หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ประกาศผลประกอบการ ในปี 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 43,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 ถ้าไม่รวมรายการตั้งสำรองสำหรับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันที่มีแนวโน้มของคุณภาพสินเชื่อที่เสื่อมค่าลงที่เกิดขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2566 (กำไรสุทธิเติบโตร้อยละ 19.8 เมื่อเทียบกับปี 2567)
ธนาคารมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ ดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมบริหารจัดการ Portfolio อย่างสมดุล ให้ความสำคัญกับการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ และรักษา Coverage ratio ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ธนาคารมีสินเชื่อที่เติบโตร้อยละ 4.7 ส่วนใหญ่จากการขยายตัวในกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่เป็นกลุ่มยุทธศาสตร์ของธนาคาร และสินเชื่อภาครัฐ รวมถึงการสนับสนุนนโยบายรัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและการจัดการหนี้ตามแนวทาง Responsible Lending ทำให้สามารถเติบโตในสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ร้อยละ 17
ขณะที่รายได้จากการดำเนินงานขยายตัวร้อยละ 6.4 ส่วนใหญ่จากค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารและบริษัทย่อย ผลิตภัณฑ์ตลาดเงินตลาดทุน รวมถึงรายได้จากหนี้สูญรับคืน สะท้อนนโยบายเชิงรุกในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการติดตามหนี้และการบริหารจัดการสินทรัพย์รอการขายของธนาคาร
ธนาคารมุ่งเน้นการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ มี Cost to Income ratio อยู่ที่ร้อยละ 43.2 ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ขยายตัว ส่วนใหญ่จากการขยายการลงทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมรับการเติบโตของอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต
ธนาคารยังคงบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังและยืดหยุ่น มีสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับควบคุมได้ดีที่ 95,065 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.4 จากสิ้นปี 2566 และมี NPLs Ratio ร้อยละ 2.99 ลดลงจากสิ้นปี 2566 ให้ความสำคัญกับการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสม สอดคล้องกับแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ รักษา Coverage ratio ในระดับสูงที่ร้อยละ 188.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 181.3 จากสิ้นปี เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจยุคใหม่
ทั้งนี้ ผลประกอบการในไตรมาส 4/2567 ได้สะท้อนผลกระทบของลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่งที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการและมีการแปลงหนี้เป็นทุนบางส่วนตามแผนฟื้นฟูดังกล่าวแล้ว
มุมมองจาก บล.ดาโอ
บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” KTB และราคาเป้าหมายที่ 24.50 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.74x (-0.50SD below 10-yr average PBV) โดย KTB ประกาศกำไรสุทธิ 4Q24 อยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านบาท (+71% YoY, -6% QoQ) ดีกว่าตลาดคาด +5% และเราคาด +4% จากการตั้งสำรองฯที่ลดลงมากกว่าคาดอยู่ที่ 6.7 พันล้านบาท (คาด 7.5 พันล้านบาท) ส่วน OPEX น้อยกว่าคาดมาอยู่ที่ 1.74 หมื่นล้านบาท (เราคาด 1.78 หมื่นล้านบาท) จากค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายลดลง
ด้านสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นได้โดดเด่นที่ +4.8% YoY (มากกว่าเป้าที่ 3% YoY) จากสินเชื่อภาครัฐที่เพิ่มถึง +39% YoY ส่วน NPL ดีกว่าคาดอยู่ที่ 2.99% ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 3.14% จากลูกหนี้รายหนึ่งที่มีการแปลงหนี้เป็นทุน
ขณะที่มูลค่า NPL ลดลง -3.3% QoQ โดยมีการ write-off อีก 8.5 พันล้านบาทเรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E โดยกำไรสุทธิปี 2025E จะอยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เติบโตได้อีก +6% YoY ขณะที่กำไรสุทธิ 1Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY/QoQ จากสำรองฯที่จะลดลงได้อย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น +9% และ +12% เมื่อเทียบกับ SET ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะแนวโน้มกำไรที่ยังเติบโตได้ดี ประกอบกับมี Asset Quality ที่แข็งแกร่งจากการเน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้
รวมถึง KTB มี Dividend yield สูงราว 6% นอกจากนี้ยังมี Coverage ratio ที่ยังอยู่ในระดับสูงถึง 188% ขณะที่ valuation ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำเพียง PBV ที่ 0.71x (-0.75SD below 10-yr average PBV) ด้านราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือระดับ 1 หมื่นล้านบาท อย่างต่อเนื่องมา 5 ไตรมาสติดกัน โดยยังคงเลือก KTB เป็น Top pick ของกลุ่ม