หุ้นวิชั่น – บล.กรุงศรี ระบุ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังรับฟังความคิดเห็นกรณีปรับปรุงวิธีคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 เพื่อลดผลกระทบของดัชนีจากหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ และทำให้การกระจายตัวของน้ำหนักหลักทรัพย์เหมาะสมมากขึ้น และจะนำแนวทางนี้มาใช้กับดัชนี SET50, SET100, SET50FF และ SET100FF
การศึกษาของตลาดหลักทรัพย์พบว่าดัชนีชั้นนำในต่างประเทศใช้การจำกัดน้ำหนักในหลายแนวทางหลักๆ ซึ่งแบ่งเป็น 2 แบบ
- การจำกัดน้ำหนักในระดับรายหลักทรัพย์ (วิธีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ วางแผนเลือกใช้) เป็นแนวทางที่แพร่หลาย โดยดัชนีที่ศึกษากำหนดเพดานน้ำหนักต่อ 1 หุ้นบริษัทจะอยู่ในกรอบ 8% – 15%
- การจำกัดน้ำหนักของกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่หรือกลุ่มอุตสาหกรรม ถูกใช้ในดัชนีชั้นนำ เช่น MSCI และ NASDAQ100 โดยในกรณีของ NASDAQ100 หลักทรัพย์ 5 อันดับแรกที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดจะต้องมีน้ำหนักรวมกันไม่เกิน 38.5% ของมูลค่าตลาดดัชนี
ทั้งนี้ในเบื้องต้นการเสนอรับฟังความคิดเห็น ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนจะจำกัดน้ำหนักของ 1 หลักทรัพย์ในดัชนี SET50, SET100, SET50FF และ SET100FF ไม่เกิน 10% ของมูลค่าตลาดของดัชนี
KSS ประเมินผลกระทบ
- อิงตามกรอบข้อเสนอเบื้องต้น ประเมินหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบเชิงลบใน SET50 และ SET100 ได้แก่ DELTA คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจากกองทุน Passive fund ราว +/- 1,600 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบัน DELTA มีน้ำหนักใน SET50 และ SET100 ที่ประมาณ 13% และ 11% ตามลำดับ
- ใน SET50FF และ SET100FF ไม่มีหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มีหลักทรัพย์ใดที่มีน้ำหนักเกิน 10% ของดัชนี
- หลักทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับผลบวกเด่น (จากโอกาสที่จะมี Passive fund เข้าซื้อกรณีปรับน้ำหนักตามเกณฑ์ใหม่ > 50 ล้านบาท) ได้แก่ PTT, ADVANC, AOT, GULF, PTTEP, CPALL, SCB, TRUE, KBANK, BDMS, KTB
- ระยะสั้นมองเป็นผลลบต่อดัชนี เนื่องจาก DELTA อาจเผชิญแรงขาย เพื่อลดความเสี่ยง แต่หากการรับฟังความคิดเห็นผ่านและนำมาใช้ (คาดว่าจะเริ่มต้นในครึ่งปีหลัง 2568) ปัจจัยนี้อาจกลับมาเป็นปัจจัยกระทบอีกครั้งเมื่อมีการ Rebalance ครั้งแรกจากการปรับพอร์ตของ Passive Fund
กลยุทธ์แนะนำ: ในระยะสั้นควรหลีกเลี่ยงการเก็งกำไรใน DELTA และสามารถจับจังหวะเก็งกำไรในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับน้ำหนัก เช่น PTT, ADVANC, AOT, GULF