หุ้นวิชั่น – BEM โบรกมองกำไร Q4/67 โต YoY เคาะเป้าสูงสุด 11.40 บาท/หุ้น
บล.กรุงศรี คาดกำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น YoY ใน Q4/2567 นำโดยธุรกิจรถไฟฟ้า
คาดกำไร บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ในไตรมาส 4/2567 จะอยู่ที่ 903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YoY แต่ลดลง 15% QoQ การลดลง QoQ จะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะไม่มีรายได้เงินปันผลจากบริษัทร่วม TTW ในไตรมาส 4/2567 การเติบโต YoY จะขับเคลื่อนโดยรายได้ที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ธุรกิจรถไฟฟ้า สมมติฐานหลักสำหรับไตรมาส 4/2567 ได้แก่ 1.รายได้จะเติบโต 6% YoY และ 2% QoQ เป็น 4.4 พันล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจรถไฟฟ้า ซึ่งจะคิดเป็น 42% ของรายได้กลุ่ม (+14% YoY, +4% QoQ) ขับเคลื่อนโดยจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นค่า โดยสาร อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 45% จาก 44% ในไตรมาส 3 ปี 2567 เนื่องจาก leverage ในการดำเนินงาน การควบคุมต้นทุนบ่งชี้ว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/รายได้จะอยู่ที่ ระดับไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ 7.3% และปรับตัวดีขึ้นจาก 7.7% ในไตรมาส 4/2566 ซึ่งหมายความว่าค่าใช้จ่าย SG&A ควรเพิ่มขึ้น 1% YoY และ 5% QoQ
*คงการเติบโตของกำไรปี 2567 ไว้ที่ 11% กำไรจะอยู่ที่ 3.8 พันล้านบาท
กำไรไตรมาส 4/2567 จะทำให้กำไรทั้งปีอยู่ที่ 99% ของประมาณการทั้งปีของเรา ดังนั้นเราจึงยังคงการเติบโตของกำไรไว้ที่ 11% สำหรับปี 2567 และ 7.7% หรือ 4,149 ล้านบาท YoY สำหรับปี 2568 โดยปัจจัยหนุนจากธุรกิจรถไฟฟ้า
ยังคงคำแนะนำ ซื้อ และราคาเป้าหมาย 10.4 บาท สำหรับ BEM การปรับตัวลงอย่างรวดเร็วของราคาหุ้นในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา มีสาเหตุมาจากความกังวลเกี่ยวกับการซื้อคืนสัมปทานโดยรัฐบาล ความล่าช้าในการลงนามโครงการทางด่วน 2 ชั้น และการชะลอตัวของกำไรในปีนี้ แรงกดดันเหล่านี้จะยังคงจำกัดราคาหุ้นในระยะสั้น
บล.ดาโอ คาดไตรมาส 4/2567 ชะลอ QoQ เนื่องจากไม่มีเงินปันผล แต่โดยรวมใกล้เคียงคาด
ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 ที่ 864 ล้านบาท (+1% YoY, -19% QoQ) ซึ่งใกล้เคียงกับกรอบที่ได้ประเมินเบื้องต้น โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้:
- รายได้เติบโต +4% YoY และทรงตัว +0.1% QoQ โดยผู้โดยสารรถไฟฟ้าทำสถิติสูงสุดใหม่รายไตรมาสที่ 4.5 แสนเที่ยว/วัน (+7% YoY, +2% QoQ) และผู้ใช้ทางด่วนทรงตัวที่ 1.1 ล้านเที่ยว/วัน (-0.5% YoY, +0.3% QoQ) ขณะที่รายได้ธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์ (7% ของรายได้รวม) เพิ่มขึ้น +13% YoY, +12% QoQ จากความต้องการใช้สื่อโฆษณาปรับตัวดีขึ้นและอานิสงส์จาก high season
- GPM อยู่ที่ 45.2% ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 4/2566 ที่ 46.3% แต่ดีขึ้นจากไตรมาส 3/2567 ที่ 44.4% ปรับตัวลง YoY เนื่องจากในไตรมาส 4/2566 มีการเลื่อนค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงทางด่วนบางส่วน ขณะที่ปรับตัวขึ้น QoQ เป็นไปตามการขยายตัวของผู้ใช้บริการ
- SG&A/Sale อยู่ที่ 7.8% ปรับขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 4/2566 ที่ 7.7% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2567 ที่ 7.1% จากค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานและ PR
- รายได้อื่นลดลง -82% QoQ เนื่องจากไม่มีเงินปันผลจาก TTW ซึ่งบันทึกในไตรมาส 2 และ 3 ของปี
คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567-2568 ที่ 3.7 พันล้านบาท และ 4 พันล้านบาท (+8% YoY, +6% YoY) หากกำไรไตรมาส 4/2567 เป็นไปตามที่ได้ประเมิน จะส่งผลให้กำไรปี 2567 อยู่ที่ 3.8 ล้านบาท (+9% YoY) ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์เล็กน้อย +1%
สำหรับไตรมาส 1/2568 เบื้องต้นคาดการณ์กำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง YoY จากปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าสูงขึ้น อานิสงส์จากการเปิดโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า เช่น One Bangkok ภาคท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น และรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ทยอย ramp up ขณะที่คาดการณ์กำไรสุทธิจะทรงตัว QoQ จากการเริ่มเข้าสู่ช่วงปิดเทอม ส่วนมาตรการรถไฟฟ้าฟรี 7 วัน มองกระทบจำกัดเนื่องจากเป็นมาตรการระยะสั้นและมีโอกาสที่รัฐจะไม่ชดเชยปริมาณผู้โดยสารส่วนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการ
คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 11.40 บาท อิง SOTP โดยมองว่าราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่สะท้อนทิศทางกำไรปี 2567-2568 ที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ อีกทั้งมี catalyst จากความคืบหน้าโครงการ Double Deck ในครึ่งปีแรกของปี 2568 และการเริ่มเจรจาสัญญาเดินรถสายสีม่วงใต้ในปี 2568
บล.เคจีไอ คาด BEM พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง
ฝ่ายวิจัย ระบุ ประมาณการไตรมาส 4/2567 และปี 2567 ผู้โดยสารเฉลี่ยรายวันและรายได้จากการจำหน่ายบัตรโดยสารรถไฟฟ้าในไตรมาส 4 เพิ่มขึ้น 2% QoQ และ 4% QoQ ตามลำดับ ส่งผลให้ตัวเลขปี 2567 อยู่ที่ 4.27 แสนคน (+9.4% YoY) และ 12 ล้านบาท (+13.7%) ตามลำดับ ส่วนปริมาณรถเฉลี่ยต่อวันและรายได้ในไตรมาส 4/2567 และปี 2567 ยังคงทรงตัว YoY ที่ 1.12 ล้านคน และ 25.5 ล้านบาท โดยปกติแล้วไตรมาส 4 และ 1 ของปีจะเป็นช่วง low season ของธุรกิจ เนื่องจากไม่มีเงินปันผลรับ
สรุป ประมาณการกำไรไตรมาส 4/2567 จะลดลง 18% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 2% YoY อยู่ที่ 875 ล้านบาท ดังนั้นกำไรปี 2567 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.8 พันล้านบาท (+9%YoY)
*คาดว่าโครงการทางด่วนยกระดับจะมีการลงนามในปีนี้
BEM คาดว่าโครงการทางด่วนยกระดับที่รอคอยมานานมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท จะมีการลงนามพร้อมกับการแก้ไขระยะเวลาสัมปทานและรูปแบบการแบ่งรายได้เพื่อรองรับแนวคิดของรัฐบาลในการลดค่าผ่านทางเฉลี่ยลงอยู่ที่ 50 บาทต่อเที่ยวสำหรับโครงข่ายวงในโดยรอบ (FES, SES: ส่วน A และ B) แต่อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวอาจล่าช้ากว่าที่คาดไว้เดิมในไตรมาส 1/2568 หากสมมติว่าปริมาณรถเฉลี่ยต่อวันยังคงอยู่ที่ 1.12 ล้านคันรายได้รวมอาจลดลง 7% เมื่อการแบ่งรายได้กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปลี่ยนจาก 40:60 เป็น 50:50 แต่อย่างไรก็ดีมีความเป็นไปได้ที่ปริมาณรถเฉลี่ยต่อวันอาจเพิ่มขึ้น ผลจากค่าผ่านทางลดลงน่าจะช่วยชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้บ้าง
*ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายอยู่ระหว่างการจัดทำนโยบาย
รัฐบาลจะใช้กองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม (Joint Ticket System Promotion Fund) ภายใต้พ.ร.บการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมฉบับใหม่ เพื่อชดเชยรายได้ที่สูญเสียไปให้กับผู้ประกอบการเอกชนหลายราย โดยที่ก่อนหน้านี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมประเมินการใช้งบประมาณราว 1.6 หมื่นล้านบาทเพื่ออุดหนุนเส้นทางรถไฟทั้งหมดตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 จนถึงสิ้นสุดวาระของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งเหลือเวลาอีกประมาณสองปีจากนี้ ส่วนในระยะยาวกระทรวงฯ กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อซื้อคืนสิทธิในการเดินรถจากผู้รับสัมปทานเอกชน ทั้งนี้ ต้นทุนของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท คิดเป็น 2 เท่าของสินทรัพย์รวมของ BEM และ 3 เท่าของหนี้สินสุทธิหากรัฐบาลซื้อคืนสายสีน้ำเงินและเปลี่ยนสัมปทานจาก net cost เป็น gross cost แล้ว BEM จะมีเงินสดส่วนเกินก้อนใหญ่เข้ามา อย่างไรก็ตาม เรายังไม่เห็นความคืบหน้าในประเด็นนี้
ยังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมาย SOTP ที่ 11.20 บาท (ใช้ WACC ที่ 6% และ terminal growth ที่ 1%) จากธุรกิจหลัก 9.00 บาท อีก 0.80 บาทจากการลงทุนใน Thai TTW (TTW.BK/TTW TB) และ CK Power (CKP.BK/CKP TB) บวกกับ 1.40 บาท จากรถไฟฟ้าสายสีส้ม ปัจจุบัน BEM เทรดที่ระดับ -1.5SD ของค่าเฉลี่ย PE (ก่อน COVID) ทั้งนี้ประมาณการของเราอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามการแก้ไขสัมปทานของ BEM ที่กำลังจะเกิดขึ้น
*Risk
ความรวดเร็วในอัตราการเติบโตของ GDP, ความล่าช้าจากการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีและการเริ่มดำเนินการโครงการใหม่ๆ การแก้ไขสัญญาต่างๆ การปรับเปลี่ยนฎระเบียบต่างๆ ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทย
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดกำไรไตรมาส 4/2567 เติบโต YoY แต่ลดลง QoQ
ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 4/2567 ของ BEM ที่ 899 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% YoY โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT (สายสีน้ำเงิน) ที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นค่าโดยสาร แต่ลดลง 15.7% QoQ เนื่องจากไม่มีการบันทึกรายได้เงินปันผลใน ไตรมาส 4/2567 รายได้จากธุรกิจทางด่วน (51% ของรายได้รวม) น่าจะอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท ลดลง 0.4% YoY ซึ่งเป็นผลมาจากการปิดทางด่วนบางส่วน และลดลง 1.1% QoQ จากปัจจัยฤดูกาล เนื่องจากในไตรมาส 4/2567 มีวันหยุดมากกว่าไตรมาสก่อนหน้า
รายได้จากธุรกิจรถไฟฟ้า MRT (42% ของรายได้รวม) น่าจะอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.7% YoY และ 3.4% QoQ โดยได้แรงหนุนจากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น และการปรับขึ้นค่าโดยสารตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 รายได้จากธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์ (7% ของรายได้รวม) น่าจะอยู่ที่ 337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% YoY และ 9.4% QoQ โดยเติบโตตามจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น เมื่ออิงกับตัวเลขกำไรไตรมาส 4/2567 ที่ประเมินได้ กำไรสุทธิปี 2568 จะอยู่ที่ 3.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการกำไรเต็มปีของเรา BEM จะประกาศผลประกอบการวันที่ 26 กุมภาพันธ์
อัพเดทปริมาณจราจรในปี 2567 ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.1 ล้านเที่ยว/วัน ทรงตัว YoY ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนได้รับผลกระทบจากการปิดทางด่วนบางส่วนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 ถึงเดือนพฤษภาคม 2568 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับประมาณการของเราที่คาดว่าปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนจะอยู่ในระดับทรงตัวในปี 2567 จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT (สายสีน้ำเงิน) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 426,900 เที่ยว/วัน เพิ่มขึ้น 9.4% YoY ใกล้เคียงกับสมมติฐานของเราที่คาดว่าจะเติบโต 10%
คงประมาณการกำไรปี 2568 ไว้ที่ 4.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.9% YoY ประมาณการอิงกับการคาดการณ์ว่าปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนเฉลี่ยต่อวันจะเพิ่มขึ้น 1.1% ดีขึ้นจากที่อยู่ในระดับทรงตัวในปี 2567 โดยอิงกับการคาดการณ์ว่าจะมีการกลับมาเปิดใช้งานทางด่วนครบทั้งหมดในเดือนพฤษภาคม 2568 นอกจากนี้คาดว่าจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT เฉลี่ยต่อวัน (สายสีน้ำเงิน) จะเพิ่มขึ้น 7.5% YoY และจะได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับขึ้นค่าโดยสารเต็มปี (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567)
ยังคงคําแนะนํา OUTPERFORM สําหรับ BEM โดยให้ราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี SOTP ที่ 10.5 บาท/หุ้น (8.2 บาท/หุ้น สําหรับธุรกิจหลัก, 1.5 บาท/หุ้น สําหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และ 0.8 บาท/หุ้น สําหรับเงินลงทุนใน TTW และ CKP) โดยชอบ BEM เนื่องจากกําไรมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีแนวโน้ม upside จากโครงการ double deck ซึ่งยังไม่ได้นํามารวมไว้ในประมาณการ
บล.เอเซีย พลัส คาด กำไร Q4/2567 นิ่ง แม้รายได้เพิ่ม
ฝ่ายวิจัยคาดว่า BEM จะมีกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 4/2567 ที่ 859 ล้านบาท ลดลง 20% QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลที่ไตรมาส 4 มีวันหยุดมากกว่าไตรมาส 3 อีกทั้งในไตรมาสนี้ไม่มีรายได้เงินปันผลจาก TTW เหมือนในไตรมาส 3 ขณะที่กำไรทรงตัวเมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 4/2566 แม้ภาพรวมรายได้จากธุรกิจหลักยังเติบโตได้ดี แต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงและค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานที่มากกว่าปีก่อนมาหักล้าง
สำหรับงวดไตรมาส 4/2567 ประเมินรายได้รวมที่ 4,383 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YoY โดยธุรกิจที่เติบโตสูงสุดคือธุรกิจระบบราง คาดรายได้ 1,777 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% YoY โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพิ่มขึ้น 6.8% YoY เฉลี่ยอยู่ที่ 445,000 เที่ยว/วัน และมีค่าโดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 8.7% YoY อยู่ที่ 29.8 บาท/เที่ยว หลังจาก BEM ได้รับอนุมัติให้ปรับขึ้นค่าโดยสารตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ส่วนค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นไปตามสัญญาจ้างที่แต่ละปีจะมีงานซ่อมบำรุงไม่เท่ากัน
ธุรกิจที่มีรายได้เติบโตรองลงมาคือธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์ คาดรายได้ 333 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoY เติบโตตามจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่วนธุรกิจทางพิเศษมีรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 2,273 ล้านบาท เนื่องจากผู้ใช้ทางด่วนบางส่วนยังคงได้รับผลกระทบจากงานก่อสร้างถนนหลายเส้นทางที่เชื่อมต่อกับด่านทางด่วนของ BEM
ด้านต้นทุนทางด่วนและรถไฟฟ้า ฝ่ายวิจัยตั้งสมมุติฐานว่าค่าตัดจ่ายต่อหัวและต่อคันในธุรกิจระบบรางและทางพิเศษจะอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม แต่ไตรมาสนี้จะมีค่าซ่อมบำรุงทางด่วนและรถไฟฟ้าที่มากกว่าปีก่อน เนื่องจาก BEM ได้เลื่อนงานซ่อมบำรุงบางรายการจากงวดไตรมาส 4/2566 มาทำในปี 2567 แทน จึงคาดว่า Gross margin เฉลี่ยทุกธุรกิจในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ 45.0% ลดลงจากงวดไตรมาส 4/2566 ที่ทำได้ 46.3%
ส่วน SG&A ก็มีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนจากค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานที่เพิ่มขึ้นตามผลประกอบการปี 2567 ที่ดีขึ้น
*ปี 2568 การเติบโตมาจาก Organic Growth เป็นหลัก
ทุกธุรกิจหลักของ BEM ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในปี 2568 ในลักษณะการเติบโตแบบ Organic Growth ตามการขยายตัวของเมือง ธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์น่าจะเป็นธุรกิจที่เห็นการเติบโตมากที่สุด เนื่องจากมีฐานรายได้ต่ำกว่าธุรกิจทางด่วนและธุรกิจระบบรางมาก โดย BEM จะมีการลงทุนเปิด Metro Mall เพิ่มที่สถานีลาดพร้าว และมีการอัพเกรด Metro Mall สถานีพระราม 9 ให้ใหญ่ขึ้น นอกจากนี้จะมีการติดป้ายโฆษณาเพิ่มที่สถานีพระราม 9 และสถานีเพชรบุรี รวมถึงการติดตั้งป้ายโฆษณาเพิ่มบริเวณทางแยกขนาดใหญ่บนทางด่วน ขณะที่ธุรกิจระบบรางประเมินว่าจะมีจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินเติบโตระดับ 5-7% ต่อปี หลังการเปิดดำเนินงานของโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่อย่าง “One Bangkok” และ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค”ที่จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีลุมพินีและสถานีสีลมได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนธุรกิจทางพิเศษคาดจะเห็นจำนวนผู้ใช้ทางด่วนปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หากงานก่อสร้างบนถนนพระราม 2 เสร็จสิ้นภายในเดือน มิ.ย.2568 ได้ตามแผนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและกรมทางหลวง ก็จะส่งผลบวกต่อจำนวนผู้ใช้ทางด่วนที่ด่านดาวคะนอง-สุขสวัสดิ์ส่งผลต่อเนื่องไปถึงผู้ใช้ทางด่วนขั้นที่ 1
*มีลุ้นการเติบโตที่มากขึ้นจากโครงการใหม่
นอกเหนือจากการเติบโตแบบ Organic Growth แล้ว BEM ยังมีโอกาสเติบโตได้มากขึ้นอีกจากโครงการสัมปทานใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาลงทุนก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 หรือ “Double Deck” เงินลงทุน 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อแลกกับการต่ออายุสัมปทานทางด่วนขั้นที่1,2 และ C+ ออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน ที่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1/68 รวมถึงสัญญาการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) น่าจะมีการเจรจาตรงกับ BEM ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงเหนือช่วงเตาปูน-บางใหญ่ ภายในปีนี้ เพื่อให้รฟม. สามารถเปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ทันทีเมื่องานก่อสร้างโยธาแล้วเสร็จในปี 2570 ภายใต้แนวคิด “One Line One Operator” ที่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการเดินรถแบบไร้รอยต่อ
ฝ่ายวิจัยยังคงให้น้ำหนักลงทุน Outperform แต่มีการปรับลดประมาณการกำไรปี 2568-2569 ลงจากเดิมเฉลี่ย 4% สะท้อนสมมุติฐานด้านต้นทุนที่มีความอนุรักษ์นิยมมากขึ้น โดยคาดปี 2568 BEM จะมีกำไรสุทธิ 4,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%YoY ส่งผลให้ราคาเหมาะสมที่ประเมินด้วยวิธี DCF ลดลงจาก 11.00 บาท มาอยู่ที่ 10.60 บาท