SINGER เผยกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ 27 ล้านบาท ท่ามกลางวิสัยทัศน์ใหม่สู่การเป็นผู้นำด้านบริการทางการเงินครบวงจร ผสานเครือข่ายการขายและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผลิตภัณฑ์ใหม่ “Locked Phone” โอกาสโต และขยายเครือข่ายพันธมิตร ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในยุคดิจิทัล
นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER สำหรับไตรมาส 3 ปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิของบริษัทใหญ่จำนวน 27 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 2 ปี 2567 จำนวน 1 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2566 จำนวน 14 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 108 (สำหรับไตรมาส 2 ปี 2567 มีกำไรสุทธิของบริษัทใหญ่ 28 ล้านบาท และไตรมาสที่ 3 ปี 2566 มีกำไรสุทธิของบริษัทใหญ่ 13 ล้านบาท)
สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันเดียวกัน กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิของบริษัทใหญ่จำนวน 76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 3,303 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 102 (สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 มีผลขาดทุน 3,227 ล้านบาท) เนื่องจากระหว่างปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ มีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตในธุรกิจสินเชื่อของบริษัทย่อย และการตั้งสำรองการลดลงของมูลค่าสินค้า รวมทั้งสินค้าล้าสมัยในสินค้าคงเหลือที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
สำหรับไตรมาส 3 ปี 2567 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2567 ลดลงจำนวน 30 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5 และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2566 ลดลงจำนวน 85 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13 สำหรับงวดเก้าเดือน รายได้รวมของกลุ่มบริษัทฯ ลดลงจำนวน 526 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 22
มุมมองของผู้บริหารต่อทิศทางการดำเนินงานในอนาคต
ฝ่ายบริหารและกลุ่มบริษัทฯ ยังคงมีมุมมองเชิงบวกสำหรับฐานะการเงินและผลการดำเนินงานในอนาคต ถึงแม้ปัจจุบันยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าจะลดลงจากนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น บริษัทได้พิจารณาใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตน และการใช้แพลตฟอร์มสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในไตรมาส 4 จะช่วยเรื่องการขายและการขยายเครือข่ายที่ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ด้านธุรกิจสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ ได้เริ่มปรับเปลี่ยนธุรกิจโดยมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่สามารถล็อกการใช้งานหากลูกค้าไม่ชำระค่างวด หรือ Locked Phone โดยมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้ง่ายและรวดเร็วในการสมัครสินเชื่อและการอนุมัติสินเชื่อผ่านแพลตฟอร์มที่เรียกว่า “SG Finance+” ตลอดจนการจ่ายชำระค่างวดของลูกค้า
สินเชื่อดังกล่าวมีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเฉลี่ยในอัตราสูง และอัตราหนี้เสีย (NPL) อยู่ในอัตราที่ต่ำ ซึ่งฝ่ายบริหารมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะสามารถทำให้กลุ่มบริษัทฯ เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ได้ปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อลดต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารในอนาคต
บริษัทได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ “Financial Services Network Tech” โดยมุ่งเน้นการสร้าง “New Business – New Growth Engine” มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านบริการทางการเงินครบวงจร ด้วยการผสานจุดแข็งด้านเครือข่ายการขายที่ครอบคลุมทั่วประเทศเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล ผ่านกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถ Lock ได้ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล SG Finance+ และการขยายเครือข่ายพันธมิตร เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แคมเปญ “Locked Phone” โดยร่วมกับบริษัทย่อยในการเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance+)” สำหรับการซื้อโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้บริษัทยังขยายพอร์ตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยการร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำอย่าง SAMSUNG, TCL, และ ACONATIC เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค และเตรียมนำแคมเปญ “ล็อกสินค้า” มาใช้กับทีวีและเครื่องซักผ้าเพื่อบริหารความเสี่ยง และบริษัทยังรุกตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อตอบรับกระแสความต้องการพลังงานสะอาดและนโยบายภาครัฐ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล บริษัทนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการสินเชื่อ SG Finance+ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในการอนุมัติสินเชื่อ ลดการใช้กระดาษ และนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาช่วยในการยืนยันตัวตนและประเมินความเสี่ยงของลูกค้า นอกจากนี้บริษัทยังพัฒนาระบบแคตตาล็อกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Catalog) เพื่อให้พนักงานขายและตัวแทนจำหน่ายสามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในการขยายเครือข่ายพันธมิตร บริษัทยังคงมุ่งมั่นในการขยายเครือข่ายพันธมิตร โดยร่วมมือกับ Influencer และครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ และล่าสุดได้ร่วมมือกับ “ร้านเตือนใจ” นำเครื่องใช้ไฟฟ้าไปจัดจำหน่ายใน 30 สาขาทั่วประเทศภายในปี 2567 และมีเป้าหมายในการขยายเครือข่ายตัวแทนขายจาก 1,100 รายในช่วงครึ่งปีแรกเป็น 2,000 รายภายในสิ้นปีนี้ โดยเน้นกลุ่มดีลเลอร์ของ SG Finance+ ที่สนใจขยายไลน์สินค้า
ด้วยวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ใหม่นี้ บริษัทมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกยุคดิจิทัล พร้อมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