หุ้นวิชั่น – SCC (คาดประกาศงบ 30 เม.ย.2568) ไตรมาส 1/2568 คาดพลิกมีกำไรสุทธิ 652 ล้านบาท จากไตรมาส 4/2567 ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 512 ล้านบาท เหตุเข้า High Season ภาคก่อสร้างและบรรจุภัณฑ์, การกลับมาผลิตของโรงงาน VCM ที่หยุดซ่อม ส่วนธุรกิจเคมีภัณฑ์ยังคงกดดัน ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2/2568 คาดผลการดำเนินเริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (CBM) จากการปรับราคาปูนซีเมนต์ในประเทศ
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) (UOBKHST) กล่าวว่า คาดการณ์ผลการดำเนินงานของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) จะมีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 652 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุนสุทธิ 512 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2567 และกำไรสุทธิ 2.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/2567 มาจากธุรกิจ CBM จะฟื้นตัว QoQ จาก demand ในประเทศที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมียังคงมีผลขาดทุนต่อเนื่อง
ธุรกิจ CBM ฟื้นตัวจากความต้องการในประเทศที่เพิ่มขึ้น กำไรจากธุรกิจ CBM ฟื้นตัวแบบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) จากยอดขายในประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล สอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ซึ่งระบุว่า ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศ (Domestic Demand) เฉลี่ยต่อเดือนในไตรมาส 1/2568 ปรับเพิ่มขึ้น 3% QoQ และ 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)
การฟื้นตัวของยอดขายส่วนหนึ่งมาจากความต้องการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหลังเหตุอุทกภัยช่วงปลายปี 2567 รวมถึงโครงการภาครัฐที่มีการลงทุนเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ SCG Décor (SCGD)
ธุรกิจปิโตรเคมียังคงขาดทุน คาดว่าธุรกิจปิโตรเคมี (SCGC) ยังคงมีผลขาดทุนราว 3.5 พันล้านบาท เทียบกับไตรมาส 4/2567 ที่ขาดทุน 3.4 พันล้านบาท เนื่องจากส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ PE และ PP (Spread) แม้จะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแบบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) แต่ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยยอดขายที่ลดลงจากการหยุดดำเนินการผลิตโครงการ LSP โดย SCC ได้ประกาศหยุดดำเนินงานโครงการ LSP ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2567
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ฟื้นตัว QoQ คาดว่า SCG Packaging (SCGP) จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 850 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาทในไตรมาส 4/2567 โดยเป็นผลมาจากยอดขายที่ปรับเพิ่มขึ้น, ต้นทุนในการดำเนินงานที่ลดลง ทั้งจากราคากระดาษรีไซเคิล (Recycle Paper) และราคาถ่านหินที่ลดลง, ผลขาดทุนจาก Fajar ที่ลดลง และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจำนวนมากเหมือนไตรมาสก่อนหน้า
คาดกำไรสุทธิ 2Q68 เพิ่มขึ้น QoQ คาดว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะมีผลขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) จากการฟื้นตัวของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PE และ PP ในไตรมาส 2/2568 โดยเพิ่มขึ้น 26% QoQ และ 20% QoQ ตามลำดับ จากผลของราคานาฟทาที่ปรับลดลง ขณะที่ยอดขายของธุรกิจปิโตรเคมีคาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจากยอดขายธุรกิจซีเมนต์ที่คาดว่าจะปรับลดลงตามฤดูกาล และการรับรู้ Stock loss ที่เพิ่มขึ้นจากราคานาฟทาที่ลดลง
โครงการ LSP ยังไม่กลับมาดำเนินงานในปี 2568 ยังคงมีมุมมองเดิมว่าโครงการ LSP จะยังไม่สามารถกลับมาดำเนินงานได้ภายในปี 2568 แม้ว่า Spread ของ PE และ PP จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามราคานาฟทาที่ลดลง แต่ราคาผลิตภัณฑ์ยังคงลดลง สะท้อนภาพของ Demand ที่ยังอ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม แม้การฟื้นตัวของ Spread จะเป็นปัจจัยหนุนในระยะสั้น แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับการกลับมาเดินเครื่องของโครงการ LSP ภายในปีนี้ ทั้งนี้ SCC คาดว่าจะหยุดดำเนินการโครงการดังกล่าวเป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2567 ขณะเดียวกัน ยังมีความเสี่ยงจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น จากกรณีการประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)
ปรับประมาณการกำไรสุทธิลดลง 6% สำหรับปี 2568–2569 เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการกำไรของกลุ่มธุรกิจ Packaging ส่งผลให้คาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะอยู่ที่ 5,700 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน (YoY) และกำไรสุทธิในปี 2569 จะอยู่ที่ 15,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171% YoY
ยังคงแนะนำ “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 160 บาท โดยใช้วิธี Sum-of-the-Parts ประเมินมูลค่าของแต่ละธุรกิจโดย
- ธุรกิจเคมิคอล: ใช้ -2.0SD ของ PBV ที่ระดับ 0.37x
- ธุรกิจ Cement: ใช้ P/E ที่ 12 เท่า
- SCGP: ประเมินจาก -2.0SD ของ Forward P/E ที่ 16 เท่า
แม้ว่า Spread ของ PE จะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 2/2568 แต่ยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อธุรกิจปิโตรเคมี จากการฟื้นตัวของความต้องการ (Demand) ที่ล่าช้า และกำลังการผลิตใหม่ที่ทยอยเริ่มดำเนินการ ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวของ Spread ในกลุ่มธุรกิจ Olefins นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ (Trump’s Tariff)
คาดQ1พลิกเป็นกำไร QoQ
บล.หยวนต้า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 จะทำได้ 602 ล้านบาท -75%YoY จากทิศทาง Spread ปิโตรเคมีถูกกดดันจากอุปทานล้นตลาด, ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลังการ COD LSP เต็มรูปแบบ, ค่าใช้จ่ายทางการเงินและผลขาดทุนของ Fajar เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนถือหุ้นตั้งแต่ไตรมาส 3/2567 ทั้งนี้หากเทียบกับไตรมาส 4/2567 แม้ว่าเงินปันผลรับจากการลงทุนลดลงตามฤดูกาล, อุปสงค์ปิโตรเคมีชะลอตัวช่วงเทศกาลวันหยุด, ปริมาณขายปิโตรเคมีลดลงจากการหยุดผลิตของ LSP, ไม่มีกำไรสินค้าคงคลังจำนวนมากเข้ามาช่วย
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าผลประกอบการจะฟื้นตัว QoQ พลิกจากขาดทุน 512 ล้านบาท ได้หนุนจากการเข้าสู่ High Season ของภาคก่อสร้างและบรรจุภัณฑ์, การกลับมาผลิตของโรงงาน VCM ที่หยุดซ่อมในช่วงก่อน, อัตรากำไรธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้นหลังต้นทุนวัตถุดิบชะลอตัวและผ่านช่วงปิดซ่อมโรงงาน
กำไรไตรมาส 2/2568 ดีขึ้น
หากไตรมาส 1/2568 เป็นไปตามคาดจะคิดเป็น 8% ของทั้งปี อย่างไรก็ตามคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 7.4 พันล้านบาทไว้ก่อน เพราะแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/2568 เร่งตัวขึ้นเบื้องต้นคาดจะยังลดลง YoY แต่เมื่อเทียบ QoQ คาดยังสามารถฟื้นตัวต่อเนื่องหนุนจาก 1.การปรับตัวลงของต้นทุนน้ำมันช่วยให้ Spread ปิโตรเคมีฟื้นตัว 2. ประโยชน์จากการปรับขึ้นราคาขายปูนซีเมนต์ 400 บาท/ตัน (ตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค.) 3) รายได้เงินปันผลรับเพิ่มขึ้นรอบจ่ายปันผล 4. ปริมาณขายปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล นอกจากนี้ประมาณการยังไม่รวมกำไรพิเศษจากปิดดีลลงทุนโรงกลั่น–ปิโตรเคมีในสิงคโปร์ของChandra Asri (SCC ถือ30%)
ระยะสั้น Spread มีแรงหนุน
ผลกระทบต่อนโยบายภาษีในระยะสั้นยังค่อนข้างจำกัดเพราะ 1. สัดส่วนรายได้ส่งออกไปสหรัฐฯเล็กน้อย (ราว1%) 2. แรงกดดันต่อ Spread ปิโตรเคมีเหลือไม่มาก เนื่องจากที่ผ่านมาไตรมาส 1/2568 Spread HDPE และ PP อยู่ใกล้เคียงสถิติต่ำสุดเริ่มไม่คุ้มค่าการผลิตโดยเฉพาะผู้ผลิตต้นทุนสูงที่ไม่มีผลิตภัณฑ์ HVA และไม่มีการบูรณาการสายการผลิต 3. ความขัดแย้งสหรัฐฯ vs จีนอาจส่งผลต่ออุปทานวัตถุดิบก๊าซของโรงงานปิโตรเคมีในจีน 4. ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบ Naphtha ลดลงตามราคาน้ำมันส่งผลให้ Spread HDPE-Naphtha และPP-Naphtha ล่าสุดอยู่ที่ US$402/ตัน และ US$438/ตัน ตามลำดับ สูงกว่าสมมติฐานที่ US$380/ตันและUS$350/ตันตามลำดับ
อย่างไรก็ตามยังคงมุมมองระมัดระวังในระยะกลาง-ยาว เนื่องจากสถานการณ์ยังผันผวนและหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวรุนแรงอาจกดดันให้ Spread ปิโตรเคมีหรือทำให้Spread อยู่ในวัฏจักรขาลงนานกว่าคาด
เน้นเก็งกำไรรอบสั้น
คงราคาเหมาะสม180.00 บาทและคำแนะนำ TRADING จาก1. แนวโน้มกำไร 1H68 ฟื้นตัว QoQ ต่อเนื่อง 2. สงครามการค้าผ่อนคลาย และผลกระทบต่อหุ้นยังค่อนข้างจำกัด อีกทั้ง Spread ได้แรงหนุนจากต้นทุนน้ำมันลดลง 3. ปัจจุบันซื้อขายบน PBV 0.5 เท่า-1.6SD และมี Div.Yield 3.4% อย่างไรก็ตามเราเน้นเก็งกำไรรอบสั้นเท่านั้นเพราะสถานการณ์ตอบโต้นโยบายภาษียังเปลี่ยนแปลงได้ตลอดและหุ้นเป็น Commodities Play ได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวรุนแรง
รายงานโดย : พชรธร ภูมิคำ รองบรรณาธิการข่าว Hoonvision