หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SPALI คาดว่า 4Q67 กำไรอ่อนตัว YoY และ QoQ 4Q67 เปิดตัว 11 โครงการ มูลค่ารวม 15,190 ล้านบาท มี Presale 6,679 ล้านบาท คาดรายได้ 8.4 พันล้านบาท -15.9% YoY และ -13.6% QoQ จากการโอนคอนโด Supalai Icon Sathorn ที่ลดลง และคอนโด Supalai Loft Phasi Chareon Station ที่โอนหมดในช่วง 3Q67 ที่ผ่านมา คาด GPM ที่ 37.5% สูงขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ ตาม Product Mix จากสัดส่วนรายได้คอนโดที่โอน SG&A to Sale คาดที่ 14.9% สูงขึ้น YoY และ QoQ จากปีนี้มีค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้น มีส่วนแบ่งกำไรสูงขึ้น YoY และ QoQ จากการลงทุนในออสเตรเลียที่เพิ่มมากขึ้น คาดกำไร 1,489 ล้านบาท -26.2% YoY และ -25.1% QoQ จะทำให้มีกำไรทั้งปี 67 ที่ 5,690 ล้านบาท -5.0% YoY คาดจ่ายปันผล 2H67 เพิ่มอีก 0.78 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 4.7% จากราคาปัจจุบัน
รวมทั้งปี 67 เปิดตัว 41 โครงการ มูลค่า 52,380 ล้านบาท สูงสุดเท่าที่เคยมีมา ส่วนใหญ่เป็นแนวราบ 37 โครงการ มูลค่า 46,580 ล้านบาท แนวสูง 4 โครงการ มูลค่า 5,800 ล้านบาท ทำ Presale 26,743 ล้านบาท -7.4% YoY
ปี 68 รุกตลาดคอนโด คาดกำไรแข็งแกร่งกว่าอุตฯ
แผนปี 68 เปิดตัว 36 โครงการ รวมมูลค่า 46,000 ล้านบาท แม้ลดลงกว่าปีก่อนแต่ถือว่ายังอยู่ในระดับที่สูงกว่าอดีตที่เคยเปิดมา โดยเปิดตัวแนวราบ 28 โครงการ มูลค่ารวม 33,170 ล้านบาท ลดลง YoY ขายร่วมกับแนวราบที่เปิดตัวค่อนข้างมากในปีก่อน เปิดตัวคอนโด 8 โครงการ มูลค่า 12,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ในภาวะภาพรวมของตลาดที่ทำยอดขายได้ไม่ดี ธนาคารยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อโครงการให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯ ซึ่งจะกระทบกับการปล่อยสินเชื่อของโครงการคอนโดใหม่ๆ
ทำให้ในปี 68 จะยังมีซัพพลายคอนโดใหม่เข้ามาลดลง เป็นข้อได้เปรียบของ SPALI ที่มีฐานะทางการเงินที่ดี IBD/E 0.7 เท่า ต้นทุนทางการเงิน 2.97% ตํ่ากว่า MLR เฉลี่ยที่ 6% หันเข้ามาบุกตลาดคอนโดเพิ่มมากขึ้น และด้วยต้นทุนที่ดินที่ต่ำทำให้มีความได้เปรียบในด้านการกำหนดราคาที่ต่ำกว่าแสนบาท/ตรม. เพื่อหวังกินส่วนแบ่งการตลาดในเซกเมนต์นี้
โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขาย 32,000 ล้านบาท สูงขึ้น YoY หลักมาจากการขายคอนโดในปีนี้ที่เปิดโครงการเพิ่มขึ้น ตั้งเป้ารายได้ 30,000 ล้านบาท ลดลง YoY เนื่องจากปี 68 มีคอนโดครบกำหนดโอนเข้ามาลดลง กอปรกับเน้นขายโครงการแนวราบ RTM ที่เปิดตัวในปี 67 ค่อนข้างมาก ส่วนผลประกอบการปี 68 คาดว่ายังคงแข็งแกร่งกว่าอุตฯ จากการลงทุนที่ออสเตรเลียเพิ่มกว่าเท่าตัว (ส่วนแบ่งกำไร) เข้ามาเสริมทดแทนรายได้โอนในไทยที่ลดลง
ราคาพื้นฐานปี 68 ที่ 19.50 บาท/หุ้น อิง P/E 6.5 เท่า
ทางฝ่ายฯ ปรับลด GPM ปี 68 ลง จากคาดว่าแนวสูงมีสัดส่วนรายได้โอนลดลงกว่าปี 67 ปรับกำไรปี 68 ลง 7.5% อยู่ที่ 5,689 ล้านบาท ทรงตัว YoY ใช้ P/E เฉลี่ย 1 ปีย้อนหลังที่ 6.5 เท่า บวกค่าความยั่งยืนของกิจการที่ 0.8% ปรับราคาพื้นฐานลงมาที่ 19.50 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”