หุ้นวิชั่น- ตลาดหุ้นไทย (12/03/2568) ร่วงลงแรงเฉียด 30 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย จากความกังวลต่อสงครามการค้าจากสหรัฐฯ มีความเสี่ยงกระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจรุนแรงกว่าคาด หากมีการตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศ เห็นได้จาก Trump ประกาศปรับเพิ่มภาษีเหล็ก และอลูมิเนียมต่อแคนาดา สูงขึ้น 2 เท่าเป็น 50% เพื่อตอบโต้ กรณีแคนาดาประกาศปรับขึ้นภาษีค่าไฟฟ้า 25% ต่อสหรัฐฯ ก่อนที่สุดท้ายทั้ง 2 ประเทศต่างระงับมาตรการดังกล่าวออกไป
ทั้งนี้มีแรงเทขายในหุ้นขนาดใหญ่หลายตัว ไม่ว่าจะเป็น TRUE, AOT, PTT, ADVANC, DELTA, KBANK, GULF, INTUCH, CPALL เนื่องจากนักลงทุนยังคงขาดความเชื่อมั่น จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ไม่เห็นผลต่อเศรษฐกิจมากนัก โดยเฉพาะมาตรการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท เฟส 3 ขณะที่แรงหนุนจากกองทุนใหม่ หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (THAI ESG EXTRA หรือ TESGX) ส่งผลบวกต่อตลาดวานนี้เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น เนื่องจากเม็ดเงินใหม่จาก TESGX จะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงกำหนดเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนในเดือนพ.ค.-มิ.ย.68
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI คาดว่า น่าจะมีเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพียงครึ่งเดียวที่จะย้ายมาลงทุนใน TESGX ใหม่ ส่วนเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนใน TESGX น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยเชื่อว่าการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี อาจเป็นความพยายามของรัฐที่จะชดเชยประเด็นความล่าช้าในการแจกเงินให้กับคนไทยที่มีอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคนภายใต้โครงการดิจิทัล วอลเล็ตเฟส 3 ซึ่งรัฐบาลวางแผนจะแจกเงินในช่วงไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3/68 นี้ ขณะที่การแจกเงินเฟส 4 ให้กับคนไทยที่มีอายุ ระหว่าง 21-60 ปียังไม่แน่นอน
สำหรับกองทุน LTF ที่ไม่ได้ย้ายไป Thai ESGX ซึ่งน่าจะเหลืออีกประมาณ 9 หมื่นล้านบาท สามารถขายคืนได้ตลอดเวลา จึงยังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าถึงแม้สิทธิประโยชน์ทางภาษีล่าสุดที่รัฐบาลเพิ่งประกาศออกมาน่าจะช่วยให้ sentiment ของตลาดดี ขึ้น แต่ยังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,380 จุด เท่ากับ P/E 14 เท่า ในปี 69 หรือ -2SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี เพื่อสะท้อนปัจจัยลบทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นจึงยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและหุ้นในกลุ่มปลอดภัย
นอกจากนี้ ยังมองว่าหุ้นที่มีราคาร่วงลงแรงก่อนหน้านี้น่าจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าเมื่อ sentiment ตลาดกลับมาฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย และการที่สหรัฐฯอาจปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยยังเป็น downside risk ส่วนสิทธิประโยชน์ทางภาษีใหม่น่าจะช่วยหนุนตลาด
คาดมีเม็ดเงินใหม่เข้า TESGX ราว 3 หมื่นลบ.
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และกรรมการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานแถลงข่าวสรุปภาวะตลาดหุ้นไทยเดือนก.พ.68 ว่า คาดจะมีเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาประมาณ 20,000 – 30,000 ล้านบาท ในช่วงที่ TESGX เปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนช่วงเดือนพ.ค. – มิ.ย. นี้
ส่วนเม็ดเงินที่ย้ายจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เดิม ยังคาดหวังให้มูลค่าเม็ดเงินย้ายเข้ามามากที่สุด โดยปัจจุบันคาดว่าวงเงินมูลค่าคงค้าง LTF อยู่ระดับต่ำกว่า 180,000 ล้านบาท จากภาวะตลาดที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบัน
กระบวนการจัดตั้งกองทุนใหม่ TESGX ฝั่งบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียน (บลจ.) จะต้องยื่นไฟลิ่งกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อจัดตั้งกองทุนดังกล่าว ซึ่งแต่ละบลจ.อาจจัดตั้งกองทุน TESGX หลายกอง แต่ด้วยนโยบายที่ต้องลงทุนหุ้นไทยในสัดส่วน 65% คาดว่าจะมีจำนวนกองที่น้อยลง ขณะที่กระบวนจัดตั้งคาดว่าจะแล้วเสร็จและนักลงทุนสามารถทราบชื่อได้ตั้งแต่ช่วงเดือนเม.ย. 68 และเริ่มเปิดขายได้ในช่วงเดือนพ.ค. – มิ.ย. 68