GPSC ไตรมาส 3/2567 กำไร 770ล้านบาท

            หุ้นวิชั่น – GPSC เผยกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 770 ล้านบาท ลดลง 657 ล้านบาทจากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นและการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า IPP โกลว์ ไอพีพี ขณะเดียวกันผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งและการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าในอนาคตอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัท

            สำหรับผลประกอบการของบริษทฯ ในไตรมาสท 3 ปี 2567 กำไรสุทธิของบริษัทฯ จำนวน 770 ล้านบาท ลดลง 657 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2567 สาเหตุหลักมาจากกำไรขั้นต้นที่ลดลงเนื่องจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีต้นทุนของก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นและปริมาณการขายของ กฟผ. ลดลง แต่ปริมาณความต้องการไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ประกอบกับโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ได้แก่ โรงไฟฟ้าโกลว์ ไอพีพี หยุดซ่อมบำรุงตามแผนจำนวน 13 วันในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 และในไตรมาสที่ 3 การเรียกรับไฟฟ้าจาก กฟผ. ลดลง โรงไฟฟ้าห้วยเหาะมีรายได้ค่าพลังงานไฟฟ้า (EP) ลดลงจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่ลดลงตามการเรียกรับไฟฟ้าที่ลดลงของ กฟผ. สำหรับไตรมาสนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน แต่ปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งปียังคงเป็นไปตามแผน

            ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้นเนื่องจาก XPCL มีผลประกอบการดีขึ้นจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามปริมาณน้ำที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามฤดูกาล แม้จะมีการหยุดการผลิต 17 วัน ในขณะที่นูออโว พลัส (NUOVOPLUS) มีการบันทึกผลขาดทุนจากการขายทรัพย์สินโรงงานแบตเตอรี่ในเดือนสิงหาคม แม้ว่ามีกำไรจากบริษัทร่วมทุน NV Gotion และ AEPL มีผลประกอบการลดลงตามปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่ลดลงตามค่าความเข้มแสงที่ลดลงตามฤดูกาล ในไตรมาสที่ 3 บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 258 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากการบันทึกปรับมูลค่าลูกหนี้ตามสัญญาเช่าทางการเงินสกุลเงินต่างประเทศของโรงไฟฟ้าศรีราชาและโรงไฟฟ้าโกลว์ ไอพีพี ภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 180 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 2 ปี 2567 มีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ของปี 2566 (298 ล้านบาท) ในขณะที่ในไตรมาส 3 ปี 2567 มีการรับรู้ภาษีตามผลประกอบการของบริษัท ต้นทุนทางการเงินลดลง 104 ล้านบาทจากการชำระคืนเงินกู้ 16,100 ล้านบาทเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567

            ทั้งนี้ ในส่วนของฐานะการเงิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 280,342 ล้านบาท หนี้สินรวม 163,396 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ย 126,709 ล้านบาท และบริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้น 116,946 ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.88 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายทางการเงิน

ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือการเติบโตในอนาคต

ความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ
            บนสมมุติฐานค่าเฉลี่ยความยืดหยุ่นของปริมาณการใช้ไฟฟ้าต่อการเปลี่ยนแปลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอยู่ที่ประมาณ 0.9 เท่า และการประมาณการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ร้อยละ 2.9 ในปี 2568 โดยการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2.6 ในปี 2568 โดยการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่สูงขึ้นจะมีผลต่อการเรียกเดินเครื่องโรงไฟฟ้าโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และรวมถึงปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรม หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศสูงขึ้นต่อเนื่อง

ต้นทุนเชื้อเพลิงนำเข้า
            โดยเฉพาะ LNG ที่มีการปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 อาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า และทำให้ต้องมีการปรับค่า Ft เพิ่มสูงขึ้นในปี 2568 เนื่องจากปัจจุบัน กฟผ. มีหนี้ค่าจัดซื้อไฟฟ้าและค่าเชื้อเพลิงคงค้าง (AF) ประมาณ 1 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ เม.ย. 2567) และมีการคืนหนี้เพียงบางส่วนผ่านค่า Ft ในช่วงปีที่ผ่านมา ตามนโยบายของภาครัฐที่ต้องการลดผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจ ประกอบกับ กฟผ. จะยังไม่สามารถรับภาระหนี้ได้เพิ่มเติม เนื่องจากต้องรักษาสถานะทางการเงินเพื่อรักษาอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) และมีภารกิจการลงทุนจำนวนมาก โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ซึ่งต้นทุนค่าเชื้อเพลิงจะมีผลโดยตรงต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม

การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าในอนาคต
            อาจส่งผลกระทบต่อราคาขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมที่อ้างอิงตามราคาขายปลีกของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ทั้งนี้เนื่องจากการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าครั้งใหญ่ของประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อปี 2558 และปัจจุบันถึงกำหนดระยะเวลาในการทบทวนแล้ว (ทุก 3-5 ปี) เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 และวิกฤติพลังงาน ซึ่งการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อสะท้อนต้นทุนพลังงานหลายประเภทที่เปลี่ยนไป อาทิ ต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าตามแผน PDP ฉบับใหม่ ต้นทุนด้านระบบสายส่งไฟฟ้า ต้นทุนด้านการบริหารจัดการเสถียรภาพที่เพิ่มขึ้นเมื่อมีการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนเข้ามาในระบบมากขึ้น ซึ่งโครงสร้างราคาไฟฟ้าจะมีผลโดยตรงต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม

การเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA)
            เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดเสรีในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด โดยผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับลูกค้านอกพื้นที่ได้โดยตรง (Direct PPA) ส่งผลให้การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนถูกขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนได้อย่างรวดเร็ว

 

แชร์:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ADVANC ปี67 กำไรพุ่ง3.5หมื่นล้าน อนุมัติปันผลที่5.74 บ.ต่อหุ้น XD 20 ก.พ.68

ADVANC ปี67 กำไรพุ่ง3.5หมื่นล้าน อนุมัติปันผลที่5.74 บ.ต่อหุ้น XD 20 ก.พ.68

THCOM ปี67 ขาดทุน 23ล้านบาท จากเงินบาทแข็งค่า แต่กำไรหลักธุรกิจดาวเทียมแข็งแกร่ง

THCOM ปี67 ขาดทุน 23ล้านบาท จากเงินบาทแข็งค่า แต่กำไรหลักธุรกิจดาวเทียมแข็งแกร่ง

BGRIM ราคาหุ้นมีอัพไซด์ คาดกำไรไตรมาส1/68 ที่ 400ล.

BGRIM ราคาหุ้นมีอัพไซด์ คาดกำไรไตรมาส1/68 ที่ 400ล.

SUSCO ร่วมเปิด สตาร์บัคส์ SUSCO SQUARE ลำลูกกา

SUSCO ร่วมเปิด สตาร์บัคส์ SUSCO SQUARE ลำลูกกา

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด