเติบโตได้ YoY อีกครั้งจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงหลังการปรับโครงสร้างหนี้ (บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับ Development Bank เพื่อนำ Green Loan มา Refinance หนี้สินเดิม โดยดอกเบี้ยใหม่จะลดลง 28 bps ส่งผลให้ต้นทุนลดลงราว 37 ล้านบาท/ปี) ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว คงคำแนะนำ “ซื้อ”            ผลจากการปรับประมาณการลงและการปรับ WACC ที่ใช้ในการประเมินค่าหุ้นเป็น 9.3% (เดิม 8.7%) เพื่อสะท้อนสภาวะตลาดที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ลดลงเป็น 6.80 บาท/หุ้น มี Upside 28.3%            มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 16% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ได้สะท้อนปัจจัยลบจาก Adder ที่หมดอายุในเดือน ม.ค. 2568 และความกังวลของตลาดเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าของโครงการแบบ Adder ของภาครัฐไปมากแล้ว โดยราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER2025 ที่เพียง 8.3 เท่า จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนในระยะยาว

TFM โชว์กำไรปี 67 โต 513% ปรับกลยุทธ์ขายสินค้า-คุมต้นทุนวัตถุดิบ

TFM โชว์กำไรปี 67 โต 513% ปรับกลยุทธ์ขายสินค้า-คุมต้นทุนวัตถุดิบ

         หุ้นวิชั่น - บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทย รายงานผลประกอบการปี 2567 ด้วยกำไรสุทธิ 535 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 87 ล้านบาทในปี 2566 ถึง 513 เปอร์เซ็นต์ โชว์ผลงานแกร่งสุดในรอบ 3 ปี พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.77 บาทต่อหุ้นสำหรับครึ่งปีหลัง รวมทั้งปีปันผล 1.07 บาทต่อหุ้น นับเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงสุดตั้งแต่ TFM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย          นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 2567 เป็นช่วงเวลาที่ดีในการมุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการผลิต การจัดการพอร์ตสินค้า และการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในฐานะผู้นำที่ผลิตอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของกลุ่มไทยยูเนี่ยน          โดยในปี 2567 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 5,365 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้น 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129% จากปีก่อนหน้า ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้เป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนการผลิต การปรับกลยุทธ์การขายสินค้า และการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ          นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.77 บาทต่อหุ้น รวมทั้งปีปันผล 1.07 บาทต่อหุ้น นับเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงที่สุดตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2564          สำหรับสัดส่วนยอดขายตามผลิตภัณฑ์ในปี 2567 แบ่งเป็นยอดขายอาหารกุ้ง 62 เปอร์เซ็นต์ อาหารปลา 30 เปอร์เซ็นต์ อาหารสัตว์บก 7 เปอร์เซ็นต์ และอื่นๆ ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ โดยอาหารกุ้งเป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดี โดยเพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียที่ยอดขายปรับตัวขึ้นถึง 127 เปอร์เซ็นต์ จากการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และการขยายพื้นที่การขายสินค้าให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น          ในขณะที่ยอดขายอาหารกุ้งในประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์ จากการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอาหารกุ้งในประเทศ ในขณะที่สินค้าในกลุ่มอาหารปลาลดลง 6 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากปริมาณการเลี้ยงปลากะพงที่ลดต่ำลงระหว่างปี อย่างไรก็ดี ปัจจุบันราคาปลากะพงปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ปริมาณการเลี้ยงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน          นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งขยายตลาดในกลุ่มอาหารปลาน้ำจืดเพิ่มเติม เช่น อาหารปลานิล ปลาทับทิม ปลาสลิด เป็นต้น เพื่อขยายฐานรายได้และกระจายความเสี่ยงผ่านการบริหารพอร์ตสินค้า          “กลยุทธ์ในปี 2568 ของ TFM จะเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์มุ่งสู่ปี 2573 ของกลุ่มไทยยูเนี่ยน โดยเราจะมุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ด้วยการขยายธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ กลุ่มกุ้งและ ปลากะพงในประเทศไทย รวมถึง ขยายฐานธุรกิจในอินโดนีเซีย  ตลอดจนมุ่งเน้นและให้ความสำคัญในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างดีที่สุด รักษามาตรฐานการผลิต บริหารต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ ภายใต้มาตรฐานการรับรองที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เราเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ได้รับการรับรอง ASC Feed แห่งแรกในเอเชีย เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศไทย” นายพีระศักดิ์ กล่าว

MC เผยกำไรสุทธิ Q2 ปี 68 โต 130% ยอดช้อปผ่านออนไลน์คึกคัก

MC เผยกำไรสุทธิ Q2 ปี 68 โต 130% ยอดช้อปผ่านออนไลน์คึกคัก

          หุ้นวิชั่น - “ แม็คกรุ๊ป ” ท็อปฟอร์มต่อเนื่อง  ไตรมาส 2 ปีบัญชี 2568   กำไรสุทธิ 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130% จากไตรมาสแรก และเพิ่มขึ้น 7.6% เทียบงวดเดียวกัน ปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 283 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังสูงที่ระดับ65 % อัตรากำไรสุทธิพุ่ง 22.5 %   ยอดช้อปผ่านออนไลน์คึกคัก ดันงวดครึ่งปีโกยรายได้2,178 ล้านบาท  บอร์ดอนุมัติปันผลงวดกลางปี 0.55 บาท           นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ  MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส   2 ปีบัญชี 2568 ( 1ตุลาคม- 31ธันวาคม 2567 ) ว่า กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130% จากไตรมาสแรกปีบัญชี 2568  ที่มีกำไรสุทธิ 133 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 7.6% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 283 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่   22.5 %  เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 21.5 %           ขณะที่งวด 6 เดือนแรก ปีบัญชี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น   6.1 % เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ  412 ล้านบาท โดยอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น  19.6 % เมื่อเทียบงวดเดียวกันปี 18.6 %   ซึ่งอัตรากำไรสุทธิที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลจากยอดขายที่เติบโตและบริษัทมีการบริหารต้นทุนการขายและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ           “MC ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ได้ดีต่อเนื่อง โดยงวดไตรมาส 2 มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 64.9% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 64% ขณะที่งวดครึ่งปีแรกปีบัญชี 2568 อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 65.1% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 64.8% “  นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าว            ทั้งนี้งวดไตรมาส 2 ของปีบัญชี 2568 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า   1,336 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น  2.6 % เป็นผลจากการเติบโตต่อเนื่องของรายได้จากช่องทางขายออนไลน์ ที่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาสนี้ บริษัท มีรายได้จากการขายสินค้าผ่านช่องทางร้านค้าออนไลน์ ทั้งสิ้น 212 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 83 ล้านบาทหรือ 63.9%               ขณะที่งวด 6 เดือนแรกปีบัญชี 2568 บริษัทมีรายได้จากการขาย   2,178 ล้านบาท ลดลง 0.3 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  เป็นผลจากกำลังซื้อในช่องทางออฟไลน์ที่ ลดลง แต่มีรายได้จากช่องทางออนไลน์ เติบโตดีมาก โดยงวดครึ่งปี มีรายได้จากการขายสินค้าผ่านช่องทางร้านค้าออนไลน์ 337ล้านบาทเพิ่มขึ้น 108 ล้านบาทหรือ 47.3%           “ช่องทางขายผ่านร้านค้าออนไลน์(E-Commerce)  ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น หลังแบรนด์แม็คยีนส์ติดอันดับหนึ่งแบรนด์ที่มียอดขายมากที่สุดใน TIKTOK โดย งวดครึ่งแรกของปีบัญชี 2568 สัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 16% จาก 10%เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน   ส่วนช่องทางขายอื่นๆ  สัดส่วนลดลง โดย ช่องทางออฟไลน์อันได้แก่ ช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง(Free-standing Shop) มีสัดส่วน 65 %   ลดลงจาก68% มีรายได้ 1,426 ล้านบาท ,ห้างสรรพสินค้า (Department Store) 17 % จาก19% มีรายได้ 379ล้านบาท , และช่องทางอื่น ๆ คิดเป็น 1 % จาก3% “ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แม็คกรุ๊ปกล่าว           นายเจมส์ริชาร์ด กล่าวว่า บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์หลัก ที่มุ่งเน้นคุมเข้มต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ที่ทำมาต่อเนื่องส่งผลให้ กำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องและ หนุนให้ผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ขึ้นไปอยู่ที่ 19.2 % ณ สิ้นธันวาคม 2567           อย่างไรก็ตาม   แม็คกรุ๊ป  ยังคงสถานะการเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้เงินกับสถาบันการเงิน ขณะที่เงินสดในมือเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง   ณ สิ้น ธันวาคม 2567 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด และเงินลงทุนชั่วคราว   1,896  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 162  ล้านบาท จากสิ้นเดือนมิถุนายน  2567  ที่มีเงินสด1,734 ล้านบาท           นายเจมส์ริชาร์ด กล่าวว่า ผลดำเนินงานและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้คณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับผลดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีบัญชี2568 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท คิดเป็นอัตราการจ่าย เกือบ100 % ของกำไรสุทธิ และสูงกว่านโยบายที่จะจ่ายไม่น้อยกว่า 40% อีกทั้ง งวดครึ่งแรกปีนี้บริษัทจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่จ่ายหุ้นละ 0.50 บาท โดยจะขึ้นเครื่องหมายวันที่27 ก.พ 2568 และจะจ่ายเงินในวันที่ 13 มี.ค 2568

โกลเบล็ก คาด ICHI โตดี ดีดลูกคิดกำไรปี 67 ที่ 1,376 ลบ. แนะ

โกลเบล็ก คาด ICHI โตดี ดีดลูกคิดกำไรปี 67 ที่ 1,376 ลบ. แนะ "ซื้อ"

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด แนะนำ "ซื้อ" ICHI ราคาเหมาะสม Bloomberg consensus 16.80 บาท Upside 31% "Consensus คาดกำไร 4Q67 อ่อนตัว QoQ แต่ ทรงตัว YoY"           • บริษัทมีรายได้ 9M67 เท่ากับ 6,586 ลบ. +11% YoY จากยอดขายในประเทศ (สัดส่วน 94%) เติบโต 14% YoY เนื่องจากการเติบโตของตลาดชาพร้อมดื่ม ชาสมุนไพร และน้ำด่างในประเทศ ขณะที่ยอดขายจากต่างประเทศ (สัดส่วน 6%) ลดลง 23% YoY เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตสินค้า OEM การแข็งค่าของเงินบาท และปัญหาการสั่งซื้อในประเทศคู่ค้า มี % GPM เท่ากับ 26% เพิ่มขึ้นจาก 23% ใน 9M66 เนื่องจากการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิด Economies of Scale และราคาวัตถุดิบบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,100 ลบ. +37% YoY คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 17% เพิ่มขึ้นจาก 14% ใน 9M66           • ความเห็น ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นกลางต่อผลประกอบการ 4Q67 คาดลดลง QoQ เนื่องจากเป็นช่วง Low season อากาศหนาวกว่าปกติและสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศ คาดทำให้ความต้องการเครื่องดื่มลดลง อย่างไรก็ตามการเติบโตของตลาดชาพร้อมดื่มในประเทศและการจัดการผลิตในช่วง 9M67 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาดทำให้ผลประกอบการปี 67 เติบโตดี โดย Bloomberg consensus คาดกำไร 4Q67 เฉลี่ย 292 ลบ. ลดลง 18% QoQ แต่ทรงตัว YoY และกำไรปี 67 เฉลี่ย 1,376 ลบ. +25% YoY กำไร 9M67 คิดเป็น 80% ของประมาณการ ราคาหุ้นซื้อขายที่ P/E 12X ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ระดับ 21X ราคาเหมาะสม Consensus 16.80 บาท มี Upside 31% ฝ่ายวิเคราะห์จึงแนะนำ “ซื้อ”

BPP คาด Q4/67 กำไรที่ 610 ลบ. มีปันผล 0.60 บ. โบรกแนะ “TRADING” เป้า 9.20 บาท

BPP คาด Q4/67 กำไรที่ 610 ลบ. มีปันผล 0.60 บ. โบรกแนะ “TRADING” เป้า 9.20 บาท

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาดกำไร 4Q67 ยังไม่เด่นและมีการบันทึกรายการขาดทุนจากการขายโรงไฟฟ้า คาดกำไรปกติ 4Q67 ที่ 610 ล้านบาท ลดลง 47% QoQ แม้เริ่มเข้าสู่ช่วง High Season ของโรงไฟฟ้า CHP ในจีน หลังถูกกดดันจาก 1. ปัจจัยฤดูกาลและการเข้าสู่ช่วงปิดซ่อมบำรุงประจำปีของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ 2. คาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลงเป็น 585 ล้านบาท (-57% QoQ, -23% YoY) จากการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าหงสาหน่วยที่ 1-2 และโรงไฟฟ้า BLCP หน่วยที่ 2 ในช่วง 4Q67 3. คาดต้นทุนทางการเงินลดลงเป็น 720 ล้านบาท (-5% QoQ, -4% YoY) ตามทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และจีน            ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้ YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อน หลังได้แรงหนุนจากต้นทุนถ่านหินในจีนที่ปรับตัวลงและส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า SLG ที่คาดเพิ่มขึ้นเป็น 85 ล้านบาท จาก 51 ล้านบาทใน 4Q66 จากปริมาณขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและการขายสิทธิการปล่อยคาร์บอน (Carbon Permit) ในจีนราว 3.0 แสนตันคาร์บอน ทั้งนี้ คาดบริษัทฯ จะมีการบันทึกรายการขาดทุนจากการขายโรงไฟฟ้า Nakoso ราว 1,500 ล้านบาทใน 4Q67 ทำให้คาดบริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิ 4Q67 ที่ 1,060 ล้านบาท (พลิกเป็นขาดทุน QoQ และขาดทุนเพิ่มขึ้น YoY) ปรับกำไรปี 2568-69 ลงเพื่อสะท้อนผลกระทบจากการขายโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่น            ปรับประมาณการกำไรปี 2568-69 ลง 2-3% เป็น 3,144 ล้านบาท (+4% YoY) และ 3,351 ล้านบาท (+7% YoY) ตามลำดับ เพื่อสะท้อนส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงราว 100-150 ล้านบาท หลังการขายโรงไฟฟ้าถ่านหิน Nakoso ออกไปในช่วง 4Q67            ทั้งนี้ คาดกำไรปกติ 2568 จะยังสามารถทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้ต่อเนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น YoY (หนุนความสามารถในการทำกำไรของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ) หลังได้แรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนการส่งออก LNG ของคุณทรัมป์ และปริมาณขายไฟฟ้าในจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจจีน แนวโน้มกำไร 1Q68 มีโอกาสกลับมาเติบโตทั้ง QoQ และ YoY            เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 1Q68 ที่ระดับ 650-750 ล้านบาท เติบโตทั้ง QoQ และ YoY หลังได้แรงหนุนจาก 1. จำนวนวันปิดซ่อมบำรุงของโรงไฟฟ้าหงสาที่ลดลงทั้ง QoQ และ YoY 2. สภาวะอากาศในสหรัฐฯ ที่หนาวเย็นมากขึ้น YoY จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ปริมาณขายไฟฟ้าและความสามารถในการทำกำไรของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ สูงขึ้น YoY 3. ไม่มีการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน Nakoso เหมือนปีก่อน (ในช่วง 1Q24 รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนราว 49 ล้านบาท) ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 9.20 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ “TRADING” ผลจากการปรับประมาณการลงและการปรับ WACC ที่ใช้ประเมินมูลค่าขึ้นเป็น 9.0% (เดิม 8.1%) เพื่อสะท้อนสภาวะตลาดที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ลดลงเป็น 9.20 บาท/หุ้น มี Upside 12.2% แม้คาดหุ้นมีเงินปันผลราว 0.60 บาท/หุ้น/ปี (Dividend Yield 7.3%) ช่วยจำกัด Downside แต่เรามองว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะถัดจากนี้จะยังคงทำได้จำกัด เพราะถูกกดดันจากกำไรของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ที่ยังผันผวน รวมถึงการที่หุ้นยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ จึงคงคำแนะนำ “TRADING”

EPG หุ้นถูก ปันผล 0.12 บาท มี Upside 49.4% โบรกเคาะเป้า 4.60 บาท

EPG หุ้นถูก ปันผล 0.12 บาท มี Upside 49.4% โบรกเคาะเป้า 4.60 บาท

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ชี้ EPG ราคาหุ้นปรับลงมากเกินไป จน Valuation ต่ำมาก กำไรปกติ 3Q67 ลดลง 36.9% QoQ และ 34.3% YoY หลังค่าใช้จ่ายเร่งตัวขึ้น EPG รายงานกำไรสุทธิ 3Q67 (สิ้นงวดเดือน ธ.ค. 2567) จำนวน 164 ลบ. โต 25.8% QoQ แต่ลดลง 44.8% YoY แต่หากไม่รวมรายการพิเศษจากผลขาดทุนจาก FX ที่บันทึกในไตรมาสนี้ 48 ลบ. และผลขาดทุนจากการตั้งสำรองผลขาดทุนธุรกิจในแอฟริกาใต้จำนวน 58 ลบ. จะมีกำไรปกติ 270 ลบ. ลดลง 36.9% QoQ และ 34.3% YoY ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด         หลังรายได้รวมทรงตัว YoY แม้ฐานรายได้จากธุรกิจฉนวนยางกันความร้อนของ AFC เพิ่มขึ้น 3.5% YoY หนุนจากได้รับงานเพิ่มขึ้นจากลูกค้าในสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มฉนวนยางคุณภาพสูงที่ใช้ในงานอาคาร Data Center แต่รายได้ธุรกิจอะไหล่ยานยนต์ของ ARK ทำได้เพียงทรงตัว YoY และรายได้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกของ EPP ลดลง 1.9% YoY         นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบจากทั้งอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเหลือ 30.7% จาก 33.2% ใน 3Q23 จากผลของยอดขายอะไหล่ตกแต่งยานยนต์ของ AAPG ในออสเตรเลียปรับตัวลง (อัตรากำไรสูง) รวมถึงการแข่งขันด้านราคาของบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่กลับมารุนแรงขึ้น นอกจากนี้ SG&A/Sales ปรับสูงขึ้นเป็น 24.9% จาก 23.6% ใน 3Q23 เพราะมีค่าใช้จ่ายปิดกิจการ TJMUSA และค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างธุรกิจบริษัท AAPG ปรับประมาณการกำไรปกติลง สะท้อนแนวโน้มกำไรปกติใน 4Q68 ที่จะยังไม่สวย กำไรปกติ 9M67 ของ EPG คิดเป็น 73% ของประมาณการเดิมทั้งปี ซึ่งต่ำเกินไป หลังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด และมองว่าจะยังมีผลต่อเนื่องไปใน 4Q68 (สิ้นงวดเดือน มี.ค. 2568) รวมถึงรายได้จากธุรกิจอะไหล่ยานยนต์และบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ฟื้นตัวได้ช้า ทำให้เราปรับลดประมาณการกำไรปกติของ EPG ในปี 2567/25 ลง 7.3%/7.8% ตามลำดับ ทั้งนี้ ภายใต้ประมาณการใหม่เราคาดกำไรปกติของ EPG จะฟื้นตัวขึ้น QoQ จากฐานต่ำ แต่ลดลง YoY จากรายได้ของธุรกิจบรรจุภัณฑ์และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวลง เราจึงคาดกำไรปกติทั้งปี 2567 ของ EPG จะอยู่ที่ 1,324 ลบ. ลดลง 7.2% YoY ก่อนจะกลับมาโต 6.2% YoY ในปี 2568 มองราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปมาก จนกลายเป็นหุ้นถูกที่ให้ปันผลน่าสนใจ เรามองว่าราคาหุ้นได้ปรับลงตอบรับผลดำเนินงานที่ย่ำแย่ไปมากแล้ว จนปัจจุบันราคาหุ้นยังมี Upside 49.4% หลังปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2568 ที่ 4.60 บาท ซึ่งอิงกับ PER ต่ำเพียง 9.3x ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี – 2 S.D. (และใกล้เคียงกับ PER ที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เข้าตลาดของ EPG ที่ 9x) และคาดให้ Div. Yield 2H24 หุ้นละ 0.12 บาท คิดเป็น Div. Yield 3.9% จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เพื่อรอการทยอยฟื้นตัวในปี 2568 หลังบันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลิกกิจการและการปรับโครงสร้างธุรกิจไปแล้ว

EPG เผยงบ Q3 ปี 67/68 กำไรสุทธิลดลง 45.1% YoY ตั้งสำรองผลขาดทุนทางเครดิต

EPG เผยงบ Q3 ปี 67/68 กำไรสุทธิลดลง 45.1% YoY ตั้งสำรองผลขาดทุนทางเครดิต

          หุ้นวิชั่น - รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า ไตรมาส 3   ปีบัญชี 67/68 (ต.ค.-ธ.ค.67) บริษัทมียอดขาย 3,388 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 3,374 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 0.4% และ ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนที่มียอดขาย 3,606 ล้านบาท หรือ ลดลง 6.0% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30.7% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 30 - 33% และมีกำไรสุทธิที่ 168 ล้านบาท ลดลง 45.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 23.8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจาก           บริษัทมีการตั้งสำรองผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่ 58 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าลดลง 58.8 % เนื่องจากยอดขายชะลอตัวและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ทั้งธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ สำหรับการดำเนินงานตามกลุ่มธุรกิจ มีดังนี้ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มียอดขาย 983 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ลดลง 6.0% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากช่วงปลายปีเป็นเทศกาลที่มีวันหยุดยาว ส่วนยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการสินค้าฉนวนกันความร้อน/เย็น เกรดพรีเมี่ยม และสินค้าเพื่อใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และ ระบบ Air Ducting system ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นในกลุ่มลูกค้าโครงการ ได้แก่ กลุ่ม Semi-Conductor/ Cloud/ และยานยนต์ เป็นต้น อีกทั้งยอดขายในญี่ปุ่นเติบโตดี           ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas มียอดขาย 1,709 ล้านบาท ลดลง 0.3 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 11.6% จากไตรมาสก่อน โดยหลังคาครอบกระบะ (Canopy) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งคำสั่งซื้อสินค้าใหม่จากค่ายยานยนต์ญี่ปุ่นซึ่งจะรับรู้รายได้เต็มปีในปีบัญชีนี้ ส่วนธุรกิจในออสเตรเลียมียอดขายปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศชะลอตัวจากไตรมาสก่อนเนื่องจากช่วงปลายปีเป็นเทศกาลที่มีวันหยุดยาว ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มียอดขาย 696 ล้านบาท ลดลง 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 11.2% จากไตรมาสก่อน โดยบริษัทได้รับประโยชน์จากกิจกรรมเฉลิมฉลองช่วงปลายปี 2567 ที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง บริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด ได้ใช้จุดเด่นจากมาตรฐานต่าง ๆ เช่น มอก./ GMP/ HACCP/ BRC และ FSC จึงเป็นที่ไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเลือกให้เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก           บริษัทมีต้นทุนขายสินค้า เพิ่มขึ้น 4.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของยอดขาย บริษัทได้จัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตในหลายประเทศเพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยจากราคาวัตถุดิบมีราคาเหมาะสม สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 6.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายในการจัดส่งของแอร์โรเฟลกซ์ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารของ บริษัท ทีเจเอ็ม เอเชีย แปซิฟิก จำกัด ในประเทศไทย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจากธุรกิจในออสเตรเลีย ที่เพิ่มขึ้น ในไตรมาสนี้บริษัทมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 48 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 68 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง 92 ล้านบาท และเป็นขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง 140 ล้านบาท ภาพรวมความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนใน  ไตรมาสนี้ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ แต่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ออสเตรเลีย จึงมีผลกระทบรวมที่เป็นบวกเล็กน้อยต่อการดำเนินงานของบริษัท บริษัทมีการตั้งสำรองผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ที่ 58 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากรายการลูกหนี้การค้าของบริษัท แอร์โรคลาส จำกัด ซึ่งจำหน่ายวัตถุดิบเพื่อใช้ผลิตสินค้าให้แก่ธุรกิจร่วมทุนในแอฟริกาใต้ ซึ่งได้รับคำสั่งซื้อสำคัญจากค่ายยานยนต์รายใหญ่ในมูลค่าที่เพิ่มขึ้น การแก้ไขปัญหาอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับ Supply chain ทั้งหมด โดยผลการเจรจาคืบหน้าไปด้วยดี เป็นผลให้ในไตรมาสนี้บริษัทร่วมทุนมีเงินสดรับเพิ่มขึ้นและทยอยชำระหนี้ให้ บริษัท แอร์โรคลาส จำกัด แล้ว คาดว่าในไตรมาสถัดไปจะได้รับชำระหนี้อีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 42 ล้านบาท มาจากผลประกอบการของ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ ทั้งในและต่างประเทศ

ยานยนต์เริ่มสดใส หุ้นไหนรับโชค เช็กเลย!

ยานยนต์เริ่มสดใส หุ้นไหนรับโชค เช็กเลย!

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่าสัญญาณเงินลงทุนต่างประเทศเข้าไทย + ภาคยานยนต์เป็นบวกมากขึ้น 1.) Mazda ประกาศลงทุน 5.0 พันล้านบาท ตามมาตรการส่งเสริมรถยนต์ Hybrid (HEC, MHEV) นอกจากนี้ 2.) รัฐฯ เตรียมออกมาตรการกระตุ้นภาคยานยนต์โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อรถยนต์พาณิชย์ที่ยอดปล่อยกู้สินเชื่อลดลง โดยรัฐฯกำลังพิจารณาใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บ.ส.ย.) เข้ามาช่วย โดยที่ผ่านมา บ.ส.ย.เคยประกันราว 30% จะไปพิจารณาว่าจะเพิ่มยอดอย่างไรในอนาคต ประเมินจิตวิทยาบวกหุ้นนิคม WHA, AMATA และหุ้นเช่าซื้อ TISCO, KKP

SHR คาดโตต่อเนื่อง ลุ้นกำไรนิวไฮ เป้าที่ 2.80 บ.

SHR คาดโตต่อเนื่อง ลุ้นกำไรนิวไฮ เป้าที่ 2.80 บ.

         หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินหุ้น SHR โดยฝ่ายวิจัย คงคำแนะนำ “ซื้อ สำหรับ SHR ด้วยราคาเป้าหมาย 2.80 บาท จาก (i) การดำเนินงานที่ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้วย RevPar ที่เติบโต +16% yoy ในเดือนมกราคม และเติบโตสองหลักใน 1Q25F จากโรงแรมในไทยและมัลดีฟส์ (ii) คาด 4Q25F พลิกกลับมาเป็นกำไร และผลประกอบการเติบโต 25% ต่อปี (CAGR FY25-27F) จากการเติบโตของการท่องเที่ยวและการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทุกพอรต์ และ (iii) มูลค่าหุ้นที่น่าสนใจ ปัจจุบัน 6.0x EV/EBITDA and 0.4x P/BV on FY25F ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่ม          ทั้งนี้ คาด SHR จะรายงานกำไรหลักสำหรับ 4Q25F ที่ 131 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 102% yoy และ ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับขาดทุนในไตรมาสก่อน) ซึ่งบริษัทจะประกาศผลประกอบการในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ คาดว่า SHR จะมีการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งในปีนี้          โดยคาดกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ใน 1Q25F จากการจองห้องพักที่แข็งแกร่ง สำหรับโรงแรมในประเทศไทยและมัลดีฟส์ในช่วงไฮซีซั่น ประกอบกับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการปรับโครงสร้างหนี้

ONEE คาดกำไรปี67 ที่ 485 ลบ. Idol Marketing โตแรง โบรกเคาะเป้า 3.98 บาท

ONEE คาดกำไรปี67 ที่ 485 ลบ. Idol Marketing โตแรง โบรกเคาะเป้า 3.98 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า คาด ONEE จะมีกำไรสุทธิ 4Q67 ที่ 149 ล้านบาท -9%QoQ, -17%YoY คาดรายได้รวมที่ 1,720 ล้านบาท 5%QoQ ทรงตัว YoY เมื่อแบ่งตามกลุ่มธุรกิจ รายได้กลุ่มธุรกิจ Content Marketing (โฆษณา ขายลิขสิทธิ์ และวิทยุ) อยู่ที่ 1,077 ล้านบาท -9%QoQ, -3%YoY แม้ว่าไตรมาสนี้บริษัทจะสามารถทำเรตติ้งนำคู่แข่ง และชิงส่วนแบ่งตลาดได้ โดยละครเรื่อง "แม่เบี้ย" ที่เริ่มสามารถครองเรตติ้งเป็นอันดับหนึ่งทุกแพลตฟอร์ม แต่ด้วยเม็ดเงินโฆษณาในอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลที่ปรับลดลง 6%YoY ส่งผลให้รายได้โฆษณา -3%YoY ขณะที่รายได้จากการขายลิขสิทธิ์เพิ่มขึ้น 2%YoY เนื่องจากขายลิขสิทธิ์ให้ทาง Netflix เพิ่มขึ้น กลุ่ม Idol Marketing รายได้อยู่ที่ 608 ล้านบาท +2%QoQ, +22%YoY รายได้จากการขายสินค้า คอนเสิร์ต และบริหารศิลปินดีขึ้นจากปีก่อน กลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิตและให้เช่าสตูดิโอ มีรายได้อยู่ที่ 35 ล้านบาท -2%QoQ, -66%YoY เนื่องจากบริษัทย่อย CHANGE2561 ลดรับจ้างผลิตละคร หันมาเน้นผลิตเอง           ด้านประสิทธิภาพในการทำกำไรลดลง ผลจากรายได้ธุรกิจบริหารศิลปินที่มีอัตรากำไรต่ำมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น โดยอัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงจาก 4Q66 ที่ 42.5% เป็น 40.5%           ภาพรวมปี 2567 คาดกำไรที่ 464 ล้านบาท -8%YoY ต่ำกว่าประมาณการเดิมของเรา 6% จากประสิทธิภาพในการทำกำไรที่ต่ำกว่าคาด ปี 2568 เผชิญความท้าทาย แต่คาดยังดีกว่ากลุ่มสื่อทีวีดิจิทัลรายอื่น           เราคาดปี 2568 ONEE เผชิญความท้าทาย เนื่องจากอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลในปีนี้ที่คาดว่ายังชะลอตัวกว่าสื่ออื่น โดยคาดเม็ดเงินโฆษณากลุ่มทีวีดิจิทัลจะลดลง 5%YoY เนื่องจากกำลังซื้อที่ลดลงและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าผลประกอบการของ ONEE จะเติบโตดีกว่าผู้ประกอบการรายอื่น จากกลยุทธ์ในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอื่นนอกจากทีวีดิจิทัล คาดว่าจะมีการจัดอีเวนต์ คอนเสิร์ต และรายได้จากการบริหารศิลปินเพิ่มจากปีก่อน           ส่วนรายได้จากการขายลิขสิทธิ์คาดเติบโตดีจากการขายคอนเทนต์ให้กับแพลตฟอร์มรายใหญ่ และแอป OneD ที่เริ่มสร้างรายได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม จากประสิทธิภาพในการทำกำไรในปี 2567 ที่ต่ำกว่าคาด และแนวโน้มอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด เราปรับลดกำไรปี 2567 ลงจากเดิม 11% เป็น 485 ล้านบาท (+5%YoY) จากการปรับลดสมมติฐานรายได้ลง 6% และปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นลง 0.5% คงคำแนะนำ “ซื้อ” ผ่านช่วงต่ำสุดไปแล้ว           เรามองว่าผลประกอบการที่ผ่านช่วงต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ปี 2568 คาดผลประกอบการฟื้นตัวจากฐานต่ำ และเติบโตดีกว่าผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลรายอื่นจากกลยุทธ์ในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบริหารศิลปิน และคอนเสิร์ตมากขึ้น           เรามีการปรับลดมูลค่าพื้นฐานจากเดิมที่ 4.90 บาท เป็น 3.98 บาท สะท้อนการปรับลดกำไร อิงวิธี DCF สมมติฐาน WACC ที่ 9.8% Terminal Growth ที่ 1% ปรับเพิ่มสมมติฐาน Risk Market จากเดิม 9% เป็น 10% สะท้อนความเสี่ยงของปัจจัยมหภาคที่เพิ่มขึ้น

COCOCO ถึงรอบฟื้นตัว โบรกเคาะเป้า 11.00 บาท แนะ

COCOCO ถึงรอบฟื้นตัว โบรกเคาะเป้า 11.00 บาท แนะ "ซื้อ"

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์ เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง COCOCO (BUY, [email protected]) 4Q24 preview + Philippines visit           ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิ COCOCO งวด 4Q24 ที่ 95 ลบ ลดลง 49.8% yoy และ 44.9% qoq โดยหากไม่รวม FX gain คาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 85 ลบ ลดลง 53.9% yoy และ 63.6% qoq ตามฐานรายได้ที่ลดลงตาม seasonal บวกกับ ฐาน 4Q23 ที่สูงกว่าปกติ ประกอบกับ ต้นทุนผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น           ทั้งนี้ ยอดขายรวมยัง deliver ได้ตามเป้าหมาย งวด 4Q24 เติบโต 18.2% yoy แต่ลดลง 13.7% qoq ตามฤดูกาล โดยแรงหนุนการเติบโต yoy จะมาจากยอดขายธุรกิจน้ำมะพร้าว และอาหารสัตว์ อย่างไรก็ตาม ถูกหักล้างจาก GPM และ SGA-to-sales ที่สูงขึ้น โดย GPM 4Q24 คาดที่ 20.6% ลดลงจาก 26.6% และ 24.8% ในช่วง 4Q23 และ 3Q24 หลักๆจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น กดดัน margin ลดลง qoq ขณะที่ SGA-to-sales คาดเพิ่มขึ้น จากค่าใช้จ่ายการออกงาน และค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้น           สำหรับระยะสั้นแนวโน้ม 1Q25 คาดเริ่มเห็นการฟื้นตัว qoq จาก low season ในช่วง 4Q24 ประกอบกับ การปรับราคาขายรอบใหม่ปี 2025 ที่จะช่วยชดเชยต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นบางส่วน ขณะที่ปี 2025 ภายใต้ประมาณการใหม่ คาดยอดขายยังขยายตัวต่อเนื่อง หนุนจากธุรกิจน้ำมะพร้าวส่งออก แม้จะถูกหักล้างบางส่วนจากต้นทุนผลิตที่เพิ่มขึ้น แต่คาดกำไรปี 2025 จะยังเติบโต 21.8% yoy           ฝ่ายวิเคราะห์ร่วม site visit โครงการลงทุนโรงงานกะทิแห่งใหม่ในฟิลิปปินส์ (ยังไม่รวมในประมาณการ) นิคม Anflo Industrial Estate เมืองดาเวา เบื้องต้นคาดจะเริ่มผลิตได้ในงวด 1Q26 ตามแผน, ลงทุนรวม 430 ลบ, มี tax benefit แบบ BOI โดย COCOCO ประเมินหาก fully commercialise จะช่วยหนุน gross margin กะทิกลับขึ้นมาระดับ 30% ต่อปี (จากปี 2024 ที่ราว 15-25% ในแต่ละไตรมาส) จากผลบวก excess supply ราคามะพร้าวขาวถูกกว่าไทยราว 50% จากกำลังผลิตคิดเป็น 24% ของ global supply (เทียบไทยราว 1.5% ของ global supply)           ฝ่ายวิจัยประเมินจากแนวโน้มกำไร 4Q ที่เป็น low season ประกอบกับ แรงกดดันต้นทุน ทำให้ catalyst ระยะสั้นยังไม่เด่น แต่จาก long-term outlook ที่ยังเห็นพัฒนาการต่อเนื่อง จึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ เมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว ราคาเป้าหมาย 11.00 บาท

BTS เผย Q3 ปี 67/68 พลิกกำไร 3 พันลบ. กลับมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรลงทุน

BTS เผย Q3 ปี 67/68 พลิกกำไร 3 พันลบ. กลับมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรลงทุน

         หุ้นวิชั่น - บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (BTS) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567/68 มีรายได้รวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ 11,037 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.6% หรือ 4,165 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก การรวมรายได้จากบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (RABBIT) และบริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน) (ROCTEC) จำนวนรวม 1,480 ล้านบาท ในการจัดทำงบการเงินรวมของบีทีเอส กรุ๊ป ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 หลังจากการเข้าซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจในทั้งสองบริษัท (Voluntary Tender Offer: VTO) การเพิ่มขึ้นของรายได้อื่น ๆ ส่วนใหญ่มาจากการบันทึกกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว จำนวน 3,442 ล้านบาท จากการเปลี่ยนสถานะของ RABBIT และ ROCTEC จากบริษัทร่วมเป็นบริษัทย่อยของบีทีเอส กรุ๊ป รวมถึงกำไรจากการขายอาคารทีเอสทีทาวเวอร์ของ RABBIT จำนวน 268 ล้านบาท          อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของรายได้ถูกหักกลบบางส่วนจาก 3. การลดลงของรายได้จากการก่อสร้าง จำนวน 1,176 ล้านบาท หลังจากการเสร็จสิ้นของงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูสายหลัก ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายของ RABBIT และ ROCTEC จะถูกรวมเข้ากับงบการเงินรวมของบริษัทฯ แต่ค่าใช้จ่ายรวมกลับลดลง 41.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 5,969 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากไม่มีการบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าของการลงทุนในบริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KEX) (ซึ่งบันทึกไว้ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน)          กำไรจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นเป็นประจำก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ย และภาษี (Recurring EBITDA) อยู่ที่ 2,592 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.9% หรือ 297 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของ Recurring EBITDA ในธุรกิจ MIX สาเหตุหลักคือการกลับมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุน หลังจากการจำหน่ายเงินลงทุนใน KEX ในเดือนมีนาคม 2567 รวมถึงการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของบริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (JMART) และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ VGI กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 3,042 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดทุน 4,762 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน การกลับมามีกำไรสุทธิในครั้งนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของ Recurring EBITDA และการบันทึกกำไรจากการเปลี่ยนสถานะของ RABBIT และ ROCTEC ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ 55.0%          เงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 37 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,092.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับชำระหนี้ E&M และหนี้ O&M (ฟ้องครั้งที่ 1) จากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ส่วน เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 41 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 563.1% หรือ 35 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับวันที่ 31 มีนาคม 2567 ผลการดำเนินงานประจำงวด 9 เดือนของปี 2567/68          บริษัทฯ บันทึกรายได้รวมสำหรับรอบระยะเวลาเก้าเดือนของปี 2567/68 จำนวน 21,738 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% หรือ 2,062 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ปัจจัยหลักมาจาก 1. การรวมรายได้ของ RABBIT และ ROCTEC 2. การบันทึกกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจำนวน 3,442 ล้านบาท จากการเปลี่ยนสถานะของ RABBIT และ ROCTEC มาเป็นบริษัทย่อยของ บีทีเอส กรุ๊ป 3. การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการบริการและการขาย ส่วนใหญ่มาจากการรับรู้รายได้ค่าโดยสารจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูสายหลักและสายสีเหลือง รวมถึงรายได้จากการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ที่เพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป          Recurring EBITDA สำหรับรอบระยะเวลาเก้าเดือนของปี 2567/68 จำนวน 6,384 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 244 ล้านบาท หรือ 4.0% จากปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของ Recurring EBITDA ในธุรกิจ MIX โดยเฉพาะจากการไม่มีการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนใน KEX, การกลับมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน JMART และผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นของ VGI ทั้งนี้อัตรากำไรของ Recurring EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 48.6% (เทียบกับ 43.3% ในรอบระยะเวลาเก้าเดือนของปี 2566/67) บีทีเอส กรุ๊ป บันทึก กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 2,204 ล้านบาท (เมื่อเทียบกับขาดทุนสุทธิจำนวน 5,277 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน) การกลับมามีกำไรสุทธิในครั้งนี้มีปัจจัยหลัก ดังนี้ 1. ไม่มีการบันทึกผลขาดทุนที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าเงินลงทุนใน KEX และการด้อยค่าเงินลงทุนใน บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (SINGER) ของ RABBIT ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อน 2. การบันทึกกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการเปลี่ยนสถานะของ RABBIT และ ROCTEC ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567/68 3. การกลับมาบันทึกส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม/การร่วมค้า เนื่องจากไม่มีการบันทึกผลขาดทุนจากการดำเนินงานใน KEX รวมถึงการกลับมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน JMART          ทั้งนี้จากการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทในเดือนธันวาคม 2567 ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงหนี้สินสุทธิที่ลดลง อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน RABBIT และ ROCTEC ซึ่งปัจจุบัน บีทีเอส กรุ๊ป ถือหุ้นอยู่ที่ 65.4% และ 63.2% ตามลำดับ โดยงบการเงินของทั้งสองบริษัทถูกนำมารวมในการจัดทำงบการเงินรวมของ บีทีเอส กรุ๊ป ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้นมา          VGI สามารถจัดหาเงินได้ทั้งสิ้น 15.4 พันล้านบาท จากการขายหุ้นทั้งหมดของ ROCTEC จำนวน 2.2 พันล้านบาท และการเสนอขายหุ้นสามัญของ VGI ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement: PP) จำนวน 13.2 พันล้านบาท ส่งผลให้ VGI มีเงินสดสุทธิจำนวน 17.5 พันล้านบาท และมีสินทรัพย์รวมเป็น 40.9 พันล้านบาท โดย 57% ของสินทรัพย์รวมคิดเป็นมูลค่าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโฆษณา ธุรกิจบริการดิจิทัล และธุรกิจการจัดจำหน่าย ทั้งนี้ เงินสดสุทธิของ VGI จำนวน 17.5 พันล้านบาท (หรือคิดเป็น 43% ของสินทรัพย์) ได้ถูกสำรองไว้สำหรับโอกาสการลงทุนในอนาคต          ในส่วนของ หนี้สินสุทธิของ บีทีเอส กรุ๊ป ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากการเพิ่มทุนจำนวน 13.2 พันล้านบาท และการได้รับชำระหนี้ O&M จากทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) จำนวน 14.5 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ทั้งนี้คาดว่ากทม. จะชำระหนี้ O&M ส่วนที่เหลือภายในอนาคตอันใกล้          สำหรับนโยบายของภาครัฐในการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าโดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีผลในเดือนกันยายน 2568 หากรัฐบาลดำเนินการได้สำเร็จ คาดว่ารายได้จากค่าโดยสารจะกลายเป็นรายได้จากการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ เผชิญกับความเสี่ยงที่เกี่ยวกับจำนวนผู้โดยสารที่อาจลดลง          ในส่วนของการซื้อคืนรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง หากเกิดขึ้นคาดว่าจะส่งผลให้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของทั้งสองโครงการในปัจจุบันหมดไป และจะเปลี่ยนไปรับรู้รายได้จากการเดินรถและซ่อมบำรุงแทนรายได้จากค่าโดยสาร นอกจากนี้ บริษัทฯ จะสามารถลดภาระหนี้สินสุทธิอย่างมีสาระสำคัญ และยังสามารถลดต้นทุนทางการเงินลง ซึ่ง ต้นทุนดอกเบี้ยของบีทีเอส กรุ๊ป ในช่วงงวด 9 เดือนของปี 2567/68 (เมษายน - ธันวาคม 2567) มีจำนวนประมาณ 5.1 พันล้านบาท

