ธนาคารไทยเครดิต ทำสถิติกำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 เพิ่มขึ้น 41.7% จากการเติบโตของสินเชื่อและการบริหารความเสี่ยง แม้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวทั่วถึง ขณะที่ NPL เพิ่มขึ้น 16.1% สู่ 7,098.5 ล้านบาท หรือ 4.5% หลังสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ แต่ยังคงบริหารจัดการได้ดี
ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2567 ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิทำนสถิติสูงสุดใหม่เท่ากับ 1,161.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องร้อยละ 41.7 เทียบกับ 820.1 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยหลักจากการที่ธนาคารฯ สามารถรักษาอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวทั่วทุกภาคส่วน รวมถึงผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของเงินให้สินเชื่อลดลง จากการบริหารจัดการด้านความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สัดส่วนเงินให้สินเชื่อ stage 2 และ stage 3 ต่อเงินให้สินเชื่อรวมลดลง และลูกหนี้บางส่วนสามารถปรับชั้นไป stage 1 ได้ภายหลังช่วงระยะเวลา monitoring ประกอบกับผลกระทบจากส่วนสูญเสียจากการขาย NPL ลดลง เนื่องจากการปรับแผนลดการขาย NPL ตามคุณภาพหนี้ที่เริ่มดีขึ้น นอกจากนี้ธนาคารฯ ยังมีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารฯ ที่อยู่ในระดับที่ร้อยละ 39.9 ในไตรมาส 3 ปี 2567
ทั้งนี้ อัตราส่วนต่างอัตรารายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2567 เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2567 ของธนาคารฯ ยังแข็งแกร่งอยู่ที่ร้อยละ 8.7 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2 ปี 2567 อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯ ยังคงดำเนินงานอย่างรัดกุมเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือน ปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารฯ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2 ปัจจัยหลักจากเงินให้สินเชื่อที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของธนาคารลดลงร้อยละ 13.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ของเงินให้สินเชื่อชั้นที่ 2 ที่เป็นผลกระทบเพียงครั้งเดียวจากการสิ้นสุดมาตรการผ่อนผันการจัดชั้นสินเชื่อที่ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 โดยสินเชื่อดังกล่าวจะสามารถจัดชั้นกลับเป็นสินเชื่อปกติได้หลังจากลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 งวด ส่งผลให้ ECL เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารฯ ยังสามารถบริหารจัดการได้ที่อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 38.8 ในงวด 9 เดือน ปี 2567 รวมถึงอัตราส่วนต่างอัตรารายได้ดอกเบี้ยสุทธิในงวด 9 เดือน ปี 2567 ของธนาคารฯ ยังแข็งแกร่งในระดับสูงที่ร้อยละ 8.6
ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับเงินให้สินเชื่อเท่ากับ 10,413.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 540.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.5 จาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับร้อยละ 146.7 ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ลดลงจากร้อยละ 161.4 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566
สินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs) และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs ratio)
สินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 จากเดิม 6,115.6 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็น 7,098.5 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs ratio) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดิมร้อยละ 4.2 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็นร้อยละ 4.5 ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 ตามการคาดการณ์ของธนาคารฯ ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่บริหารจัดการได้ โดยมีสาเหตุหลักมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จาก ธปท. หมดโครงการลงในปี 2566 ส่งผลให้สินเชื่อด้อยคุณภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจในประเทศภาพรวมที่ยังคงไม่แน่นอน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ธนาคารฯ เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเมือง
เงินรับฝากของธนาคารฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 เท่ากับ 125,693.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,932.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.6 จากสิ้นปี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตอย่างมากในผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำเพิ่มขึ้น 9,135.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.4 ซึ่งสอดคล้องกับเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารฯ มีการเปิดสาขารับเงินฝากเพิ่มในต้นปี 2567 ทั้งนี้ ลูกค้าเงินฝากยังคงมีการฝากเงินกับธนาคารฯ อย่างต่อเนื่อง โดย Rollover rate สำหรับลูกค้าบัญชีเงินฝากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 95.0
สัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ต่อเงินฝากรวม (CASA) เท่ากับร้อยละ 29.1 ใกล้เคียงกับสิ้นปี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากของธนาคารฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 125.4 ณ วันที่ 30 กันยายน 2567