[Vision Exclusive] GPSC เตรียมแผนรับมือ Ft – ดีล M&A


          หุ้นวิชั่น – GPSC เตรียมรับมือนโยบายค่า FT ปี 68 คาดผันผวนตลอดปี พร้อมรักษาความสามารถในการทำกำไร เดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ด้านโครงการ AEPL จ่ายฟ้าเข้าระบบ17-18 กิกะวัตต์ (GWh) และ มีแผน M&A ต่อเนื่อง โบรกมองQ4/67 คาดกำไรสุทธิ 898 ลบ. พุ่ง 88% กำไรปกติทั้งปี 67 คาดอยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท เติบโต 28% ผลการดำเนินงานโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) ที่ดีขึ้นตามต้นทุนก๊าซที่ลดลง

          นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า บริษัทฯ ได้เตรียมแผนรับมือนโยบายค่าไฟฟ้า (FT) ของภาครัฐ ที่คาดว่าจะมีความผันผวนตลอดทั้งปีนี้ เพื่อรักษาระดับความสามารถในการทำกำไร ผ่านการเข้าไปเจรจา เพื่อทำความเข้าใจถึงแนวโน้มค่าไฟฟ้า กับทางลูกค้าอุตสาหกรรม เนื่องปัจจุบัน GPSC มีสัดส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าดังกล่าวอยู่ราว 28%

          “มองว่าแนวโน้มนโยบายค่า FT ในปีนี้น่าจะมีความผันผวนอยู่พอสมควร ซึ่งเราก็ยอมรับว่าเราได้รับผลกระทบ แต่บริษัทได้มีแผนเตรียมรับมือเอาไว้ บริหารจัดการลูกค้า รวมถึงเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพยายามพูดคุยกับลูกค้าถึงแนวโน้มค่าไฟฟ้าที่มีความผันผวน โดยบริษัทมีความพยายามที่จะรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ และควบคุมต้นทุนภายใน” นักลงทุนสัมพันธ์ กล่าว

          สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตใหม่ จากการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย (Avaada Energy Private Limited :AEPL) รวม 17-18 กิกะวัตต์ (GWh) นอกจากนี้ยังมีแผนเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการพิจารณาหลายโครงการ อย่างไรก็ตามหากมีความคืบหน้า หรือมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว บริษัทฯ จะแจ้งให้กับนักลงทุนทราบต่อไป
กลยุทธ์การดำเนินงานในปี 68 บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นแผนกลยุทธ์ 4S ประกอบด้วย

          กลยุทธ์ที่ 1 (Strengthen and Expand the Core) มุ่งเน้นสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจการผลิตและส่งจ่าย สาธารณูปการให้เป็นเลิศ (Best-in-Class Strategy) ในระดับสากลภายในปี 2568 โดยใช้ระบบปฏิบัติการสู่ความเป็นเลิศ หรือ Operation Excellence Management System (OEMS) ของกลุ่ม ปตท. เป็นเครื่องมือในการดำเนินการ เพื่อตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้หลักการให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง สามารถรักษาฐานลูกค้าปัจจุบัน พร้อมทั้ง ขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมในอนาคต และสร้างความพึงพอใจให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยมุ่งเน้นความเป็นเลิศ ใน 4 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัย (Safety) ความมีเสถียรภาพ (Reliability) ความสามารถในการทำกำไร (Profitability) และความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งจะครอบคลุมไปถึงการลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่จะหมด สัญญาและการเพิ่มศักยภาพของบุคลากรเพื่อรองรับธุรกิจไฟฟ้าในอนาคต รวมถึงการขยายธุรกิจไปสู่สาธารณูปโภคชนิดอื่นๆ ที่ เกี่ยวข้องด้วย (Expansionintoadjacent business)

          กลยุทธ์ที่ 2 (Scale-up Green Energy) : มุ่งเน้นการขยายธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Renewable Hybrid System) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศจะมีการลงทุนเพื่อตอบโจทย์แผนพัฒนากาลัง ผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) และการลงทุนในรูปแบบ Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) ผ่านการเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access : TPA) ในอนาคต เพื่อตอบโจทย์ ลูกค้าที่ต้องการพลังงานสะอาด ในขณะที่การพัฒนาธุรกิจในต่างประเทศ บริษัทฯจะเน้นการลงทุนในประเทศเป้าหมายซึ่งมีการ ขยายตัวของความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสูงและมีนโยบายสนับสนุนที่ดีจากภาครัฐ ได้แก่ อินเดีย จีน และไต้หวัน

          ลยุทธ์ที่ 3 (New S-curve) : มุ่งเน้นการพัฒนาด้วยการลงทุนด้านนวัตกรรม New S-curves ในหลายรูปแบบ เพื่อเพิ่มรายได้ และรองรับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจพลังงานและธุรกิจไฟฟ้าในอนาคตที่สำคัญ ได้แก่ ธุรกิจ Renewable Value Chain เนื่องจากรัฐบาลในหลายประเทศมีนโยบายสนับสนุน นอกจากนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการศึกษาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเพื่อลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonized Solutions) เพื่อต่อยอดจากการใช้พลังงานหมุนเวียนซึ่งจะมีข้อจำกัดในด้านเสถียรภาพ โดยบริษัทฯ จะร่วมกับพันธมิตรในการศึกษา ระบบผลิต ไฟฟ้าแบบ Base Load ที่มีความจำเป็นสำหรับการรักษาเสถียรภาพของการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ เช่น เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) ไฮโดรเจน (Hydrogen) และ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในรูปแบบ Small Modular Reactor (SMR)

          กลยุทธ์ที่ 4 (Shift to Customer-centric Solutions) : มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจในรูปแบบการผลิตไฟฟ้าแบบกระจาย ศูนย์(Distributed Generation) ระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ (District Cooling System) และการบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management Services) ภายใต้นวัตกรรมพลังงานเพื่อธุรกิจ(Smart Power Solution Business) โดยมีเป้ าหมายเพื่อ ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มเสถียรภาพทางด้านพลังงานให้แก่ผู้ใช้บริการไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial) และอุตสาหกรรม (Industrial)

          บล.กสิกรไทย ระบุ แนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 900 ล้านบาท ถึง 1,000 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น YoY โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราค่าไฟฟ้าที่ทรงตัว (4.15 บาท/ kWh ในไตรมาส 1/2568 เทียบกับ 4.18 บาท/ kWh ในไตรมาส 1/2567) และต้นทุนก๊าซที่ลดลง ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรเต็มไตรมาสจากโครงการ Changfang และ Xidao (CFXD) ซึ่งเป็นโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งของไต้หวัน ซึ่งเริ่มดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในช่วงปลายปี 2567
*คาดไตรมาส 4/2567 จะเป็นไตรมาสที่ดีสำหรับช่วงโลว์ซีซั่น

          ฝ่ายวิจัยคาด GPSC จะรายงานงบการเงินไตรมาส 4/2567 ในวันที่ 17 ก.พ. ด้วยกำไรสุทธิที่ 898 ล้านบาท เติบโต 88% YoY และ 17% QoQ เราคาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ 918 ล้านบาท เติบโต 169% YoY แต่ลดลง 14% QoQ จากปัจจัยฤดูกาล โดยหากกำไรไตรมาส 4/2567 เป็นไปตามคาด กำไรปกติทั้งปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท เติบโต 28% YoY จากผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) ที่ดีขึ้นตามต้นทุนก๊าซที่ลดลง

          ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า SPP และโรงไฟฟ้าไซยะบุรีปรับตัวดีขึ้น กำไรปกติที่เติบโตเชิง YoY น่าจะมาจาก 1. ผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่ดีขึ้นตามอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น (อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 4.18 บาท/ kWh ในไตรมาส 4/2567 เทียบกับ 3.99 บาท/ kWh ในไตรมาส 4/2566) และต้นทุนก๊าซที่ลดลงเล็กน้อย และ 2. ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี (XPCL) จากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น แต่การลดลงของกำไรปกติเชิง QoQ สะท้อนถึงแนวโน้มตามฤดูกาลของอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าในไทย (ปริมาณขายไฟฟ้าลดลง) ซึ่งหักล้างผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้า XPCL จากระยะเวลาการปิดซ่อมบำรุงที่น้อยลง (17 วันในไตรมาส 3/2567 ปี 2567)

          ปัญหาต้นทุนถ่านหินไม่สอดคล้องกับรายได้ของโรงไฟฟ้า GHECO-One ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน (GHECO-One) ยังคงเผชิญปัญหาต้นทุนถ่านหินที่ไม่สอดคล้องกับรายได้ โดยคาดว่าจะมีผลกระทบราว 300 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2567 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับในไตรมาส 3/2567 ทั้งนี้โรงไฟฟ้ามีการปิดดำเนินการอีกครั้ง โดยมีการถูกสั่งการหยุดเดินเครื่องจาก กฟผ. (Reserved shutdown) ตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค.2567 ถึงเดือน ก.พ.2568 โดยความไม่สอดคล้องดังกล่าวจะคงอยู่ต่อไปในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยการไม่สอดคล้องกันของราคาถ่านหินอาจลดลงได้เมื่อมีการเดินเครื่องอย่างต่อเนื่อง

          ยังคงคำแนะนำ ซื้อ แต่อยู่ระหว่างทบทวนประมาณการและสมมติฐาน โดยมีความเสี่ยงขาลงจากนโยบายค่าไฟล่าสุด

รายงานโดย : พชรธร ภูมิคำ รองบรรณาธิการข่าว HoonVision

แชร์:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

SMPC ถังแก๊สกำไรพุ่ง61% จัดเต็มจ่ายปันผล 0.27 บาท 

SMPC ถังแก๊สกำไรพุ่ง61% จัดเต็มจ่ายปันผล 0.27 บาท 

SCGP กำไรปี67 ทรุด 30% กัดฟันปันผลอีก 30 สตางค์ 

SCGP กำไรปี67 ทรุด 30% กัดฟันปันผลอีก 30 สตางค์ 

หุ้นกู้ SENA ผู้เล่นอสังหาฯที่ปรับตัวตาม เมกะเทรนด์ [HoonVision x FynnCorp]

หุ้นกู้ SENA ผู้เล่นอสังหาฯที่ปรับตัวตาม เมกะเทรนด์ [HoonVision x FynnCorp]

SUN คาดปี68 โต 16% ชี้ราคาหุ้นไม่แพง เคาะ “ซื้อ”

SUN คาดปี68 โต 16% ชี้ราคาหุ้นไม่แพง เคาะ “ซื้อ”

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด