การลงทุน


SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าหลังเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือนมกราคม ออกมาที่ -9%MOM ต่ำกว่าตลาดคาดและต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี จากกลุ่มยานยนต์และอุปกรณ์กีฬา ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าต่อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มยานยนต์ในวันที่ 2 เมษายน ขณะที่นายกฯ เยอรมนีออกมาเตือนว่าพร้อมขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ หากสหรัฐฯเริ่มใช้ Tariffs ต่อ EU เศรษฐกิจยูโรโซนไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โต 1%QOQ สูงกว่าคาดการณ์

ส่อง 15 หุ้นเด่น ช่วงเปลี่ยนผ่าน LTF สู่ ThaiESG2

ส่อง 15 หุ้นเด่น ช่วงเปลี่ยนผ่าน LTF สู่ ThaiESG2

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.เอเซียพลัส ระบุว่า รมต.คลัง พบแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย ด้วยการยกระดับเก็บภาษีคนลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสกัดเงินไหลออก และเตรียมจัดตั้งกองทุนประหยัดภาษี ThaiESG2 เป้าหมายลงทุนหุ้นไทย 100% ซึ่งจะเป็นการนำเงินกองทุน LTF ที่ครบอายุมาลงทุน โดยคาดว่าระยะเวลาถือครองกองใหม่อยู่ที่ 5 ปี           กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หวังจะได้เม็ดเงินจากต่างชาติหนุน และกองทุนในประเทศหากมีการเปลี่ยนผ่านจาก LTF สู่ ThaiESG2 เน้นหุ้นขนาดใหญ่ Top 3 ในแต่ละ Sector ที่มี ESG Rating A ขึ้นไป รวมถึงยังมี P/E, PBV ต่ำกว่าปกติ อาทิ PTT CPALL BDMS CPN SCC CPF IVL TLI HMPRO PTTGC GPSC SCGP SAWAD TU AP เป็นต้น วันจันทร์นี้ ติดตาม GDP 4Q67 ไทย คาดโต 3.8% YoY และนักลงทุนเตรียมเฮรับกองทุน ThaiESG2 คาดลงทุนหุ้นไทย 100% คาดหนุนให้ SET สดใสในวันนี้           วันจันทร์นี้ ติดตาม GDP 4Q67 ไทย ซึ่ง Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ +3.8% YoY ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก รัฐบาลไทย ที่พยายามเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่างๆ ในไตรมาสดังกล่าว อาทิ แจกเงินเฟส 1, เติมเม็ดเงินให้ชาวนาไร่ละ 1000 บาท อีกทั้งไตรมาสนี้เป็น High Season ที่มีการจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้ว ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าว ออกมาเท่าคาด จะหนุนให้ GDP ทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ +2.65% YoY           ขณะที่ในปีหน้าสำนักเศรษฐกิจต่างๆ คาดการณ์ GDP 2568F ใกล้เคียงกับการประมาณการล่าสุดของ IMF และ WORLD BANK โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ +2.9% จากแรงหนุนภาคครัวเรือน (C) ทั้งการปรับขึ้นค่าจ้าง 400 บาท นำร่อง 4 จังหวัดเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 68 โครงการ EASY E-RECEIPT, แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2-3 รวมถึงภาคท่องเที่ยวไทยที่คาดหวังปัจจัยหนุนจากกระทรวงท่องเที่ยวออกโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ภายใต้ “โครงการไทยเที่ยวด้วยกัน” เฟส 6 ซึ่งจะเริ่มเปิดใช้สิทธิได้ในช่วงเดือน มิ.ย. 68           ขณะที่อีก 1 ประเด็นหนุน คือ รมต.คลังพบแนวทางฟื้นตลาดหุ้นไทย ด้วยการยกระดับเก็บภาษีคนลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสกัดเงินไหลออก แล้วได้เม็ดเงินกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย ซึ่งล่าสุดมูลค่า Foreign Currency Deposit (FCD) อยู่ไทยยังอยู่ระดับสูงมากราว 8.2 แสนล้านบาท อีกทั้งเตรียมจัดตั้งกองทุนประหยัดภาษี ThaiESG2 เป้าหมายลงทุนหุ้นไทย 100% ซึ่งจะเป็นการนำเงินกองทุน LTF ที่ครบอายุมาลงทุน (มูลค่า AUM คงเหลือประมาณ 1.8 แสนล้านบาท) โดยคาดว่าระยะเวลาถือครองกองใหม่อยู่ที่ 5 ปี ซึ่ง รมต.คลัง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 1-2 สัปดาห์นี้           ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หวังจะได้เม็ดเงินจากต่างชาติหนุน และกองทุนในประเทศหากมีการเปลี่ยนผ่านจาก LTF สู่ ThaiESG2 เน้นหุ้นขนาดใหญ่ Top 3 ในแต่ละ Sector ที่มี ESG Rating A ขึ้นไป รวมถึงยังมี P/E, PBV ต่ำกว่าปกติ อาทิ PTT CPALL BDMS CPN SCC CPF IVL TLI HMPRO PTTGC GPSC SCGP SAWAD TU AP เป็นต้น

3 เหตุผล จังหวะสำคัญลงทุน Bitcoin

3 เหตุผล จังหวะสำคัญลงทุน Bitcoin

          หุ้นวิชั่น - การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เน้นความยั่งยืนและมีความรู้เป็นพื้นฐานสำคัญ จากผลสำรวจของ Binance TH Academy พบว่านักลงทุนรุ่นใหม่ ๆ กำลังให้ความสำคัญกับการศึกษาและสร้างความเข้าใจในการลงทุนกับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น แทนที่จะเป็นการตัดสินใจลงทุนตามกระแสเหมือนในอดีต พฤติกรรมการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลที่เปลี่ยนไป           จากการสำรวจของเราล่าสุด พบว่าคนไทยที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงลังเลที่จะเริ่มต้น โดยมีสองเหตุผลหลักคือ 1. กังวลเรื่องความผันผวนของราคาและ 2. ขาดความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนในปี 2025 กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากการพัฒนาการเรียนรู้แบบเชิงรุกและมีนวัตกรรมการป้องกันความเสี่ยงที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยข้อมูลจาก Statista คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตัวเลขนักลงทุนทั่วโลกในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะเพิ่มเป็น 861 ล้านราย จาก FOMO สู่การลงทุนอย่างมีหลักการ           ปรากฏการณ์ FOMO (Fear Of Missing Out) ที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต กำลังถูกแทนที่ด้วยแนวคิดการลงทุนที่มีหลักเหตุผลมากขึ้น "เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในพฤติกรรมนักลงทุน นักลงทุนรุ่นใหม่มองหาความรู้และเครื่องมือที่จะช่วยจัดการความเสี่ยงมากขึ้น แทนที่จะลงทุนตามกระแสเหมือนในอดีต" กล่าวโดย คุณนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด Education First, Smart Invest Follow: รากฐานการลงทุนในปี 2025           การศึกษาและความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นรากฐานสำคัญของการลงทุนที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความซับซ้อน สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนในงบที่จำกัดและต้องการการคุ้มครองเงินต้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาทักษะการลงทุนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นได้           ล่าสุด Binance TH ได้ริเริ่มแคมเปญ Price Protection ที่นำเสนอแนวคิด "เรียนรู้พร้อมลงทุนไปด้วยกัน" โดยมอบการคุ้มครองเงินลงทุน 100%* สูงสุด 4,000 บาท สำหรับการลงทุนครั้งแรกบน BINANCE TH เป็น Bitcoin* เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้การลงทุนพื้นฐานที่จำเป็น สร้างความมั่นใจและพัฒนาทักษะการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เผย 3 เหตุผลที่ทำให้ปี 2025 เป็นจังหวะสำคัญของการลงทุน Bitcoin การยกเลิก SAB 121 เปิดทางสถาบันการเงินรายใหญ่ การยกเลิกกฏ Staff Accounting Bulletin No. 121 (SAB 121) ของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปิดโอกาสให้ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง JPMorgan, Bank of America และ Citibank สามารถให้บริการด้านบิทคอยน์ได้สะดวกขึ้น เนื่องจากไม่ต้องบันทึกบัญชีที่ซับซ้อนเหมือนในอดีต ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบิทคอยน์สำหรับนักลงทุนทั่วไป เช่นเดียวกับที่เราเห็นจากความสำเร็จของ การอนุมัติ Bitcoin ETFs แนวโน้มการถือบิทคอยน์เป็นทุนสำรองของประเทศ แนวคิดการจัดตั้ง Strategic Bitcoin Reserve (SBR) ในสหรัฐอเมริกา กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หากสหรัฐฯ เริ่มถือบิทคอยน์เป็นทุนสำรองอย่างเป็นทางการ อาจเกิด "โดมิโนเอฟเฟกต์" ให้ประเทศอื่น ๆ เช่น บราซิล สาธารณรัฐเช็ก และรัสเซีย พิจารณาแนวทางเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการยอมรับบิทคอยน์ในระดับโลก สภาพคล่องของ USD เพิ่มขึ้น ปัจจัยขับเคลื่อนราคา Bitcoin การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน M2 ในสหรัฐฯ (เติบโต 6% ในปี 2024) และมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในปีนี้ ประกอบกับการที่บิทคอยน์มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ ทำให้หลายฝ่ายมองว่าบิทคอยน์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ มีภาระหนี้ที่สูงขึ้นและยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย           ปัจจัยทั้งสามประการนี้กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งอาจทำให้ปี 2025 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการลงทุนในบิทคอยน์           ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังอยู่ในระดับต่ำ คนรุ่นใหม่กำลังมองหาทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหนึ่งในทางเลือก แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความรู้และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลคริปโตจากการเก็งกำไรระยะสั้นสู่การลงทุนที่มีความรู้เป็นพื้นฐานสำคัญนั้น จะสะท้อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของตลาด ผ่านการผสานระหว่างการให้ความรู้และมีมาตรปกป้องเงินลงทุนให้แก่นักลงทุนรุ่นใหม่ เป็นกุญแจสำคัญสร้างความเชื่อมั่นและการเติบโตให้กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย * เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด สามารถติดตามรายละเอียดแคมเปญ Price Protection ของ BINANCE TH by Gulf Binance ได้ที่ Website หรือ Binance TH Facebook คำเตือน : คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

รมว.คลัง พิจารณาปรับปรุงกองทุน LTF คาดชะลอแรงขาย-ดาวน์ไซด์ SET จำกัด

รมว.คลัง พิจารณาปรับปรุงกองทุน LTF คาดชะลอแรงขาย-ดาวน์ไซด์ SET จำกัด

         หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุง กองทุนรวมระยะยาว (LTF) ซึ่งกำลังจะหมดอายุ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน เนื่องจากกองทุนดังกล่าวถูกจัดตั้งมาเป็นเวลานานและใกล้สิ้นสุดอายุ โดยเดิมมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและเป็นช่องทางการออม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนักลงทุนจำนวนมากทยอยขายออก เนื่องจากตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาดทุน ทั้งนี้ หุ้นส่วนใหญ่ในกองทุน LTF เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งทางกระทรวงการคลังมีแนวคิด ถ่ายโอนหรือจัดตั้งกองทุนใหม่ภายใต้กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) แทน          ปัจจุบันกองทุนนี้มีมูลค่าประมาณ 180,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังขอให้นักลงทุนพิจารณาชะลอการขายก่อน เพื่อรอความชัดเจนของมาตรการดังกล่าว สำหรับความคืบหน้าของการปรับปรุงกองทุน LTF อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะให้สิทธิประโยชน์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งจะมีการสรุปแนวทางโดยเร็วที่สุด          ฝ่ายวิจัย มีมุมมองบวกกับแนวทางดังกล่าวเพราะจะช่วยให้นักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุน LTF (ตั้งแต่เริ่มโครงการถึงปัจจุบัน) มูลค่า 180,000 ล้านบาท ชะลอการขายคืนหน่วยลงทุน หรือ สามารถ Rollover เป็นกองใหม่ที่มีลักษณะคล้าย LTF เดิม จะทําให้แรงขายค่อยๆ ลดลงมีผลให้ downside ที่ SET Index จะลดลงเริ่มจํากัด เป็นจิตวิทยาบวกต่อการลงทุนในระยะถัดไป

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

อีสท์สปริง โตทุกธุรกิจ ลงทุนสู้เศรษฐกิจโลกผันผวน   

อีสท์สปริง โตทุกธุรกิจ ลงทุนสู้เศรษฐกิจโลกผันผวน  

          หุ้นวิชั่น - นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินงานในปี 2025 ว่า ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบสนองความต้องการนักลงทุนทุกกลุ่มในสถานการณ์ที่ทั่วโลกยังเผชิญความผันผวน ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจและสงครามการค้าจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสิ่งสำคัญคือการติดตามข้อมูลข่าวสารและให้คำแนะนำอย่างรวดเร็วแม่นยำ โดยบลจ.อีสท์สปริง ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาเพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนเพื่อเป้าหมายในการประสบความสำเร็จจากการวางแผนทางการเงินผ่านกองทุนรวมในระยะยาว           ทั้งนี้ ด้วยการดำเนินงานเชิงรุก ในปีที่ผ่านมา บลจ.อีสท์สปริง ประสบความสำเร็จจากผลการดำเนินงานของกองทุนทุกประเภท  โดยมีอัตราเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวม 14% ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 2024 โดยแบ่งเป็น ธุรกิจกองทุนรวม เติบโต 14.93% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เติบโต 10.16% และ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 7.31% สูงกว่าอุตสาหกรรมธุรกิจการจัดการกองทุนAUM รวมเติบโตเกือบ 10% แบ่งเป็น ธุรกิจกองทุนรวม เติบโต 14.10% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เติบโต 6.41 % และ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลเติบโต 2.21% (ข้อมูล AIMC ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024)           “ความสำเร็จในปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการดำเนินงานเชิงรุก ทั้งการออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ การพัฒนานวัตกรรมการลงทุนที่สมบูรณ์แบบอย่าง Fund Link Application PVD Digital Platform ที่ประกอบด้วย Eastspring M Choice PVD Mobile Application สำหรับสมาชิก, Eastspring PVD Employer Online สำหรับผู้ประสานงานสำหรับฝั่งนายจ้าง และ Eastspring PVD Fund Committee Mobile Application สำหรับคณะกรรมการกองทุน ที่ออกแบบมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพจนเป็นที่ยอมรับ ซึ่งในปีนี้เรายังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยมีเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มสนใจการลงทุนและวางแผนการเงินเอย่างมากมายพิ่มขึ้น นอกจากกลยุทธ์การให้ความรู้แก่นักลงทุนอย่างเข้มข้นแล้ว ยังมุ่งสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ พร้อมขยายช่องทางการจำหน่ายให้เข้าถึงกลุ่มนักลงทุนได้กว้างขึ้น  ควบคู่กับการออกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การลงทุน รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเพื่อตอบสนองนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่มีความรู้และไม่มีเวลาติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุน ทำให้สามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างง่ายดาย สะดวก และรวดเร็ว พร้อมมีทางเลือกตามความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้” นางสาวดารบุษป์กล่าว พร้อมเพิ่มเติมว่า           ในปีนี้ บลจ.อีสท์สปริงมองเห็นโอกาสการลงทุนในแต่ละภูมิภาค และแต่ละสินทรัพย์ที่มีความแตกต่างกัน การคัดเลือกกองทุนและจัดสรรพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์จะเป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุน ซึ่งปัจจุบันบลจ.อีสท์สปริงมีกองทุนหลากหลายกองทุนภายใต้การบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพด้วยความเชี่ยวชาญ ที่จะช่วยให้นักลงทุนก้าวข้ามขีดจำกัดและไม่พลาดโอกาสครั้งสำคัญ           นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง กล่าวเสริมถึงมุมมองการลงทุนในปีนี้ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกจะอยู่ในระดับปานกลางในช่วงครึ่งปีแรก 2025 โดยภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและจีนจะเป็นตัวแปรของการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมองว่าจากนโยบายรัฐบาลสหรัฐฯชุดใหม่จะสนับสนุนการเติบโตระยะสั้นและสนับสนุนแนวโน้มดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าในระยะกลาง รวมทั้งจะทำให้เกิดเงินเฟ้อมากขึ้นและอาจทำให้รอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดช้าลง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมของเฟดอาจจะสูงขึ้น พันธบัตรอาจถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น และควรเน้นไปยังตราสารหนี้คุณภาพ           ทั้งนี้ ผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ยังคงยากที่จะคาดเดาและหลายประเด็นอาจไม่ได้นำไปปฏิบัติทั้งหมด ความล่าช้าของนโยบายและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเงินเฟ้อและแนวโน้มของทิศทางดอกเบี้ยจะนำไปสู่ความผันผวนของตลาดที่สูงขึ้น  ขณะที่ในเอเชียและตลาดเกิดใหม่มีความดึงดูดในแง่ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว และปัจจัยขับเคลื่อนในระยะยาวยังคงอยู่ เช่น การใช้จ่ายเงินทุนที่เพิ่มขึ้น การลดการปล่อยคาร์บอน และการกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานน่าจะช่วยยกระดับรายได้ของบริษัทจดทะเบียน สำหรับประเทศที่น่าจับตามองและเป็นโอกาสการลงทุนในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ประกอบด้วย จีน : ที่ยังมีมุมมองที่ดีแต่ยังคงระมัดระวังผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ แต่การประเมินมูลค่าหุ้นค่อนข้างถูกและมาตรการการกระตุ้นทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นจะช่วยลดผลกระทบจากความท้าทายจากภายนอกได้ รวมถึงมาตรการที่กระตุ้นภาคการบริโภค อินเดีย : การบริหารจัดการเชิงรุกถือเป็นปัจจัยสำคัญท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับโมเมนตัมของเศรษฐกิจของอินเดียที่ชะลอตัวลง และการประเมินมูลค่าตลาดที่ตึงตัว บริษัทในอินเดียยังคงค่อนข้างแข็งแรง โดย ROE กำลังดีขึ้นและอัตราส่วนหนี้สินกำลังลดลง การปรับฐานของตลาดในอินเดียในไตรมาส 4 ปี 2024 ทำให้ผู้ลงทุนมีจุดเข้าลงทุนที่น่าสนใจมากขึ้น หุ้นขนาดใหญ่มีราคาที่น่าสนใจมากกว่าหุ้นขนาดเล็ก ญี่ปุ่น : การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นอาจขยายวงกว้างไปยังหุ้นขนาดกลางถึงเล็ก ซึ่งน่าจะได้รับประโยชน์จากค่าจ้างที่สูงขึ้นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น คาดว่าการปฏิรูปองค์กรต่างๆ จะดำเนินต่อไป ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลกำไรและราคาหุ้น และเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก แต่จะส่งผลดีต่อบริษัทในประเทศที่พึ่งพาการนำเข้า อินโดนีเซีย : นโยบายสนับสนุนการเติบโตของรัฐบาลปราโบโวและมาตรการทางการคลัง คาดว่าจะช่วยเสริมสร้างภาคสินค้าอุปโภคบริโภคและการเงิน การให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการประชาชนของรัฐบาล จะช่วยกระตุ้นการบริโภคและสร้างโอกาสให้กับบริษัทที่จำหน่ายอาหารที่เน้นความคุ้มค่าคุ้มราคา เวียดนาม : บริษัทในกลุ่มการเงิน สินค้าอุปโภคบริโภค เทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึง โลจิสติกส์ อยู่ในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก รวมถึงการเพิ่มขึ้นของการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย ประเทศไทย : แม้ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ความไม่แน่นอนด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่ลดลงในบริษัทจดทะเบียน และการขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) แต่ตลาดไทยยังได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว  การเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นทางการคลังที่อาจเกิดขึ้น  นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าปี 2024  กลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้และธุรกิจ Healthcare ซึ่งเป็นกลุ่มเชิงรับคาดว่าจะเป็นกลุ่มได้รับประโยชน์จากความผันผวนของตลาด           “ด้วยภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนมากขึ้น นักลงทุนจึงจำเป็นต้องมีวินัยในการบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk-Adjusted Returns)  โดยกลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ การลงทุนแบบผสมหลายสินทรัพย์ (Multi – Asset)  และการลงทุนที่เน้นรายได้จากเงินปันผล จะช่วยลดความเสี่ยงด้านลบและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้ การคว้าโอกาสจากเทรนด์ที่มาแรงจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมสู่เทคโนโลยีสีเขียวเป็นโอกาสการลงทุน ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีในเอเชียเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าสำหรับการลงทุนใน AI” นายยิ่งยงกล่าว ด้านนายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยถึงธีมการลงทุนที่น่าสนใจและแนะนำในปี 2025 ว่า ประกอบด้วย 4 ธีมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ในปีนี้ได้แก่ โอกาสในเอเชีย โดยคาดว่ากองทุนเอเชียที่มีความผันผวนต่ำจะเป็นโอกาสในการลงทุน โดยมองว่าประเทศอินเดียยังคงมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงการขยายตัวของประชากร และค่าเฉลี่ยแรงงานที่อายุไม่มากซึ่งส่งผลดีต่อกำลังซื้อ ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นจากค่าแรงที่ปรับตัวขึ้น โดยกองทุนที่แนะนำได้แก่ ES-JPNAE ES-INDAE และ ES-ALOVE* (ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายในวันที่ 14-21 กุมภาพันธ์ 2025) การเติบโตที่มีศักยภาพ: คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะยังคงขยายตัวได้ท่ามกลางความผันผวน และคาดว่ากำไรจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2025 กองทุนที่แนะนำคือ ES-USBLUECHIP การเข้าสู่โหมดลดอัตราดอกเบี้ย : คาดว่าเฟดจะยังคงลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ซึ่งอาจจะเป็นในช่วงครึ่งปีหลัง และการลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก็ตาม แต่เมื่อรวมกับผลตอบแทนที่น่าสนใจ เราเชื่อว่าตราสารหนี้คุณภาพสูงและกลยุทธ์การปรับอายุตราสาร(Duration)ที่ยืดหยุ่นจะเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ กองทุนที่แนะนำคือ ES-GINCOME การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ : ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความผันผวน การมีกองทุนเชิงรับในพอร์ตเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างสมดุลให้กับการลงทุน โดยกองทุนที่แนะนำคือ ES-HEALTHCARE           “สำหรับแนวทางการจัดพอร์ตในปีนี้ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยมากแนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 70% กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 30%  นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 45%  กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 30%  กองทุนหุ้นต่างประเทศ 25% นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง แนะนำลงทุน กองทุนหุ้นต่างประเทศ 45% กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 25%  กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%  กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 5 % นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก แนะนำลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศ 65% กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 25%  กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 5 % และ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากที่สุด แนะนำลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศ 80% กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 10 %”  นายบดินทร์กล่าว คำเตือน เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน / หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ. อีสท์สปริง (ประเทศไทย) หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้ง

ตลาดหุ้นอินเดียแกร่ง ไม่กระทบภาษี

ตลาดหุ้นอินเดียแกร่ง ไม่กระทบภาษี "ทรัมป์"

           หุ้นวิชั่น - บลจ.อเบอร์ดีน มองหุ้นอินเดียปรับฐาน จังหวะซื้อสะสม โอกาสเติบโตไปกับเศรษฐกิจแข็งแกร่ง พลังประชากรในประเทศหนุนการบริโภค ด้านนโยบายทรัมป์ 2.0 ขึ้นภาษีนำเข้าไม่กระทบประเทศ พร้อมมองทรัมป์กระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโต ผลบวกต่อบริษัทไอทีอินเดีย ลูกค้าในสหรัฐฯ ใช้จ่ายเพิ่ม            นางสาวพฤกษา เอี่ยมธงทอง Deputy Head of Equities – Asia Pacific, Asian Equities, abrdn Asia Limited เปิดเผยว่า "อเบอร์ดีน" ยังมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นอินเดีย และเป็นประเทศที่เผชิญความเสี่ยงค่อนข้างต่ำจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ขึ้นภาษีนำเข้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากอินเดียเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ต่ำกว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียและการส่งออกส่วนใหญ่มาจากบริการต่างๆ โดยเฉพาะบริการด้านไอทีของอินเดีย            "ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจอินเดียเติบโตค่อนข้างสูง GDP ของอินเดียประมาณ 78-80% เกิดจากการขับเคลื่อนภายในประเทศ โดยการส่งออกคิดเป็นประมาณ 22% เท่านั้น (ที่มา: abrdn) ขณะที่จุดแข็งด้านการส่งออกธุรกิจไอที ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และธุรกิจบริการ ที่ลูกค้าหลักอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจไอทีสหรัฐฯ ก็อยู่ในจุดอ่อนแอ โดยมองว่าถ้าปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้นโยบายหลายอย่างของทรัมป์เข้ามาช่วย จะสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายของบริษัทสหรัฐฯได้และจะส่งผลบวกต่อบริษัทอินเดียด้วย" นางสาวพฤกษา กล่าว            เศรษฐกิจอินเดียเติบโตแข็งแกร่งในหลายปีที่ผ่านมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งหลังจากโควิดเริ่มเห็นการเติบโตชะลอตัวลงจากภาคการส่งออกที่ซบเซา แต่ยังเติบโตได้ในระดับสูงและคาดว่าจะเติบโตได้ถึง 8% ในปี 2024 และ 7% ในปี 2025 โดยคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน(EPS) ในปี 2025 เติบโต 16% จากปี 2024 คาดเติบโต 14% (ที่มา: abrdn)            นางสาวพฤกษา กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นอินเดียในปีนี้ปรับฐานลงตั้งแต่ช่วงต้นปี มองว่าเกิดจาก Valuation ตลาดหุ้นอินเดียค่อนข้างสูง ประกอบกับ GDP ชะลอตัวลง จากความกังวลความอ่อนแอของการบริโภคในเมืองจากเงินเฟ้อที่สูง โดยเฉพาะหมวดอาหารที่ได้รับผลกระทบจากฝนตกน้อย จึงกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม แต่แนวโน้มเริ่มดีขึ้น เนื่องจากสิ้นปีที่ผ่านมาปริมาณน้ำฝนในอินเดียกลับมาอยู่ในระดับปกติมากขึ้น จึงมองว่าปัญหาภาคการบริโภคเป็นเพียงแค่ปัญหาชั่วคราว นอกจากนี้ หุ้นอินเดียปรับตัวลงจากการที่นักลงทุนขายทำกำไรบางส่วนหลังตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นเมื่อหลายปีก่อนจนถึงปัจจุบัน นอกจากตลาดหุ้นที่ร่วงลง เกิดจากความกังวลด้านคุณภาพสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันหลังเกิดโควิดทำให้ตลาดกังวลปัญหาหนี้เสียที่จะกระจายไปในภาคอื่นๆ นอกจากกลุ่มธนาคาร                        อย่างไรก็ตาม “อเบอร์ดีน” ยังมองตลาดหุ้นอินเดียน่าสนใจ เนื่องมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการบริโภคนั้นเป็นตัวขับเคลื่อน GDP เป็นหลัก ไม่ใช่การส่งออก ตลอดจนมีการลงทุนภาคเอกชนในระยะเริ่มต้น และการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของการบริโภคในชนบท และมีนโยบายของรัฐบาลที่เป็นมิตรต่อธุรกิจช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจและสนับสนุนการเติบโตต่อไปได้            "อเบอร์ดีนยังมีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นอินเดีย จึงมองการปรับฐานเป็นจังหวะให้กองทุนเข้าไปซื้อหุ้นมากขึ้น ถึงแม้หุ้นอินเดียไม่ได้มีราคาถูกเท่าหุ้นจีน แต่มีราคาถูกกว่าในช่วงที่ผ่านมา โดยอเบอร์ดีนโฟกัสหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพ และเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหลายบริษัทที่เรามองว่าแพงในก่อนหน้านี้ เพื่อโอกาสลงทุนในระยะยาว" นางสาวพฤกษา กล่าว            ก่อนหน้านี้กองทุนอเบอร์ดีนได้เข้าซื้อหุ้น Indian Hotels ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทด้านการบริการที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งพร้อมที่จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมโรงแรม Info Edge (อินเดีย) บริษัทอินเทอร์เน็ตในประเทศที่แข็งแกร่ง Pidilite Industries ซึ่งเป็นธุรกิจชั้นนำสำหรับผู้บริโภคและเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นฟูวงจรที่อยู่อาศัย และ Tata Consultancy Services ผู้ให้บริการด้านไอทีชั้นนำที่ได้รับข้อตกลงใหม่            สำหรับกองทุนหุ้นอินเดียของอเบอร์ดีน ได้แก่ กองทุนเปิด อเบอร์ดีน อินเดีย โกรท ฟันด์ (ABIG) กองทุนนี้มีความเสี่ยงระดับ 6 โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลักต่างประเทศชื่อ abrdn SICAV I - Indian Equity Fund Z Acc USD ซึ่่งบริหารจัดการโดย abrdn Investments Luxembourg S.A. กองทุนหลักคัดหุ้นอินเดียที่มีโอกาสเติบโตแข็งแกร่งประมาณ 30-50 ตัว ด้วยสไตล์การลงทุนแบบเชิงรุก เปิดโอกาสการลงทุนในหุ้นอินเดียคุณภาพสูง และมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและได้รับประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่สดใสของอินเดีย            สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวน โทร 02-352-3388 หรือ [email protected]            ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการนำเสนอข้อคิดเห็นซึ่งอาจแตกต่างจากเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจริงได้            ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน            การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก            โดยปัจจุบันกองทุนไม่ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

ตราสารหนี้สีเขียว ทางเลือกธุรกิจสิ่งแวดล้อม

ตราสารหนี้สีเขียว ทางเลือกธุรกิจสิ่งแวดล้อม

           สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ศึกษาแนวโน้มการขยายตัวของตราสารหนี้สีเขียว แนะภาครัฐและเอกชนใช้เป็นทางเลือกในการระดมทุนสำหรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันควบคู่กับสนับสนุนการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน            นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นความท้าทายของทุกภาคส่วนทั่วโลก มาตรการ กฎเกณฑ์ และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเร่งปรับตัว และหาแหล่งเงินทุนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ โดยในรายงาน Global Warming of 1.5°C ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) คาดการณ์ว่า ในปี 2583 อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส จากปี 2564 (19 ปี) และในช่วงระหว่างปี 2559 – 2578 ทั่วโลกจะมีค่าใช้จ่ายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขณะที่ในรายงาน Labelled Bonds for the Net-Zero Transition in South-East Asia: The Way Forward ที่จัดทำโดย World Economic Forum ร่วมกับ ETH Zurich ระบุว่า โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน เนื่องจากจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับดำเนินการต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)            ผอ.สนค. อธิบายว่า ความต้องการเงินทุนสำหรับการดำเนินการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจของภาคเอกชน ก่อให้เกิดทางเลือก ในการระดมทุนสำหรับโครงการที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ได้แก่ ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bond) หรือตราสารหนี้ที่ระดมทุนเพื่อนำไปใช้ดำเนินโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือส่งเสริม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม[1] อาทิ โครงการพลังงานหมุนเวียน การคมนาคมที่ใช้พลังงานสะอาด การบริหารจัดการขยะ และการสร้างอาคารสีเขียว ทั้งนี้ ตราสารหนี้สีเขียวที่ออกโดยรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจจะเรียกว่า “พันธบัตรสีเขียว”และตราสารหนี้สีเขียวที่ออกโดยภาคเอกชนจะเรียกว่า “หุ้นกู้สีเขียว”            ปัจจุบัน ตราสารหนี้สีเขียวเป็นตราสารหนี้ที่มีโอกาสเติบโตสูง ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย สอดคล้องกับรายงาน Sustainable Debt Market Summary ประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ของ Climate Bonds Initiative ที่ระบุว่า ตลาดตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับความยั่งยืน (Green, Social, Sustainability and Sustainability-linked Debts) เติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการออกตราสารหนี้ครั้งแรกในปี 2550 โดยใน ไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ตราสารหนี้สีเขียวทั่วโลกมีมูลค่าสะสมตั้งแต่ปี 2550 ประมาณ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 62 ของตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับความยั่งยืน และตราสารหนี้สีเขียวที่ออกในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 มีมูลค่า 5.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่า ทั่วโลกกำลังเร่งระดมทุนเพื่อใช้แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประเทศที่มีตราสารหนี้สีเขียวมากที่สุดคือ จีน มีมูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และรองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา มีมูลค่า 1.94 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ตราสารหนี้สีเขียวในสหรัฐอเมริกาอาจมีมูลค่าลดลง เนื่องจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ได้สนับสนุนการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ทำให้การลงทุนและการระดมทุนสำหรับโครงการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในทวีปอื่น โดยเฉพาะในเอเชียและยุโรปเพิ่มมากขึ้น            ตัวอย่างตราสารหนี้สีเขียวของต่างประเทศ อาทิ (1) อินเดีย ออกพันธบัตรสีเขียวสำหรับสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ เพื่อให้อินเดียสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (2) เบลเยียม ออกพันธบัตรสีเขียวเพื่อสนับสนุนโครงการก่อสร้างอาคารสีเขียว ระบบขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (3) สหรัฐอเมริกา บริษัท Apple ออกหุ้นกู้สีเขียวเพื่อระดมทุนสำหรับสนับสนุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และโครงการพลังงานลม (4) แคนาดา ออกพันธบัตรสีเขียวเพื่อนำไปใช้ในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การพัฒนาเครื่องมือดักจับคาร์บอน และ (5) ซาอุดีอาระเบีย บริษัท Saudi Electricity Company ออกหุ้นกู้สีเขียวเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างอาคารสีเขียวและโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน            สำหรับในประเทศไทย มีการออกตราสารหนี้สีเขียวครั้งแรกในปี 2558 ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประกาศหลักเกณฑ์การเสนอขายตราสารหนี้สีเขียวในปี 2561 โดยในรายงาน Emerging Market Green Bonds ที่จัดทำโดยบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC) และ Amundi ระบุว่า ตราสารหนี้สีเขียวของไทยในปี 2566 มีมูลค่าสะสมประมาณ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตราสารหนี้สีเขียวในไทยส่วนใหญ่ออกโดยภาคเอกชนและธนาคาร อาทิ (1) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ออกหุ้นกู้สีเขียวเพื่อใช้ในโครงการรถไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาด (2) บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกหุ้นกู้สีเขียวเพื่อใช้ในโครงการโรงไฟฟ้ากังหันลมในออสเตรเลีย และโครงการรถไฟฟ้าในไทย (3) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ออกหุ้นกู้สีเขียวเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร (4) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ออกพันธบัตรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อ SMEs (SME Green Bond) สำหรับนำไปปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่จะดำเนินโครงการพลังงานสะอาด และ (5) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB THAI) ออกตราสารหนี้สีเขียวเพื่อระดมเงินทุนสำหรับปล่อยกู้ให้กับโครงการเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว            ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการผลิต ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถแสวงหาเงินทุนโดยใช้ตราสารหนี้สีเขียวได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ประกอบการได้พัฒนาประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตแล้ว ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสนับสนุนให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า [1] ที่มา: International Capital Market Association (ICMA), The Green Bond Principles 2014

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.80-34.10 บ./ดอลลาร์

SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.80-34.10 บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.80-34.10 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ต่างประเทศ (Reciprocal tariff) และจะเก็บภาษีสินค้ากลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียมอีก 25% ส่งผลให้ US Treasury yields สูงขึ้น และดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่า เลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ ออกมาที่ 143,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าตลาดคาด แต่เลขอัตราการว่างงานลดลงมาที่ 0% สะท้อนตลาดแรงงานที่ยังดี จึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ผู้บริโภคจีนใช้จ่ายสูงขึ้นมากโดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวและร้านอาหารช่วงตรุษจีน

อีสท์สปริง เสนอกองทุน “ES-GOVCP6M35” ชูยิลด์ 1.75% ขาย 7-20 ก.พ.นี้

อีสท์สปริง เสนอกองทุน “ES-GOVCP6M35” ชูยิลด์ 1.75% ขาย 7-20 ก.พ.นี้

          หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด  หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเสนอขายกองทุนเปิดอีสท์สปริง พันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น 6M35 (ES-GOVCP6M35) อายุประมาณ 6 เดือน เงินทุนโครงการ 7,000  ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มุ่งรักษาเงินต้นที่ผู้ลงทุนจะมีโอกาสได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหน่วยลงทุน ณ วันครบอายุโครงการ โดยเสนอขายครั้งแรกครั้งเดียวระหว่างวันที่ 7-20 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท           โดยกองทุน  ES-GOVCP6M35 มีนโยบายที่จะนำเงินลงทุนไปลงทุนในตั๋วเงินคลัง และ/หรือพันธบัตรรัฐบาล และ/หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน สำหรับเงินลงทุนส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากธนาคาร และ/หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้ และกองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนเพียงครั้งเดียวและถือครองทรัพย์สินที่ลงทุนจนครบอายุโครงการ (Buy and Hold) โดยคาดหวังจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 1.93% ต่อปี ณ วันครบอายุโครงการ ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.18% ต่อปี ณ วันครบอายุโครงการ แล้ว ผู้ลงทุนจะได้รับประมาณการผลตอบแทนอยู่ที่ 1.75% ต่อปีของเงินลงทุนเริ่มแรก (แหล่งที่มาของข้อมูล อัตราผลตอบแทนที่เสนอขายโดยผู้ออกตราสาร ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568)           ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนดอายุกองทุน บลจ.อีสท์สปริง จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบอัตโนมัติ และทำการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของกองทุนทั้งจำนวนของผู้ถือหน่วยทุกราย ไปยังกองทุนเปิดอีสท์สปริง ธนรัฐ (ES-TM) หรือกองทุนรวมตลาดเงินอื่นที่บลจ.อีสท์สปริง เปิดให้บริการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ในวันทำการก่อนวันสิ้นสุดอายุโครงการ           อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถลงทุนให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ เนื่องจากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามอัตราที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก กองทุนอาจไม่ได้รับเงินต้นและผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ หากผู้ออกตราสารที่กองทุนลงทุนไม่สามารถชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคืนได้ บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินที่ลงทุนหรือสัดส่วนการลงทุนได้ เฉพาะเมื่อมีความจำเป็นและสมควรเพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องไม่ทำให้ความเสี่ยงของทรัพย์สินที่ลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ และผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน และกองทุนมีความเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องของตราสาร และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ เป็นต้น           ผู้สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) หรือผู้สนับสนุนการขาย และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้ง และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.eastspring.co.th หรือโทร 1725 ในวันและเวลาทำการ หรือผ่านช่องทางการขายของ บลจ.อีสท์สปริง

ธ.ทิสโก้ ชี้เป้าซื้อกองทุน นโยบายทรัมป์หนุน หุ้นสหรัฐฯ !

ธ.ทิสโก้ ชี้เป้าซื้อกองทุน นโยบายทรัมป์หนุน หุ้นสหรัฐฯ !

         หุ้นวิชั่น - ธนาคารทิสโก้คาด หุ้นสหรัฐฯ จะสร้างผลตอบแทนโดดเด่นในปี 2568 หลังทรัมป์เดินหน้านโยบายตามที่หาเสียงไว้ หนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนพุ่ง 14% YoY สูงกว่าตลาดหุ้นโลกที่โต 8% YoY แนะควรเลือกกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่มีนโยบายการลงทุน ‘เชิงรุก’ เพราะไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมจะเติบโตดี ต้องให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต พร้อมเปิดชื่อ 3 กองทุนเด่นน่าซื้อ คือ UUSA, ES-USBLUECHIP และ TUSFIN-A          นางวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุน และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารทิสโก้ประเมินว่าปี 2568 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนโดดเด่น หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกคำสั่งประธานาธิบดีหลายฉบับที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจในประเทศสหรัฐฯ ตามที่หาเสียงไว้ ทำให้นักวิเคราะห์จาก Bloomberg คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ (S&P500 Index) ปี 2568 เติบโตสูงถึง 14% YoY ดีกว่าตลาดหุ้นโลก (MSCI ACWI) ที่กำไรบริษัทจดทะเบียนโต 8% YoY          นอกจากนี้ หากลงลึกรายกลุ่มอุตสาหกรรมธนาคารทิสโก้มองว่าหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ เป็นกลุ่มที่มีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตอย่างมาก เพราะได้รับประโยชน์จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในช่วงขาลง รวมถึงนโยบาย Financial Deregulation จะช่วยผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน ทำให้สามารถขยายธุรกิจได้มากขึ้น ดังนั้น ธีมลงทุนที่ธนาคารทิสโก้แนะนำเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากนโยบายทรัมป์ คือ กองทุนหุ้นสหรัฐฯ และกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงินสหรัฐฯ          อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนที่มี ‘นโยบายการลงทุนเชิงรุก’ มากกว่ากองทุนที่มีนโยบายการลงทุนตามดัชนี เพราะไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ จะเติบโตได้ดี อีกทั้งบางอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายของทรัมป์ นอกจากนี้ ปี 2568 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสเติบโตในอัตราชะลอตัวเมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งกองทุนที่มีนโยบายเชิงรุกจะเปิดโอกาสให้ผู้จัดการกองทุนเฟ้นหาหุ้นผู้ชนะมา สร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากดัชนีให้กับพอร์ตการลงทุน จากปัจจัยดังกล่าวธนาคารทิสโก้ จึงคัดกองทุนเด่นให้ลูกค้าลงทุน 3 กองทุน คือ 1. กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอส โกรท ฟันด์ (UUSA) 2. กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP) และ 3. กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ไฟแนนเชียล (TUSFIN-A) สำหรับรายละเอียดกองทุนแนะนำลงทุนทั้ง 3 กองทุนมี ดังนี้ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอส โกรท ฟันด์  กองทุนนี้มีจุดเด่นตรงที่ผู้จัดการกองทุนจะเน้นคัดเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว และกระจายน้ำหนักการลงทุนที่เหมาะสม โดยใช้หลักการวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์แบบ Bottom - up เพื่อเลือกหุ้นที่สนใจ โดยเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความสามารถในการเติบโตของรายได้หรือกำไรสูงกว่าตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาภาพรวมอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจประกอบการลงทุนด้วย อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับปัจจัยด้าน ESG เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอส โกรท ฟันด์ (UUSA) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในกองทุน JPMorgan Funds – US Growth Fund Class I (acc) – USD โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนหลักจะลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตหรือแนวโน้มการเติบโต (Growth style) ของบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity  กองทุนนี้มีจุดเด่นตรงที่กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เป็นบริษัทที่มีรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งมีงบการเงินที่ดีและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง มีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าพร้อมกับมีขีดความสามารถในการแข่งขัน จากการเป็น “เจ้าตลาด” หรือครองส่วนแบ่งการตลาดในระดับสูง กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในกองทุน T. Rowe Price Funds SICAV - US Blue Chip Equity Fund Class I โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ลงทุนในหุ้นชั้นดีของบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยกลยุทธ์การลงทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามกองทุนหลัก โดยกองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนีชี้วัด กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ไฟแนนเชียล จุดเด่นของกองทุนนี้คือเน้นลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงินในสหรัฐฯ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มย่อย คือ 1. กลุ่มผู้ให้บริการด้านการเงิน เช่น Berkshire Hathaway และ PayPal 2. กลุ่มธนาคาร เช่น JPMorganChase และ Citigroup 3. กลุ่มธุรกิจประกัน เช่น Chubb และ4. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน เช่น Goldman Sachs และ Morgan Stanley ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากนโยบายของทรัมป์ ทั้งในเรื่องการปรับลดภาษีนิติบุคคล และการผ่อนปรนเงื่อนไขในการดำเนินธุรกิจ แถมได้รับผลกระทบในระดับจากสงครามการค้าอีกด้วย กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ไฟแนนเชียล (TUSFIN-A) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในกองทุน Financial Select Sector SPDR Fund ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Financial Select Sector                  อย่างไรก็ตาม กองทุน UUSA, ES-USBLUECHIP และ TUSFIN-A ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ติดต่อสอบถามรายละเอียด หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 2 กด 4

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-34.00 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-34.00 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-34.00 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทกลับมาอ่อนค่าพร้อมดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับลงแรงวานนี้จากความเชื่อมั่นนักลงทุนที่ปรับแย่ลง ทั้งนี้ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่เช้านี้เปิดมาติดลบจากนักลงทุนที่มีท่าทีระมัดระวังก่อนตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ออกในคืนนี้ ธนาคารกลางอังกฤษลดดอกเบี้ย 25% มาอยู่ที่ 4.5% แต่มีกรรมการ 2 ท่านสนับสนุนให้ลดดอกเบี้ย 0.5% ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่า เงินเฟ้อไทยมกราคมออกมาที่ 32% ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.83% ตามคาด  

ก.ล.ต. เตือนผถห.กู้ JCK213A ใช้สิทธิประชุม วันที่ 11 ก.พ.68

ก.ล.ต. เตือนผถห.กู้ JCK213A ใช้สิทธิประชุม วันที่ 11 ก.พ.68

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ JCK213A ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568           ตามที่บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (JCK) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ JCK213A จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11.00 ณ ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไปอีก 2 ปี เป็นครบกำหนดวันที่ 22 มีนาคม 2570 (2) เพิ่มอัตราดอกเบี้ย จากเดิม ร้อยละ 7.25 ต่อปี เป็น ร้อยละ 7.50 ต่อปี ในช่วงระยะเวลาที่ได้ขยายอายุหุ้นกู้ออกไป (3) เปลี่ยนแปลงการแบ่งชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้เป็นจำนวน 4 งวด โดย 3 งวดแรกจำนวนรวมไม่น้อยกว่า ร้อยละ 9 ของมูลค่าหุ้นกู้ และงวดที่ 4 จะชำระคืนส่วนที่เหลือในวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ขยายออกไป (4) ยกเลิกการไถ่ถอนหลักประกันและชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้บางส่วนเพื่อไถ่ถอนจำนองตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2567 (5) แก้ไขข้อกำหนดสิทธิเกี่ยวกับการกำหนดมูลค่าไถ่ถอนหลักประกัน และเงื่อนไขเพิ่มเติมในกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ใช้สิทธิไถ่ถอน หรือขอคืนทรัพย์สินที่เป็นประกัน และ/หรือทรัพย์สินทดแทน           ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย หมายเหตุ : บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ JCK213A ครบกำหนดชำระวันที่ 22 มีนาคม 2568

จับตาเงินเฟ้อเดือน ม.ค. KSS คาดใกล้เคียงตลาด 1.3%

จับตาเงินเฟ้อเดือน ม.ค. KSS คาดใกล้เคียงตลาด 1.3%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า วันนี้ (6 ก.พ.) เงินเฟ้อ CPI ม.ค. 25 เงินเฟ้อทั่วไป ตลาดคาด 1.3%y-y, +0.1%m-m vs prev. +1.2%y-y, -0.18%m-m เงินเฟ้อพื้นฐาน ตลาดคาด +0.82%y-y, vs prev. +0.79%y-y           ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินมีโอกาสใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด อิงราคาน้ำมันเฉลี่ย ม.ค. 25 ค่อนข้างนิ่งบริเวณ 75 +/-เหรียญฯ ใกล้เดือนก่อนและช่วงเดียวกันปีก่อน เงินเฟ้อที่บวกขึ้นน่าจะเป็นสัญญาณเศรษฐกิจไทยที่ ค่อยๆฟื้นตัว โดยรวมจะเป็นภาพชี้นำความเชื่อมั่นการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หนุนหุ้น Domestic           ขณะเดียวกัน ระดับเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ยังหนุน Real Yield หนุน BOT ยัง มีช่องว่างสำหรับการลดดอกเบี้ยได้ในกรณีจำเป็น โดยรวมเป็นภาพทางบวกต่อตลาดหุ้น

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.45-33.70บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.45-33.70บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.45-33.70บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงหลังเลข ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ ออกมาที่ 8 ต่ำกว่าเดือนก่อนและตลาดคาดที่ 54.0 ด้าน US Treasury yields ปรับลดลงหลังเลขออก การจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ (ADP employment) ปรับเพิ่มขึ้น 183,000 ตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาดที่ 150,000 ตำแหน่ง ค่าจ้างของญี่ปุ่นสูงขึ้น 8% ในเดือน ธันวาคม ซึ่งเป็นอัตราสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1997 ส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.55-33.80 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.55-33.80 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.80 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วหลังจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้สหรัฐฯ แต่ตลาดมองว่าขนาดการตอบโต้ยังน้อย เพราะจีนไม่ต้องการให้สงครามการค้าทวีความรุนแรง ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และ US Treasury yields ลดลง จำนวนตำแหน่งงานเปิดรับใหม่ในสหรัฐ (Jobs openings) เดือน ธันวาคม ออกมาที่ 6 ล้าน ต่ำกว่าเดือนก่อน และต่ำกว่าที่ตลาดคาด นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึง 2 กุมภาพันธ์ อยู่ที่ 7 ล้านคน สูงขึ้น 22%

บล.พาย เปิดตัว DR03 ให้นลท.เข้าถึงสินทรัพย์ผ่านกระดานหุ้นไทย

บล.พาย เปิดตัว DR03 ให้นลท.เข้าถึงสินทรัพย์ผ่านกระดานหุ้นไทย

          บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ "บล.พาย" ผู้นำด้านบริการทางการเงินครบวงจร เดินหน้าขยายโอกาสการลงทุนสู่ตลาดโลก ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "DR03" ที่รวบรวมสินทรัพย์คุณภาพระดับโลกมาให้นักลงทุนของบล.พายโดยเฉพาะ เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ทองคำ และน้ำมัน ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ           นายณัฐพล จันทร์สิวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "การเปิดตัว DR03 สะท้อนวิสัยทัศน์ของ บล.พาย ในการมุ่งสู่การเป็น 1 ใน 5 ผู้ให้บริการ DR ชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ไทย ด้วยกลยุทธ์การดำเนินงานที่มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมทางการเงิน ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งในช่วงที่ตลาดการเงินโลกมีความผันผวน การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญ DR03 จากบล.พาย จึงถูกออกแบบมาให้ครอบคลุมทั้งสินทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงอย่างหุ้นเทคโนโลยี และสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงอย่างทองคำและน้ำมัน เพื่อให้นักลงทุนสามารถบริหารพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสภาวะตลาด พร้อมเป็นอีกทางหนึ่งในการเปิดประตูการลงทุนระดับโลกให้กับนักลงทุนไทย"           DR03 จาก บล. พาย ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น 4 รายการ ได้แก่ WORLD03 ที่เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีระดับบลูชิพ 10 อันดับแรกของโลก ครอบคลุมนวัตกรรมสำคัญอย่าง AI และ Blockchain JAP03 ที่รวบรวมหุ้นบริษัทญี่ปุ่นชั้นนำที่มีศักยภาพการเติบโตระดับโลก GOLD03 ที่ลงทุนในทองคำแท่งโดยตรงเพื่อรักษามูลค่าเงินในภาวะเงินเฟ้อ และ OIL03 ซึ่งนับเป็น DR ตัวแรกของตลาดที่อ้างอิงกับราคาน้ำมัน เปิดโอกาสให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนจากการเคลื่อนไหวของราคาพลังงานโลก           ด้านนายธนภูมิ คุณาโรจน์รักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ กล่าวเสริมว่า “DR เป็นผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้อย่างสะดวก ผ่านบัญชีหุ้นเดิมในสกุลเงินบาท โดยทั้ง 4 DR ที่เราคัดสรรมานี้ ล้วนเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพและได้รับความนิยมในตลาดโลก โดยเฉพาะ OIL03 ที่ บล.พาย เป็นผู้ริเริ่มรายแรกในการนำเสนอโอกาสการลงทุนที่อ้างอิงกับราคาน้ำมัน การเปิดตัว DR03 ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้แก่นักลงทุนเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ บล.พาย ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์การลงทุนในยุคดิจิทัล เราเชื่อมั่นว่า DR03 จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถก้าวสู่โอกาสการลงทุนระดับโลกได้อย่างมั่นใจ"           นักลงทุนที่สนใจสามารถเริ่มลงทุน DR03 ได้ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป ผ่านแอปพลิเคชัน Pi หรือ Streaming โดยใช้รหัสหลักทรัพย์ JAP03, OIL03, WORLD03 และ GOLD03           ติดตามข้อมูลข่าวสารของ บล.พาย ได้ที่ https://www.pi.financial, FB: pisecurities และ LINE OA: Pi Securities

abs

Hoonvision

“ดร.ก้องเกียรติ”ชูกลยุทธ์”เอเชียพลัส” มุ่งยึดหัวหาด “ธุรกิจความมั่งคั่ง”

“ดร.ก้องเกียรติ”ชูกลยุทธ์”เอเชียพลัส” มุ่งยึดหัวหาด “ธุรกิจความมั่งคั่ง”

          หุ้นวิชั่น - ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด และประธานกรรมการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ในปี 2568 กลุ่มบริษัทเอเซีย พลัส ผู้นำกลุ่มธุรกิจการเงินครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบ ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การให้บริการด้านการจัดการด้านความมั่งคั่ง (Wealth Management) อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองตรงต่อความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยยึดหลักกลยุทธ์ที่บริษัทได้วางแผนพัฒนาและต่อยอดใน 5 ด้าน ได้แก่   1) Customer-Centric Approach เพื่อให้พัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดได้ดียิ่งขึ้น โดยจะทำการแบ่งกลุ่มลูกค้า เพื่อใช้ในการจัดประเภทกลุ่มลูกค้าของบริษัท และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ให้เหมาะสมสำหรับลูกค้าในแต่ละกลุ่ม 2) Data Management Initiatives การนำข้อมูลมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรและยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า 3) Revenue Diversification การกระจายฐานรายได้ไปยังผลิตภัณฑ์การลงทุนที่สอดคล้องกับทิศทางของตลาด โดยครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม สินทรัพย์ และภูมิศาสตร์ 4) Digital Transformation Powered by AI มุ่งต่อยอดการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ และยกระดับแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานรวมทั้งบริหารจัดการและรวบรวมข้อมูลคำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมให้กับลูกค้า 5) Upskilling Employees การเสริมสร้างความสามารถและพัฒนาทักษะของเจ้าหน้าที่ผู้แนะนำการลงทุนให้มีความรู้ ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอให้กับลูกค้า พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีและข้อมูลดิจิทัลใช้ปฏิบัติงานเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการให้บริการได้อย่างตรงเป้าหมายความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก           สำหรับกลยุทธ์ทั้ง 5 ด้านนี้ จะช่วยในการต่อยอดการเป็นผู้นำด้านบริการ Wealth Management  โดยปัจจุบันมีการจัดกลุ่ม Segment ออกมาจะทำให้สามารถโฟกัสกลุ่มลูกค้า High Net Worth ได้อย่างชัดเจน และสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนให้ลูกค้าเลือกได้อย่างตรงกลุ่มด้วยการ Customize แผนการลงทุนเฉพาะบุคคล           ขณะที่บริษัทฯ เองมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้เลือกลงทุนหลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ไม่ว่าจะเป็นประเภทหลักทรัพย์ต่างๆ ในตลาดทุน กองทุนรวม Structure Note หุ้นกู้ พันธบัตร การลงทุนนอกตลาด อาทิ Private Equity, Hedge Fund, Start Up รวมไปถึงประกันภัย ดังนั้น บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญในการอบรมเพิ่มทักษะด้านการบริหารความมั่งคั่ง และการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบ Cross Selling ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้แนะนำการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีศักยภาพในการให้คำแนะนำที่ดีและแม่นยำ แก่ลูกค้าที่ต้องการสร้างผลตอบแทนเติบโตในระยะยาว ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมในแต่ละ Segment           “เอเซีย พลัส ได้ทำการปรับตัวขยายธุรกิจเพื่อก้าวสู่ผู้ให้บริการ Wealth Management มาอย่างต่อเนื่องตลอด 17 ปี เพราะเราเล็งเห็นความสำคัญของการกระจายรายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นตัวแปรที่บ่งชี้ถึงความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตที่แข็งแกร่งสะท้อนได้จากผลดำเนินงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนรายได้ที่มีความสมดุล และมีกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ.2567 เป็นอีกปีที่ผลดำเนินงานของกลุ่มบริษัทเอเซีย พลัส ยังเติบโตแข็งแกร่ง  และในปี พ.ศ. 2568 บริษัทมั่นใจว่ากลยุทธ์ 5 ด้าน จะขับเคลื่อนกลุ่มเอเซีย พลัส เติบโตได้ดีต่อเนื่อง” ดร.ก้องเกียรติกล่าว ปัจจุบัน แต่ละธุรกิจของกลุ่มบริษัทเอเซีย พลัส  เดินหน้าพัฒนามุ่งสู่การเติบโตในระยะยาว ดังนี้ ธุรกิจด้านการลงทุน (บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์) วางกลยุทธ์ Increase Investment Capability ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัท  ทั้งในแง่ของการขยายการลงทุนของบริษัทเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มีศักยภาพที่สุด และในแง่การพัฒนาบุคคลากรในทุกภาคส่วนให้มีความรู้เรื่องการลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินไม่ว่าจะเป็น หุ้นไทย,กองทุนรวม, ตราสารหนี้, การลงทุนต่างประเทศ รวมถึง Complex Product เช่น หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note) ธุรกิจหลักทรัพย์ (บล.เอเซีย พลัส)  มุ่งสู่เป้าหมายหลักขององค์กรในการ Transform To Wealth ด้วยการยึดหลักกลยุทธ์ที่ชัดเจนสร้างการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์และบริการจากการเป็นเพียง “นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Broker)” ได้ยกระดับขึ้นสู่การเป็น “ผู้ให้บริการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management)”  โดยปัจจุบันมี Platform ที่มีมาตรฐานเพื่อส่งเสริมการลงทุนที่ตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า  ซึ่งจะมีเครื่องมือใหม่ๆ พร้อมให้บริการอย่างครบเครื่อง ได้แก่ ASP Academy, ASP-ONE  นอกจากนี้ ได้สร้าง Best Omni-Channel Experience โดยการผสมผสานเทคโนโลยี และ Human Touch เพื่อสร้างประสบการณ์การลงทุนที่ดีและเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ปลอดภัยให้แก่ลูกค้าของบริษัท ธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สิน (บลจ.แอสเซท พลัส) วางกลยุทธ์มุ่งเน้นพัฒนากองทุนเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และการออกผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมให้สอดรับกับแนวโน้มตลาดโลก และที่สำคัญที่สุดคือการส่งมอบผลการดำเนินงานของผลิตภัณฑ์ให้อยู่ในระดับที่ดีถึงดีที่สุดในอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหมายหลักของธุรกิจกองทุนรวม ธุรกิจที่ปรึกษา (บจก.ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส) เป็นอีกบทบาทสำคัญของบริษัทที่เข้ามามีส่วนร่วมผลักดันการเติบโตทางธุรกิจที่มั่นคงให้แก่กลุ่มลูกค้าธุรกิจ (Corporate) ซึ่งมีทั้งการระดุมทุนรูปแบบ Private Placement การทำ Merger & Acquisitionและการการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ลูกค้าประสบความสำเร็จตามเป้าหมายธุรกิจ “แม้ว่าในปี 2568  เศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง รวมถึงเศรษฐกิจไทย แต่การดำเนินงานภายใต้แนวคิดการกระจายรายได้บริหารความเสี่ยงมาอย่างต่อเนื่อง และการวางกลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรที่ชัดเจน การให้ความรู้แก่พนักงานเพื่อเพิ่มทักษะการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบ Cross Selling  จะเป็นแนวทางให้ทุกหน่วยงานของบริษัทในกลุ่ม เอเซีย พลัส ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพไปในทิศทางเดียวกัน Transform To Wealth (หรือจะใช้ว่า “ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้าน  Wealth Management) เพื่อสนับสนุนให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย” ดร.ก้องเกียรติ กล่าวในตอนท้าย

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 85-34.10 บาท/ดอลลาร์ [03/02/2025]

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 85-34.10 บาท/ดอลลาร์ [03/02/2025]

          กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets)           ค่าเงินบาทประจำวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568           Market update by SCBFM: 3 กุมภาพันธ์ 2568 กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 85-34.10 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าเร็วช่วงสุดสัปดาห์ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% และขึ้นภาษีจากจีน 10% ขณะที่ทั้งสามประเทศต่างประกาศจะขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเร็ว ขณะที่เงินแคนาเดียนดอลลาร์อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2003 เงินเฟ้อสหรัฐฯ (PCE) เดือน ธ.ค. ออกมาที่ 6%YOY เท่ากับที่ตลาดคาด ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.8%YOY ตามคาด เงินเฟ้อเยอรมนีและฝรั่งเศสออกมาต่ำกว่าตลาดคาด

ก.ล.ต. ออกหลักเกณฑ์ Net Capital Bond - วัตถุประสงค์การใช้เงิน

ก.ล.ต. ออกหลักเกณฑ์ Net Capital Bond - วัตถุประสงค์การใช้เงิน

          หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ออกและเสนอขาย Net Capital Bond ของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและปรับปรุงหลักเกณฑ์ในเรื่องการแก้ไขวัตถุประสงค์การใช้เงิน โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป           ก.ล.ต. ออกหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ออกและเสนอขายตราสารด้อยสิทธิของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ) ที่มีเงื่อนไขในการเลื่อนหรือการยกเลิกการชำระดอกเบี้ย และการเลื่อนการชำระเงินต้น (Net Capital Bond) เพื่อรองรับการปรับปรุงนิยามหนี้สินด้อยสิทธิที่ไม่นับเป็นหนี้สินรวมในการคำนวณเงินกองทุนของผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้ (1) กำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ออกและเสนอขาย Net Capital Bond ที่สอดคล้องกับนิยามหนี้สินด้อยสิทธิที่ไม่นับเป็นหนี้สินรวมในการคำนวณเงินกองทุนของผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งกำหนดเพิ่มเติมจากตราสารหนี้ทั่วไป เช่น กำหนดให้การเสนอขายทุกลักษณะต้องมีการยื่นคำขออนุญาต มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมจากตราสารหนี้ทั่วไป และเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเงินกองทุนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น  (2) กำหนดให้ตราสารหนี้ทั่วไป (plain vanilla) ต้องไม่มีข้อกำหนดในลักษณะที่มีความซับซ้อน เช่น ผู้ออก สามารถเลื่อนหรือยกเลิกการจ่ายดอกเบี้ยหรือค่าตอบแทนอื่นได้ หรือมีเงื่อนไขในการปลดหนี้ (write off) เป็นต้น ซึ่ง Net Capital Bond ไม่นับเป็นตราสารหนี้ทั่วไป           พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับวิธีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การใช้เงินให้เป็นไปตามข้อกำหนดสิทธิมาตรฐาน ปรับปรุงวิธีการพิจารณาคุณสมบัติอนุญาตในกรณีที่ผู้ออกตราสารหนี้มีประวัติการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ และปรับปรุงถ้อยคำในประกาศที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน           ทั้งนี้ ประกาศที่มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว ได้เผยแพร่ลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.75บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.75บ./ดอลลาร์

        หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.75บาท/ดอลลาร์ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดดอกเบี้ย (Deposit facility) 25 bps มาอยู่ที่ 75% ตามคาด พร้อมกล่าวว่าดอกเบี้ยยังสูงและพร้อมลดดอกเบี้ยต่อ ขณะที่ GDP Q4 ยุโรปออกมาที่ 0%QOQ ส่งผลให้ Bond yields เยอรมนีปรับลดลง ด้านเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นช่วงข้ามคืนพร้อมเงินยูโร จากดัชนีดอลลาร์ที่อ่อนค่า หลัง GDP Q4 สหรัฐฯ ออกมาที่ 3% ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.6% แต่เงินบาทอ่อนค่าขึ้นเล็กน้อยเช้านี้ จากคำขู่เรื่องขึ้น Tariffs ต่อแคนาดาจากนายโดนัลด์ ทรัมป์

ราคาน้ำมันดิบขาลง หนุนการบิน-โรงไฟฟ้า AAV GULF เด่น

ราคาน้ำมันดิบขาลง หนุนการบิน-โรงไฟฟ้า AAV GULF เด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มขาลง Brent -1.17%d-d ปิดที่ US$ 76.58/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.56%d-d ปิดที่ US$ 72.62/barrel แรงกดดัน EIA เผยว่า สต็อกน้ำมันดิบราย สัปดาห์พุ่งขึ้น 3.46 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.2 ล้านบาร์เร เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT ในทางตรงข้ามบวกต่อหุ้นกลุ่มสายการบิน เน้น AAV กลุ่มโรงไฟฟ้าเน้น GULF

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าต่อหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าต้องการขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศ (universal tariffs) มากกว่า 2.5% ต่อเดือน ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable goods orders) ของสหรัฐฯ ออกมาที่ -2.2% ต่ำกว่าที่ตลาดคาด แต่ Core capital goods ออกมาที่ 0.5% สูงกว่าคาด เงินเยนกลับมาอ่อนค่าลงจากความเสี่ยงเรื่อง Tariffs เพราะนักลงทุนมองว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กังวลต่อนโยบายสหรัฐฯ ทำให้อาจกระทบการขึ้นดอกเบี้ย

XSpring AM ชูกองทุนตราสารหนี้ X-PLUS เสริมสภาพคล่องพอร์ต

XSpring AM ชูกองทุนตราสารหนี้ X-PLUS เสริมสภาพคล่องพอร์ต

           XSpring AM จับจังหวะลงทุนพักเงินช่วงดอกเบี้ยขาลง แนะนำกองทุนเปิด X-PLUS ตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ เน้นลงทุนตราสารหนี้คุณภาพระดับ Investment Grade ชูจุดเด่นสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ ซื้อขายสะดวกผ่าน XSpring Mobile Application            นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ XSpring AM เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมการลงทุนในปีที่ผ่านมาจะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายทั้งการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศ ปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายต่าง ๆ ของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ที่ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายของเม็ดเงินลงทุนทั่วโลกเข้ามายังตลาดตราสารหนี้มากขึ้น ทำให้ในช่วงปีที่ผ่านมา            กองทุนเปิดเอ็กซ์สปริง ตราสารหนี้พลัส (X-PLUS) สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าพึงพอใจ โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน (ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2567) อยู่ที่ 1.23% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนในกลุ่มกองทุนประเภทเดียวกัน (Short Term General Bond) ที่ระดับ 0.99% และประมาณการอัตราผลตอบแทนต่อปีอยู่ที่ 2.46%            ผลประกอบการดังกล่าวตอกย้ำการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวัง เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูง เช่น พันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้คุณภาพดี โดยเราให้ความสำคัญในการคัดเลือกตราสารลงทุนจากการวิเคราะห์ทั้งด้านปัจจัยพื้นฐาน และอัตราผลตอบแทนของตราสาร รวมถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมคุ้มค่ากับความเสี่ยงมากที่สุด            อย่างไรก็ตามในปี 2568 XSpring AM ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดตราสารหนี้ และมองว่าตราสารหนี้ยังเป็นทางเลือกที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังไม่มีความแน่นอน ตัวเลขทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น ระดับเงินเฟ้อที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่เริ่มชะลอตัวลง อาจทำให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งนั่นมีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลงต่อ การลงทุนในตราสารหนี้จึงตอบโจทย์ในการลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น            XSpring AM พร้อมตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไปด้วย กองทุนเปิดเอ็กซ์สปริง พลัส (X-PLUS) เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีและมีความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade (คัดเฉพาะบริษัทที่มีสถานะการเงินแข็งแกร่งให้อัตราผลตอบแทนคุ้มค่ากับความเสี่ยง) โดดเด่นด้วยสภาพคล่องที่สูง และโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป สามารถซื้อหรือขายสะดวกได้ทุกวันทำการผ่าน XSpring Mobile Application และได้รับเงินขายคืนในวันทำการถัดไป ลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 50,000 บาท และครั้งถัดไปเพียง 1,000 บาท จุดเด่นของกองทุนเปิด X-PLUS ผลตอบแทนโดดเด่น: ผลตอบแทนที่ผ่านมาในช่วง 6 เดือนคิดเป็นผลตอบแทนรายปีที่ระดับประมาณ 2.46% สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์สำหรับบุคคลธรรมดา บริหารอย่างใกล้ชิด: การประเมินและติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิดโดยทีมวิจัยและผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญเพิ่มโอกาสการเลือกตราสารหนี้คุณภาพ ความเสี่ยงต่ำ: ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี (Investment Grade) สภาพคล่องสูง: ซื้อขายได้ทุกวันทำการ และรับเงินค่าขายคืนในวันถัดไป            "X-PLUS คือกองทุนตราสารหนี้ที่ออกแบบมาเพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงผ่านผลตอบแทนที่ดีกว่าการถือเงินสดเพื่อรอลงทุน โดยนักลงทุนสามารถมั่นใจได้ด้วยการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพจากทีมผู้เชี่ยวชาญของเรา" นายยศกร กล่าวสรุป            นักลงทุนที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์การลงทุน และซื้อกองทุนได้ที่ แอปพลิเคชัน XSpring ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ App Store และ Play Store (https://onelink.to/z72da8) เว็บไซต์ www.xspringam.com หรือติดต่อ บลจ.เอ็กซ์สปริง ที่หมายเลข 02-030-3730 คำเตือน :การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน และไม่มีการรับประกันผลตอบแทน ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดก่อนการตัดสินใจลงทุน : ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต * เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์สำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไป  

CPAC เปิดตัว 'รถโม่พลังงานไฟฟ้า' ต้นแบบขนส่ง Green Logistics

CPAC เปิดตัว 'รถโม่พลังงานไฟฟ้า' ต้นแบบขนส่ง Green Logistics

           หุ้นวิชั่น - CPAC ยกระดับความกรีน เปิดตัวรถโม่พลังงานไฟฟ้า “CPAC EV Mixer Truck” ในจังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นรายแรกของภาคเหนือ ต้นแบบการขนส่ง Green Logistics สะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำวิสัยทัศน์ The 1st Mover Low Carbon Concrete Business สู่ความยั่งยืน พร้อมเดินหน้าเตรียมความพร้อมการก่อสร้างที่ปลอดมลพิษ ช่วยลดวิกฤตฝุ่นควัน PM 2.5 เผยการใช้รถโม่พลังงานไฟฟ้า 1 คัน สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ลงได้ถึง 212,736 KgCO2e เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 22,400 ต้น            นายถิรวัฒน์ พูนกาญจนะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด หรือ CPAC เปิดเผยว่า CPAC ในฐานะผู้ผลิตคอนกรีตผสมเสร็จและคอนกรีตสำเร็จรูประดับแถวหน้าของประเทศ มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมกรีนและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการก่อสร้างในภาคเหนือที่ต้องเผชิญกับมลพิษทางอากาศ เช่น วิกฤตฝุ่นควัน PM 2.5 อย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูหนาว ล่าสุด CPAC ได้นำรถโม่พลังงานไฟฟ้า “CPAC EV Mixer Truck” ซึ่งนับเป็นต้นแบบการขนส่ง Green Logistics เข้ามาใช้ในการจัดส่งคอนกรีต “นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในตลอดระยะเวลาการทำงานที่บริษัทฯ จะต้องหาวิธีการดำเนินงานที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดโดยมุ่งเน้นการก่อสร้างสีเขียว ตามแนวทาง Inclusive Green Growth ซึ่งรถโม่พลังงานไฟฟ้า CPAC EV Mixer Truck ถือเป็นแรงกระตุ้นในการส่งเสริมอุตสาหกรรมก่อสร้างอย่างยั่งยืนอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ประมาณ 50% เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันดีเซล หรือประมาณ 237,600 บาท/คัน/ปี (คำนวณจากฐานค่าน้ำมัน 33 บาท/ลิตร) ซึ่งรถโม่พลังงานไฟฟ้านี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการขนส่งคอนกรีตทั้งในเขตเมืองและภูมิประเทศที่มีเนินเขาของภาคเหนือ ด้วยระบบขับเคลื่อนที่เงียบช่วยลดผลกระทบต่อชุมชนที่หนาแน่น รวมถึงมีระบบจัดการพลังงานที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งในระยะทางไกล” ทั้งนี้ภายในปี 2025-2026 มีแผนขยายการใช้รถโม่พลังงานไฟฟ้า CPAC EV Mixer Truck ไปยังหัวเมืองใหญ่ๆ อย่างจังหวัดเชียงราย, ชลบุรี และภูเก็ต รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนรถโม่พลังงานไฟฟ้าทดแทนรถโม่สันดาปที่มีสภาพเครื่องยนต์เก่า ขณะเดียวกันจะพัฒนารถโม่พลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก เพื่อสะดวกต่อการใช้งานในพื้นที่ชุมชนซึ่งนอกจากจะไม่มีมลภาวะทางอากาศแล้วยังลดมลภาวะทางเสียงได้อีกด้วย ถือเป็นความร่วมมือของหลายองค์กรที่มีเป้าหมายเดียวกันคือ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมก่อสร้าง มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ไม่เพียงแค่การร่วมมือกันใช้การขนส่งสีเขียวเท่านั้น แต่การเลือกใช้สินค้าคาร์บอนต่ำหรือสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากจะช่วยโลกลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แล้ว ยังช่วยสร้างโอกาสและความแตกต่างในเชิงการแข่งขันให้กับคู่ธุรกิจ ตั้งแต่เจ้าของโครงการ, ผู้รับเหมาก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการได้รับสิทธิประโยชน์การกู้ยืมสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสินเชื่อทั่วไป มุ่งเน้นการสนับสนุนโครงการที่มีเป้าหมายในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนในการดำเนินงานของธุรกิจในระยะยาว อีกทั้งในอนาคตประเทศไทยเตรียมเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เพื่อบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการใช้พลังงานฟอสซิลเป็นการกระตุ้นให้ภาคธุรกิจหันมาใช้พลังงานสะอาด สอดคล้องกับการที่ CPAC ไม่หยุดพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ที่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวควบคู่ไปกับการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ซึ่งจะทำให้คู่ธุรกิจเติบโตสู่ความยั่งยืนไปพร้อมกัน

อุตสาหกรรมกุ้งปี67หดตัว 6.79% เร่งปรับกลยุทธ์คืนแชมป์ตลาดโลก

อุตสาหกรรมกุ้งปี67หดตัว 6.79% เร่งปรับกลยุทธ์คืนแชมป์ตลาดโลก

          หุ้นวิชั่น - ไทยเคยครองแชมป์ส่งออกกุ้งอันดับ 1 ของโลก แต่ปี 2567 ส่งออกลดลง 6.79% เหลือมูลค่า 1,240 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผู้นำเข้าหลักยังคงเป็นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น สนค. ชี้แนวทางเร่งพัฒนาศักยภาพการผลิต เพิ่มมาตรฐานความยั่งยืน และขยายตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลางและแอฟริกา หวังดึงไทยกลับสู่จุดสูงสุดในตลาดโลก           นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ร่วมกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการธุรกิจประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ได้จัดทำรายงานการศึกษา เรื่อง “แนวทางการพัฒนาศักยภาพการค้าสินค้ากุ้ง” ด้วยเล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมกุ้งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยสร้างรายได้และอาชีพให้คนไทยกว่า 2 ล้านคนทั่วประเทศ การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการขยายโอกาสและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย           จากการศึกษาฯ พบว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา (ปี 2544-2555) การส่งออกกุ้งของไทยเคยครองแชมป์ “อันดับหนึ่ง” การส่งออกกุ้งของโลก โดยในปี 2555 ไทยส่งออกกุ้งเป็นมูลค่า 3,124.25 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยสัดส่วนร้อยละ 16.5 ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมดของโลก แต่จากการระบาดของโรคตายด่วน (Shrimp Early Mortality Syndrome: EMS) ในปี 2556-2558 ส่งผลให้ผลผลิตกุ้งของไทยลดลงกว่าร้อยละ 50 ทำให้ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับประเทศผู้ผลิตกุ้งรายสำคัญ เช่น เอกวาดอร์ อินเดีย และเวียดนาม สำหรับในปี 2566 ไทยเป็นผู้ส่งออกกุ้งอันดับที่ 6 ของโลก รองจากประเทศเอกวาดอร์ อินเดีย เวียดนาม จีน และอินโดนีเซีย ตามลำดับ ด้วยมูลค่า 1,315.20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.6 ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมดของโลก           ในด้านการผลิต ในช่วงระยะเวลา 10 ปี (2556-2566) ผลผลิตของไทยค่อนข้างคงที่ ประมาณ 0.27 ล้านตัน สะท้อนว่าการผลิตกุ้งของไทยต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อการผลิต อาทิ ข้อจำกัด ด้านทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงกุ้ง การระบาดของโรคกุ้ง ขาดการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ การจัดการที่ไม่เหมาะสม รวมถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น           ขณะที่ประเทศผู้ผลิตสำคัญที่มีผลผลิตเติบโตมากที่สุด 3 อันดับแรกของโลก ได้แก่ เอกวาดอร์ จีน และอินเดีย โดยในช่วง 5 ปี (2562-2566) มีอัตราผลผลิตเติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 15.3 13.0 และ 3.8 ตามลำดับ โดยเอกวาดอร์ จีน และอินเดีย ครองตำแหน่งผู้นำในตลาดกุ้งโลก ด้วยผลผลิตและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ จากการศึกษาลักษณะโครงสร้างการนำเข้ากุ้งของโลกในปี 2566 พบว่าประเทศผู้นำเข้ากุ้งรายใหญ่ของโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ มีสัดส่วน การนำเข้ากุ้งจากไทยค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป โดยอินเดียมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ (ประเทศผู้นำเข้ากุ้งสูงสุดของโลก) ร้อยละ 36.41 รองลงมาคือเอกวาดอร์ (ร้อยละ 21.72) อินโดนีเซีย (ร้อยละ 17.71) เวียดนาม (ร้อยละ 9.98)           ขณะที่ไทยมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เพียงร้อยละ 5.24 เท่านั้น สำหรับตลาดนำเข้าสำคัญอื่น ๆ เช่น จีน และเกาหลีใต้ แม้จะนำเข้ากุ้งจากไทยในอันดับต้น ๆ แต่ไทยก็มีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างน้อย เช่น ตลาดจีน ไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียงร้อยละ 5.29 รองจากเอกวาดอร์ และอินเดีย (ร้อยละ 58.95 และ 13.17 ตามลำดับ) ตลาดเกาหลีใต้ ไทยมีส่วนแบ่งตลาด ร้อยละ 9.19 ขณะที่เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 50.67 มีเพียงญี่ปุ่นที่เป็นตลาดศักยภาพและไทยยังสามารถแข่งขันได้ดี โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสองในญี่ปุ่น อยู่ที่ร้อยละ 16.60 รองจากเวียดนาม (ร้อยละ 25.31)           ผอ.สนค. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการศึกษาฯ ได้ชี้ช่องทางการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันสินค้ากุ้งไทยในตลาดโลก ผู้ประกอบการควรมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่หลากหลายและเชิงลึก อาทิ 1) รักษาตลาดเดิม: อาทิ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นตลาดที่มีความต้องการสินค้ากุ้งไทยอย่างต่อเนื่อง และขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดที่มีความต้องการกุ้งที่มีกำลังซื้อสม่ำเสมอ เช่น จีน ยุโรป เกาหลีใต้ และมาเลเซีย โดยปรับกลยุทธ์การตลาดและสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิดกับประเทศดังกล่าว 2) พัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มมูลค่า: มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์กุ้ง รวมทั้งส่งเสริมการขึ้นทะเบียนสินค้ากุ้งให้เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) เนื่องจากมีรสชาติเฉพาะ ซึ่งจะช่วยสร้างจุดเด่นให้กับสินค้าและทำให้สินค้ามีมูลค่าสูงขึ้น อาทิ กุ้งแปรรูปและกุ้งปรุงแต่ง เพื่อดึงดูดความสนใจจากตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร หรือประเทศแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น 3) ปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐาน: พัฒนาและยกระดับมาตรฐานให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ซึ่งปัจจุบันเน้นมาตรฐานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน เพื่อให้ตรงตามมาตรฐานและข้อกำหนดของตลาดหลัก เช่น ปรับปรุงคุณภาพของกุ้งสดและแช่เย็น ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดในสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป และการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความยั่งยืน 4) สำรวจและเข้าถึงตลาดใหม่: ปัจจุบันตลาดสำคัญสำหรับสินค้ากุ้งของไทย คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ไทยควรสำรวจตลาดใหม่ ๆ และขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีความต้องการรับประทานกุ้งอยู่แล้ว แต่ยังสามารถขยายตลาดได้เพิ่มเติม เช่น จีน ตะวันออกกลาง หรือเอเชีย เป็นต้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตลาด และลดการพึ่งพาตลาดเดิม 5) การจัดการต้นทุนและความยั่งยืน: ควรจัดการต้นทุนการผลิตและการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาการผลิตอย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก           ผอ. สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพการค้าสินค้ากุ้งไทยจำเป็นจะต้องมีการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดโลก โดยรายงานการศึกษาฯ มีข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาศักยภาพการค้าสินค้ากุ้งตลอดห่วงโซ่อุปทาน ดังนี้           ด้านการผลิต ควรมุ่งยกระดับคุณภาพสินค้าในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การจัดการผลผลิต การควบคุมโรคระบาด การจัดหาวัตถุดิบ การลดต้นทุนการผลิต ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น พลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการผลิตอย่างยั่งยืน           ด้านการตลาด ควรส่งเสริมความร่วมมือกับค้าปลีกและค้าส่งในการรับซื้อสินค้า พร้อมเปิดโอกาสให้กลุ่มเกษตรกรรายย่อยมีช่องทางจำหน่ายสินค้ามากขึ้น รวมถึงการประชาสัมพันธ์กุ้งไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ การขยายตลาดไปยังตลาดส่งออกใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลักเดิม พร้อมทั้งเจรจาข้อตกลงการค้าต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขัน           ด้านการบริหารจัดการ ควรปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น มาตรฐานแรงงานและความยั่งยืน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในตลาดโลกและสนับสนุนการส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ ปี 2567 ไทยส่งออกสินค้ากุ้ง รวมทั้งสิ้น 1,240.06 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 6.79 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดหลักที่ไทยส่งออกมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) สหรัฐอเมริกา มูลค่า 312.95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สัดส่วนร้อยละ 25.24) (2) ญี่ปุ่น มูลค่า 308.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สัดส่วนร้อยละ 24.87) (3) จีน มูลค่า 263.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สัดส่วนร้อยละ 21.26) (4) เกาหลีใต้ มูลค่า 65.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สัดส่วนร้อยละ 5.31) และ (5) ไต้หวัน มูลค่า 65.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สัดส่วนร้อยละ 5.31) ของมูลค่าการส่งออกกุ้งทั้งหมดของไทย

ราคาน้ำมันดิบแกว่งออกข้าง ปิด 74.66 ดอลลาร์/บาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบแกว่งออกข้าง ปิด 74.66 ดอลลาร์/บาร์เรล

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาน้ำมันดิบเริ่มแกว่งออกข้าง ในทิศทางขาลงต่อ 4 วันก่อนหน้า ทำจุดต่ำสุดตั้งแต่ 10 ม.ค.25 ราคาน้ำมันดิบ WTI +0.05%d-d ปิดที่ 74.66 ดอลลาร์/บาร์เรล BRENT+ 0.27%d-d ปิดที่ 78.50 ดอลลาร์/บาร์เรล          ขณะที่ค่าการกลั่นฟื้นตัวแรงวันศุกร์ ค่าการกลั่น ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ ปิดล่าสุด 24 ม.ค. พลิก เพิ่มขึ้น (+590%d-d หรือ +1.84$ จากวันก่อน) ปิดที่ระดับ 2.21$/bbl เป็นสัญญาณบวกต่อการดำเนินงานปกติของกลุ่มโรงกลั่น เน้น TOP, SPRC

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.85-34.15 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.85-34.15 บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.85-34.15บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าวานนี้ตามเงินหยวนและราคาทองคำที่ย่อตัวลงมา อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาแข็งค่าช่วงข้ามคืนพร้อมเงินเยนและดัชนีเงินดอลลาร์ที่กลับมาอ่อนค่าลง หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในการประชุมที่ Davos ว่าต้องการให้ดอกเบี้ยและราคาน้ำมันลดลง เลขส่งออกไทยเดือนธันวาคม ขยายตัว 7%YOY สูงกว่าเดือนก่อนและสูงกว่าตลาดคาดที่ 7.4% ส่วนเลขนำเข้าออกมาที่ 14.9% ต่ำกว่าตลาดคาด วันนี้จับตาการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 25%

ราคาทองเช้าวันนี้ ดีด 200 บ. ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 44,850 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ ดีด 200 บ. ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 44,850 บ.

                  หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่ 23 มกราคม 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 200 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 44,250.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 44,350.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 43,448.56 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 44,850.00 บาท

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.80-34.00 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.80-34.00 บ./ดอลลาร์

หุ้นวิชั่น- กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.80-34.00 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและเร็วกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค จากราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้น และราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ยังค่อนข้างทรงตัว นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าจากรัสเซียหากปูตินยังไม่หยุดสงครามในยูเครน ทั้งนี้สัดส่วนการค้าระหว่างสองประเทศลดน้อยลงมากเทียบกับช่วงก่อนเกิดสงคราม นางคริสตีน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยจะเป็นอย่างต่อเนื่องและค่อยเป็นค่อยไป โดยน่าจะแตะ 2% ได้ภายในช่วงกลางปีนี้

ส่งออกมันสำปะหลัง กลับมาฟื้นรอบ 14 เดือน ส่งออกจีน ขยายตัว 25.1%

ส่งออกมันสำปะหลัง กลับมาฟื้นรอบ 14 เดือน ส่งออกจีน ขยายตัว 25.1%

         หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยในเดือนธันวาคม 2567 กลับมาขยายตัวในรอบ 14 เดือน อยู่ที่ร้อยละ 7.8 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกสำคัญที่มูลค่าการส่งออกในเดือนธันวาคมขยายตัว ได้แก่ จีน (ขยายตัวร้อยละ 25.1) สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 14.8) อินโดนีเซีย (ร้อยละ 55.9) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 9.3) และเนเธอร์แลนด์ (ร้อยละ 72.6) กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งดำเนินมาตรการดูแลราคาสินค้ามันสำปะหลัง โดยผลักดันทั้งการใช้ภายในประเทศและขยายตลาดส่งออก          สำหรับตลาดในประเทศ ได้ร่วมกับหอการค้าไทยและสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้อง ตั้งเป้ารับซื้อมันสำปะหลัง 2.5 ล้านตันหัวมันสด หรือคิดเป็น 1 ล้านตันมันเส้น ผลักดันเพิ่มการใช้มันสำปะหลังในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์ ให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์หันมาปรับใช้มันเส้นในสูตรอาหารมากขึ้น และได้เร่งดำเนินการเปิดจุดรับซื้อเพื่อสามารถเข้าซื้อผลผลิตได้ทันที ในส่วนของตลาดส่งออก ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ได้หารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ขอให้ผู้นำเข้าจีนช่วยรับซื้อมันสําปะหลังของไทยที่ผลผลิตกำลังทยอยออกสู่ตลาดมาก และยังได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลกประชาสัมพันธ์เดินหน้าหาตลาดให้สินค้ามันสำปะหลังของไทย ตลอดจนผลักดันให้มีการนำเข้าสินค้าแปรรูปจากมันสำปะหลังที่มีมูลค่าสูง เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกและดูแลเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังให้ทันต่อสถานการณ์ ส่งผลให้การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากไทยไปจีนในเดือนธันวาคม ขยายตัวร้อยละ 25.1 และการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยในภาพรวม ขยายตัวร้อยละ 7.8          ทั้งนี้ ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2568 ที่เริ่มทยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2567 จะมีช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเร่งแก้ไขปัญหาด้านราคาให้แก่เกษตรกร ทั้งเพิ่มการใช้ภายในประเทศ รวมทั้งเร่งเดินหน้าขยายตลาดส่งออก เจาะตลาดในอุตสาหกรรมใหม่ที่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ โดยเมื่อต้นเดือนมกราคม กรมการค้าต่างประเทศ ได้จัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางไปขยายตลาดผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทยที่เซี่ยงไฮ้และเฉิงตู เน้นอุตสาหกรรมขั้นปลายที่มีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมกาว และอุตสาหกรรมกระดาษ          สำหรับภาพรวมปี 2567 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นมูลค่า 3,133.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (110,276 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 15.6 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมูลค่าการส่งออกแป้งมันสำปะหลัง และเด็กตริน/โมดิไฟด์สตาร์ชอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 8.2 และร้อยละ 1.8 ตามลำดับ ในส่วนของมันสำปะหลังอัดเม็ด/มันเส้น และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอื่น ๆ (อาทิ สาคูจากแป้งมันสำปะหลัง กากมันสำปะหลัง) มูลค่าการส่งออกหดตัวร้อยละ 59.3 และร้อยละ 25.6 ตามลำดับ          สำหรับตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่สำคัญของไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) จีน (สัดส่วนร้อยละ 51.4 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมด) (2) ญี่ปุ่น (สัดส่วนร้อยละ 9.4) (3) อินโดนีเซีย (สัดส่วนร้อยละ 7.4) (4) ไต้หวัน (สัดส่วนร้อยละ 5.1) (5) และมาเลเซีย (สัดส่วนร้อยละ 4.1) ตามลำดับ

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.80-34.00 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.80-34.00 บ./ดอลลาร์

                 หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.80-34.00 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องพร้อมเงินหยวน หลังทรัมป์ยังไม่ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน อีกทั้ง เลขนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าไทยในสัปดาห์ที่สามของเดือนปรับสูงขึ้นจากมาตรการสนับสนุนของรัฐที่เพิ่มความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง และเลขค่าแรงอังกฤษเดือน พฤศจิกายน ออกมาที่ 6%YOY สูงขึ้นจากเดือนก่อน คณะกรรมการ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า อาจลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในทุกการประชุมจนแตะที่ 2%

'บล.กรุงศรี' เปิดสัมมนา ส่องโลกการลงทุน 4 มิติ

'บล.กรุงศรี' เปิดสัมมนา ส่องโลกการลงทุน 4 มิติ

         หุ้นวิชั่น - บมจ.หลักทรัพย์กรุงศรี ขอเชิญร่วมสัมมนา ส่องโลกการลงทุน 4 มิติ วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 8.30 – 13.00 น. ณ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 1 อาคารไทยวา สาทร กทม. สนใจสำรองที่นั่งฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย คลิกเพื่อลงทะเบียน >> https://www.krungsrisecurities.com/.../seminar-form.aspx... [PR-NEWS]

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.00-34.25 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.00-34.25 บ./ดอลลาร์

หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.00-34.25 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อคืน และมีรายงานว่าจะยังไม่รีบขึ้นภาษีนำเข้าแบบ universal (จากทุกประเทศพร้อมกัน) ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่า US treasury yields ปรับลดลง นายโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงถอนตัวจาก Paris Accord เพิกถอนข้อบังคับเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า จะซื้อน้ำมันมากขึ้น ขับไล่ผู้เข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของเยอรมนีออกมาที่ 8%YOY ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 1.1%YOY

BINANCE TH by Gulf BINANCE จัดงานใหญ่ ตอกย้ำผู้นำตลาดคริปโต

BINANCE TH by Gulf BINANCE จัดงานใหญ่ ตอกย้ำผู้นำตลาดคริปโต

          หุ้นวิชั่น - BINANCE TH เผยปี 67 สินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตแข็งแกร่ง มูลค่าซื้อ-ขายโตกว่า 30 เท่า [1] จัดงานใหญ่ "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE ย้ำผู้นำตลาดคริปโตสำหรับทุกคน เปิดพื้นที่สยามสแควร์จับกลุ่มคนรุ่นใหม่  ให้เรียนรู้-สัมผัสประสบการณ์ A Day in the Life of Cryptonians พร้อมกิจกรรมมากมายจากพันธมิตรชั้นนำให้เข้าถึงและเข้าใจโลกคริปโตกับ 8 โซนไฮไลท์ เต็มอิ่มทั้งสาระและความบันเทิง            คุณนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า “เป้าหมายของ Binance TH ในปี 2025 ยังคงให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การดูแลด้านความปลอดภัย ความโปร่งใส และคุณภาพการให้บริการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง ปีที่ผ่านมาเราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยมากมายที่หลายประเทศต่างให้การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น และวันนี้บิตคอยน์สินทรัพย์ดิจิทัลแรกของโลกก็ได้ไต่ขึ้นอันดับ 6 สินทรัพย์การเงินโลกไปแล้ว โดยมีมูลค่ารวมสูงกว่า $1.95 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ [2] แซงหน้าสกุลเงินของทั้งสหราชอาณาจักรและสวิตเซอร์แลนด์ สะท้อนให้เห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงในโลกการเงินการลงทุนที่จะเต็มไปด้วยโอกาสในปีนี้”            สำหรับภาพรวมการให้บริการของ BINANCE TH ในปีที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ใช้งานไทยลงทะเบียนเปิดบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า [1] และมียอดเทรดเพิ่มขึ้นถึง 30 เท่า [1] โดยผู้ใช้งานประเภทบุคคลทั่วไปในประเทศคือกลุ่มที่มีสัดส่วนการลงทุนมากที่สุด [3] และช่วงบิตคอยน์เข้าสู่ All-Time High เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 แตะที่มูลค่ากว่า 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ 1 บิตคอยน์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดสกุลเงินดิจิทัลเองก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 39.9% มีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ [4] นับเป็นหมุดหมายการเติบโตสำคัญของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะเป็นโอกาสด้านการเงินให้กับทุกคน ฉลองครบรอบ 1 ปีกับความสำเร็จของ BINANCE TH: จำนวนผู้ใช้งาน BINANCE TH เติบโตขึ้นต่อเนื่องนับจากวันที่เปิดให้บริการ สะท้อนศักยภาพตลาดไทยทั้งด้านการเติบโตและปริมาณการซื้อขาย โดยมุ่งมั่นยกระดับอัตราการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลในกลุ่มคนไทยเพิ่มจาก 12% ในปี 2567 [5] และเทรนด์ PayFi [6] เป็นกุญแจสำคัญของการเกิด RWA ที่จะเข้ามาผลักดันการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยนวัตกรรมในระดับ Application Layer มุ่งเน้นที่การปรับแต่ง AI และการสมัครใช้งานที่ง่ายขึ้น เพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานในวงกว้าง ขณะที่ในระดับ Financial Layer จะเห็นการมาของ    สเตเบิลคอยน์และการปรับสภาพคล่องอัตโนมัติเพื่อลดความผันผวนและเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างระบบเงินปกติและคริปโตเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ แพลตฟอร์มที่มีเหรียญให้บริการมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 350 [1] เหรียญ ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ สกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้นว่า เราจะเห็นการพัฒนาเกมที่วางอยู่บนรากฐานของคริปโต หรือ Crypo-Based In-Game Economies [7] มากขึ้น สร้างบุคลากรเข้าสู่อีโคซิสเต็ม BINANCE TH Academy  ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศในการให้ความรู้เรื่องบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลมาไว้ในห้องเรียน ตลอดปี 2567 สามารถอบรมคนรุ่นใหม่ผ่านสถาบันการศึกษา เป็นจำนวนกว่า 50,000 ราย [1] เพื่อสร้างนักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและนักพัฒนาเทคโนโลยีต้นน้ำ ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนา Digital Economy ในประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มให้มีความทันสมัย พร้อมรองรับนักลงทุนสถาบันไทยด้วยการพัฒนาฟีเจอร์การซื้อขาย Easy/Buy Sell ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำการซื้อขายคริปโต หรือดิจิทัลโทเคนต่าง ๆ โดยตรง ยกระดับความปลอดภัยแพลตฟอร์มและเพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้ใช้ BINANCE TH มีนโยบายและยกระดับการดูแลผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มเทียบเท่า BINANCE แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก โดยเปิดตัวระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า หรือ Face Verification ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับความปลอดภัยและป้องกันการกระทำผิดทางการเงิน ไปจนถึงร่วมมือกับตำรวจไทยในการสอดส่องและให้ความร่วมมือกรณีเกิดความไม่โปร่งใสทางการเงินดิจิทัล            โอกาสนี้ BINANCE TH  ประเดิมจัดงานใหญ่รับปี 2025 ต้อนรับตลาดกระทิงกับงาน "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงโปรเจกต์ Crypto Currency ระดับโลก สร้าง Networking สัมผัสเทคโนโลยีมากมายในวงการ Web3  ผ่านการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สาธิต และจำลองประสบการณ์จากพันธมิตรต่าง ๆ มากมาย            “แน่นอนว่า 2025 จะเป็นปีแห่งโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย เราไม่อยากให้เป็นแค่การเติบโตของตลาด แต่อยากจะทำให้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสสำหรับทุกคน โดยงาน "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเตรียมความพร้อมของสังคมไทยในการก้าวไปสู่ระบบการเงินยุคใหม่ ที่สินทรัพย์ดิจิทัลจะกลายเป็น ‘กระแสหลักของโลก’ ที่ผู้ใช้งานสามารถเป็นเจ้าของมูลค่าสินทรัพย์ได้อย่างอิสระและโปร่งใส รวมถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Web3 อย่างเต็มรูปแบบ” คุณนิรันดร์ กล่าวเพิ่มเติมถึงงาน "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE "Street of the Future" Presented by BINANCE TH by Gulf BINANCE: ถนนสู่ฉากทัศน์การเงินยุคใหม่ ที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงและเข้าใจได้            กิจกรรมจัดเต็มทั้งสาระและไลฟ์สไตล์ความบันเทิงตลอด 2 วัน ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ต่างประเทศที่น่าสนใจอย่างMoodengsol, Memeland, Lumia ฯลฯ, โซน game พร้อมทั้งกิจกรรมให้ร่วมสนุก รับของรางวัลมากมาย  ฯลฯ ร่วมอัพเดทเทรนด์ลงทุนรับต้นปีบนเวทีเสวนาพิเศษ และแขกคนพิเศษ พร้อมการจับมือทำเวิร์คช็อปสำหรับผู้ที่สนใจอยากเริ่มเทรด โดย BINANCE TH Academy และยังมีโซน Meetup space ที่จำลองบรรยากาศการใช้จ่ายด้วยคริปโต เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้เปิดโลกและสัมผัสประสบการณ์การเงินดิจิทัลบนเทคโนโลยีบล็อกเชนด้วยตนเอง ติดตามข่าวสารงาน Street of the Future เพิ่มเติมได้ที่ Official Facebook: BINANCE TH by Gulf BINANCE คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาข้อมูลและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

อีสท์สปริง เสิร์ฟกองทุนเปิดชูยิลด์ 1.75%  เปิดขายถึง 23 ม.ค.68 นี้

อีสท์สปริง เสิร์ฟกองทุนเปิดชูยิลด์ 1.75% เปิดขายถึง 23 ม.ค.68 นี้

          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด  หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเสนอขายกองทุนเปิดอีสท์สปริง พันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น 6M33 (ES-GOVCP6M33) อายุประมาณ 6 เดือน เงินทุนโครงการ 7,000  ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มุ่งรักษาเงินต้นที่ผู้ลงทุนจะมีโอกาสได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหน่วยลงทุน ณ วันครบอายุโครงการ โดยเสนอขายครั้งแรกครั้งเดียวระหว่างวันนี้-23 มกราคม 2568 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท           โดยกองทุน  ES-GOVCP6M33 มีนโยบายที่จะนำเงินลงทุนไปลงทุนในตั๋วเงินคลัง และ/หรือพันธบัตรรัฐบาล และ/หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน สำหรับเงินลงทุนส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากธนาคาร และ/หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้ และกองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนเพียงครั้งเดียวและถือครองทรัพย์สินที่ลงทุนจนครบอายุโครงการ (Buy and Hold) โดยคาดหวังจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 1.90% ต่อปี ณ วันครบอายุโครงการ ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.15% ต่อปี ณ วันครบอายุโครงการ แล้ว ผู้ลงทุนจะได้รับประมาณการผลตอบแทนอยู่ที่ 1.75% ต่อปีของเงินลงทุนเริ่มแรก (แหล่งที่มาของข้อมูล อัตราผลตอบแทนที่เสนอขายโดยผู้ออกตราสาร ณ วันที่ 14 มกราคม 2568)           ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนดอายุกองทุน บลจ.อีสท์สปริง จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบอัตโนมัติ และทำการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของกองทุนทั้งจำนวนของผู้ถือหน่วยทุกราย ไปยังกองทุนเปิดอีสท์สปริง ธนรัฐ (ES-TM) หรือกองทุนรวมตลาดเงินอื่นที่บลจ.อีสท์สปริง เปิดให้บริการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ในวันทำการก่อนวันสิ้นสุดอายุโครงการ           อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถลงทุนให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ เนื่องจากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามอัตราที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก กองทุนอาจไม่ได้รับเงินต้นและผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ หากผู้ออกตราสารที่กองทุนลงทุนไม่สามารถชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคืนได้ บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินที่ลงทุนหรือสัดส่วนการลงทุนได้ เฉพาะเมื่อมีความจำเป็นและสมควรเพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องไม่ทำให้ความเสี่ยงของทรัพย์สินที่ลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ และผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน และกองทุนมีความเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องของตราสาร และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ เป็นต้น           ผู้สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) หรือผู้สนับสนุนการขาย และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้ง และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.eastspring.co.th หรือโทร 1725 ในวันและเวลาทำการ หรือผ่านช่องทางการขายของ บลจ.อีสท์สปริง

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.60-34.85 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.60-34.85 บ./ดอลลาร์

หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.60-34.85 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นจากดัชนีเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง หลังเลข PPI เดือนธันวาคม สหรัฐฯ ออกมาที่ 2%MOM ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.4% อย่างไรก็ดี US Treasury yields สูงขึ้นเล็กน้อย นายเรียวโซ ฮิมิโนะ รองผู้ว่าการ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวว่า จะพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า แต่หากคาดการณ์เงินเฟ้อไม่สูงขึ้นก็อาจทำให้เงินเฟ้อจริงปรับลดลงได้ ส่งผลให้เงินเยนผันผวน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยเดือนธันวาคม ออกมาที่ 9 สูงขึ้นจากเดือนก่อนที่ 56.9

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.60-34.85บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.60-34.85บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.60-34.85บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าวานนี้ แต่กลับมาแข็งค่าขึ้นเช้านี้ จากดัชนีดอลลาร์อ่อนค่า หลังมีรายงานว่า ทีมเศรษฐกิจนายโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมขึ้น Tariffs 4-5% ต่อเดือน เพื่อเลี่ยงไม่ให้กระทบเงินเฟ้อ ยอดส่งออกจีนเดือนธันวาคมออกมาที่ 7%YOY สูงกว่าตลาดคาด ขณะที่ทางการจีนออกมาตรการพยุงค่าเงินหยวน โดยผ่อนคลายเกณฑ์เงินทุนเคลื่อนย้าย ให้สามารถกู้เงินดอลลาร์ offshore ได้มากขึ้น ราคาน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่องจากที่ US sanction น้ำมันรัสเซีย ส่งผลต่อ supply

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.40-34.60 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.40-34.60 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.60 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น ส่วนหนึ่งตามเงินเยนที่ปรับแข็งค่าหลังเลขค่าจ้างในญี่ปุ่นขยายตัว 3%YOY โดยค่าจ้างฐานขยายตัวสูงสุดในรอบ 32 ปี เงินเฟ้อจีนเดือนธันวาคมออกมาที่ 1%YOY ตามที่ตลาดคาด โดยเป็นการชะลอลง 4 เดือนติดต่อกัน เป็นผลจากราคาอาหารและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลง ส่งผลให้เงินหยวนอ่อนค่าเล็กน้อย เงินปอนด์ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องจากความกังวลเรื่องดุลการคลังอังกฤษ ที่ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสูงขึ้นเร็ว

ทิสโก้ชู 3 กองทุน ES-GINCOME, KFGPROP, TGOLD เด่น

ทิสโก้ชู 3 กองทุน ES-GINCOME, KFGPROP, TGOLD เด่น

           หุ้นวิชั่น - 9 ม.ค. 68 - ธนาคารทิสโก้เคาะ 3 กองทุน สร้างโอกาสปกป้องความเสี่ยงจากนโยบายทรัมป์ (Asset Shield) ได้แก่  กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Income (ES-GINCOME) ลงทุนในตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลพร็อพเพอร์ตี้ (KFGPROP) ลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) โลก และกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ (TGOLD) เน้นลงทุนในทองคำแท่ง คาดตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง และ REITs โลกได้รับประโยชน์จากช่วงดอกเบี้ยขาลง และราคาทองคำแท่งอาจปรับขึ้นช่วงหนี้สาธารณะสหรัฐฯ พุ่ง              นางวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุน และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2568 สำหรับลูกค้าที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยปกป้องความผันผวนจากนโยบายนายโดนัล ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ (Asset Shield) พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ระดับโลก และทองคำ โดยมี 3 กองทุนรวมที่แนะนำ ดังนี้ 1. กองทุน ES-GINCOME เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก  2. กองทุน KFGPROP ลงทุนใน REITs และอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก และ 3. กองทุน TGOLD ลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust (กองทุนหลัก) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในทองคำแท่ง สำหรับรายละเอียดของ 3 กองทุนในธีม Asset Shield ที่ธนาคารทิสโก้แนะนำ มีดังนี้ กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง แนะนำลงทุนในกองทุน ES-GINCOME            กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Income (ES-GINCOME) ความเสี่ยงระดับ 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) เน้นลงทุนในกองทุน PIMCO GIS Income Fund ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกอย่างน้อย 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สิน กองทุนหลักอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถบริหารพอร์ตให้เข้ากับสภาวะตลาดได้ดี ซึ่งข้อมูลจาก PIMCO GIS Income Fund  ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ระบุว่าในช่วงนี้กองทุนหลักลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย 4.09 ปี ซึ่งนับเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง ทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตราสารหนี้ระยะยาว นอกจากนี้ในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนผู้จัดการกองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ AA- ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้อีกด้วย            “ตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายอัตราดอกเบี้ยขาลง  โดยข้อมูลจาก TISCO Wealth Advisory ระบุว่าในปี 2568 ตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง มีโอกาสสร้างผลตอบแทนรวมกว่า 5% ในขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวอาจจะได้ผลตอบแทนรวมเพียง 4.5% เท่านั้น เนื่องจากคาดว่าเส้นแสดงอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในแต่ละช่วงอายุ (Yield Curve) จะมีความชันมากขึ้น เพราะอัตราผลตอบแทนหรือ Yield ของตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลางจะปรับลดลงตามนโยบายการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ที่เราคาดว่าจะลดลงจาก 4.25 – 4.50% เหลือ 3.75-4.00% ณ สิ้นปี 2568  ในขณะที่อัตราผลตอบแทนหรือ Yield ของตราสารหนี้ระยะยาวจะปรับลดลงมาด้วยแต่จะลดลงในอัตราที่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง เพราะคาดว่าอัตราเงินเฟ้ออาจจะเร่งตัวเพิ่มขึ้นจากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Tariffs) ของทรัมป์ ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนของตัวยาวลดลงไม่ได้มากนัก ดังนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลางจึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคา (Capital gains) มากกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว” นางวรสินีกล่าว ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) โลก แนะนำลงทุนในกองทุน KFGPROP             กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลพร็อพเพอร์ตี้ (KFGPROP) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ Janus Henderson-Global Real Estate EquityIncome Fund (กองทุนหลัก) เน้นการลงทุนทั่วโลกในหุ้นของบริษัทที่ประกอบธุรกิจหรือเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ หรือบริษัทที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ จะลงทุนใน REITs ซึ่งลงทุนในอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า อพาร์ทเมนต์ เป็นต้น กองทุนนี้โดดเด่นตรงที่กองทุนหลักมีกระบวนการลงทุนยืดหยุ่นและแตกต่าง ทีมผู้จัดการกองทุนมีประสบการณ์ยาวนานมีมุมมองการลงทุนเชิงลึกเพื่อเฟ้นหาแนวทางการลงทุนที่ดีที่สุดในแต่ละสภาวะตลาด            “Global REITs จะมีต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงจากอัตราดอกเบี้ยขาลง ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานมากขึ้น โดยข้อมูลจาก Bloomberg คาดว่าในปี 2568 อัตราการเติบโตของกำไรกลุ่ม Global REITs จะเติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ นอกจากนี้ ในปี 2560 – 2562 ซึ่งเป็นช่วงทรัมป์เดินหน้าสงครามการค้า ราคา Global REITs ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น 24%” นางวรสินีกล่าว ทองคำ แนะนำลงทุนในกองทุน TGOLD            กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ (TGOLD) ความเสี่ยงระดับ 8 (เสี่ยงสูงมาก) ลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust (กองทุนหลัก) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในทองคำแท่ง จัดตั้งและจัดการโดย World Gold Trust Services, LLC โดยกองทุน SPDR เป็นกองทุน ETF ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำ  จุดเด่นของกองทุนนี้คือ การนำเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนไปซื้อทองคำแท่งเพียงอย่างเดียว  ไม่มีการนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ หรือใช้ตราสารอนุพันธ์ใดๆ  ผลตอบแทนที่ได้จึงมาจากการลงทุนในทองคำ 100% มีสภาพคล่องสูงซื้อขายง่าย และมีราคาใกล้เคียงกับราคาทองคำแท่งในตลาดโลก  ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับการลงทุนในทองคำแท่งอ้างอิงกับราคาทองคำแท่งใน LBMA หรือสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอน            “ในช่วงสมัยแรกที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีและดำเนินนโยบายต่างๆ ทำให้สหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 39% ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวราคาทองคำปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 53% ดังนั้น จึงมองว่าในช่วงทรัมป์ 2.0 ซึ่งทรัมป์อาจดำเนินนโยบายต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น จึงมีโอกาสที่ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต” นางวรสินีกล่าว            อย่างไรก็ตาม กองทุน KFGPROP ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก นอกจากนี้ กองทุน ES-GINCOME KFGPROP  และ TGOLD  ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ติดต่อสอบถามรายละเอียด หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 2 กด 4 [PR News]

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยวานนี้ แต่กลับมาอ่อนค่าช่วงข้ามคืน หลังเลขการเปิดรับตำแหน่งงานใหม่สหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาดจากธุรกิจในภาคบริการ อีกทั้ง ISM ภาคบริการออกมาที่ 54.1 สูงกว่าคาดเช่นกัน ทำให้นักลงทุนมองธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยช้าลง เงินเฟ้อยุโรปธันวาคมออกมาที่ 2.4%YOY สูงขึ้นจากเดือนก่อน แต่เท่ากับที่ตลาดคาด โดยเป็นผลจากราคาพลังงานที่เร่งตัวขึ้น นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เตรียมที่จะขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโกยุโรป รวมถึงจะสนับสนุนอิสราเอล

[Vision Exclusive] ปีของการลงทุนทอง Q2 แตะ 3พันดอลลาร์

[Vision Exclusive] ปีของการลงทุนทอง Q2 แตะ 3พันดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี เผย ทองคำ ยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าลงทุนในปี 2568 คาดราคาทองคำโลกพุ่งแตะ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในไตรมาส 2 จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจโลกหลังการปฏิญาณตนของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ราคาทองคำไทยอาจแตะ 45,000 บาท แนะเน้นลงทุนทองคำแท่งระยะยาว           นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในปี 2568 โดยคาดว่าราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ จากระดับปัจจุบันที่ราว 2,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้าพิธีปฏิญาณตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมนี้           นายจิตติกล่าวว่า แม้จะมีความคาดหวังต่อนโยบายที่นายทรัมป์เคยหาเสียงไว้ แต่หลายมาตรการอาจไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดความไม่พอใจจากนานาประเทศต่อมาตรการต่างๆ เช่น กำแพงภาษี ซึ่งอาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาดโลก ความไม่แน่นอนเหล่านี้ส่งผลให้สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น           สำหรับตลาดทองคำในประเทศไทย คาดว่าราคาทองคำอาจแตะระดับ 45,000 บาท ต่อบาททองคำ จากระดับปัจจุบันที่ราว 43,250 บาท โดยเป็นผลจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลกและค่าเงินบาท           นายจิตติยังให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในทองคำว่า แม้ราคาทองคำในปีนี้อาจไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างหวือหวาเหมือนปีก่อนที่มีการปรับขึ้นมากกว่า 30% แต่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยควรเน้นการลงทุนใน ทองคำแท่ง เป็นหลัก เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนใน Gold Futures หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำ ซึ่งยังมีความผันผวนสูงในช่วงนี้           "ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในปีนี้ โดยคาดว่าราคาทองคำมีโอกาสแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากปัจจุบันที่ราว 2,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง"  นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าว           ทั้งนี้ นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นทองคำในปี 2568 นี้ รายงานโดย: ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว สำนักข่าว Hoonvision

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์

หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อหลังเงินเฟ้อไทยออกมาต่ำกว่าคาด โดยเงินเฟ้อทั่วไปออกมาที่ 23%YOY ซึ่งกลับเข้ามาในกรอบเป้าหมายของ ธปท. ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.79%YOY ต่ำกว่าคาดเช่นกัน เลข PMI ภาคบริการของสหรัฐฯ เดือนธันวาคม ออกมาที่ 8 ต่ำกว่าคาดที่ 58.5 ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อโรงงานสหรัฐฯ ออกมาที่ -0.4%MOM ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย นายโดนัลด์ ทรัมป์ ปฏิเสธรายงานโดยสำนักข่าว Washington Post ว่ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจะรุนแรงน้อยกว่าที่เคยขู่ไว้

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.60 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.60 บาท/ดอลลาร์

หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) ค่าเงินบาทประจำวันที่ 6 มกราคม 2568 Market update by SCBFM: 6 มกราคม 2568 กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.60 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าตามเงินหยวนที่อ่อนค่าทะลุ 7.30 ต่อดอลลาร์ (onshore) ซึ่งเป็นระดับที่ทางการจีนเข้าป้องกันมาต่อเนื่องในช่วงปลายปีก่อน ทำให้มีโอกาสเห็นเงินหยวนอ่อนค่าต่อได้ เลข ISM ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ออกมาที่ 49.3 สูงขึ้นจากเดือนก่อนและสูงกว่าตลาดคาด จากยอดคำสั่งซื้อที่ปรับดีขึ้น แต่ดัชนียังสะท้อนการหดตัวของภาคการผลิต นายโทมัส บาร์กิน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาริชมอนด์ กล่าวสนับสนุนให้ไม่ต้องรีบลดดอกเบี้ย ทำให้ Treasury yields สูงขึ้น

แนวโน้มตลาดหุ้นกู้ และหุ้นกู้เสนอขายต้นปี 68 [HoonVision x FynnCorp]

แนวโน้มตลาดหุ้นกู้ และหุ้นกู้เสนอขายต้นปี 68 [HoonVision x FynnCorp]

            หุ้นวิชั่น - หุ้นกู้ครบกำหนดปี 2568 มูลค่ากว่า 860,000 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นกู้กลุ่ม Investment grade กว่า 75% ซึ่งเป็นหุ้นกู้กลุ่มที่ได้รับความนิยมต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะที่ความเชื่อมั่นนักลงทุนในประเทศยังไม่กลับมา จากเหตุการณ์หุ้นกู้ผิดนัดชำระ ส่งผลให้หุ้นกู้กลุ่ม High Yield ยังคงให้ผลตอบแทนที่สูงตามความเสี่ยง             หุ้นกู้กลุ่ม ENERG, FIN, PROP ยังคงมีมูลค่าคงค้างมากสุดตามลำดับ สะท้อนจากมูลค่าการออกหุ้นกู้ในปี 2567 มากสุดและหุ้นกู้ครบกำหนดปี 2568 สูงสุดรวมมูลค่าเกือบ 449,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 52% ของมูลค่าหุ้นกู้ครบกำหนดชำระทั้งหมดในปีนี้ ทำให้ปี 2568 เราอาจเห็นหุ้นกู้ roll over จาก 3 กลุ่มนี้มาก             หุ้นกู้เสนอขายต้นปี 2568 ประกอบด้วยหลากหลายกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่ม PROP และ ENERG ซึ่งเราได้เปรียบเทียบโดยดูจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน และ ความสามารถในการชำระดอกเบี้ยของผู้ออกแต่ละราย ซึ่งจะสะท้อนความเสี่ยงและความมั่นคงทางการเงินระยะสั้นเบื้องต้น ภาพรวมในปีที่ผ่านมาและแนวโน้มตลาดหุ้นกู้ 2568             ภาพรวมตลาดหุ้นกู้ของไทยในปี 2567 ได้เผชิญกับภาวะดอกเบี้ยที่ยังคงสูง ก่อนที่ในเดือนตุลาคม 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% ต่อปี มาเป็น 2.25% ต่อปี ซึ่งทาง กนง. มองว่าเป็นการลดในระดับที่ยังเป็นกลางและสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจ และในเดือนธันวาคม กนง. ได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เนื่องจากสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งถูกประเมินไว้ที่ 2.7% และ 2.9% สำหรับปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ ท่ามกลางเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานในปี 2567 - 68 คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนหน้าและยังอยู่ในระดับต่ำ โดยการปรับลดดอกเบี้ยที่ผ่านมา เป็นไปในทิศทางเดียวกับธนาคารกลางใหญ่ในโลกที่มีการปรับลดลงก่อนหน้าอย่าง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางสวิส (SNB) ธนาคารกลางแคนาดา (BoC) และตามด้วยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งคงดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่าที่ตลาดคาด             โดยตลอดทั้งปี 2567 สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) รายงาน กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) มีมูลค่าการขายสะสมสุทธิประมาณ 67,000 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากผลรวมของการขายตราสารหนี้ในช่วงครึ่งแรกของปีจากการที่ Fed ยังคงดอกเบี้ยระดับสูง และในช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ภายหลังที่ กนง. ปรับลดดอกเบี้ย จึงอาจส่งผลให้ Fund flow ในช่วงดังกล่าวไหลออก ต่อมา เดือนธันวาคม มียอดซื้อสุทธิอยู่ที่ 5,870 ล้านบาท จากความคาดหวังของนักลงทุนต่างชาติที่มองทิศทางดอกเบี้ยไทยอาจลดลงในอนาคต ประกอบกับความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งสะท้อนผ่านการเข้าซื้อตราสารหนี้ระยะยาวรวม 20,232 ล้านบาทในเดือนธันวาคม             อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นปี 2567 เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government Bond Yield Curve) ปรับตัวลดลงในรุ่นอายุหลักเดือน แต่ปรับตัวสูงขึ้นในรุ่นอายุ 3 ปีขึ้นไป สะท้อนสัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติที่ยังน้อย (5.4% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย) อาจไม่ส่งผลต่อ Yield อย่างมีนัยสำคัญมากเมื่อเทียบกับจำนวนนักลงทุนในประเทศที่อาจมองแนวโน้มตลาดต่างออกไป ทำให้ Yield ระยะยาวสูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงตามมุมมองนักลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศ ดังนั้น เป็นไปได้ว่าอัตราดอกเบี้ยในหุ้นกู้ระยะยาวในปี 2568 จะยังสูงโดยเฉพาะในหุ้นกู้กลุ่ม Non-Investment Grade ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังไม่กลับมาจากเหตุการณ์ผิดนัดชำระและเลื่อนนัดชำระของผู้ออกหุ้นกู้ตลอด 2 ปีมานี้ รวมถึงความกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจ             จากปัจจัยข้างต้น ส่งผลให้มูลค่าการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนในปี 2567 ลดลงมาอยู่ที่ 908,186 ล้านบาท หรือลดลง 8.62% จากปี 2566 ซึ่งมีมูลค่าเสนอขาย 993,895 ล้านบาท โดยเฉพาะหุ้นกู้กลุ่ม High Yield (Non-investment grade และ non-rated) ที่มีมูลค่าการออกลดลงถึง 38.7% YoY ขณะที่หุ้นกู้ Investment Grade มีมูลค่าการออกใกล้เคียงปีก่อน (-2.7% YoY) สะท้อนว่าหุ้นกู้ในกลุ่มนี้ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอยู่             หากดูเป็นรายกลุ่มธุรกิจ (Sector) พบว่า กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) เป็น sector ที่มีการออกหุ้นกู้มากที่สุดในปี 67 มูลค่า 155,919 ล้านบาท ตามมาด้วย กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) 134,894 ล้านบาท และ กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG) 128,889 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้ง 3 เป็นกลุ่มมีมูลค่าคงค้างในตลาดปัจจุบันมากสุด และยังเป็นกลุ่มที่จะมีหุ้นกู้ครบกำหนดในปี 2568 มากที่สุดตามลำดับ รวมมูลค่า 448,951 ล้านบาท จากยอดหุ้นกู้เอกชนที่จะครบกำหนดในปี 2568 ทั้งหมด 862,391 ล้านบาท ดังนั้น เป็นไปได้ที่เราจะเห็นหุ้นกู้ roll over โดยเฉพาะของ 3 กลุ่มนี้ในปี 2568 ค่อนข้างมาก หุ้นกู้เสนอขายต้นปี 2568             ในเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 มีหุ้นกู้เสนอขายในหลายกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) และพลังงาน (ENERG) โดยเราได้รวมหุ้นกู้ที่เสนอขายเป็น 6 sector ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่มีมูลค่าหุ้นกู้คงค้างในตลาดปัจจุบันมากสุดติด 9 อันดับแรก พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับผู้ออกในกลุ่มเดียวกัน ดังนี้ Sector: Property Development (PROP)             กลุ่ม PROP ยังคงเป็นกลุ่มที่มีการออกหุ้นกู้มาอย่างต่อเนื่อง และมีหุ้นกู้ออกมาในต้นปีนี้จำนวน 9 บริษัท ได้แก่ S, Noble, MQDC, DHOUSE, SIRI, AP, SC, CWTTG และ ORI ด้วยอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 4.50% ไปจนถึง 7.50% ต่อปีตาม Rating องค์กรและหุ้นกู้ โดยเราได้เปรียบเทียบอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ในกลุ่มผู้ออก sector เดียวกัน เพื่อสะท้อนโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ยิ่งมีค่าสูงแสดงถึงโครงสร้างเงินทุนที่มีหนี้สินมากกว่าส่วนของเจ้าของ และอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (ICR) ถ้าค่านี้สูง แสดงถึงความสามารถของบริษัทในการจ่ายดอกเบี้ยจากกำไร (EBIT) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความมั่นคงทางการเงินในระยะสั้น             จากกราฟด้านล่าง แสดงให้เห็นว่า DHOUSE และ AP มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำกว่า 1 แสดงถึงการมีส่วนเงินทุนของตัวเองมากกว่าหนี้สิน ขณะที่ AP, SC, SIRI และ S มีอัตราส่วน ICR มากกว่า 2 สะท้อนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่แข็งแกร่งและบริหารต้นทุนดอกเบี้ยที่โดดเด่นกว่าผู้เล่นอื่น Sector: Energy & Utilities (ENERG)             หุ้นกู้กลุ่ม ENERG เสนอขายต้นปี 2568 มีจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ BSRC, AGE และ SUPER ซึ่งหากดูค่า D/E ratio ตามกราฟด้านล่าง จะเห็นว่า BSRC มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า AGE และ SUPER ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2567 และมีค่า ICR สูงกว่า สะท้อนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่สูงตามมา Sector: Finance & Securities (FIN)             กลุ่ม FIN เป็น Sector ที่มีมูลค่าหุ้นกู้ครบกำหนดชำระในปี 2568 มากที่สุด ด้วยมูลค่า 184,204 ล้านบาท ซึ่งหุ้นกู้ที่เสนอขายปัจจุบัน ได้แก่ MTC และ SCAP แก่ประชาชนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน หากเปรียบเทียบทั้ง 2 บริษัท จะพบว่า SCAP มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนน้อยกว่า ในขณะที่ MTC แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่สูงกว่า Sector: Food & Beverage (FOOD)             สำหรับกลุ่ม FOOD ที่เสนอขายหุ้นกู้ในปัจจุบัน ได้แก่ บริษัท CPF และ BTG ซึ่งทั้งคู่มี Rating องค์กรและหุ้นกู้เป็น A โดยหากเปรียบเทียบทั้ง 2 ผู้ออก จะพบว่า BTG มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำกว่า และ มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับ CPF Sector: Information & Communication Technology (ICT)             กลุ่ม ICT ประกอบไปด้วย TRUE เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป และ INET เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว TRUE จะมีอัตราส่วนที่สูงกว่าทั้งอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่สูงกว่าเช่นกัน Sector: Transportation & Logistics (TRANS)             กลุ่ม TRANS ได้แก่ BTSG และ TTA ซึ่งหากวิเคระห์อิงจาก D/E และ ICR พบว่า TTA มีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและมีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยได้ดีกว่า ขณะที่ BTSG พึ่งพาหนี้สินในโครงสร้างทางการเงินมากกว่า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องการการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Infrastructure) และลักษณะธุรกิจของ BTSG ที่มีระยะเวลาคืนทุนยาวจากรายได้หลักมาจากค่าบริการผู้โดยสาร ซึ่งแตกต่างจากธุรกิจของ TTA ที่เป็นธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือ             หมายเหตุ: การเปรียบเทียบอัตราส่วนข้างต้น เป็นการวิเคราะห์ความน่าลงทุนเบื้องต้น ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดและวัตถุประสงค์การใช้เงินเพิ่มเติมได้ในเอกสาร fact sheet รวมไปถึง สภาพคล่องและลักษณะธุรกิจของแต่ละบริษัทผู้ออก เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน อ่านรายละเอียดเพิมเติม https://app.visible.vc/shared-update/ab0b9719-0f5e-405a-aa09-ee837232663d

ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์ค่าธรรมเนียม การยื่นรายงานประจำปีบริษัทจดทะเบียน

ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์ค่าธรรมเนียม การยื่นรายงานประจำปีบริษัทจดทะเบียน

         หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกเลิกการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปีของบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้สอดคล้องสภาวการณ์ปัจจุบัน ตามที่ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สบ. 28/2547 เรื่อง การกำหนดค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล การจดทะเบียน และการยื่นคำขอต่าง ๆ ลงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 โดยกำหนดให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ที่มีหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ไม่เคยถูกดำเนินการเปรียบเทียบความผิดหรือถูกกล่าวโทษโดย ก.ล.ต. จากกรณีที่ไม่สามารถจัดทำและนำส่งงบการเงินหรือรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงานตามที่กฎหมายกำหนด และมีการชำระค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปีภายในกำหนดระยะเวลา ได้รับลดหย่อนค่าธรรมเนียมการยื่นแบบรายการข้อมูลประจำปีในอัตราร้อยละ 20 ของค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระ ที่ผ่านมา ก.ล.ต. พบว่า บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการยื่นแบบตามที่กล่าวข้างต้นได้ ถือว่าสามารถบรรลุเป้าประสงค์ของหลักเกณฑ์ที่จัดให้มีขึ้นเพื่อส่งเสริมการทำหน้าที่ของบริษัทจดทะเบียนในการจัดทำรายงานทางการเงินให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนชำระค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปีภายในระยะเวลาที่กำหนดด้วย ซึ่งถือเป็นหน้าที่โดยทั่วไปที่บริษัทจดทะเบียนควรยึดถือปฏิบัติตามกฎหมาย ขณะ เดียวกันสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก.ล.ต. จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อยกเลิกการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปีตามประกาศดังกล่าวข้างต้น อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. ยังคงส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนดำเนินการในเรื่องที่สำคัญต่าง ๆ ผ่านมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมตามเดิม ได้แก่ การนำค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างที่ปรึกษาและ/หรือผู้ทวนสอบมาใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปีสำหรับบริษัทที่เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย ก.ล.ต. มีแผนงานที่จะทบทวนเงื่อนไขและมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เพิ่มเติมในอนาคต เพื่อลดภาระและสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนให้ความร่วมมือและดำเนินการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ต่อไป ทั้งนี้ การปรับปรุงประกาศดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับสำหรับค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี 2567 ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2568 เป็นต้นไป

คาดค่าเงินบาทวันนี้กรอบ 34.10-34.30 บ./ดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้กรอบ 34.10-34.30 บ./ดอลลาร์

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าขึ้นช่วงวันหยุดปีใหม่ จากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นตามเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดี ทำให้แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีน้อยลง ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของไทยเดือนพฤศจิกายน ออกมาที่ -58%YOY ต่ำกว่าตลาดคาดที่ -0.30% เป็นผลจากการผลิตรถยนต์ที่หดตัวต่อเนื่อง ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนออกมาที่ 1 ต่ำกว่าตลาดคาดเล็กน้อย แต่ PMI ภาคบริการและก่อสร้างออกมาที่ 52.2 สูงกว่าตลาดคาดที่ 50.2 มาก

เช็ก 5จุด ต้องรู้ในงบการเงินก่อนซื้อหุ้น

เช็ก 5จุด ต้องรู้ในงบการเงินก่อนซื้อหุ้น

           การลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จอย่างที่หลายคนรู้ และหัวใจสำคัญที่จะช่วยค้นหาหุ้นพื้นฐานดีก็คือ “การอ่านและวิเคราะห์งบการเงิน” แต่เรื่องนี้กลับเป็นอุปสรรคสำหรับนักลงทุนมือใหม่หลายคน บางคนถึงขั้นมองว่าเป็น “ยาขม” จนไม่กล้าเริ่มต้นลงทุน หรือลงทุนแบบไร้ทิศทาง ด้วยเหตุนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จึงได้รวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจพื้นฐานของบริษัทได้ง่ายขึ้น โดยนักลงทุนสามารถเข้าไปดูข้อมูลการวิเคราะห์ของบริษัทจดทะเบียนได้ง่าย ๆ เพียง 3 ขั้นตอน ได้แก่ ค้นหาชื่อหุ้นที่ต้องการในช่องค้นหา ที่เว็บไซต์ set.or.th ไปที่ “งบการเงิน” เลือก “การวิเคราะห์งบการเงิน” เมื่อกดเข้าไปแล้ว ก็จะเจอข้อมูลการวิเคราะห์ที่แบ่งออกเป็น 5 ประเด็นสำคัญ ประกอบไปด้วย.. คุณภาพของยอดขาย คุณภาพรายได้ ดูว่าบริษัทสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และมีการเติบโตอย่างมีคุณภาพหรือไม่ รวมถึงจัดเก็บรายได้หลังการขายได้มากน้อยเพียงใด โดยวิเคราะห์จาก “รายได้จากการดำเนินธุรกิจ” และ “ระยะเวลาเก็บหนี้” ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด ดูว่า บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะพิจารณา 2 ส่วนสำคัญ คือ “กำไร (ขาดทุน) สุทธิ” และ “เงินสดสุทธิที่ได้มา (ใช้ไป) ในกิจกรรมดำเนินงาน” คุณภาพของกำไรสุทธิ อัตรากำไรขั้นต้น ดูว่าบริษัทเหลือกำไรจากการขายสินค้าหรือบริการมากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง “รายได้” และ “ต้นทุน” ที่เปลี่ยนแปลงไป อัตรากำไรระดับอื่น ๆ อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย : สะท้อนความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจหลัก ทำให้เห็นว่าธุรกิจที่เป็นรายได้หลักของบริษัท มีความสามารถในการทำกำไรได้จริงหรือไม่ อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย : กำไรที่บริษัทได้รับจากธุรกรรมทั้งหมดไม่ว่าจากธุรกิจหลัก หรือรายการพิเศษ ทำให้เห็นภาพรวมความสามารถในการทำกำไรทั้งหมดของบริษัท ไม่ว่าจะมาจากธุรกิจหลักหรือช่องทางอื่น ๆ อัตรากำไรสุทธิ : กำไรบรรทัดสุดท้ายที่บริษัทได้รับจริง ช่วยให้เห็นว่าหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรมากน้อยเพียงใด กำไรจากการดำเนินธุรกิจหรือรายการพิเศษ เป็นส่วนที่ช่วยให้นักลงทุนแยกแยะได้ว่า กำไรที่เห็นนั้นมาจากการดำเนินงานปกติ หรือเป็นเพียงกำไรจากเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นชั่วคราว เช่น การขายสินทรัพย์ การได้รับเงินชดเชย เป็นต้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญสำหรับการประเมินความสามารถในการทำกำไรที่แท้จริงของบริษัท วงจรเงินสด วงจรเงินสดโดยรวม เพื่อดูว่า บริษัทใช้เวลาเท่าไรในการหมุนเงินสด ตั้งแต่การซื้อวัตถุดิบจนไปถึงการจำหน่ายสินค้า ถ้าวงจรเงินสด “มีค่ามาก” แสดงว่าบริษัทขายสินค้าและเก็บหนี้ได้ช้ากว่าการจ่ายหนี้ ในทางกลับกัน ถ้าวงจรเงินสด “มีค่าน้อย หรือ ติดลบ” ก็ยิ่งแสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดี โดยวงจรเงินสด จะคำนวณจาก : (ระยะเวลาเก็บหนี้ + ระยะเวลาขายสินค้า) - ระยะเวลาชำระหนี้ ระยะเวลาเก็บหนี้ : คือ จำนวนวันที่ใช้ในการเก็บเงินจากลูกค้าหลังการขาย ถ้าตัวเลขนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้น หมายถึง การเรียกเก็บเงินจากลูกค้าได้ช้าลง ระยะเวลาขายสินค้า : คือ จำนวนวันที่บริษัทมีสินค้าคงเหลือ ถ้าตัวเลขนี้มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หมายความว่า บริษัทต้องหาเงินทุนมาจัดการสินค้าคงคลังเพิ่มมากขึ้น ระยะเวลาชำระหนี้เจ้าหนี้การค้า : คือ จำนวนวันที่บริษัทได้รับเครดิตจากเจ้าหนี้ ถ้าตัวเลขนี้มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หมายความว่า บริษัทมีการชำระหนี้ช้าลง คุณภาพของสินทรัพย์ การด้อยค่าของสินทรัพย์ ช่วยประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์และเงินลงทุน ที่อาจกระทบต่อผลประกอบการในอนาคตได้ เช่น ถ้าสินทรัพย์หรือเงินลงทุนของบริษัทถูกประเมินด้อยค่า อาจทำให้บริษัทต้องบันทึกผลขาดทุน ในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ และ/หรือ งบกระแสเงินสด สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ค่าความนิยม ช่วยประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณามูลค่าและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ว่าอาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทหรือไม่ ความสามารถในการชำระหนี้ อัตราหนี้สิน และความสามารถในการชำระหนี้ แสดงภาพรวมภาระหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท โดยพิจารณาจาก 4 ส่วนสำคัญ ได้แก่ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น : ดูว่าบริษัทใช้เงินกู้ยืมมากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้น ยิ่งอัตราส่วนนี้สูงเท่าไร ยิ่งแสดงถึงการพึ่งพาเงินกู้ที่มากขึ้น อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย : ดูว่าบริษัทมีกำไรเพียงพอรองรับภาระดอกเบี้ยหรือไม่ อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน : ดูว่าเงินสดที่ได้จากการดำเนินธุรกิจเพียงพอต่อการชำระหนี้หรือไม่ อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยโดยพิจารณาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน : ดูว่าบริษัทมีเงินสดจากการดำเนินธุรกิจเพียงพอต่อการจ่ายดอกเบี้ยหรือไม่            อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว ก็ต้องบอกว่า แม้การวิเคราะห์งบการเงินทั้ง 5 ด้าน จะช่วยให้เข้าใจพื้นฐานของบริษัทได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นการรับประกันผลตอบแทนที่ดีเสมอไป 🙅‍♂️ เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนเช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนควรประเมินปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้าน และติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจลงทุนให้มีประสิทธิภาพ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ :www.set.or.th

ตลท. ปรับคุณสมบัติ บจ. เข้าตลาดหุ้น ทัง SET-mai เริ่ม 1 ม.ค. 68

ตลท. ปรับคุณสมบัติ บจ. เข้าตลาดหุ้น ทัง SET-mai เริ่ม 1 ม.ค. 68

           หุ้นวิชั่น - นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำงานร่วมกับสำนักงาน ก.ล.ต. อย่างต่อเนื่องในการศึกษา ทบทวน และปรับปรุงเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการปรับปรุงเกณฑ์เพื่อยกระดับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การเข้าจดทะเบียน การดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน ตลอดจนการเพิกถอน เพื่อเพิ่มคุณภาพบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้งเพิ่มการเปิดเผยข้อมูลและการเตือนผู้ลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเสถียรภาพให้ตลาดทุนไทย หลังจากการปรับปรุงการเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลมากขึ้น ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา โดยครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับปรุงเกณฑ์ 4 เรื่อง สำคัญดังนี้ 1. ปรับปรุงคุณสมบัติของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนทั้ง SET และ mai            โดยเพิ่มมูลค่ากำไรและส่วนของผู้ถือหุ้น เพื่อเพิ่มความแข็งแรงทั้งด้านฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียน ซึ่งจะมีผลใช้บังคับวันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อให้บริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนและผู้ที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามเกณฑ์ใหม่ได้ 2. ยกระดับการเตือนผู้ลงทุน โดยเพิ่มเหตุที่จะเตือนผู้ลงทุนด้วยเครื่องหมาย ดังนี้ 2.1 กรณีบริษัทจดทะเบียนมีความเสี่ยงด้านฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน สภาพคล่องทางการเงิน ทั้งกรณีไม่มีธุรกิจ มีขาดทุนต่อเนื่อง หรือผิดนัดชำระหนี้สถาบันการเงินหรือตราสารหนี้ 2.2 กรณีผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน 2.3 กรณีบริษัทจดทะเบียนมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ได้แก่ เป็น Cash Company มีคณะกรรมการตรวจสอบหรือ Free Float ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ หรือไม่จัด Opportunity Day ตามที่กำหนด            โดยการเตือนผู้ลงทุนจะแสดงด้วยเครื่องหมายที่แตกต่างกันตามแต่ละเหตุ  ซึ่งเครื่องหมายใหม่นี้จะทดแทนเครื่องหมาย C (Caution) ในปัจจุบันด้วย 3. เพิ่มเหตุเพิกถอน            กรณีบริษัทจดทะเบียนไม่มีธุรกิจต่อเนื่องหลายปี หรือไม่สามารถแก้ไข Free Float ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจดทะเบียนมีคุณภาพเหมาะสมที่จะเป็นบริษัทจดทะเบียน 4. เพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณาคุณสมบัติบริษัท Backdoor Listing และกรณี Resume Trading โดยให้เทียบเท่ากับการเข้าจดทะเบียนใหม่ (New Listing) เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนมีคุณภาพใกล้เคียงกัน            การปรับปรุงในข้อ 2–4 จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป            ทั้งนี้ เกณฑ์ดังกล่าวได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. แล้ว            ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเกณฑ์ที่มีการปรับปรุงได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th ภายใต้หัวข้อ “กฎเกณฑ์/การกำกับ” และ “กฎเกณฑ์ – หนังสือเวียนส่วนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์จดทะเบียน”

พลังงาน ยัน กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองมี 25.5% เท่านั้น โซล่าร์ ลม ชีวมวล ไม่นำมารวม

พลังงาน ยัน กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองมี 25.5% เท่านั้น โซล่าร์ ลม ชีวมวล ไม่นำมารวม

          หุ้นวิชั่น - กระทรวงพลังงาน ขอยืนยันว่า ปัจจุบัน กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศหรือ Reserve Margin อยู่ที่ 25.5% เท่านั้น ไม่ใช่ 50% ตามที่มีการเผยแพร่ เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานจากเชื้อเพลิงชีวภาพ ไม่สามารถนำมานับรวม 100% ได้ เพราะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอดเวลา และแม้ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมากำลังผลิตไฟฟ้าอาจอยู่ในระดับสูงเนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่ปัจจุบันก็บริหารจัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว           วันนี้ (27 ธันวาคม 2567) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยที่สูงถึง 50% นั้น ขอเรียนชี้แจงว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 25.5% เท่านั้น ซึ่งการคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้าจะต้องคำนวณจากการผลิตไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้จริง ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล กลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากปัจจัยช่วงเวลา ฤดูกาล จึงไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แท้จริงได้ ทั้งนี้ กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา อาจจะสูงซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด จึงทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่การสร้างโรงไฟฟ้าต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน จึงทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าอาจจะไม่มีความสอดคล้องในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แต่ในปัจจุบันหลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ความต้องการใช้ไฟฟ้ากลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองจึงไม่ได้สูงถึง 50% ตามที่มีการเผยแพร่           ด้าน Peak Demand หรือความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของระบบทั้ง 3 การไฟฟ้า ในปีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เวลา 22.24 น. อยู่ที่ 36,792 เมกะวัตต์ ในระยะหลังการเกิด Peak จะเป็นช่วงกลางคืนซึ่งต่างจากในอดีต แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของประชาชนเปลี่ยนไป ทั้งนี้ การใช้ไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว กำลังการผลิตไฟฟ้าที่พึ่งพาประมาณ 46,191 เมกะวัตต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แท้จริงนั้นเพียง 25.5% เท่านั้น            “กระทรวงพลังงาน ขอยืนยันว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของไทยปัจจุบันอยู่ที่ 25.5% เท่านั้น ไม่ใช่ 50% ตามที่มีการเผยแพร่ กำลังการผลิตไฟฟ้านั้น ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าที่มีเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน จะสามารถนำมาคำนวณกำลังการผลิตได้ 100% แต่หากเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล กลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ในวันที่มีแสงแดดปกติจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้แค่ 4-6 ชั่วโมงต่อวันโดยประมาณ ส่วนพลังงานลม พลังงานชีวมวล ก็ขึ้นอยู่กับฤดูกาล จึงไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่แท้จริงได้           อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ซึ่งได้มีการศึกษาและพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนั้น ยังต้องคำนึงถึงนโยบายการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าจึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ดังนั้น แผนกำลังการผลิตไฟฟ้าจะต้องพิจารณาให้เพียงพอต่อความต้องการทั้งในปัจจุบันและในอนาคต รวมทั้งต้องพิจารณาถึงไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น การคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้าจึงต้องคำนวณตามชนิดเชื้อเพลิงและศักยภาพของโรงไฟฟ้าแต่ละโรงที่แท้จริงจึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ           และที่สำคัญที่สุด แผนการผลิตไฟฟ้านั้น กระทรวงพลังงานได้วางแผนเลือกใช้เชื้อเพลิงที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดเป็นหลัก เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่เหมาะสมไปพร้อมกับการใช้พลังงานสะอาดที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกในปัจจุบัน นอกจากนั้น ก็ได้เตรียมพร้อมรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และการใช้ไฟฟ้าจาก Data Center ที่ต้องการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในปริมาณที่สูงซึ่งจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในประเทศอีกด้วย” นายวีรพัฒน์ กล่าว

น้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวก 69.46 ดอลลาร์/บาร์เ

น้ำมันดิบ NYMEX ปิดบวก 69.46 ดอลลาร์/บาร์เ

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.12% ปิดที่ 69.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (20 ธ.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มอุปสงค์ของจีนและการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 69.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.35%

กะทิไทย... สินค้าที่กำลังเฉิดฉายในเวทีโลก

กะทิไทย... สินค้าที่กำลังเฉิดฉายในเวทีโลก

          หุ้นวิชั่น - การส่งออกกะทิไทยขยายตัวต่อเนื่อง จากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารโลก สนค. แนะผู้ประกอบการให้ความสำคัญในกระบวนการผลิตมะพร้าวตามมาตรฐานสากลและที่คู่ค้ากำหนด เพื่อคว้าโอกาสเพิ่มการส่งออกไปตลาดโลกมากขึ้น นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การค้าสินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยปี 2566 ไทยมีผลผลิตมะพร้าว 0.94 ล้านตัน ขณะที่มีความต้องการใช้ ประมาณ 1.14 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.35 จากปี 2565) ความต้องการใช้ ของไทยแบ่งเป็น การบริโภคในประเทศ ร้อยละ 38 และการใช้เพื่อส่งออกร้อยละ 62 ในปี 2566 ไทยส่งออกกะทิ เป็นมูลค่า 353.54 ล้านเหรียญสหรัฐ (12,208 ล้านบาท) สำหรับ 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกกะทิไปยัง 131 ประเทศทั่วโลก เป็นมูลค่า 341.11 ล้านเหรียญสหรัฐ (12,064 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.85 จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่ไทยส่งออกกะทิสำเร็จรูป (มีสัดส่วนถึงร้อยละ 93.13) กะทิสำเร็จรูปเป็นสินค้าศักยภาพและมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42.26 และ 18.12 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ นอกจากนี้ กะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ แม้ยังมีสัดส่วนการส่งออกน้อย แต่เป็นสินค้าที่น่าจับตามอง โดยในปี 2567 ไทยส่งออกกะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.83 โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 70.50) เนเธอร์แลนด์ (สัดส่วนร้อยละ 10.43) และสวิตเซอร์แลนด์ (สัดส่วนร้อยละ 6.21) การส่งออกกะทิของไทยแต่ละกลุ่ม สรุปได้ดังนี้ (1) กะทิสำเร็จรูป ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 326.55 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,277 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.26 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 317.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,235 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.12 มีสัดส่วนร้อยละ 93.13 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (2) กะทิผง ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 8.78 ล้านเหรียญสหรัฐ (303 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.33 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 7.58 ล้านเหรียญสหรัฐ (267 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.93 มีสัดส่วนร้อยละ 2.22 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (3) กะทิสำเร็จรูปอินทรีย์ ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 4.78 ล้านเหรียญสหรัฐ (165 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 20.07 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกกลับมาขยายตัว โดยมีมูลค่า 5.35 ล้านเหรียญสหรัฐ (189 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.83 มีสัดส่วนร้อยละ 1.57 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (4) กะทิแช่แข็ง ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 1.75 ล้านเหรียญสหรัฐ (60.42 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 98.63 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 0.45 ล้านเหรียญสหรัฐ (16.09 ล้านบาท) ลดลง ร้อยละ 72.56 มีสัดส่วนร้อยละ 0.13 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย (5) กะทิอื่น ๆ ปี 2566 ส่งออกมูลค่า 11.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (403 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.51 และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ส่งออกมูลค่า 10.06 ล้านเหรียญสหรัฐ (357 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.51 มีสัดส่วนร้อยละ 2.95 ของมูลค่าการส่งออกกะทิทั้งหมดของไทย ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) ไทยส่งออกกะทิขยายตัวในตลาดคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 24.21 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 38.73) ออสเตรเลีย ขยายตัวร้อยละ 9.08 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 7.53) แคนาดา ขยายตัวร้อยละ 22.92 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 6.41) สหราชอาณาจักร ขยายตัวร้อยละ 3.49 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 6.34) และเนเธอร์แลนด์ ขยายตัวร้อยละ 37.49 (สัดส่วนการส่งออกร้อยละ 3.53) การส่งออกกะทิที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก ข้อมูลจาก The Business Research Company ระบุว่า ตลาดอาหารและเครื่องดื่มโลก ในปี 2567 มีอัตราการเติบโตร้อยละ 6.4 และคาดว่าปี 2571 จะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 5.9 นอกจากนี้ กะทิยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์หากบริโภค ในปริมาณที่เหมาะสม อาทิ กรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (MCTs) ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน และกรดลอริก (Lauric Acid) ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและให้พลังงานแก่ร่างกาย อีกทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์จากพืชที่ไม่มีกลูโคสหรือแล็กโทส จึงเหมาะสำหรับการใช้ทดแทนผลิตภัณฑ์จากนมบางชนิด ที่ผ่านมา ภาครัฐโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมการปลูกและผลิตมะพร้าวให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับ อาทิ การปลูกมะพร้าวพันธุ์ใหม่ที่มีต้นเตี้ยทดแทนสวนมะพร้าวเดิม ทำให้เก็บเกี่ยวง่ายและมีอายุการเก็บเกี่ยวยาวนานกว่า รวมถึงมีโครงการนำร่อง GAP-Monkey Free Plus (GAP-MFP) เพื่อรับรองแปลงผลิตมะพร้าวปลอดภัยและการเก็บมะพร้าวที่ไม่ได้ใช้ลิง ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรขอรับมาตรฐานดังกล่าว ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครื่องมือเก็บมะพร้าวอีกด้วย นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เนื่องจากไม่มีพิกัดศุลกากรระดับสากลสำหรับสินค้ากะทิ ทำให้ ไม่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลการค้ากะทิของโลกได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยหลายรายเป็นผู้ส่งออกกะทิรายสำคัญของโลก ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมของไทยยังมีความต้องการนำเข้ามะพร้าว สำหรับแปรรูปเป็นกะทิเพื่อส่งออก แสดงถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการแปรรูปและส่งออกผลิตภัณฑ์กะทิ นอกจากนี้ หากทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ ในกระบวนการผลิตมะพร้าว ตั้งแต่การปลูก การเก็บ และการแปรรูป ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสอดรับกับ ความต้องการของประเทศคู่ค้า รวมทั้งเพิ่มเติมประเด็นความรับผิดชอบต่อสังคมสิ่งแวดล้อม และการมีสวัสดิการแรงงานที่ดี ก็จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลักดันให้ไทยคว้าโอกาสการส่งออกไปยังตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น

อีสท์สปริง เสนอกองพันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น IPO 20-25 ธ.ค.นี้ ชูยิลด์ 1.80%

อีสท์สปริง เสนอกองพันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น IPO 20-25 ธ.ค.นี้ ชูยิลด์ 1.80%

          บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเสนอขายกองทุนเปิดอีสท์สปริง พันธบัตรรัฐมุ่งรักษาเงินต้น 6M31 (ES-GOVCP6M31) อายุประมาณ 6 เดือน เงินทุนโครงการ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มุ่งรักษาเงินต้นที่ผู้ลงทุนจะมีโอกาสได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหน่วยลงทุน ณ วันครบอายุโครงการ โดยเสนอขายครั้งแรกครั้งเดียวระหว่างวันที่ 20-25 ธันวาคม 2567 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท           โดยกองทุน ES-GOVCP6M31 มีนโยบายที่จะนำเงินลงทุนไปลงทุนในตั๋วเงินคลัง และ/หรือพันธบัตรรัฐบาล และ/หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน สำหรับเงินลงทุนส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากธนาคาร และ/หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้ และกองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนเพียงครั้งเดียวและถือครองทรัพย์สินที่ลงทุนจนครบอายุโครงการ (Buy and Hold) โดยคาดหวังจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 1.93% ต่อปี ณ วันครบอายุโครงการ ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.13% ต่อปี ณ วันครบอายุโครงการ แล้ว ผู้ลงทุนจะได้รับประมาณการผลตอบแทนอยู่ที่ 1.80% ต่อปีของเงินลงทุนเริ่มแรก (แหล่งที่มาของข้อมูล อัตราผลตอบแทนที่เสนอขายโดยผู้ออกตราสาร ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2567)           ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนดอายุกองทุน บลจ.อีสท์สปริง จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบอัตโนมัติ และทำการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของกองทุนทั้งจำนวนของผู้ถือหน่วยทุกราย ไปยังกองทุนเปิดอีสท์สปริง ธนรัฐ (ES-TM) หรือกองทุนรวมตลาดเงินอื่นที่บลจ.อีสท์สปริง เปิดให้บริการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ในวันทำการก่อนวันสิ้นสุดอายุโครงการ           อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถลงทุนให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ เนื่องจากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามอัตราที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก กองทุนอาจไม่ได้รับเงินต้นและผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ หากผู้ออกตราสารที่กองทุนลงทุนไม่สามารถชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคืนได้ บริษัทจัดการขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินที่ลงทุนหรือสัดส่วนการลงทุนได้ เฉพาะเมื่อมีความจำเป็นและสมควรเพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องไม่ทำให้ความเสี่ยงของทรัพย์สินที่ลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ และผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน และกองทุนมีความเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องของตราสาร และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ เป็นต้น           ผู้สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) หรือผู้สนับสนุนการขาย และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้ง และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.eastspring.co.th หรือโทร 1725 ในวันและเวลาทำการ หรือผ่านช่องทางการขายของ บลจ.อีสท์สปริง

กองทุนลดหย่อนภาษีเด่น 2024 ที่ไม่ควรพลาด

กองทุนลดหย่อนภาษีเด่น 2024 ที่ไม่ควรพลาด

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า ทีมกลยุทธ์ บล.กรุงศรี ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีผ่าน กองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy เลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA            สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีและต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท            สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปีกองทุน TESG<SSF<RMF จะมีระยะเวลาการถือครองสั้นที่สุดตามลำดับ ส่วนนักลงทุนที่มีอายุ 51 ปีขึ้นไป กองทุน RMF<TESG<SSF จะมีระยะเวลาการถือครองสั้นที่สุด ตามลำดับ กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:            กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)            กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG รายละเอียดเพิ่ม ที่ https://www.krungsrisecurities.com/e_learning/knowledge_inner/knowledge_details.aspx?id=59&cat_id=2

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์

คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์

        หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-34.75 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าพร้อมเงินเยนวานนี้ หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 25% พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจยังต้องรอประเมินอัตราค่าจ้างปีหน้าและทิศทางนโยบายของทรัมป์ ก่อนที่จะขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางอังกฤษมีมติ 6:3 ให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 75% พร้อมส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงเทียบต่อดอลลาร์ ธนาคารกลางจีนพยายามชะลอการอ่อนค่าของเงินหยวน โดยประกาศอัตรา Fixing เงินหยวนแข็งค่ากว่าเลข Survey

บล.CGSI ชูระบบ BETS ตอบโจทย์นักลงทุนทุกระดับ

บล.CGSI ชูระบบ BETS ตอบโจทย์นักลงทุนทุกระดับ

          หุ้นวิชั่น - [ประเทศไทย, 19 ธันวาคม 2567] บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI เผย ช่วง 11 เดือนของปี 2567 ธุรกรรม Block Trade ของบริษัทเพิ่มขึ้น สวนทางปริมาณการซื้อขายตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) โดยรวมที่ลดลง โดยปริมาณการซื้อขาย CGSI Block Trade เติบโตสูงถึง 61% ขณะที่ลูกค้าจำนวนมากใช้ระบบ BETS ส่งคำสั่งด้วยตัวเองในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน คาด Block Trade ในปีหน้ายังเติบโตต่อเนื่อง           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ปริมาณการซื้อขายและจำนวนคำสั่งซื้อขายรวมในตลาด TFEX อยู่ที่ 107.8 ล้านสัญญา และ 22.05 ล้านคำสั่ง ลดลง 17% และลดลง 7% เมื่อเทียบกับทั้งปี 2566 ตามลำดับ เช่นเดียวกับปริมาณการซื้อขายและจำนวนคำสั่งซื้อขาย Block Trade ในตลาด อยู่ที่ 32 ล้านสัญญา และ 1.33 แสนคำสั่ง ลดลง 22% และลดลง 36% เมื่อเทียบกับทั้งปี 2566 ตามลำดับ           “แม้ปริมาณการซื้อขาย TFEX โดยรวมจะลดลง แต่สัดส่วนการทำธุรกรรม Block Trade ของ CGSI กลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความสนใจของนักลงทุนที่ใช้ CGSI Block Trade ช่วยในเชิงกลยุทธ์การลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน” ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าว           ทั้งนี้ CGSI Block Trade เติบโตถึง 61% ในช่วง 11 เดือนของปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ลูกค้าใช้ระบบ BETS ซึ่งเป็นระบบส่งคำสั่งด้วยตัวเองสูงถึง 67% โดยเฉพาะในไตรมาส 3/2567 ธุรกรรมใน CGSI Block Trade ขยายตัวถึง 157% ขณะที่จำนวนคำสั่งซื้อขายบนระบบ BETS เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 290% สูงกว่าปกติ บ่งชี้ว่าการใช้งานระบบ BETS มีสภาพคล่องที่ดี และมีปริมาณการซื้อขายในตลาดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI กล่าวว่า นักลงทุนใช้ Block Trade มากขึ้น เพื่อบริหารความเสี่ยง และดำเนินการส่งคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาสภาพคล่องบน Single Stock Futures (SSF) นอกจากนี้ ช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงยังกระตุ้นให้นักลงทุนใช้ Block Trade มากขึ้น เพราะมีความยืดหยุ่นในการกำหนดราคาและมีอัตราทดสูง ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงและการเก็งกำไร           ขณะที่โบรกเกอร์ได้พัฒนาแพลตฟอร์มเกี่ยวกับ Block Trade ทำให้นักลงทุนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์การส่งคำสั่งที่ง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะ CGSI ได้เปิดตัวระบบส่งคำสั่ง Block Trade Online ชื่อว่าระบบ BETS ได้รับผลตอบรับดีเกินความคาดหมาย ตัวเลขผู้ใช้งานเติบโตก้าวกระโดดเกือบ 50% ของจำนวนนักลงทุนที่ส่งคำสั่ง Block Trade กับ CGSI ทำให้ในปี 2567 CGSI Block Trade มีปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นผ่านระบบ BETS           ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ CGSI มองว่า แม้ปริมาณการซื้อขายในตลาด TFEX จะเผชิญกับแรงกดดันและชะลอตัวในปี 2567 แต่คาดว่าในปี 2568 Block Trade จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากภาวะตลาดมีเสถียรภาพและเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น Block Trade จะมีบทบาทในการเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับนักลงทุน           CGSI เล็งเห็นการเติบโตและบทบาทอันสำคัญของ Block Trade จึงได้พัฒนาระบบ BETS ขึ้นมา เพื่อช่วยให้นักลงทุนทำธุรกรรม Block Trade ผ่านระบบออนไลน์บนอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ นักลงทุนนสามารถเปิด-ปิดสถานะ Block Trade ได้อย่างคล่องตัว ตรวจสอบสถานะได้ตลอดเวลา มีฟีเจอร์คำนวณค่าใช้จ่ายอัตโนมัติ และจะพัฒนาระบบ BETS อย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน           หากท่านต้องการควบคุมการลงทุนด้วยตัวเอง สามารถสมัครใช้ระบบ BETS ของ CGSI ได้ฟรีวันนี้ โดยมีสิทธิพิเศษ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0 บาท สำหรับการเปิดและปิดสถานะ Long ภายในวันเดียวกันผ่านระบบ BETS เริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2568 เกี่ยวกับ CGS International Securities           CGS International Securities (Thailand) Co., Ltd. (CGS TH) หนึ่งในกลุ่มบริษัท CGS International คือผู้ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจรที่ได้รับรางวัลและติดอันดับบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย

บล. Z.COM ชี้แจงนักลงทุนเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของข้อมูล

บล. Z.COM ชี้แจงนักลงทุนเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของข้อมูล

          บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ขอเรียนชี้แจงให้นักลงทุนทุกท่านทราบว่า เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น ปัจจุบันบริษัทมียอดหนี้รวมของบัญชีมาร์จิ้นอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท           ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอแนะนำให้นักลงทุนทุกท่านติดตามข่าวสารและประกาศต่าง ๆ ผ่านช่องทางการสื่อสารอย่างเป็นทางการของบริษัทฯ เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนหรือความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น

Honda - Nissan เจรจาควบรวมกิจการ โอกาสหรือความเสี่ยง?

Honda - Nissan เจรจาควบรวมกิจการ โอกาสหรือความเสี่ยง?

หุ้นวิชั่น - บล.ยูโอบี Honda Motor และ Nissan Motor เข้าสู่การเจรจาควบรวมกิจการ ผนวกรวมทรัพยากรของสองบริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนั้นยังตั้งเป้าที่จะนำ Mitsubishi Motors (Nissan ถือหุ้น 24%) เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งนี้ด้วย Nissan-Honda-Mitsubishi มียอดขายรถยนต์รวมกันมากกว่า 8 ล้านคันต่อปี ตามรายงานของ Nikkei หากมีการควบรวมกิจการ จะทำให้บริษัทอยู่ในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ลำดับสองรองจาก Toyota Motor ที่มียอดขาย 11.2 ล้านคันในปี 2023      ฝ่ายวิจัยมองเป็นกลางต่อกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ฝ่ายวิจัยมองว่าการควบรวมกิจการเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ที่บริษัทชิ้นส่วนยานยนต์จะได้รับงานเพิ่มขึ้นหรือลดลง อย่างไรก็ตามในขั้นตอนสั่งซื้อชิ้นส่วนต้องใช้เวลาล่วงหน้าราว 3-4 ปี จึงไม่มีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยหุ้นที่มองว่ามีโอกาสมากที่สุด ฝ่ายวิจัยมองเป็น STANLY ที่มีสัดส่วนลูกค้า Honda ราว 30%, SAT ที่สัดส่วนลูกค้า Mitsubishi ราว 22%

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์

              หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าวานนี้ก่อนกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยช่วงข้ามคืน ด้านดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐปรับอ่อนค่าลงหลังเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ออกมาผสม โดยตัวรวมออกมาที่ 7%MOM สูงกว่าตลาดคาด แต่หากหักยอดขายรถออกจะต่ำกว่าตลาดคาด คณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป (ECB) พอใจกับมุมมองตลาดที่มองว่า ECB จะลดดอกเบี้ยอีก 4-5 ครั้งในปีหน้า ทำให้ไปใกล้เคียงระดับ Neutral rate วันนี้จับตาผล กนง. โดยตลาดยังคาดว่าจะคงดอกเบี้ย และประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 25%

ttb นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายของปี

ttb นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายของปี

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ, 17 ธันวาคม 2567 – ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้าที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์สำหรับลดหย่อนภาษีในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 นี้ แคมเปญ “เซฟภาษี แบบคุ้มเวอร์ที่ ทีทีบี กับประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4  ซื้อผ่าน แอป ทีทีบี ทัช อีกทางเลือกสำหรับลูกค้ากลุ่มคนวัยทำงานที่มองหาผลิตภัณฑ์เพื่อลดหย่อนภาษี จ่ายค่าเบี้ยฯ สั้น 4 ปี คุ้มครองยาว 10 ปี รับเงินคืนทุกปี ปีละ 4% ของทุนประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 1-9 และเมื่อครบสัญญาปีที่ 10 รับเงินก้อนโตอีก 404% ของเงินทุนประกันภัย รวมผลประโยชน์ทั้งหมดตลอดสัญญา 440% ของเงินทุนประกันภัย เพื่อลดหย่อนภาษี ได้ทั้งความคุ้มครอง ได้ทั้งลดหย่อนภาษี พร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษ           ทีทีบี ส่งมอบความคุ้มค่าส่งท้ายปีกับแคมเปญ “เซฟภาษี แบบคุ้มเวอร์ที่ ทีทีบี” กับประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 อีกทางเลือกสำหรับลูกค้าที่มองหาผลิตภัณฑ์เพื่อลดหย่อนภาษี จ่ายค่าเบี้ยฯ สั้น 4 ปี คุ้มครองยาว 10 ปี รับเงินคืนทุกปี ปีละ 4% ของทุนประกันภัย ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 1-9 สามารถนำค่าเบี้ยประกันภัยไปใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี (เงื่อนไขเป็นไปตามเกณฑ์กรมสรรพากร) พร้อมรับเงินก้อนกรณีเสียชีวิตสูงสุดถึง 404% ของทุนประกันภัย โดยมีโปรโมชันสุดพิเศษมอบตามค่าเบี้ยประกันภัย  พร้อมเพิ่มความคุ้มค่าพิเศษ เพียงซื้อ 2 ความคุ้มครองคู่ ได้แก่ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 และ ประกันมะเร็ง รับเงินก้อน ทุกระยะ ( ttb all stage cancer ) ผ่าน แอป ทีทีบี ทัช ภายในเดือนเดียวกัน และสมัครหักชำระค่าเบี้ยฯ อัตโนมัติปีถัดไป รับเงินคืน 25% ของค่าเบี้ยประกันมะเร็ง รับเงินก้อน ทุกระยะ ปีแรก           สำหรับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 โดยชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบรายปี ปีแรก ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2567 – 31 ธันวาคม 2567 และมียอดชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ผ่านแอป ทีทีบี ทัช ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป โดยกรมธรรม์ต้องได้รับการอนุมัติภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 และพ้นระยะเวลาใช้สิทธิ์ยกเลิกกรมธรรม์ (Free-look period) และมีผลบังคับจนถึงวันที่ธนาคารจัดส่งของสมนาคุณ           รายละเอียดเพิ่มเติมทาง https://www.ttbbank.com/link/10-4-pr-pro           นอกจากประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4 ที่ซื้อผ่าน แอป ทีทีบี ทัชแล้ว ยังมีประกันอื่น ๆ เพื่อลดหย่อนภาษี ได้ทั้งความคุ้มครอง ได้ทั้งลดหย่อนภาษี พร้อมรับโปรโมชันพิเศษ รับเงินคืนสูงสุด 31% เพียงซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์เพื่อออมทรัพย์ หรือประกันชีวิตเพื่อการเกษียณ ที่ร่วมรายการที่ ทีทีบี ทุกสาขา           สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://www.ttbbank.com/link/tax-pro -  เงื่อนไขโปรโมชันเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด และไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนดในกรมธรรม์ -  ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไขและข้อยกเว้น ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง -  รับประกันชีวิตโดย บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิต รับผิดชอบในฐานะนายหน้าเท่านั้น [PR News]

Bitcoin ขึ้นต่อ 3.15% คาด BTC, JTS, TTA รับอานิสงส์

Bitcoin ขึ้นต่อ 3.15% คาด BTC, JTS, TTA รับอานิสงส์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาบิทคอยยังแรับขึ้นต่อ 3.15% d-d ปิดที่ 106075.03 USD ท าระดับ All time high ประเมินแนวต้านระยะสั้นคือ 107,481 $ และเป้าระยะกลาง คือ 129,687$ แรงหนุนจาก Nasdaq ประกาศว่าจะนำหุ้นของ Microstrategy เข้ารวมในการค านวณดัชนีNasdaq-100 โดยมีผลบังคับใน 23 ธ.ค. มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยง Crypto อาทิ BTC, JTS, TTA แนะนำเพียง Trading

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

KSS คาด SET “Rebound” ต้าน 1433 จุด ชู BJC, CRC, KTB

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Rebound” ต้าน 1429/1433 จุด รับ 1415/1411 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งขึ้น ดัชนีS&P500 +0.38% หุ้นเทคฯนำตลาด Broadcom ยังมีโมเมนตัม ขณะที่ปัจจัยมหภาค Flash PMI สหรัฐฯ ธ.ค. 24 ภาคบริการขยายตัว ดีกว่าคาด เร่งขึ้นสู่ 58.5 จุด ชดเชยฝั่งภาคผลิตที่ต่ำกว่าคาด หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นภาพ Goldilocks to Soft Landing แต่ตลาดน่าจะเริ่มรอสัญญาณช่วงถัดไปโดยเฉพาะมุมมองดอกเบี้ยและเศรษฐกิจจากการประชุม Fed (ไทยทราบผลเช้า 19 ธ.ค.) บ่งชี้จาก US Bond Yield 10 ปีที่ยังแกว่ง 4.4% ขณะที่เอเชียการฟื้นตัวจีนยังค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ความน่าสนใจระยะสั้นที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนยังไม่มาก ด้านไทยหลังตลาดปรับตัวลดลง 6 วันติด ส่งผลให้ Current Equity Risk Premium (ERP) แตะ 3.8% > ค่าเฉลี่ย 3.1% ส่วน Forward ERP ขึ้นไป 4.4% > Avg + 1 S.D. (4.05%) น่าจะเริ่มเป็นจุดกลับมาสร้างความน่าสนใจตลาดหุ้นไทย ผสาน ภายในลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม            ประเมิน SET วันนี้ Rebound หุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic ธนาคาร ค้าปลีก กลุ่มที่เป็นเป้า Domestic Long Term Funds อาทิ สื่อสาร วันนี้แนะนำ BJC, CRC, KTB

รู้ก่อนลงทุน!! เช็กให้ชัวร์ก่อนซื้อกองทุนรวม

รู้ก่อนลงทุน!! เช็กให้ชัวร์ก่อนซื้อกองทุนรวม

          หุ้นวิชั่น - การซื้อกองทุนรวมในยุคนี้ง่ายแสนง่าย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็สามารถซื้อกองทุนรวมผ่านโมบายแอปของผู้ให้บริการการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) หรือธนาคารพาณิชย์ ที่ล้วนแต่มีช่องทางออนไลน์ให้บริการแก่ผู้ลงทุนแทบทั้งนั้น           แต่ก็มีผู้ลงทุนอีกจำนวนมากขอเลือกที่จะเดินไปซื้อกองทุนรวมที่สาขาดีกว่า เพราะอยากพบปะกับเจ้าหน้าที่โดยตรง เพื่อขอคำปรึกษาพร้อมสอบถามข้อมูลของกองทุนรวมที่สนใจ เป็นทางที่ตอบโจทย์การตัดสินใจลงทุนมากกว่าการค้นหาข้อมูลในโลกออนไลน์ด้วยตัวเอง ที่ไม่แน่ใจว่าจะตรงกับที่ตัวเองต้องการหรือไม่           บทความตอนนี้ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนกองทุนรวม ไม่ว่าเราจะถนัดช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ จะได้ทราบถึงการได้รับบริการที่ถูกต้องเป็นมาตรฐาน รู้เท่าทันในสิทธิพึงมี และหน้าที่ที่ควรทำในฐานะผู้ลงทุน และถึงแม้คุณจะยังไม่ได้ลงทุนกองทุนรวม แต่ลงทุนหรือซื้อผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ก็สามารถนำไปปรับใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อหรือใช้บริการทางการเงินได้เหมือนกัน ซื้อกองทุนรวมกับเจ้าหน้าที่ถามอะไรดีนะ? (Ask First)           เมื่อเดินเข้าไป ณ สำนักงาน หรือ สาขา เพื่อปรึกษาเรื่องการลงทุนในกองทุนรวมกับเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการอาจมีหลายคนที่ไม่รู้จะถามอะไรหรือถามไม่ค่อยถูก ไม่ต้องห่วง เราเตรียมโพยคำถามที่ควรถามกับเจ้าหน้าที่ ที่ให้บริการให้เบื้องต้น 4 ประเด็น ดังนี้ Q: เจ้าหน้าที่ที่ให้บริการได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. และได้รับแต่งตั้งจากผู้ให้บริการให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แนะนำการลงทุนหรือไม่?           คำถามนี้สำคัญมาก เพื่อให้เราได้รับบริการและคำแนะนำจากคนที่มีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และปฏิบัติตามขั้นตอนการขายกองทุนรวม นั่นคือผู้แนะนำการลงทุน หรือ Investment Consultant (IC) ซึ่งมีหน้าที่ประเมินลูกค้าว่ารับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ระดับไหนหรือรับผลขาดทุนได้แค่ไหน และมีเป้าหมายการลงทุนเพื่ออะไร เช่น เพื่อลดหย่อนภาษี หรือเพื่อหาผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากแต่ไม่เสี่ยงมาก เพื่อที่ IC จะสามารถแนะนำกองทุนที่เหมาะกับ “ระดับความเสี่ยง” และ “เป้าหมาย” ของลูกค้าได้นั่นเอง ดังนั้น หากซื้อกองทุนรวมที่สาขาก็ลองสังเกตป้ายชื่อ ณ จุดให้บริการ หรือขอทราบเลขที่ทะเบียนผู้แนะนำการลงทุน ซึ่งปกติผู้ให้บริการจะจัดให้มี IC ประจำที่สาขา หรือมี IC พร้อมติดต่อให้บริการลูกค้าได้ Q: กองทุนรวมที่จะซื้อมีลักษณะอย่างไร?           เข้าใจว่าหลายคนตอนจะไปที่สาขาก็อาจจะมีไอเดียอยู่แล้วว่าสนใจกองทุนรวมแบบใด เช่น กองหุ้น หรือ กองตราสารหนี้ ถ้าแบบนั้นก็สอบถามให้ IC แนะนำตัวเลือกให้เรา หรือหากยังไม่รู้ก็ให้ IC เป็นคนแนะนำ แต่อย่าลืมว่า ก่อนได้รับคำแนะนำ จะต้องมีขั้นตอนการทำ KYC (know your client) และ suitability test คือเราต้องให้ข้อมูลแก่ IC เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเราว่ามีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร มีข้อจำกัดหรือ รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ทำเสร็จแล้วค่อยไปถึงขั้นตอนการดูว่าแล้วกองแบบใดที่เหมาะกับเรา ใช่กองที่เราคิดก่อนมาที่สาขาหรือไม่           ถัดไปก็ต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดว่ากองนั้นว่าเอาเงินไปลงทุนในตราสารหรือสินทรัพย์ใด มีระดับความเสี่ยงเท่าใด และมีความเสี่ยงด้านใดบ้าง เช่น ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนกรณีไปลงทุนต่างประเทศ รวมถึงการคิดค่าธรรมเนียม (เรียกเก็บจากผู้ลงทุน/เรียกเก็บจากกองทุนรวม) และเงื่อนไขการซื้อขาย (ขายแล้วอีกกี่วันเงินถึงจะเข้า) เป็นต้น  ถ้ายังไม่ปิ๊งหรือยังไม่เข้าใจจริง ๆ ก็ชวน IC ให้แนะนำเราจนกว่าจะเจอกองที่ใช่ Q: การตรวจสอบการซื้อขายว่าได้กองทุนรวมที่ถูกต้องตรงความต้องการ?           เมื่อตกลงซื้อแล้ว ก็ต้องตรวจสอบหลักฐานการซื้อขายให้ดี โดยเช็กว่า เราได้ซื้อกองทุนรวมที่เราสนใจจริง ๆ โดยตรวจสอบชื่อกองทุนรวมและจำนวนเงินลงทุนให้ถูกต้อง รวมถึงเอกสารหลักฐานในการซื้อขายกองทุนรวมมีอะไรบ้าง เป็นรูปแบบเอกสารหรือเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และเราได้ลงนามหรือยืนยันอะไรไปบ้าง ได้รับบริการถูกต้องตามที่ลงนามหรือยืนยันไปหรือไม่ เช่น มีสมุดบัญชีกองทุนรวมหรือมีเอกสารรับรองการซื้อขายหน่วยลงทุนให้หรือไม่อย่างไร โดยต้องสังเกตว่าเอกสารต่าง ๆ ต้องออกโดยผู้ให้บริการเท่านั้น ไม่ใช่เอกสารที่ IC จะเขียนหรือทำให้เราโดยเฉพาะ เราได้รับข้อมูลคำแนะนำตามหนังสือชี้ชวน และได้รับการแจ้งเตือนความเสี่ยงต่าง ๆ ของกองทุนรวมนั้น ๆ ตามที่เราได้ลงนามหรือยืนยันไปหรือไม่ เป็นต้น Q: เมื่อมีปัญหาติดต่อใคร?           หลังจากตัดสินใจลงทุนกองทุนรวมแล้ว ผู้ลงทุนควรถามว่า ในกรณีประสบปัญหา ต้องการความช่วยเหลือ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อกับผู้ให้บริการได้ช่องทางใดบ้าง ซึ่งผู้ให้บริการมักมีช่องทางติดต่อหลายช่องทาง อาทิ call center อีเมล ช่องทางออนไลน์ หรือโมบายแอปพลิเคชัน โดยทั่วไปผู้ให้บริการจะสามารถตอบคำถามและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดมากกว่า แต่หากผู้ลงทุนไม่สามารถติดต่อกับผู้ให้บริการได้ หรือได้รับบริการที่ไม่เป็นธรรม หรือพบเบาะแสใดที่ไม่น่าไว้วางใจ ก็สามารถติดต่อมายังศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแส ก.ล.ต.[1] เพื่อดำเนินการต่อไป รู้จัก IC/IP เขามีความสำคัญอย่างไร?           ผู้แนะนำการลงทุน (Investment Consultant: IC) และผู้วางแผนการลงทุน (Investment Planner: IP) เป็นบุคลากรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่ต้องได้รับความเห็นชอบในการทำหน้าที่ โดยผู้แนะนำการลงทุนในปัจจุบันมี 4 ประเภท คือ ผู้แนะนำการลงทุนด้านตราสารทั่วไป (IC plain) ผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 1 (IC complex 1)  ผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 2 (IC complex 2) และผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 3 (IC complex 3)  ขณะที่ ผู้วางแผนการลงทุน (IP) นอกจากจะแนะนำการลงทุนได้แล้ว ยังสามารถช่วยวางแผนการลงทุนได้ด้วย (คลิกอ่านประเภท IC และขอบเขตการทำหน้าที่)           ผู้ที่ทำหน้าที่เป็น IC และ IP ต้องมีความรู้ความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้ สามารถให้คำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมกับลูกค้า และต้องมีจรรยาบรรณในการทำหน้าที่ด้วย เพราะเป็นผู้ติดต่อใกล้ชิดกับลูกค้า รวมทั้งอาจได้รับประโยชน์ผ่านการขายผลิตภัณฑ์ของต้นสังกัด ซึ่งเส้นแบ่งอยู่ที่การยึดผลประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน รวมทั้งเปิดเผย conflict อย่างโปร่งใส ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบและรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ ลงทุนผ่านแอปให้ปลอดภัยต้องใส่ใจอีกนิด           การทำธุรกรรมการลงทุนผ่านออนไลน์ ต้องใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยในการทำธุรกรรมเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการที่จะต้องดูแลระบบให้มีมาตรฐานตามกำหนด มีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมทั้งพัฒนาระบบให้รองรับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ           แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นหน้าที่ของผู้ลงทุนในฐานะผู้บริโภคที่จะต้องปกป้องตัวเองด้วย ควรมีความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัล (digital literacy) ก่อนทำธุรกรรมลงทุนออนไลน์ เพราะนอกเหนือจากปลอดภัยทางไซเบอร์แล้ว ยังเป็นการป้องกันการทำธุรกรรมผิดพลาดที่อาจเกิดผลกระทบต่อเงินลงทุนของตัวเองด้วย เพราะสมัยนี้มีมิจฉาชีพที่พยายามหลอกให้เราหลงเชื่อว่าเป็นผู้ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องโดยใช้ชื่อใกล้เคียงหวังหลอกให้คนเข้าใจผิด เรามีคำแนะนำเบื้องต้นในการทำธุรกรรมลงทุนออนไลน์ให้ปลอดภัย ดังนี้ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากแหล่งที่ถูกต้อง ใน app store หรือ google play store พร้อมเช็กก่อนว่าเป็นแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการตัวจริง เพื่อป้องกันภัยจากมิจฉาชีพที่สร้างแอปปลอมมาหลอกลวง สำหรับตัวเครื่องโทรศัพท์ต้องไม่ดัดแปลง ไม่ Root ไม่ Jailbreak อ่านข้อตกลงเงื่อนไขการใช้งาน และนโยบายความเป็นส่วนตัว ซึ่งจะเป็นการแจ้งข้อจำกัดสิทธิในการใช้บริการของแอปพลิเคชัน อ่านนโยบายการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล ให้เข้าใจก่อนตัดสินใจว่าจะยินยอมให้ใช้ข้อมูล ส่วนบุคคลหรือไม่ ตัวอย่างเช่น การขอนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในการวิเคราะห์ทางการตลาด เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการ เป็นต้น ก่อนทำรายการลงทุน ควรทำแบบทดสอบการยอมรับความเสี่ยง (suitability test) โดยตอบตามความจริง เพื่อให้ผลประเมินสะท้อนระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ และศึกษาทำความเข้าใจกองทุนรวมหรือผลิตภัณฑ์ที่จะลงทุนให้เข้าใจชัดเจนก่อนว่า เหมาะกับตัวเองหรือไม่ ก่อนจะกดยอมรับความเสี่ยงหรือกดยืนยันการส่งคำสั่ง (Accept) ต้องอ่านข้อมูลให้เข้าใจและรู้จริงว่า เรากำลังจะตัดสินใจลงทุนสิ่งนั้นจริง ๆ ขอย้ำว่า “อย่ากดยอมรับโดยไม่อ่าน” เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเราเอง เช่น ในกรณีที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงกว่าความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ จะมีให้กดรับทราบและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น หากกดยอมรับยืนยันที่จะลงทุน ผู้ลงทุนต้องรู้ว่าหากการลงทุนไม่เป็นไปในทิศทางที่คิดไว้ ต้องยอมรับผลที่จะตามมา ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะระบบได้เก็บประวัติการทำธุรกรรม (transaction log) ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่าเรายอมรับความเสี่ยงดังกล่าวแล้ว           จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะซื้อกองทุนรวมผ่านช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ตาม เราในฐานะผู้ลงทุนและเจ้าของเงินต้องปกป้องตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ รู้จักสิทธิของตัวเองที่พึงมี รวมทั้งหน้าที่ในฐานะผู้ลงทุนที่ต้องดูแลตัวเอง เช่น ตรวจสอบรายชื่อผู้ที่ได้รับอนุญาต อัพเดทข้อมูลส่วนตัวเป็นปัจจุบัน ติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่เราลงทุนไปแล้ว เป็นต้น           และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ การศึกษาข้อมูลกองทุนรวมก่อนตัดสินใจ ซึ่งทุกคนสามารถศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบกองทุนรวมได้ด้วย SEC Fund Check เครื่องมือดี ๆ ที่ ก.ล.ต. พัฒนาขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมได้มีตัวช่วยในการหาข้อมูลกองทุนรวม เช่น ความเสี่ยงของกองทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง รวมทั้งสามารถเรียกดู fund fact sheet เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมว่ากองทุนรวมนั้นลงทุนในสินทรัพย์ใดบ้าง           ทิ้งท้ายอีกสักครั้ง สำหรับใครที่พบเห็น หรือถูกชักชวนให้ลงทุน หรือพูดคุยแนะนำการลงทุนกองทุนรวมแบบไม่พบหน้า เช่น ผ่านออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย หลังจากที่ตรวจสอบด้วย SEC Check First แล้ว ควรสอบถามไปยังหน่วยงานต้นสังกัดอีกครั้งว่า เป็นผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจริงหรือไม่ มีผลิตภัณฑ์ลงทุนดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะตอนนี้มีทั้งการแอบอ้างเลขทะเบียนผู้แนะนำตัวจริง และปลอมใบอนุญาตประกอบธุรกิจแอบอ้างชื่อให้ใกล้เคียงกับบริษัทตัวจริง ขอย้ำ! เจอโฆษณาชวนลงทุนแอบอ้างชื่อ ภาพโลโก้ ก.ล.ต. ให้คิดไว้เลยว่าหลอกลวง อย่าแอดไลน์ และอย่าโอนเงินเข้าบัญชีบุคคลธรรมดาเด็ดขาด [1] ช่องทางร้องเรียน แจ้งเบาะแส สอบถามข้อมูล ก.ล.ต. https://www.sec.or.th/TH/Pages/AboutUs/SECHelp.aspx โดย นางสาวสาริกา อภิวรรธกกุล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและส่งเสริมความรู้ตลาดทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้กรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์

SCB ประเมินค่าเงินบาทวันนี้กรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์

        หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ สหรัฐเผยตัวเลขดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบรายปี 7% ในเดือนพฤศจิกายน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.6% ในเดือนตุลาคม บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐปรับลดลง หลังเงินเฟ้อออกมาตามคาด หนุนเฟดลดดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 ในการประชุมสัปดาห์หน้า จับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐ และการประชุม ECB ในวันนี้ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยเช่นกัน

ราคาน้ำมันดิบปิดบวก ชี้ PTT, PTTEP รับอานิสงส์

ราคาน้ำมันดิบปิดบวก ชี้ PTT, PTTEP รับอานิสงส์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent +1.84%d-d ปิดที่ USD 73.52/barrel น้ำมันดิบ WTI +2.48%d-d ปิดที่ USD 70.29/barrel โดย WTI มีแนวต้านระยะสั้นที่ 71.5$ แรงหนุนหลักมาจาก 1.)ข่าวสหภาพยุโรป (EU) มีมติตกลงที่จะคว่ำบาตรน้ำมันของรัสเซียเพิ่มเติม (Sanction) ผสาน 2.) ความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีน 3.) EIA เผยว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าตลาดคาดจะลดเพียง 1.0 ล้านบาร์เรล โดยมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

[ภาพข่าว] เอเซีย พลัส จัดสัมมนาให้ความรู้นักลงทุน “โลกขยับต้องปรับแผนลงทุนอย่างไร?”

[ภาพข่าว] เอเซีย พลัส จัดสัมมนาให้ความรู้นักลงทุน “โลกขยับต้องปรับแผนลงทุนอย่างไร?”

          บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด จัดสัมมนาให้ความรู้และมุมมองการลงทุนให้แก่นักลงทุน ในงามสัมนา “โลกขยับต้องปรับแผนลงทุนอย่างไร?” โดยได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาร่วมบรรยายพิเศษ ภายใต้หัวข้อ “ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์” พร้อมด้วยวิทยากรจาก บล.เอเซีย พลัส นำโดย คุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บรรยายภายใต้หัวข้อ “ตลาดหุ้นไทยกับโลกที่เปลี่ยนแปลง” และคุณคริสโตเฟอร์ พรหมมี ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ ภายใต้หัวข้อ “ลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกอย่างอุ่นใจ ด้วย Infinity+ Porfolio” งานสัมมนาจัดขึ้นที่ The Bangkok Club อาคารสาธรซิตี้ ทาวเวอร์ ชั้น 28 ห้อง Grand Hall

บลจ.ดาโอ เปิดขาย ‘กองทุน DAOL-DEFENSE’

บลจ.ดาโอ เปิดขาย ‘กองทุน DAOL-DEFENSE’

           จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้แต่ละประเทศตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนในประเทศของตนเอง ทำให้งบประมาณการใช้จ่ายทางทหารทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากและผลักดันให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง “บลจ.ดาโอ” มองเป็นจังหวะลงทุน เปิดขาย “กองทุนเปิด ดาโอ ดีเฟนส์ (DAOL-DEFENSE)”  ลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศรวมถึงความปลอดภัยไซเบอร์ เปิดเสนอขายครั้งแรก ระหว่างวันที่ 11-18 ธันวาคม 2567            คุณมนชญา รัชตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด หรือ บลจ.ดาโอ (DAOL INVESTMENT MANAGEMENT) เปิดเผยว่า ด้วยปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นเหตุให้การใช้จ่ายทางทหารทั่วโลกพุ่งทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในปี 2564 และเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 และคาดว่า การใช้จ่ายทางการทหารจะเติบโตในอัตรา 5% ต่อปี จนถึงระดับ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย และอินเดีย มีการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศอย่างมีนัยสำคัญเพื่อเสริมสร้างความสามารถทางการทหารในการป้องกันประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการรับรองวงเงินสูงสุดที่เสนอไว้ที่ 8.86 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการใช้จ่ายด้านกลาโหมในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา คาดการณ์จากสำนักงานงบประมาณของรัฐสภาสหรัฐฯ ระบุว่า การใช้จ่ายด้านการป้องกันจะสูงถึง 1.11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.8% ของ GDP ภายในปี 2576            ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายด้านการทหารของยุโรปได้ปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่สงครามเย็น ซึ่งเกิดจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย โดยในปี 2566 มีการเพิ่มงบประมาณการลงทุนด้านกลาโหมถึง 13% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยพันธมิตร NATO เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเช่นกัน คาดว่า ในปี 2024 สมาชิก 24 ประเทศจากทั้งหมด 32 ประเทศ จะสามารถบรรลุตามเป้าหมาย 2% ของ GDP ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเพียง 11 ประเทศ ในปี 2566            นอกจากนี้ การป้องกันทางดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในทางภูมิศาสตร์การเมือง จากรายงานพบว่า ทั่วโลกมีการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 ความปลอดภัยไซเบอร์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับกระทรวงกลาโหม            เช่นเดียวกับ การใช้ระบบอัตโนมัติในระบบการป้องกันที่กำลังเร่งตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรนอัตโนมัติ ที่ไม่เพียงแต่ใช้ในการสอดแนม แต่ยังใช้ในการต่อสู้และการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ เพื่อลดการมีส่วนร่วมของมนุษย์และลดความเสี่ยงในสนามรบ คาดว่า ตลาดอากาศยานไร้คนขับทางทหารทั่วโลกจะเติบโตจาก 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2566 เป็น 4.52 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 เติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 12.20%            ด้วยแนวโน้มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศที่สูงขึ้นทั่วโลก บลจ.จึงขอแนะนำ กองทุนเปิด ดาโอ ดีเฟนส์ (DAOL-DEFENSE) เปิดเสนอขายครั้งแรก ระหว่างวันที่ 11-18 ธ.ค. 2567 (ความเสี่ยงระดับ 7 : ความเสี่ยงสูง) ลงทุนตรงผ่านกองทุน Vaneck Defense UCITS ETF (DFNS)  ที่บริหารโดย Vaneck Vectors บริษัทจัดการการลงทุน ETF ที่มีความโดดเด่น โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ จากแนวโน้มความเสี่ยง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และการใช้จ่ายทางทหารที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกปรับกลยุทธ์การป้องกันประเทศ ลักษณะกลุ่มบริษัทป้องกันประเทศที่ลงทุนได้แก่ ผลิตภัณฑ์และบริการทางอากาศและการป้องกัน ระบบและบริการด้านการสื่อสาร รวมถึงดาวเทียม ยานพาหนะไร้คนขับ ซอฟต์แวร์ด้านการตอบสนองเหตุการณ์ และความปลอดภัย ฮาร์ดแวร์และบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซอฟต์แวร์และผลิตภัณฑ์ด้านการฝึกอบรมและการจำลองสถานการณ์ การสืบสวนดิจิทัล, อุปกรณ์ตรวจจับ และการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์/การระบุตัวตนทางชีวภาพ ตัวอย่างหุ้นบริษัทที่ลงทุน 1.) บริษัท QINETIQ  เป็นบริษัทเทคโนโลยีการป้องกันประเทศของสหราชอาณาจักรที่ให้บริการวิจัยและพัฒนา (R&D) และบริการทางเทคนิคแก่รัฐบาล นอกจากความเชี่ยวชาญในด้าน R&D, วิศวกรรม, ความปลอดภัยทางไซเบอร์, อวกาศและดาวเทียมแล้ว ยังให้บริการฝึกอบรมและการจำลองเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติการที่สำคัญต่อภารกิจ บริการเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีการจำลองที่หลากหลาย เช่น ความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality), ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) และการฝึกอบรมที่ใช้เกม เพื่อสร้างสถานการณ์การฝึกอบรมที่สมจริง และถูกใช้สำหรับการฝึกอบรมทางทหาร, อวกาศ, การบินและการเดินเรือ รวมถึงการจำลองเหตุการณ์ฉุกเฉิน 2.) บริษัท CACI  ให้บริการด้าน IT แก่หน่วยงานรัฐบาล ประกอบด้วยบริการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไซเบอร์, การประมวลผลบนคลาวด์, การพัฒนาซอฟต์แวร์ รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินงาน, การจัดการโลจิสติกส์ และการฝึกอบรม บริการความปลอดภัยทางไซเบอร์ , การประเมินและการวิเคราะห์ข่าวกรองภัยคุกคาม, การตอบสนองต่อเหตุการณ์ และการติดตามภัยคุกคามในเครือข่ายของลูกค้า            ท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้หุ้นกลุ่มป้องกันประเทศเติบโต ส่งผลให้กองทุน Vaneck Defense UCITS ETF ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือนอยู่ที่ 4.30% ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 12.31% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 57.30% และย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 44.78% (ข้อมูล Vaneck ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567)            “ความมั่นคงและการป้องกันประเทศกลับมาเป็นหนึ่งในความกังวลหลักของรัฐบาลในหลายประเทศ การเปลี่ยนแปลงสู่โลกที่มีหลายขั้วอำนาจได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อบริษัทในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ‘กองทุนเปิด ดาโอ ดีเฟนส์ (DAOL-DEFENSE)’ จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากบริษัทชั้นนำในด้านเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ รวมถึงบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ขนาดใหญ่ และผู้ให้บริการด้านการป้องกันที่เกี่ยวข้อง ภายใต้สถานการณ์ที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติและปรับปรุงความสามารถทางทหาร ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศจึงมีโอกาสได้รับประโยชน์จากสัญญาระยะยาวและความต้องการที่ต่อเนื่อง” คุณมนชญา กล่าว            สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมพร้อมรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนดาโอ จำกัด (บลจ.ดาโอ) โทรศัพท์ 02-351-1800 กด 2 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อหน่วยลงทุน ของ บลจ. ดาโอ  คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เนื่องจากกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้  ที่มา 1Global X Estimates, SIPRI. (2023, April 24) Congressional Budget Office. (2023, February). The Budget and Economic Outlook: 2023 to 2033 NATO Public Diplomacy Division as of June 12, 2024 Check point software technologies, U.S. Global investors Global X ETFs with information derived from: Fortune Business Insights. 23 September 2024 [PR News]

ประกาศชี้แจง บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ประกาศชี้แจง บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

        หุ้นวิชั่น - ประกาศชี้แจง บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตามที่มีบุคคลบางกลุ่มได้ติดต่อไปยังลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (บล. Zcom) โดยกล่าวอ้างว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารชุดใหม่ รวมถึงกล่าวอ้างว่าสามารถติดต่อพูดคุยกับผู้บริหารชุดใหม่ได้ หรือมีการแอบอ้างในลักษณะต่าง ๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ลูกค้าของบล. Zcom ติดต่อผ่านกลุ่มบุคคลดังกล่าวเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับบัญชีของลูกค้าที่มีอยู่กับบริษัทฯ หรือเพื่อสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ขอยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง และบุคคลกลุ่มดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับบริษัทฯ บริษัทฯ ขอแจ้งเตือนลูกค้าและนักลงทุนทุกท่านว่า หากได้รับการติดต่อจากบุคคลดังกล่าว โปรดอย่าดำเนินการใด ๆ หรือให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคคลดังกล่าว และหากต้องการตรวจสอบข้อมูลหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ขอให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ของบล. Zcom โดยตรง เพื่อความถูกต้องและความปลอดภัยของข้อมูล ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอแนะนำให้นักลงทุนทุกท่านติดตามข่าวสารและประกาศต่าง ๆ ผ่าน ช่องทางการสื่อสารอย่างเป็นทางการของบริษัทฯ เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนหรือความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ โทร: 02-088-8111 จึงเรียนมาเพื่อทราบ บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ราคาน้ำมัน WTI - Brent ลดลง 1.6% และ 1.35% กังวลน้ำมันล้นตลาดฯ

ราคาน้ำมัน WTI - Brent ลดลง 1.6% และ 1.35% กังวลน้ำมันล้นตลาดฯ

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ราคาน้ำมัน WTI และ Brent ปรับลง 1.6% DoD และ 1.35% DoD จากความกังวลภาวะน้ำมันล้นตลาดจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ แม้โอเปกพลัสประกาศเลื่อนแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ EP24DA ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 12 ธันวาคม 2567

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ EP24DA ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 12 ธันวาคม 2567

          หุ้นวิชั่น - วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2567 | ฉบับที่ 265/2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ EP24DA ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 12 ธันวาคม 2567           ตามที่บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ EP24DA จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2567 ในวันที่ 12 ธันวาคม 2567 เวลา 14.00 น. ด้วยวิธีการประชุมแบบผสมผสาน (Hybrid meeting) โดยจัดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) และจัดประชุม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ (ห้องแมจิค 1 ชั้น G) เลขที่ 99 ถนนกำแพงเพชร 6 แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณาอนุมัติ ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไปอีก 1 ปี (2) เพิ่มอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้อีกร้อยละ 0.5 ต่อปี จากเดิมร้อยละ 6.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 6.75 ต่อปี ในช่วงระยะเวลาที่ได้ขยายอายุหุ้นกู้ออกไป           ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติหรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย           หมายเหตุ : บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ EP24DA ครบกำหนดชำระวันที่ 27 ธันวาคม 2567

OPEC+ เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต ลดความเสี่ยงผลกระทบซบเซา

OPEC+ เลื่อนเพิ่มกำลังผลิต ลดความเสี่ยงผลกระทบซบเซา

         หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.06% d-d ปิดที่ USD 72.27/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.35%d-d ปิดที่ USD 68.3/barrel ผลประชุม OPEC+ สอดคล้องกับตลาดคาด โดยมีการเลื่อนการเพิ่มกำลังการผลิตออกไปถึง ก.ย. 26 ลดความเสี่ยงผลกระทบความต้องการที่ยังซบเซาต่อราคา

ก.ล.ต. สนับสนุนกองทุน Thai ESG เพิ่มทางเลือกลงทุน พร้อมลดหย่อนภาษีได้

ก.ล.ต. สนับสนุนกองทุน Thai ESG เพิ่มทางเลือกลงทุน พร้อมลดหย่อนภาษีได้

          หุ้นวิชั่น - นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “ตามที่คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 มีมติเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศ สำหรับผู้มีเงินได้ที่ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: Thai ESG) สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2567 – 2569 ได้ เพิ่มจาก 100,000 บาทเป็นไม่เกิน 300,000 บาทต่อปีต่อคน ล่าสุดกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกฎกระทรวง โดยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567           ทั้งนี้ กองทุน ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุนซึ่งนอกจากจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของประเทศแล้ว ยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลธรรมดาได้ด้วย ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงประกาศเพื่อขยายขอบเขตการลงทุนกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน รวม 5 ฉบับ โดยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถจัดตั้งหรือแก้ไขโครงการจัดการเพื่อลงทุนตามขอบเขตการลงทุนใหม่ที่กว้างขึ้นได้”

น้ำมันดิบดีด เก็งกำไร PTTEP-PTTGC-TOP

น้ำมันดิบดีด เก็งกำไร PTTEP-PTTGC-TOP

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 70$ จาก 1. อิสราเอลขู่ว่าจะโจมตีเลบานอน หากข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ล้มเหลว และ 2. โอเปกพลัส จะขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า เป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มพลังงาน แนะนำเก็งกำไร PTTEP PTTGC TOP IVL IRPC

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.50บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.50บาท/ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.50บาท/ดอลลาร์ เงินบาทยังทรงตัวเช้านี้ แม้เงินวอนจะอ่อนค่าเร็วหลังเกาหลีใต้ประกาศกฎอัยการศึกช่วงกลางดึกเมื่อคืน แต่ก็ได้ยกเลิกไปในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ด้าน US treasury yields กลับมาสูงขึ้นหลังเลขจำนวนเปิดรับงานใหม่เดือน ตุลาคม ออกมาที่ 7.74 ล้านตำแหน่งสูงกว่าเดือนก่อนหน้า และสูงกว่าตลาดคาด รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า มีแผนที่จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีส่วนบุคคล และอาจขึ้น VAT แทน

ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์โฆษณา เพิ่มคำเตือนความเสี่ยงลงทุนใน

ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์โฆษณา เพิ่มคำเตือนความเสี่ยงลงทุนใน "โทเคนดิจิทัล"

          หุ้นวิชั่น - ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การโฆษณาของผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO portal) และของผู้ออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชน (ICO issuer) ในส่วนของคำเตือนความเสี่ยงการลงทุนในโทเคนดิจิทัล เพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนตระหนักถึงความเสี่ยงหรือข้อจำกัดก่อนการตัดสินใจลงทุน โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีแนวคิดที่จะปรับปรุงหลักเกณฑ์การโฆษณาของ ICO portal และ ICO issuer ในส่วนของคำเตือนความเสี่ยงการลงทุนในโทเคนดิจิทัล ให้เหมาะสม เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีวิธีการนำเสนอคำเตือนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนตระหนักถึงความเสี่ยงหรือข้อจำกัดก่อนการตัดสินใจใช้บริการหรือลงทุนในโทเคนดิจิทัล โดยได้เปิดรับความฟังความคิดเห็นและผู้ร่วมแสดงความเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว           ก.ล.ต. จึงออกประกาศ* กำหนดให้ ICO portal และ ICO issuer ต้องจัดทำคำเตือนประกอบการโฆษณาตามหลักเกณฑ์ ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ (1) ระบุข้อความคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือข้อจำกัดของโทเคนดิจิทัลอย่างครบถ้วน (2) นำเสนอคำเตือนในรูปแบบที่มีความคมชัดและสังเกตได้ง่าย โดยใช้โทนสีที่แตกต่างจากสีพื้นของโฆษณาหรือใช้ตัวอักษรหนาขึ้น และมีขนาดของตัวอักษรไม่เล็กกว่าขนาดตัวอักษรส่วนใหญ่ในโฆษณานั้น (3) จัดให้มีข้อความที่เป็นคำเตือนตลอดเวลาที่โฆษณา โดยข้อความที่เป็นคำเตือนต้องเป็นภาษาเดียวกับภาษาหลักที่ใช้ในการโฆษณา และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนด (4) ในกรณีการโฆษณาที่มีการแสดงภาพและเสียง และการโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (social media) ต้องจัดทำให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนด           ทั้งนี้ การออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าว มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป           หมายเหตุ : * ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 34/2567 เรื่อง หลักเกณฑ์ในรายละเอียดเกี่ยวกับการโฆษณาของผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลหรือผู้ออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัล ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 https://publish.sec.or.th/nrs/10464s.pdf

บล.เอเอสแอล วิเคราะห์ภาพรวมการลงทุน ธ.ค. 67

บล.เอเอสแอล วิเคราะห์ภาพรวมการลงทุน ธ.ค. 67

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.เอเอสแอล วิเคราะห์ภาพรวมการลงทุนประจำเดือนธันวาคม 2567 กลยุทธ์ A-share: แรงผลักดันหลักในการกำหนดราคากำลังเปลี่ยนแปลง พร้อมการรวมฉันทามติเชิงนโยบายใหม่ สถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มผู้ลงทุน: ตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงจากผู้ลงทุนรายย่อยไปสู่ผู้ลงทุนสถาบัน ซึ่งให้ความสำคัญกับปัจจัยอย่างราคาบ้านและสัญญาณการเงินในระบบ ความเปราะบางของจิตวิทยานักลงทุน: นักลงทุนยังมีความเปราะบาง ทำให้ความผันผวนของตลาดยังอยู่ในระดับสูงภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ภาวะนโยบายในปัจจุบัน ตลาดอยู่ในช่วง "หน้าต่างนโยบาย" (Policy Window Period) ซึ่งความคาดหวังต่อนโยบายยังค่อนข้างไร้ทิศทาง คาดว่าจะมีการบรรลุฉันทามติเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม โดยจะเป็นจุดเริ่มต้นของ "ตลาดวิ่งมาราธอนรายปี" ที่ตลาดกำลังรอสัญญาณเริ่มต้นจากราคาบ้านและการเงินในระบบ กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้น: ควรให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ในกลุ่ม "Procyclical" ที่มีมูลค่าต่ำ (Low-valuation) เพื่อการเปลี่ยนผ่าน ระยะยาว: หลังจากสัญญาณตลาดชัดเจน ควรเพิ่มน้ำหนักในกลุ่มที่มีการเติบโตสูง (High-performance growth) และการบริโภคภายในประเทศ (Domestic consumption) แนวโน้มเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในประเทศ การลดหนี้รอบใหม่: คาดว่าจะถูกดำเนินการตามแผน นโยบายที่ดำเนินการมาก่อนหน้าเริ่มมีผล: เศรษฐกิจในประเทศคาดว่าจะดีขึ้นในไตรมาสที่ 4 สัญญาณสำคัญสำหรับราคาบ้านและการเงินในระบบ: ยังต้องรอการพัฒนาเพิ่มเติม ปัจจัยภายนอก การใช้ภาษีศุลกากร: สหรัฐฯ ส่งเสริมการคืนห่วงโซ่อุตสาหกรรม นโยบายในประเทศจีน: คาดว่าจะสามารถตอบโต้นโยบายจากทรัมป์ได้ ขณะที่องค์กรในประเทศก็มีความพร้อม สถานการณ์ตลาดและแนวโน้มในอนาคต การกำหนดราคาหลักในตลาดอยู่ในช่วงเปลี่ยนจากนักลงทุนรายย่อยไปสู่นักลงทุนสถาบัน ความคาดหวังต่ออัตราเงินเฟ้อระยะที่สองในสหรัฐและการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน (RMB) ทำให้ตลาดมีความผันผวนมากขึ้น การประชุมของคณะกรรมการการเมือง (Political Bureau) และการประชุมงานเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม จะสร้างความชัดเจนและฉันทามติต่อการพัฒนาตลาด การดำเนินการของทรัมป์และผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อจีน ไทม์ไลน์การขึ้นภาษี หากไม่มีการสืบสวนทางการค้าใหม่ การขึ้นภาษีอาจเริ่มใน Q2/2025 หากมีการสืบสวนใหม่ การขึ้นภาษีอาจเริ่มใน H2/2025 ขอบเขตของการขึ้นภาษี การขึ้นภาษีคาดว่าจะไม่เกิน 60% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ เนื่องจาก: ความขัดแย้งในนโยบายของทรัมป์ ผลกระทบเชิงลบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ การเร่งกระจายตลาดและโครงสร้างการส่งออกของบริษัทจีน ผลกระทบต่อการส่งออกจีน การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ อาจลดลงมากกว่า 20% การส่งออกโดยรวมของจีนในปีหน้าอาจลดลงถึง -5% เมื่อเทียบกับปีต่อปี การประเมินผลกระทบ แม้ว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออกของจีน แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ การปรับตัวของบริษัทจีนในการกระจายตลาดส่งออกและการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศช่วยลดผลกระทบเชิงลบ หลังจากการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและเลบานอน สถานการณ์ในตะวันออกกลางมุ่งหน้าไปทางไหน? ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮิซบอลเลาะห์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2024 คณะรัฐมนตรีความมั่นคงของอิสราเอลอนุมัติข้อตกลงหยุดยิงกับฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน เหตุผลสำคัญที่ข้อตกลงหยุดยิงเกิดขึ้น อิสราเอล: ใช้การหยุดยิงเพื่อปรับแนวรบและรวมกำลังเพื่อจัดการกับอิหร่าน อิหร่าน: ต้องการรักษาสมดุลเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เสียเปรียบในช่วงที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง ผลกระทบของข้อตกลงหยุดยิง การหยุดยิงช่วยลดความเสี่ยงที่ความขัดแย้งจะลุกลาม แต่ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางจะสงบลงบ้าง แต่ยังคงซับซ้อน ผลกระทบต่อตลาดการเงิน ราคาทองคำและน้ำมันดิบปรับตัวลดลงในระยะสั้น หากเกิดความขัดแย้งซ้ำหรือมีเหตุการณ์สำคัญ ตลาดสินทรัพย์อาจปรับตัวอีกครั้ง รายงานแนวโน้มการประชุมงานเศรษฐกิจกลาง - การเสริมสร้างรากฐานและการแสวงหาความก้าวหน้าในด้านความมั่นคง ประเด็นสำคัญที่คาดว่าจะหารือ การลดหนี้: เร่งกระจายและออกพันธบัตรพิเศษเพื่อทดแทนหนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์: ดำเนินโครงการปรับปรุงชุมชนเมือง (Urban Village Renovation) และการผ่อนคลายนโยบายฝั่งอุปสงค์ การบริโภคสินค้า: ขยายความต้องการบริโภคสินค้าและเพิ่มอุปทานในภาคบริการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: ยกระดับอุตสาหกรรมและสนับสนุนภาคเอกชน ตลาดทุน: เพิ่มความเชื่อมโยงของตลาดทุน และปฏิรูปวิสาหกิจของรัฐเพื่อเพิ่มผลตอบแทนสำหรับนักลงทุน บทวิเคราะห์โดย ปัณณวิชย์ ฤทธาสิรินันท์ บล.เอเอสแอล

ก.ล.ต. เตรียมปรับเกณฑ์ตรวจข้อมูลลูกค้า-ทบทวนวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์

ก.ล.ต. เตรียมปรับเกณฑ์ตรวจข้อมูลลูกค้า-ทบทวนวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์

          หุ้นวิชั่น - วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 | ฉบับที่ 257 / 2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นหลักการและร่างประกาศเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจมีการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าระหว่างกันเพื่อให้มีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าที่จำเป็นและครบถ้วนมากยิ่งขึ้น สำหรับใช้ประกอบการพิจารณากำหนดและทบทวนวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ให้แก่ลูกค้าได้อย่างเหมาะสมต่อความสามารถในการชำระหนี้ สถานการณ์ความผิดปกติจากการซื้อขายหลักทรัพย์และการผิดนัดชำระราคาการซื้อหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนในช่วงที่ผ่านมา มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายสัญญาล่วงหน้า (รวมเรียก ผู้ประกอบธุรกิจ) ขาดข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าที่จำเป็นและครบถ้วนในการนำมาใช้ประกอบการพิจารณากำหนดวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ ส่งผลให้วงเงินรวมที่ลูกค้าของผู้ประกอบธุรกิจได้รับทั้งหมด (กรณีขอวงเงินจากหลายแห่ง) อาจสูงเกินกว่าความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าได้ ก.ล.ต. จึงเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับตลาดทุนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าที่จำเป็นและเพียงพอต่อการนำไปใช้ประกอบการพิจารณากำหนดและทบทวนวงเงินให้แก่ลูกค้าได้อย่างเหมาะสมต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่เหมาะสม และลดโอกาสการผิดนัดชำระราคาค่าซื้อขายหลักทรัพย์ที่อาจส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ โดยมีสาระสำคัญในการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องดำเนินการ ดังนี้ (1) ตรวจสอบและแลกเปลี่ยนข้อมูลลูกค้าระหว่างกัน โดยมีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมและประเมินข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้และการวางหลักประกันของลูกค้า เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณากำหนดและทบทวนวงเงินให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย (2) รวบรวม ประเมิน และวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าที่ขอ หรือมีวงเงินสูง หรือลูกค้าที่มีระดับความเสี่ยงสูง จากผู้ประกอบธุรกิจแห่งอื่นที่มีการให้บริการแก่ลูกค้ารายเดียวกัน สำหรับกรณีที่ลูกค้าขอเปิดบัญชีใหม่หรือลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญ โดยต้องดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการชำระหนี้ รวมทั้งมีกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ (3) นำส่งข้อมูลลูกค้าตามที่ได้รับการร้องขอจากผู้ประกอบธุรกิจแห่งอื่น ทั้งนี้ รายละเอียดการดำเนินการในการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าดังกล่าว เช่น ช่องทางและวิธีการตรวจสอบข้อมูลของลูกค้าระหว่างกัน เงื่อนไขของลูกค้าที่ต้องตรวจสอบข้อมูลจากผู้ประกอบธุรกิจแห่งอื่น ชุดข้อมูลของลูกค้าที่ต้องตรวจสอบระหว่างกัน เป็นต้น ให้เป็นไปตามที่สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของก.ล.ต. ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นซึ่งมีรายละเอียดการปรับปรุงหลักการและร่างประกาศในเรื่องดังกล่าวบนเว็บไซต์ ก.ล.ต. (https://www.sec.or.th/TH/Pages/PB_Detail.aspx?SECID=1035) และระบบกลางทางกฎหมาย (http://law.go.th/listeningDetail?survey_id=NDY5MERHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ=) ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถศึกษาและแสดงความคิดเห็นได้ผ่านช่องทางเว็บไซต์ หรือทาง e-mail : [email protected] หรือ [email protected] จนถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2567 _______________________

คาด OPEC เลื่อนแผนเพิ่มกำลังผลิต ชี้ PTTEP, PTT กลุ่มโรงกลั่นรับอานิสงส์

คาด OPEC เลื่อนแผนเพิ่มกำลังผลิต ชี้ PTTEP, PTT กลุ่มโรงกลั่นรับอานิสงส์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันประกาศเลื่อนประชุมเป็นวันที่ 5 ธ.ค. 24 (เดิม 1 ธ.ค. 24) เพื่อพิจารณาแผนการผลิตน้ำมันดิบ KSS ประเมินการที่ OPEC เลื่อนประชุมมีโอกาสที่กลุ่ม OPEC+ จะเลื่อนแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบออกไป ทำให้อุปทานน้ำมันชะลอการเข้าสู่ตลาด มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อราคาน้ำมันระยะสั้น และจิตวิทยาบวกต่อหุ้นน้ำมัน เช่น PTTEP, PTT และกลุ่มโรงกลั่น น้ำมันดิบ Brent +0.62%d-d ปิดที่ USD 73.28/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.23%d-d ปิดที่ USD 68.88/barrel

อินโนพาวเวอร์ ร่วมมือ อาร์ วี คอนเน็กซ์  พัฒนานวัตกรรมพลังงานและเทคโนโลยีขั้นสูง

อินโนพาวเวอร์ ร่วมมือ อาร์ วี คอนเน็กซ์ พัฒนานวัตกรรมพลังงานและเทคโนโลยีขั้นสูง

         หุ้นวิชั่น - บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด และ บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อพัฒนานวัตกรรมพลังงานและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่และสนับสนุนการพัฒนาประเทศในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล            นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยผลักดันนวัตกรรมพลังงานที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายของเราในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน อีกทั้ง เรายังสามารถนำเทคโนโลยี เช่น อากาศยานไร้คนขับ (UAV) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า เป็นการต่อยอดไปสู่การส่งมอบข้อมูลให้กับระบบส่งไฟฟ้า เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับบริหารจัดการ ความโปร่งใส และความเชื่อมั่น นอกจากนี้ ความมั่นคงทางไซเบอร์ยังเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่เรามุ่งเน้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ ความร่วมมือนี้ครอบคลุมโครงการสำคัญหลายด้าน ได้แก่ (1) การพัฒนาแพลตฟอร์มและเครื่องมือดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการและลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (2) การสำรวจและพัฒนาโอกาสการจัดการคาร์บอนเครดิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (3) การสำรวจและพัฒนาโอกาสการเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ผ่านการพัฒนาโซลูชันด้านความปลอดภัยทาง ไซเบอร์ (4) การสำรวจและพัฒนาโอกาสการการใช้เทคโนโลยีและระบบวิเคราะห์ภาพขั้นสูงในการสนับสนุนการดำเนินงานเชิงบูรณาการ และ (5) การสำรวจโอกาสเพิ่มเติมในการพัฒนานวัตกรรมพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของทั้งภาคเอกชนและประเทศชาติ            รองศาสตราจารย์ ดร. สุเจตน์ จันทรังษ์ ประธานบริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ กล่าวเสริมว่า ด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เรามั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ข้อตกลงนี้ ทั้งสององค์กรจะผสานจุดแข็งและความสามารถเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชันที่ตอบโจทย์ด้านพลังงาน พร้อมเป้าหมายร่วมในการพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ตลอดจนการแลกเปลี่ยนความรู้และทรัพยากร เพื่อสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระดับชาติ สำหรับบันทึกข้อตกลงนี้จะมีระยะเวลา 3 ปี โดยทั้งสองฝ่ายจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อผลักดันให้โครงการต่าง ๆ บรรลุเป้าหมาย พร้อมสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

สนค. เกาะติดนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่อภาคเกษตรและอาหารโลก

สนค. เกาะติดนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่อภาคเกษตรและอาหารโลก

หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาและติดตามนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยมีกำหนดสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2568 ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากต่อมาตรการทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจการค้าโลกและไทย รัฐบาลทรัมป์ยังยึดแนวนโยบายหลัก “Make America Great Again” โดยให้ความสำคัญและถือผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นที่ตั้ง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศ สำหรับผลกระทบต่อภาคเกษตรและอาหารโลก สนค. ได้ศึกษารายงาน “Trump 2.0: Impacts on Global Food and Agriculture” ของ Rabobank สถาบันการเงินของเนเธอร์แลนด์ที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจเกษตรและอาหาร ระบุว่า การดำรงตำแหน่งรอบที่ 2 ของประธานาธิบดีทรัมป์ จะสร้างความซับซ้อนให้กับการค้าสินค้าเกษตรและอาหารในระดับโลก และอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการค้า (Trade Relationships) การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ของการส่งออก (Export Demand) ต้นทุนของธุรกิจและผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้น โดยการกลับมาของทรัมป์เป็นการส่งสัญญาณถึงการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากร (Tariff) สำหรับสินค้านำเข้า การยกเลิกกฎระเบียบ (เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม) การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐฯ และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่เคยกล่าวไว้ตอนหาเสียง โดยอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การขยายตัวของ GDP สหรัฐฯ ที่ช้าลง และการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคและบริษัทผลิตอาหารในสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยเงินเฟ้อจะเป็นแรงกดดันให้ผู้บริโภคพิจารณาถึงคุณค่าของสินค้ามากขึ้น มุ่งเน้นที่ความสะดวกสบาย เลือกบริโภคสินค้าที่เป็นแบรนด์ร้านค้าปลีก (Private Label) สินค้าหรูหราในราคาไม่แพง (Affordable Luxuries) และออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นครั้งคราว สำหรับความต้องการบริการด้านอาหาร (Food Service) คาดว่าจะฟื้นตัวช่วงกลางปี 2568 เนื่องจากสถานะการเงินผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคสหรัฐฯ จะยังคงเลือกซื้อสินค้าโดยเน้นที่คุณค่าของสินค้าต่อไป สำหรับบริษัทผลิตอาหารในสหรัฐฯ ที่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ จะมีต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีกำไรลดลง บริษัทอาจต้องปรับส่วนประสมของผลิตภัณฑ์ (Product Mix)[1] ลดการนำเข้า เน้นใช้วัตถุดิบจากในสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยเฉพาะบริษัทเล็กอาจปิดกิจการหรือควบรวมกิจการกับบริษัทขนาดใหญ่ สถานการณ์ดังกล่าวจะผลักดันให้บริษัทแสวงหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ อาทิ ปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ ลงทุนด้านเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้เกิดนวัตกรรมและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรม เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน การที่รัฐบาลทรัมป์จะเก็บภาษีกับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศในอัตรา 10-20% และสินค้าจากจีนที่สูงถึง 60% อาจส่งผลให้ประเทศที่ได้รับผลกระทบออกมาตรการตอบโต้ โดยสินค้าประมงและแปรรูปของสหรัฐฯ มักเป็นเป้าหมายหลักในการเก็บภาษีตอบโต้ ซึ่งเมื่อรวมกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จะส่งผลเชิงลบต่อการส่งออกสินค้าประมงและประมงแปรรูปของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ห่วงโซ่อุปทานปัจจัยการผลิตทางการเกษตรของสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากจีนมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเคมีเกษตร (Agrochemical Industry) ระดับโลก โดยการผลิตทั่วโลกกว่า 70% มีซัพพลายเชนที่เชื่อมโยงกับจีน (มีสัดส่วน 10% ของการส่งออกยูเรียทั่วโลก และสัดส่วน 15-25% ของการส่งออกฟอสเฟตทั่วโลก) ราคาเคมีเกษตรในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ผลกระทบต่อราคาปุ๋ยของสหรัฐฯ อาจอยู่ในระดับปานกลางหรือเป็นบวก เนื่องจากสหรัฐฯ มีการผลิตปุ๋ยในประเทศเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่าสงครามการค้าส่งผลกระทบเชิงลบต่อการค้า แต่สินค้าเกษตรหลายชนิดถือเป็นสินค้าจำเป็น ประเทศต่าง ๆ ยังคงต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหาร โดยจะเลือกนำเข้าตามความต้องการจากประเทศที่ให้ราคาดีที่สุด เช่น หากบราซิลมีผลผลิตถั่วเหลืองลดลงจากปัญหาสภาพภูมิอากาศ อาจส่งผลให้การส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แม้ถั่วเหลืองนำเข้าจากสหรัฐฯ อาจมีภาษีนำเข้าที่สูงกว่าเนื่องจากมาตรการตอบโต้ของคู่ค้าก็ตาม ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีการส่งออกไปยังกว่า 190 ประเทศทั่วโลก สำหรับการตอบโต้จากจีน หากสหรัฐฯ เพิ่มภาษีสินค้านำเข้า จีนมีแนวโน้มที่จะตอบโต้โดยมุ่งที่สินค้ากลุ่มธัญพืชและพืชน้ำมัน โดยเฉพาะถั่วเหลือง (การส่งออกถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ไปจีน มีสัดส่วนถึง 51.2% ของมูลค่าการส่งออกถั่วเหลืองทั้งหมดของสหรัฐฯ) โดยในครั้งนี้ ผลกระทบต่อจีนจะไม่รุนแรงเท่าสงครามการค้ารอบที่แล้ว เนื่องจากจีนมีปริมาณสต็อกสำรองในประเทศเพิ่มขึ้น และผู้นำเข้าจีนอาจนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ล่วงหน้า ก่อนจะมีการขึ้นภาษี หรือเปลี่ยนไปนำเข้าถั่วเหลืองจากบราซิลทดแทนหากสงครามการค้าปะทุขึ้น ในส่วนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia: SEA) หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า 20% จะทำให้สินค้าที่นำเข้าจาก SEA มีต้นทุนสูงขึ้น โดยมีสินค้าเกษตรสำคัญที่สหรัฐฯ นำเข้าจากภูมิภาคนี้ เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กาแฟ ยางพารา ข้าวหอมมะลิ และข้าวขาว อย่างไรก็ตาม คาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายังสหรัฐฯ จะค่อนข้างคงที่ เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่มีการผลิตสินค้าเกษตรเหล่านี้ในประเทศ และมีทางเลือกที่จำกัด ผอ. สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า สงครามการค้า Trump 2.0 ยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรของทรัมป์ แต่ไทยในฐานะผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก โดยมีจีนและสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 และ 2 ต้องติดตามสถานการณ์การค้า นโยบายที่สำคัญ รวมทั้งแนวโน้มการใช้มาตรการและการตอบโต้ของทั้งสหรัฐฯ จีน และประเทศต่าง ๆ ในอนาคตอย่างใกล้ชิด เพื่อแสวงหาโอกาสและเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อไป

น้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาด 1.3 ล้านบาร์เรล

น้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาด 1.3 ล้านบาร์เรล

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent +0.03%d-d ปิดที่ USD 72.83/barrel, น้ำมันดิบ West Texas - 0.07%d-d ปิดที่ USD 68.72/barrel หลัง EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าตลาดคาดลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.65บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.65บาท/ดอลลาร์

 หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 30.40-34.65บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง หลังเลขเงินเฟ้อพื้นฐานสหรัฐฯ (Core PCE) ออกมาที่ 3%MOM และ 2.8%YOY เท่าตลาดคาด ส่งผลให้ Treasury yields ปรับลดลงมาต่ำสุดนับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ ออกมาที่ 2%MOM ต่ำกว่าตลาดคาด และ GDP ไตรมาส 3 ออกมาที่ 2.8% เท่าตลาดคาด ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ลดดอกเบี้ย 25% มาอยู่ที่ 3.0% พร้อมปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีหน้าเหลือ 1.9%

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.55-34.80บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.55-34.80บาท/ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.55-34.80บาท/ดอลลาร์ • ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบเมื่อวานนี้ แม้เผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าบ้างจากเลขส่งออกเดือน ตุลาคม ที่ออกมาที่ 14.6%YOY ดีกว่าตลาดคาดที่ 5.2% โดยเป็นผลจากการส่งออกทองคำและสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวสูง พร้อมปัจจัยฐานต่ำ • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐฯ เดือน พฤศจิกายน ปรับสูงขึ้นมาที่ 111.7 โดยเป็นผลจากความเชื่อมั่นในตลาดแรงงานและตลาดหุ้น • นายโจ ไบเดน แถลงว่าอิสราเอลและกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง ทำให้ราคาน้ำมันลดลง

บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP EWUS500-UH เสนอขาย (IPO) วันที่ 27 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม นี้

บลจ.เกียรตินาคินภัทร เปิดตัวกองทุน KKP EWUS500-UH เสนอขาย (IPO) วันที่ 27 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม นี้

          หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (บลจ.เกียรตินาคินภัทร) เล็งเห็นโอกาสการลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มเติบโตในหลากหลายอุตสาหกรรมจากคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า จึงเปิดเสนอขายกองทุนใหม่ ได้แก่ กองทุนเปิดเคเคพี US500 EQUAL WEIGHT- UNHEDGED (KKP EWUS500-UH) ประเภทไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน โดยมีกลยุทธ์การบริหารการลงทุนแบบเชิงรับ (Passive Management) มุ่งหวังให้ผลตอบแทนสอดคล้องไปกับดัชนี S&P 500 Equal Weight ที่มีรูปแบบการคำนวณน้ำหนักการลงทุนในหุ้นรายตัวด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักเท่ากัน (Equal Weighting) และครอบคลุมการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำหนดการเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2567 ด้วยมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเพียง 1,000 บาท            นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นโลกตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 16% จากการที่เฟดเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐฯ รอดพ้นภาวะถดถอย ซึ่งทั้งสองปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เติบโตต่อเนื่องไปในปีหน้า และส่งผลให้ผลประกอบการของหุ้นสหรัฐฯ ที่ไม่ใช่ หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 ตัวที่ทรงอิทธิพล หรือที่เรียกว่าหุ้น 7 นางฟ้า เช่น Apple Amazon และ Alphabet มีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นกว่าปีนี้ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่า P/E ของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 Equal Weight ในปีหน้าที่ระดับ 18.2 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีตย้อนหลัง 5 ปี และต่ำกว่า P/E ของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ที่ 22.48 เท่าแล้ว ทำให้ KKPAM มองว่าการลงทุนในดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 Equal Weight มีความน่าสนใจในการลงทุน จึงได้นำเสนอกองทุนเปิดเคเคพี US500 EQUAL WEIGHT- UNHEDGED (KKP EWUS500-UH) แก่นักลงทุนไทยเพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน สำหรับ กองทุน KKP EWUS500-UH ระดับความเสี่ยง 6 เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก Invesco S&P 500 Equal Weight ETF ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (UNHEDGED) โดยกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับดัชนี S&P 500 Equal Weight (ดัชนีอ้างอิง) ซึ่งวัดผลการดำเนินงานของตราสารทุนของบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ โดยดัชนี S&P 500 Equal Weight มีรูปแบบการคำนวณด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักเท่ากัน (Equal Weighting) กล่าวคือ ให้น้ำหนักของแต่ละหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบในน้ำหนักที่เท่ากัน ลดการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่ ช่วยกระจายการลงทุนและครอบคลุมการเติบโตของหลักทรัพย์ในหลากหลายอุตสาหกรรม ในขณะที่ดัชนี S&P 500 มีรูปแบบการคำนวณน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weighting) ซึ่งจะมีน้ำหนักการลงทุนกระจุกตัวในหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่มากกว่า สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถขอรับหนังสือชี้ชวนและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://am.kkpfg.com หรือบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร โทร 02 165 5555 หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง ข้อมูลกองทุน KKP EWUS500-UH : เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่าง วันที่ 27 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2567 มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรก 1,000 บาท ครั้งถัดไป 1,000 บาท คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุน KKP EWUS500-UH จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ดังนั้น กองทุนจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ โปรดศึกษาคำเตือนที่สำคัญอื่นและข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลกองทุนรวม https://am.kkpfg.com หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง

บล. Zcom ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงิน อนุมัติเพิ่มทุน 900 ล้านบาท

บล. Zcom ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงิน อนุมัติเพิ่มทุน 900 ล้านบาท

                     หุ้นวิชั่น - บล. Zcom ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงิน อนุมัติเพิ่มทุน 900 ล้านบาท  นายประกฤต ธัญวลัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“บล. Zcom”) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 12/2567 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนและชำระแล้วจำนวน 900 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัทฯ ทั้งนี้ บล. Zcom ได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้วเสร็จในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 โดยทุนจดทะเบียนและชำระแล้วของบริษัทภายหลังการเพิ่มทุน เพิ่มขึ้นจาก 3,879,999,993.60 บาท เป็นทุนจดทะเบียนและชำระแล้วจำนวน 4,779,999,984.00 บาท คณะกรรมการบริษัทฯเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในธุรกิจหลักทรัพย์ไทยได้

บลจ. เอ็กซ์สปริง ผนึกกำลังพันธมิตรระดับโลก GlobalData TS Lombard

บลจ. เอ็กซ์สปริง ผนึกกำลังพันธมิตรระดับโลก GlobalData TS Lombard

           หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด (XSpring Asset Management) ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท โกลบอลดาต้า ทีเอส ลอมบาร์ด (GlobalData TS Lombard) บริษัทวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์และการลงทุนระดับโลก เพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้าในการแนะนำผลิตภัณฑ์การลงทุนของกองทุนที่ทันต่อสถานการณ์ ภายใต้แนวคิด “Your Trusted Partner in an Evolving Financial World” ผสานจุดแข็งของสององค์กร ทั้งความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน และข้อมูลด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคเชิงลึกทั่วโลก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ของนักลงทุนให้ดียิ่งขึ้น ติดอาวุธการลงทุนให้ลูกค้าครบทุกมิติ เพื่อสร้างการเติบโตให้พอร์ตลงทุน ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนยุคใหม่             นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ GlobalData TS Lombard พันธมิตรที่แข็งแกร่งด้านการวิจัยเศรษฐศาสตร์และการลงทุนระดับโลก ที่มุ่งให้คำแนะนำการลงทุนตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับการลงทุนของกองทุนทั้งในปัจจุบันและอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ที่ทันสมัยจะช่วยยกระดับมาตรฐานในการให้บริการของบริษัทและความรู้ด้านการลงทุนกับลูกค้าครบทุกมิติมากขึ้น ตลอดจนได้รับข้อมูลที่เจาะลึก นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารการลงทุนที่ครอบคลุมและสามารถตัดสินใจเลือกสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะที่ตลาดผันผวน นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถขยายโอกาสทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาบริการให้กับลูกค้า ทั้งในเรื่องการเข้าถึงข้อมูล บทวิเคราะห์ กลยุทธ์การลงทุน รวมถึงคำแนะนำลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้อย่างทันที ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในการบริหารพอร์ตให้เติบโต” ทางด้าน บริษัท โกลบอลดาต้า ทีเอส ลอมบาร์ด กล่าวเสริมว่า “เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ บลจ. เอ็กซ์สปริง เพื่อส่งมอบการวิเคราะห์และกลยุทธ์การลงทุนระดับโลกให้กับ บลจ.เอ็กซ์สปริงในการให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้นักลงทุนของ บลจ. เอ็กซ์สปริง สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของตลาดทุนได้อย่างมั่นใจและมีข้อมูลที่พร้อมสำหรับทุกการตัดสินใจ” ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายโอกาสให้กับลูกค้าของ บลจ. เอ็กซ์สปริง ได้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ของกองทุนครอบคลุมทุกมิติ เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในทุกสภาวะของตลาด [PR News]

สถานการณ์แนวโน้ม ราคาน้ำมันวันที่ 25 - 29 พ.ย. 67

สถานการณ์แนวโน้ม ราคาน้ำมันวันที่ 25 - 29 พ.ย. 67

          หุ้นวิชั่น - จากสถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 18 – 22 พ.ย. 67 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 25 - 29 พ.ย. 67 ตารางราคาน้ำมันเฉลี่ยรายสัปดาห์ [เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ] ตลาดจับตาสงครามรัสเซีย-ยูเครนเสี่ยงยกระดับเป็นสงครามโลก หลังสหรัฐฯ และอังกฤษอนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธ วันที่ 23 พ.ย. 67 รมว.กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส นาย Jean-Noël Barrot แถลงอนุญาตให้ยูเครนสามารถใช้ขีปนาวุธ SCALP-EG ของฝรั่งเศส (ระยะการยิง 500 กม.) โจมตีรัสเซียเพื่อป้องกันตัว หลังรัฐบาลสหรัฐฯอนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธ Army Tactical Missile System (ATACMS) ซึ่งมีระยะการยิง 300 กม. และรัฐบาลอังกฤษอนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธ Strom Shadow ซึ่งมีระยะการยิง 250 กม. วันที่ 21 พ.ย. 67 ประธานาธิบดีรัสเซีย นาย Vladimir Putin แถลงว่ารัสเซียตอบโต้ยูเครนด้วยขีปนาวุธ Oreshnik ซึ่งเป็นขีปนาวุธพิสัยปานกลาง (Intermediate-Range Ballistic Missile - IRBM) ระยะการยิง 3,000 – 5,500 กม. โจมตีเมือง Dnipro ประเทศยูเครน นอกจากนี้ นาย Putin กล่าวตักเตือนชาติตะวันตกว่าการอนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธของชาติตะวันตกนั้นจะถือว่าเป็นคู่ขัดแย้งกับรัสเซียโดยตรง และอาจทำให้สงครามระดับภูมิภาคขยายเป็นสงครามโลก วันที่ 20 พ.ย. 67 ธนาคารแห่งชาติของจีน(People's Bank of China: PBOC) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้าชั้นดี (Loan Prime Rate: LPR) ระยะเวลา 1 ปีอยู่ที่ 1% และ 5 ปีอยู่ที่ 3.6% วาณิชธนกิจ Goldman Sachs คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ Brent เฉลี่ยปี 2568 อยู่ที่ 76 เหรียญต่อบาร์เรล (คงเดิมจากคาดการณ์ในเดือน ต.ค. 67) โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 70-85 เหรียญต่อบาร์เรล หลังคาดว่าอุปทานน้ำมันดิบโลกในปี 2568 มากกว่าอุปสงค์ (Surplus) อยู่ที่ 400,000 บาร์เรลต่อวัน

KSS ราคาน้ำมันมีสัญญาณบวก การบิน ก่อสร้าง โรงไฟฟ้า รับอานิสงส์

KSS ราคาน้ำมันมีสัญญาณบวก การบิน ก่อสร้าง โรงไฟฟ้า รับอานิสงส์

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาดน้ำมันดิบ Brent -2.87% d-d ปิดที่ USD 73.01/barrel, น้ำมันดิบ West Texas -3.23%d-d ปิดที่ USD 68.94/barrel แรงกดดันมาจากตลาดคลายกังวลความตึงเครียดในตะวันออกลางมีสัญญาณบวก ล่าสุด เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหรัฐอเมริกา เผยใกล้ว่า อิสราเอลใกล้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anticommodity อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO กลุ่มสายการบิน AAV กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC

สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบ-เบนซินสูงกว่าคาด

สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบ-เบนซินสูงกว่าคาด

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) น้ำมันดิบ Brent -0.29%d-d ปิดที่ USD 73.1/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.71%d-d ปิดที่ USD 68.75/barrel รับสหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด ผสานกับสถานการณ์รัสเซีย - ยูเครนไม่ได้มีความรุนแรงใหม่

ดีเดย์ “กองทรัสต์ WHAIR”  เปิดให้ผู้ถือหน่วยเดิมจองซื้อ

ดีเดย์ “กองทรัสต์ WHAIR” เปิดให้ผู้ถือหน่วยเดิมจองซื้อ

          ตอกย้ำการเป็นกองรีทกลุ่มอุตสาหกรรม สำหรับทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล “WHAIR”  ชูความโดดเด่นและศักยภาพในทรัพย์สินหลักที่จะลงทุนเพิ่มเติม ครั้งที่ 5 มูลค่ารวมประมาณ 1,064.75 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group บนพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นทำเลของจุดยุทธศาสตร์หลักสำหรับอุตสาหกรรมและการผลิตของประเทศ เสริมด้วยปัจจัยบวกจากการย้ายฐานการผลิต และ การเติบโตของ FDI ในพื้นที่โซน EEC  สะท้อนถึงอัตราการเช่าพื้นที่ของทรัพย์สินที่ WHAIR ลงทุนในปัจจุบันและทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้งานนี้ “นางสาวจารุชา สติมานนท์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ WHAIR ออกมาประกาศว่า ประมาณการอัตราเงินจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนปีแรก (Dividend Yield) ภายหลังการลงทุนเพิ่มเติม ในครั้งนี้ สูงถึง 8.33%  พร้อมทั้งยังผลักดันให้กองทรัสต์มีมูลค่าทรัพย์สินรวมสูงกว่า 14,000 ล้านบาท           ทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 18 – 22 พฤศจิกายน 2567 โดย จองซื้อที่ราคาเสนอขายสูงสุด 6.60 บาทต่อหน่วย ผ่านธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)  ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 26 – 28 พฤศจิกายน 2567 ผ่าน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ที่ได้รับการแต่งตั้ง ได้แก่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด โดยจองซื้อที่ราคาเสนอขายสุดท้าย (ซึ่งจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง)           และยังแอบกระซิบว่า ในช่วงนี้ที่ดัชนีราคาของ Property Fund & REIT เริ่มทยอยปรับตัวขึ้นยิ่งเป็นจังหวะที่ดี ในการมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ  WHAIR  กองรีทที่มีผลงานคุณภาพดีให้ผลตอบแทน จากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ได้ยินแบบนี้แล้วหากนักลงทุนพลาดการลงทุนกองรีทที่มีคุณภาพในช่วงดอกเบี้ยขาลง บอกได้คำเดียวว่าตกขบวนการลงทุนแน่นอน

หุ้นไทยรับ 6 DRx ใหม่ อ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ เทรด 18 พ.ย.นี้

หุ้นไทยรับ 6 DRx ใหม่ อ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ เทรด 18 พ.ย.นี้

          ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับจดทะเบียน DRx 6 หลักทรัพย์ใหม่อ้างอิงหุ้นสหรัฐฯ “AMD80X” “AVGO80X” “ESTEE80X” “MA80X” “NIKE80X” และ “VISA80X” ออกโดยธนาคารกรุงไทย เริ่มซื้อขาย 18 พ.ย. นี้           DRx จำนวน 6 หลักทรัพย์ใหม่อ้างอิงหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สำคัญในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ “AMD80X” อ้างอิงหุ้น Advanced Micro Devices Inc (AMD) บริษัทผู้ผลิต semiconductors เช่น CPU และ GPU สำหรับคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์เกม “AVGO80X” อ้างอิงหุ้น Broadcom Inc (AVGO) ผู้นำในตลาด semiconductors เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเครือข่ายและการสื่อสาร “ESTEE80X” อ้างอิงหุ้น Estee Lauder Companies, Inc. (EL) บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์บำรุงผม และน้ำหอม แบรนด์ภายใต้บริษัท อาทิ Estee Lauder, Jo Malone, La Mer และ Tom Ford Beauty “MA80X” อ้างอิงหุ้น Mastercard Incorporated (MA) ผู้นำในตลาดการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตทั่วโลก “NIKE80X” อ้างอิงหุ้น Nike Inc. (NKE) บริษัทผู้ผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์กีฬา เช่น รองเท้า เสื้อผ้า และอุปกรณ์ต่าง ๆ “VISA80X” อ้างอิงหุ้น Visa Inc. (V) ผู้นำในตลาดการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตทั่วโลก           ทั้งนี้ DRx ใหม่ทั้ง 6 หลักทรัพย์จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป           DRx เป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) ประเภทหนึ่งที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินบาท ผู้สนใจศึกษารายละเอียด DRx ได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) www.krungthai.com หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DRx เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com

บลจ.เอ็กซ์สปริง เปิดตัวกองทุน X-PEGINFRA-UI  เสนอขาย 1 ถึง 29 พ.ย.67 ลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บ.

บลจ.เอ็กซ์สปริง เปิดตัวกองทุน X-PEGINFRA-UI เสนอขาย 1 ถึง 29 พ.ย.67 ลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บ.

          บลจ.เอ็กซ์สปริง เปิดตัวกองทุน X-PEGINFRA-UI ซึ่งเป็นกองทุนเปิดโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกครั้งแรกในประเทศไทย ที่ร่วมมือกับ Macquarie Asset Management ผู้นำด้านการจัดการสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก กองทุนนี้ออกแบบมาเพื่อนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษที่มองหาผลตอบแทนที่มั่นคงและการเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนในระยะยาว โดยเปิดเสนอขายเป็นตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 29 พฤศจิกายน ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ก้าวสำคัญในวิวัฒนาการการลงทุนของไทย สนับสนุนด้วยความเชี่ยวชาญระดับโลก           นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด (XAM) กล่าวว่า "การร่วมมือกับ Macquarie Asset Management เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนไทยเข้าถึงสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญระดับโลกและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว X-PEGINFRA-UI มุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น พลังงานสะอาด การขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สนับสนุนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและมีศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน"           Macquarie Asset Management ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในโครงการนี้ ได้รับการยอมรับในด้านความเชี่ยวชาญในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Macquarie Group สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลกที่มีสำนักงานตั้งอยู่ทั่วโลก และมีประสบการณ์กว่า 30 ปีในการบริหารสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน โดยได้รับมอบความไว้วางใจจากสถาบัน รัฐบาล มูลนิธิ และบุคคลทั่วไปให้บริหารสินทรัพย์มากกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  โอกาสการลงทุนที่มั่นคงท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ           X-PEGINFRA-UI มุ่งเน้นการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอโดยมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นทั่วไป ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น โครงการพลังงานสะอาด การขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ Macquarie Asset Management มีความเชี่ยวชาญในการคัดสรรและบริหารจัดการเพื่อสร้างความมั่นคงสูงสุด โอกาสการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย           X-PEGINFRA-UI เปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษในประเทศไทยมีส่วนร่วมในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่มีความยืดหยุ่นสูง ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินปัจจุบัน การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงจะสามารถเป็นตัวป้องกันเงินเฟ้อและสร้างศักยภาพการเติบโตในระยะยาว           "กองทุนนี้เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนไทยมีส่วนร่วมในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ภายใต้ความเชี่ยวชาญของ Macquarie Asset Management ที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้านการบริหารสินทรัพย์ประเภทดังกล่าว" นายยศกร กล่าวเพิ่มเติม           X-PEGINFRA-UI เปิดเสนอขายตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 29 พฤศจิกายน 2567 ด้วยการลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท นักลงทุนที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.xspringam.com หรือติดต่อ XSpring Asset Management ที่หมายเลข 02-030-3730 และสามารถซื้อผ่านตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุนกองทุนรวม (Selling Agent) ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ชั้นนำทั่วประเทศ           คำเตือน: กองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนนี้ในช่วง 3 ปี 3 เดือน ดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ กองทุน X-PEGINFRA-UI ไม่ถูกจำกัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไป และมีการลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกและกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนระดับสูงได้เท่านั้น               ในเอกสารฉบับนี้ Macquarie Bank Limited ABN 46 008 583 542 (“Macquarie Bank”) มีสถานะเป็นสถาบันรับฝากเงินที่ได้รับอนุญาตตามวัตถุประสงค์ของ Banking Act ค.ศ. 1959 (ประเทศออสเตรเลีย) โดยหน่วยงานอื่นภายใต้ Macquarie Group มิได้มีสถานะเป็นสถาบันรับฝากเงินในลักษณะดังกล่าว  ทั้งนี้ ภาระผูกพันของหน่วยงานอื่นภายใต้ Macquarie Group มิได้ถือเป็นเงินฝากหรือภาระหนี้สินของ Macquarie Bank และ Macquarie Bank มิได้รับรองหรือให้การรับประกันเกี่ยวกับภาระผูกพันของหน่วยงานอื่นภายใต้ Macquarie Group  นอกจากนี้ หากเอกสารฉบับนี้มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุน (1) ผู้ลงทุนอาจได้รับความเสี่ยงด้านการลงทุน (investment risk) ซึ่งรวมถึงความล่าช้าในการชำระเงินลงทุนคืน และการสูญเสียผลกำไรหรือเงินต้น และ (2) Macquarie Bank หรือหน่วยงานอื่นภายใต้ Macquarie Group มิได้รับประกันอัตราผลตอบแทนหรือผลการดำเนินงานในการลงทุน และมิได้รับประกันการชำระคืนเงินต้นสำหรับการลงทุนดังกล่าว           โปรดทราบว่า เอกสารฉบับนี้มิได้จัดทำหรือรับรองโดย Macquarie หรือหน่วยงานอื่นภายใต้ Macquarie Group เอกสารฉบับนี้จัดทำโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการกองทุนเปิดเอ็กซ์สปริง ไพรเวทอิควิตี้ โครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย

คริปโตหลังเลือกตั้ง จุดเปลี่ยนการเงินโลกยุคใหม่

คริปโตหลังเลือกตั้ง จุดเปลี่ยนการเงินโลกยุคใหม่

           การทะยานขึ้นของราคาบิทคอยน์สู่ระดับสูงสุดใหม่ที่เกินระดับ 88,000 ดอลลาร์หลังการเลือกตั้งขั้นต้นในสหรัฐฯ ไม่เพียงสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินโลก ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนทางการเมืองและนโยบายที่กำลังส่งผลกระทบในวงกว้าง จุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายและการยอมรับ            "การเคลื่อนไหวของตลาดในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของราคา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะกำหนดอนาคตของระบบการเงินโลก เราเห็นการหลอมรวมระหว่างการเงินแบบดั้งเดิมและดิจิทัลที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากนโยบายและการยอมรับในระดับสถาบัน"            การปรับเปลี่ยนทีมงานด้านนโยบายคริปโตของทรัมป์ล่าสุด สะท้อนวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนต่ออนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัล "การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ส่งสัญญาณถึงการยอมรับบทบาทของคริปโตในระดับนโยบาย เราคาดว่าจะเห็นการพัฒนากรอบกฎหมายและกฎระเบียบที่เอื้อต่อนวัตกรรมมากขึ้น โดยยังคงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองนักลงทุนและเสถียรภาพของระบบ" การเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศการเงิน            การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังรวมถึงการปรับตัวครั้งใหญ่ของสถาบันการเงินทั่วโลก "เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นในระบบนิเวศการเงิน สถาบันการเงินกำลังปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น"            การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในภาคการเงิน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระบบการเงินโดยรวม ผลกระทบต่อตลาดทุนโลก            การเปลี่ยนแปลงของตลาดคริปโตกำลังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อโครงสร้างตลาดทุนโลก การทะยานขึ้นของราคาบิทคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ราคา แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในระบบการเงินโลก "เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งในพฤติกรรมของนักลงทุนสถาบัน ที่เริ่มมองคริปโตเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตการลงทุนระยะยาว"            ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน เราเห็นการเติบโตของเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ETF ที่อิงกับสินทรัพย์ดิจิทัล การพัฒนาตราสารอนุพันธ์ และผลิตภัณฑ์ structured products ที่ผสมผสานระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิม "นวัตกรรมทางการเงินเหล่านี้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและประสิทธิภาพของตลาด" อนาคตของตลาดการเงินดิจิทัล            การบูรณาการระหว่างตลาดการเงินแบบดั้งเดิมและดิจิทัลกำลังเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการชำระเงิน และการบริหารความเสี่ยง สถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลกกำลังลงทุนอย่างมหาศาลในเทคโนโลยีบล็อกเชนและระบบดิจิทัล เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล            "อนาคตของตลาดทุนจะเป็นการผสมผสานระหว่างระบบดั้งเดิมและดิจิทัลอย่างไร้รอยต่อ" การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการจัดสรรเงินทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่อาจได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ง่ายขึ้น การลดต้นทุนธุรกรรม และการเพิ่มประสิทธิภาพในการระดมทุน บทสรุป: จุดเปลี่ยนของระบบการเงินโลก            การทะยานขึ้นของราคาคริปโตหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นมากกว่าปรากฏการณ์ทางตลาด แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินโลก การผสมผสานระหว่างนโยบายที่เอื้อประโยชน์ การยอมรับจากสถาบัน และการพัฒนาเทคโนโลยี กำลังสร้างรากฐานสำหรับระบบการเงินยุคใหม่            "เรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ การเติบโตของตลาดคริปโตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของราคา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในวิธีที่เราจัดการและเข้าถึงบริการทางการเงิน การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจโลก และจะกำหนดอนาคตของระบบการเงินในทศวรรษหน้า" โดย คุณนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กัลฟ์ ไบแนนซ์

บลจ.ดาโอ เปิดขายกองทุน DAOL-TAIWANEQ รับการโตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไต้หวัน

บลจ.ดาโอ เปิดขายกองทุน DAOL-TAIWANEQ รับการโตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไต้หวัน

          “บลจ.ดาโอ” ชี้ เศรษฐกิจไต้หวันโดดเด่นจากอุตสาหรรมเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ที่มีส่วนสำคัญใน Supply Chain ของโลก หนุนกำไรตลาดเติบโต เป็นจังหวะลงทุน เปิดขาย ‘กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้ (DAOL-TAIWANEQ)’ 14-20 พฤศจิกายน 2567  โอกาสสร้างรับผลตอบแทนจาก Mega Trends ใน AI”           คุณมนชญา รัชตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด หรือ บลจ.ดาโอ (DAOL INVESTMENT MANAGEMENT) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไต้หวันยังเติบโตได้ดี โดยธนาคารกลางไต้หวันคาดการณ์การเติบโตของ Real GDP ในปี 2024 อยู่ที่ 3.82% เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน และคาดการณ์ปี 2025 จะเติบโตที่ 3.08% ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว (GDP per Capita) ของไต้หวันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าจะแซงหน้าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ภายในปีนี้           ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไต้หวัน จะมาจากการพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้มีศักยภาพในการประมวลผลที่สูงขึ้น และการเติบโตอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่คาดว่า จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 5.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 เป็นมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 โดยมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ 5-6% ซึ่งไต้หวันมีส่วนแบ่งตลาดระดับโลกในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ด้านการผลิตชิป (Foundry) อยู่สูงถึง 78%, และมากกว่า 50% ในด้านการบรรจุและทดสอบชิป (IC Packaging and Testing) และมากกว่า 20% ในด้านการออกแบบชิป (IC Design)           นอกจากนี้ ไต้หวันยังมีการลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์มากกว่า 7.16 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาความสามารถในการประมวลผลของชิปให้สูงขึ้น โดยโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เป็นบริษัทของไต้หวันนั้น คือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company Limited (TSMC) ผู้ผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลก และเป็นผู้นำตลาดด้านการผลิตชิปขั้นสูง โดยปัจจุบัน TSMC เป็นเพียงบริษัทเดียวของโลกที่สามารถผลิตชิปขนาดเล็กที่สุด 3 nm และยังมีแผนการพัฒนาที่จะผลิตชิป 2 nm ภายในปี 2025 ซึ่งจะทำให้มีความสามารถในการทิ้งห่างคู่แข่ง และยากที่จะเลียนแบบได้           นอกจากนั้น ไต้หวันยังมีบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์  ซึ่งเป็นที่ต้องการในกลุ่มอุปกรณ์สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ขณะที่เทรนด์ของเทคโนโลยี อย่างช่น Internet of Things ,5G , AI และรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) จะยังคงสนับสนุนแนวโน้มการเติบโตนี้ต่อไป           ด้านภาคการส่งออกของไต้หวัน ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไอที ยังเป็นสินค้าส่งออกหลัก ซึ่งกว่า 40% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด เป็นสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ที่ไต้หวันส่งออกให้คู่ค้าหลักอย่างจีน สหรัฐอเมริกา และประเทศในกลุ่มอาเซียน ส่งผลบวกต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในระยะยาว และส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไต้หวัน           ด้วยเศรษฐกิจไต้หวันที่ยังมีความสามารถในเติบโตสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไต้หวันมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี TWSE มีผลกำไรที่โดดเด่นถึง 35% แซงหน้าตลาดหุ้นหลักในเอเชียทั้งหมด และทำผลงานได้ดีกว่า S&P500 และ Nasdaq 100 ของสหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน           บลจ.ดาโอ มองเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นไต้หวัน จึงขอแนะนำ กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้ (DAOL-TAIWANEQ) เปิดเสนอขายวันที่ วันที่ 14-20 พฤศจิกายน 2567 (ความเสี่ยงระดับ 6 : ความเสี่ยงสูง) ลงทุนตรงผ่าน iShares MSCI Taiwan ETF (EWT US) ซึ่งเป็น ETF บนตลาด NYSE ARCA ที่บริหารโดย BlackRock, Inc. บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลกและเป็นผู้นำในตลาด ETF มายาวนานกว่า 20 ปี กองทุนมีการลงทุนตามดัชนี MSCI Taiwan 25/50 ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางหลากหลายกลุ่มธุรกิจตามการเติบโตของเศรษฐกิจไต้หวัน รายชื่อหุ้นบริษัทชั้นนำที่ลงทุน 1.)TAIWAN SEMICONDUCTOR MANUFACTURING 2.)HON HAI PRECISION INDUSTRY LTD 3.)MEDIATEK INC 4.)FUBON FINANCIAL HOLDING LTD 5.)QUANTA COMPUTER INC 6.)DELTA ELECTRONICS INC 7.)CTBC FINANCIAL HOLDING LTD 8.)CATHAY FINANCIAL HOLDING LTD 9.)UNITED MICRO ELECTRONICS CORP 10.)ASE TECHNOLOGY HOLDING LTD           “ด้วยกลยุทธ์แบบ Full Replication เพื่อให้พอร์ตลงทุนออกมาใกล้เคียงกับดัชนีที่สุด ทำให้กองทุน iShares MSCI Taiwan ETF ทำผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 36.51% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 5.87% ย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 16.36% และย้อนหลัง 10 ปีอยู่ที่ 11.19% (ข้อมูล BlackRock ณ วันที่ 30 กันยายน 2567)”           ปัจจุบันราคาของตลาดหุ้นไต้หวันมีความน่าสนใจ ด้วย Forward PE ของตลาดไต้หวันอยู่ที่ระดับ 17 เท่า ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอินเดีย ขณะที่กำไรปี 2024 และ 2025 มีแนวโน้มเติบโตดี จากเศรษฐกิจไต้หวันที่ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งคาดว่า จะเติบโตมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 ‘กองทุนเปิด ดาโอ ไต้หวัน อิควิตี้’ จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนที่เป็น Mega Trends ใน AI ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 90% ในชิปขั้นสูง” คุณมนชญา กล่าว           สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมพร้อมรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนดาโอ จำกัด (บลจ.ดาโอ) โทรศัพท์ 02-351-1800 กด 2 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อหน่วยลงทุน ของ บลจ. ดาโอ  คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เนื่องจากกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้  ที่มา Asian Development Outlook (ADO) September 2024 IMF as of August 2024 WSTS (Historical and 2024 Forecast Data), A&M (Projection), as of September 2024 Chip shortages: a 5nm European fab is not the answer’, Yole Group, as of September 2024 Taiwan International Trade Administration, as of September 2024 Bloomberg, as of 15 August 2024 [PR News]

ICHI ฟันกำไร 357.3 ลบ. พร้อมปันผล 0.60 บาทต่อหุ้น

ICHI ฟันกำไร 357.3 ลบ. พร้อมปันผล 0.60 บาทต่อหุ้น

          หุ้นวิชั่น - นางอิง ภาสกรนที  รองกรรมการผู้อำนวยการ  บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI แจ้งรายได้ ไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,141.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.3 ล้านบาท หรือเท่ากับ 3.1% จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,076.6 ล้านบาท โดยยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น 6.5% จากการเติบโตของกลุ่มตลาดชาพร้อมดื่ม ชาสมุนไพรและน้ำด่าง ส่วนยอดขายต่างประเทศลดลง 36.0% เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาท และปัญหากำลังซื้อภายในของประเทศคู่ค้า สำหรับรายได้จากการขายงวด 9 เดือนปี 2567 และ ปี 2566 เท่ากับ 6,586.3 ล้านบาท และ 5,938.9 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 647.4 ล้านบาท หรือเท่ากับ 10.9% โดยยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น 14.2% จากการเติบโตของกลุ่มตลาดชาพร้อมดื่ม ชาสมุนไพร และน้ำด่าง ส่วนยอดขายต่างประเทศลดลง 23.3% เนื่องจากการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตสินค้า OEM เพื่อส่งออกในไตรมาส 2 การแข็งค่าของเงินบาทในไตรมาส 3 และปัญหากำลังซื้อภายในของประเทศคู่ค้า ต้นทุนขาย           ต้นทุนขายของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 เท่ากับ 1,591.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนต้นทุนขายต่อรายได้จากการขายเท่ากับ 74.3% โดยต้นทุนขายในงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 1,554.0 ล้านบาทหรือคิดเป็น 74.8% ของรายได้จากการขาย บริษัทฯ มีอัตราส่วนต้นทุนขายลดลงเล็กน้อย สำหรับต้นทุนขายงวด 9 เดือนปี 2567 และ ปี 2566 เท่ากับ 4,868.8 ล้านบาท และ 4,569.6 ล้านบาทตามลำดับ หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้จากการขาย 73.9% และ 76.9% ตามลำดับ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนต้นทุนขายลดลงจากการผลิตสินค้าที่มากขึ้นตามความต้องการของตลาด (Economy of Scale) การปรับสูตรการลดน้ำตาลในบางกลุ่มผลิตภัณฑ์ และราคาวัตถุดิบกลุ่มบรรจุภัณฑ์ปรับตัวลดลง ค่าใช้จ่ายในการบริหาร           ค่าใช้จ่ายในการบริหารของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 และ ไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 42.0 ล้านบาท และ 35.8 ล้านบาทตามลำดับ โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อยอดขาย เท่ากับ 2.0% และ 1.7% ตามลำดับ ค่าใช้จ่ายในการบริหารมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สำหรับงวด 9 เดือนของปี 2567 และ ปี 2566 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการบริหาร เท่ากับ 148.7 ล้านบาท และ 119.0 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.3% และ 2.0% ของรายได้จากการขายตามลำดับ ค่าใช้จ่ายในการบริหารมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ต้นทุนทางการเงิน           ต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ ไตรมาส 3/2567 และไตรมาส 3/2566 มีจำนวน 0.4 ล้านบาท และ 0.5 ล้านบาท ตามลำดับ ต้นทุนทางการเงินเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย           สำหรับต้นทุนทางการเงินงวด 9 เดือนปี 2567 และปี 2566 มีจำนวน 1.2 ล้านบาท และ 1.4 ล้านบาทตามลำดับ ต้นทุนทางการเงินเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า           ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 และ ไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 0.9 ล้านบาท และ 1.6 ล้านบาท ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนลดลง 0.7 ล้านบาท เนื่องจากมีการใช้งบสื่อสารทางการตลาด           สำหรับงวด 9 เดือนของ ปี 2567 และปี 2566 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าของบริษัทฯ เท่ากับ 13.7 ล้านบาท และ 12.1 ล้านบาท โดยส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาท เนื่องจากการควบคุมค่าใช้จ่ายทางการตลาด การปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ กำไรสุทธิ           กำไรสุทธิของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 และ ไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 357.3 ล้านบาท และ 328.0 ล้านบาท หรือ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิของรายได้จากการขาย เท่ากับ 16.7% และ 15.8% ตามลำดับ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 29.3 ล้านบาท หรือเท่ากับ 8.9%           สำหรับกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 เท่ากับ 1,099.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 16.7% กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่เท่ากับ 805.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 13.6% ของรายได้จากการขาย กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 294.6 ล้านบาทหรือเท่ากับ 36.6%           ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีการอนุมัติการจ่ายเงินปันผล อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.60 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) : 22 พ.ย. 2567 และวันที่จ่ายปันผล 06 ธ.ค. 2567           บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ขอเรียนให้ทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ได้มีมติอนุมัติให้เลิกกิจการ บริษัท อิชิตัน เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางตรงในสัดส่วนร้อยละ 100 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป และจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนเลิกกิจการและชำระบัญชีให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดต่อไป โดยการเลิกกิจการของบริษัทย่อยดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของบริษัทฯ แต่อย่างใด เนื่องจากปัจจุบันบริษัทย่อยดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว

กองทรัสต์ KTBSTMR เตรียมจ่ายผลตอบแทน Q3/67 ย้ำสินทรัพย์คุณภาพแข็งแกร่ง

กองทรัสต์ KTBSTMR เตรียมจ่ายผลตอบแทน Q3/67 ย้ำสินทรัพย์คุณภาพแข็งแกร่ง

           นายพลสิทธิ ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดาโอ รีท แมเนจเมนท์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ‘DAOL REIT’  ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์  เปิดเผยว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เคทีบีเอสที มิกซ์ หรือ ‘KTBSTMR’ ได้พิจารณาจ่ายประโยชน์ตอบแทนไตรมาสที่ 3 ปี 2567 สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 – 30 กันยายน 2567 ในอัตรา 0.1760 บาทต่อหน่วยทรัสต์ เป็นเงินประมาณ 53.06 ล้านบาท หรือ คิดเป็นอัตราเงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนแบบปรับปรุงเต็มปี (Annualized) ที่ประมาณ 7.0%/1 เมื่อเทียบกับราคาพาร์ (ที่ 10.00 บาท/หน่วย) และคิดเป็นประมาณ 10.53%/2 เมื่อเทียบกับราคาตลาด (ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ที่ 6.65 บาท/หน่วย)            โดยการจ่ายผลตอบแทนไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ยังสะท้อนถึงการบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้ DAOL REIT กำหนดจ่ายประโยชน์ตอบแทนในวันที่ 6 ธันวาคม 2567 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหน่วยที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ตอบแทน (Record Date) ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567            ทั้งนี้ ทรัพย์สินทุกโครงการมีผลประกอบการที่ดีสม่ำเสมอ ส่งผลให้กองทรัสต์มีรายได้สูง แม้ว่าปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในอัตราที่สูง โดยเมื่อพิจารณาข้อมูลในส่วนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทรัสต์ล่าสุด (ณ วันที่ 30 กันยายน 2567) จะมีมูลค่าต่อหน่วยถึง 10.3389 บาท ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้จัดการกองทรัสต์ มีแผนการเข้าลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสรรหาทรัพย์สินที่มีศักภาพในการเติบโตของรายได้  เพื่อสร้างกระแสรายได้ของกองทรัสต์ให้สูงขึ้น และมีการเน้นพัฒนาโครงการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม  โดยมีการเริ่มติดตั้งการใช้พลังงานทดแทน อย่างการติดตั้งระบบ Solar energy ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการของกองทรัสต์            “ด้วยการบริหารที่คำนึงถึงคุณภาพ เนื่องจากทรัพย์สินมีศักยภาพสูงมีโอกาสในการเติบโตของรายได้จากการประกอบกิจการที่สูงขึ้น จึงมีการดูแลทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ เพื่อเน้นจุดเด่นของ KTBSTMR ในการกระจายความเสี่ยง ทั้งทางด้านความหลากหลายของประเภททรัพย์สิน  ทำเลที่ตั้งของโครงการ และการกระจายตัวของประเภทอุตสาหกรรม รวมถึงขนาดพื้นที่ของทรัพย์สินด้วย”  นายพลสิทธิ กล่าวว่า            ปัจจุบัน KTBSTMR เป็นกองทรัสต์อิสระแบบผสม ปัจจุบันมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวมกว่า 3,765 ล้านบาท มีนโยบายกระจายการลงทุนในทรัพย์สินหลากหลายประเภท ได้แก่ คลังสินค้า (Warehouse) โรงงาน (Factory) อาคารสำนักงาน (Office) ศูนย์การค้าประเภทคอมมูนิตี้มอลล์ (Community Mall)  และ ศูนย์รับฝากข้อมูล (Data Center) เป็นต้น            ในด้านการจัดหาทรัพย์สินเพื่อการลงทุนในอนาคต ทาง DAOL REIT  ได้มีการสรรหาและคัดกรองทรัพย์สินที่มีศักยภาพเพื่อเตรียมความพร้อมในการลงทุนเพิ่มของกองทรัสต์อยู่ตลอดเวลา  และ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้แก่เจ้าของทรัพย์สินในการนำโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภท อาคารคลังสินค้า / โรงงาน  อาคารศูนย์การค้า  อาคารสำนักงาน  อาคารศูนย์รับฝากข้อมูล(ดาต้าเซ็นเตอร์) โรงแรมทั้งในกรุงเทพหรือต่างจังหวัด หรือ โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ  ในการนำเสนอให้แก่กองทรัสต์พิจารณาเข้าลงทุน เจ้าของทรัพย์สินสามารถนำส่งข้อมูลเบื้องต้น เพื่อให้บริษัทฯ ได้พิจารณาข้อมูลและนำเสนอโอกาสในการลงทุนที่เหมาะสมแก่เจ้าของทรัพย์สินได้  โดยเจ้าของทรัพย์สินสามารถศึกษารายละเอียดและนำส่งข้อมูลได้เว็บไซด์ของกองทรัสต์ที่ www.ktbstmr.com  หรือ email : [email protected] หรือ ติดต่อผ่าน DAOL Contact Center 02-351-1800 กด 3เมื่อทาง DAOL REIT ได้รับข้อมูลแล้วจะรีบติดต่อไปยังเจ้าของทรัพย์สินเพื่อประสานงานกันต่อไป ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจกองทรัสต์ KTBSTMR เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สำหรับผู้ที่สนใจกองทรัสต์ KTBSTMR สามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซด์ของกองทรัสต์ที่ www.ktbstmr.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม จากบริษัท ดาโอ รีท แมเนจเมนท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผ่าน DAOL Contact Center 02-351-1800 กด 3 หมายเหตุ /1 อัตราเงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนปรับปรุงให้เต็มปี = (เงินจ่ายประโยชน์ตอบแทน/ราคาพาร์) x (366/92) /2 อัตราเงินจ่ายประโยชน์ตอบแทนปรับปรุงให้เต็มปี = (เงินจ่ายประโยชน์ตอบแทน/ราคาปิดตลาด ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567) x (366/92) คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน

Webull โบรกฯแรกในไทย เปิดซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ

Webull โบรกฯแรกในไทย เปิดซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ

          บริษัทหลักทรัพย์ วีบูลล์ (ประเทศไทย) จำกัด (Webull Thailand) บริษัทในเครือของ Webull Corporation เจ้าของแพลตฟอร์มการซื้อขายหลักทรัพย์ชั้นนำในสหรัฐฯ ประกาศตัวเป็นโบรกเกอร์รายแรกในประเทศไทยที่ให้บริการซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ การเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ใหม่นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Webull เพิ่งเปิดตัวบริการซื้อขายออปชันดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นโบรกเกอร์รายแรกในประเทศไทยที่ให้บริการดังกล่าว ความสำเร็จครั้งนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดโบรกเกอร์ในประเทศในการขยายโอกาสการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ให้แก่นักลงทุนชาวไทย ตอบรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนรายย่อย เทคโนโลยีทางการเงินที่ทันสมัยได้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทย ทำให้นักลงทุนรายย่อยไทยมีความเชี่ยวชาญจนเกิดความต้องการในการเข้าถึงตลาดการลงทุนระดับโลกมากขึ้น           จากประสบการณ์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศเพื่อนบ้านของบริษัทในเครือ Webull ทำให้ Webull Thailand สามารถเปิดให้บริการซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ ให้นักลงทุนในประเทศได้ นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีอยู่ของ Webull Thailand การเพิ่มบริการซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลราคา Options Price Reporting Authority ("OPRA") และข้อมูล Cboe Global Indices Feed ("CGIF") ได้แบบเรียลไทม์ พร้อมเครื่องมือซื้อขายครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Options Chain ที่แสดงข้อมูลอย่างครบถ้วน การวิเคราะห์สถิติของออปชันแต่ละตัว รวมถึงการวิเคราะห์ความน่าจะเป็นของราคาหุ้นอ้างอิง โดยเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารจัดการการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งในตอนที่หุ้นและดัชนีหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในสภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง รวมถึงการต่อยอดการบริหารความเสี่ยงเพื่อยกระดับการจัดพอร์ตลงทุนและผลตอบแทน นักลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายออปชันหุ้นสหรัฐฯ ได้หลากหลายรูปแบบบนแพลตฟอร์ม Webull ทั้ง Market Orders, Limit Orders, Stop Orders, Stop-Limit Orders และ Take-Profit Stop Orders           ในเดือนแรกของการเปิดให้บริการ Webull Thailand มอบสิทธิพิเศษให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ฟรีโดยไม่มีค่าคอมมิชชัน การเปิดให้บริการซื้อขายออปชันดัชนีหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นสหรัฐฯ ของ Webull Thailand จะช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รวมถึงมอบเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการกระจายกลยุทธ์การลงทุน บริหารความเสี่ยง และสร้างโอกาสในการลงทุนทางเลือก นักลงทุนที่มองหาวิธีลดความเสี่ยงสำหรับพอร์ตการลงทุนที่มีอยู่สามารถใช้ประโยชน์จากออปชันดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ที่เพิ่งเปิดให้บริการบนแพลตฟอร์ม Webull เครื่องมือดังกล่าวยังช่วยเพิ่มศักยภาพของเงินลงทุนด้วยการเพิ่มอัตราทด ทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนในมูลค่าที่สูงขึ้นด้วยเงินลงทุนที่น้อยกว่า ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนไทยที่ลงทุนในตลาดสหรัฐฯ มีโอกาสทำกำไรและขาดทุนในระดับที่สูงขึ้น           นายชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Webull Thailand กล่าวว่า “ความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ Webull เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราก้าวขึ้นมาเป็นโบรกเกอร์รายแรกในไทยที่ให้บริการออปชันหุ้นสหรัฐฯ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยมีเครื่องมือเพิ่มเติมในการกระจายพอร์ตการลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์หุ้นสหรัฐฯ ที่มีอยู่ของเรา นอกจากนี้ ด้วยประสบการณ์และกลยุทธ์ทางการตลาดของเรา เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและฟีเชอร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อให้นักลงทุนได้รับประโยชน์สูงสุดจากตลาดทุนและเครื่องมือการลงทุนระดับโลก” โดยการนำเสนอบริการใหม่ครั้งนี้ Webull มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำธุรกิจโบรกเกอร์ของประเทศไทยด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ทันสมัย ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนไทยโดยเฉพาะ ทั้งนี้ Webull Thailand ได้พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อมอบประสบการณ์การลงทุนแบบไร้รอยต่อและน่าใช้งาน พร้อมเสริมจุดแข็งที่มีอยู่เดิมของแพลตฟอร์ม ทั้งบริการดูแลลูกค้าคนไทยตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ อัตราค่าธรรมเนียมที่คุ้มค่าและมีความโปร่งใส ระบบการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลราคาแบบเรียลไทม์ รวมถึงความสะดวกในการเข้าถึงจากหลากหลายแพลตฟอร์ม           มุมมองและการวิเคราะห์ตลาดจากนายชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Webull Thailand นายชลเดช กล่าวว่า “ในช่วงที่ FED เพิ่งประกาศปรับลดดอกเบี้ย รวมถึงความผันผวนในตลาดทั้งสหรัฐฯ และเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ การเปิดให้บริการออปชันหุ้นสหรัฐฯ ในไทยจึงถือว่ามาในจังหวะที่เหมาะสม เพราะออปชันเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในตลาดที่ผันผวน ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถทำกำไรได้จากการเคลื่อนไหวขึ้นลงของราคา ไม่ว่าทิศทางตลาดจะเป็นอย่างไรก็ตาม”           “การที่ FED ตัดสินใจลดดอกเบี้ยครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อความคาดหวังในการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตลอดจนราคาของออปชันระยะยาว ดังนั้น ออปชันหุ้นสหรัฐฯ จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนทางเลือกสำหรับนักลงทุน”           ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับออปชันดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ของ Webull Thailand ได้ที่: https://www.webull.co.th/ [PR News]

ส่องเลือกตั้งสหรัฐฯ จัดพอร์ตหุ้นรับมืออย่างไร?

ส่องเลือกตั้งสหรัฐฯ จัดพอร์ตหุ้นรับมืออย่างไร?

          ถ้าทรัมป์ชนะเลือกตั้งตามโพล           หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักผันผวนก่อนการเลือกตั้ง แต่ปีนี้ S&P 500 ปรับตัวขึ้น 3.6% ในเดือนกันยายน-ตุลาคม ซึ่งแตกต่างจากค่าเฉลี่ย -4.2% ในช่วง 28 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง เช่น การลอบสังหารทรัมป์และการถอนตัวของไบเดน โอกาสชนะของทรัมป์เพิ่มขึ้นจากการใช้แคมเปญที่เน้นประเด็นฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดภาษี และสร้างงาน โดยโพลล์ Real Clear Politics ชี้ทรัมป์นำแฮร์ริส หากพรรครีพับลิกันครองทั้งสองสภา (Republican Sweep) จะเพิ่มโอกาสในการผ่านนโยบายสำคัญของทรัมป์ได้ง่ายขึ้น นโยบายการลดภาษี (TCJA) ลงเหลือ 15% นั้น แม้จะสามารถยื่นร่วมกับการอนุมัติงบประมาณในรูปแบบที่เรียกว่า budget reconciliation ซึ่งกระบวนการนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ถูก filibuster ในวุฒิสภา อย่างไรก็ตาม การผ่านกฎหมายดังกล่าวยังต้องการเสียงโหวตเกินกึ่งหนึ่ง จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีวุฒิสมาชิกรีพับลิกันสายกลาง (moderate Republican senators) จะลังเลหรือไม่สนับสนุนการลดภาษี TCJA เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่สูงเกินกว่า 100% ของ GDP รวมทั้งการขาดดุลงบประมาณถึง 6% ของ GDP ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับสมัยแรกของทรัมป์ที่ขาดดุลเพียง 3.4% อันสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงทางการคลังที่สูงขึ้น ทำให้การผ่านกฎหมายอาจมีความไม่แนนอนในประเด็ตดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน ส่วนนโยบาย Trump 2.0 ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เร็วกว่าก็คือ นโยบายเพิ่มภาษีนำเข้า เพราะเป็นอำนาจของประธานาธิบดี (หากไม่ขัดมาตรา 232 และ 301) ดังนั้น หากมีผลบังคับใช้ ก็จะสร้างความผันผวนต่อตลาดคล้ายกับปี 2018 จากการประเมินปัจจัยต่างๆ ทั้งความเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ การขยายตัวของสงครามในตะวันออกกลาง รวมถึงการตอบสนองของนักลงทุนต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เป็นที่ชัดเจนว่าปี 2025 อาจไม่ใช่ปีที่ราบรื่นสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในอดีต เหตุการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงการเปลี่ยนผ่านของนโยบายรัฐบาลมักสร้างความผันผวนให้กับตลาด ตัวอย่างเช่นในปี 2018 ยุค Trump 1.0 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนมากจากปัญหาสงครามทางการค้ากับจีน แม้ว่าในช่วงดังกล่าวนโยบายลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจะมีผลบังคับใช้แล้วก็ตาม ผลกระทบของนโยบายทรัมป์ต่อเศรษฐกิจไทย           สำหรับผลกระทบต่อการค้าไทย เรามองว่าหากมี Trade war ระลอกใหม่เกิดขึ้นจริง ก็น่าจะส่งผลกระทบกับกับสินค้าส่งออกไทย 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์ และกลุ่มที่เสียประโยชน์ ดังต่อไปนี้ กลุ่มที่เสียประโยชน์: แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มย่อย ได้แก่ กลุ่มสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานจีน ได้แก่ สินค้าขั้นต้นและขั้นกลางในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มเกษตร เช่น ส่วนประกอบแผงวงจรพิมพ์ และน้ำยางข้น เป็นต้น อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน สัดส่วนการส่งออกสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไปจีนลดลงเหลือเพียง 7% ขณะที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 36% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าดังกล่าวทั้งหมด เท่ากับว่าลดการพึ่งพิงการส่งออกไปยังจีนค่อนข้างมากแล้ว ทำให้ผลกระทบน่าจะน้อยกว่าการขึ้นภาษีในครั้งก่อน ส่วนการส่งออกยางพารา เรามองว่าไทยอาจจะได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากไทยส่งออกยางพาราไปจีนคิดเป็นสัดส่วนถึง 39% ของมูลค่าการส่งออกยางพาราไทยทั้งหมด กลุ่ม Price-sensitive products เช่น ข้าว รวมถึงผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการแข่งขันสูงในตลาดโลก โดยไทยมีความเสียเปรียบด้านต้นทุน ซึ่งหากสหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้ากับทุกสินค้ากับทุกประเทศ ก็น่าจะส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยในกลุ่มดังกล่าว กลุ่มที่ได้ประโยชน์: สินค้าไทยที่มีโอกาสเข้าไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ถุงมือยาง ยางรถยนต์ ไปจนถึงหลอดและท่อยาง ซึ่งในส่วนนี้ไทยมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันเหนือประเทศคู่แข่ง เนื่องจากมีแหล่งวัตถุดิบยางพาราในประเทศ ส่วนอีกกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์ คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นปลาย ซึ่งประกอบด้วยคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ โดยเฉพาะในส่วนของ HDD รวมถึง Semiconductor และ IC ทั้งนี้ แนวโน้มการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ยังมีทิศทางเติบโตที่ดี โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึง 12% ต่อปี (CAGR ในช่วงปี 2023-2033) อันเป็นผลมาจากความต้องการในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเรายังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าทุกประเภทจากทุกประเทศว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เนื่องจากอาจไม่สอดคล้องกับมาตรา 232 และ 301 ดังนี้ มาตรา 232 – กฎหมายนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ มาตรา 301 – ให้อำนาจประธานาธิบดีในการตอบโต้ประเทศที่มีการกระทำการค้าที่ยุติธรรม เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา           การใช้มาตรการภายใต้กฎหมายทั้งสองนี้ควรมีเหตุผลสนับสนุน และไม่ควรดำเนินการในลักษณะครอบคลุมแบบหว่านแห ดังนั้น ในทางปฏิบัติ การขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าทุกประเภทและทุกประเทศจึงอาจไม่ไปไกลถึงจุดนั้น ส่งผลให้ผลกระทบต่อการค้าไทยจากประเด็นนี้อาจไม่รุนแรงเท่าที่กังวล ผลกระทบต่อตลาดหุ้น           ตลาดหุ้นทั่วโลกมักปรับตัวขึ้นหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่รอบนี้อาจต่างออกไป เนื่องจากข้อมูลการเลือกตั้งสหรัฐฯ 4 ครั้งในอดีต ระหว่างปี 2004-2016 ชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วง 1-3 เดือนหลังจากนั้น (Post-election rally) โดยมีแรงหนุนจากความคาดหวังต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยแวดล้อมพบว่าจาก 3 ใน 4 ครั้งที่ตลาดปรับตัวขึ้นนั้น เศรษฐกิจโลกอยู่ในวงจร mid cycle ในขณะที่อีก 1 ครั้ง คือในช่วงปี 2008 ที่เศรษฐกิจถดถอย ตลาดกลับให้ผลตอบแทนติดลบ           ข้อสังเกตดังกล่าวทำให้เห็นว่าวงจรเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรนำมาพิจารณาร่วมเพื่อประเมินแนวโน้มผลตอบแทนภายหลังการเลือกตั้ง ด้วยเหตุนี้ การเลือกตั้งปี 2024 จึงอาจให้ผลต่างออกไปจากค่าเฉลี่ยทางสถิติเรื่อง post-election rally เนื่องจากวงจรเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ใน late cycle และมีแนวโน้มชะลอตัว ประกอบกับความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นโลกรอบนี้มีแนวโน้มผันผวนและอาจให้ผลตอบแทนติดลบในช่วง 3 เดือนหลังการเลือกตั้ง           สำหรับตลาดหุ้นไทย ในกรณีที่แฮร์ริสได้รับชัยชนะ แนวนโยบายส่วนใหญ่คงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันมากนัก จึงทำให้ไม่ต้องประเมินผลกระทบต่างไปจากเส้นทางเดิมมากนัก อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ มีดังต่อไปนี้ กลุ่มบวกที่ดำเนินธุรกิจในไทย จากโอกาสของการส่งออกสินค้าทดแทนจีน หรือการย้ายฐานการผลิต ได้แก่ กลุ่มถุงมือยาง: STGT อิเล็กทรอนิกส์: DELTA กลุ่มนิคมฯ: WHA, AMATA กลุ่มโรงไฟฟ้าในนิคมฯ: WHAUP กลุ่มบวกที่ดำเนินธุรกิจในเวียดนาม จะได้ประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนในเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูง และได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต กลุ่มค้าปลีก: BJC, CRC (การบริโภคในเวียดนามมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับภาคการส่งออก เพราะได้รับค่าแรงและการจ้างงานมากขึ้น) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง: SCGD กลุ่มนิคมฯ: WHA, AMATA

[Vision Exclusive] จัดพอร์ตการลงทุนแบบ VI กระจายความเสี่ยงหุ้นโลก

[Vision Exclusive] จัดพอร์ตการลงทุนแบบ VI กระจายความเสี่ยงหุ้นโลก

          "นายสุธน สิงหสิทธางกูร นักลงทุนนักเน้นคุณค่าหรือ VI  แนะการกระจายลงทุนต่างประเทศช่วยเพิ่มโอกาสและลดความเสี่ยง ปัจจุบันพอร์ตเป็นการลงทุนจีนกว่า 70% พร้อมย้ำจัดประชุมนักวิเคราะห์ ควรเป็นออนไลน์ทุกคนฟังได้ ช่วยเสริมความโปร่งใส ปกป้องสิทธิ์นักลงทุนรายย่อย"           นายสุธน สิงหสิทธางกูร นักลงทุนเน้นคุณค่า(VI) และกรรมการ สมาคมนักลงทุนประเทศไทย เปิดเผยว่า สำหรับการปัจจุบันได้กระจายการลงทุนไปต่างประเทศในสัดส่วนถึง 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นการลงทุนในประเทศ แม้จะมองว่าในประเทศไทยยังมีโอกาสลงทุนอยู่บ้าง แต่ยอมรับว่าอัพไซด์ของหุ้นในประเทศมีจำกัด เนื่องจากตลาดไม่ได้เผชิญวิกฤตใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นอย่างมาก นอกจากนี้ นักลงทุน VI ในไทยยังมีทักษะและความรู้สูง ทำการบ้านอย่างรอบคอบ ส่งผลให้หุ้นที่มีอัพไซด์สูงเริ่มหายากมากขึ้น นักลงทุนจึงต้องพิจารณาและศึกษาหุ้นอย่างละเอียด           ส่วนพอร์ตการลงทุนต่างประเทศ นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยในการกระจายความเสี่ยง โดยปัจจุบัน ตนเองนั้นได้มีการลงทุนในต่างประเทศหลายประเทศ แต่ประเทศหลักที่เข้าไปลงทุนอย่างจีน และเวียดนามก็สร้างผลตอบแทนได้ดี อย่างในจีน มีการเข้าทยอยลงทุนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และมีการเลือกลงทุนหุ้นหลายตัว ยกตัวอย่างคือ Tencent Music Entertainment Group หรือ TME เป็นบริษัทด้านดนตรีและบันเทิงชั้นนำของจีนที่อยู่ภายใต้เครือ Tencent ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ของประเทศ  ผลตอบแทนที่ผ่านมาทำได้เกินเท่าตัว มองว่าบริษัทในประเทศจีน ส่วนใหญ่เป็นบริษัทระดับ Global มีโอกาสเติบโตได้อีก ทั้งนี้ หุ้นในจีนที่ปรับตัวลดลงในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา กลับมีอัพไซด์สูงขึ้น ทำให้เกิดโอกาสในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน แต่การพิจารณาหุ้นในภาวะวิกฤตต้องมีความรอบคอบ หากเป็นวิกฤตชั่วคราวอาจเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน แต่ต้องมั่นใจว่าไม่ใช่วิกฤตยาวนานซึ่งอาจกลายเป็นความเสี่ยงระยะยาว ทั้งนี้ การลงทุนในประเทศจีนในพอร์ตปัจจุบันของนักลงทุนรายนี้อยู่ที่ 70%           นอกจากนี้แนะนำให้ผู้ลงทุนศึกษาและกระจายธุรกิจในพอร์ตให้หลากหลายมากขึ้น โดยการขยายการลงทุนไปยังหลายประเทศ เพื่อมองเห็นภาพรวมของตลาดในมุมกว้างและค้นหาโอกาสทางธุรกิจที่จะเติบโตในอนาคต หรือเรียกว่าจะเป็น “ยานทิพย์” ที่ช่วยให้เห็นภาพอนาคตของอุตสาหกรรมและสนับสนุนการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีศักยภาพ  โดยการรู้จักหุ้นในหลายอุตสาหกรรมและตลาดต่างประเทศเป็น “S-curve” ที่ช่วยเพิ่มโอกาสและสร้างความมั่นใจในพอร์ตการลงทุนได้มากขึ้น โดยการศึกษาความหลากหลายจะช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการเลือกหุ้นที่มีศักยภาพสูงและเป็นฐานการเติบโตที่มั่นคง           การลงทุนในหุ้น IPO ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากหุ้น IPO หลายตัวอาจมีการตั้งราคาขายที่สูงและมีพรีเมียมเพิ่มเข้ามาแล้ว ทำให้หุ้นบางตัวอาจไม่ได้มีราคาถูกอย่างที่คาดหวัง นักลงทุนที่สนใจควรตระหนักถึงข้อจำกัดด้านผลตอบแทน และพิจารณาความคุ้มค่าอย่างรอบคอบ โดยควรคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากมีส่วนที่เสียเปรียบในการลงทุน           สำหรับประเด็นเรื่อง การประชุมนักวิเคราะห์ โดยมองว่าอยากจะเสนอแนวทางการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน โดยแนะนำให้การประชุมนักวิเคราะห์จัดในรูปแบบออนไลน์เพื่อให้ผู้ลงทุนทุกรายได้ฟังข้อมูลพร้อมกัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูลและสร้างความโปร่งใส โดยการดำเนินการลักษณะนี้มีอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งช่วยปกป้องสิทธิ์ของนักลงทุนรายย่อย และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ติดตามการถามตอบข้อมูลเชิงลึกจากนักวิเคราะห์ที่เข้าร่วมประชุม           ส่วนเรื่องที่มีการพูดว่านักลงทุนวีไอ ก็มีการเข้าไป "การเยี่ยมชมบริษัท" (Company visit) โดยชี้ว่าการเยี่ยมชมของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) มักมุ่งเน้นศึกษาศักยภาพการเติบโตระยะยาวของบริษัทมากกว่าข้อมูลระยะสั้น ซึ่งแตกต่างจากการประชุมนักวิเคราะห์ที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในระยะสั้นมากกว่า ทั้งนี้ได้เข้าหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อสะท้อนความกังวลในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลของนักลงทุนรายย่อย รายงานโดย: ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว สำนักข่าว Hoonvision

คริปโตฯ ปลอดภัยหรือไม่?

คริปโตฯ ปลอดภัยหรือไม่?

          เข้าใจความปลอดภัยของคริปโตเคอร์เรนซี: ทำไมการตรวจสอบย้อนกลับจึงสำคัญสำหรับทุกคน? โดย ดร. กร พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และผู้อำนวยการโครงการ Binance TH Academy บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด "คริปโตฯ เอาไว้ฟอกเงิน?" "เงินดิจิทัลติดตามไม่ได้?"           เป็นคำพูดที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ในสังคมไทย แต่ความจริงแล้วเป็นอย่างไร? ในฐานะผู้ที่ทำงานทั้งด้านการศึกษาและกลยุทธ์ในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรงในประเทศไทย ผมพบเจอความเชื่อผิด ๆ นี้อยู่บ่อยครั้ง ตรงกันข้าม ธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีไม่เพียงสามารถติดตามได้ แต่ยังมีความโปร่งใสมากกว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิมเสียอีก ทำความเข้าใจง่าย ๆ เรื่องการตรวจสอบในบล็อกเชน           ลองเปรียบเทียบง่าย ๆ นะครับ ถ้าเราจ่ายเงินสดซื้อของในตลาด เราจะติดตามเงินนั้นได้ยากมาก แต่การใช้คริปโตฯ เหมือนกับการโอนเงินผ่านพร้อมเพย์ที่มีการเก็บประวัติทุกรายการ แต่เพิ่มความพิเศษตรงที่ทุกคนสามารถตรวจสอบได้ เหมือนกับมีสำเนาสมุดบัญชีที่โปร่งใสและแก้ไขไม่ได้ ที่ Binance TH ระบบนี้ช่วยป้องกันการทุจริตได้ดีกว่าระบบเดิม ๆ เสียอีก เทคโนโลยีบล็อกเชนจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น ความปลอดภัยในบริบทประเทศไทยที่เห็นชัดเจน           ความโปร่งใสของบล็อกเชนตอบโจทย์อีกหนึ่งความกังวลที่พบบ่อย นั่นคือเรื่องความปลอดภัย ทุกธุรกรรมบนเครือข่ายคริปโตเคอร์เรนซี เหรียญยอดนิยมอย่าง Bitcoin และ Ethereum ถูกบันทึกถาวร สามารถตรวจสอบได้โดยสาธารณะ และไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ กลไกนี้สร้างความสามารถในการติดตามบน Chain ที่ไม่มีวันถูกทำลาย ซึ่งเหนือชั้นกว่าระบบการเงินทั่วไป           รายงานอาชญากรรมคริปโตล่าสุดจาก Chainalysis (2024) เผยว่าธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีที่ผิดกฎหมายมีเพียง 0.24% ของปริมาณธุรกรรมคริปโตทั้งหมด การวิเคราะห์บล็อกเชนสมัยใหม่สามารถติดตามรูปแบบการทำธุรกรรมได้อย่างแม่นยำ ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีกลายเป็นตัวเลือกที่ไม่เข้าท่าสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ประเทศไทยกับการพัฒนาไปข้างหน้า           ประเทศไทยถือว่าเป็นผู้นำในภูมิภาคเรื่องการกำกับดูแลคริปโตฯ ก.ล.ต. ของเราออกกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ทำให้ผู้ลงทุนไทยได้รับการคุ้มครองที่ดี เทียบเท่าการลงทุนในตลาดหุ้น จากรายงานการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยว่าปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดคริปโตฯ ไทยมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 100,000 ล้านบาท โดยทุกธุรกรรมต้องผ่านการตรวจสอบตัวตน (KYC) เหมือนกับการเปิดบัญชีธนาคาร ทำให้ปลอดภัยกว่าการซื้อขายในตลาดต่างประเทศที่ไม่มีใบอนุญาต ทำให้สามารถติดตามธุรกรรมได้ 100%           แนวทางและข้อกำหนดในการขอใบอนุญาตที่ชัดเจนของ ก.ล.ต. ไทย ส่งผลให้ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนบนกระดานเทรดในประเทศต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ทั้งนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รายงานว่าปีที่ผ่านมา สามารถติดตามธุรกรรมต้องสงสัยได้ถึง 95% นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าระบบคริปโตฯ ไม่ได้เอื้อต่อการทำผิดกฎหมายอย่างที่หลายคนเข้าใจ มองไปข้างหน้า           เทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว รายงานสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2567 ของ World Economic Forum คาดว่าภายในปี 2569 ประสิทธิภาพการตรวจจับธุรกรรมผิดปกติจะพัฒนาขึ้นอีก 300% เมื่อเครื่องมือเหล่านี้พัฒนาขึ้น เราเห็นการเพิ่มขีดความสามารถในการจดจำรูปแบบ การติดตามแบบเรียลไทม์ และโมเดลการประเมินความเสี่ยงขั้นสูง การศึกษาคือกุญแจสำคัญของคนไทย           จากการสำรวจล่าสุดของสมาคมฟินเทคประเทศไทย พบว่า 73% ของนักลงทุนคริปโตชาวไทยระบุว่า ความปลอดภัยและความสามารถในการติดตามตรวจสอบเป็นปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งในการเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขาย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นในผู้ใช้งานในตลาดของเรา ที่ Binance TH Academy เราจึงเน้นการให้ความรู้แบบเข้าใจง่าย ใช้ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนไทย สรุป           ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนมุมมองเรื่องคริปโตฯ จากความกลัวและความไม่เข้าใจ มาสู่การเรียนรู้และใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง ด้วยกฎระเบียบที่รัดกุมและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาค [PR News]

ก.ล.ต. เตือนประชาชนระวังมิจฉาชีพหลอกลงทุน

ก.ล.ต. เตือนประชาชนระวังมิจฉาชีพหลอกลงทุน

          วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2567 | ฉบับที่ 218 / 2567           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งเตือนประชาชนและผู้ลงทุนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพหลอกลวง แอบอ้างเป็นผู้ประกอบธุรกิจชักชวนให้ลงทุน สร้างความเสียหายเป็นมูลค่าสูง พร้อมแนะนำ 3 ข้อสังเกตระมัดระวังก่อนลงทุน           จากสถานการณ์ปัจจุบันพบว่า ภัยหลอกลวงลงทุนได้สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนเป็นมูลค่าสูงมาก และมักมาพร้อมกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์อย่างแนบเนียน จนทำให้ผู้ถูกชักชวนหลงเข้าใจผิดว่าเป็นการชักชวนโดยบุคคลหรือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต ทั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จากสถิติการดำเนินการของ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแส ก.ล.ต. ได้รับแจ้งเบาะแส รวมทั้งสิ้น 3,451 ครั้ง โดยมีบัญชีโซเชียลมีเดียเข้าข่ายหลอกลงทุนที่ประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อปิดกั้น จำนวน 1,877 บัญชี โดยได้ปิดกั้นไปแล้วร้อยละ 99 และส่วนที่เหลือเป็นการให้คำปรึกษาในเรื่องการหลอกลงทุนกรณีอื่น ๆ           สำหรับพฤติการณ์หลอกลวงที่พบในระยะนี้ เช่น มิจฉาชีพมักยิงโฆษณาในพื้นที่โฆษณาของแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เหมือนกับบริษัททั่วไปที่จะยิงโฆษณาเพื่อกระตุ้นการซื้อในสินค้าหรือบริการ โดยภาพและข้อความของโฆษณามักแอบอ้างชื่อ/โลโก้ของบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เพื่อให้ประชาชนหลงเข้าใจผิดและคิดว่าเป็นโฆษณาของบริษัทที่อ้างมา พร้อมด้วยข้อความเชิญชวนให้เข้ากลุ่มสนทนาเพื่อรับฟังข้อมูลการลงทุน อาทิ การซื้อขาย Big Lot และเมื่อเข้ากลุ่มมาแล้วหากแสดงความสนใจ มิจฉาชีพจะเข้ามาคุยกับผู้ที่สนใจเป็นการส่วนตัว และโน้มน้าวให้ลงทุนพร้อมกับจัดส่งลิงก์หน้าเว็บไซต์จริงของบริษัทที่นำไปแอบอ้าง เมื่อถึงขั้นตอนการโอนเงินเพื่อเปิดบัญชีซื้อขาย จะส่งลิงก์เว็บไซต์ปลอมและบัญชีธนาคาร (ของเครือข่ายมิจฉาชีพทั้งที่เป็นชื่อบุคคลธรรมดาและนิติบุคล) ที่ไม่ใช่ชื่อของบริษัทที่นำมาใช้แอบอ้าง           นอกจากนี้ ยังพบว่า มีการหลอกลวงที่แนบเนียบขึ้น โดยมิจฉาชีพจะส่งเลขบัญชีโอนเงินที่เป็นชื่อของบริษัทที่นำมาแอบอ้างเพื่อเปิดบัญชีซื้อขายให้กับผู้ที่สนใจ แต่หลังจากนั้นการโอนเงินเพื่อซื้อในครั้งถัด ๆ ไป จะลวงให้โอนเงินค่าซื้อเข้าบัญชีอื่น (ของเครือข่ายมิจฉาชีพทั้งที่เป็นชื่อของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ที่ไม่ใช่ชื่อของบริษัทที่นำมาใช้แอบอ้าง           ก.ล.ต. จึงแจ้งเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวังในการรับข้อมูลชักชวนให้ลงทุน โดยฉพาะผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย อย่าหลงเชื่อเมื่อพบความผิดปกติ และควรตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยมีจุดสังเกต 3 ข้อควรระวังก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนี้ (1) หากถูกทักส่วนตัวและชักชวนลงทุนในช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น ส่งข้อความในไลน์ส่วนตัว หรือกล่องข้อความส่วนตัวในเฟซบุ๊ก (Messenger) ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นมิจฉาชีพ เพราะผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตส่วนใหญ่มักไม่ชักชวนลงทุนในลักษณะส่วนตัวผ่านโซเชียลมีเดีย (2) หากถูกชักชวนโดยอ้างชื่อ/ภาพของบุคคลใดก็ตามในข้อความโฆษณา ให้สงสัยไว้ก่อนและสอบถามด้วยตัวเองกับบริษัทที่ถูกอ้างชื่อว่า มีบุคคลนั้นเป็นบุคคลากรทำหน้าที่ผู้แนะนำการลงทุนอยู่ในบริษัทจริงหรือไม่ เพราะมิจฉาชีพมักจะแอบอ้างเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือหรือมีชื่อเสียง รวมทั้งต้องตรวจเช็กด้วยว่าบริษัทนั้น ๆ เป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ และ (3) ก่อนโอนเงินชำระค่าเปิดบัญชีซื้อขายหรือค่าซื้อต้องตรวจดูชื่อบัญชีธนาคารปลายทางก่อนโอนทุกครั้งว่า เป็นชื่อบัญชีของบริษัทที่ประสงค์จะลงทุนจริงหรือไม่           นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก ก.ล.ต. กล่าวว่า “ภัยหลอกลวงลงทุนถือเป็นภัยร้ายแรงที่ส่งผลกระทบทางลบต่อประชาชน อีกทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมของประเทศ ซึ่ง ก.ล.ต. ถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องภายใต้มาตรการ “ป้อง ปราม ปราบ” ในการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องการเงินการลงทุน รวมทั้งสามารถป้องกันตนเองจากภัยหลอกลงทุน นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการป้องปรามอีกด้วย เช่น การปิดกั้นแพล็ตฟอร์มหลอกลงทุน เป็นต้น เพื่อยับยั้งหรือจำกัดความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนไม่ให้ขยายออกวงออกไปให้มากทึ่สุด”           ทั้งนี้ หากสงสัย สามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัท บุคคล ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th/seccheckfirst หรือที่แอปพลิเคชัน “SEC Check First” และหากพบเบาะแสเกี่ยวกับการดำเนินการที่น่าสงสัย หรือสงสัยว่าถูกชักชวนหลอกลงทุน โทรขอคำปรึกษาหรือแจ้งเบาะแสได้ที่ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” โทร. 1207 กด 22 หรือ เฟซบุ๊กเพจ “สำนักงาน กลต.” หรือ SEC Live Chat ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต.