เจาะ 8หุ้น น่าทยอยสะสม รับแรงกระแทก Trade war มากเกินไป

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ระบุ วานนี้ (4 ก.พ. 68) คำสั่งของสหรัฐฯ ในการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% มีผลบังคับใช้แล้ว ก่อนที่เวลาต่อมา รัฐบาลจีนตอบโต้กลับ ประกาศมาตรการทั้ง TARIFF และ NON-TARIFF ดังนี้

  • จีนเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 10-15% (รวมราว 80 รายการ) เริ่ม 10 ก.พ. 68 โดยจะเก็บภาษีในสินค้ากลุ่มถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลวในอัตรา 15% (รวมมูลค่า $4.4 BLN) และกลุ่มสินค้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ทางการเกษตร และรถยนต์บางรุ่น ในอัตรา 10% (รวมมูลค่า $9.5 BLN)
  • จีนประกาศจะสอบสวน “GOOGLE” ในกรณีละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาด รวมถึงเพิ่มชื่อบริษัทไว้ในบัญชีดำ ได้แก่ บริษัท PVH (เจ้าของ CALVIN KLEIN) และบริษัท ILLUMINA

          หากพิจารณามาตรการ จีนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ” มีเป้าหมายควบคุมการส่งออกทังสเตนและโลหะสำคัญอื่น ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การบิน และการป้องกันประเทศ โดยมีมูลค่ารวมราว $14 BLN ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับ สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าจากจีน” มูลค่าราว $525 BLN

ในแง่มุมของผลกระทบต่อการพึ่งพิงการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ

  • จีน” มีสัดส่วนราว 13%
  • ไทย” มีสัดส่วนราว 17%

ในระยะถัดไป หากสถานการณ์การตอบโต้ทางการค้า (TARIFF) และไม่ใช่ทางการค้า (NON-TARIFF) ไม่รุนแรงขึ้น รวมถึงมีการเจรจากันระหว่างประเทศ คาดว่าจะช่วยลดแรงกดดันจาก TRADE WAR ลงไปได้

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสหรัฐฯ ทาง ปธน. TRUMP จะสนทนาทางโทรศัพท์กับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในวันที่ 4 ก.พ. 68 ส่วนประเทศไทย รัฐบาลไทยเตรียมประเด็นเจรจา ยอมเพิ่มนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ (เอทานอล-สินค้าเกษตร) พร้อมเล็งเพิ่มความสัมพันธ์ทางทหารเพื่อลดผลกระทบจากการถูกขึ้นภาษี โดยกระทรวงพาณิชย์มีกำหนดการเยือนสหรัฐฯ วันที่ 4-8 ก.พ. 68

 

ตลาดหุ้นไทยตื่นตระหนก TRADE WAR 2.0 เกินไปหรือเปล่า?

หลังจากที่ TRUMP มีการเจรจากับประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นการปรับขึ้น TAX TARIFF จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีประเด็นด้วย คือ ประเทศที่สหรัฐฯ มีมูลค่าการนำเข้าเกิน 10% ทุกประเทศ อาทิ MEXICO, CHINA, CANADA และ EUROPE

ดังนั้น โอกาสที่ไทยถูกตั้งกำแพงภาษีอาจไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เพราะ สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยในสัดส่วนแค่ 2.2% เท่านั้น

ขณะที่หากพิจารณาช่วงปี 2018 ซึ่งเกิด TRADE WAR 1.0 จะเห็นได้ว่า รายได้ทั้งหมดของบริษัทใน SET INDEX ไม่ได้ลดลง แถมเติบโตด้วยซ้ำ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 12.6 ล้านล้านบาท เติบโต 11% YOY อีกทั้ง MARKET CAP/รายได้ ปัจจุบันอยู่ต่ำเพียง 0.88 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 10 ปีที่ 1.24 เท่า

และหากดูผลตอบแทนเปรียบเทียบของดัชนีต่าง ๆ ในช่วง TRADE WAR 1.0 จะเห็นได้ว่า SET -10.8% ซึ่งน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นอย่าง MEXICO, CANADA, CHINA

แต่ในภาวะปัจจุบัน หรือ TRADE WAR 2.0 ตลาดหุ้นไทย (SET) กลับเกิด PANIC SELL และปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นที่กำลังถูกสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษี เช่น MEXICO, CANADA, CHINA ทั้งในช่วงเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่ TRUMP เข้ารับตำแหน่งถึงปัจจุบัน) และในสัปดาห์นี้ (WTD) ดังรูปด้านล่าง

 

ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ จึงคาดว่า หุ้นใน SET ที่ปรับตัวลงลึกตั้งแต่ 5 พ.ย. 67 – 4 ก.พ. 68 และรับแรงกระแทกจากประเด็น TRADE WAR 2.0 ไปมากแล้ว เช่น
KCE, TOP, HANA, GLOBAL, SCGP, BGRIM, BH, ITC ถือเป็นโอกาสทยอยสะสม เพื่อหวังผลกำไรในระยะกลาง-ยาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

SMPC ถังแก๊สกำไรพุ่ง61% จัดเต็มจ่ายปันผล 0.27 บาท 

SMPC ถังแก๊สกำไรพุ่ง61% จัดเต็มจ่ายปันผล 0.27 บาท 

SCGP กำไรปี67 ทรุด 30% กัดฟันปันผลอีก 30 สตางค์ 

SCGP กำไรปี67 ทรุด 30% กัดฟันปันผลอีก 30 สตางค์ 

หุ้นกู้ SENA ผู้เล่นอสังหาฯที่ปรับตัวตาม เมกะเทรนด์ [HoonVision x FynnCorp]

หุ้นกู้ SENA ผู้เล่นอสังหาฯที่ปรับตัวตาม เมกะเทรนด์ [HoonVision x FynnCorp]

SUN คาดปี68 โต 16% ชี้ราคาหุ้นไม่แพง เคาะ “ซื้อ”

SUN คาดปี68 โต 16% ชี้ราคาหุ้นไม่แพง เคาะ “ซื้อ”

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด