หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (ITC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 4,248.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากลูกค้ารายหลักและลูกค้าแบรนด์ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายลดลง 9.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากความต้องการที่ลดลงตามฤดูกาล และราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียมที่ลดลง โดยสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียมในไตรมาสนี้อยู่ที่ 48.7% ลดลงจาก 54.8% ในไตรมาส 1 ปี 2567
กำไรขั้นต้น
ในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 1,021.9 ล้านบาท ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักมาจากยอดขายสินค้าพรีเมียมที่ลดลง ต้นทุนค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่ยอดขายลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่งผลให้กำไรขั้นต้นลดลง 14.5% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 24.1% ลดลงจาก 25.5% ในไตรมาส 4 ปี 2567 และ 25.7% ในไตรมาส 1 ปี 2567 โดยลดลง 1.4% QoQ และ 1.6% YoY สาเหตุหลักจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ค่าเสื่อมราคา และการกลับรายการสำรองสินค้าคงคลังที่ลดลง
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
อยู่ที่ 461.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ลดลง 13.2% จากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาโครงการทรานส์ฟอร์เมชันธุรกิจ และค่าตอบแทนกรรมการ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้อยู่ที่ 10.9% เทียบกับ 11.3% ในไตรมาส 4 ปี 2567 และ 8.0% ในไตรมาส 1 ปี 2567
กำไรจากการดำเนินงาน
อยู่ที่ 560.3 ล้านบาท ลดลง 21.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 15.6% จากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักจากยอดขายที่ลดลงตามฤดูกาล และ SG&A ที่สูงขึ้น อัตรากำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 13.2% ลดลงจาก 17.7% ในไตรมาส 1 ปี 2567 และ 14.4% ในไตรมาส 4 ปี 2567
กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT)
กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 694.1 ล้านบาท ลดลง 16.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 17.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ตามการลดลงของกำไรจากการดำเนินงาน และรายได้อื่น ซึ่งอยู่ที่ 153.0 ล้านบาท เทียบกับ 163.3 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2567 และ 184.8 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2567 ขณะที่ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 19.3 ล้านบาท เทียบกับ 44.0 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2567 และ 7.7 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2567
กำไรสุทธิ
กำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 676.9 ล้านบาท ลดลง 17.6% จากปีก่อน และลดลง 14.4% จากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักจากการลดลงของยอดขายสินค้าพรีเมียม ราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง และต้นทุนรวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 15.9% ในไตรมาส 1 ปี 2568 เทียบกับ 20.4% ในไตรมาส 1/2567 และ 16.8% ในไตรมาส 4 ปี 2567
ด้านนายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีนี้ ITC มีเป้าหมายในการเดินหน้าขยายฐานลูกค้าในตลาดหลักอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารแมวชนิดเปียก พร้อมทั้งต่อยอดผลิตภัณฑ์อาหารสุนัขและขนมสัตว์เลี้ยงให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายสำคัญด้านการเพิ่มปริมาณการจำหน่าย พร้อมมุ่งขยายฐานลูกค้ากลุ่ม private label และผู้นำเข้าสินค้าในทุกภูมิภาค โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อจากผู้ค้าปลีกรายใหม่ในเยอรมนี อิตาลี และตุรกี คาดว่าจะเริ่มส่งมอบสินค้าได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ถือเป็นการรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่กำลังมองหาสินค้าที่ราคาคุ้มค่า แต่ยังคงคุณภาพสูง ถือเป็นโอกาสสำคัญและเปิดกว้างของ ITC ในการสร้างความแตกต่างและขยายส่วนแบ่งตลาดด้วยเช่นกัน”
“กลุ่มสินค้าพรีเมียมยังคงเป็นแนวทางหลักในการดำเนินธุรกิจที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างผ่านคุณภาพและนวัตกรรม โดยสัดส่วนยอดขายสินค้าพรีเมียมยังคงอยู่ในระดับ 47–50 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทฯ ในการบริหารจัดการและรักษาสมดุลพอร์ตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถรักษาความแข็งแกร่งในตลาดสินค้าพรีเมียม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างการเติบโตในระยะยาวของ ITC”
สำหรับสัดส่วนรายได้ของ ITC แบ่งตามภูมิภาคในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ อเมริกามียอดขาย คิดเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้รวม รองลงมาคือเอเชียและโอเชียเนีย 28 เปอร์เซ็นต์ และยุโรป 12 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่รายได้ตามกลุ่มผลิตภัณฑ์แบ่งเป็นอาหารแมว 71 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 16 เปอร์เซ็นต์ และขนมสัตว์เลี้ยง 13 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูง โดยสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นราว 182 ล้านบาท รวมถึง การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ระดับโลก โดยคาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มเติมราว 13.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้
นอกจากนี้ ITC ยังเริ่มเดินหน้าโครงการใหม่ๆ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 68 ในการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงและอาหารแมว ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ตลอดทั้งปีนี้ แสดงถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่เห็นศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรมและการผลิตของ ITC ได้เป็นอย่างดี อีกทั้ง บริษัทฯ ยังเน้นการพัฒนาและขยายพอร์ตสินค้าที่สำคัญ และต่อยอดผลิตภัณฑ์ประเภท chunk และ pâté รวมถึงให้ความสำคัญกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์กลุ่ม functional pet food ที่จะช่วยตอบโจทย์เทรนด์ด้านโภชนาการและการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงเชิงป้องกันในระยะยาวอีกด้วย
สำหรับการลงทุนในปี 2568 บริษัทฯ เดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต และรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยมีโครงการสำคัญ ได้แก่ คลังสินค้าอัตโนมัติ ASRS ที่จังหวัดสงขลา และเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติสำหรับสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงในรูปแบบถุงเพาซ์ที่โรงงานสมุทรสาคร ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต อีกทั้ง ยังเน้นการพัฒนาด้านความยั่งยืนควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวในฐานะหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก
นอกจากแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งแล้ว ITC ยังคงติดตามและประเมินความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในหลายภูมิภาค รวมถึงความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าในต่างประเทศ เพื่อหาแนวทางการลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมปรับกลยุทธ์การดำเนินงานให้มีความยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที
“แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายนอกที่ไม่แน่นอน แต่เรายังเชื่อมั่นในศักยภาพการพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมที่โดดเด่นและแตกต่างของเรา รวมถึงการมีพันธมิตรอยู่ทั่วโลกจะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของ ITC ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาด ขยายฐานลูกค้าใหม่ ตลอดจนสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า ผู้ถือหุ้น และพันธมิตรทางธุรกิจของเราในระยะยาว” นายพิชิตชัย กล่าวทิ้งท้าย