KSS คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ชี้ MTC, TRUE, PLANB เด่น

KSS คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ชี้ MTC, TRUE, PLANB เด่น

              หุ้นวิชั่น - KSS คาด SET วันนี้“Sideways/Up” ต้าน 1295/1305 จุด รับ 1275/1270 จุด ประเด็นกำหนดทิศทางตลาดวันนี้เป็นบวก 1.) เงินบาทแข็งค่า 33.6 +/- บาท หลัง US Bond Yield 10 ปีลดลง -10 bps หลังคุณ Trump ลงนามใช้มาตรการภาษีเท่าเทียม(Reciprocal Tax) คาดว่าต้องใช้เวลาศึกษาก่อนมีผล 1 เม.ย. ทั้งนี้ ยังต้องตามปัจจัยนี้ที่กลายเป็นความเสี่ยงระยะกลาง ส่วนไทยแม้อยู่ในกลุ่มที่เก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ > ภาษีสหรัฐนำเข้าไทย แต่ไม่อยู่ในกลุ่มที่ปริมาณการค้า+เกินดุลสหรัฐล าดับต้น ท าให้ระยะแรกภาษีดังกล่าวน่าจะมีน้ำหนักไปทางยุโรป อินเดีย               นอกจากนี้ 2.) เงินเฟ้อผู้ผลิตมากกว่าคาด แต่ฝั่งสินค้าการแพทย์ ประกัน บริการการเงินลดลง บ่งชี้ภาพเงินเฟ้อ PCE ที่ Fed ให้น้ำหนักลดลง 3.) ภายในดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ม.ค. 25 สูงสุดใน 8 เดือน 4.) เห็นเม็ดเงินลงทุนภายในดูเป็นบวกขึ้น หลังรัฐฯเตรียมทบทวนปรับเงื่อนไขภาษีเพื่อดึงเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศเข้าประเทศ               ประเมินตลาดวันนี้ Sideways/Up หุ้นนำ คือ หุ้นธีม Yield ลดลงหนุน (ชิ้นส่วน โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง High Growth) และหุ้นในธีม 7 Value (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO)วันนี้แนะนำ MTC, TRUE, PLANB

MINTกำไรบริษัทลูกดีเกินคาด จับตาQ4เด้ง-เป้า34บาท

MINTกำไรบริษัทลูกดีเกินคาด จับตาQ4เด้ง-เป้า34บาท

           หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.ดาโอระบุว่า Minor Hotel Europe & Americas (เดิมชื่อ NH Hotel) เป็นบริษัทลูกของ MINT ถือ 96% ที่เป็นโรงแรมที่ยุโรป ประกาศกำไรปกติ 4Q24 อยู่ที่ 68.8 ล้านยูโร หรือราว 2.3 พันล้านบาท (ดีกว่าคาด) เพิ่มขึ้น +110% YoY แต่ลดลง -8% QoQ โดยมี RevPAR เพิ่มขึ้น +6% YoY และมี ADR เติบโตที่ +4% YoY, Occ. Rate ที่ 70% เพิ่มขึ้นจาก 4Q23 ที่ 68% (ที่มา: NH)            ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นบวกต่อ MINT จากกำไรของ NH ที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลให้กำไรปกติของ MINT ใน 4Q24E มีโอกาสออกมาราว 2.9-3.0 ล้านบาท ซึ่งดีกว่าตลาดคาดเฉลี่ยที่ 2.8 พันล้านบาท (ดีกว่าคาดราว 4-7%) ทำให้คาดว่ากำไรปกติของ MINT ที่จะออกวันนี้ช่วงเย็นจะดีกว่าที่ตลาดและเราคาด ทำให้เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายปี 2024E ที่ 34.00 บาท อิง DCF (WACC ที่ 7%, terminal growth ที่ 2.5%)

AOT คาดโตต่อ 22%  โบรกแนะซื้อ เคาะเป้า 64.50 บ.

AOT คาดโตต่อ 22%  โบรกแนะซื้อ เคาะเป้า 64.50 บ.

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ส่องหุ้น AOT โดยคงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย 64.50 บาท กำไรปี FY25F มีแนวโน้มโต +22%yy ตามการฟื้นของอุตฯ การบิน และมีUpside จากหลายโครงการที่คาดว่าจะชัดเจนขึ้น ในปีFY25F กำไรสุทธิ 1Q25 อยู่ที่5.3 พันลบ. เติบโต +17%yy +25%qq ตามปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบินที่ฟื้นตัว           ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิ 2Q25F (ม.ค.-มี.ค.25) โตต่อเนื่อง yy และ qq จากฐานต่ำในปีก่อนและเป็นไปตามฤดูกาล (สถิติการบิน ม.ค.-มี.ค. จะดีกว่า ต.ค.-ธ.ค.) เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิที่มากกว่า 6 พันลบ. +4%yy +12%qq ยังคงคาดกำไรสุทธิปี FY25F ที่ 23,356 ลบ. เติบโต +22%yy ภายใต้สมมติฐานปริมาณผู้โดยสาร 140.8 ล้านคน เติบโต +18%yy เทียบเท่า 99% to pre COVID และ ปริมาณเที่ยวบิน 880,815 เที่ยว เติบโต +21%yy เทียบเท่า 98% to pre COVID และคาดเงินปัน ผลจ่ายปี FY25F ที่ 0.82 บาท/หุ้น คิดเป็น Div yield 1.5%

INOX ปี 67 พลิกมีกำไร 350 ล้านบาท จากปี 66 ขาดทุน 73.1 ล้านบาท

INOX ปี 67 พลิกมีกำไร 350 ล้านบาท จากปี 66 ขาดทุน 73.1 ล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวเยาวพา โกเมนทักษิณ เลขานุการบริษัท บริษัท โพสโค-ไทยน๊อคซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ INOX แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทฯมีรายได้จากการขายเหล็กสเตนเลสรีดเย็นและการให้บริการ จำนวน 14,379.2 ล้านบาท (183,352 ต้น ณ ราคาขายถัวเฉลี่ย 78,424 บาทต่อต้น) ซึ่งสูงกว่ายอดขายของปี 2566 ที่มีจำนวน 14,067.4 ล้านบาท (162,091 ต้น ณ ราคาขายถัวเฉลี่ย 86,787 บาทต่อต้น) เท่ากับ 311.8 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 2.2 % ต้นทุนขายและให้บริการ สำหรับปี 2567 จำนวนเงิน 13,640.5 ล้านบาท ลดลง 118.4 ล้านบาทหรือ คิดเป็นลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับปี 2566 มีสาเหตุหลักจากราคาวัตถุดิบลดลง บริษัท ฯ มีกำไรขั้นต้น จำนวน 738.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 430.2 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีกำไรขั้นต้นจำนวน 308.4 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสำหรับปี 2567 จำนวน 456.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปี2566 กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับปี 2567 จำนวน 85.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.8 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 23.9 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายทางภาษีจำนวน 90.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้ทางภาษี 9.0 ล้านบาทกำไรสำหรับปี 2567 จำนวน 350.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 423.9 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีขาดทุนจำนวน 73.1 ล้านบาท โดยมี สาเหตุหลักมาจาก 1. กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 430.2 ล้านบาท 2. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นจำนวน 12.3 ล้านบาท 3. กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 61.8 ล้านบาท 4. ค่าใช้จ่ายทางภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น จำนวน 99.5 ล้านบาท

AOT กำไร Q1/68 โต 17.12% ผู้โดยสารพุ่ง 33.62 ล้านคน

AOT กำไร Q1/68 โต 17.12% ผู้โดยสารพุ่ง 33.62 ล้านคน

             หุ้นวิชั่น - AOT รายงานกำไรสุทธิไตรมาสแรกปี 2568 ที่ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781.27 ล้านบาท (+17.12% YoY) รับอานิสงส์ จำนวนเที่ยวบินโต 14.78% และ ผู้โดยสาร จำนวนผู้โดยสารรวมมีทั้งหมด 33.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16.41% จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งเสริมการตลาดด้านการบินผลักดันท่าอากาศยานก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้              บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) รายงานผลประกอบการสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ทอท.มีกำไรสุทธิจำนวน 5,344.30ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781.27 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.12 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายหรือการให้บริการเพิ่มขึ้น 1,956.27 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.45 จากการเพิ่มขึ้นทั้งรายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน 1,727.76 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.41 และรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน 228.51 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.65 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสาร รายได้อื่นเพิ่มขึ้น 160.37 ล้านบาท หรือร้อยละ196.22 ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 1,086.70 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.73 ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงาน ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ค่าใช้จ่ายอื่น ค่าจ้างภายนอก และค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษาในขณะที่ต้นทุนทางการเงินลดลง 65.04 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.40 สำหรับค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 266.72 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.23 สอดคล้องกับผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น โครงการที่อนุมัติก่อนวันที่ 30 กันยายน 2567 และยังมีผลถึงปัจจุบัน              1. โครงการกระตุ้นตลาดด้านการบินให้กับสายการบินที่เปิดเส้นทางการบินใหม่ (New Routes to Airlines) ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง เพื่อเป็นการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายทางด้านการบินและเป็นปัจจัยกระตุ้นให้สายการบินตัดสินใจเปิดให้บริการเส้นทางการบินใหม่ รวมถึงเป็นการกระตุ้นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินให้เร็วขึ้น โดยมีเงื่อนไขดังนี้: - ให้ส่วนลดกับสายการบินที่ทำการบินในเส้นทางการบินใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับเส้นทางการบินของสายการบินตนเองที่ทำการบินระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2562 - สายการบินจะต้องเริ่มทำการบินหลังวันเริ่มตารางการบินฤดูหนาว 2023 โดยต้องเป็นเที่ยวบินแบบประจำระหว่างประเทศและภายในประเทศ รวมถึงเที่ยวบินพิเศษสำหรับขนส่งผู้โดยสาร (Passenger Flight) - ระยะเวลาของโครงการเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2568 โดยให้ส่วนลดค่าบริการในการขึ้นลงของอากาศยาน ค่าบริการที่เก็บอากาศยาน และค่าบริการใช้สะพานเทียบเครื่องบิน ในปีที่ 1 ร้อยละ 95, ปีที่ 2 และปีที่ 3 ร้อยละ 75              2. โครงการสร้างแรงจูงใจและชดเชยให้สายการบินที่ย้ายการให้บริการไปยังอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยให้ส่วนลดค่าเข้าพื้นที่ท้องรับรองใหม่ที่อาคาร SAT-1 และส่วนลดด้านการบินเฉพาะเที่ยวบินที่มาใช้บริการ ณ อาคาร SAT-1 เท่านั้น ได้แก่ ค่าบริการในการขึ้นลงของอากาศยาน ค่าบริการที่เก็บอากาศยาน และค่าบริการใช้สะพานเทียบเครื่องบิน อัตราส่วนลดขึ้นอยู่กับระยะเวลาโครงการที่สายการบินเลือก ทั้งนี้ ระยะเวลาโครงการมีระยะ 1.5 ปี หรือ 3 ปี              3. การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ โดยเลื่อนชำระและแบ่งชำระส่วนต่างของค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละ และค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของเดือนพฤศจิกายน 2566 - เมษายน 2567 โดยเปรียบเทียบค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำกับค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละ ในกรณีที่ค่าผลประโยชน์ตอบแทนร้อยละน้อยกว่า ให้ชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนร้อยละ สำหรับส่วนต่างจะให้เลื่อนชำระออกไปเป็นระยะเวลา 6 เดือน จากวันครบกำหนดชำระตามระยะเวลาปกติ และแต่ละงวดแบ่งชำระได้ 12 เดือน โครงการที่อนุมัติในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 โครงการสนับสนุนการตลาดเพื่อเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ (Marketing Fund)              ณ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย โดย ทอท. จะให้ค่าสนับสนุนการตลาดกับสายการบินที่เปิดให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จำนวน 300 บาทต่อผู้โดยสาร 1 คนในเที่ยวบินนั้นๆ โดยสายการบินที่ได้รับสิทธิ์ต้องเป็นเที่ยวบินประจำระหว่างประเทศ เที่ยวบินพิเศษ รวมถึงเที่ยวบินไม่ประจำหรือเที่ยวบินเช่าเหมาลำระหว่างประเทศ นอกจากนี้ต้องเป็นสายการบินที่เปิดให้บริการเส้นทางนั้นๆ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2569 ทั้งนี้ เฉพาะเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารเท่านั้น ภาพรวมและเหตุการณ์สำคัญ              บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ดำเนินกิจการท่าอากาศยานในประเทศไทยทั้งหมด 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย โดยให้บริการสายการบินแบบประจำรวม 140 สายการบิน เป็นสายการบินขนส่งผู้โดยสารผสมขนส่งสินค้า 128 สายการบิน และขนส่งสินค้าอย่างเดียว 26 สายการบิน ปริมาณการจราจรทางอากาศของ ทอท. ระหว่างเดือนตุลาคม 2567 - ธันวาคม 2567 มีจำนวนเที่ยวบินรวม 204,549 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.78 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 117,333 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 87,216 เที่ยวบิน ส่วนจำนวนผู้โดยสารรวมมีทั้งหมด 33.62 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.41 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 20.85 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 12.77 ล้านคน              การเติบโตของปริมาณการจราจรทางอากาศในไตรมาสนี้ เกิดจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และได้รับปัจจัยหนุนจากช่วงวันหยุดยาว (Golden Week) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นจากทั้งกลุ่มตลาดระยะไกล (Long Haul) และกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short Haul) ซึ่งสอดคล้องกับสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association: IATA) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) ที่ประเมินไว้ว่าในปี 2568 อุตสาหกรรมการบินจะกลับมาเติบโตเทียบเท่ากับหรือมากกว่าในปี 2562 (ก่อนเกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19)              ทอท. ได้สนับสนุนนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐโดยมีโครงการส่งเสริมการตลาดด้านการบินและให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ทอท.มีเป้าประสงค์หลักในการผลักดันท่าอากาศยานในความรับผิดชอบให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการเป็นผู้ดำเนินการและจัดการ ท่าอากาศยานที่มีมาตรฐานระดับสากล เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ในระหว่างปี 2567-2570 ทอท มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการท่าอากาศยานที่มีประสิทธิภาพสูง (High Performance Airport Operator) โดยเน้นการพัฒนาความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร การจัดการความปลอดภัย และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ การพัฒนาท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ ทอท. - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2              ทอท.เปิดให้บริการอาคาร SAT-1 แล้วเมื่อเดือนกันยายน 2566 ทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี ซึ่งมีผู้โดยสารมาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ทอท.ได้เปิดใช้ทางวิ่งเส้นที่ 3 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินเพิ่มขึ้นจาก 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ให้สอดคล้องกับความสามารถในการรองรับ ผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจากอาคาร SAT-1 และ ทอท.อยู่ระหว่างดำเนินการปรับแบบงานก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคาร ผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก (East Expansion) เพื่อเพิ่มพื้นที่การให้บริการ ซึ่งจะรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านคนต่อปีเมื่อแล้วเสร็จ โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2568 และแล้วเสร็จในปี 2571 และเพื่อเตรียมความพร้อมในการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก ทอท.จึงขอคืนพื้นที่ประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์จำนวน 1,257.560 ตารางเมตร จาก บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด หรือคิดเป็นร้อยละ 4.97 ของพื้นที่ประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ทั้งหมดของ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด โดยมีผลนับตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3              ทอท.อยู่ระหว่างดำเนินการออกแบบเพื่อก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ และปรับปรุงอาคารผู้โดยสารในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านคนต่อปี เป็น 40 ล้านคนต่อปี และสามารถบริหารจัดการได้ 50 ล้านคนต่อปี โดยคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศแล้วเสร็จในปี 2573 และจะเสร็จสิ้นทั้งโครงการภายในปี 2576 - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1              ทอท.จัดทำแบบก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ และปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังเดิมเป็นอาคารผู้โดยสารในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 8 ล้านคนต่อปี เป็น 20 ล้านคนต่อปีเสร็จแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศแล้วเสร็จในปี 2571 และจะเสร็จสิ้นทั้งโครงการภายในปี 2576 - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2              ทอท.อยู่ระหว่างการจัดหาผู้รับจ้างสำรวจและออกแบบเพื่อก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 12.5 ล้านคนต่อปี เป็น 18 ล้านคน ต่อปี โดยคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2572 - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1              ทอท.อยู่ระหว่างการจัดหาผู้รับจ้างสำรวจและออกแบบเพื่อก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 3 ล้านคนต่อปี เป็น 6 ล้านคนต่อปี โดยคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2572 - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานหาดใหญ่              ทอท.อยู่ระหว่างการจัดหาที่ปรึกษาเพื่อทบทวนแผนแม่บทพัฒนาท่าอากาศยานให้สอดคล้องกับปริมาณการจราจรทางอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

ก.ล.ต. แจ้งผถห.กู้ NRF254A ใช้สิทธิประชุม 18 ก.พ.68

ก.ล.ต. แจ้งผถห.กู้ NRF254A ใช้สิทธิประชุม 18 ก.พ.68

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ NRF254A ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568           ตามที่บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) (NRF) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ NRF254A จะจัดให้มี  การประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 ณ ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไปอีก 2 ปี เป็นครบกำหนดวันที่ 20 เมษายน 2570 (2) เพิ่มอัตราดอกเบี้ย จากเดิม ร้อยละ 6.75 ต่อปี เป็น ร้อยละ 7.00 ต่อปี ในช่วงระยะเวลาที่ได้ขยายอายุหุ้นกู้ออกไป (3) แบ่งชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้ จำนวน 2 งวด โดยงวดแรกร้อยละ 10 ของมูลค่าหุ้นกู้ ในวันที่ 20 เมษายน 2568 และงวดที่ 2 จะชำระคืนส่วนที่เหลือในวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ขยายออกไป (4) ขอผ่อนผันให้การที่ผู้ออกหุ้นกู้เข้าเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน การเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้เพื่อเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาชำระหนี้ และแบ่งชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้ ไม่ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ (5) ขอผ่อนผันให้การที่ผู้ออกหุ้นกู้นำทรัพย์สินของบริษัทไปจำนอง ซึ่งไม่จำกัดเพียงเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ การ Refinance หรือการเจรจาผ่อนผัน หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินให้ไม่ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ           ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทน ผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย

SENA ปี 68 ลุยเปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่า 1.3 หมื่นลบ.

SENA ปี 68 ลุยเปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่า 1.3 หมื่นลบ.

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดแผนธุรกิจปี 2568 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Living Leader) มุ่งเน้นการพัฒนาและยกระดับการอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ ตอบโจทย์ทุกมิติของผู้บริโภค ภายใต้กลยุทธ์ "Refined Focus" ต่อยอดจุดแข็งของธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจหลัก พร้อมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลคุณภาพ ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบ รวม 12 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 15,500 ล้านบาท และยอดโอนกรรมสิทธิ์ 10,000 ล้านบาท           ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทาย ทั้งปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และโครงสร้างเศรษฐกิจที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว แต่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมียอด Pre-Sales สูงถึง 12,500 ล้านบาท โดยเฉพาะโครงการ LivNex เช่าออมบ้าน ที่มียอดขาย 1,900 ล้านบาท จาก 976 ยูนิต และมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 6,515 ล้านบาท พร้อมกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความสามารถและศักยภาพของเสนาในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง           สำหรับปี 2568 บริษัทเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ 12 โครงการ แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 11 โครงการ และโครงการแนวราบ 1 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท โดยยังคงเน้นตลาด Affordable Segment ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสนาครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 20% หรือมากกว่า 20,000 ยูนิต ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 15,500 ล้านบาท และยอดโอน 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้รวมสัดส่วนรายได้จากโครงการ LivNex                 เช่าออมบ้าน           เสนาพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2568 เพื่อก้าวข้ามทุกความท้าท้ายและยกระดับมาตรฐานของการเป็น ผู้นำด้านการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Living Leader) ผ่านกลยุทธ์ "Refined Focus" ที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การพัฒนา แต่คือการยกระดับโครงการและบริการที่มีอยู่ให้ดีที่สุด โดยแบ่งออกเป็น 4 แกนหลัก ดังนี้ No.1 in Affordable Market: เสนาเป็นผู้นำตลาด Affordable ปัจจุบันมีบ้านและคอนโดรวม 12,600          ยูนิต มูลค่ารวม 30,600 ล้านบาท ตอบโจทย์กลุ่มเรียลดีมานด์ ซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน คิดเป็น 54% ของครัวเรือนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เสนาเชี่ยวชาญในตลาดนี้และพร้อมยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยให้เข้าถึงได้จริง Strong Partnership: ความร่วมมือกับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พันธมิตรทางธุรกิจที่ยาวนานกว่า 9 ปี พัฒนาโครงการรวม 66 โครงการ มูลค่ากว่า 83,000 ล้านบาท ไม่เพียงเสริมศักยภาพทางการเงินเพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและไว้วางใจในการบริหารของเสนาด้วยธรรมาภิบาลที่ดี และมาตรฐานการพัฒนาโครงการที่ยั่งยืน และยังคงเดินหน้า จับมือร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยและเดินหน้าพัฒนาโครงการคุณภาพร่วมกัน SENA Eco System to Make Us Stronger: การขับเคลื่อนธุรกิจที่เสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ของกลุ่มธุรกิจหลัก SenX (เซ็นเอกซ์) – ยกระดับบริการอสังหาริมทรัพย์ด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี Customer-Centric Data Center: SenX ศูนย์ข้อมูลที่ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการกับเสนา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า Service Excellence: มุ่งเน้นคุณภาพบริการ โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญกว่า 16 ปี ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย Sustainable Management: ใช้ Smart Tech บริหารจัดการที่อยู่อาศัยในโครงการอย่างยั่งยืน เช่น ระบบ BMS, Carbon Monitoring, และ Waste Management ผ่านความร่วมมือกับ Recycle Day Smart Application: Always on Connectivity กับ แอปพลิเคชัน และเทคโนโลยีดิจิทัลในการบริการด้านที่พักอาศัย แบบ Seamless เพื่อให้ลูกบ้านสามารถใช้ชีวิตแบบ "LIFE SIMPLIFIED" ได้ในทุก ๆ วัน SENA Green Energy – ก้าวสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด The New S-Curve ขยาย SENA Green Automotive สู่การเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 3 แบรนด์ NETA, LEAP และ DEEPAL รองรับเทรนด์พลังงานสะอาดและอนาคตของการขับเคลื่อน SENA Solar Energy เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจร ด้วยประสบการณ์ติดตั้งมากกว่า 1,000 ครัวเรือน SENA Reforestation ตั้งเป้าปลูกป่า 2,000 ไร่ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ประมาณ 11,334 ตันต่อปี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนความยั่งยืนและการรักษาสิ่งแวดล้อม SENA Eco System ไม่ใช่แค่การพัฒนาโครงการ แต่คือการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน Sustainable Living Leadership มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ได้แก่ เดินหน้า แนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy House concept) พัฒนา 42 โครงการ รวมจำนวน 4,290 ยูนิต ลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่ต่ำกว่า 6,993 ตันคาร์บอนต่อปี อีกขั้นของการพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต บ้าน ZEH (Zero Energy House ) New Model บ้านเดี่ยวติดโซลาร์รูฟพร้อมแบตเตอรี่ กับ Segment High Class “Grand Serie” และ เตรียมเปิดตัวครั้งแรก ที่โครงการ เสนา พาร์ค แกรนด์ กม. 9 (SENA Park Grand Ramindra KM.9) ตอกย้ำความสำเร็จ SENA Low Carbon ด้วยการเปิดตัวครั้งแรก แฟล็กชิป คอนโดโลว์คาร์บอน พร้อมเข้าอยู่ 2 โครงการ คือ เฟล็กซี่ เมกะ สเปซ บางนา (Flexi Mega Space Bangna) และ นิช โมโน บางโพ (Niche Mono Bangpo) เสนาเป็นบริษัทอสังหาฯ รายแรกในไทยที่มุ่งมั่นปลดล็อกโอกาสการเข้าถึงที่อยู่อาศัยผ่านการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่และ Generation Rent ที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นทางการเงิน และมองหาทางเลือกที่อยู่อาศัยที่ไม่จำกัดแค่การซื้อขาด เสนาจึงได้เปิดตัว “LivNex” นวัตกรรมเช่าออมบ้าน เมื่อปีที่ผ่านมา และปีนี้พบ “RentNex” Subscription คอนโด โมเดลของวงการอสังหาฯ ซึ่งได้รับความสนใจและผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของแนวทางนี้อย่างชัดเจน โดยมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการ LivNex แล้วกว่า 976 ยูนิต มูลค่า 1,900 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนการเข้าถึงที่อยู่อาศัยให้เป็นจริงได้ในยุคที่เศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยตอบสนองความต้องการของตลาดและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน เดินหน้าบริการ V-Move, Smart Mobility concept นวัตกรรมที่ใช้รถพลังงานไฟฟ้าเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งเป้าพัฒนา 24 โครงการ แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 20 โครงการ และบ้าน 4 โครงการ ตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่ต่ำกว่า 11,720 ตันคาร์บอนต่อปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 1,172,006 ต้น The First EV Ready อสังหาฯ รายแรกของไทยที่ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ในโครงการบ้านและที่อยู่อาศัย และรวมถึงติดตั้ง EV Station ส่วนกลางรายแรก เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับยานยนต์แห่งอนาคต เดินหน้าพัฒนา Smart Application ต่างๆ ได้แก่ SENA 360 ให้บริการครอบคลุมทุกเรื่องของการซื้อที่อยู่อาศัย, Sen Prop ให้บริการลูกบ้านทุกเรื่องของการอยู่อาศัยในโครงการ และ Smartify Home ผู้ช่วยในการตกแต่งบ้านและคอนโด เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพการอยู่อาศัย           นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย นวัตกรรมทางการเงิน และ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้เสนาสามารถปรับตัวและรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคง และเสนาจะเดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องง่ายและเป็นไปได้จริงสำหรับทุกคน           “เสนาไม่ได้มุ่งมั่นแค่การเติบโตทางธุรกิจให้แข็งแกร่งทางการเงินเพื่อความมั่นคงขององค์กรเท่านั้น แต่เรายังเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คน เรามุ่งสร้างที่อยู่อาศัย ชุมชน และสังคมที่ช่วยลดคาร์บอน ผ่านนวัตกรรมและโซลูชันที่จับต้องได้ สิ่งที่เราภูมิใจที่สุด ไม่ใช่แค่การสร้างและขายบ้าน แต่คือการมอบ ‘Decarbonized Lifestyle’ ให้กับลูกบ้าน เพียงใช้ชีวิตตามปกติ ก็สามารถมีส่วนร่วมในการดูแลโลกได้ ในปีนี้เสนาตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนไม่น้อยกว่า 10,235 ตัน หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 1,020,000 ต้น ควบคู่ไปกับการตั้งเป้าเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่มีข้อจำกัดทางการเงินสามารถเป็นเจ้าของบ้านคุณภาพได้ง่ายขึ้น จำนวน 1,000 ยูนิต ภายใต้โครงการ ‘LivNex เช่าออมบ้าน’ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยสร้างความมั่นคงในชีวิต เสนาเชื่อว่าความยั่งยืนและการเติบโตทางธุรกิจต้องไปด้วยกัน รายได้สำคัญ การดูแลโลกก็สำคัญไม่แพ้กัน และเราจะเดินหน้าต่อไป ในฐานะ Sustainable Living Leader ที่สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม” ดร.ยุ้ย-เกษรา กล่าว           ทิ้งท้าย           ติดตามข่าวสารของ บมจ. เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้ที่ www.facebook.com/senadevelopmentpcl , www.sena.co.th หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายบริการลูกค้าสัมพันธ์ โทร 1775 [PR News]

JMART ชูธง JMT–สุกี้ตี๋น้อย  ตั้งเป้ากำไรโตต่อ

JMART ชูธง JMT–สุกี้ตี๋น้อย ตั้งเป้ากำไรโตต่อ

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มเจมาร์ท ทรานส์ฟอร์มนำเทคโนโลยีมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ หนุนปี 67 JMART คอนเฟิร์มตามนัด เข้าสู่สภาวะที่กลับมาเติบโต พลิกทำกำไรอยู่ที่ 1,140.8 ลบ. เพิ่มขึ้น 355% ชูธุรกิจ Lock Phone เป็นดาวรุ่งมาแรง สเกลได้ และความเสี่ยงต่ำ เสริมทัพกับธุรกิจบริหารหนี้ของ JMT ที่ยังคงบริหารจัดการได้ดีแม้ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว พร้อมคุม ECL รัดกุม ตั้งเป้าปีนี้กลับมาทำนิวไฮ พร้อมประกาศจับมือพาร์ทเนอร์รุก InsurTech ด้าน สุกี้ ตี๋น้อย ส่งกำไรกลับมาได้อย่างโดดเด่น รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากสัดส่วนการลงทุน 30% ที่ 350.7 ลบ. ตั้งเป้าปี 68 JMART ต่อจิ๊กซอว์ Ecosystem หนุนกำไรโตต่อเนื่องอีก 30%            นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานงวดปี 2567 มีรายได้จากการขายและบริการ 13,878.8 ล้านบาท กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น 1,140.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 355% จากปีก่อนหน้า และพลิกจากขาดทุน 447 ล้านบาทในปี 2566 แสดงถึงผลการดำเนินงานของบริษัทได้กลับเข้าสู่สภาวะของการเติบโต ด้วยกลยุทธ์ “The Power of Synergy” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้าง Ecosystem เชื่อมโยงธุรกิจในเครือในด้าน Commerce Tech และ FinTech  เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว ตั้งเป้ากำไร JMART ปีนี้เติบโต 30% จากปีก่อน            โดย บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (JMT) ผู้นำธุรกิจติดตามหนี้ และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ส่งกำไรให้ JMART มีผลประกอบการที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น 1,615.2 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 19.7% ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทมีการตั้งสำรอง (ECL) ที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัท ได้ปรับกลยุทธ์ เพิ่มมาตรการในการติดตามหนี้ด้อยคุณภาพให้ใกล้ชิดมากขึ้น ทำให้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2567 เป็นต้นมา ระดับของ ECL ที่ต้องสำรองลดลงอย่างชัดเจน และมีการจัดเก็บหนี้คุณภาพที่ดีขึ้นตามลำดับ ขณะที่ ในปี 2567 JMT มียอดจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 8,809 ล้านบาท (รวม JK AMC) ใช้เงินลงทุนซื้อหนี้อยู่ที่ 1,139 ล้านบาท ซื้อหนี้เข้ามาประมาณ 30,000 ล้านบาท สนับสนุนพอร์ตบริหารหนี้รวมอยู่ที่ 544,920 ล้านบาท            ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้ JMT เข้าร่วมทุนกับ บริษัท แอกซินัน (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของบริษัท Axinan จากประเทศสิงคโปร์ จัดตั้งการร่วมค้า (Joint Venture) โดย JMT ถือหุ้นในบริษัทร่วมค้าสัดส่วน 51% เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ และ InsurTech โดยความแข็งแกร่งของพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจประกันภัยในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้แบรนด์ “igloo” มีการขยายธุรกิจ InsurTech ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะสามารถใช้พลังจาก Ecosystem ขับเคลื่อน InsurTech ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ            นอกจากนี้ บริษัทที่ JMART เข้าไปลงทุนและสร้างการเติบโตอย่างโดดเด่น คือ สุกี้ ตี๋น้อย (Suki Teenoi) ภายใต้ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้นสัดส่วน 30% เท่ากับ 350.7 ล้านบาท จากผลกำไรสุทธิรวมของ Suki Teenoi 1,169 ล้านบาท (ไม่รวม การปันส่วนราคาซื้อ (PPA)) ในด้านรายได้ปี 2567 อยู่ที่ 7,029 ล้านบาท และสามารถรักษา Net Profit Margin อยู่ที่ 17%  สะท้อนกลยุทธ์การควบคุมต้นทุนและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดี โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 Suki Teenoi มีสาขาทั้งหมด 78 สาขา Teenoi BBQ (บุฟเฟต์ปิ้งย่าง) 1 สาขา และ Teenoi Express (บุฟเฟต์พรีเมียม) 1 สาขา จากปี 2567 ที่ผ่านมา Suki Teenoi มีสาขาจำนวน 55 สาขา โดยสาขาที่เปิดเพิ่มมีส่วนหนึ่งที่ได้เริ่มขยายออกไปต่างจังหวัด เช่น ชลบุรี ระยอง สุพรรณบุรี มหาสารคาม อุดรธานี และเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งเป็นทำเลที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการค่อนข้างหนาแน่น            พร้อมกับตั้งเป้าปีนี้ Suki Teenoi คาดว่าจะขยายสาขาประมาณ 26 สาขา  เพื่อเพิ่มยอดขายและกำไร และได้ดำเนินกิจกรรมการทางการตลาดร่วมกับกลุ่มบริษัทเจมาร์ทต่อเนื่อง โดยในเดือนมกราคมได้เปิดสาขาร่วมกับบริษัทในเครือ คือ Teenoi BBQ ที่ Jas Green Village คู้บอน และเดินหน้าสาขาอื่นๆ เพิ่มเติม            ด้าน บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแกนของ JMART ในการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าเทคโนโลยีและสมาร์ทโฟน ในปี 2567 มียอดขายอยู่ที่ระดับ 8,605 ล้านบาท และมีสาขาที่เปิดทั่วประเทศ 309 สาขา ประเมินปี 2568 สัญญาณดี ได้รับอานิสงส์ในช่วงต้นปีจากภาครัฐบาลไฟเขียว Easy E-Receipt 2.0 ให้ประชาชนนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2568  รวมทั้ง สินค้าแฟลกชิพจากภาพรวมตลาด AI Smartphone เข้ามากระตุ้นการเปลี่ยนผ่านของการใช้มือถือ รวมทั้ง การร่วมมือกับบริษัทในกลุ่มผลักดันยอดขายผ่านสินเชื่อมือถือ Lock Phone ทั้งในส่วนของ Samsung Finance+ โดยบริษัท เคบีเจ แคปปิตอล จำกัด และ SG Finance+ โดย บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง            บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (J) ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริการพื้นที่เชิงพาณิชย์ ล่าสุด ประกาศผลงานปี 2567 กวาดรายได้จากการขายและบริการกว่า 631 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากการรับรู้ 2 โครงการใหม่ที่ JAS Green Village ประเวศ และ รามคำแหง ด้านกำไรสุทธิทำได้เกือบ 166 ล้านบาท เดินหน้าแผนปี 2568 เน้นโฟกัสพื้นที่ศูนย์การค้าชุมชนซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 8 แห่ง มีพื้นที่รวมประมาณ 100,000 ตารางเมตร พัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งเป้ารายได้ปี 68 เติบโตอย่างต่อเนื่อง            สำหรับ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER รายงานผลการดำเนินงานปี 2567 มีรายได้ 2,538 ล้านบาท พลิกมีกำไรสุทธิ 14 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 3,210 ล้านบาท เนื่องจาก กลุ่มบริษัทฯ มีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตในธุรกิจสินเชื่อของบริษัทย่อย และการตั้งสำรองการลดลงของมูลค่าสินค้าในบริษัท รวมทั้งสินค้าล้าสมัยในสินค้าคงเหลือ ลดลงอย่างมีสาระสำคัญเมื่อเทียบกับปีก่อน ในด้านผลงานไตรมาส 4/2567 มีผลขาดทุน 61 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากรับรู้ค่าใช้จ่าย One time จากการปิดสถานที่ค่าเช่าหรือค่าบริหารที่ไม่ก่อให้เกิดกำไร ทำให้มีการตั้งสำรองค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์ ซึ่งประกอบไปด้วย สินค้าคงเหลือ เครื่องมือ อุปกรณ์ และ ผลขาดทุนด้านเครดิตของบริษัทย่อยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ภายหลังจากการจ่ายคืนหุ้นกู้ครบถ้วนเมื่อต้นเดือน กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาทำให้ SINGER ไม่มีต้นทุนทางการเงินจากหุ้นกู้อีกภายในปี 2568 นี้            โดยธุรกิจ Lock Phone ภายใต้บริษัท SGC ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่ทำผลงานได้ดีชดเชยกับยอดขายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลดลงจากการควบคุมนโยบายการอนุมัติของสินเชื่อในการควบคุมหนี้เสีย จึงตั้งเป้าในปี 2568 ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าจะขยายไปยัง Multi Brand และกลับมาโฟกัสตลาดมือถือให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และช่องทางการขายใหม่ๆ อีกทั้ง การไม่มีภาระจากการคืนหุ้นกู้ชุดสุดท้ายเรียบร้อยแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ สนับสนุนให้ต้นทุนทางการเงินในปีนี้ปรับตัวลดลง จึงคาดว่า SINGER กำไรเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ            บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC เปิดเผยถึง ความสำเร็จในการขยายธุรกิจใหม่ในปี 2567 สนับสนุนกำไรสุทธิอยู่ที่ 163 ล้านบาท พลิกฟื้นจากปี 2566 ขาดทุนอยู่ที่ 2,275 ล้านบาท ด้านรายได้รวมอยู่ที่ 1,955 ล้านบาท จากการนำเทคโนโลยีมาใช้ขยายธุรกิจ Lock Phone ทำให้สามารถสเกลได้ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้ง การควบคุมต้นทุนการบริหารจัดการและ Credit Cost ต่างๆ ที่มีการติดตามอย่างใกล้ชิด ในด้านการคืนเงินกู้จะเป็นปัจจัยบวกทำให้ปีนี้ SGC ต้นทุนทางการเงินลดลง            ในปี 2567 บริษัทมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 5,103 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 6,471 ล้านบาท โดยหลักมาจากการลดลงของสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของบริษัท มีสัดส่วนอยู่ที่เพียง  27% ของยอดสินเชื่อใหม่ ขณะที่ สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า (HP) สัดส่วน 4% จากการอนุมัติการปล่อยสินเชื่อรัดกุม และโฟกัสสินเชื่อ Lock Phone ที่เริ่ม Nation Wide ในเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา จนถึงสิ้นปีสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่รวมอยู่ที่ 3,246 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 63% ของยอดสินเชื่อใหม่ สะท้อนการเติบโตเชิงรุกในธุรกิจที่เป็นโอกาสมากขึ้น สนับสนุนพอร์ตสินเชื่อรวมในปี 2567 อยู่ที่ 14,408 ล้านบาท            โดยธุรกิจสินเชื่อ Lock Phone ภายใต้โครงการ SG Finance+ ในปี 2567 มีสัญญาทั้งหมดกว่า 343,000 สัญญา ผ่านเครือข่ายร้านค้าพันธมิตรเกือบ 6,000 แห่ง และพาร์ทเนอร์แบรนด์มือถือชั้นนำ OPPO – VIVO – XIAOMI – realme – Infinix และล่าสุด Honor  ในปี 2568 ยังคงโฟกัสสินเชื่อ Lock Phone เป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อระยะสั้น และมี NPL อยู่ในระดับต่ำ [PR News]