6หุ้น! ขวัญใจต่างชาติ

           หุ้นวิชั่น – บทวิเคราะห์ J.P. Morgan ปรับลดเป้าหมาย SET Index ของไทยลงเหลือ 1,200 จุด จากแนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรที่ต่ำกว่าคาด ทั้งนี้ J.P. Morgan ยังคงมีมุมมองระมัดระวังต่อหุ้นไทย แม้จะมีการฟื้นตัวระยะสั้นหลังจากสหรัฐฯ และไทยพักสงครามภาษีชั่วคราว 90 วันก็ตาม   ปัจจัยหลักที่กดดันคือ สภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ท้าทายมาก ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนและการหดตัวของมูลค่าหุ้นในอนาคตอันใกล้ (ที่มา-บล.บัวหลวง)

           วันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจากไทย 36% ซึ่งสูงเป็นอันดับสองในกลุ่ม ASEAN-6 คาดว่า จะกระทบภาคการผลิตของไทยอย่างมีนัยสำคัญ และอาจลามไปสู่เศรษฐกิจในวงกว้าง J.P. Morgan ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2025 ของไทยเหลือ 1% เนื่องจากความเชื่อมั่นทางธุรกิจโลกที่ลดลง ฉุดดีมานด์ภายนอกและอาจส่งผลกระทบต่อดีมานด์ในประเทศ

           ทิศทางตลาดหุ้นไทยใน 2–3 เดือนข้างหน้า ขึ้นอยู่กับการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ และการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าระดับโลก  J.P. Morgan คาดว่า การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2025 ของไทยอาจต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 11% โดยมีสาเหตุหลักจากการชะลอตัวของดีมานด์ภายนอก และแนวโน้มกำไรของกลุ่มน้ำมันและก๊าซที่อ่อนแอ

           ด้วยเหตุนี้ J.P. Morgan จึงปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ลงจาก 1,500 เหลือ 1,200 จุด และ MSCI Thailand Index จาก 500 เหลือ 410 จุด

           หุ้นและกลุ่มอุตสาหกรรมที่ J.P. Morgan ชื่นชอบในภาวะไม่แน่นอนนี้ ได้แก่: 6 หลักทรัพย์ ดังนี้  โทรคมนาคม: ADVANCE, TRUE  -สาธารณสุข: BDMS  -สินค้าอุปโภคบริโภค: CPALL  – ธนาคาร: KTB -สาธารณูปโภค: GULF

           แม้ว่าการหยุดพักสงครามภาษีจะช่วยลดความเสี่ยง “gray swan” (เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงแต่มีความน่าจะเป็นพอสมควร) ลงเล็กน้อย แต่ข้อมูลล่าสุดยังคงสะท้อนความกังวลในตลาด กลุ่มอุตสาหกรรม, โทรคมนาคม, สินค้าอุปโภคบริโภค และสาธารณูปโภค มักจะทำผลงานได้ดีในช่วงเศรษฐกิจผันผวน

           แต่ครั้งนี้ J.P. Morgan เตือนว่าหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและขนส่ง เช่น AOT อาจถูกกระทบมาก เนื่องจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่ยังไม่แข็งแกร่ง   (ที่มา: JPMorgan)

           มาที่ บล. หยวนต้า  พบว่า SET Index มักปรับตัวลงในช่วงครึ่งแรกของเดือนพฤษภาคม และทยอยฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลัง ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน จึงมองว่า ควรเน้นพักเงินในหุ้นที่มี SET ESG Rating สูง เพราะจะได้แรงหนุนจากเม็ดเงินใหม่ของ Thai ESGX ซึ่งจะช่วยจำกัด Downside ได้

           ส่วนช่วงครึ่งหลังของเดือน จากสถิติพบว่า อุตสาหกรรมที่เคลื่อนไหวดีกว่าตลาด ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มที่บริษัทมักให้ Guidance ดี เพราะ 2Q25 เป็นช่วง High Season รวมถึงกลุ่มไฟแนนซ์ที่ได้ปัจจัยหนุนจากทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ กนง.

           “Sell in May and go away” เป็นแนวคิดที่ว่าตลาดหุ้นมักจะมีแรงขายในเดือนพ.ค. ซึ่งในเชิงสถิติ ตลาดหุ้นไทยก็สอดคล้องกับแนวคิดนี้ โดยข้อมูลย้อนหลัง (ไม่รวมช่วง COVID) พบว่าเดือนพ.ค. SET Index มักให้ผลตอบแทน -0.9% ด้วยความน่าจะเป็นที่จะปรับตัวลงถึง 67% ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติที่มักจะขายสุทธิ ตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยสูงถึง 1.1 หมื่นล้านบาท โดยเหตุผลสนับสนุนคือการที่นักลงทุนต่างชาติมักจะนำเงินกลับประเทศหลังจากที่บริษัทจดทะเบียนทยอยขึ้น XD ในช่วงเดือนพ.ค.

มองว่า Downside จำกัด

           การศึกษาความเคลื่อนไหวของดัชนีและกลุ่มอุตสาหกรรมในช่วงเดือนพ.ค. พบว่า การปรับตัวลงในเดือนพ.ค. มักจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของเดือน โดย SET Index ในวันที่ 1-15 พ.ค. เฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา (ไม่รวมช่วง COVID-19) SET Index ให้ผลตอบแทน -1.5% ก่อนจะพลิกกลับมา +0.6% ในช่วงวันที่ 16-31 พ.ค. อย่างไรก็ตามมองว่า แรงขายในช่วงครึ่งเดือนแรกของพ.ค. ในปีนี้จะมี Downside ค่อนข้างจำกัดเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ ตลาดหุ้นไทยถึง 5.6 หมื่นลบ. และยังมีเม็ดเงินใหม่จากกองทุน Thai ESGX เข้ามาชดเชยแรงขายของต่างชาติ

           ครึ่งแรกของเดือนเล็ง 8 หุ้นเก็งกำไร นั่นคือ หุ้นที่ได้ SET ESG Rating ในระดับสูงมีโอกาสจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่า SET Index และน่าจะเป็นที่พักเงินได้ดี เช่น CPALL, GPSC, BEM, GULF, KBANK, KTB, MTC และ THCOM

           ส่วนในช่วงครึ่งหลังของเดือน พ.ค. มองว่ากลุ่มที่มีโอกาสจะกลับมา Outperform โดยอิงจากสถิติในอดีต คือ กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม เป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นเด่น และมีนัยยะสำคัญทางสถิติมากที่สุด โดยปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.8% ด้วยความน่าจะเป็น 89% โดยสำหรับกลุ่มเครื่องดื่ม แม้จะผ่านช่วงหน้าร้อนไปแล้ว แต่บริษัทมักจะให้ Guidance ที่ดีต่อผลประกอบการใน 2Q25 เนื่องจากเป็นช่วง High Season ซึ่งบริษัทที่เรามองว่าแนวโน้มเด่นคือ ICHI และ OSP รวมไปถึงกลุ่มอาหารอย่าง CPF และ BTG

           ตามด้วยกลุ่มไฟแนนซ์ ในเชิงสถิติปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2.1% ด้วยความน่าจะเป็น 67% อีกทั้งปีนี้ยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องของกนง. ในปีนี้จากผลกระทบของสงครามการค้าที่ทำให้เศรษฐกิจซบเซา แนะนำ SAWAD และ MTC

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตลท. จับมือ Nasdaq เสริมศักยภาพ ตลาดทุนไทย ด้วยเทคโนโลยี

ตลท. จับมือ Nasdaq เสริมศักยภาพ ตลาดทุนไทย ด้วยเทคโนโลยี

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.30-33.60 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.30-33.60 บ./ดอลลาร์

เช็กด่วน! 10 หุ้นรับผลเจรจาการค้า

เช็กด่วน! 10 หุ้นรับผลเจรจาการค้า

อุตฯเหล็กไทยไหวมั้ย? เหล็กจีนทะลัก-ภาษีทรัมป์กระหน่ำ

อุตฯเหล็กไทยไหวมั้ย? เหล็กจีนทะลัก-ภาษีทรัมป์กระหน่ำ

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด