หุ้นวิชั่น – บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) มีรายได้จากการขายรวม 32,209 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
- รายได้จากการขายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ แบบครบวงจรและธุรกิจเยื่อและกระดาษลดลง ประกอบกับปริมาณขายส่งออกของกระดาษบรรจุภัณฑ์ ที่ชะลอตัว
- รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากปริมาณขายของธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และธุรกิจเยื่อและกระดาษมีการปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะจากตลาดในประเทศ
EBITDA เท่ากับ 4,232 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมี EBITDA margin อยู่ที่ร้อยละ 13 กำไรสำหรับงวดเท่ากับ 900 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 48 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ซึ่งมีผลขาดทุน 57 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 3
- กำไรสำหรับงวดลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันกับรายได้จากการขาย ที่ลดลง ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
- กำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น และต้นทุนของ วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ต้นทุนพลังงาน และค่าขนส่งลดลง
ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 Core EBITDA เท่ากับ 4,257 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และ Core profit เท่ากับ 916 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 1,686 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 34 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 มีรายการที่นอกเหนือจากการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ ขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์
ในปี 2568 เศรษฐกิจโลกคาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากความไม่แน่นอน และ ผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งนำไปสู่ความกดดันทางการค้าและการหยุดชะงักของห่วงโซ่ อุปทาน ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ อาเซียนยังคงเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตดีกว่าภูมิภาคอื่น โดยมีปัจจัยหนุน จากอุปสงค์ในประเทศและความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิต อย่างไรก็ตาม ความท้าทายจากภายนอกเหล่านี้ ยังคงส่งผลกระทบต่อธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการส่งออก
สำหรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์นั้น คาดการณ์ว่าความต้องการในสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความต้องการสำหรับ สินค้าคงทนมีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากข้อจำกัดด้านกำลังซื้อของผู้บริโภค ในด้านต้นทุนวัตถุดิบโดยเฉพาะ กระดาษรีไซเคิล (RCP) และค่าขนส่งมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอุปสงค์ในภูมิภาค สำหรับต้นทุนพลังงาน คาดว่าจะมีแนวโน้มคงที่ อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความผันผวน ของสกุลเงินยังคงเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม
กลยุทธ์การเติบโตของ SCGP มุ่งเน้นที่การเติบโตภายในประเทศสำหรับภูมิภาคอาเซียน การขยายธุรกิจ บรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค และธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น วัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับการด าเนินงานในประเทศอินโดนีเซีย ในด้านการ ดำเนินงาน SCGP มีการบริหารจัดการต้นทุนผ่านการเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกและการประยุกต์ใช้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้เหมาะสมเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานและการผลิต นอกจากนี้บริษัทได้ดำเนินการขยาย เครือข่ายพันธมิตรและศูนย์จัดการวัสดุรีไซเคิลในภูมิภาคอาเซียน พร้อมยกระดับความสามารถในการจัดหา วัตถุดิบผ่านบริษัทย่อยในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
SCGP ดำเนินการปรับเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นที่การผลิตสู่การให้ความสำคัญกับลูกค้า โดยเน้นความร่วมมือ กับลูกค้าและพันธมิตรในการพัฒนาโซลูชันบรรจุภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ พร้อมด้วยทีมนักวิจัยที่มีความรู้และ ความสามารถ โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 รายได้จากโซลูชันบรรจุภัณฑ์และนวัตกรรมคิดเป็นร้อยละ 39 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 37 ในปี 2567 นอกจากนี้ SCGP ยังคงดำเนินธุรกิจตามหลักการพัฒนา ที่ยั่งยืนด้วยแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)
โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกร้อยละ 25 ภายในปี 2573 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ทั้งนี้ ใน ไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 บริษัทมีอัตราการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกที่ร้อยละ 42 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 38.3 ในปี 2567 และมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิล ใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้ให้ครบร้อยละ 100 ภายในปี 2573