TFG ผลิตอาหาจากไก่และสุกร อันดับ 3 ของประเทศ [HoonVision x FynnCorp]

บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) [TFG]

  • ผู้ผลิตชิ้นส่วนจากไก่และสุกร รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ
  • ดำเนินธุรกิจใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธุรกิจไก่ สุกร อาหารสัตว์ ร้านค้าปลีก และอื่นๆ
  • ประกอบธุรกิจครบวงจร ตั้งแต่ฟาร์มเพาะพันธุ์จนถึงจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีก ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต

Key Highlights

  • กว่า 37 ปีในธุรกิจผู้ผลิตอาหาร ขายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเน้นการส่งออก ควบคู่กับการขยายช่องทางจัดจำหน่ายในประเทศผ่านร้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัทเอง
  • ขยายการเติบโตผ่านธุรกิจค้าปลีก ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ด้วยสาขาที่ขยายไปแล้วกว่า 368 สาขาทั่วประเทศ และยอดขายต่อวันต่อสาขาเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ 156,117 บาท ในปัจจุบัน
  • เสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย (4.5% – 4.6%) ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน แก่ผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยบริษัทผู้ออกมีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด และเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 4-6 มีนาคม 2568

จากธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ สู่ผู้ผลิตครบวงจรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

จุดเริ่มต้นของ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TFG) มาจากในปี 2530 คุณวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ได้เริ่มประกอบธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ฟาร์มแรกในจังหวัดลพบุรี ด้วยกำลังการผลิต 20,000 ตัว และในปี 2544 ได้จดทะเบียนจัดตั้งภายใต้ชื่อ บริษัท ไทยฟู้ด (2001) จำกัด ต่อมาในปี 2545 มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น ไทย ฟู้ดส์ โพลทรีย์ อินเตอร์เนชั่นเเนล จำกัด ในระหว่างนี้ บริษัทได้ขยายขอบเขตธุรกิจไปสู่โรงผลิตชิ้นส่วนไก่ ฟาร์มไก่พ่อแม่พันธุ์ ฟาร์มสุกร โรงผลิตอาหารสัตว์ ตามลำดับ รวมถึงเริ่มธุรกิจเลี้ยงสุกรในประเทศเวียดนามครั้งแรกในปี 2556 จนกระทั่งแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในปี 2557 ภายใต้ชื่อ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เช่นในปัจจุบัน และดำเนินธุรกิจในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ผ่านบริษัทย่อยและบริษัทร่วม

ปัจจุบัน บริษัทเป็นผู้ผลิตอาหารแบบครบวงจรที่เชี่ยวชาญในการผลิตไก่และสุกร ดำเนินธุรกิจในไทยและเวียดนาม ลักษณะผลิตภัณฑ์ แบ่งได้ตามกลุ่ม ดังนี้

 

  • ธุรกิจไก่ (Poultry Business) ดำเนินการเพาะพันธุ์ไก่ ผลิตและจำหน่ายลูกไก่ ชิ้นส่วนไก่ และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อไก่ (ไส้กรอกไก่และสินค้าปรุงสุก)
  • ธุรกิจสุกร (Swine Business) ดำเนินการเพาะพันธุ์สุกร การจำหน่ายสุกรมีชีวิต และชิ้นส่วนสุกร
  • ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed mill Business) ดำเนินการผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ เน้นสำหรับไก่และสุกร
  • ธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลีก ผ่านร้านค้าปลีก ซึ่งสินค้าประเภทวัตถุดิบประกอบอาหาร จะเป็นสินค้าจากโรงงานของกลุ่มบริษัท ได้แก่ ชิ้นส่วนไก่-สุกร สินค้าแปรรูป รวมถึง ผักสด เครื่องปรุง น้ำมัน ของแห้ง
  • ธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ให้บริการศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีนและเวชภัณฑ์ การผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสัตว์และอุปกรณ์การเกษตร ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มและซอสปรุงรส เป็นต้น รวมถึง การให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้บริษัทย่อย บริษัท มันนี่ ฮับ เซอร์วิส จำกัด

กำลังการผลิต 500,000 ตัวต่อวัน ในธุรกิจฟาร์มไก่ และ 160,000 ตัวต่อเดือน ในธุรกิจสุกร

บริษัทมีฟาร์มไก่ 19 ฟาร์ม โรงฟักไข่ 7 โรง ฟาร์มเกษตรกรภายใต้พันธะสัญญา จำนวน 255 ราย โรงชำแหละชิ้นส่วนไก่ 3 โรง และโรงงานผลิตไส้กรอกไก่ 2 โรง ส่วนธุรกิจสุกรในไทยและเวียดนาม ประกอบด้วย ฟาร์มสุกร 28 ฟาร์ม ฟาร์มเกษตรกรภายใต้พันธะสัญญา 492 รายในไทย 111 รายในเวียดนาม โรงชำแหละรวม 3 โรง ธุรกิจอาหารสัตว์ มีโรงงานในไทย จำนวน 6 โรง กำลังการผลิตประมาณ 250,000 ตันต่อเดือน

บริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่าย ได้แก่ ส่งออก อุตสาหกรรมอาหารทั้งในประเทศและเพื่อการส่งออก ร้านอาหาร บริษัทค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) และนายหน้าซื้อขาย เป็นต้น รวมถึงจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกภายใต้บริษัทย่อย โดยธุรกิจไก่จะเน้นการส่งออกเป็นหลัก หรือคิดเป็น 42% ไปในญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน ยุโรป เป็นหลัก ขณะเดียวกันก็มีการปรับช่องทางการขายภายในประเทศมากขึ้น และบริษัทมีการเน้นช่องทาง Retail shop มากขึ้นแทนช่องทาง Modern trade บางส่วน ส่วนธุรกิจสุกร เน้นการจำหน่ายในร้านค้าปลีกมากขึ้น

โครงสร้างรายได้ ธุรกิจค้าปลีกกลายมาเป็นธุรกิจหลัก

ธุรกิจค้าปลีกกลายมาเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนรายได้มากสุดของบริษัทในงวด 9 เดือน ปี 2567 หรือคิดเป็น 36% ของรายได้จากการขาย จากเดิมที่ธุรกิจไก่จะเป็นธุรกิจหลัก ซึ่งปัจจุบัน คิดเป็น 28% ของรายได้จากการขาย ตามมาด้วยธุรกิจสุกร และธุรกิจอาหารสัตว์ ตามลำดับ

ผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นต่อเนื่องในปี 2567

รายได้จากการขายมีการขยายตัวต่อเนื่อง QoQ มาอยู่ที่ 47,530 ล้านบาทในงวด 9 เดือน 2567 เพิ่มขึ้น 15% YoY ส่วนกำไรสุทธิในช่วงเดียวกัน อยู่ที่ 2,266 ล้านบาท เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 49 ล้านบาท โดยปัจจัยสนับสนุนหลัก มาจาก ราคาไก่ที่เพิ่มขึ้น ราคาสุกรทั้งในไทยและเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสุกรที่เวียดนามมีการเพิ่มขึ้นทั้งด้านปริมาณและราคา จากการขยายฟาร์มของบริษัท รวมถึงการขยายสาขาของร้านค้าปลีกในไทย อีกทั้ง บริษัทมีการบริหารการจัดซื้อวัตถุดิบ ส่งผลต่อต้นทุนที่ลดลง

 

ขยายการเติบโตผ่านธุรกิจค้าปลีกด้วยหน้าร้านกว่า 360 สาขาทั่วประเทศ

บริษัทได้เริ่มดำเนินธุรกิจค้าปลีกในปี 2563 ภายใต้ บริษัท ไทย ฟู้ดส์ เฟรช มาร์เก็ต จำกัด โดยสินค้าที่จำหน่ายเป็น ชิ้นส่วนไก่และสุกร ผักสด เครื่องปรุง ของแห้ง โดยปัจจุบัน มีสาขาที่เปิดให้บริการแล้ว 368 สาขา (ณ ไตรมาส 3/ 2567) แบ่งเป็นแหล่งชุมชนในกรุงเทพและปริมณฑล 65 สาขา และ ต่างจังหวัดอีก 303 สาขา โดยรายได้ต่อวันต่อสาขามีการเติบโตต่อเนื่องจาก 88,964 บาท ในปี 2563 สู่ 156,117 บาทในปี 2567

หุ้นกู้ TFG อันดับเครดิต BBB ไม่มีประวัติเลื่อนหรือผิดนัดชำระ

ทริสคงอันดับเครดิตองค์กรของ TFG ที่ระดับ BBB แนวโน้มอันดับเครดิตคงที่ รวมถึงจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ระดับ BBB ณ วันที่ 10 มกราคม 2568 โดยอันดับเครดิตแสดงถึงสถานะทางธุรกิจที่ดีขึ้นจากการขยายไปสู่กิจการค้าปลีก พร้อมทั้งควบคุมต้นทุน แต่ขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังเผชิญกับความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอาหารสัตว์ และการก่อหนี้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายลงทุนจำนวนมากของบริษัท

ประวัติอันดับเครดิตองค์กร (Issuer rating)

ข้อกำหนดการดำรงอัตราส่วนทางการเงิน บริษัทในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ มีหน้าที่ดำรงอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net debt to equity) ตามข้อกำหนดสิทธิ ตลอดอายุของหุ้นกู้ตามงบการเงินรวม ณ วันสิ้นงวดบัญชีแต่ละปี ไม่เกิน 2:1 เท่า โดย ณ ไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทดำรงอัตราส่วนนี้ 1.13 เท่า ซึ่งมีแนวโน้มดีขึ้นจากปี 2566 ที่มีค่า 1.59 เท่า

หุ้นกู้คงค้าง ปัจจุบัน TFG มีหนี้หุ้นกู้ระยะยาวในตลาด จำนวน 6 รุ่น รวมมูลค่า 6,610.6 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ มีหุ้นกู้ Social bond (SB) อยู่ 4 รุ่น ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่ระดมทุนไปเพื่อพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดีขึ้น อย่างที่ TFG มีการออก Social bond ไปเพื่อนำเงินส่วนนี้ไปซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกร เป็นการช่วยสนับสนุนความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของชุมชนในท้องถิ่น นอกจากนี้ บริษัทยังไม่มีหุ้นกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระในเร็วๆนี้

