หุ้นวิชั่น – THCOM ปี 2567 ขาดทุนสุทธิที่ 23 ล้านบาท จากปัจจัยชั่วคราวจากอัตราแลกเปลี่ยน จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่..มีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 109 ล้านบาท ยันธุรกิจหลักกำไรที่แข็งแกร่ง ลุยขยายตลาดอินเดีย-เตรียมรับดีมานด์ USO เฟส 3
บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือTHCOM ระบุถีง ในปี 2567 แม้บริษัทจะเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ท้าทาย บริษัทสามารถมีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 109 ล้านบาท และหากพิจารณาเฉพาะธุรกิจด้านดาวเทียม บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่รวมธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับดาวเทียมและส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจโทรคมนาคม จำนวน 175 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติ 66 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของธุรกิจหลัก
บริษัทมีผลขาดทุนส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในปี 2567 จำนวน 23 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยชั่วคราวจากอัตราแลกเปลี่ยน จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2567 โดยสถานการณ์การแข็งค่าของค่าเงินบาทดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก รวมถึงบริษัท ซึ่งมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากต่างประเทศ ทั้งนี้ บริษัทตระหนักถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบ เช่น การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ นอกจากนี้ ในปี 2566 บริษัทรับรู้รายได้อื่นจำนวน 310 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ค่าชดเชยจากข้อพิพาทกับบริษัทคู่สัญญารายหนึ่ง
บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (บริษัท หรือ ไทยคม) มีรายได้จากการขายและการให้บริการในปี 2567 จำนวน 2,413 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับรายได้จำนวน 2,627 ล้านบาทในปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการลดการใช้งานของลูกค้าในส่วนที่ดาวเทียมดวงใหม่ไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทยังคงมุ่งมั่นขยายการให้บริการในภูมิภาคอื่นๆ ที่มีศักยภาพ รวมถึงรายได้ที่ลดลงจากรอยต่อของสัญญาโครงการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (Universal Service Obligation: USO) ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โครงการ USO ระยะที่ 2 จะกลับมาเดินหน้าต่อในช่วงไตรมาสที่ 1/2568
ขณะที่การประมูลสำหรับ USO ระยะที่ 3 มีกำหนดจะเกิดขึ้นภายในไตรมาสเดียวกัน ซึ่งจะมีการให้บริการด้านดาวเทียมรวมอยู่ในโครงการนี้เช่นเดียวกัน โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมและดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
ในปี 2567 บริษัทประสบความสำเร็จในการได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการดาวเทียมในประเทศอินเดีย จาก IN-SPACe ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงอวกาศของรัฐบาลอินเดีย นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายโอกาสทางธุรกิจในตลาดที่มีศักยภาพสูง เพื่อตอบสนองความต้องการด้านบรอดแบนด์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศอินเดีย ซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน บริษัท ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ และส่งมอบผลลัพธ์ที่เป็นไปตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ บริษัทสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรดาวเทียมในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการลงนามในสัญญาร่วมมือกับ บริษัท ฮิวจ์ คอมมิวนิเคชัน อินเดีย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดาวเทียมชั้นนำในประเทศอินเดีย ด้วยส่วนแบ่งการตลาดราว 70% ภายใต้ข้อตกลงนี้ บริษัทจะเริ่มให้บริการช่องสัญญาณบน ดาวเทียมไทยคม 8 ในไตรมาส 1/2568 และขยายไปสู่ดาวเทียมดวงใหม่ของบริษัทที่จะถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทได้ดำเนินโครงการร่วมกับภาครัฐ โดยร่วมมือกับ กองทัพอากาศ และ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านเทคโนโลยีดาวเทียมและโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ
สำหรับธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์ในต่างประเทศ ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในการร่วมค้าปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชัน มหาชน (LTC) มีรายได้และกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายการปรับโครงสร้างราคาค่าบริการโทรคมนาคมของกระทรวงคมนาคมและการสื่อสาร ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจาก สกุลเงินกีบ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 จึงทำให้บริษัทยังคงรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนในการร่วมค้า