หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) (PLUS) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ 44.1 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนขาดทุนสุทธิ 15.4% ของรายได้ จากการขายเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 12.8 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายที่ลดลง และยังมีต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้น จึงทำให้ทำให้สัดส่วนกำไรสุทธิลดลง
บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 288.6 ล้าน บาท ลดลง 8.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แบ่งออกเป็นรายได้จากการขายเท่ากับ 286.1 ล้านบาท, รายได้อื่นเท่ากับ 1.2 ล้าน บาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิเท่ากับ 1.3 ล้านบาท สำหรับรายได้จากการขายมีสัดส่วนลดลง 8.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกัน ของปีก่อน เป็นผลจากมาตรการการจัดเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์จากการเกษตร และภาษีความหวานที่สูงขึ้น รวมถึงสถานการณ์สงคราม ทะเลแดง ทำให้รายได้จากการขายกลุ่มเครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมเม็ดแมงลักในทวีปตะวันออกกลาง และทวีปยุโรปชะลอลง อีกทั้งแนวโน้ม การบริโภคที่มีเปลี่ยนแปลงยอดขายสินค้าเครื่องดื่มน้ำมะพร้าวเป็นที่นิยม ทำให้ยอดขายกลุ่มเครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมเม็ดแมงลักและ เมล็ดเจียลดลง ในทวีปเอเชียและทวีปอเมริกา
ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายดังกล่าว บริษัทฯ ได้เร่งดำเนินการแก้ไขโดยร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับ ความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และทำการตลาดไปยังกลุ่มประเทศใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างพันธมิตร ทางธุรกิจและผลักดันการเติบโตของรายได้อย่างยั่งยืนในทวีปอื่นๆ ตามแผนกลยุทธ์ทางฝ่ายขาย ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าของ บริษัทฯ ทำให้ในทวีปอื่นๆ มียอดขายที่เติบโตขึ้น อาทิเช่น ทวีปลาติน&แคริบเบียนเติบโตขึ้น 42.3%, ทวีปโอเชียเนียเติบโตขึ้น 35.7%, ทวีปแอฟริกาเติบโตขึ้น 26.7% รวมทั้งรายได้จากการขายภายในประเทศก็เติบโตสูงถึง 62.5% จากเครื่องดื่มน้ำมะพร้าว 100% แบรนด์ “COCO ROYAL”
สัดส่วนต้นทุนขายในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ต่อรายได้จากการขายเท่ากับ 96.2 และมีสัดส่วนอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 3.8% เนื่อง ด้วยเป็นช่วงการเริ่มต้นของสายการผลิตใหม่และกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ จึงทำให้มีต้นทุนการผลิตคงที่สูง ประกอบกับกำลังการผลิตยังไม่ สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ทางด้านค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (ไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ) ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ 56.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 19.8% ต่อรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 48.0 ล้านบาท หรือคิดเป็น สัดส่วน 15.3% ต่อรายได้จากการขายของปีก่อน โดยสาเหตุหลักจากแผนกลยุทธ์ของฝ่ายขายที่มุ่งเน้นขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศให้ครอบคลุมทุกภูมิภาครวมถึงการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ช่วง High Season ในไตรมาสที่ 2 และมีค่าใช้จ่ายทางด้านการบริหารจัดการทางด้านความพร้อมของทรัพยากรบุคคล การพัฒนาระบบ การเตรียมการสรรหาบุคลากร เพื่อรองรับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทฯ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรม CSR, ค่าใช้จ่ายฝึกอบรมสัมมนา และค่าใช้จ่ายค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ไตรมาสนี้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 44.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.4% ของรายได้จากการขาย
รายได้จากการขาย บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 จำนวน 286.1 ล้านบาท ลดลงจำนวน 27.6 ล้านบาท หรือ 8.8% เมื่อ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายทวีปตะวันออกกลางในกลุ่มสินค้าน้ำผลไม้ผสมเม็ดแมงลักลดลง จากสถานการณ์วิกฤติ สงครามทะเลแดง และการจัดเก็บภาษีความหวานที่สูงขึ้น, ยอดขายทวีปยุโรปในกลุ่มสินค้าน้ำผลไม้ผสมเม็ดแมงลักลดลง จากการจัดเก็บ ภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์จากการเกษตร, สำหรับยอดขายทวีปเอเชียในกลุ่มสินค้าน้ำผลไม้ผสมเมล็ดเจียลดลง จากแนวโน้มการบริโภคที่มีการ เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เครื่องดื่มน้ำมะพร้าวปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และยอดขายในทวีปอเมริกากลุ่มสินค้าน้ำผลไม้ผสมเม็ดแมงลักและเมล็ดเจีย ลดลงเล็กน้อยลักษณะเดียวกันกับทวีปเอเชีย จากการบริโภคกลุ่มน้ำนมมะพร้าว และน้ำมะพร้าวที่สูงขึ้น
บริษัทฯ มีต้นทุนขายรวมสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ 275.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 30.5 ล้านบาท หรือ 12.5% เมื่อ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นทุนขายอยู่ในระดับสูงและส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นลดลง เนื่องจากบริษัทฯ อยู่ระหว่างการพัฒนานวัตกรรมสายการผลิตใหม่สำหรับขวดบรรจุภัณฑ์พลาสติก Aseptic & Warm fill ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ การทดสอบศักยภาพเครื่องจักร และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งกำลังการผลิตยังไม่เต็มประสิทธิภาพที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้เกิด ต้นทุนคงที่ (fixed cost) สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ค่าเชื้อเพลิง ค่าสาธารณูปโภค ค่าจ้างแรงงาน คาบำรุงรักษา และค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงให้ความสำคัญในการบริหารและควบคุมต้นทุนการผลิตและต้นทุนขายให้เป็นการผลิตแบบ Mass Production เพื่อให้เกิด Economies of Scale ในการผลิต
บริษัทฯ มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ 1.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.5% ของ รายได้จากการขาย บริษัทฯ มีนโยบายการควบคุมบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับบริษัทฯ แต่มิได้ไม่ มุ่งหวังสร้างกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนจาก อัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 2.8 ล้านบาท
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ 10.9 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนกำไรขั้นต้น 3.8% ของรายได้จาก การขาย ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่อัตราส่วนกำไรขั้นต้น 22.0% ของรายได้จากการขาย เนื่องจากอยู่ระหว่างการพัฒนา สายการผลิตใหม่ จึงทำให้มีค่าใช้จ่าย fixed cost ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าปกติและทำให้สัดส่วนกำไรขั้นต้นลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญของการควบคุมต้นทุนการขาย และต้นทุนการผลิต จึงได้มุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการผลิตและบริหารจัดการต้นทุน ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้สามารถบรรลุอัตรากำไรขั้นต้นตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ 25.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 2.7 ล้านบาท หรือ 11.6% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นพัฒนาสายการผลิตใหม่จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายค่าวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้นสูง และมีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการออกบูธงานแสดงสินค้า การทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย การเดินทางไป พบปะเยี่ยมเยือนลูกค้ารายใหญ่ในการเจรจาการขาย อีกทั้งการรับรองลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมไลน์การผลิตใหม่ที่โรงงานเพื่อพัฒนา ผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกัน ทำให้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขาย, ค่ารับรอง, ค่าใช้จ่ายเดินทาง และค่านายหน้าเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการส่งออกสินค้าลดลงตามสัดส่วนรายได้จากการขายเมื่อเทียบกับปีก่อน
บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ 30.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 6.0 ล้านบาท หรือ 24.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มสูงขึ้น ตามการปรับโครงสร้างเงินเดือนประจำปีและมี จำนวนพนักงานเพิ่มขึ้น, ค่าใช้จ่ายฝึกอบรมสัมมนาเพิ่มขึ้น, ค่าใช้จ่ายค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น, ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบเพิ่มขึ้น, ค่าเผื่อ สำรองสินค้าเสื่อมสภาพเพิ่มขึ้นตามนโยบายการตั้งสำรองสินค้าตามอายุการจัดเก็บ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายเพื่อสาธารณะกุศล ในการจัด กิจกรรม CSR ร่วมกับโรงเรียน การบริจาคสินค้าการกุศลกับหน่วยงานราชการและวัดวาอารามต่าง ๆ