เสนอขายหุ้นกู้ แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด (เริ่มนับจากวันครบกำหนด 6 เดือน นับจากวันออกหุ้นกู้) อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย (4.5% – 4.6%) ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน และเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 4-6 มีนาคม 2568

วัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อที่จะนำเงินที่ได้ไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนในวงเงินไม่เกิน 1.5 พันล้านบาท และให้บริษัทย่อยกู้ยืมเงิน เพื่อลงทุนขยายร้านค้าปลีก ขยายโรงงานและฟาร์ม เป็นต้น

โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่

- บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด
- บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด
- บริษัท หลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด
- บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด
- บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด
- บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)
- บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
- บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 
- บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจ TFG

ความไม่แน่นอนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ มาจากที่รายได้จากการขายของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการจำหน่ายลูกไก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ สุกรขุน และสุกรชำแหละ โดยราคาสินค้าขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของสินค้าในแต่ละช่วงนั้นๆ หากอุปสงค์มีมากกว่าอุปทานอาจทำให้บริษัทไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทัน ขณะที่หากอุปทานมากกว่าอุปสงค์จะทำให้ราคาลดลง ส่งผลต่อรายได้ของบริษัทลดลงตาม

บริษัทจึงบริหารความเสี่ยงนี้ โดยการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายมากขึ้น เช่น การส่งออก การจำหน่ายเข้าสู่ร้านอาหารขนาดใหญ่โดยตรง และการสร้างช่องทางจำหน่ายเองผ่านร้านค้าปลีก รวมถึงการดำเนินธุรกิจที่เวียดนาม ซึ่งการขยายช่องทางการขายไปต่างประเทศจะช่วยลดความผันผวนของราคาในประเทศไทย

ความไม่แน่นอนของราคาวัตถุดิบ อย่าง ข้าวโพด กากถั่ว ข้าวสาลี ซึ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ โดยราคาตลาดมีความไม่แน่นอน เนื่องจากขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานเช่นเดียวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ข้อกีดกันทางการค้า สภาพภูมิอากาศ เป็นต้น โดยราคาที่เปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทโดยตรง โดยบริษัทมีการบริหารวัตถุดิบให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ รวมทั้ง จัดหาวัตถุดิบทดแทนหากราคาวัตถุดิบหลักมีความไม่แน่นอนสูง

ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ จากการที่บริษัทมีสัดส่วนการส่งออกสูงและนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักรจากต่างประเทศ จึงเสี่ยงต่อการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีทีมงานที่คอยดูแลและวิเคราะห์เป็นรายวันเพื่อพิจารณาการป้องกันความเสี่ยงตามช่วงเวลาที่เหมาะสม ด้วยเครื่องมือทางการเงินกับสถาบันการเงินหลายแห่ง รวมถึง การจ่ายชำระและรับชำระเงินสำหรับสินค้าส่งออกเป็นสกุลเงินเดียวกัน เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้บางส่วน

ความเสี่ยงจากการมีหนี้หุ้นกู้อยู่ในระดับสูง ด้วยสัดส่วนของตราสารหนี้คิดเป็น 41.05% ของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 รวมถึง มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดภายใน 1 ปีค่อนข้างมาก มูลค่า 14,627.11 ล้านบาท หรือ 63.93% ของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยทั้งหมด ดังนั้น หากผลการดำเนินงาน หรือ แผนการหาเงินทุนไม่เป็นไปตามคาด อาจส่งผลต่อความเสี่ยงในการชำระหนี้ของบริษัทได้

แชร์:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ERW ผู้พัฒนาลงทุนในธรุกิจโรงแรมชั้นนำ [HoonVision x FynnCorp]

ERW ผู้พัฒนาลงทุนในธรุกิจโรงแรมชั้นนำ [HoonVision x FynnCorp]

ADVANC ปี67 กำไรพุ่ง3.5หมื่นล้าน อนุมัติปันผลที่5.74 บ.ต่อหุ้น XD 20 ก.พ.68

ADVANC ปี67 กำไรพุ่ง3.5หมื่นล้าน อนุมัติปันผลที่5.74 บ.ต่อหุ้น XD 20 ก.พ.68

THCOM ปี67 ขาดทุน 23ล้านบาท จากเงินบาทแข็งค่า แต่กำไรหลักธุรกิจดาวเทียมแข็งแกร่ง

THCOM ปี67 ขาดทุน 23ล้านบาท จากเงินบาทแข็งค่า แต่กำไรหลักธุรกิจดาวเทียมแข็งแกร่ง

BGRIM ราคาหุ้นมีอัพไซด์ คาดกำไรไตรมาส1/68 ที่ 400ล.

BGRIM ราคาหุ้นมีอัพไซด์ คาดกำไรไตรมาส1/68 ที่ 400ล.

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด