KGI มอง CK – STECON ฟื้นตัวแกร่ง แนะ “ซื้อ” เป้า 18.50 บ. และ 8.50 บ. ตามลำดับ

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เคจีไอ มองว่าแนวโน้มทั้ง CH Karnchang (CK.BK/CK TB)* และ STECON Group (STECON.BK/STECON TB) จะฟื้นตัวได้เร็วในปี 2568 หลังจากบันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวนมากและการตัดจำหน่าย (write-off) ใน 4Q67 ไปแล้ว ขณะที่เราคาดว่าโครงการภาครัฐใหม่ๆ จะเปิดประมูลในช่วงปลายปี 2568 แต่ backlog ของทั้งสองบริษัททำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกือบ 3 แสนล้านบาท

           นอกจากนี้ เราประเมินว่ากำไรสุทธิรวมจะพลิกฟื้นกลับจากขาดทุนสุทธิ 912 ล้านบาทในปี 2567 มาเป็นกำไรสุทธิราว 2.4 พันล้านบาทในปี 2568 จาก i) margin ดีขึ้น และ ii) การปรับโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัทร่วม (associates) อีกทั้งยังมี upsides อีกหลายประการที่เรายังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการของเรา
ทั้งนี้ เราปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนขึ้นเป็น “มากกว่าตลาดฯ” (Overweight) จากเดิม “เท่ากับตลาดฯ” โดยที่เราให้คำแนะนำ “ซื้อ” ทั้ง CK และ STECON ประเมินราคาเป้าหมายที่ 18.50 บาท และ 8.50 บาท ตามลำดับ

  • CK: Guidance ปี 2568F เชิงอนุรักษ์นิยมและการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัทร่วม

           CH Karnchang (CK.BK/CK TB)* ตั้งเป้ารายได้ 4 หมื่นล้านบาท (+6% YoY) โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (gross margin) ราว 7-8% ทางด้านรายได้ส่วนใหญ่ปี 2568F น่าจะมาจากงานรับเหมาก่อสร้างในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงฝั่งใต้, โครงการเขื่อนหลวงพระบาง และรถไฟทางคู่เด่นชัย ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นการรับรู้รายได้จากโครงการนี้น่าจะไม่มาก อยู่ราว 5-7% ของมูลค่ารวม 1.09 แสนล้านบาท

           นอกจากนี้ CK มีแผนการขายหุ้นครึ่งหนึ่งจากที่ถืออยู่ 20% ในโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบางในกลางปี 2568F หรือ 3Q68F มูลค่า 2.7 พันล้านบาท โดยเงินที่ได้จะนำไปใช้ชำระหนี้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ส่วนกำไรที่อาจเกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมนี้ เรายังไม่ได้รวมในประมาณการของเรา โดยจะรับรู้ผ่านงบกำไรขาดทุนเมื่อโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบางนี้เปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องแทนที่จะเป็นบริษัทร่วม ดังนั้น CK จะไม่ต้องบันทึกส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุนจากบริษัทร่วมนี้อีกต่อไป

  • STECON: ธุรกิจหลักพลิกฟื้นพร้อมกับ upside อีกหลายประการ

           STECON Group (STECON.BK/STECON TB) ให้ guidance รายได้จากการรับเหมาก่อสร้างปี 2568 ราว 3.2 หมื่นล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ 7% โดย upside อาจมาจาก i) กำไรที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลมประกันในการซ่อมแซมโครงการบึงหนองบอนมูลค่า 1 พันล้านบาท ii) เป็นไปได้สูงที่ STECON จะไม่ต้องบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนเพิ่มเติมจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองมูลค่า 500-600 ล้านบาท หากผู้บริหารระดับสูงของบริษัทไม่มีตำแหน่งกรรมการในบริษัท และ iii) รายได้ 1 พันล้านบาทจากธุรกิจใหม่เกิดจากดีล M&A ใหม่ ๆ
งานรับเหมา ฯ ในมือ (backlog) แข็งแกร่ง

           แม้เราคาดว่าจะมีโครงการภาครัฐใหม่ ๆ ออกมาเปิดประมูลในช่วงปลายปีนี้ แต่ backlog ของทั้งสองบริษัทมีมูลค่ารวมเกือบ 3 แสนล้านบาทก็สูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว โดยที่ CK และ STECON ตั้งเป้าว่าจะเพิ่ม backlog มูลค่ารายละ 4-5 หมื่นล้านบาทในปีนี้ ขณะนี้ CK กำลังรอการอนุมัติโครงการทางด่วนยกระดับมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาทในกลางปี 2568 ส่วน STECON มีความหวังสูงกับโครงการเมืองการบินอู่ตะเภาของบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน (JV) จะเดินหน้าต่อไป เพื่อจะเริ่มรับรู้รายได้ราว 2.7 หมื่นล้านบาทจากงานก่อสร้างในโครงการนี้

  • คาดกำไรฟื้นตัวได้เร็ว

           เราคาดว่ากำไรรวมจะพลิกฟื้นกลับจากขาดทุนสุทธิ 912 ล้านบาทเป็นกำไรสุทธิราว 2.4 พันล้านบาท สำหรับ CK เราคาดกำไรเติบโต 14% YoY อยู่ที่ 1.65 พันล้านบาทในปี 2568F และ +25% YoY ในปี 2569F แรงหนุนจากงานรับเหมาก่อสร้างในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและโครงการทางด่วนยกระดับ ส่วน STECON เราประมาณรายได้ราว 3.2 หมื่นล้านบาทโดยมี GPM พลิกกลับสู่ระดับปกติอย่างต่ำราว 5% นอกจากนี้ เราหยุดรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีชมพู/เหลืองในประมาณการของเรา ทั้งนี้ เราประมาณการกำไร 765 ล้านบาทในปี 2568F และคาดว่าจะเติบโต 21% YoY ในปี 2569F โดยที่เรายังไม่ได้รวมรายการเคลมประกันที่อาจเกิดขึ้นและรายได้จากธุรกิจใหม่อยู่ในแผนงานในอนาคต

  • Valuation & Action

           ราคาเป้าหมายของเราสำหรับ CK อยู่ที่ 18.50 บาท อิงจาก discounted PE ปี 2568F ของค่าเฉลี่ย -1 S.D. ที่ 19x ส่วนทางด้าน STECON เราประเมินราคาเป้าหมาย SOTP ที่ 8.50 บาท ขณะที่ STECON เทรดระดับ PE ที่ 11x หรือต่ำกว่า -1.5 S.D. ทั้งนี้ เราให้คำแนะนำ “ซื้อ” ทั้งสองบริษัทและปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนในกลุ่มรับเหมา ฯ ขึ้นเป็น “มากกว่าตลาดฯ”

  • Risks

• ความรวดเร็วในอัตราการเติบโตของ GDP
• ความล่าช้าจากการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีและการเริ่มดำเนินการโครงการใหม่ ๆ
• การแก้ไขสัญญาต่าง ๆ
• การปรับเปลี่ยนระเบียบต่าง ๆ
• การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
• การปรับเพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำขึ้น

แชร์:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

SJWD วางกลยุทธ์ต่อยอด Synergy มุ่งขยายธุรกิจดาวรุ่ง

SJWD วางกลยุทธ์ต่อยอด Synergy มุ่งขยายธุรกิจดาวรุ่ง

KEX เดินหน้ายกระดับบริการขนส่ง เชื่อมทั่วโลกแบบไร้รอยต่อ

KEX เดินหน้ายกระดับบริการขนส่ง เชื่อมทั่วโลกแบบไร้รอยต่อ

EA ผนึก TMHWST  พัฒนาพลังงานสะอาด โลจิสติกส์ไทย

EA ผนึก TMHWST พัฒนาพลังงานสะอาด โลจิสติกส์ไทย

BGRIM เซ็น MOU ภูฏาน ชูหลักการ GNH ปรับใช้ในองค์กร

BGRIM เซ็น MOU ภูฏาน ชูหลักการ GNH ปรับใช้ในองค์กร

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด