หุ้น mai


[Vision Exclusive] PIMO ผลิตมอเตอร์ไฮสปีด  รับออเดอร์สหรัฐฯ ทะลัก!

[Vision Exclusive] PIMO ผลิตมอเตอร์ไฮสปีด รับออเดอร์สหรัฐฯ ทะลัก!

           หุ้นวิชั่น - PIMO เร่งเครื่องผลิตมอเตอร์เต็มกำลัง 100% รับออเดอร์สหรัฐฯ ทะลัก!ด้านผู้บริหาร "วสันต์ อิทธิโรจนกุล" ส่งซิกออเดอร์ถึงเดือนพฤษภาคมโต 5% เดินเกมเจาะตลาด Niche Market ปั๊มมาร์จิ้นเต็มสปีด เกาะติดนโยบายภาษีต่างแดน ปรับเกมรุกฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ            นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO ผู้ประกอบธุรกิจหลักด้านการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ (Air Conditioning Motor), มอเตอร์สำหรับอุตสาหกรรมทั่วไป (Induction Motor), เครื่องสูบน้ำ, ปั๊มหอยโข่ง, มอเตอร์สำหรับสระว่ายน้ำ และมอเตอร์สำหรับปั๊มบ้าน (Submersible Pump, Pool Spa Pump และ Home Pump) เปิดเผยกับทีมข่าว 'หุ้นวิชั่น' ว่า ขณะนี้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากลูกค้าในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2568            โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ออเดอร์เพิ่มขึ้นประมาณ 5% เนื่องจากลูกค้าต้องการหลีกเลี่ยงการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ และรับมือกับการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทได้เร่งเดินเครื่องผลิตเต็มกำลัง 100% เพื่อส่งมอบสินค้าให้ทันตามกำหนด            หลังจากเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป บริษัทจะจับตาทิศทางนโยบายการจัดเก็บภาษีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากลูกค้าสำคัญของ PIMO ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดอเมริกา            สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) มากกว่าการเร่งยอดขาย โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มสินค้าหมุนเวียนและสินค้ามาร์จิ้นสูง (High Margin) อาทิ มอเตอร์ BLDC หรือมอเตอร์ชนิดพิเศษ ซึ่งตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) และมีศักยภาพในการทำกำไรสูงในระยะยาว            นายวสันต์ กล่าวต่อว่า บริษัทคาดการณ์ยอดขายในปี 2568 จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้การจำหน่ายสินค้าในประเทศยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท ยังมีความไม่แน่นอนจากแนวโน้มการเรียกเก็บภาษีนำเข้า บริษัทจึงอยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว            อนึ่งปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ที่ 1,199.14 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 113.56 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

NETBAY ยันระบบนิ่ง! เชื่อมพันธมิตรรายใหม่ไม่กระทบ

NETBAY ยันระบบนิ่ง! เชื่อมพันธมิตรรายใหม่ไม่กระทบ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ว่า นางกอบกาญจนา วีระพงษ์ประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NETBAY แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") มีความประสงค์ที่จะรายงานความคืบหน้าให้ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน รับทราบข้อมูลในภาพรวมเกี่ยวกับการให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ National Single Window (NSW) โดยบริษัทฯ มีการดำเนินการ ดังนี้ ด้านการให้บริการต่อลูกค้า/ผู้ใช้บริการนั้น บริษัทฯ เริ่มดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านผู้ให้บริการเชื่อมโยงข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ (NSW Service Provider : NSP) รายใหม่ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน ตั้งแต่ในวันที่ 1 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยบัดนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันว่าสามารถรองรับการเชื่อมโยงรับ-ส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของลูกค้า/ผู้ใช้บริการทุกรายได้ดังนั้นลูกค้า/ผู้ใช้บริการของบริษัทฯ สามารถใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้นจากการหมดอายุของ Collaborations Protocol Agreement (CPA) บริษัทฯ ขอยืนยันเสถียรภาพและความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ เพื่อส่งมอบบริการที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าและผู้มีอุปการะคุณทุกท่านอย่างดีที่สุดต่อไป

BBIK ผถห.ไฟเขียว แจกปันผล 0.22 บ.

BBIK ผถห.ไฟเขียว แจกปันผล 0.22 บ.

          หุ้นวิชั่น - นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 รับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ของกลุ่มบริษัทฯ โดยมีรายได้จากการดำเนินงานที่ 1,507 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 314 ล้านบาท รวมถึงอนุมัติงบการเงินเฉพาะกิจการและงบการเงินรวม    ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย และจัดสรรกำไรเพื่อเป็นเงินสำรองตามกฎหมายและการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2567           บริษัทฯ เตรียมจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.22 บาทต่อหุ้น จากจำนวนหุ้นทั้งหมดจำนวน 200,015,474 หุ้น หรือคิดเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 44,003,404 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 32 ของกำไรสุทธิของงบเฉพาะกิจการหลังหักสำรองตามกฎหมาย   ในส่วนของกำไรสุทธิที่เหลือจะใช้เพื่อชำระค่าหุ้นงวดสุดท้ายของบริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด และสำรองเงินสดสำหรับเงินทุนหมุนเวียนที่อาจเพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนเป้าหมายเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว รวมถึงรักษาสภาพคล่อง ลดภาระการกู้ยืมเงินและดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน โดยมีการกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 30 เมษายน 2568 และกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 29 เมษายน 2568 พร้อมจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568           นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังเตรียมความพร้อมเพื่อยื่นคำขอย้ายหลักทรัพย์จาก mai ไป SET ตามแผนภายในปีนี้  มั่นใจคุณสมบัติเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้

[Gossip] PANEL เชิญชวนประชุมผถห.

[Gossip] PANEL เชิญชวนประชุมผถห.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ผู้ถือหุ้นเตรียมตัวให้พร้อม!!! บมจ.เพเนเล่ส์มาติก โซลูชั่นส์ (PANEL) ผู้นำด้านระบบประตูห้องผ่าตัด ระบบประตูอัตโนมัติ ผนังบานเลื่อนกันเสียง และห้องเก็บเสียงเคลื่อนที่ เตรียมจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 ในวันพุธที่ 23 เม.ย. 2568 เวลา 14.00 น. ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) และขอเชิญชวนผู้ถือหุ้นเข้าร่วม พิจารณาอนุมัติวาระการจ่ายเงินปันผล สำหรับรอบผลการดำเนินงานปี 2567 ในอัตรา 0.02 บาทต่อหุ้น งานนี้ รอรับทรัพย์เข้ากระเป๋ากันได้ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ อย่าลืมไปใช้สิทธิกันนะคร้าา!!..

abs

มั่นใจ เต็มลิตร ทุกปั๊ม

AUCT คว้างานประมูลทรัพย์สิน ปตท.

AUCT คว้างานประมูลทรัพย์สิน ปตท.

             หุ้นวิชั่น - นายสุธี สมาธิ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.ให้เป็นผู้ดำเนินการประมูลขายทรัพย์สินประเภทลิฟต์โดยสาร ยี่ห้อ MITSUBISHI  ที่รื้อเป็นชิ้นส่วนแล้ว ซึ่งแต่ละตัวสามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 1,600 กิโลกรัม สามารถรองรับการโดยสารได้จำนวน 26 คน เป็นลิฟต์โดยสารมอเตอร์ไฟฟ้าใช้งาน 8 ชั้น ถูกใช้งานมา 15 ปี น้ำหนักรวมชิ้นส่วนตัวละ 10 ตัน จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาลิฟต์โดยสารที่มีคุณภาพและพร้อมใช้งาน           ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมทรัพย์สินได้ในระหว่างวันที่ 21-22 เมษายน 2568 ณ โกดังบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และจะประมูลโดยวิธียื่นซองในวันที่  23 เมษายน 2568 12.00 น. ที่สำนักงานใหญ่ ปตท. ผู้ที่ประมูลได้รับทรัพย์สินได้ในระหว่างวันที่ 26-30 เมษายน 2568 เวลา 9.00-16.00 น. สนใจติดต่อโทรศัพท์ 02-0336555, 081-5656059

AU โค้งแรกโต 38% โกลเบล็ก ให้เป้า 13.50 บ.

AU โค้งแรกโต 38% โกลเบล็ก ให้เป้า 13.50 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง AU ว่า "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 13.50 บาท มีอัพไซต์ 35% ฝ่ายวิเคราะห์มีมมุมองเป็นกลางต่อแนวโน้มไตรมาสแรก แต่มองบวกต่อแนวโน้มทั้งปี 68           • คาดกำไร 1Q68 ราว 75 ล้านบาท +38%YoY -13%QoQ โดยหดตัว QoQ จากผลกระทบของการเข้าสู่ช่วงรอมฎอนในวันที่ 1-31 มี.ค. 68 ซึ่งกระทบต่อสาขาในภาคใต้เป็นหลัก ทั้งจากคนในพื้นที่และชาวมาเลเซีย ส่งผลให้ SSSG ภาพรวมติดลบ 2-3%           อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรยังคงเติบโต YoY จากการจำหน่ายสินค้าในร้าน 7-Eleven ที่เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค. 67 และการเป็นพันธมิตรกับสายการบินไทยซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. 67 แต่คาดว่าแนวโน้ม %GPM จะปรับลดลงสู่ 63.7% (1Q67 = 66.5%, 4Q67 = 64.5%) จากสัดส่วนการขายสินค้าหน้าร้านที่ลดลง แต่มีสัดส่วนรายได้จากร้าน 7-Eleven เพิ่มขึ้น           • ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มกำไร 1Q68 ที่คาดว่าจะอ่อนตัวลง QoQ อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มทั้งปี 2568 จากแผนขยายสาขาร้าน After You เพิ่มอีก 5-6 แห่ง การขยายกำลังการผลิตเพื่อจำหน่ายสินค้าให้ครอบคลุมร้าน 7-Eleven ทุก 15,000 สาขา การวางจำหน่ายสินค้าในร้าน 7-Eleven ในหมวดหมู่ใหม่เพิ่มเติม การเปิดร้าน After You แบบแฟรนไชส์ในต่างประเทศอีก 1-2 แห่ง โดยเราคาดว่ากำไรปี 2568 จะอยู่ที่ราว 327 ล้านบาท +10%YoY และให้ราคาเหมาะสมที่ 13.50 บาท มีอัพไซด์ 35% แนะนำ “ซื้อ”

BKA จ่อเทรด mai 22 เม.ย. บ้านมือสอง มาร์จิ้นสูง! ลุ้นวิ่งแรง!

BKA จ่อเทรด mai 22 เม.ย. บ้านมือสอง มาร์จิ้นสูง! ลุ้นวิ่งแรง!

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA ผู้นำบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ จ่อลงสนามเทรดตลาด mai วันพรุ่งนี้ (22 เม.ย.68) ระดมทุนการขยายพอร์ตธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย พร้อมเปิดแพลตฟอร์ม “Prop Tech” Virtual Reality มิติใหม่ในการเลือกซื้อบ้านเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ ด้านผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัท ประกาศ Lock up หุ้น 87% สร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับนักลงทุน             นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ในวันพรุ่งนี้ (22 เม.ย.2568) ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ว่า “BKA” โดยบริษัทเชื่อมั่นว่าการเข้าซื้อขายในวันพรุ่งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากพื้นฐานทางธุรกิจของ BKA เป็นผู้นำธุรกิจบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ที่มุ่งให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย ในรูปแบบธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขาย อสังหาริมทรัพย์ (ธุรกิจบ้านฝาก) และธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) ที่ได้การยอมรับจากกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ก้าวสู่ “การเป็นที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง”           อีกทั้งฐานะการเงินและกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ณ สิ้นปี 2567อยู่ที่ระดับ 1.15 เท่า ประกอบกับเงินทุนที่ได้รับจากการระดมทุนครั้งนี้ ยิ่งทำให้บริษัทมีฐานทุนที่แข็งแกร่ง และพร้อมต่อยอดเพื่อขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบ้านมือสองที่มีศักยภาพการเติบโตจากสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ในระบบจำนวนมากซึ่งคุ้มค่าต่อการลงทุน รวมถึงการพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ จากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ ยิ่งสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ           “การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกสู่การเป็นบริษัทมหาชนอย่างเต็มตัว รวมถึงยังเป็นการสร้างโอกาสเติบโตให้กับบริษัท ทั้งฐานทุนที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มศักยภาพภาพลักษณ์องค์กร ให้เป็นที่น่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้นด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งทางธุรกิจ ประกอบกับทีมบริหารที่มีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ธุรกิจที่ชัดเจน ยิ่งตอกย้ำว่า BKA มีโอกาสการเติบโตเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมองว่านักลงทุนที่ลงทุนไปพร้อมกับเราในวันนี้ก็จะเติบโตไปพร้อมๆ  กับ BKA เช่นกัน พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน ทางผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัทพร้อมใจกัน Lock-Up ตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมกัน 87% ของทุนชำระแล้วก่อน IPO หรือคิดเป็น 62.14% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO เพื่อเป็นการยืนยันว่าวันที่หุ้นเข้าซื้อขายในกระดานเทรดวันแรกจะไม่มีการเทขายจากกลุ่มนี้ออกมาอย่างแน่นอน”           นางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า หุ้น BKA จะเป็นหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมกว่า 12 ปีและด้วยจุดเด่นของ BKA ที่ดำเนินธุรกิจให้บริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ซึ่งถือเป็นรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉพาะในธุรกิจให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) ที่สามารถสร้างผลตอบแทนสูง จึงทำให้หุ้น BKA ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีตลอดช่วงระยะเวลาที่มีการเสนอขายหุ้น IPO ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับตัวเลขผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 – 2567) สะท้อนถึงรายได้รวม และกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น จากปี 2565 มีรายได้รวม 1,302.92 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21.44 ล้านบาท, ปี 2566 มีรายได้รวม 1,313.59 ล้านบาท กำไรสุทธิ 22.27 ล้านบาท และ ปี 2567 มีรายได้รวม 1,142.46 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 36.82 ล้านบาท ดังนั้นจึงมองว่าหุ้น BKA จะเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สร้างโอกาสการเติบโตเพิ่มขึ้น และมองว่า BKA เป็นหุ้น Growth Stock ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต           นางสาวออมสิน ศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของ บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) เปิดเผยว่า หุ้น BKA เป็นหุ้น IPO ที่มีศักยภาพโดดเด่น มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะทรงตัวแต่ตัวเลขยอดขายบ้านมือสองมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทุกปี สอดคล้องกับดีมานด์บ้านแนวราบที่เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะบ้านในระดับราคา 5-7 ล้านบาท และจากปัจจัยดังกล่าวจึงได้การตอบรับที่ดีจากนักลงทุนผ่านการจองซื้อหุ้นในช่วงที่ผ่านมา และที่สำคัญ Business Model ธุรกิจของ BKA ถือเป็นรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากธุรกิจของ BKA ไม่ใช่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่เป็นธุรกิจการให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย “ธุรกิจบ้านแต่ง” หรือ “Flipping” ซึ่งรูปแบบธุรกิจเป็นการวางเงินประกัน เพื่อปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนซื้อบ้านทั้งหลัง ทำให้บริษัทมีส่วนต่างของผลตอบแทน และมาร์จิ้นสูง เมื่อเทียบกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องลงทุนตั้งแต่การซื้อที่ดินและก่อสร้าง ดังนั้นด้วยศักยภาพและจุดเด่นจึงทำให้หุ้นน้องใหม่ BKA จึงได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุน

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

BKA หุ้นกลุ่มอสังหาฯ เริ่มเทรด mai 22 เม.ย. นี้

BKA หุ้นกลุ่มอสังหาฯ เริ่มเทรด mai 22 เม.ย. นี้

          นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บมจ. บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “BKA” ในวันที่ 22 เมษายน 2568           BKA ดำเนินธุรกิจหลัก 3 ประเภท ได้แก่ บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านแต่ง) เป็นนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หรือรับฝากขายบ้านมือสอง (ธุรกิจบ้านฝาก) และซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) โดยมุ่งเน้นบ้านมือสอง ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ และทาวน์โฮม บริษัทดำเนินธุรกิจบ้านแต่งเป็นหลัก โดยรับฝากขายและปรับปรุงให้มีสภาพใหม่พร้อมอยู่อาศัย มีการออกแบบที่สวยงาม มีคุณภาพ พร้อมรับประกันผลงาน บริษัทมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ณ งวดปี 2567 มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบ้านแต่ง : ธุรกิจบ้านฝาก : ธุรกิจบ้านตัด คิดเป็นร้อยละ 77 : 1 : 22 ตามลำดับ โดยปี 2567 บริษัทขายบ้านได้รวม 254 หลัง แบ่งเป็น บ้านแต่ง บ้านฝาก และบ้านตัดได้ที่ขายได้จำนวน 150 หลัง 71 หลัง และ 33 หลัง ตามลำดับ           BKA มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 105 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 150 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 60 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 45 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 9 ล้านหุ้น กรรมการ และผู้บริหารของบริษัทไม่เกิน 6 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ลงทุนทุกประเภทระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568 ในราคาหุ้นละ 1.80 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 108 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 378 ล้านบาท ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 10 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลประกอบการปี 2567 ซึ่งเท่ากับ 36.82 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.18 บาท โดยมีบริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) เปิดเผยว่า บริษัทยังไม่มีคู่แข่งรายใหญ่ในตลาด เนื่องจากธุรกิจนี้ต้องใช้ ความชำนาญขั้นสูงในการปรับปรุงบ้านเก่าที่ทำได้ยากกว่าสร้างบ้านใหม่ บริษัทมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการปรับปรุงและตกแต่งบ้าน มีช่องทางการเสนอขายบ้านผ่านสื่อออนไลน์   ออฟไลน์ และจัดทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย รวมถึงสามารถให้คำแนะนำในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ดูแลการทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน และมีใบรับประกันหลังการขาย สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อต่อยอดธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสอง และพัฒนาธุรกิจ “Property Technology” ซึ่งเป็น Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์           BKA มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ ครอบครัวธนวงศ์เกษม ถือหุ้น 43.57% นายภัคพล เพ็ชร์แย้ม ถือหุ้น 18.57% และนางสาวจรินทร์ อุณหะกะ ถือหุ้น 5.18% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทฯ หลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย และในข้อบังคับของบริษัท           ผู้ลงทุนและผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียด จากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.bangkokasset.co.th และ www.set.or.th

[Vision Exclusive] เปิดลิสต์หุ้นอรหันต์ mai AU–KLINIQ–JPARK วิน

[Vision Exclusive] เปิดลิสต์หุ้นอรหันต์ mai AU–KLINIQ–JPARK วิน

          หุ้นวิชั่น - โกลเบล็กเปิดชื่อ 3 หุ้นเด่นโค้งแรก ฟอร์มร้อนแรง! กำไรโตสวนกระแส ชูหขนมวาน AU โกยยอดขายเซเว่น บินสูงกับการบินไทย เคาะกำไรพุ่ง 38% หรือ 75 ล้านบาท ฟาก JPARK บุ๊กเงินเมกะโปรเจกต์ที่จอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเต็มไตรมาส ด้าน KLINIQ สยายปีกความงามต่อเนื่อง อัพไซต์สูง 35% ชี้พิกัด 36 บาท           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับทีมข่าว “หุ้นวิชั่น” ว่า ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ออกมาดี โดยมีบริษัทที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU, บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ, และบริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) หรือ JPARK           สำหรับ AU คาดว่ากำไรในไตรมาส 1/2568 จะอยู่ที่ราว 75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 13% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากช่วง รอมฎอน (1–31 มี.ค. 2568) ซึ่งส่งผลต่อสาขาในภาคใต้ ทั้งจากลูกค้าในพื้นที่และนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ทำให้ SSSG ภาพรวมติดลบราว 2–3% อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรยังเติบโตได้จากการจำหน่ายสินค้าในร้าน 7-Eleven ที่เริ่มมาตั้งแต่เดือน ก.ค. 2567 และการเป็น พันธมิตรกับสายการบินไทย ภายใต้สัญญาที่เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. 2567 แม้ว่า อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อาจปรับลดลงสู่ระดับ 63.7% (เทียบกับ 66.5% ใน 1Q67 และ 64.5% ใน 4Q67) เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากหน้าร้านลดลง แต่มีรายได้จาก 7-Eleven เข้ามาทดแทน ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมอง “เป็นกลาง” ต่อแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2568 ที่อ่อนตัวจากไตรมาสก่อน แต่ยังคงมีมุมมอง “เชิงบวก” ต่อแนวโน้มทั้งปี 2568 จาก แผนขยายสาขา After You อีก 5–6 แห่ง การขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการจำหน่ายสินค้าใน 7-Eleven ครอบคลุมครบ 15,000 สาขาทั่วประเทศ การเพิ่มสินค้าใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Categories) ที่วางจำหน่ายใน 7-Eleven การเปิดร้าน After You แบบแฟรนไชส์ในต่างประเทศเพิ่มอีก 1–2 แห่ง คาดว่ากำไรสุทธิของปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY พร้อมประเมินราคาเหมาะสมที่ 13.50 บาท มีอัพไซด์ 35% พร้อมแนะนำ “ซื้อ”           ส่วน JPARK ฝ่ายวิเคราะห์คาดผลประกอบการไตรมาส 1/2568 มีโอกาสเติบโตทั้งจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันกับปีก่อน เนื่องจากจะเริ่มมีการรับรู้รายได้โครงการอาคารที่จอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์อีกกว่า 1 พันตารางเมตร ประกอบกับธุรกิจ PS เริ่มเห็น U-Rate ที่ฟื้นตัวดีขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ประมาณการรายได้ปี 2568 ราว 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +23% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยมีแรงหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการพระนั่งเกล้าเต็มปีเป็นครั้งแรก และธุรกิจ PS มี 1 โครงการใหม่ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรก 2568 ทั้งนี้เราคาดกำไรปกติปี 2568 เท่ากับ 98 ล้านบาท เติบโต +9.9% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสมที่ 5.85 บาท           ขณะที่ KLINIQ คาดการณ์รายได้ไตรมาส 1/2568 จะเติบโตจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่ปรับตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า โดยรายได้เติบโตเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนมาจากการเติบโตของสาขาเดิมและยอดขายสาขาใหม่ ในงวด ไตจรมาส 1/2568 บริษัทเปิดสาขาใหม่ 1 สาขา แบรนด์ L’Clinic ที่ซีคอน ศรีนครินทร์           ขณะที่คาดรายได้ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากฐานรายได้สูงในไตรมาส 4/2567 ที่ผ่านมา จากพฤติกรรมลูกค้าที่ใช้บริการมากในช่วงไตรมาส 4 คาดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น ใกล้เคียงกับในไตรมาส 4/2567 ที่ระดับ 54.0% เนื่องจากมีการเปิดสาขาใหม่เพียง 1 สาขาทำให้ไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่ออัตรากำไรขั้นต้นมากนัก           ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการณ์กำไรปี 2568 ที่ 418 ล้านบาท เติบโต 30% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อนมาจากคาดรายได้ที่ 3,490 ล้านบาท เติบโต 17% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมและรายได้ของสาขาใหม่           ทั้งนี้ปี 2568 ตั้งเป้าเปิด 10 สาขา จากจำนวน 72 สาขาเมื่อสิ้นปี 2567 เพิ่มเป็น 82 สาขาในปี 2568 ขณะที่สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 53.4% ปรับตัวขึ้นจากระดับ 51.7% ในปี 2567 เนื่องจากปี 2567 บริษัทมีการเปิดสาขาใหม่จำนวน 20 สาขา ปิด 3 สาขา การเปิดสาขาจำนวนมากระดับ 20 สาขาทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเตรียมเปิดสาขาเข้ามาก่อนในช่วงแรก ทั้งค่าเช่าที่ ค่าเครื่องมืออุปกรณ์ รวมถึงค่าบุคลากร เป็นต้น           ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมโดยใช้ Prospective PER ที่ 19x เป็นระดับ -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2568 เท่ากับ 1.90 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 2568 เท่ากับ 36.00 บาท โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 15% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 5.5% ต่อปี จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

[Vision Exclusive] SONIC โอกาสทองขนส่งสหรัฐฯ

[Vision Exclusive] SONIC โอกาสทองขนส่งสหรัฐฯ

            หุ้นวิชั่น - SONIC เร่งเครื่องรับดีมานด์ขนส่งพุ่ง! สหรัฐฯ ผ่อนปรนภาษีนำเข้า 90 วัน ดันวอลุ่มทะลัก ลุยหาพื้นที่รองรับเต็มสูบ ด้านพ่อทัพใหญ่ "สันติสุข โฆษิอาภานันท์" พร้อมเสริมทัพด้วยโปรเจกต์ Non-Logistics สุดจี๊ด กำเงินสด 400 ล้าน พร้อมขยายศักยภาพรอบด้าน             ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC เปิดเผยกับทีมข่าว “หุ้นวิชั่น” ว่า จากกรณีที่สหรัฐฯ เคยประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้าสู่สหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงเวลาดังกล่าว             อย่างไรก็ตาม ต่อมาได้ประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษีนำเข้าออกไป ส่งผลให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะเส้นทางสู่สหรัฐฯ กลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ขณะที่หลังเทศกาลสงกรานต์ หรือในช่วง 1–2 เดือนข้างหน้า ปริมาณการขนส่งสินค้าหรือวอลุ่มจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากทางการสหรัฐฯ ได้ผ่อนผันการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการเร่งส่งออกสินค้าเพื่อวางจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของวอลุ่มการขนส่งได้อย่างชัดเจน             ขณะที่แผนการดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทจะพยายามจัดหาพื้นที่สำหรับการขนส่งสินค้าให้เพียงพอกับปริมาณวอลุ่มที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลังสงกรานต์ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ แนวโน้มค่าระวางเรือ (Freight Rate) ว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งในระยะถัดไป             สำหรับทิศทางในไตรมาส 2/2568 บริษัทขอรอดูแนวโน้มการขนส่งในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนก่อน จึงจะสามารถประเมินภาพรวมได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม สำหรับเดือนเมษายนที่ผ่านมา ภาพรวมการขนส่งไม่ได้อยู่ในระดับที่แย่ แม้จะได้รับผลกระทบบ้างจากช่วงเทศกาลสงกรานต์และวันหยุดยาว             สำหรับแผนการเติบโตในปี 2568 คาดว่าธุรกิจโลจิสติกส์หรือขนส่งจะเติบโตได้ประมาณ 10% โดยไม่รวมกับธุรกิจ Non-Logistic ซึ่งเป็นการเติบโตแบบ Organic ในส่วนของธุรกิจ Non-Logistic บริษัทกำลังเดินหน้าเจรจาเพื่อหาทางเลือกในการเพิ่มโปรเจ็กต์ใหม่ๆ เพื่อเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ พร้อมกันนี้ SONIC ยังมีสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีกระแสเงินสดจำนวน 400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอต่อการขยายธุรกิจในอนาคต รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

TEGH แปรสภาพ “TEBP” เดินหน้าเข้าตลาด mai ปลายปีนี้

TEGH แปรสภาพ “TEBP” เดินหน้าเข้าตลาด mai ปลายปีนี้

          บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ประกาศแปรสภาพบริษัทย่อย คือ บริษัท “ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์” หรือ “TEBP” เป็นบริษัท “มหาชน” เรียบร้อยแล้ว เตรียมความพร้อมเข้าตลาด mai เสริมทัพสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และผลักดันการเติบโตในอนาคต           นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ และน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออก และผู้นำด้านการผลิตพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์แบบครบวงจรรายใหญ่ในพื้นที่ EEC เปิดเผยว่า บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (TEBP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TEGH ได้จดทะเบียนแปรสภาพจากบริษัทจำกัด เป็นบริษัท “มหาชน” กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 โดยมีชื่อว่า “บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน)” และชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “THAI EASTERN BIO POWER PUBLIC COMPANY LIMITED” หรือ “TEBP”           ทั้งนี้ การแปรสภาพบริษัทดังกล่าวเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปลายปีนี้ ภายใต้วิสัยทัศน์ “Leading Green Energy Revolution: Pioneering the Net Zero Solution”           โดย บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งบริษัทฯ จะเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) เท่ากับหุ้นละ 1 บาท โดยจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น และ TEGH จะขายหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 15 ล้านหุ้น รวมจำนวนหุ้นที่จะ IPO ทั้งหมดไม่เกิน 90 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30.00% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) โดยภายหลังการ IPO TEGH ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) และจะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ TEGH ภายหลังการ IPO           ปัจจุบัน บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตพลังงานทดแทนประเภทพลังงานชีวภาพแบบครบวงจร และรับบริหารจัดการกากของเสียอินทรีย์รายใหญ่ในพื้นที่ EEC โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าและบริการประกอบด้วย 3 ธุรกิจ คือ ธุรกิจรับบริหารจัดการกากอินทรีย์, ธุรกิจผลิตและจำหน่ายก๊าซชีวภาพ และธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ

KJL ชู “Pull Box ชุบกัลวาไนซ์” เจาะโครงการ-อุตสาหกรรม

KJL ชู “Pull Box ชุบกัลวาไนซ์” เจาะโครงการ-อุตสาหกรรม

          กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค หรือ KJL ลุยเปิดศักราชใหม่ด้วยไลน์ผลิตภัณฑ์ระบบไฟฟ้ารุ่นล่าสุด “Pull Box ชุบกัลวาไนซ์” ทั้งแบบเหล็กหนา 1.6 และ 1.2 มม. รับมือทุกหน้างานจากอาคารพาณิชย์ถึงโรงงานใหญ่ พร้อมตอบโจทย์ช่างมืออาชีพในยุคที่คุณภาพต้องมาก่อน รองรับตลาดระบบไฟฟ้าเติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการอาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม และโครงการระดับเมกะโปรเจกต์ทั่วประเทศ           นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงไรมาสแรก ปี 2568 บริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “Pull Box ชุบกัลวาไนซ์” 2 รุ่นใหม่ล่าสุด ประกอบด้วย 1. Pull Box ชุบกัลวาไนซ์ – เหล็กหนา 1.6 มม. เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรง ทนทานเป็นพิเศษ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม หรือพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมรุนแรง กล่องผลิตจากเหล็กคุณภาพสูง เคลือบกันสนิมแบบกัลป์วาไนซ์ทั้งภายในและภายนอก 2. Pull Box ชุบกัลวาไนซ์ – เหล็กหนา 1.2 มม. รุ่นมาตรฐานที่เน้นความคล่องตัว ติดตั้งง่าย น้ำหนักเบากว่า แต่ยังคงความแข็งแรง เหมาะสำหรับงานติดตั้งทั่วไปในโครงการ อาคารพาณิชย์ และระบบภายในอาคารทั้ง 2 รุ่นผ่านการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้า KJL ทุกชิ้นสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง           “ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้เป็นอีกก้าวสำคัญของ KJL ในการสร้างทางเลือกให้แก่ผู้ใช้งานระบบไฟฟ้าในทุกระดับ เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนา Pull Box ให้มีความแข็งแรง ปลอดภัย กันสนิม และติดตั้งง่าย เพื่อตอบรับความต้องการของโครงการที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งในด้านคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรุ่นดังกล่าวได้ผ่านการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และกระบวนการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้า KJL ทุกชิ้นสามารถรองรับการใช้งานจริงในทุกสภาพแวดล้อม และพร้อมวางจำหน่ายวันนี้ทั่วประเทศ” นายเกษมสันต์ กล่าว [PR News]

D รับรางวัลงาน “ttb financial well-being awards 2024”

D รับรางวัลงาน “ttb financial well-being awards 2024”

          นายพรศักดิ์ ตันตาปกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  และ คุณลูซินดา เฉิน  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D  รับรางวัล บริษัทที่ได้รับรางวัลประเภทคะแนนรวมสูงสุด ที่มีพนักงานน้อยกว่า 500 คน ในงาน  “ttb financial well-being awards 2024”  จัดโดย ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี  เพื่อมอบ รางวัล ให้แก่ 10 องค์กรชั้นนำ ที่เห็นความสำคัญในการส่งเสริมให้พนักงานในองค์กรมีชีวิตทางการเงินดีขึ้นรอบด้าน ทั้งการส่งเสริมการเก็บออม บริหารจัดการหนี้อย่างเป็นระบบ มีความคุ้มครอง และวางแผนลดหย่อนภาษีได้อย่างคุ้มค่า พร้อมส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ ความเข้าใจ ควบคู่การวางแผนบริหารจัดการด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ           สำหรับรางวัล “ttb financial well-being awards 2024” จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 มีหลักเกณฑ์การให้คะแนนพิจารณาจาก แนวทางส่งเสริมชีวิตทางการเงินที่ดีของพนักงานรอบด้านทั้ง 4 หัวข้อ 1.ส่งเสริมชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น 2. ส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน 3. ส่งเสริมการเก็บออม และ 4. ส่งเสริมวินัยการบริหารหนี้ที่ดี ซึ่ง 10 องค์กรที่ได้รับรางวัลจะได้รับเงินสนับสนุนองค์กร มูลค่า 100,000 บาท พร้อมโล่รางวัลยกย่องความเป็นเลิศขององค์กร โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ บริษัทที่ได้รับรางวัลประเภทคะแนนรวมสูงสุด ที่มีพนักงานน้อยกว่า 500 คน และบริษัทที่ได้รับรางวัลประเภทคะแนนรวมสูงสุด ที่มีพนักงานมากกว่า 500 คน

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

CHEWA จับมือพันธมิตร ตอกย้ำมาตรฐาน!

CHEWA จับมือพันธมิตร ตอกย้ำมาตรฐาน!

          ชีวาทัย มุ่งสร้างความมั่นใจต่อเนื่อง จับมือกับพันธมิตรตรวจสอบและดูแล หลังเหตุแผ่นดินไหว ครบ 100% ตั้งแต่โครงการแรกที่สร้าง           หุ้นวิชั่น - บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA ยังคงยืนหยัดในบทบาทผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความตั้งใจที่จะมอบความอุ่นใจและความไว้วางใจในคุณภาพชีวิตให้กับลูกบ้าน โดยเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายด้าน เพื่อให้การดูแลครอบคลุมทุกแง่มุมของความปลอดภัย การออกแบบ และการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น แผ่นดินไหวที่ผ่านมา           ในส่วนของโครงสร้างอาคาร บริษัทฯ ได้จับมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เป็นผู้ก่อสร้างและดูแลแต่ละโครงการมาเองตั้งแต่ต้น ได้แก่ บริษัท ยูเวิร์ค 999 จำกัด, บริษัท นีโอ 727 จำกัด,  บริษัท พรพระนคร จำกัด, บริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จํากัด , บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) , บริษัท 22 คอนซัลแต้นท์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ,บริษัท ๙ นาคราช จำกัด และพันธมิตรอีกจำนวนมาก ซึ่งล้วนเป็นองค์กรที่มีความชำนาญด้านวิศวกรรมบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง ทั้งนี้ การทำงานร่วมกันกับพันธมิตรดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของชีวาทัยในการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของโครงสร้างที่อยู่อาศัย เพื่อลดความกังวลและสร้างความมั่นใจให้กับลูกบ้านทุกโครงการ ตั้งแต่โครงการแรกที่ชีวาทัยก่อสร้างบริษัท           นอกจากการดูแลด้านโครงสร้างแล้ว บริษัท ชีวาทัยฯ ยังได้ผนึกกำลังกับบริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) , บริษัท อะตอม ดีไซน์ จำกัด และบริษัท เดอะ โบว์มอนท์ พาร์ทเนอร์ส จำกัด พร้อมด้วยพันธมิตรด้านสิทธิพิเศษอีกมากมาย มาช่วยส่งมอบบริการด้านงานสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน พร้อมทั้งให้คำปรึกษากับลูกบ้านในการแก้ไข ซ่อมแซมส่วนที่อาจจะเสียหายจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา โดยการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรหลากหลายด้านนี้เป็นภาพสะท้อนของวิสัยทัศน์ที่ยั่งยืนของชีวาทัย โดยมุ่งเน้นไปที่ความใส่ใจในการดูแลลูกบ้าน ทั้งในแง่ความปลอดภัย ความสวยงาม ความสะดวกสบาย และเพื่อให้ลูกบ้านสามารถไว้วางใจได้เสมอ ถึงความเป็นพันธมิตรที่สร้างความสุขและความมั่นใจในทุกวันของการอยู่อาศัยของชีวาทัย [PR News]

SMD100 พร้อมบริการ  Sleep Test Center - ปักเป้า 375 ล.

SMD100 พร้อมบริการ Sleep Test Center - ปักเป้า 375 ล.

          SMD100 โชว์ศูนย์ตรวจการนอนหลับครบวงจร ณ ศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ ขนาด 11 เตียง ใหญ่โตและหรูหราแถวหน้าในเขตเอเซียแปซิฟิก พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ พร้อมตั้งเป้ารับรองมาตรฐานสากล AACI คาดสร้างรายได้สะสมกว่า 375 ล้านบาทใน 5 ปี           หุ้นวิชั่น - บริษัท เอสเอ็มดี ไรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SMD rise Public Co., Ltd. (รหัสหลักทรัพย์ SMD100) ประกาศความพร้อมเปิดให้บริการ ศูนย์ตรวจการนอนหลับครบวงจร (Sleep Test Center) ณ ศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ (Thammasat Healthcare Center – THAMC) อย่างเป็นทางการ โดยเป็นผลจากความร่วมมือระหว่างบริษัทฯ และ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมุ่งยกระดับระบบบริการด้านเวชศาสตร์การนอนหลับ (Sleep Medicine) ของประเทศไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ทั้งในด้านคุณภาพทางคลินิก เทคโนโลยี และผลกระทบเชิงระบบ จุดเปลี่ยนของระบบสุขภาพ: ผสานเทคโนโลยี นโยบาย และบริการในรูปแบบครบวงจร           พิธีลงนามความร่วมมือจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 และศูนย์ฯ ได้เริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2568 โดยเปิดให้ประชาชนเข้ารับบริการจริงตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา           ศูนย์ฯ แห่งนี้ติดตั้งเครื่องตรวจ Polysomnography (PSG) แบบ Type I จำนวน 11 เตียง ซึ่งนับเป็นระบบที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน และมีศักยภาพรองรับผู้ป่วยสูงสุดถึง 11 คนต่อคืน ลดเวลารอคิวจากเฉลี่ย 6 เดือน เหลือเพียงไม่เกิน 1 สัปดาห์ เป้าหมายระดับนานาชาติ: รับรองมาตรฐาน AACI ภายใน 15 พฤษภาคม 2568           บริษัทตั้งเป้าให้ศูนย์ฯ ผ่านการรับรองจาก American Accreditation Commission International (AACI) ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เพื่อยืนยันคุณภาพระบบบริการในระดับสากล และยกระดับสถานะของศูนย์ฯ สู่การเป็นต้นแบบด้านเวชศาสตร์การนอนหลับของประเทศไทย ซึ่งมีความสำคัญต่อการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะสมองเสื่อม และโรคเมตาบอลิซึม มุมมองจากผู้นำองค์กร: การนอนหลับคือโครงสร้างพื้นฐานแห่งสุขภาพยุคใหม่           ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายออกแบบนโยบายสุขภาพ บริษัท เอสเอ็มดี ไรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวอย่างชัดเจนว่า: “SMD rise ไม่ได้แค่ดำเนินธุรกิจศูนย์ตรวจการนอนหลับ แต่เรากำลังลงทุนใน ‘โครงสร้างพื้นฐานของสุขภาพที่ยั่งยืน’ ศูนย์ตรวจการนอนหลับแห่งนี้จะเป็นต้นแบบของการวางระบบการป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ(NCDs) เป้าหมายของเราคือการผลักดันให้การนอนหลับกลายเป็นตัวแปรสำคัญในนโยบายสุขภาพระดับชาติ และเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพในศตวรรษนี้” ผลกระทบเชิงบวก: ทั้งเชิงระบบบริการและกลยุทธ์ธุรกิจ • ย่นระยะเวลารอคิวการตรวจจาก 6 เดือน เหลือไม่เกิน 1 สัปดาห์ • เพิ่มอัตราการวินิจฉัยและเริ่มการรักษาในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง เช่น นอนกรน ง่วงผิดปกติ นอนไม่หลับเรื้อรัง โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมอง • ต่อยอดสู่การขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม Sleep & Respiratory Care ผ่านการจำหน่าย CPAP และบริการหลังการขายแบบครบวงจร • พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ ทั้งในรูปแบบ B2B, B2C และ B2B2C พร้อมเชื่อมต่อกับระบบติดตามผล Telemonitoring และ Home Sleep Health Program [PR News]

UREKA ใจป๋า! เพิ่มทุน RO แจก W3 ฟรี ลุยธุรกิจน้ำ-รีไซเคิล ดันโต

UREKA ใจป๋า! เพิ่มทุน RO แจก W3 ฟรี ลุยธุรกิจน้ำ-รีไซเคิล ดันโต

                  หุ้นวิชั่น - ผู้ถือหุ้น บมจ.ยูเรกา ดีไซน์ (UREKA) พร้อมใจโหวตรับมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวนไม่เกิน 545.68 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ในอัตราจัดสรร 10 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 0.85 บาท พร้อมจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ UREKA-W3 ฟรี โดยราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 2 บาทต่อหุ้น อายุ  2 ปี เปิดจองซื้อวันที่ 28 เม.ย. - 8 พ.ค.68 นี้ ฟากซีอีโอ "รินทร์ณฐา เอกอัศวภิรมย์" ระบุ รุกขยายธุรกิจผลิตน้ำประปา -ขายน้ำดิบ ผ่านบริษัทย่อย "บริษัท โมเดิร์น ซินเนอร์ยี่ จำกัด" สร้างรายได้เพิ่ม เร่งเจรจาปิดดีลธุรกิจสาธารณูปโภคต่อยอดธุรกิจเดิม ผลักดันการเติบโตปีนี้ก้าวกระโดด                   นางสาวรินทร์ณฐา เอกอัศวภิรมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) (UREKA) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 วันที่ 17 เมษายน 2568 มีมติอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 272,828,543 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 454,714,238.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 727,542,781.50 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,091,314,172 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.25 บาทต่อหุ้น เพื่อรองรับ (1) การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO) จำนวนไม่เกิน 545,657,086 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ในอัตราจัดสรร 10 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 0.85 บาท                   (2) การใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ รุ่นที่ 3 (UREKA-W3) เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO) จำนวนไม่เกิน 545,657,086 หุ้นโดยไม่คิดมูลค่า ในอัตรา 3 หุ้นเพิ่มทุน ต่อ 3ใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 2 บาทต่อหุ้น มีระยะเวลาการใช้สิทธิ 2 ปี โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (XR) วันที่ 13 มีนาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (Record date) วันที่ 14 มีนาคม 2568 ส่วนวันจองซื้อคือวันที่ 28 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2568 “สำหรับการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะช่วยผลักดันแผนการลงทุนขยายธุรกิจทั้งสาธารณูปโภคและธุรกิจใหม่ที่จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด” นางสาวรินทร์ณฐา กล่าว                   สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่นทุกธุรกิจ ทั้งธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล และธุรกิจผลิตน้ำประปาที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากความต้องการใช้น้ำประปาที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งมั่นใจว่าปริมาณน้ำกักเก็บไว้ในบ่อน้ำดิบพื้นที่กว่า 400 ไร่ เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าแน่นอน และด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มี จึงมุ่งหมายสร้างความมั่นคงในการบริหารจัดการน้ำ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อผนึกกำลังในการรักษาเสถียรภาพและส่งเสริมความยั่งยืนในการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งจะสนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ เสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว                   ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร UREKA กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ตั้งเป้าเป็นปีแห่งก้าวสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน จะเน้นการลงทุนในธุรกิจผลิตน้ำประปา ขายน้ำดิบ ซึ่งมีลูกค้าให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพิ่มการรับรู้รายได้ประจำของกิจการจำหน่ายน้ำประปา ผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท โมเดิร์น ซินเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งได้รับสัมปทานประกอบกิจการประปา และได้รับอนุญาตให้จำหน่ายน้ำประปาระยะเวลาสูงสุด 10 ปี ขณะเดียวกันธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งดำเนินธุรกิจโดย บริษัท เอ.พี.ดับเบิลยู. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (A.P.W.) มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 28,000 ตันต่อปี จะเน้นกลยุทธ์การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับสูง รวมถึงรักษากำลังการผลิตไว้ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรองรับออเดอร์ทั้งในและต่างประเทศ สร้างฐานรายได้ให้มากขึ้น                   ปัจจุบัน บริษัทฯ มีลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ กีฬา และเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งยังคงมีสัญญาณดีต่อเนื่อง รวมทั้งมีแผนขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม คาดว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีโดยเฉพาะลูกค้าในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่ และมีความต้องการเม็ดพลาสติกในปริมาณสูงจะทำให้บริษัทฯ อาจต้องขยายกำลังการผลิตในอนาคต เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มากขึ้น และถือเป็นสัญญาณที่ดีสนับสนุนให้ยอดขายเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด                   นอกจากนี้ บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเข้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม โดยเฉพาะธุรกิจสาธารณูปโภค เนื่องจากมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง รองรับการขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเห็นความชัดเจนโครงการต่างๆ ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ รวมถึงมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 2568 ผลดำเนินงานจะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมมุ่งมั่นผลักดันให้บริษัทฯ สามารถย้ายจากการเป็นบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

JPARK บุ๊กยอดที่จอด Q1 แนะ “ซื้อ” เป้า 5.85 บ.

JPARK บุ๊กยอดที่จอด Q1 แนะ “ซื้อ” เป้า 5.85 บ.

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง JPARK ว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 25 เท่ากับ 5.85 บาท Investment Highlight                กำไร 4Q24 เท่ากับ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +47% QoQ และ +7% YoY ผลประกอบการ 4Q24 มีรายได้รวมเท่ากับ 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +15% QoQ จากธุรกิจการให้บริการที่จอดรถ (PS) ที่เป็นสัดส่วน 70% ของรายได้ เติบโตตามพื้นที่ให้บริการที่จอดรถเพิ่มขึ้น และมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากลานจอดรถในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น บริเวณถนนบรรทัดทอง ตลาดสวนหลวง-สามย่าน แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนรายได้ยังลดลง -7% YoY โดยมีผลมาจากรายได้จากธุรกิจให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (CIPS) เนื่องจากงานโครงการรถไฟฟ้า Smart Parking Management System และ Guidance System ที่บริษัทได้รับสัญญาจ้างมาในช่วงกลางปี 23 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตาม Percentage of Completion (ส่วนท้ายของ S-Curve) สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29% ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 22% และ 23% ใน 4Q23 จาก Margin ของงาน PS ที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีกำไร 4Q24 เท่ากับ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +47% QoQ และ +7% YoY โดยกำไรปกติทั้งปี 24 อยู่ที่ 89 ล้านบาท +11% YoY ใกล้เคียงประมาณการของเรา คาดผลประกอบการปี 25 ยังเติบโตต่อเนื่อง                คาดผลประกอบการ 1Q25 มีโอกาสเติบโต QoQ และ YoY เนื่องจากจะเริ่มมีการรับรู้รายได้โครงการอาคารที่จอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์อีกกว่า 1 พันตารางเมตร ประกอบกับธุรกิจ PS เริ่มเห็น U-Rate ที่ฟื้นตัวดีขึ้น เราประมาณการรายได้ปี 25 ราว 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +23% YoY โดยมีแรงหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการพระนั่งเกล้าเต็มปีเป็นครั้งแรก และธุรกิจ PS มี 1 โครงการใหม่ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วง 1H25 ทั้งนี้เราคาดกำไรปกติปี 25 เท่ากับ 98 ล้านบาท เติบโต +9.9% YoY คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 25 เท่ากับ 5.85 บาท                ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี P/E Ratio โดยอิงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของหุ้นที่ทำธุรกิจผู้ให้บริการที่จอดรถที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นและตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ ได้ PER เฉลี่ยที่ 23.4 เท่า ใช้สมมุติฐานกำไรต่อหุ้นปี 25 ที่ 0.25 บาท ได้ราคาเหมาะสมที่ 5.85 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

KLINIQ โค้งแรกสุดปัง! โกลเบล็กส่องเป้า 36 บ.

KLINIQ โค้งแรกสุดปัง! โกลเบล็กส่องเป้า 36 บ.

                 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง KLINIQ ว่า "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 36.00 บาท คาดการณ์กำไรงวด 1Q68 เติบโต QoQ , YoY                  คาดการณ์รายได้งวด 1Q68 เติบโต YoY แต่ปรับตัวลงเล็กน้อย QoQ โดยรายได้เติบโต YoY จากการเติบโตของสาขาเดิมและยอดขายสาขาใหม่ ในงวด 1Q68 บริษัทเปิดสาขาใหม่ 1 สาขา แบรนด์ L’Clinic ที่ซีคอน ศรีนครินทร์ ขณะที่คาดรายได้ลดลงเล็กน้อย QoQ เนื่องจากฐานรายได้สูงในงวด 4Q67 จากพฤติกรรมลูกค้าที่ใช้บริการมากในช่วงไตรมาส 4 คาดสมมติฐาน %GPM ใกล้เคียงกับในงวด 4Q67 ที่ระดับ 54.0% เนื่องจากมีการเปิดสาขาใหม่เพียง 1 สาขาทำให้ไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่ออัตรากำไรขั้นต้นมากนัก                  • คงประมาณการณ์กำไรปี 2568 ที่ 418 ลบ. +30% YoY, มาจากคาดรายได้ที่ 3,490 ลบ. +17% YoY จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมและรายได้ของสาขาใหม่ ปี 68 ตั้งเป้าเปิด 10 สาขา จากจำนวน 72 สาขาเมื่อสิ้นปี 67 เพิ่มเป็น 82 สาขาในปี 68 ขณะที่สมมติฐาน %GPM ที่ระดับ 53.4% ปรับตัวขึ้นจากระดับ 51.7% ในปี 67 เนื่องจากปี 67 บริษัทมีการเปิดสาขาใหม่จำนวน 20 สาขา ปิด 3 สาขา การเปิดสาขาจำนวนมากระดับ 20 สาขาทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเตรียมเปิดสาขาเข้ามาก่อนในช่วงแรก ทั้งค่าเช่าที่ ค่าเครื่องมืออุปกรณ์ รวมถึงค่าบุคลากร เป็นต้น                  • เราประเมินราคาเหมาะสมโดยใช้ Prospective PER ที่ 19x เป็นระดับ -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 68 เท่ากับ 1.90 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 68 เท่ากับ 36.00 บาท โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 15% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 5.5% ต่อปี เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

[Vision Exclusive] MOTHER ปลุกค้าปลีกแดนใต้  กระบี่ฮอต! ติดชาร์ตเมืองทำเงิน

[Vision Exclusive] MOTHER ปลุกค้าปลีกแดนใต้ กระบี่ฮอต! ติดชาร์ตเมืองทำเงิน

          หุ้นวิชั่น - “MOTHER” เร่งสปีดโตไม่หยุด! บอสใหญ่ "เอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ " สั่งลุยขยายสาขาใหม่ 3 แห่ง รับท่องเที่ยวคึกคัก ปักหมุดทำเลทอง “เกาะลันตา-เหนือคลอง” อัพยอด ชี้กระบี่ฮอตติดชาร์ตเมืองทำเงินอันดับ 6 ประเทศ ดันค้าปลีกโตสนั่น ลุ้นผลงานโค้งแรกทำนิวไฮ นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเต็มแม็ก           นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ “Mother Supermarket” และ “Mother Marche” ในจังหวัดกระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดกระบี่และสุราษฎร์ธานี เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ทิศทางการจำหน่ายสินค้าในช่วงไตรมาส 1/2568 ถือว่าน่าพอใจอย่างมาก และผลประกอบการมีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ได้ โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตดังกล่าว มาจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2568 ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน           บริษัทเตรียมเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 บริษัทวางแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติมอีก 3 แห่ง จากปัจจุบันมีสาขาจำนวน 20 สาขา ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2, ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ตามลำดับ ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทได้เจรจาและเตรียมความพร้อมในเรื่องของพื้นที่สำหรับการขยายสาขาแล้วจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ พื้นที่บริเวณเกาะลันตา และอำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพที่มีการเติบโตของกำลังซื้อและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง           บริษัทพร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับจุดแข็งของบริษัทที่ตั้งอยู่ในทำเลแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะจังหวัดกระบี่ จังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวไทยและต่างชาติ มีชื่อเสียงระดับโลก และมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2567 จังหวัดกระบี่ สามารถทำรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุดเป็นอันดับที่ 6 ของประเทศ มีรายได้มากถึง 91,042 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อยู่ที่  17,245 บาท และค่าเฉลี่ยต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวชาวไทย อยู่ที่ 11,497 บาท นับเป็นผลดีต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

[Vision Exclusive] SPVI หมดห่วงภาษีทรัมป์  บุกตลาดการศึกษา Q2   

[Vision Exclusive] SPVI หมดห่วงภาษีทรัมป์ บุกตลาดการศึกษา Q2  

          หุ้นวิชั่น - SPVI ส่งสัญญาณบวก สหรัฐฯประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีจากทั่วโลก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ถูกนำเข้าจากประเทศอื่นกว่า 95% ลั่นไม่กระทบต้นทุน ด้านผู้บริหาร "ไตรสรณ์ วรญาณโกศล" เร่งเครื่องรับเปิดเทอม เดินหน้าบุกตลาดโครงการการศึกษา คาดหนุนยอดขาย Q2 พุ่งแรง พร้อมพลิกเกมรุกยอดขาย Android           นายไตรสรณ์ วรญาณโกศล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า จากกรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงกลุ่มสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อาทิ เซมิคอนดักเตอร์และการ์ดหน่วยความจำ บริษัทประเมินว่า มาตรการดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า และถือเป็นผลดีในภาพรวม           ทั้งนี้ สินค้าในกลุ่มอุปกรณ์สื่อสาร เช่น โทรศัพท์ไอโฟน รวมถึงวัสดุและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ ถูกนำเข้าจากประเทศอื่นกว่า 95% และเข้าสู่กระบวนการผลิตในประเทศจีน ทำให้ไม่ว่าจะมีการยกเว้นภาษีหรือเพิ่มภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ก็จะไม่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในไทยโดยตรง           อย่างไรก็ตาม หากมีการผลิตในจีนและส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ อาจมีความจำเป็นต้องปรับราคาขายขึ้น เพื่อชดเชยภาระจากกำแพงภาษีที่สหรัฐฯ ตั้งขึ้น โดยหากดูจากสัดส่วนการจำหน่ายสินค้ากลุ่ม apple ในสหรัฐฯ และสร้างรายได้ คิดเป็นสัดส่วน 30-40%  แต่ในกรณีที่มีการส่งออกสินค้าจากจีนมายังประเทศไทย ราคาสินค้ายังคงมีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าในระดับที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งราคาต้นทุนและราคาจำหน่ายสินค้าในประเทศยังคงอยู่ในระดับเดิม และไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นในระยะนี้           สำหรับทิศทางธุรกิจและการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารในประเทศช่วงเดือนเมษายนปีนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทประเมินว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การตลาด โดยเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารระบบ Android มากขึ้น พร้อมทั้งปรับโมเดลร้านค้าปลีก (Retail) ให้สอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน           นายไตรสรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในไตรมาส 2/2568 ซึ่งเป็นช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ บริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มจำหน่ายสินค้าในรูปแบบโครงการ (Project-based) ได้เพิ่มขึ้น ล่าสุด บริษัทได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งแล้ว ทั้งนี้ คาดว่าการจำหน่ายสินค้าในลักษณะโครงการ จะเข้ามาช่วยสนับสนุนยอดขายเพิ่มเติมจากช่องทางรีเทลได้อย่างมีนัยสำคัญ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

MCA รายได้ติดจรวด ปักธงแตะพันล้าน!

MCA รายได้ติดจรวด ปักธงแตะพันล้าน!

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้น MCA ช่วงเช้าวันที่ 17 เม.ย.68 ปิดที่ 1.10 บาท +0.13 บาท หรือเพิ่มขึ้น +13.40% ชูธงรายได้แตะพันล้าน ในปี 69 จากปีนี้คาดโตขั้นต่ำ 30%                ขณะที่แผนการเติบโตของ MCA ปี 2568 บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตทางรายได้ขั้นตํ่า 30% เปรียบเทียบกับปี 2567 ที่ 658.85 ล้านบาท และจะผลักดันรายได้แตะ 1,000 ล้านภายในปี 2569 MCA ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยในระยะสั้นบริษัทได้ขยายทีมงานเพื่อรองรับธุรกิจใหม่ควบคู่ไปกับการเปิดศูนย์กระจายสินค้าในระดับภูมิภาค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดจําหน่ายสินค้าและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ โดยมีแผนเปิดศูนย์กระจายสินค้าเชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช ภายในไตรมาสที่ 1/2568 และขอนแก่นภายใน                ไตรมาสที่ 3/2568 ในระยะยาว บริษัทได้ขยายทีมพัฒนา ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและโปรแกรมเมอร์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบปฏิบัติการหลังบ้าน หรือการเตรียมความพร้อมสําหรับการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อีกทั้ง บริษัทได้ให้ความสําคัญกับห่วงโซ่กิจกรรมทางธุรกิจในทุกมิติไม่ว่าจะเป็น ซัพพลายเออร์ เวนเดอร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัท Carbon Neutral ภายในปี2576 เพื่อให้เป็นองค์กรที่เติบโตแบบยั่งยืน                อนึ่ง MCA เป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดพร้อมการให้บริการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแบบครบวงจร ทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์บริษัทฯดําเนินงานมากว่า 10 ปี โดยมีบริการหลัก 5 ประเภท ได้แก่ บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล, บริการบรรจุและจัดส่งสินค้า, บริการพนักงานแนะนําสินค้า และบริการจัดเรียงสินค้า, ผู้จัดจําหน่ายสินค้า                ขณะที่โครงสร้างของบริษัท ประกอบไปด้วย บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล : 23.28% บริการบรรจุและจัดส่งสินค้า : 1.79% บริการพนักงานแนะนําสินค้า : 24.77% บริการจัดเรียงสินค้า : 39.10% ผู้จัดจําหน่ายสินค้า : 10.86% รายได้อื่นๆ : 0.20%

TITLE เปิดโครงการหรู 1.4 พันล. ปั้น “อะดอรา” รับทำเลฮอตภูเก็ต

TITLE เปิดโครงการหรู 1.4 พันล. ปั้น “อะดอรา” รับทำเลฮอตภูเก็ต

          “ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้” หรือ “TITLE” เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จบนทำเลศักยภาพย่านราไวย์ ส่งโครงการใหม่ล่าสุดกับ “อะดอรา ราไวย์” (Adora Rawai) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Adorable lifestyle beside the Ocean” เจาะกลุ่มลูกค้าทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง, กลุ่มนักลงทุน และชาวต่างชาติ บนทำเลศักยภาพใกล้หาดราไวย์ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,400 ล้านบาท ชูจุดเด่นเรื่องดีไซน์ที่พิถีพิถันทุกรายละเอียด มาพร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่จัดเต็ม ทั้งพื้นที่กลางแจ้ง และในอาคาร 3 ชั้น มากถึง 27 กิจกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งของทุกโครงการภายใต้แบรนด์ The Title ที่จะมาช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบวิถีชาวบ้านริมชายหาดได้อย่างลงตัว เพื่อต้อนรับลูกบ้านเพียง 210 ยูนิตเท่านั้น           นายดรงค์ หุตะจูฑะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Leisure Residence เพื่อการพักอาศัยและการลงทุนอย่างยั่งยืน กล่าวว่า โครงการ "อะดอรา ราไวย์" (Adora Rawai) เป็นโครงการที่ ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ รุกเจาะขยายธุรกิจบนทำเลศักยภาพราไวย์ ใน จ.ภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จอย่างมากกับโครงการภายใต้แบรนด์ "เดอะ ไทเทิล" (THE TITLE)  ซึ่งถือเป็น Strategic Locations ที่โดดเด่นทั้งด้านการเดินทาง ผสมผสานความงามของธรรมชาติ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน โดยทุกโครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า จนสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจัยความสำเร็จมาจากงานก่อสร้างที่มีคุณภาพ และการบริการหลังการขายที่มีคุณภาพ โดยบริษัทฯ ยังมองว่า ทำเลราไวย์ นั้นยังคงมีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่อง และยังได้กำลังจากภาคท่องเที่ยวที่มีการเติบโตสูงขึ้น ทำให้ยังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัย รวมถึงยังเป็นทำเลที่ดึงดูดนักลงทุนอสังหาฯ ทำเลหนึ่งในภูเก็ต ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทฯ จะเดินหน้าขยายธุรกิจในทำเลหาดราไวย์ เจาะกลุ่มลูกค้าทั้งที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยและลงทุน กับการเปิดโครงการ "อะดอรา ราไวย์" มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท           โครงการอะดอรา ราไวย์ เป็นคอนโดมิเนียมสูง 4 ชั้น บนพื้นที่ 6-0-55.4 ไร่ อาคารพักอาศัยจำนวน 8 อาคาร ประกอบไปด้วยห้องพักเพียง 210 ยูนิต และอาคาร Facilities 1 อาคาร ดีไซน์ “Contemporary Mediterranean” ที่ผสมผสานสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน เข้าไว้กับความสง่างามที่ทันสมัย โดยทุกรายละเอียดถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับการอยู่อาศัยเพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้ชีวิต และสะดวกสบาย โดยห้องพักมีให้เลือกถึง 3 รูปแบบ โดยโครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านราไวย์ แวดล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อาทิ จุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่แหลมพรหมเทพ และยังใกล้ท่าเรือเพื่อเดินทางท่องเที่ยว ณ เกาะต่าง ๆ ของภูเก็ต เช่น เกาะบอน, เกาะเฮ และ เกาะราชาใหญ่ ทั้งยังเป็นแหล่งรวมอาหารทะเล สด ๆ จากชาวประมงที่ขึ้นชื่อของประเทศไทย และยังใกล้แหล่งรวมไลฟ์สไตล์เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงกีฬาทางน้ำ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น Phuket Muay Thai, Rawai Park, Southside MMA Thailand, Rawai Boxing Stadium, Gold Shooter club และยังอยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติ อย่าง Rawai Park Language School, Lighthouse International School Phuket เป็นต้น           นอกจากนี้ยังมาพร้อมจุดเด่นสำคัญที่จัดเต็มกว่าใคร กับพื้นที่ส่วนกลาง มากถึง 27 กิจกรรม เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น Lap Pool สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ 50 เมตรที่กว้างขวาง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการว่ายน้ำหรือเพียงแค่ชอบพักผ่อนริมสระ โดยมีฉากหลังเป็นต้นไม้เขียวขจีและความงามตามธรรมชาติของภูเก็ต หรือพักผ่อนได้อย่างเต็มที่กับ Pool Terrace and Sunbathing, Iconic Fun Pool Seascape, Sky pool มาพร้อมพื้นที่สร้างสรรค์ไอเดีย อย่าง Co-Working Space หรือ Private Working Room รวมถึงยังเอาใจสาย Active กับ GYM ขนาดใหญ่,  Jogging Track, Cooldown and Stretching Area,  นอกจากนี้ยังมี Sky Bar, Play Scape และ Kids Room เป็นต้น เพื่อให้คุณทั้งทำงาน และพักผ่อนได้อย่างมีสไตล์ครบจบในที่เดียว โดยจะเริ่มการก่อสร้างไตรมาส 3/2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1/2570           ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมห้องตัวอย่าง โครงการอะดอรา ราไวย์ ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยเปิดให้เข้าชมทุกวันจันทร์ – วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น. สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thetitleresidence.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 06-3642-8111 [PR News]

abs

Hoonvision

[ภาพข่าว] CFARM จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 68

[ภาพข่าว] CFARM จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 68

           นายเทพกุล พูลลาภ ประธานกรรมการ  พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทฯ บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) หรือ CFARM ประกอบธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์ ประเภทฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อให้กับคู่สัญญาในรูปแบบเกษตรพันธสัญญาแบบประกันราคา จัดงานประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติเห็นชอบในทุกวาระตามที่คณะกรรมการเสนอ ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์

AMARC ทะยานสู่นิวไฮ โบรกเคาะกำไรโตแรง 188%

AMARC ทะยานสู่นิวไฮ โบรกเคาะกำไรโตแรง 188%

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง AMARC ว่า คาดกำไรสุทธิ 1Q25F ทำ All-Time High เราแนะนำ "Buy" สำหรับหุ้น AMARC เนื่องจากมองว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในช่วงการเติบโตของกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) +11% ในช่วงปี 2025F-2027F และคาดว่านโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อบริษัทในระดับจำกัด              แนวโน้ม 1Q25F คาดกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น (+188% y-y, +80% q-q) เราคาดว่า AMARC จะมีกำไรสุทธิใน 1Q25F ที่ 18 ล้านบาท (+188% y-y, +80% q-q) เติบโตสูงตามรายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก ปริมาณงานตรวจวิเคราะห์สินค้า (Testing) ที่เพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร การให้บริการตรวจสาร BY2 สำหรับทุเรียนส่งออกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น              ขณะเดียวกัน คาดว่า Gross margin และ EBITDA margin จะดีขึ้นทั้ง y-y และ q-q อยู่ที่ 44.5% และ 28.8% ตามลำดับ จากผลของ Economies of scale และการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับบริการ Testing ซึ่งเป็นบริการที่มีอัตรากำไรสูงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น              แนวโน้ม 2Q25F และภาพรวมปี 2025F หากกำไรสุทธิ 1Q25F เป็นไปตามที่คาดไว้ จะคิดเป็น 42% ของประมาณการกำไรทั้งปีที่ 42 ล้านบาท (+6% y-y) ซึ่งมีโอกาสที่ประมาณการกำไรทั้งปีจะมี Upsideแนวโน้ม 2Q25F คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทั้ง y-y (2Q24 กำไรสุทธิ 8 ลบ.) และ q-q คาดว่ารายได้ให้บริการยังคงเติบโต จากปริมาณงานในบริการ Testing และการตรวจสาร BY2 สำหรับทุเรียนส่งออกที่เพิ่มขึ้นทำให้ Gross margin และ EBITDA margin มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง              คำแนะนำ เราคงคำแนะนำ "Buy" สำหรับ AMARC ให้ราคาเป้าหมายที่ 2.00 บาท (ประเมินด้วยวิธี DCF โดยใช้ WACC 8.1% และ L-T growth 3%) ด้วยเหตุผลสำคัญ: แนวโน้มกำไรไตรมาสอยู่ในช่วงขาขึ้น และมีโอกาสเกิด Upside ในประมาณการปี 2025F มีโอกาสเติบโตตามการบริโภคภายในประเทศ และการส่งออกสินค้าเกษตร + อาหารแปรรูป= มีฐานรายได้หลักในประเทศ ทำให้ได้รับผลกระทบจำกัดจากนโยบายภาษีของสหรัฐ ราคาหุ้นซื้อขายที่ Forward PE ต่ำกว่า -2.0 SD และ 0.9 เท่าของมูลค่าทางบัญชี มองเป็นโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ

BBIK เด้งรับ Virtual Bank คลาวด์สร้างโมเมนตัมใหม่

BBIK เด้งรับ Virtual Bank คลาวด์สร้างโมเมนตัมใหม่

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK วันนี้ (16 เม.ย. 2568) ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 26.50 บาท เพิ่มขึ้น +1.50 บาท หรือ +6.00%           บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของ BBIK ในปี 2568-2569 ได้แก่ ธนาคารไร้สาขา, คลาวด์ และ AI จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 45.70 บาท จากเดิม 50.10 บาท           ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า กำไรหลักจะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปี (CAGR) ในช่วงปี 2567-2569 โดยมี PEG เพียง 0.9 เท่า (อิงจาก P/E ปี 2567 ที่ 22 เท่า) พร้อมมองว่าแนวโน้มกำไรหลักในไตรมาส 1-2/2568 ยังเติบโตแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หลังจากทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ในไตรมาส 4/2567           แม้ภาพรวมในปี 2568-2569 จะยังคงแข็งแกร่ง แต่มีการ ปรับลดประมาณการกำไรหลักในปี 2570 ลง 5% เพื่อสะท้อนแนวโน้มความต้องการด้านเทคโนโลยีจากกลุ่มธนาคารที่อาจชะลอตัวหลังกลางปี 2569 ซึ่งเป็นช่วงที่โครงการพัฒนาธนาคารไร้สาขาจะเริ่มทยอยเสร็จสิ้น ส่งผลให้อัตราการเติบโตของกำไรหลักในปี 2570 ชะลอลงเหลือ 16% ต่อปี แนวโน้มปี 2568-2569 แข็งแกร่งจาก 4 ปัจจัยสนับสนุน -ความต้องการจากธนาคารที่เพิ่มขึ้น มีธนาคาร 4 แห่งเตรียมอัปเกรดหรือเปลี่ยนระบบ Core Banking ใน 1-2 ปีข้างหน้า การลงทุนในธนาคารไร้สาขาจะเริ่มในช่วงกลางปี 2568 -การย้ายระบบขึ้นคลาวด์ การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยเพิ่มขึ้น ช่วยลดความหน่วง (Latency) ในการใช้งาน -การใช้ AI เพิ่มขึ้นช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลูกค้า -โครงการภาครัฐ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในภาคบริการและการบริหารจัดการ

KLINIQ เก็งงบ Q1 นิวไฮ TRP ร.พ.ใหม่น่าตื่นเต้น!

KLINIQ เก็งงบ Q1 นิวไฮ TRP ร.พ.ใหม่น่าตื่นเต้น!

          หุ้นวิชั่น - หุ้นความงามบวกกระจาย KLINIQ เดินหน้าเปิดสาขาอัพยอด  ฟากโบรกส่องมเมนตัมโค้งแรกแข็งแกร่ง! เชื่อโต ทั้ง Q-Q และ Y-Y บุ๊กเงินสาขาใหม่เข้ากระเป๋า พร้อมลุ้นนิวไฮต่อ แถม Dividend Yield สูง 5.4%  แนะนำ “ซื้อ” ส่วน TRP น่าตื่นเต้น จับตาโรงพยาบาลใหม่หนุน Q2/68 ชี้พิกัด 8.60 บาท           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้นกลุ่มความงาม ศัลยกรรมตกแต่งในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เช้านี้ ปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ปิดช่วงเช้าที่ 32.00 บาท +1.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น +4.92%           ขณะที่ บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) หรือ  TRP ปิดช่วงเช้าที่ 6.30 บาท +0.15 บาท หรือเพิ่มขึ้น +2.44%           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับทีมข่าว "หุ้นวิชั่น" ว่า จุดเด่นสำคัญของการเติบโตในระยะถัดไปของ บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ คือการต่อยอดสู่บริการด้านศัลยกรรมความงาม (Century) เพิ่มเติม จากเดิมที่บริษัทมีรายได้หลักมาจากบริการดูแลผิวพรรณ (Skin)           นอกจากนี้ แนวโน้มการเติบโตของ KLINIQ ยังได้รับแรงหนุนจากแผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดสาขาใหม่แล้ว 1 สาขา จากแผนทั้งปีที่ตั้งเป้าเปิดรวม 10 สาขา           สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1/2568 ฝ่ายวิเคราะห์ของ GBS ประเมินว่า รายได้ของ KLINIQ ยังคงมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง โดยยอดรายได้ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 4/2567 ซึ่งเป็นไตรมาสที่บริษัททำสถิติรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (New High) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการที่บริษัทเปิดเพิ่มอีก 6 สาขาในช่วงไตรมาส 4/2567 ซึ่งเริ่มส่งผลเชิงบวกต่อรายได้ในไตรมาสล่าสุด           ทั้งนี้ GBS คาดว่า KLINIQ จะสามารถเติบโตได้ทั้งในแง่ไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) และเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ขึ้นเป็น 1.90 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่ 1.65 บาทต่อหุ้น พร้อมปรับราคาเหมาะสมใหม่เป็น 36.00 บาท จากเดิม 39.60 บาท แม้มีการปรับลดเล็กน้อย แต่ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี อัพไซด์ประมาณ 15% เมื่อเทียบกับมูลค่าเหมาะสม ขณะเดียวกันยังคาดว่า KLINIQ จะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 5.4% ต่อปี จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”           ส่วน บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) หรือ TRP มีประเด็นน่าสนใจและน่าจับตา หลังจากโรงพยาบาลแห่งใหม่ของบริษัทก่อสร้างแล้วเสร็จ และเตรียมเปิดดำเนินการภายในไตรมาส 2/2568 ซึ่งล่าช้าจากแผนเดิมที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาส 1/2568 อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่น่าติดตาม คือ แผนการซื้อหุ้นคืนของบริษัท ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ถึง 3 กันยายน 2568 ซึ่งถือเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในระยะสั้น ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมของ TRP ไว้ที่ 8.60 บาทต่อหุ้น รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Gossip] BKA ปิดจอง IPO ขายหุ้นเกลี้ยง 60 ล้านหุ้น

[Gossip] BKA ปิดจอง IPO ขายหุ้นเกลี้ยง 60 ล้านหุ้น

           บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA “ที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง” ผู้นำธุรกิจบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ว่าที่หุ้นไอพีโอน้องใหม่ป้ายแดงแห่งตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ประเดิมความสำเร็จขั้นแรกด้วยการขาย IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 1.80 บาท หมดเกลี้ยง!!! ทำเอาบอสใหญ่ “พชร ธนวงศ์เกษม” ยิ้มแก้มปริ ที่นักลงทุนให้การตอบรับจองซื้อหุ้นจนกระแสตอบรับดีขนาดนี้  เรียกได้ว่าหุ้น IPO ตัวนี้กระแสดีไม่มีตกจริงๆ และน่าจับตามองแบบสุดๆ พร้อมประกาศตัวว่า BKA ไม่ใช่ธุรกิจอสังหาฯ แต่เป็นธุรกิจบริการรับแก้ปัญหาให้คนซื้อ คนขายบ้านอย่างครบวงจร ภายใต้การรีโนเวท ซ่อมแซม ตกแต่ง รวมทั้งจัดหาบ้าน ที่ตั้งอยู่บนทำเลที่มีคุณภาพ ในราคาที่คุ้มค่า ที่สำคัญธุรกิจให้บริการของเรามีอัตราการขยายตัวสูง ทำให้ BKA เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับคนอยากที่จะมีบ้านได้อย่างตรงจุด มิหนำซ้ำยังเป็นธุรกิจที่มีอนาคตสดใส เพราะหลังจากระดมทุนครั้งนี้ เตรียมขยายพอร์ตการให้บริการ   บ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้น รวมถึงพัฒนาธุรกิจ Prop Tech  โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาฯ และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริงมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูล รวมถึงผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ แค่นั้นยังไม่พอยังเล็งขยายพอร์ตไปยัง AMC เพิ่มอีกด้วย เพราะ AMC มีสินทรัพย์จำนวนมากและคุณภาพดี ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้ BKA ในอนาคต     เสิร์ฟข่าวดีรอขนาดนี้ เหล่าบรรดา FC ไม่รักหุ้น BKA ได้ยังไง เอาเป็นว่า 22 เม.ย.นี้ เตรียมส่งพลังบวกกับการเทรดวันแรกของ BKA กันด้วยนะ

MEB E-Book มาแรง! กำไร Q1 ตามนัด- เป้า 30 บ.

MEB E-Book มาแรง! กำไร Q1 ตามนัด- เป้า 30 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมอง “Neutral” ต่อผลประกอบการของ MEB โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 (1Q25F) อยู่ที่ 113 ล้านบาท เติบโต +7% YoY แต่ลดลงเล็กน้อย -1% QoQ จากปัจจัยฤดูกาล แม้รายได้ยังคงเติบโต +9% YoY ตามจำนวนผู้ใช้งานรายเดือน (MAUs) ที่ขยายตัวต่อเนื่องในทั้งแพลตฟอร์ม Meb และ ReadAwrite อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและพนักงานยังอยู่ในระดับสูง กดดัน SG&A ให้อยู่ในทิศทางทรงตัวสูง           สำหรับ 2Q25F คาดว่ากำไรจะทรงตัวทั้ง YoY และ QoQ แม้รายได้มีแนวโน้มโต Double-digit และ Gross margin ยังทรงตัว เนื่องจากต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากแพลตฟอร์ม Pinto (ในเครือ Ookbee) และร้านหนังสือดั้งเดิมที่หันมาเน้นตลาด E-book มากขึ้น พร้อมกลยุทธ์ส่วนลดที่ดึงดูดผู้บริโภค ในระยะยาว เรายังคาดว่ากำไรปี 2568–2570 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% ตามอุตสาหกรรม E-book และคงคำแนะนำ “ซื้อ” (Buy) บนราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 30.00 บาท อิง PER 18 เท่า โดยที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ PER -2.0 SD

JPARK พระนั่งเกล้าหนุนปัง! โกลเบล็กเคาะ “ซื้อ” เป้า 5.85 บ.

JPARK พระนั่งเกล้าหนุนปัง! โกลเบล็กเคาะ “ซื้อ” เป้า 5.85 บ.

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง JPARK ว่า ผลประกอบการ 4Q24 มีรายได้รวมเท่ากับ 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +15% QoQ จากธุรกิจการให้บริการที่จอดรถ (PS) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของรายได้ เติบโตตามพื้นที่ให้บริการที่จอดรถที่เพิ่มขึ้น และมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากลานจอดรถในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น บริเวณถนนบรรทัดทอง และตลาดสวนหลวง-สามย่าน              อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ยังลดลง -7% YoY เนื่องจากรายได้จากธุรกิจให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (CIPS) ลดลง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า Smart Parking Management System และ Guidance System ที่บริษัทได้รับสัญญาจ้างมาในช่วงกลางปี 2566 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตามสัดส่วนความสำเร็จของโครงการ (Percentage of Completion) ซึ่งอยู่ในช่วงปลายของ S-Curve              สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29% ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 22% และจาก 23% ใน 4Q66 จาก Margin ของธุรกิจ PS ที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/24 เท่ากับ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +47% QoQ และ +7% YoY โดยมีกำไรปกติทั้งปี 2567 อยู่ที่ 89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +11% YoY ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการของเรา              คาดว่าผลประกอบการใน 1Q25 มีแนวโน้มเติบโตทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากเริ่มมีการรับรู้รายได้จากโครงการอาคารที่จอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 ตารางเมตร ประกอบกับธุรกิจ PS เริ่มเห็นอัตราการใช้บริการ (U-Rate) ที่ฟื้นตัวดีขึ้น              เราประมาณการรายได้ปี 2568 (ปี 25) อยู่ที่ 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +23% YoY โดยได้รับแรงหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการพระนั่งเกล้าเต็มปีเป็นครั้งแรก และธุรกิจ PS มี 1 โครงการใหม่ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ทั้งนี้ คาดว่ากำไรปกติปี 2568 จะอยู่ที่ 98 ล้านบาท เติบโต +9.9% YoY คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2568 เท่ากับ 5.85 บาท

[Vision Exclusive] DHOUSE อสังหาฯอีสานฟื้นแรง  โอกาสทองรัฐหั่นค่าโอน 0.01%

[Vision Exclusive] DHOUSE อสังหาฯอีสานฟื้นแรง โอกาสทองรัฐหั่นค่าโอน 0.01%

          หุ้นวิชั่น - DHOUSE อสังหาฯอีสานแรงไม่หยุด! รับเต็มมติรัฐหั่นค่าโอน-จำนอง เหลือ 0.01% หนุนกำลังซื้อผู้บริโภคไหลกลับ จับกระแสคนแห่กลับบ้าน หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ด้านบอสใหญ่ "พงศ์พจน์ เลิศรุ้งพร" ใส่เกียร์เปิดโครงการใหม่  3 โครงการ มูลค่ารวม 259.92 ล้านบาท           นายพงศ์พจน์ เลิศรุ้งพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ DHOUSE ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดมหาสารคาม เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า มติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้ลดค่าจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 0.01% และค่าจดทะเบียนจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ถือเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาฟื้นตัว           ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวช่วยเพิ่มกำลังซื้อและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของ DHOUSE โดยคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของยอดจองและยอดโอนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้           นอกจากนี้ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่ภาคเหนือ ทำให้คนในพื้นที่หลายรายเริ่มพิจารณาย้ายกลับมาอยู่ภูมิลำเนาเดิมในภาคอีสานมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในภูมิภาค           “ภาคอีสานเริ่มกลับมาเนื้อหอมอีกครั้ง จากกระแสการย้ายถิ่นฐานของประชาชนที่ต้องการกลับภูมิลำเนาหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดความตื่นตัวในเรื่องที่อยู่อาศัยที่มีโครงสร้างรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ ซึ่งแนวโน้มนี้ยังส่งผลให้แรงงานก่อสร้างและผู้รับเหมากลับเข้าสู่ภูมิภาคมากขึ้น สะท้อนถึงการฟื้นตัวของซัพพลายเชนในภาคอสังหาฯ ที่ชัดเจนขึ้น”นายพงศ์พจน์ กล่าว           DHOUSE ยังคงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง โดยเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์หลากหลายรูปแบบ อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และอาคารพาณิชย์ เพื่อตอบโจทย์ทุกกลุ่มความต้องการในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามและใกล้เคียง นอกจากนี้ ราคาที่อยู่อาศัยของ DHOUSE ยังอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ เมื่อเทียบกับโครงการอื่นในพื้นที่ ส่งผลให้ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้ออย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีจุดแข็งด้านต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ช่วยผลักดันผลประกอบการให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว           บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 259.92 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ UPark Home มูลค่า 179.43 ล้านบาท และโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ UPark Market มูลค่า 32.49 ล้านบาท และโครงการ UPark Residence มูลค่า 48 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดมีกำหนดเริ่มดำเนินการก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4/2568           ทั้งนี้ บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย อาทิ กลุ่มระดับกลางที่ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยและเพื่อลงทุนในจังหวัดมหาสารคาม รวมถึงกลุ่มนักศึกษาที่มีความต้องการที่พักอาศัยใกล้มหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีรายได้ที่รอการรับรู้จากยอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 18.65 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] TNP ค้าปลีกเหนือคึก! เครื่องดื่มซัมเมอร์ขายดี

[Vision Exclusive] TNP ค้าปลีกเหนือคึก! เครื่องดื่มซัมเมอร์ขายดี

          หุ้นวิชั่น - TNP เกาะกระแสสงกรานต์ อัดแคมเปญดึงลูกค้า แม่ทัพหญิง "อมร พุฒิพิริยะ" ดันยอดขายกลุ่มเครื่องดื่มคึกคักรับซัมเมอร์ ส่งซิกผลงาน Q2 โตต่อ พร้อมโชว์ความฟิต ปักหมุดเปิดสาขาใหม่ 5 แห่ง แตะ 55 สาขา ฟากโบรกเคาะกำไรชน 191 ล้านบาท ชูพื้นฐานปี 68 ที่ 4.50 บาท แนะ "ซื้อ"           เภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงราย เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า บริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มเห็นสัญญาณบวกตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าที่มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนคือ “กลุ่มเครื่องดื่ม” ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนราว 20-23% ของยอดขายรวม โดยมีอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) อยู่ในระดับที่น่าพอใจ และคาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ขยับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า           ขณะเดียวกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ บริษัทได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในธีม “รดน้ำดำหัว” เพื่อให้สอดคล้องกับบรรยากาศของเทศกาล พร้อมกระตุ้นยอดขายควบคู่กับการจำหน่ายสินค้าปกติ ซึ่งช่วยสร้างสีสันและดึงดูดลูกค้าเข้ามาจับจ่ายในร้านสาขาต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/2568 ซึ่งตรงกับฤดูร้อน บริษัทคาดว่าสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มและน้ำแข็งจะมียอดขายเติบโตอย่างโดดเด่นจากความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศร้อนจัดในหลายพื้นที่           บริษัทการเติบโตในไตรมาส 2/2568 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2568 โดยเฉพาะในด้าน Same Store Sales Growth (SSSG) หรืออัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวในระดับ 1 หลัก (Single Digit Growth) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า           ทั้งนี้ TNP ยังคงเดินหน้าขยายอาณาจักรค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 5 แห่งภายในปีนี้ ส่งผลให้จำนวนสาขารวมแตะ 55 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว 51 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 40 สาขา, เชียงใหม่ 4 สาขา และพะเยา 7 สาขา           โดยสาขาใหม่ล่าสุดที่เปิดให้บริการ คือ สาขาดอยหลวง อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา สะท้อนถึงกลยุทธ์การเข้าถึงแหล่งชุมชน พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าด้วยสินค้าที่หลากหลาย และการบริการตามมาตรฐานสากล           ด้าน  บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด ระบุถึง TNP ว่า มุมมองต่อแนวโน้มผลประกอบการปี 2568 ของ TNP ว่า คาดว่าผลประกอบการปี 2568 ของบริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP จะยังสามารถเติบโตได้เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการขยายสาขาเพิ่มเติมอีกประมาณ 5 สาขาในเขตภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการทำตลาด           แนวโน้มการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ยังคงนิยมเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือ           อัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะยังสามารถทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากปี 2567 ผลจากกลยุทธ์การทำตลาดสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงของบริษัท           คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2568 จะอยู่ที่ 191 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% YoY ตามการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและรายได้จากการขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.0% YoY ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2569 คาดว่าจะอยู่ที่ 206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% YoY ภายใต้สมมติฐานรายได้จากการขายเติบโต 4.0% YoY ตามการขยายสาขาใหม่           ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 4.50 บาท โดยใช้ค่าเฉลี่ย PE -0.5 S.D. จากอดีตที่ระดับ 18.86 เท่า รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[ภาพข่าว] JPARK ผถห.ไฟเขียวจ่ายปันผล 0.05 บาทต่อหุ้น

[ภาพข่าว] JPARK ผถห.ไฟเขียวจ่ายปันผล 0.05 บาทต่อหุ้น

            นางวิภา พัฒนวณิชย์กุล (ที่ 4 จากขวา) ประธานกรรมการ นายสันติพล เจนวัฒนไพศาล (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) “JPARK” พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัท ฯ เข้าร่วมการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เพื่อชี้แจงผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้น มีมติอนุมัติทุกวาระการประชุม รวมถึงวาระการพิจารณาการจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.05 บาทต่อหุ้น ซึ่งกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เมษายน 2568 ณ ห้องประชุม THE MITR-TING ROOM ชั้น 5  สามย่านมิตรทาวน์

AU หวานฉ่ำ กำไรโค้งแรกปัง แนะ 'ซื้อ' - เป้า 13.50 บ.

AU หวานฉ่ำ กำไรโค้งแรกปัง แนะ 'ซื้อ' - เป้า 13.50 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ว่าคาดมีรายได้งวด 1Q68 ราว 409 ลบ. +20%YoY -5%QoQ และกำไรราว 75 +38%YoY -13%QoQ ลบ. โดยมีแนวโน้มหดตัว QoQ เนื่องจากผลกระทบของ การเข้าสู่ช่วงรอมฎอน ในเดือน 1-31 มี.ค.68 ซึ่งส่วนใหญ่กระทบต่อสาขาใน ภาคใต้ ทั้งจากคนในพื้นที่และชาวมาเลเซีย ส่งผลให้ SSSG ภาพรวมเป็นลบ 2-3% อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการยังคงเติบโต YoY จากรายได้ของการจำหน่ายสินค้าในร้าน 7-Eleven ที่เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.67 รวมทั้งบริษัทเพิ่งเพิ่มกำลังผลิตจนสามารถวางจำหน่ายสินค้าครบทุกร้าน 7-Eleven 1.5 หมื่นสาขาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา (จากช่วงแรกเพียง 7-8 พันสาขา) นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการเป็น Partner กับสายการบินไทยซึ่งมีสัญญาตั้งแต่ 1 ต.ค.67 จนถึงเดือน พ.ค.68 ขณะที่ ในช่วง 1Q68 บริษัทมีการเปิดสาขาใหม่ 1 แห่ง ที่ PARC BANGNA ทดแทนการปิดสาขาที่ True Digital Park ส่งผลให้จำนวนสาขาทั้งหมดของร้าน After You ยังคงอยู่ที่ 62 แห่ง ส่วนแนวโน้ม %GPM มีโอกาสปรับลดลงสู่ 63.7% (1Q67 = 66.5%, 4Q67 = 64.5%) จากรายได้ของการจำหน่ายสินค้าหน้าร้านที่ลดลง ในขณะที่รายได้ของการจำหน่ายสินค้าในร้าน 7-Eleven ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น รายได้ ทั้งนี้เราคาดแนวโน้มรายได้และกำไรปี 68 ราว 1,848 ลบ. +17%YoY และ 327 ลบ. +10%YoY ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ 1) แผนขยายสาขาร้าน After You 5-6 แห่ง 2) การขยายกกำลังการผลิตเพื่อจำหน่ายสินค้าให้ครบร้าน 7-Eleven ทุก 1.5 หมื่นสาขา ซึ่งแล้วเสร็จไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา 3) การวางจำหน่ายสินค้าในร้าน 7-Eleven ที่เป็น Categories ใหม่เพิ่มเติม ทั้งในรูปแบบ Own Brand และการร่วมมือการ Partner (Collaboration) ซึ่งคาดจะเห็นความคืบหน้าช่วงกลางปีนี้ 4) การเปิดร้าน After You ที่เป็น Franchise ในต่างประเทศอีก 1-2 แห่ง และ 5) การทำเมนูใหม่ๆ            ซึ่งบริษัทกำลังพัฒนาเมนูอาหารคาว อย่างไรก็ตาม คาด %GPM อาจปรับลดลงสู่ 64.4% จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 65.7% เนื่องจากสัดส่วนในการขายสินค้าในร้าน 7-Eleven ที่เพิ่มขึ้น แต่มีโอกาสดีกว่าที่เราคาดจากการปรับราคา สินค้าบางรายการสะท้อนราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น            โดยได้ประเมินราคาเหมาะสมของ AU ที่ 13.50 บาท ด้วยวิธี Discounted Cash Flow (DCF) บนสมมติฐาน WACC 8% และ Terminal Growth 3.5% ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PE 27x สูงกว่ากลุ่มเล็กน้อยที่ราว 23x (PE: M = 12x, ZEN = 32x, MAGURO = 22x, OKJ = 24x) แต่คาดบริษัทมีศักยภาพเติบโต ต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีจากนี้ราว 10-20% ต่อปีจากแบรนด์ที่ติดตลาด แผนการ ขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ การวางขายสินค้าใน Modern Trade ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ได้รับกระแสนิยมทุกปี โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคา ปัจจุบันราว 35% เราจึงคงคาแนะนำ “ซื้อ”

BKA หุ้น IPO ขายเกลี้ยง จ่อเทรด mai วันที่ 22 เม.ย.นี้

BKA หุ้น IPO ขายเกลี้ยง จ่อเทรด mai วันที่ 22 เม.ย.นี้

          หุ้นวิชั่น - บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA ปิดจ๊อบขายหุ้น IPO 60 ล้านหุ้น  หมดเกลี้ยง หลังจากนักลงทุนแห่จองซื้อคึกคัก สะท้อนความมั่นใจศักยภาพการเติบโตในอนาคต พร้อมเดินเครื่องขยายพอร์ตธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย และสร้างแพลตฟอร์ม “Prop Tech” Virtual Reality มิติใหม่ในการดูบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ จ่อลงสนามเทรด mai 22 เม.ย.นี้ ด้านผู้ถือหุ้นใหญ่ พร้อมใจ Lock Up หุ้น 87% พร้อมเผยเหตุการณ์แผ่นดินไหว เปลี่ยนใจคนซื้อคอนโดฯ สู่บ้านแนวราบเพิ่ม ล่าสุดยอดลูกค้าแห่เข้าดูบ้านมือสอง BKA พุ่งแรง           นางสาวออมสิน ศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของ บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) เปิดเผยว่า หลังจากเปิดเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ BKA จำนวน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาหุ้นละ 1.80 บาท ระหว่างวันที่ 8-10 เม.ย. ที่ผ่านมา ปรากฏว่า นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้นเต็มจำนวนตั้งแต่วันแรก ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท รวมถึงศักยภาพและโอกาสการเติบโตของ BKA ในอนาคต ทั้งนี้ หุ้น BKA มีความพร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 22 เมษายน 2568 นี้ ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ว่า “BKA”           “ธุรกิจของ BKA ไม่ใช่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่เป็นธุรกิจการให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย “ธุรกิจบ้านแต่ง” หรือ “Flipping” ซึ่งธุรกิจในรูปแบบดังกล่าว เป็นการวางเงินประกัน เพื่อปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนซื้อบ้านทั้งหลัง ทำให้บริษัท มีส่วนต่างของผลตอบแทนที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องลงทุนตั้งแต่การซื้อที่ดินและก่อสร้าง ดังนั้นด้วยศักยภาพและจุดเด่น จึงมองว่า BKA เป็นหุ้นน้องใหม่ IPO ที่จิ๋วแต่แจ๋ว ในเรื่องของการสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน”           นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า ขอขอบคุณนักลงทุนที่เชื่อมั่นในศักยภาพและการเติบโตของบริษัท จนทำให้แผนการเสนอขายหุ้น IPO ของ BKA ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ และได้รับการตอบรับอย่างดี จากนักลงทุนที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตไปพร้อมกับ BKA สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตสู่การเป็นผู้นำธุรกิจบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ภายใต้ธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย ในรูปแบบธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขาย อสังหาริมทรัพย์ (ธุรกิจบ้านฝาก) และธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) ซึ่งทำให้ในวันนี้ “BKA เป็นที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง” เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการที่ให้บริการซื้อ-ขายบ้านมือสองที่ครอบคลุมทุกมิติ           ภายหลังจากที่ได้เงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทมีแผนในการนำเม็ดเงินไปขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้น รวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ จากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการดูบ้าน และเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถทางการแข่งขัน สู่การสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคต           “ผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัท ที่ถือหุ้นรวมกัน 87% ของทุนชำระแล้วก่อน IPO หรือคิดเป็น 62.14% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO นอกจากจะนำหุ้นติด Silent Period ตามหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดห้ามขายหุ้นในสัดส่วน 55% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO เป็นระยะเวลา 1 ปี แล้ว หุ้นที่เหลือส่วนที่ไม่ติด Silent Period  ตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 15 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 7.14% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO จะถูกห้ามขายโดยสมัครใจ (Voluntary IPO Lock Up) เป็นระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มทำการซื้อขายหุ้นของบริษัท ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ส่งผลให้มีหุ้นเดิมที่ถือโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่พร้อมใจกันงดการเสนอขาย หรือโอนด้วยวิธีการใดๆ นับแต่วันที่หุ้นเริ่มซื้อขาย (Lock-Up) ทั้งหมด 87% เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน”           นอกจากนี้ นายพชร ยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมาว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจ BKA เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์แนวราบโอกาสมีความเสียหายจากแผ่นดินไหวน้อยมากเมื่อเทียบกับอสังหาริมทรัพย์แนวสูง เช่น คอนโดมิเนียม ซึ่งบ้านของบริษัททุกหลังไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และบริษัทได้รับผลเชิงบวก เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียม เปลี่ยนใจมาซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบแทน และด้วยระดับราคาที่คุ้มค่า ซึ่ง BKA สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ โดยจะเห็นได้จากล่าสุด มีลูกค้าสนใจติดต่อเข้ามาดูบ้านมือสองของ BKA เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยวในระดับราคา 5-7 ล้านบาท ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนถึงอัตราความต้องการบ้านมือสองตกแต่งใหม่ของบริษัทที่เพิ่มขึ้น           ด้านนางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะ ที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า หลังจากปิดการจองซื้อหุ้น IPO ของ BKA มีผลตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ที่เชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสการเติบโตของธุรกิจ และด้วยความเชี่ยวชาญ ควบคู่กับประสบการณ์ในธุรกิจของผู้บริหารมาเป็นระยะเวลามากกว่า 12 ปี ยิ่งตอกย้ำศักยภาพความน่าเชื่อถือในการสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัท           การระดมทุนของ BKA ในครั้งนี้ จะช่วยสร้างความแข่งแกร่งด้านฐานะทางการเงินให้แก่บริษัทที่พร้อมจะนำไปสร้างโอกาสเพื่อต่อยอดการลงทุน โดยเฉพาะในธุรกิจให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนสูง เพราะเป็นธุรกิจที่วางเงินประกัน เพื่อปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนซื้อบ้านทั้งหลัง ทำให้ประหยัดเงินลงทุน นอกจากนี้มองว่า ตลาดบ้านมือสองยังมีศักยภาพการเติบโต โดยเห็นได้จาก สถาบันการเงินและ AMC มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ที่ค้างอยู่ในระบบจำนวนมาก และเป็นสินค้าบ้านมือสองทำเลดี ราคาคุ้มค่าต่อการลงทุน ซึ่งสอดรับกับการดำเนินธุรกิจของ BKA ที่ให้บริการปรับปรุงและขายบ้านมือสอง ซึ่งมีรายได้กระจายไปในบ้านแต่ง บ้านฝาก และบ้านตัด หลายโครงการในทำเลที่ดี           อย่างไรก็ตาม จากศักยภาพความแข็งแกร่ง ส่งผลให้ BKA มีอัตราการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) มีรายได้รวม จำนวน 1,302.92 ล้านบาท 1,313.59 ล้านบาท และ 1,142.46 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิในปี 2565-2567 จำนวน 21.44 ล้านบาท 22.27 ล้านบาท และ 36.82 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 1.65 ร้อยละ 1.70 และร้อยละ 3.22 ตามลำดับ [PR News]

THANA เฮ! รัฐหั่นค่าธรรมเนียม เหลือ 0.01% - พร้อมโอน 400 ล.   

THANA เฮ! รัฐหั่นค่าธรรมเนียม เหลือ 0.01% - พร้อมโอน 400 ล.  

           หุ้นวิชั่น - THANA ได้เฮ! รัฐลดค่าธรรมเนียมอสังหาฯ จดทำนองเหลือ 0.01% ฟากบิ๊กบอส "สุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์" เชื่่อหนุนตลาดฟื้น หลังซบเซามาหลายไตรมาส โชว์โครงการพร้อมโอน 400 ล้านบาท            นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า มติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้ลดค่าจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 0.01% และค่าจดทะเบียนจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ถือเป็นมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม            นโยบายดังกล่าวเข้ามาช่วยพยุงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ภาพรวมยังคงคลุมเครือ และไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาชัดเจน โดยการผ่อนคลายภาระค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์และจำนอง จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ            อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาประเด็นสำคัญ คือ แนวโน้มการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งยังเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม้จะมีมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่หากธนาคารยังคุมเข้มการปล่อยกู้ ก็อาจเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการขยายตัวของภาคอสังหาฯ ได้            “ในเชิงจิตวิทยา มาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคกล้าตัดสินใจซื้อบ้านมากขึ้น เพราะต้นทุนค่าโอนและจำนองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้ราคาที่อยู่อาศัยโดยรวมไม่สูงมากในช่วงนี้” นายสุทธิรักษ์ กล่าว            มาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนและจำนองอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ จะช่วยหนุนภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2/2568 ให้ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะชะลอตัวและรอปัจจัยกระตุ้นใหม่            สำหรับพอร์ตโครงการของ THANA ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท, กลุ่มราคา 5–10 ล้านบาท และกลุ่มราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งแต่ละกลุ่มมีสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ระดับประมาณ 25–30% ของพอร์ตทั้งหมด            ปัจจุบันบริษัทมีโครงการพร้อมโอนภายใน 1 เดือน มูลค่ารวมประมาณ 400 ล้านบาท และยังมีโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่เตรียมพร้อมโอนภายในปีนี้อีกประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยบริษัทเชื่อว่ามาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในครั้งนี้ จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ และทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งหลังเผชิญภาวะซบเซามาหลายไตรมาส รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

KLINIQ เด้งแรง 9.65% รับสัญญาณถึงรอบโต -เป้าใหม่ 36 บ.

KLINIQ เด้งแรง 9.65% รับสัญญาณถึงรอบโต -เป้าใหม่ 36 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้น KLINIQ บ่ายวันนี้ (10 เม.ย.68) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ 31.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท หรือ 9.65%            โดย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ระบุว่า KLINIQ เข้าสู่รอบผลประกอบการเติบโต นักวิเคราะห์มองบวกต่อทิศทางธุรกิจ หลังเปิดสาขาใหม่ตอบรับดี แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 36 บาท KLINIQ เริ่มกลับเข้าสู่รอบผลประกอบการเติบโตอีกครั้ง นักวิเคราะห์มองบวกต่อการประชุมนักวิเคราะห์และงาน Opportunity Day ล่าสุด โดยประเมินว่าผลประกอบการในปี 2568 จะเติบโตจากฐานเดิม หลังจากปีที่ผ่านมาเร่งขยายสาขามากถึง 18 แห่ง            จากปกติที่เปิดเฉลี่ยปีละ 10 แห่ง ซึ่งในช่วงแรกส่งผลให้มีผลขาดทุนจากค่าใช้จ่ายลงทุน และกดดันผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567            อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณบวกจากการตอบรับของสาขาใหม่ โดยเฉพาะแบรนด์ L.A.B.X ซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่อายุเพียง 2.5 ปี แต่สามารถเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีสาขาเพิ่มจาก 14 แห่ง เป็น 23 แห่งในปี 2567 และมีรายได้ในไตรมาส 4/2567 เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ยอดขายต่อสาขาต่อเดือน (Cash Sales) เพิ่มขึ้นเป็น 2.5 ล้านบาท ใกล้เคียงช่วงเดียวกันของปีก่อน            ในปี 2568 บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่กลับสู่ระดับปกติ 10 แห่ง โดยแบ่งเป็น The Klinique 3 แห่ง, L.A.B.X 4 แห่ง และ L’clinic 3 แห่ง และยังไม่มีแผนเปิดเพิ่มสำหรับสาขา SPA โดยจะเน้นการสร้างฐานลูกค้าใน 2 สาขาปัจจุบันแทน นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจากปัจจุบัน 12% เป็น 15–20% ภายใน 2 ปี ผ่านการทำตลาดในกลุ่มอาเซียนและจีน โดยเตรียมตั้งทีมงานดูแลลูกค้าต่างชาติทั้งผ่านเอเยนซี่และการตลาดตรง            ศูนย์ศัลยกรรมยังคงเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยมีอัตราใช้บริการ (U-rate) ในไตรมาส 4/2567 ใกล้แตะ 60% และมีกำไรราว 11 ล้านบาท พร้อมเตรียมเปิดศูนย์ศัลยกรรมแห่งใหม่อีกหนึ่งแห่งในไตรมาส 4/2568 ซึ่งยังไม่รวมอยู่ในประมาณการ            โดยรวม ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ไว้ที่ 360 ล้านบาท (+12% y-y) แต่เริ่มมี Upside Risk เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มอัตรากำไรที่ดีขึ้น โดยเฉพาะหากเป็นไปตามเป้าของบริษัท อาจมีอัพไซด์มากถึง 15% พร้อมทั้งประเมินแนวโน้มไตรมาส 1/2568 จะยังคงแข็งแกร่ง โดยกำไรเบื้องต้นคาดแตะระดับ 100 ล้านบาท (+33% y-y, ทรงตัว q-q)

[Gossip] ผถห. EURO เตรียมล็อกคิวด่วน!

[Gossip] ผถห. EURO เตรียมล็อกคิวด่วน!

          แฟนคลับ บมจ.ยูโร ครีเอชั่นส์ (EURO) ห้ามพลาด! นัดสำคัญ...งานประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ในวันอังคารที่ 22 เม.ย.68 เวลา 14:00 น. ผ่านระบบ e-Meeting งานนี้ไม่ต้องฝ่ารถติด ไม่ต้องหาที่จอด เพราะประชุมกันแบบออนไลน์ สะดวกสุดๆ อยู่ที่ไหนก็คลิกเข้าร่วมได้เลย! ผู้ถือหุ้นตัวจริง เช็กอีเมลให้ไว ลิงก์ประชุมอยู่ไม่ไกล คลิกมาแล้วเจอกัน!

[Gossip] “BKA” หุ้นน้องใหม่ IPO รับอานิสงส์บ้านแนวราบพุ่ง

[Gossip] “BKA” หุ้นน้องใหม่ IPO รับอานิสงส์บ้านแนวราบพุ่ง

          หลังจากเกิดแผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าโครงการบ้านแนวราบ กลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะคนเปลี่ยนแนวคิดการซื้อที่อยู่อาศัยมาเป็นแนวราบกันมากขึ้น และจากปัจจัยนี้ ส่งผลบวกต่อหุ้นน้องใหม่ที่กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ อย่าง บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป “BKA” ผู้นำธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ นอกจากไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจรีโนเวทบ้านมือสองแล้ว ยังฮีลใจคนที่กำลังตัดสินใจคิดจะซื้อคอนโดมีเนียม เปลี่ยนใจมาซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบแทน ล่าสุด แว่วๆ ว่า CEO “พชร ธนวงศ์เกษม” ถึงกับเป็นปลื้ม ที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาดูบ้านมือสองของ BKA โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยวในระดับราคา 5-7 ล้านบาทเพิ่มกว่า 30% งานนี้ BKA สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนอยากมีบ้าน ภายใต้ความคุ้มค่าน่าซื้อ บนทำเลที่ดี ทำให้ลูกค้าทยอยเข้ามาดูบ้านมือสองหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ แบบนี้สินะที่เค้าเรียกว่าทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส แค่นั้นยังไม่พอบรรดานักลงทุนยังยกให้ BKA เป็นหุ้นเนื้อหอมที่น่าจับตามากๆ เพียงแค่เปิดจองวันแรก 8 เม.ย.ที่ผ่านมา ปรากฎมีความต้องการจองซื้อล้นไม่เพียงพอต่อการเสนอขาย ได้ยินแบบนี้แล้วคงเดาได้ไม่ยากว่า ยอดปิดจองซื้อวันนี้ (10 เม.ย.) วันสุดท้ายจะพุ่งกระฉูดขนาดไหน งานนี้เห็นทีหุ้น BKA จะเป็นหุ้น IPO น้องใหม่ที่เข้ามาสร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นไทย ที่มีความผันผวนในช่วงนี้ได้ดีจริงๆ

LTMH คอนเทนต์โตแรง โกลเบล็ก เคาะเป้า 6.60 บ.

LTMH คอนเทนต์โตแรง โกลเบล็ก เคาะเป้า 6.60 บ.

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า บริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) หรือ LTMH หรือที่รู้จักกันในนาม “ลงทุนแมน” มีลักษณะการประกอบธุรกิจ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้ กลุ่มธุรกิจสื่อ และแพลตฟอร์มสื่อ (ออนไลน์) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจสื่อ ออนไลน์ (Online Media) ธุรกิจแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ (Online Media Platform) 1 ธุรกิจให้บริการที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร (Digital Marketing Solution) ธุรกิจออฟไลน์ แบ่งออกเป็น 2 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจการจัดงานอิเวนต์ (Event) ธุรกิจการจำหน่ายหนังสือ           โดยวัตถุประสงค์ของการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ เพื่อใช้สำหรับ การขยายการดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน           โดยฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมของ LTMH ในปี 68 ที่ 6.60 บาทต่อหุ้น           คาดการณ์รายได้จากการดำเนินงานในปี 68-69 เท่ากับ 300 ลบ. +33%YoY และ 362 ลบ. +20%YoY ตามลำดับ คิดเป็น การเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ราว 27% ต่อปี สำหรับปี 2568 คาดรายได้ที่ 300 ลบ. +33%YoY สาเหตุหลักจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจสื่อออนไลน์ +27%YoY จากปริมาณงานโฆษณา และจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงความสามารถในการปรับขึ้นราคาค่าบริการ และการเติบโตของรายได้ธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร +70%YoY จากที่คาดว่าบริษัทจะได้รับงานใหม่อย่างต่อเนื่อง และปี 69 คาดรายได้ที่ 362 ลบ. +20%YoY สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจสื่อออนไลน์ +20%YoY สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ที่ระดับ 57.6% และ 58.0% ตามลำดับ ปี 68-69 คาด %GPM ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุหลักจากต้นทุนส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นต้นทุนคงที่ (Fix Cost) ส่งผลให้เมื่อรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนปรับขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่า สำหรับสมมติฐานค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารต่อรายได้รวม (SG&A/Total Sales) ที่ระดับ 30.3% และ 30.3% ตามลำดับ โดยมีแนวโน้มปรับตัวสูงข้นจากในปี 66 สาเหตุหลักคาดมาจากการที่บริษัทเพิ่มจำนวนพนักงาน เพื่อรองรับการขยายการดำเนินธุรกิจ เทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) ซึ่งบริษัทมีแผนการเปิดให้บริการธุรกิจหลักทรัพย์ในช่วง 2H68 (รายละเอียดสามารถอ่าน เพิ่มเติมได้ในส่วนของโครงการในอนาคต) ส่งผลให้เราคาดกำไรสุทธิเท่ากับ 54 และ 67 ลบ. คิดเป็นอัตราการเติบโต +58% และ +23% ตามลำดับหรือคิดเป็นการเติบโต เฉลี่ย (CAGR) ราว 40% ต่อปี มีอัตรากำไรสุทธิ (%NPM) ที่ระดับ 18.1% และ 18.5% ตามลำดับ           ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาเหมาะสม LTMH ด้วยวิธี Market Comparable Approach ด้วย Price to Earning Approach โดยอิง Prospective PE ที่ระดับ 24.2x เนื่องจากไม่มีบริษัทในตลาดฯ ที่ประกอบธุรกิจเช่นเดียวกับบริษัท LTMH จึงใช้ หลักทรัพย์ที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกับบริษัท (อุตสาหกรรมบริการ/หมวดธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์) ในการอ้างอิง โดยใช้ค่าเฉลี่ย P/E Ratio ย้อนหลัง 2 ปีของ PLANB ที่ระดับ 32.0x และ ONEE ที่ระดับ 16.4x ประกอบกับคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 68 ราว 0.272 บาท/หุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 2568 เท่ากับ 6.60 บาท

AU ปักหมุดโกอินเตอร์ ปั้นสาขาทำเงินเพิ่ม

AU ปักหมุดโกอินเตอร์ ปั้นสาขาทำเงินเพิ่ม

           หุ้นวิชั่น – บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด ระบุถึง บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ว่ารายงานผลกำไรสุทธิปี 2567 มีการเติบโต 296 ล้านบาท คิดเป็น 66% เทียบ YoY ซึ่งรายได้หนุนมาจาก 1.ยอดขายที่เติบโตขึ้น และ 2. อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น โดยบริษัทมีรายได้จากการขายปี 2567 เพิ่มขึ้น 30% YoY ที่ 1,577 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากร้านขนมหวานและเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้น ยอดขายจากสาขาเดิมเฉลี่ย(SSSG) เติบโต 11.0% การเพิ่มขึ้นของสาขา After you จำนวน 2 สาขา และร้านอื่นๆอีก 7 สาขา, การเติบโตของยอดขายผ่านช่องทาง Modern Trade โดยเฉพาะช่องทางร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่เริ่มวางขายตั้งแต่เดือน ก.ค.67 เป็นต้นมา            และการออกสินค้าใหม่ในทุกไตรมาส ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 65.7% เพิ่มขึ้นจาก 64.8% เทียบกับในปี 2566 นั้นเป็นผลจากการเกิด Economy of Scale ของโรงงานผลิตเนื่องจากจำนวนสินค้าที่ผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัท ในปี 2568 มีโอกาสเติบโตต่อ โดยวางเป้าการเติบโตของรายได้ปี 2568 ที่ 25-30% โดยมีแรงหนุนทั้งจาก 1. รายได้จากธุรกิจร้านขนมหวานและเครื่องดื่ม ทั้งสาขาเดิมเฉลี่ย ที่คาดว่าจะยังเป็นบวกต่อเนื่องและจากการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งบริษัทมีแผนขยายสาขาและแบรนด์ในเครือ 14 สาขาแตะระดับ 98 สาขาในปี68 นี้ แบ่งเป็น After You 6 สาขา (มาอยู่ที่ 68 สาขา), ร้านผลไม้ลูกก๊อ 5 สาขา (มาอยู่ที่ 20 สาขา), ร้านกาแฟ Mikka 2 สาขา (มาอยู่ที่ 7 สาขา) 2. รายได้จาก Modern Trade โดยเฉพาะยอดขายในร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่เริ่มวางจำหน่ายขนมปังเนยโสดไปเมื่อ ก.ค. 67 และได้รับกระแสตอบรับที่ดี ซึ่งในปีหน้าจะรับรู้รายได้ในส่วนนี้เต็มปี            นอกจากนี้ยังมีแผนจะนำสินค้าใหม่อีก 2 SKU ในช่วง พ.ค.-มิ.ย. 2568 และ 3. แผนการขยายสาขาไปยังต่างประเทศที่เน้นไปที่เอเชียและตะวันออกกลาง ทั้งแผนการเปิดสาขาที่ 2 ของ After You ในกัมพูชา (ช่วงสิ้นปี 68 - ต้นปี 69) หลังเริ่มเปิดไปเมื่อเดือน ต.ค. 67 รวมถึงมาเลเซียที่อยู่ในขั้นตอนการเตรียมเอกสารและการนำเข้าพร้อมการพิจารณาเปิดสาขาที่อินโดนีเซียและดูไบ

DOD ปั้นรายได้ 800 ล้าน ขยายไลน์กัมมี่ - ลุ้นจ่ายปันผล!

DOD ปั้นรายได้ 800 ล้าน ขยายไลน์กัมมี่ - ลุ้นจ่ายปันผล!

           หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค หรือ “DOD” เปิดเกมรุกวางกลยุทธ์เพิ่มกำลังการผลิต และควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โชว์กำลังการผลิตเครื่องจักรกัมมี่ (Gummies) แตะ 1 แสนชิ้นต่อวัน เดินหน้าส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าภายในไตรมาส 2/68 ด้านผู้บริหาร “ต่อลาภ ไชยเชาวน์” แอบส่งซิก ตุนออเดอร์ลูกค้าเดิม-ลูกค้าใหม่ เฉลี่ย 100 SKUs ต่อเดือน พร้อมจ่อเตรียมเซ็น MOU กับมหาวิทยาลัยชื่อดัง ยกระดับนวัตกรรมการผลิต หนุนรายได้รวมปี 2568 แตะ 800 ล้านบาท ปั้นกำไรจ่ายปันผลในปีนี้            นายต่อลาภ ไชยเชาวน์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD ผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ตราสินค้าของลูกค้า เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีการขยายไลน์รูปแบบการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มในรูปแบบกัมมี่ (Gummies) โดยเครื่องจักรดังกล่าวได้มีการติดตั้งแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซี่งมีกำลังการผลิต 1 แสนชิ้นต่อวัน หรือเฉลี่ยประมาณ 2.5 ล้านชิ้นต่อเดือน ทั้งนี้ในเบื้องต้นบริษัทฯ จะเริ่มทยอยส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าเพื่อจำหน่ายได้ ภายในไตรมาส 2/2568 เป็นต้นไป            สำหรับอาหารเสริมในรูปแบบกัมมี่ เป็นที่นิยมกับกลุ่มผู้บริโภคในขณะนี้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากรับประทานง่ายและมีประโยชน์ต่อการดูแลผิวพรรณและสุขภาพ ดังนั้นมองว่าผลิตภัณฑ์ในรูปแบบดังกล่าว จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุด บริษัทฯ มียอดคำสั่งผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเสริมรูปแบบกัมมี่ เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มลูกค้าเก่า และ ลูกค้ารายใหม่            ขณะที่ยอดคำสั่งผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในรูปแบบ ชงดื่ม เม็ด เจลลี่ แคปซูล ตอกเม็ดโพรไบโอติค และ ซองกรอกปาก ยังคงมีดีมานด์สูงขึ้น โดยมียอดออเดอร์ที่เข้ามาเพื่อรอส่งมอบให้กับลูกค้า ทั้งลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ เฉลี่ยเดือนละ 100 SKUs ส่งผลให้บริษัทฯ มีการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง            อย่างไรก็ตาม จากการขับเคลื่อนดังกล่าวส่งผลให้ DOD ตั้งเป้ารายได้จากยอดขายในปี 2568 ที่ระดับประมาณ 800 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 24% จากปีก่อน ซึ่งจะมาจากฐานการผลิต (Production Base) ประมาณ 500 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากฐานการค้าปลีก (Retail Base) ภายใต้ บริษัท ออสเวลไลฟ์ จำกัด (AWL) ดำเนินการจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ “Auswelllife” นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ที่ระดับ 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งขยายฐานของกลุ่มตัวแทนขายที่เพิ่มขึ้น และจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ มีแผนที่จะจ่ายเงินปันผลให้ได้ในปีนี้            และในเร็วๆ นี้ บริษัทฯ เตรียมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับมหาวิทยาลัยชื่อดัง เพื่อผนึกกำลังในการร่วมวิจัยส่งเสริมการเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพของนวัตกรรมการผลิตในการสนับสนุน ให้วัสดุที่ใช้ในกระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และครอบคลุมการผลิตให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น            นายต่อลาภ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และมีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลของ Nielsen ที่ระบุว่าเทรนด์การใส่ใจสุขภาพของคนไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดอาหารเสริมมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ด้วยแนวโน้มดังกล่าวบริษัทฯ จึงขยายการลงทุนด้านเครื่องจักรเพิ่มขึ้น สำหรับรองรับคำสั่งซื้อที่จะเข้ามาในอนาคต โดยใช้กระแสเงินสดจากกิจการ ทั้งนี้เป็นเพราะตั้งแต่ปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัททำให้มีสภาพคล่องเพิ่มสูงขึ้น และมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง [PR News]

AUCT หนีตาย! ประมูลรถภาคเหนือ จับมือไฟแนนซ์ลุยเชียงใหม่

AUCT หนีตาย! ประมูลรถภาคเหนือ จับมือไฟแนนซ์ลุยเชียงใหม่

            บมจ.สหการประมูล (AUCT) เผยความต้องการซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสองภาคเหนือยังมีความต้องการซื้อสูง จับมือไฟแนนซ์เปิดประมูลขายเดือนเมษายน 7 รอบที่สาขาเชียงใหม่จำนวนกว่า 1,000 คัน รองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อรถในราคาประหยัด             นายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์มือสองในภูมิภาคต่าง ๆ ยังได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี เนื่องจากรถยนต์มือสองมีราคาขายที่ถูกกว่ารถยนต์ป้ายแดงประมาณ 40-50% ทำให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อนำรถยนต์ไปใช้ในกิจการต่างๆ โดยเฉพาะรถยนต์ประเภทกระบะที่อยู่ในความสนใจของลูกค้าในส่วนภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันยังมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักลงทุนและผู้ซื้อรายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา เพราะปัจจัยด้านราคาขายช่วยให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น จึงทำให้ตลาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสองต่างจังหวัดยังมีโอกาสขยายตัวค่อนข้างสูง             โดยเฉพาะภาคเหนือซึ่งสหการประมูลมีสาขาบริการที่จังหวัดเชียงใหม่ ถือว่าเป็นภูมิภาคที่ตลาดมีทิศทางที่ดี เห็นได้จากในเดือนเมษายน 2568 สหการประมูลได้ร่วมกับไฟแนนซ์ต่าง ๆ นำรถยนต์เปิดประมูลขายที่สาขาเชียงใหม่ถึง 7 รอบ คือในวันที่ 2, 5, 12,19, 21, 24, และ 26 ซึ่งมีรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสองเข้าร่วมประมูลขายกว่า 1,000 คัน และคาดว่าจะมีโอกาสขายได้เกินร้อยละ 90% เนื่องจากมีทั้งการประมูลหน้าลานและการประมูลออนไลน์             นายสุธีเปิดเผยเพิ่มเติมว่า สาขาจังหวัดเชียงใหม่เป็น 1 ใน 13 สาขาที่เปิดให้บริการทั่วประเทศ ที่สำคัญยังเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค จึงเป็นสาขาที่สามารถให้บริการลูกค้าทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง ที่ผ่านมาบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการประมูลขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสองในแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่า 1,000 คัน เนื่องจากจำนวนรถยึดจากไฟแนนซ์ต่าง ๆ ยังทยอยเข้าสู่ลานประมูลอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนรถยึดจากคลังสินค้าในภาคเหนือ เช่นที่จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิษณุโลก ลำปาง เชียงราย และเชียงใหม่ ยังมีรถยนต์มือสองรอประมูลขายจำนวนมาก             สำหรับผู้ที่สนใจประมูลรถยนต์ที่สาขาเชียงใหม่ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.auct.co.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-033-6555

[Vision Exclusive] หุ้นไทยผันผวนแรง! แนะหุ้นเล็กติดพอร์ต

[Vision Exclusive] หุ้นไทยผันผวนแรง! แนะหุ้นเล็กติดพอร์ต

           หุ้นวิชั่น –  ตลาดหุ้นไทยผันผวนหนัก สงครามการค้าระอุ ฉุดหุ้นใหญ่ร่วงเป็นแถว หยวนต้าส่องหุ้นขนาดกลาง - เล็ก ทะยานหลังลดดอกเบี้ย ส่อแววครึ่งปีหลัง ปี 68 ลดต่อ จากเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา มีมติเคาะดอกเบี้ยเหลือ 2% จาก 2.25% ชูเก็บ  LTS, KJL, SECURE ติดพอร์ต             นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง จากปัจจัยกดดันด้านต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีสงครามการค้า และการประกาศเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ปรับตัวลงค่อนข้างแรง โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่ได้รับแรงขายตามภาวะตลาด            จากสถานการณ์ดังกล่าว หุ้นขนาดใหญ่กลับน่าสนใจมากกว่าหุ้นขนาดเล็ก เนื่องจากมีระดับมูลค่า (Valuation) ที่ไม่แพง และเหมาะแก่การลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง            ขณะที่ในกลุ่มหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก หากย้อนดูสถิติที่ผ่านมา มักจะปรับตัวขึ้นเมื่อมีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยหากในปี 2568 นี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ก็จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มดังกล่าวอีกครั้ง            ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา กนง. มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 2.25% มาอยู่ที่ 2.00% โดยนักวิเคราะห์ยังคงจับตาการประชุมในรอบถัดไป ว่าจะมีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมหรือไม่ หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดว่าจะส่งผลบวกต่อธุรกิจในหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มไฟแนนซ์ สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ และโรงไฟฟ้า ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง และอาจช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและการลงทุนในภาพรวมได้มากขึ้น            สำหรับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่น่าจับตาในช่วงนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ มองว่าแม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลง แต่ยังมีความน่าสนใจในเชิงพื้นฐาน โดยหุ้นที่ได้รับการแนะนำ ได้แก่ บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS, บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL และ บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด (มหาชน) หรือ SECURE รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] MGT ขยับเกมธุรกิจ ปรับแผนรับศึกสหรัฐฯ

[Vision Exclusive] MGT ขยับเกมธุรกิจ ปรับแผนรับศึกสหรัฐฯ

            หุ้นวิชั่น - MGT จับตาการค้าระหว่างประเทศ หลังสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้า ชี้กระทบลูกค้าหลักส่งออก อาหารกระป๋องแปรรูป ยางรถยนต์ หวั่นแนวโน้มใช้เคมีภัณฑ์ลด ด้านผู้บริหาร "วิทยา อินาลา" เล็งขยับแผนกลยุทธ์รับมือ Q2/68 ส่วนโค้งแรกคาดวิ่งฉลุย พร้อมเกาะติดนโยบายผู้นำประเทศไทย             ดร.วิทยา อินาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemical) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า จากกรณีสงครามการค้าและการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยและต่างประเทศ บริษัทมองว่าประเด็นดังกล่าวส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวม ทั้งในส่วนของการนำเข้าและการส่งออกสินค้าไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา             ขณะที่ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชน จำเป็นต้องติดตามทิศทางนโยบายของผู้นำประเทศอย่างใกล้ชิด และควรมองหาทางออกหรือแนวทางในการปรับตัว เช่น การเจรจาการค้ากับกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อหาแนวทางในการปรับแผนธุรกิจและลดผลกระทบจากการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ             บริษัทอาจจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การจำหน่ายสินค้า เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักคือกลุ่มผู้ประกอบการส่งออกอาหารแปรรูป ซึ่งใช้เคมีภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ประเภทกระป๋อง โดยคาดว่าความต้องการในกลุ่มนี้อาจมีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าผู้ผลิตล้อรถยนต์ ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกจำนวนมากไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ก็อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยบริษัทประเมินว่าสินค้าจากกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-45% ของยอดการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ             สำหรับทิศทางธุรกิจในไตรมาส 1/2568 MGT ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ และคาดว่าผลประกอบการในไตรมาสดังกล่าวจะเติบโตอยู่ในระดับที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม สำหรับไตรมาส 2/2568 บริษัทอาจต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะประเด็นความขัดแย้งด้านภาษีนำเข้า-ส่งออกระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

MAGURO ไม่พัก! เปิด Tonkatsu AOKI  แลนด์มาร์กใหม่กลางกรุง

MAGURO ไม่พัก! เปิด Tonkatsu AOKI แลนด์มาร์กใหม่กลางกรุง

          หุ้นวิชั่น - สร้างตำนานอย่างต่อเนื่อง Tonkatsu AOKI (ทงคัตสึ อาโอกิ) ร้านผู้เชี่ยวชาญด้านหมูทอดทงคัตสึ ยอดนิยมจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยคะแนน Tablelog 3.8 ภายใต้บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดสาขาใหม่ล่าสุด เป็นแห่งที่สาม สาขา One Bangkok (วัน แบงค็อก) อย่างเป็นทางการ ต่อเนื่องภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึงสองอาทิตย์ หลังจากเปิดตัวสาขา Velaa Sindhorn Village Langsuan ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ตอกย้ำความสำเร็จในการเป็นผู้นำแบรนด์ร้านอาหารพรีเมียมแมส ที่พร้อมส่งมอบประสบการณ์มื้ออาหารที่ดีที่สุด รองรับทุกไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายสำหรับทุกคน Tonkatsu AOKI สาขา One Bangkok มาพร้อมโซน Pet Friendly ที่ให้นำน้องหมาน้องแมวมาด้วยได้ เปิดให้บริการแล้ววันนี้ ณ ชั้น 3 อาคาร The Storeys  พิเศษ! โปรโมชันสาขา One Bangkok! เพียงแสดงบัตรพนักงาน รับส่วนลด 10% ทันที ในวันจันทร์-ศุกร์            คุณจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า “จากความสำเร็จของการเปิดสาขาที่ 2 ร้าน Tonkatsu AOKI สาขา Velaa Sindhorn Village Langsuan ซึ่งได้กระแสตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี จึงทำให้ขยายความสำเร็จมาสู่การเปิดแห่งที่สาม ในสาขา One Bangkok ต่อเนื่องในระยะเวลาเพียงสองอาทิตย์ ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายแต่จากการที่ได้วางโรดแมพมาอย่างมีกลยุทธ์รองรับ ทำให้มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน เนื่องจากโครงการ One Bangkok เป็นทำเลศักยภาพทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน โดยเป็นพื้นที่มีมีผู้ใช้บริการตรงกลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มพนักงานบริษัท คนรุ่นใหม่ คนเมือง นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย จึงนับเป็นการต่อจิ๊กซอว์ในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของไลฟ์สไตล์คนเมืองและกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ”           คุณธีรภพ กรานเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เผยว่า “ความสำเร็จของสาขา Velaa Sindhorn Village Langsuan นับว่าเกินความคาดหมาย โดยเฉพาะการตอบรับในโซน Pet Friendly ที่ให้นั่งรับประทานพร้อมกับนำสัตว์เลี้ยงน้องหมาน้องแมวมาร่วมได้ โดยมียอดจองเข้าใช้บริการ รวมแล้วกว่า 200 ครอบครัว และมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลสูง ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อและความดีมานด์ของผู้บริโภคในกลุ่มนี้ จึงต่อยอดมาสู่ Tonkatsu AOKI สาขา One Bangkok ซึ่งโครงการ One Bangkok มีศักยภาพและสิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities) รองรับสำหรับการเปิดบริการ โซน Pet Friendly และพร้อมกับโซน Main Dining ที่ให้บริการนั่งรับประทานอาหารแบบปกติ อย่างถูกต้องตามมาตรฐานการให้บริการ นอกจากนี้ยังเป็นการสะท้อนถึงอีกแนวคิดสำคัญในการทำการตลาด ที่ความพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมนูอาหาร แต่ใส่ใจไปถึงทุกองค์ประกอบของความสุข ที่ได้รับจากประสบการณ์ในมื้ออาหารที่ดีที่สุดที่ได้ใช้เวลาร่วมกันกับคนสำคัญในครอบครัว           ร้าน Tonkatsu AOKI สาขา One Bangkok ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 อาคาร The Storeys  ในโครงการ One Bangkok ทางฝั่งบริเวณโซนถนนวิทยุ บรรยากาศภายในร้านยังคงคอนเซ็ปต์ที่ตกแต่งให้มีกลิ่นอายสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น โดยมีพื้นที่ด้านนอกเป็น Pet Friendly และพื้นที่ภายในร้านเป็นโซน Main Dining และแน่นอนว่ายังคงซิกเนเจอร์ของร้าน Tonkatsu AOKI ที่โด่งดังไปทั่วโลก คือสามารถเลือกสั่งระดับความฉ่ำของหมูทอดได้ถึง 7 ระดับ และเลือกวัตถุดิบเนื้อหมูคุณภาพที่ดีที่สุดจาก 7 ส่วน เลือกรับประทานพร้อมซอสทงคัตสึหรือเกลือ 3 รสชาติอิมพอร์ตจากญี่ปุ่น เสิร์ฟพร้อมข้าวญี่ปุ่น Yumepirika ซุปทงจิรุ และผักกะหล่ำปลีฝอย โดยสามารถเติมข้าวกับผักกะหล่ำปลีได้ไม่อั้นอีกเช่นเคย           พร้อมด้วยเมนูฮิตล่าสุด Ebi Series กับเมนูกุ้ง 6 เมนู ที่มาแบบจัดเต็มกับ San Ebi Katsu กุ้งลายเสือตัวโต 2 ไซส์ที่เสิร์ฟคู่ในจานเดียวกัน หรือ Ebi-Hire Katsu ที่เสิร์ฟกุ้งลายเสือตัวโต 2 ตัวคู่สันใน และพิเศษ! โปรโมชันฉลองเปิดสาขาใหม่ เฉพาะสาขา One Bangkok เอาใจพนักงานออฟฟิศ เพียงแสดงบัตรพนักงาน รับส่วนลด 10% ทันที เฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีกำหนดสิ้นสุด โปรโมชัน           สัมผัสรสชาติของหมูทอดทงคัตสึแบบฉบับต้นตำรับที่ TONKATSU AOKI ร้านหมูทอด สาขาล่าสุด สาขา One Bangkok ชั้น 3 อาคาร The Storeys  พร้อมด้วยสาขา Velaa Sindhorn Village Langsuan ชั้น B1 และสาขา centralwOrld ชั้น 3 Nippon Avenue Zone รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.facebook.com/TonkatsuAokiThailand Instagram tonkatsuaoki.thailand Line OA @tonkatsuaoki.th หรือ โทร. 097-425-6252 [PR News]

[Gossip] TQR นายหน้าประกันภัยต่อ Alternative โตแรง!

[Gossip] TQR นายหน้าประกันภัยต่อ Alternative โตแรง!

            หุ้นวิชั่น - บมจ.ที คิว อาร์ (TQR) ผู้นำนายหน้าประกันภัยต่อแบบครบวงจร ดูทรงแล้วปีนี้ไปได้สวย เพราะแนวโน้มผลการดำเนินงาน Q1/68 ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ Alternative น่าจะโตแรงเลยทีเดียว... ทั้งประกันภัยต่อสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล, ประกันภัยต่อไซเบอร์, ประกันภัยต่อความรับผิดของกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหาร, ประกันภัยต่อที่เกี่ยวข้องกับ ESG ซึ่งอยู่ในเมกะเทรนด์ ฟากบอสใหญ่ “ชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์” มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโต 5-10% ตามแผน...แถมเห็นยิลด์ปันผลสูงถึง 8.62% (เทียบราคาปิด 8 เม.ย.68) บอกเลย ต้องมีติดพอร์ตไว้แล้วละคร้า!!!

PANEL แจงภาษีทรัมป์ไม่กระทบ จากไม่มีนำเข้า-ส่งออกไปสหรัฐ

PANEL แจงภาษีทรัมป์ไม่กระทบ จากไม่มีนำเข้า-ส่งออกไปสหรัฐ

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท เพเนเล่ส์มาติก โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (PANEL) เปิดเผยว่า ตามที่สหรัฐอเมริกา ปรับขึ้นภาษีศุลกากร (tariff) ซึ่งประเทศไทยถูกจัดเก็บภาษีนําเข้าในอัตรา 37% โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 บริษัทฯ ขอเรียนแจ้งให้ทราบว่าบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีดังกล่าว เนื่องจากบริษัทฯ ขายสินค้าและให้บริการในประเทศสัดส่วนมากกว่า 90% และไม่มีการนําเข้า-ส่งออก ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา

PRAPAT ยันแผ่นดินไหวเมียนมา ไม่กระทบ - พร้อมเฝ้าระวัง

PRAPAT ยันแผ่นดินไหวเมียนมา ไม่กระทบ - พร้อมเฝ้าระวัง

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวรุ่งทิพย์ มีแม่นวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PRAPAT แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งมีแรงสั่นสะเทือนกระทบถึงประเทศไทย บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ขอเรียนแจ้งว่า อาคารสำนักงาน โรงงาน เครื่องจักร และทรัพย์สินต่างๆ ของบริษัทและบริษัทย่อยไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหรือฐานะการเงินของกลุ่มบริษัทแต่อย่างใด รวมถึงตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัทในประเทศเมียนมา ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในเมืองย่างกุ้งจำนวน 1 ราย ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ บริษัทคำนึงถึงความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพนักงานในระดับสูงสุด จึงได้เตรียมความพร้อมและเฝ้าระวังสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างทันท่วงที

[ภาพข่าว] D ฟิตจัด! ผนึกพันธมิตร  ลุย Dental Tourism

[ภาพข่าว] D ฟิตจัด! ผนึกพันธมิตร ลุย Dental Tourism

           นายณัฐสิทธิ์ สุรพันธ์ไพโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D และ ทพญ.วิไลวรรณ ปัญญาวรชาติ  ผู้อำนวยการศูนย์ทันตกรรม Bangkok International Dental Center หรือ BIDC  พร้อมกับพันธมิตรทางธุรกิจ  Mr. Paul C McTaggart ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  Dental Departures เอเจนซี่ผู้เชี่ยวชาญการตลาดสำหรับการดูแลสุขภาพทางการแพทย์และทันตกรรมระหว่างประเทศ ร่วมหารือแผนงาน และตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนลูกค้าและรายได้ให้เติบโตเพิ่มขึ้น 15% จากลูกค้า Dental tourism  ชาวต่างชาติที่ยังไม่เคยเข้ารับการรักษากับ BIDC            ซึ่งมีแนวทางในการเพิ่มช่องทางการรับรู้ (Awareness) โดยใช้ SEO (Search Engine Optimisation) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงเว็บไซต์สำหรับลูกค้าต่างชาติ ให้สามารถค้นหาคลินิกและข้อมูลของ BIDC ได้ง่ายขึ้น  รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำตั้งแต่การเดินทาง สถานที่  ความสะอาด ความปลอดภัย  ตามมาตรฐานสากล ของ JCI accredited  ซึ่งคลินิกทันตกรรม BIDC ได้รับเป็นรายแรกของประเทศไทย  พร้อมทั้งการให้คำแนะนำติดตามหลังการรักษา  และลูกค้าสามารถแชร์ประสบการณ์ที่ประทับใจ   หลังการรักษาผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อเป็นการบอกต่อและแนะนำให้มาใช้บริการทันตกรรมที่ BIDC            ปัจจุบันศูนย์ทันตกรรม BIDC มีสาขาให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวและคนไทยทั้งหมด 5 สาขา คือ   ศูนย์ทันตกรรม BIDC ถนนรัชดาฯ, คลินิกทันตกรรม BIDC สาขาพารากอน, คลินิกทันตกรรม BIDC สาขาเอ็มควอเทียร์, คลินิกทันตกรรม ภูเก็ต เดนทัล ซิกเนเจอร์ และเชียงใหม่ เดนทัล คลินิกจัดฟัน (CIDC) ซึ่งประเทศไทยเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพทางทันตกรรม  เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า มีคุณภาพการรักษาสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับงานทันตกรรมขนาดใหญ่

DHOUSE เปิด 3 โครงการใหม่ 259 ล. ปักธงอสังหาฯสารคาม!

DHOUSE เปิด 3 โครงการใหม่ 259 ล. ปักธงอสังหาฯสารคาม!

            หุ้นวิชั่น - DHOUSE เผยทิศทางธุรกิจปี 2568 เติบโตดี เดินหน้ารับรู้รายได้ต่อเนื่อง จากอานิสงส์ความต้องการอสังหาฯเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหว เตรียมเปิดอสังหาฯเพื่อจำหน่ายและให้เช่ารวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 259.92 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ UPark Home มูลค่า 179.43 ล้านบาท, โครงการ UPark Market มูลค่า 32.49 ล้านบาท และ โครงการ UPark Residence มูลค่า 48 ล้านบาท รุกตลาดกลุ่มลูกค้าระดับกลาง และ กลุ่มนักศึกษา พร้อมพัฒนาศักยภาพการบริหารต้นทุน เพิ่มความสามารถในการทำกำไร รักษาวงจรเงินสดในระดับดี คาดรายได้ปีนี้เติบโต 25.44%             นายอรรถ เลิศรุ้งพร กรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจการตลาดและการขาย บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ DHOUSE ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดมหาสารคาม ประเภทที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์เพื่อขายหลากหลายรูปแบบ อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และ อาคารพาณิชย์ เปิดเผยถึง ทิศทางธุรกิจปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่อยู่อาศัย และ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในจังหวัดมหาสารคาม และ พื้นที่ใกล้เคียงที่เพิ่มสูงขึ้น จากกลุ่มลูกค้าระดับกลาง ไปจนถึงกลุ่มนักศึกษาที่ต้องการที่พักอาศัยใกล้สถานศึกษา อีกทั้งพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังเป็นหนึ่งในเขตที่มีความปลอดภัยด้านภัยพิบัติ ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา สะท้อนถึงศักยภาพของภูมิภาคในฐานะทำเลที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุนระยะยาว ส่งผลให้บริษัทสามารถเดินหน้ารับรู้รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2568 จะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น 25.44%             สำหรับปี 2568 บริษัทมีความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตในฐานะผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยจริง ทั้งด้านราคา ฟังก์ชัน และ คุณภาพงานก่อสร้าง โดยมีแผนการเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 259.92 ล้านบาท ประกอบด้วย อสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ UPark Home มูลค่า 179.43 ล้านบาท และ อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ UPark Market มูลค่า 32.49 ล้านบาท และ โครงการ UPark Residence มูลค่า 48 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4/2568             อีกทั้งบริษัทมุ่งเน้นการทำตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีความหลากหลาย อาทิ กลุ่มระดับกลางที่ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยและเพื่อลงทุนในจังหวัดมหาสารคาม และ กลุ่มนักศึกษาที่มีความต้องการที่พักอาศัยใกล้มหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทสามารถรับรู้รายได้จากยอดขายรอโอน (Backlog) โครงการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามที่บริษัทเป็นผู้ดำเนินการ มูลค่ารวม 18.65 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567)             ขณะเดียวกัน ธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน “ปตท. ยูพาร์ค ขามเรียง” และ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีบริการน้ำมัน ยังคงสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องจากการเปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีปัจจัยความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทั้งในช่วงเวลาปกติและช่วงเทศกาล ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทสัดส่วนรายได้จากการดำเนินงาน โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีบริการน้ำมัน จำนวน 56.74%, รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 41.03% และ รายได้อื่น จำนวน 2.23%             ทั้งนี้ บริษัทเดินหน้ารับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพในด้านการบริหารจัดการต้นทุนที่ถือว่าเป็นจุดแข็งสำคัญของบริษัท โดยมุ่งเน้นการวางแผนลงทุนในที่ดิน และ ควบคุมต้นทุนวัสดุก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทสามารถลดต้นทุนรวมของโครงการได้อย่างมีนัยสำคัญ และ มีอัตรากำไรปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถรักษาวงจรเงินสดให้อยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง             “แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะยังมีความผันผวนจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงสามารถเดินหน้าสร้างยอดขาย และรายได้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยการพัฒนาศักยภาพ วางแผนในการบริหารต้นทุน และ ปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ ทั้งในแง่การวางแผนเปิดตัวโครงการที่สอดคล้องกับกำลังซื้อ และ การเลือกทำเลที่มีดีมานด์จริงจากกลุ่มผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งถือเป็นตลาดหลักของเรา พร้อมกันนี้บริษัทยังเตรียมแผนรองรับการขยายตลาดไปยังจังหวัดใกล้เคียงในอนาคต             ด้วยจุดแข็งของบริษัท คือการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ เข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีบริการหลังการขายที่ดี ดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการกระจายความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน ที่รับเทรนด์ความต้องการของประชาชนในจังหวัด อีกทั้งอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนและผู้ซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากมีความมั่นคงและปลอดภัยทางกายภาพ โดยเฉพาะด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญของพื้นที่ เช่น จังหวัดมหาสารคามที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ยิ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระดับภูมิภาค จากปัจจัยทั้งหมดทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขาย และ รายได้ให้เติบโตได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน” นายอรรถ กล่าวเพิ่มเติม

[vision Exclusive] XO ซอสไทยไม่สะเทือน!  แคนาดาแห่สั่งของเติมสต็อก

[vision Exclusive] XO ซอสไทยไม่สะเทือน! แคนาดาแห่สั่งของเติมสต็อก

          หุ้นวิชั่น -  XO สวนกระแสสงครามการค้าโลก มั่นใจส่งออกซอสไทยยังไปต่อไม่สะดุด แม้สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า  ฟากผู้บริหาร "จิตติพร จันทรัช" ส่งซิกอานิสงส์แคนาดาตอบโต้ภาษี หนุนยอดขายพุ่ง จับตาผลงานโค้งสองแกร่ง! หนุนแนวโน้มปี 68 โตต่อ           นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แม้จะมีความกังวลจากสถานการณ์การค้าต่างประเทศและการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างชาติ แต่บริษัทมองว่า การส่งออกซอสปรุงรสของ XO ไปยังต่างประเทศจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง           โดยจากข้อมูลการส่งออกสินค้าของประเทศไทย พบว่าหมวด “ซอส” อยู่ในอันดับที่ 8 ของสินค้าส่งออก คิดเป็นสัดส่วนราว 12% ของภาพรวมการส่งออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม XO มีสัดส่วนการส่งออกซอสไปยังตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างน้อยตั้งแต่ปี 2567 ที่ผ่านมา จึงคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าในรอบนี้           ในทางกลับกัน การตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า อาทิ แคนาดา อาจส่งผลบวกต่อการจำหน่ายสินค้าของ XO ในประเทศแคนาดา เนื่องจากสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ถูกส่งเข้าประเทศแคนาดา มีแนวโน้มถูกชะลอการนำเข้า ทำให้ลูกค้าในแคนาดาเริ่มหันมาสั่งซื้อซอสจากแหล่งอื่นเพิ่มมากขึ้น           “ล่าสุดลูกค้าในแคนาดาเริ่มมีสัญญาณการสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเติมสต็อกสินค้าสำหรับช่วง 4–6 เดือนข้างหน้า เพราะสต็อกใกล้หมด และเชื่อว่าจะมีการสั่งสต็อกสินค้าเข้ามาเกือบทุกรายการ” นายจิตติพร กล่าว           สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2568 แม้ยอดขายในไตรมาส 2 อาจยังไม่สามารถเทียบเท่ากับไตรมาส 1 ได้ในทันที แต่บริษัทยังมีเวลาในการทำการตลาดและเร่งยอดขายอีกหลายเดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทค่อนข้างมั่นใจว่ายอดขายในไตรมาส 2/2568 จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา และยังเชื่อมั่นว่าแนวโน้มผลประกอบการในปี 2568 จะเติบโตได้ดีกว่าปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ รวมถึงแผนการขยายตลาดและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] ดัชนี mai รูดแรง 10.85 จุด แนะสูตรรับมือ TACC ปันผลสูง

[Vision Exclusive] ดัชนี mai รูดแรง 10.85 จุด แนะสูตรรับมือ TACC ปันผลสูง

          หุ้นวิชั่น - GBS มองดัชนี mai ยังไม่ต่ำสุด แนะกลยุทธ์ “ถือหุ้นพื้นฐานดี–ปันผลเด่น” สวนกระแสตลาดผันผวนยก TACC ขึ้นแท่น Yield สูง 8% ล่าสุดประกาศปันผลระหว่างกาล 0.19 บาทต่อหุ้น เล็งขึ้น XD  6 พ.ค. 68 กำหนดจ่าย21 พ.ค. 68 ดีดลูกคิดกำไรสุทธิแตะ 266 ลบ. พร้อมแผนขยายร้านกว่า 1.9 พันสาขา ดันรายได้โตต่อ           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ดัชนีตลาด mai ช่วงบ่ายปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 227.41 จุด ลดลง 10.85 จุด หรือคิดเป็น 4.55% ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของดัชนีตลาดหุ้นไทย           อย่างไรก็ตาม ระดับดังกล่าวยังไม่ถือเป็นจุดต่ำสุดใหม่ (New Low) โดยจุดต่ำสุดของดัชนี mai อยู่ที่ 210.79 จุด ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2563 สำหรับปัจจัยที่กดดันตลาดในรอบนี้ มาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะประเด็นการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ รวมถึงการตอบโต้จากประเทศคู่ค้ารายสำคัญ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลก           ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง เหมาะกับการถือระยะยาว รวมถึงเน้นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ในระดับสูง เพื่อช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน           สำหรับหุ้นที่มี Dividend Yield สูง และเป็นหุ้นชนาดกลาง คือ บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC บริษัทวิจัยคงมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มกำไรสุทธิของบริษัทในปี 2568 แม้คาดว่ารายได้จะเติบโตได้ราว 10% จากแผนการขยายสาขา 7-Eleven ราว 700 แห่งต่อปี รวมถึงการเร่งขยายร้านกาแฟ “พันธุ์ไทย” อีกประมาณ 600 แห่ง ส่งผลให้สิ้นปี 2568 จะมีสาขารวมกว่า 1,947 แห่ง           อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อาจลดลงมาอยู่ในช่วง 32–32.5% จากระดับ 33.2% ในปีก่อนหน้า เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบโดยเฉพาะราคากาแฟที่อยู่ในระดับสูง แต่บริษัทน่าจะสามารถบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ได้ดีขึ้น ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการดำเนินงาน           คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2568 จะอยู่ที่ระดับ 266 ล้านบาท เติบโต 8% จากปีก่อน (YoY) พร้อมประเมินราคาเหมาะสมที่ 6.10 บาท คิดเป็นอัพไซด์ 36% จากระดับราคาปัจจุบัน โดยยังให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจในระดับ 7–8% ต่อปี           ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.19 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่ระดับ 4.2% (จ่ายปีละ 2 ครั้ง) โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อรับปันผล” รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

BKA หุ้นน้องใหม่ IPO เปิดจองวันแรก 8 เม.ย.คึก

BKA หุ้นน้องใหม่ IPO เปิดจองวันแรก 8 เม.ย.คึก

             หุ้นวิชั่น - บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA “ที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง” หรือผู้นำบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ว่าที่หุ้นไอพีโอน้องใหม่ป้ายแดง ที่พ่วงมาด้วยดีกรีการเป็นหุ้นธุรกิจบริการที่มาเทรดในกลุ่มอสังหาฯ เริ่มดีเดย์เปิดเสนอขาย IPO วันนี้ (8 เม.ย.68) เป็นวันแรก ที่ระดับราคา 1.80 บาทต่อหุ้น แว่วๆ ว่า กระแสตอบรับจากเหล่าบรรดานักลงทุนที่ชื่นชอบลงทุนในบ้านมือสอง แห่จองผ่าน บล.บียอนด์, บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.ฟิลลิป, บล.ดาโอ, บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล และบล.เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ กันเพียบ งานนี้ได้ยินว่านักลงทุนขาช็อปหุ้น IPO พร้อมใจกันยกให้ BKA เป็นอีกหนึ่งหุ้นน้องใหม่ที่น่าจับตา เพราะจากดีมานด์ยอดคนที่ซื้อบ้านมือสอง (รีโนเวตใหม่) เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากบ้านมือสองตกแต่งใหม่ตอบโจทย์ทำเลที่ดี และราคาถูกกว่าบ้านมือหนึ่งจนเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าน่าสนใจ แค่นั้นยังไม่พอ BKA ยังโดดเด่นในธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) ซึ่งเป็นรูปแบบการให้บริการที่เพียงวางเงินประกัน ปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนซื้อบ้านทั้งหลัง ทำให้บริษัทประหยัดเงินลงทุน แต่กลับได้ผลตอบแทนสูง..ธุรกิจแบบนี้สินะที่นักลงทุนชอบ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมหุ้น BKA ถึงน่าสนใจได้ขนาดนี้ มิหนำซ้ำบริษัท ยังมีแผนขยายการบริการสู่การเป็น Prop Tech โดยนำเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้เพื่อให้ผู้ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์อีก เล่นตอบโจทย์ทุกความต้องการขนาดนี้ รู้เลยว่าทำไมเปิดจองวันแรกหัวกระไดไม่แห้ง เอาเป็นว่า FC ท่านใดยังไม่จองซื้อเหลือเวลาอีก 2 วัน (9-10 เม.ย.นี้) รีบจัดหุ้นเข้าพอร์ตแบบด่วนๆ เพราะถ้าช้าอดหมดสิทธิแล้วจะหาว่าไม่เตือน

WINMED ส่งซิกผลงาน Q1/68 โตแกร่ง! คว้างานอุปกรณ์การแพทย์-ลุยประมูลงานใหม่หนุน

WINMED ส่งซิกผลงาน Q1/68 โตแกร่ง! คว้างานอุปกรณ์การแพทย์-ลุยประมูลงานใหม่หนุน

            หุ้นวิชั่น - บมจ.วินเนอร์ยี่ เมดิคอล (WINMED) ส่งสัญญาณแนวโน้มผลงานไตรมาส 1/68โตแกร่ง ล่าสุดคว้างานประมูลน้ำยาเพื่อใช้กับอุปกรณ์การแพทย์เพิ่มอีก 31 ล้านบาท พร้อมแจกสิทธิ์ตรวจมะเร็งเต้านมฟรีด้วยวิธี Thermogram.AI อีก 100 สิทธิ์ สำหรับผู้พลาดโอกาส ฟากซีอีโอ “นันทิยะ ดารกานนท์” มั่นใจบริการทางการแพทย์ และโครงการต่างๆ หนุนผลงานเติบโตต่อเนื่อง และก้าวสู่มิติใหม่ใช้ AI มาเป็นส่วนช่วยพัฒนาองค์กร พร้อมโชว์การจัดทำ One Report จาก Generative AI ภายใต้ธีม  “Bridging Innovation and Better Health”             นายนันทิยะ ดารกานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วินเนอร์ยี่ เมดิคอล จำกัด (มหาชน) (WINMED) ผู้นำเข้าและจำหน่ายเครื่องและชุดอุปกรณ์ สำหรับการเก็บ การตรวจวิเคราะห์ วินิจฉัย และการบำบัดรักษาทางการแพทย์ เปิดเผยว่า บริษัทฯคว้างานประมูลน้ำยาทางการแพทย์ กับโรงพยาบาลภาครัฐมูลค่ารวม 31 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าลุยประมูลงานกับทางภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง             “แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเข้าประมูลงานหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและการตรวจมะเร็งเต้านม ที่จับมือกับพันธมิตรชั้นนำ อย่าง กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ออกให้บริการตามสาขาต่างๆ ตั้งแต่ต้นปี รวมถึงจับมือร่วมกับบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) ให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในช่วงที่ผ่านมา และบริษัทฯอื่นๆถึงสิ้นปี”             ทั้งนี้ WINMED ได้เพิ่มสิทธิ์ให้ลงทะเบียนในโครงการตรวจมะเร็งเต้านมฟรี ด้วยวิธี Thermogram.AI  อีก 100 สิทธิ์ ได้แล้ววันนี้ หลังกระแสตอบรับดีเกินคาด สำหรับผู้ที่พลาดโอกาสไปก่อนหน้านี้ โดยท่านสามารถสแกน QR CODE เพื่อลงทะเบียนจองสิทธิ์ หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหน้าเว็บไซต์ของบริษัท https://www.winmed.com  โดยจะเริ่มนัดหมายเพื่อเข้ารับการตรวจช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป             นอกจากนี้ โครงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสุภาพสตรี ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เตรียมลงนามเพิ่มอีก 1 จังหวัด กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์ ในช่วงเดือน เมษายน 2568 นี้ จะทำให้โครงการที่ดำเนินการร่วมกับ (อบจ.) เพิ่มขึ้น และมีแผนขยายการดำเนินงานไปยังจังหวัดอื่นๆ เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ             นอกเหนือจากความมุ่งมั่นในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างมั่นคง บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการปรับตัวรับเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะ AI (Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะพลิกโฉมกระบวนการทำงานภายในองค์กร บริษัทฯ จึงริเริ่มนำ AI มาช่วยในการประมวลผลข้อมูล และจัดทำรายงานในรูปแบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำของข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจ             และในปีนี้ บริษัทฯ ได้ก้าวสู่มิติใหม่ของการใช้ Generative AI อย่างเต็มรูปแบบ ในการจัดทำรายงานประจำปี หรือ แบบ 56-1 One Report  ภายใต้ธีม  “Bridging Innovation and Better Health”  ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จและเป็นก้าวสำคัญขององค์กร คาดว่าจะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รายแรกที่ใช้ AI ในการจัดทำรายงานประจำปีอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนขยายการใช้ AI ไปยังส่วนงานอื่น ๆ ขององค์กร เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคต

TITLE รุก Luxury Villa ทำเลสุดเอ็กซ์คลูซีฟใกล้หาดในยาง

TITLE รุก Luxury Villa ทำเลสุดเอ็กซ์คลูซีฟใกล้หาดในยาง

          หุ้นวิชั่น - หลังประสบความสำเร็จจากการพัฒนา Leisure Residence ล่าสุด “ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้” หรือ “TITLE” เดินหน้าบุกตลาด Luxury Villa เป็นครั้งแรก เพื่อสร้างความหลากหลาย และครอบคลุมลูกค้าใน ทุกเซกเมนต์ ส่งโครงการใหม่ “THE TITLE VILLA ESTELLA NAIYANG” (เดอะ ไทเทิล วิลล่า เอสเตลลา ในยาง) ลักซ์ชัวรีพลูวิลล่า มูลค่าโครงการรวมกว่า 500 ล้านบาท บนทำเลสุดเอ็กซ์คลูซีฟใกล้หาดในยาง ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ชูไฮไลท์ Private Pool Villa ที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันในทุกมิติ เพียง 26 ยูนิตเท่านั้น             นายดรงค์ หุตะจูฑะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Leisure Residence เพื่อการพักอาศัยและการลงทุนอย่างยั่งยืน กล่าวว่า นอกเหนือจากการพัฒนา Leisure Residence ที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญแล้ว ในปีนี้ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ยังมุ่งสร้างการเติบโตด้วยการขยายพอร์ตอสังหาสู่โครงการลักซ์ชัวรีพลูวิลล่าเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างความหลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดลักซ์ชัวรีพูลวิลล่าในจ.ภูเก็ต ที่มีกำลังซื้อทั้งเพื่อการพักผ่อนและเพื่อการลงทุนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวจากกลุ่มลูกค้าชาวไทย และชาวต่างชาติ ที่ยกให้ภูเก็ตเป็นเดสติเนชั่นของการพักผ่อนในระยะยาวที่ผู้คนทั่วโลกอยากมาเยือน เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องการอยู่อาศัยในระยะยาว รวมถึงการมองหาบ้านหลังที่สอง ซึ่งต้องมีความเอ็กซ์คลูซีฟเป็นส่วนตัวท่ามกลางธรรมชาติ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน           “จากแนวโน้มการเติบโตดังกล่าว บริษัทฯ จึงเดินหน้าเปิดตัวโครงการ “THE TITLE VILLA ESTELLA NAIYANG” ลักซ์ชัวรีพูลวิลล่า ใกล้หาดในยางเพียง 600 เมตร และห่าง Mingle Mall ในยาง ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ เพียง 450 เมตร ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ภายใต้แนวคิด A Luminous Poolside Life by the Ocean มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 70% หลังเปิดขายเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งถือเป็น Rare Location สำหรับพูลวิลล่า เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลฝั่งตะวันตกของภูเก็ต และเป็นทำเลศักยภาพที่กำลังได้รับความสนใจและมีความต้องการสูงจากลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ เพราะเป็นทำเลที่ใกล้สนามบิน มีโรงพยาบาลชั้นนำ และคอมมูนิตี้มอลล์ เหมาะสำหรับคนที่มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบความสงบ และใกล้ชิดธรรมชาติ แต่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน           โครงการฯ ยังมาพร้อมจุดเด่นที่เหนือกว่าด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ MODERN TROPICAL ที่เน้นพื้นที่โปร่งโล่ง สะท้อนความเรียบง่าย เชื่อมต่อภายในและภายนอกให้ประสานกันกลมกลืน  มาพร้อม Private Pool ที่ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพิ่มพื้นที่ในการทำกิจกรรม และเพิ่มความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนที่พักอาศัยเพียง 26 ยูนิต เท่านั้น โดยมีพื้นที่ใช้สอยขนาด 265 ตารางเมตร ขนาดที่ดินเริ่มต้น 187 - 331 ตารางเมตร  ประกอบด้วย 2 ห้องนอน, 1 ห้องอเนกประสงค์, 4 ห้องน้ำ, BBQ TERRACE รวมถึงสเปซและฟังก์ชั่นต่างๆ ภายในบ้านที่ถูกคิดและสร้างสรรค์อย่างประณีต ทั้งยังใส่ใจในการเลือกสรรวัสดุภายในห้องต่างๆ จากแบรนด์ที่มีคุณภาพสูงและมีเอกลักษณ์ พร้อมเสริมความปลอดภัยในการอยู่อาศัย ด้วยกล้องวงจรปิด CCTV รอบตัวบ้าน, MAGNETIC SENSOR และ DIGITAL DOOR LOCK           นอกจากนี้ ยังได้ยกระดับความพิเศษที่เหนือกว่าใคร ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น คลับเฮ้าส์ ขนาดใหญ่, สระว่ายน้ำ, สนามเด็กเล่น, PET PARK & WATER PLAY และสวนขนาดใหญ่ใจกลางโครงการกว่า 1 ไร่  รวมถึงเพิ่มความสะดวกสบายด้วยการบริการจาก "THE ESQUIRE" ทีมบริหารรับฝากขาย-ฝากเช่ามืออาชีพ เพื่อยกระดับการบริการดูแลลูกบ้านเดอะ ไทเทิล ไม่ว่าจะเป็น ทีมงานดูแลบริหารโครงการที่มีประสบการณ์, Rental Service และ Cleaning Service  เป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน และนักลงทุน”           นายดรงค์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามั่นใจว่า โครงการ THE TITLE VILLA ESTELLA NAIYANG จะเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่เพิ่มเข้ามาในพอร์ตเพื่อรุกตลาดลักชัวรีพูลวิลล่าของร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ด้วยปัจจัยทั้งทำเล, ดีไซน์และสิ่งอำนวยความสะดวก ที่แตกต่างและตอบโจทย์กับทุกไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัย ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าอย่างเช่นที่ผ่านมา และยังถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ให้สามารถขยายไปยังเซ็กเมนต์อื่น ๆ เพื่อสร้างความหลากหลาย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปี 2568 บริษัทฯ ยังมีแผนบุกตลาดลักซ์ชัวรีวิลล่าอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ กับ The Title Villa Cherngtalay (เดอะ ไทเทิล วิลล่า เชิงทะเล) เพื่อสร้างการเติบโตให้กับพอร์ตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง”           ทั้งนี้ ผู้สนใจโครงการ "THE TITLE VILLA ESTELLA NAIYANG" สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.thetitleresidence.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 06-3642-8111 [PR News]

TPLAS เล็งปี 68 โต Double Digit  จ่ายปันผลปี 67 ที่ 0.04 บ.

TPLAS เล็งปี 68 โต Double Digit จ่ายปันผลปี 67 ที่ 0.04 บ.

          ผู้ถือหุ้น บมจ.ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) (TPLAS) พร้อมใจโหวตรับมติจ่ายปันผลงวดปี 67 เป็นเงินสดในอัตรา 0.04 บาท/หุ้น เตรียมรับทรัพย์ 2 พ.ค.นี้ ฟากผู้บริหาร "อภิรัตน์  ธีระรุจินนท์"ระบุเดินหน้าขยายฐานลูกค้า พร้อมศึกษาและพัฒนาสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหาร ผลักดันรายได้ปี 68 เติบโต Double Digit ตามแผน           นายอภิรัตน์  ธีระรุจินนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) จำกัด (มหาชน) (TPLAS) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถุงบรรจุอาหาร ภายใต้แบรนด์ “หมากรุก” เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ในวันที่ 4 เมษายน 2568 มีมติอนุมัติจ่ายปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานปี 2567 (มกราคม-ธันวาคม 2567) ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสดในอัตรา 0.04 บาท/หุ้น รวมเป็นเงิน 10,800,000 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date)  ในวันที่ 16 เมษายน 2568 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568           สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567 (สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2567) มีรายได้รวมจากการขาย 487.52 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 11.68 ล้านบาท           “บริษัทต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ มีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอในทุกปี ซึ่งเงินปันผลที่มอบให้กับผู้ถือหุ้นในรูปของเงินสดครั้งนี้ เกิดจากการที่บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นและทุ่มเทดำเนินธุรกิจ อีกทั้งในปี 2568 ยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้า พร้อมศึกษาและพัฒนาสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้น เพื่อผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต Double Digit” นายอภิรัตน์ กล่าว           กรรมการผู้จัดการ TPLAS กล่าวว่า รายได้หลักมาจากธุรกิจพลาสติก โดยมีแผนเพิ่มสินค้าและประเภทสินค้าในกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารมากขึ้น รวมถึงบรรจุภัณฑ์กระดาษที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น อีกทั้งกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปีนี้จะเน้นไปที่การเพิ่มยอดขายสินค้าภายในประเทศ ผ่านการทำการตลาดและขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าร้านอาหารและกลุ่มเดลิเวอรี่ อีกทั้ง บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสและช่องทางธุรกิจใหม่ๆ ในการสร้างรายได้เพิ่ม โดยได้ศึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์พลาสติกและกระดาษ รวมถึงรูปแบบการลงทุนร่วมกับพันธมิตร เพื่อเพิ่มเติมการลงทุนที่มีในปัจจุบัน และผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น [PR News]

MPJ เตรียมขึ้น XD วันที่ 30 เม.ย. จ่ายปันผล 0.30บาท/หุ้น

MPJ เตรียมขึ้น XD วันที่ 30 เม.ย. จ่ายปันผล 0.30บาท/หุ้น

           หุ้นวิชั่น - บมจ.เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ “MPJ” ผู้นำโลจิสติกส์แบบครบวงจรและผู้นำด้านบริหารลานตู้คอนเทนเนอร์ภายใต้การบริหารงานของซีอีโอคนเก่ง “จีระศักดิ์ มานะตระกูล” ประกาศข่าวดี! จ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.30 บาท/หุ้น เตรียมขึ้น XD วันที่ 30 เม.ย. 2568 และวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 2 พ.ค. 2568 เพื่อจ่ายปันผลวันที่ 22 พ.ค. 2568 หลังผลการดำเนินงานในปี 2567 เติบโตอย่างโดดเด่นกวาดรายได้จากการให้บริการถึง 1,018.89 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 97.93 ล้านบาท พร้อมส่งสัญญาณนำเงินที่ได้จากไอพีโอไปต่อยอดธุรกิจสร้างอาณาจักรทางโลจิสติกส์แบบครบวงจร เล่นเสิร์ฟข่าวดีขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่รีบเก็บหุ้นเข้าพอร์ตมีหวังตกขบวน แล้วจะหาว่าไม่เตือนนะ

[Vision Exclusive] Jump+ ทางรอดธุรกิจไทย ฝ่าวิกฤติสงครามการค้า

[Vision Exclusive] Jump+ ทางรอดธุรกิจไทย ฝ่าวิกฤติสงครามการค้า

           หุ้นวิชั่น - "วิรัฐ สุขชัย" นายกสมาคม maiA ชี้แผ่นดินไหวไม่กระทบธุรกิจบริษัทจดทะเบียนโดยตรง  จับตาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ คาดกระทบกลุ่มผู้ส่งออกไทย หลังขึ้นภาษี 37% จับตาตลาดหลักทรัพย์เจรจาภาครัฐ เอกชน ฝ่าวิกฤติสงครามการค้า ลุ้นโครงการ Jump+ ทางรอดธุรกิจไทย เสริมแกร่งตลาดทุน            นายวิรัฐ สุขชัย นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา สมาคมประเมินว่าผลกระทบอยู่ในวงจำกัด แม้ว่าจะมีเหตุการณ์อาคารสำนักงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถล่ม แต่ตึกสำนักงานทั่วไป รวมถึงคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย และยังสามารถดำเนินงานได้ตามปกติ ดังนั้น ประเด็นแผ่นดินไหวในครั้งนี้ จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์            ขณะที่สงครามการค้ามีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ หลังจากสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเป็น 37% อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามแนวทางของภาครัฐและภาคเอกชนในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น            ทั้งนี้ เชื่อว่าตลาดหลักทรัพย์จะร่วมเจรจากับภาครัฐเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ เนื่องจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนและความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยในตลาดต่างประเทศ            ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการช่วยเหลือบริษัทจดทะเบียนผ่านโครงการ Jump+ เพื่อกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตลาดทุนไทย โดยมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่เข้าร่วมโครงการ            สิทธิพิเศษที่ได้รับ ได้แก่ การยกเว้นภาษีกำไรส่วนเพิ่ม ที่เกิดขึ้นระหว่างเข้าร่วมโครงการ หากบริษัทสามารถขยายธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่กำหนด อย่างไรก็ตาม หากบริษัทไม่สามารถดำเนินการตามแผน อาจถูกระงับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับ            นอกจากนี้ โครงการยังสนับสนุน การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) โดยบริษัทที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับ การยกเว้นภาษีย้อนหลัง หากเข้าซื้อหรือควบรวมบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของภาคธุรกิจ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระดับสากล ทั้งนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน แม้ยังคงเผชิญปัจจัยกดดันทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] KUMWEL ส่งซิกธุรกิจแกร่ง นวัตกรรมป้องกันฟ้าผ่าฮอต

[Vision Exclusive] KUMWEL ส่งซิกธุรกิจแกร่ง นวัตกรรมป้องกันฟ้าผ่าฮอต

           หุ้นวิชั่น - KUMWEL ส่งซิกธุรกิจปี 68 โตแกร่ง หลังเปิดตัวสินค้าใหม่ เชื่อย้ายโรงงานหนุนศักยภาพ ด้านบอสใหญ่ "บุญศักดิ์ เกียรติจรูญเลิศ" ชูกลยุทธ์จำหน่ายสินค้าระบบแจ้งเตือน ป้องกันฟ้าผ่า ตอบโจทย์อาคารเก่าและใหม่ พร้อมรุกตลาดต่างแดน ดันสัดส่วนส่งออกแตะ 30% ปักเป้าโต 25-30% ขายสินค้านวัตกรรม ปั๊มมาร์จิ้นพอง           นายบุญศักดิ์ เกียรติจรูญเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คัมเวล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KUMWEL เปิดเผยกับ ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า แนวโน้มธุรกิจปี 2568 คาดว่าจะเติบโตกว่าปี 2567 หลังจากบริษัทเริ่มจำหน่ายสินค้าใหม่ พร้อมทั้งมีการปรับปรุงกระบวนการผลิต และย้ายโรงงานใหม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการปรับปรุงดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเสริมศักยภาพและสนับสนุนการเติบโตของบริษัท            ทั้งนี้ สินค้าเดิมของบริษัทได้รับการพัฒนาโดยการขยายโซลูชันส์และเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ ระบบเตือนภัยป้องกันฟ้าผ่า นอกจากนี้ บริษัทได้รับการบรรจุสินค้าเข้าสู่บัญชีนวัตกรรม ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ยอดจำหน่ายสินค้าของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง            สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศ โดยจะเน้นการจำหน่ายระบบแจ้งเตือนและป้องกันฟ้าผ่า ทั้งสำหรับอาคารเก่าและอาคารใหม่ เนื่องจากอาคารต่างๆ มีข้อบังคับในการปรับปรุงระบบป้องกันฟ้าผ่า โดยเฉพาะอาคารที่ก่อสร้างมานานแล้ว รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการจำหน่ายโซลูชันส์สำหรับบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่ต้องการปรับเปลี่ยนเป็นสมาร์ทโฮม (Smart Home) ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายในกลุ่มตลาดในประเทศให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น            ขณะที่ช่องทางการจำหน่ายสินค้าต่างประเทศ โดยจะมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศและเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคอาเซียน เพื่อสนับสนุนการขยายฐานตลาดส่งออกให้เติบโต โดยบริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศให้แตะระดับ 25-30% จากปีก่อนที่มีสัดส่วนเพียง 20%            และบริษัทยังมองหาโอกาสในการขยายฐานการจำหน่ายสินค้าไปยังประเทศที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มประเทศมิดเดิ้ลอีสต์และอินเดีย เพื่อเสริมสร้างการเติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างยั่งยืน           นายบุญศักดิ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ราว 100 กว่าล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และบริษัทจะทยอยส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าตามแผน สำหรับการเติบโตในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ในระดับ 25-30% และจะมุ่งผลักดันอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้ดีกว่าปีก่อน โดยการเพิ่มวอลุ่มการจำหน่ายสินค้าให้เป็นไปตามแผน รวมถึงการจำหน่ายสินค้านวัตกรรม ซึ่งมีอัตรากำไรสูงถึง 10% รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

SCL ปล่อยของในงาน TAPA 2025  ตอกย้ำผู้นำอะไหล่รถยนต์

SCL ปล่อยของในงาน TAPA 2025 ตอกย้ำผู้นำอะไหล่รถยนต์

           บมจ.เอส.ซี.แอล.มอเตอร์ พาร์ท (SCL) ผู้นำธุรกิจจัดจำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ของไทย เดินหน้าร่วมเวทีเจรจาธุรกิจในงาน TAPA 2025 งานแสดงสินค้าอะไหล่ยานยนต์ระดับนานาชาติ เพื่อขยายฐานลูกค้า ด้านผู้บริหาร เผย ภาวะยอดขายรถใหม่ที่ชะลอตัวจากภาพรวมเศรษฐกิจ และมาตรการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลับกลายเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจจัดจำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ของ SCL อย่างมีนัยสำคัญ            นายสกล ตั้งก่อสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCL เปิดเผยว่า การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ TAPA 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขยายฐานลูกค้าใหม่ ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มคู่ค้ารายใหญ่และนักลงทุนจากทั่วโลก SCL โชว์ศักยภาพสินค้ากว่า 170,000 รายการ ทั้งในกลุ่มอะไหล่แท้ (Genuine Parts) และอะไหล่ทดแทน (Replacement Parts) ตอกย้ำความเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมอะไหล่รถยนต์ไทย พร้อมเปิดเกมรุกสู่ตลาดชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า (EV Parts) รับเทรนด์พลังงานทางเลือกและยานยนต์แห่งอนาคต            “แม้ยอดขายรถใหม่ในประเทศจะชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจและมาตรการปล่อยสินเชื่อ แต่กลับกลายเป็นโอกาสของธุรกิจอะไหล่รถยนต์ ผู้บริโภคหันมาดูแลรถคันเดิมแทนการซื้อรถใหม่ ทำให้ความต้องการชิ้นส่วนซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปี ซึ่งมีจำนวนสะสมมากกว่า 22 ล้านคันทั่วประเทศ” นายสกลกล่าว            ข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า การผลิตรถยนต์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ลดลง 13.62% โดยเฉพาะรถกระบะ ซึ่งสะท้อนภาพรวมตลาดที่เปลี่ยนไปสู่การใช้งานรถเดิมมากขึ้น และเป็นแรงส่งให้ธุรกิจของ SCL เติบโตได้ดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา            อย่างไรก็ดี SCL ยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบจัดจำหน่ายและคลังสินค้าเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยยึดแนวคิด “ถูกทุกชิ้น แท้ทุกส่วน” พร้อมเสริมพอร์ตผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วน EV เตรียมรับความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ และยกระดับการเป็นพันธมิตรหลักของผู้ประกอบการอะไหล่รถยนต์ขนาดกลาง ขนาดย่อม ตลอดจน กลุ่มธุรกิจศูนย์บริการที่มีสาขาจำนวนมาก และกลุ่มบริษัทประกันภัย            “ในยุคที่อุตสาหกรรมยานยนต์อยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่าน SCL จะเป็นตัวกลางสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงอะไหล่ที่มีคุณภาพ ในราคาที่จับต้องได้ และพร้อมเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนไปกับอุตสาหกรรมไทย” นายสกล กล่าวทิ้งท้าย [PR news]

SMD100 เปิดตัว ZenSync เขย่านวัตกรรมพลังสมอง

SMD100 เปิดตัว ZenSync เขย่านวัตกรรมพลังสมอง

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน SMD100 เปิดตัว “ZenSync: ZenFlow Headband System” อุปกรณ์เทคโนโลยีชีวการแพทย์ (Neurotech Device) ที่ผสานเทคโนโลยีการกระตุ้นคลื่นสมอง (Brainwave Stimulation), การหายใจเชิงลึก (Deep Breathing Modulation) และแนวคิด Flow State เข้าด้วยกัน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของสมองทั้งในด้านสมาธิ ความจำ อารมณ์ และสุขภาวะจิตใจอย่างยั่งยืน           ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอ็มดี ไรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SMD100 เปิดเผยว่า SMD100 เปิดตัว “ZenSync: ZenFlow Headband System” อุปกรณ์เทคโนโลยีชีวการแพทย์ (Neurotech Device) ที่ผสานเทคโนโลยีการกระตุ้นคลื่นสมอง (Brainwave Stimulation), การหายใจเชิงลึก (Deep Breathing Modulation) และแนวคิด Flow State เข้าด้วยกัน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของสมองทั้งในด้านสมาธิ ความจำ อารมณ์ และสุขภาวะจิตใจอย่างยั่งยืน           ZenSync ไม่ใช่เพียงแค่อุปกรณ์สวมศีรษะทั่วไป แต่เป็นเทคโนโลยีประสาทวิทยาเชิงบูรณาการที่สามารถวัด วิเคราะห์ และปรับสมดุลคลื่นสมอง เพื่อเสริมสร้างการทำงานของสมองในระดับที่ลึกและแม่นยำยิ่งขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าถึงภาวะการทำงานสูงสุดของจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ” สรรพคุณทางวิชาการและกลไกการทำงานของ ZenSync:           จะกระตุ้นคลื่นสมองอัลฟ่า (Alpha Wave Enhancement):ด้วยเทคโนโลยี Neurofeedback และระบบเซนเซอร์ที่ตรวจจับสัญญาณคลื่นสมอง (EEG) แบบเรียลไทม์ อุปกรณ์จะช่วยกระตุ้นคลื่นอัลฟ่า ซึ่งสัมพันธ์กับภาวะสงบ สมาธิ และการมีสติ ทำให้สมองเข้าสู่สภาวะพร้อมเรียนรู้และลดความฟุ้งซ่านได้อย่างมีนัยสำคัญ เสริมสร้าง Consolidation Memory:           โดยอุปกรณ์จะหนุนกระบวนการ Consolidation ของระบบความจำระยะยาวผ่านการเพิ่มกิจกรรมของ hippocampus และการสื่อสารระหว่างสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) กับสมองส่วนกลาง ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการจดจำและเรียนรู้ ปรับสมดุลระบบประสาทอัตโนมัติ (ANS Balancing):           ZenSync ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System) ผ่านการหายใจช้า ลึก และมีจังหวะ (Resonant Breathing) ซึ่งมีผลลดระดับฮอร์โมนความเครียด เช่น Cortisol และปรับสมดุลหัวใจเต้นให้เป็นระบบ (Heart Rate Variability - HRV) เพิ่มการไหลเวียนเลือดในสมอง (Cerebral Blood Flow Enhancement):           จากข้อมูลเบื้องต้น พบว่าผู้ใช้ ZenSync อย่างต่อเนื่องมีการเพิ่มขึ้นของการไหลเวียนเลือดเฉพาะจุดในสมองส่วน prefrontal และ parietal lobes ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการคิด วิเคราะห์ การตัดสินใจ และการประมวลผลภาพรวม ช่วยให้เข้าสู่ภาวะ Flow State ได้เร็วและลึกยิ่งขึ้น:           ด้วยการออกแบบตามแนวทางของ Mihaly Csikszentmihalyi อุปกรณ์จะตรวจจับภาวะคลื่นสมองและกระตุ้นให้เข้าสู่สภาวะที่จิตใจเกิดการ “จดจ่ออย่างลื่นไหล” (Optimal Cognitive Engagement) ซึ่งเป็นภาวะที่บุคคลมีความสุข ประสิทธิภาพสูง และสามารถทำงานได้อย่างไร้แรงต้าน ดร.วิโรจน์ กล่าวต่อว่า “ชื่อ ZenSync มีรากฐานจากการรวมพลัง ‘ความสงบ’ (Zen) และ ‘ความสอดประสาน’ (Synchronization) ของระบบสมอง ส่วนชื่อ ZenFlow สื่อถึงแนวคิดการไหลเวียนของพลังสมองผ่านสภาวะผ่อนคลาย ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของนวัตกรรมนี้ เราไม่ได้สร้างแค่อุปกรณ์ แต่เราสร้าง ‘ระบบนิเวศทางจิตใจ’ ที่นำพามนุษย์สู่ความสุขและศักยภาพที่แท้จริง”           ZenSync: ZenFlow Headband System ได้รับการพัฒนาโดยความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในมณฑลเหอเป่ย ประเทศจีน โดย SMD rise Co.,Ltd.(SMD100) เป็นผู้ยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในนามบริษัท และได้รับสิทธิการจัดจำหน่ายในบางประเทศตามข้อตกลงร่วมกับผู้ผลิต [PR News]

BKA เคาะ IPO 1.80 บ. สยายปีก mai 22 เม.ย.นี้

BKA เคาะ IPO 1.80 บ. สยายปีก mai 22 เม.ย.นี้

                 หุ้นวิชั่น - บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA ผู้นำบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เคาะราคาเสนอขาย IPO ที่ 1.80 บาทต่อหุ้น พร้อมกำหนดเปิดจองซื้อระหว่าง    วันที่ 8-10 เม.ย.นี้ ดีเดย์เทรด mai วันที่ 22 เม.ย. 2568 ด้าน บล.บียอนด์ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ ระบุ ราคาเสนอขายหุ้นเป็นราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และภาวะตลาดในปัจจุบัน มั่นใจนักลงทุนให้การตอบรับดี ขณะที่ CEO “พชร ธนวงศ์เกษม” ประกาศเดินหน้า นำเงินจากการระดมทุนต่อยอดธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย และสร้างแพลตฟอร์ม “Prop Tech” Virtual Reality มิติใหม่ในการดูบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ พร้อมย้ำชัดผู้ถือหุ้นใหญ่พร้อมใจ Lock up หุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด 87% สร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้นักลงทุนมั่นใจหุ้น BKA พร้อมเดินหน้าสร้างผลงานให้เติบโตเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับ  ผู้ถือหุ้น                  บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ผู้นำธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น ราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ ล่าสุดบริษัท แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)  เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน พร้อมทั้งผู้จัดจำหน่าย อีก 5 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้                   นางสาวออมสิน ศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)   ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของ บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) เปิดเผยว่า บริษัท ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ BKA จำนวน 60 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.80 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E) ที่ 10 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัท ในปี 2567 และจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วของบริษัทภายหลัง IPO (Fully Diluted) การกำหนดราคา IPO ดังกล่าว มีส่วนลดให้นักลงทุนในระดับที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาวะของตลาดหุ้นในปัจจุบัน และปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง สามารถทำกำไรที่เติบโตเพิ่มขึ้น  โดยจะเปิดจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568 และเตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 22 เมษายน 2568 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “BKA” ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง “ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เชื่อว่าหุ้น BKA จะได้การตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากธุรกิจบ้านมือสองยังมีดีมานด์การเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับ BKA เป็นผู้นำธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่  โดยดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านแต่ง” หรือ “Flipping”) รวมถึง ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (“ธุรกิจบ้านฝาก”) และธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านตัด”) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ให้บริการซื้อ-ขายบ้านมือสองที่ครอบคลุมทุกมิติ และด้วยความเชี่ยวชาญของผู้บริหาร รวมถึงประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 12 ปี ทำให้ BKA เป็นที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง ซึ่งมั่นใจว่า BKA จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งที่จะสร้างโอกาสการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต”                  นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการต่อยอดธุรกิจ เพราะนอกจากสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจแล้วยังสร้างอัตราการเติบโตในอนาคตให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น สำหรับเม็ดเงินที่ BKA จะได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้น รวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้บริษัท สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลายเพิ่มมากขึ้น จากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)    มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัท อย่างมีนัยสำคัญ                  จากความโดดเด่นในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านแต่ง “Flipping”) ซึ่งเป็นการรับฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงก่อนขาย เพื่อให้มีสภาพใหม่พร้อมอยู่อาศัย พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขาย บ้านมือสอง (ธุรกิจบ้านฝาก) และธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) สามารถตอบโจทย์ความเป็น “บางกอก แอสเซท ที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง” ได้อย่างครบทุกมิติ บนพื้นฐานความได้เปรียบกว่า   บ้านมือหนึ่งบนทำเลเดียวกัน ราคาที่คุ้มค่ากว่าและพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวผลักดันให้ BKA เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อแสดงออกถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัท กลุ่มครอบครัว                  ธนวงศ์เกษม และนายภัคพล เพ็ชร์แย้ม ที่ถือหุ้นรวมกัน 87% ของทุนชำระแล้วก่อน IPO หรือคิดเป็น 62.14%  ของทุนชำระแล้วหลัง IPO นอกจากจะนำหุ้นติด Silent Period ตามหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดห้ามขายหุ้นในสัดส่วน 55% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO เป็นระยะเวลา 1 ปี แล้ว หุ้นที่เหลือส่วนที่ไม่ติด Silent Period    ตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 15 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 7.14% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO จะถูกห้ามขายโดยสมัครใจ (Voluntary IPO Lock Up) เป็นระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มทำการซื้อขายหุ้นของบริษัท ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ส่งผลให้มีหุ้นเดิมที่ถือโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่พร้อมใจกันงดการเสนอขาย หรือโอนด้วยวิธีการใดๆ นับแต่วันที่หุ้นเริ่มซื้อขาย (Lock-Up) ทั้งหมด 87% เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน                  ด้านนางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะ ที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมถึงความน่าสนใจของ BKA ว่า ด้วยศักยภาพการเป็นผู้นำธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ที่มีความได้เปรียบทั้งด้านทำเล ราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับบ้านโครงการใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้หาซื้อบ้าน ขณะที่ Model ธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) เป็นการวางเงินประกัน ปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนซื้อบ้านทั้งหลัง ทำให้ประหยัดเงินลงทุน ซึ่งให้ผลตอบแทนสูง นอกจากนี้มองว่า ตลาดบ้านมือสองยังมีศักยภาพการเติบโต โดยเห็นได้จาก สถาบันการเงินและ AMC มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ที่ค้างอยู่ในระบบจำนวนมาก ซึ่งเป็นสินค้าบ้านมือสองทำเลดี ราคาคุ้มค่าต่อการลงทุน และที่สำคัญ BKA ผู้ให้บริการซื้อ-ขายบ้านมือสอง ที่มีจำนวนบ้านมือสองตกแต่งใหม่พร้อมขายจำนวนมาก โดยให้บริการปรับปรุงและขายบ้านมือสอง ซึ่งมีรายได้กระจายไปในบ้านแต่ง บ้านฝาก และบ้านตัด หลายโครงการในทำเลที่ดี โดยไม่ได้ Focus ไปที่โครงการใดโครงการหนึ่ง                  และด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจของผู้บริหารมาเป็นระยะเวลากว่า 12 ปี ยิ่งตอกย้ำศักยภาพความน่าเชื่อถือในการสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัท ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานการเติบโตในธุรกิจของบริษัท โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2565-2567 บริษัท มีรายได้รวม จำนวน 1,302.92 ล้านบาท, 1,313.59 ล้านบาท และ 1,142.46 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ ในปี 2565-2567 จำนวน 21.44 ล้านบาท, 22.27 ล้านบาท และ 36.82 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 1.65, ร้อยละ 1.70 และร้อยละ 3.22 ตามลำดับ

WARRIX กำไรปี 68 โต 26% โกลเบล็กอัพเป้าใหม่ 4.75 บ.

WARRIX กำไรปี 68 โต 26% โกลเบล็กอัพเป้าใหม่ 4.75 บ.

                หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง WARRIX ว่า กำไรงวด 4Q67 ใกล้เคียงคาด ขณะคาดกำไรปี 68 เติบโต 26% งวด 4Q67 มีกำไรสุทธิ 57 ลบ. +4% YoY +5% QoQ ใกล้เคียงคาด ทั้งปี 67 มีกำไร 149 ลบ. +17% YoY ปรับคาดการณ์กำไรปี 68 เพิ่มขึ้น 26% เป็น 178 ลบ. +20% YoY จากการปรับเพิ่มสมมติฐาน % GPM คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมเป็น 4.75 บาท จากเดิม 4.7 บาท Investment Highlight งวด 4Q67 รายงานกำไรสุทธิ 57 ลบ. +5% QoQ, +4% YoY ทั้งปี 67 มีกำไร 149 ลบ. +17% YoY งวด 4Q67 มีกำไรสุทธิ 57 ลบ. +5% QoQ, +4% YoY ใกล้เคียงคาด มีรายได้จากการขายและบริการ 447 ลบ. +4% QoQ +14% YoY ต่ำกว่าที่คาด 4% สาเหตุหลักจากผู้ให้บริการคลังสินค้าไม่สามารถจัดส่งของได้ตามกำหนด ทำให้คำสั่งซื้อบางส่วนถูกยกเลิก มี % GPM ที่ระดับ 49.7% ทรงตัว QoQ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY จาก 50.0% และ 48.3% ตามลำดับ มี % SG&A ที่ระดับ 34.0% ทรงตัว QoQ จากระดับ 34.1% ในงวด 3Q67 และเพิ่มขึ้น YoY จากระดับ 31.3% ในงวด 4Q66 เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้นจากค่าบริการคลังสินค้า ค่าใช้จ่ายในการขายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เป็นต้น ทั้งปี 67 บริษัทมีรายได้ 1,553 ลบ. +27% YoY เติบโตจากยอดขายในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งสินค้า Licensed และ Non-Licensed และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 149 ลบ. +17% YoY ปรับคาดการณ์กำไรปี 68 ปรับคาดการณ์กำไรปี 68 เพิ่มขึ้น 26% เป็น 178 ลบ. +20% YoY จากการปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (% GPM) คงคาดการณ์รายได้ปี 68 ราว 1,849 ลบ. +19% YoY จากการเติบโตของทั้งกลุ่มสินค้า License และ Non-License จากการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและช่องทางออนไลน์โดยตั้งเป้าเปิด shop 24 แห่ง บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนช่องทางการขายของบริษัท (Own Channels) เป็น 65% (ปี 67 สัดส่วน 54%) ซึ่งมี margin สูงกว่า ส่งผลให้เรามีสมมติฐาน % GPM ที่ระดับ 49.2% เพิ่มขึ้นจากระดับ 49.0% ในปีก่อนหน้า คาด % SG&A/Sales ที่ระดับ 37.4% เพิ่มขึ้นจากระดับ 37.1% ในปี 67 จากค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขาใหม่ รวมถึงค่าใช้จ่ายผ่านช่องทางจัดจำหน่าย Platform E-Commerce เช่น Shopee, Lazada, Tiktok เป็นต้น ส่งผลให้เราคาดกำไรสุทธิปี 68 ราว 178 ลบ. +20% YoY คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมเป็น 4.75 บาท เราประเมินราคาเหมาะสมโดยอิง Prospective PE ที่ 16x ที่ระดับ -1SD ของค่าเฉลี่ย 2 ปี ลดลงจากเดิมที่ระดับ 20x ตามสภาวะตลาด เราคาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 68 เท่ากับ 0.30 บาท คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 68 เท่ากับ 4.75 บาท (จากเดิม 4.70 บาท) มีอัพไซต์ 36% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 4.2% ต่อปี เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

KLINIQ จึ้งมาก! Q1 ลุุ้นนิวไฮ- เป้า 37 บ.

KLINIQ จึ้งมาก! Q1 ลุุ้นนิวไฮ- เป้า 37 บ.

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง ว่า KLINIQ (ซื้อ/เป้า 37.00 บาท) กำไร 1Q25E ทำ All Time High ต่อ              คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 37.00 บาท อิง 2025E PER 20x เราประเมินกำไรสุทธิ 1Q25E ที่ 102 ล้านบาท (+36% YoY, +4% QoQ) ใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์เดิม โดยกำไรขยายตัว YoY จาก 1) รายได้ขยายตัว +19% YoY โดย cash sales ทำ All Time High จากการขยายสาขา (1Q25 = 73 สาขา, 1Q24 = 65 สาขา และ 4Q24 ที่ 72 สาขา) และ SSSG ขยายตัว คาดอยู่ที่ +10% และ 2) GPM ขยายตัวเนื่องจากเปิดสาขาใหม่เพียง 1 สาขา (เทียบกับ 1Q24 ที่เปิด 10 สาขา) ด้านกำไรที่ขยายตัว QoQ จาก GPM ขยายตัวและ SG&A expenses ที่ปรับตัวลดลง              คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ 405 ล้านบาท (+26% YoY) จากรายได้ที่เติบโตในทุกแบรนด์และขยายสาขา 10 สาขา ราคาหุ้น outperform SET +8% ใน 1 เดือนที่ผ่านมาปัจจุบัน KLINIQ เทรดอยู่ที่ PER 16.4x เราชอบ KLINIQ จาก 1) จำนวนสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และ 2) valuation น่าสนใจ ยังไม่สะท้อนกำไรปี 2025E-26E ที่เติบโตสูงสุดใหม่

[Vision Exclusive] CPANEL พรีคาสท์มาตรฐานสูง ลูกค้าเรียงคิวคุยงานเพียบ

[Vision Exclusive] CPANEL พรีคาสท์มาตรฐานสูง ลูกค้าเรียงคิวคุยงานเพียบ

          หุ้นวิชั่น - CPANEL ชูพรีคาสท์มาตรฐานสูงหลังแผ่นดินไหว! เร่งขยายตลาดอสังหาฯ แนวราบ บิ๊กบอส "ชาคริต ทีปกรสุขเกษม" ลูกค้าเรียงคิวคุยงานเพียบ ตั้งเป้าผลักดันสัดส่วนงานภาครัฐแตะ 60% หวังลดความเสี่ยงเศรษฐกิจ สร้างการเติบโตมั่นคงในระยะยาว           นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) เปิดเผยกับ ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ประกอบการและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายเรียกบริษัทเข้าพรีเซนต์และรีวิวกระบวนการผลิตแผ่นพื้นและผนังคอนกรีตสำเร็จรูป ขณะเดียวกัน คาดว่าคอนโดมิเนียมแบบ Low-rise (อาคารสูงไม่เกิน 8 ชั้น) รวมถึงบ้านแนวราบ จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมสูง หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีซัพพลายอยู่ในมือ อาจปรับแผนมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างคอนโดมิเนียมสูงนั้นมักมีการวางแผนล่วงหน้าเป็นเวลานาน 10-12 เดือน ซึ่งอาจทำให้การเปลี่ยนแปลงแนวทางการพัฒนาโครงการต้องใช้เวลา           ทั้งนี้ CPANEL มองว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวอาจเป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนอผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ของบริษัทมากขึ้น เนื่องจากบริษัทได้รับมาตรฐานด้านวิศวกรรม และผลิตภัณฑ์สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ           ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,528.29 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนงานภาครัฐเป็น 60% ผ่านการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มโครงการต่าง ๆ เช่น อาคารที่พักราชการ โรงเรียน และโครงการของหน่วยงานรัฐ ขณะเดียวกัน บริษัทจะรักษาสัดส่วนงานภาคเอกชนที่ 40% ซึ่งครอบคลุมกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม โรงพยาบาล รวมถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวสูงและแนวราบ กลยุทธ์ดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างมั่นคงในระยะยาว รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] CHOW พลิกโฉมสู่โฮลดิ้ง  สลากคาร์บอนหนุนยั่งยืน

[Vision Exclusive] CHOW พลิกโฉมสู่โฮลดิ้ง สลากคาร์บอนหนุนยั่งยืน

           หุ้นวิชั่น -  CHOW ยกชั้นสู่ Holding Company เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเงินลงทุน ลดความซับซ้อนธุรกิจ ด้านผู้บริหาร "ปรมัตถ์ จุฬวนิช" ชูสลาก 'คาร์บอนฟุตพริ้นท์' เบิกทางลุยกระแสลดโลกร้อน ตั้งเป้ายอดขายเหล็ก 9 หมื่นตัน ปักหมุดพลังงานสีเขียว 200 เมกะวัตต์ ล่าสุดคว้าใบรับรองมาตรฐาน ISO ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน            นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) และธุรกิจพลังงานทดแทนประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยเปลี่ยนบทบาทของบริษัทเป็น Holding Company เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเงินลงทุนในบริษัทย่อย และลดความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจ            ทั้งนี้ CHOW จะเปลี่ยนลักษณะการดำเนินธุรกิจเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่มุ่งเน้นด้านการลงทุน โดยมี บริษัท เชาว์ สตีล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (CSM) เป็นบริษัทแกน ซึ่งดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตและจำหน่ายเหล็ก ขณะที่ บริษัท เชาว์ ไบร์ท เวนเจอร์ส โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW จะเป็นผู้มีอำนาจควบคุม CSM รวมถึงมีสิทธิในการกำหนดนโยบาย การบริหารจัดการ และการดำเนินงานของ CSM            อย่างไรก็ตาม CHOW ยังคงมุ่งเน้นธุรกิจหลัก ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายเหล็ก รวมถึงธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทต่อไป            CHOW คาดการณ์ว่า ในปี 2568 ธุรกิจเหล็กจะเติบโตในระดับสองหลัก (Double-digit growth) โดยตั้งเป้ายอดขายเหล็กอยู่ที่ประมาณ 85,000-90,000 ตัน อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากปัจจัยแวดล้อม เช่น ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ การลงทุน และโครงการเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐที่ส่งผลต่อความต้องการใช้เหล็ก            ล่าสุด บริษัทได้รับการประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ และได้รับฉลากรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product: CFP) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งสอดคล้องกับแผนของ CHOW ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยควบคุมตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงการจัดจำหน่าย เพื่อให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ            ทั้งนี้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อวิเคราะห์และให้การรับรองโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism) ซึ่งจะช่วยสร้างประโยชน์ในด้านสิ่งแวดล้อม การลงทุน รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้ สินค้าของ CHOW ได้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ลูกค้าสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ต้นทาง พร้อมเดินหน้าธุรกิจตามแนวทางลดโลกร้อน รองรับเทรนด์ด้านความยั่งยืนในอนาคต และคาดจะมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง            ขณะที่ธุรกิจพลังงาน บริษัทจะเดินหน้าขยายกำลังการผลิต โดยตั้งเป้ากำลังการผลิตแตะ 200 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่ 150 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นโครงการในประเทศ 117 เมกะวัตต์ และโครงการต่างประเทศ 32 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการมองหาโครงการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตและส่งเสริมศักยภาพของกลุ่มบริษัท            ล่าสุด บริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจผู้ให้บริการด้านระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจร ในเครือ CHOW ได้รับมอบใบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐาน ISO 2 ฉบับ ได้แก่ ISO 9001:2015 ระบบบริหารจัดการคุณภาพ (Quality Management System) และ ISO 14001:2015 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม  (Environment management System) จากบริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ให้บริการด้านการตรวจประเมินและออกใบรับรองในด้านคุณภาพ อาชีวอนามัย ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคม รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

ECF รับเงินเพิ่มทุนตามนัด พร้อมจดทะเบียนสำเร็จ

ECF รับเงินเพิ่มทุนตามนัด พร้อมจดทะเบียนสำเร็จ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายพชรฐณพงษ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ครั้งที่ 6/2568 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติการกำหนดรายชื่อและจำนวนหุ้นที่จัดสรรให้แก่ผู้ลงทุน กำหนดราคาเสนอขายหุ้น กำหนดวันจองซื้อและชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ซึ่งจัดสรรให้แก่ผู้ลงทุน ครั้งที่ 1           โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 30,432,136 หุ้น ให้แก่ Advance Opportunities Fund 1 ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.25 บาท (เท่ากับมูลค่าที่ตราไว้) คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวมเท่ากับ 7,608,034 บาท โดยกำหนดวันจองและชำระค่าหุ้นระหว่างวันที่ 31 มีนาคม 2568 – 4 เมษายน 2568 ตามที่ได้แจ้งแล้วนั้น           เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับชำระมูลค่าการเสนอขายรวม 5,000,000 บาท จึงทำให้จำนวนหุ้นที่จัดสรรลดลงเหลือ 20,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท บริษัทฯ ขอเรียนว่า บริษัทฯ ได้รับชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวจาก Advance Opportunities Fund 1 เรียบร้อยแล้ว และบริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วตามรายละเอียดข้างต้น ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันที่ 3 เมษายน 2568

[ภาพข่าว] ผู้บริหาร TM ร่วมงานทำบุญครบรอบธุรกิจ 23 ปี

[ภาพข่าว] ผู้บริหาร TM ร่วมงานทำบุญครบรอบธุรกิจ 23 ปี

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM โดย ดร.สุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  นายมานิต วงศ์ไพศาลลักษณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและการตลาด และนายแพทย์นพดล นพคุณ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเดอะพาเร้นส์ จำกัด นำทีมพนักงานร่วมงานทำบุญเนื่องในโอกาสดำเนินธุรกิจครบรอบปีที่ 23 ในปี 2568 ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับองค์กร รวมทั้งสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานทุกฝ่าย

[ภาพข่าว] DEXON ต้อนรับ Sunwoo Total Service NDT จากเกาหลีใต้

[ภาพข่าว] DEXON ต้อนรับ Sunwoo Total Service NDT จากเกาหลีใต้

          หุ้นวิชั่น - บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ Dexon ผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ให้บริการการตรวจสอบโครงสร้างทางด้านวิศวกรรมและการตรวจสอบแบบไม่ทำลาย (NDT) นำโดยน.ส.นวรัตน์ คำศรี ผู้อำนวยการฝ่ายพาณิชย์และการตลาด และ Mr. Olivier Desjours International Sales Engineer ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารระดับสูงจาก Sunwoo Total Service บริษัทชั้นนำด้านการทดสอบแบบไม่ทำลาย (Non-Destructive Testing: NDT) จากประเทศเกาหลีใต้ วัตถุประสงค์เพื่อเยี่ยมชมการดำเนินงาน พร้อมหารือความร่วมมือการให้บริการตรวจสอบในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศเกาหลีใต้ในอนาคต           ในระหว่างการเยี่ยมชม DEXON ให้คำแนะนำคณะผู้แทนจาก Sunwoo เกี่ยวกับเครื่องมือตรวจสอบภายในท่อ (In-Line Inspection: ILI) รุ่นล่าสุดของ Dexon โดยเน้นการประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์อุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนซึ่งในครั้งนี้ทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญได้ดำเนินการสาธิตอุปกรณ์ ILI ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อความแม่นยำและการปรับตัวได้ดี และเครื่องมือ UT ILI มีคุณสมบัติดังนี้: ความละเอียดสูงพิเศษ สามารถทำงานในท่อที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็ก (3"-12") สามารถผ่านทางโค้ง 1.5D แบบต่อเนื่องได้ สามารถเคลื่อนที่ผ่านทางโค้ง 180 องศาและเดินทางผ่านท่อที่มีการจัดวางซับซ้อนได้ มีการครอบคลุมข้อมูลแบบซ้อนทับ (Overlapping data coverage)           นอกจากชมการสาธิตการทำงานของอุปกรณ์แล้วคณะผู้แทนยังได้เดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญของDEXON ได้แก่ ลานทดสอบระบบท่อนำส่งขนาดใหญ่ และครบวงจรบนพื้นที่กว่า 11 ไร่ ที่ออกแบมาสำหรับการจำลองสถานการณ์และทำการทดสอบเครื่องมือว่าสามารถปฏิบัติงานได้ตามความต้องการของลุกค้าก่อนที่จะนำออกไปให้บริการ สถานที่วิจัยและพัฒนา (R&D) ที่มีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่หลากหลาย พร้อมมุ่งเน้นการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า การแสดงเครื่องมือตรวจสอบรุ่นล่าสุดของเรา           เด็กซ์ซอนยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างเทคโนโลยีนวัตกรรม และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า   พร้อมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน

SVR ปลอดภัยทุกตึก รอดตัวแผ่นดินไหว

SVR ปลอดภัยทุกตึก รอดตัวแผ่นดินไหว

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท หรือ “SVR” ตอกย้ำความมั่นใจให้กับลูกบ้านทุกโครงการ ทั้งโครงการเดิมที่ขายหมดไปแล้ว โครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างปลอดภัย 100% หลังผู้บริหารนำทีมวิศวกร ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอย่างละเอียดการันตีความมุ่งมั่นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการ เพื่อตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิต เพื่อส่งมอบสังคมคุณภาพและความสุขอย่างยั่งยืน BEST SMART LIVING           นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ขอให้ลูกบ้านมั่นใจว่า ทุกโครงการของ SVR ทั้งโครงการเดิมที่ขายหมดไปแล้ว โครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง อาทิ สิวารมณ์ เนเจอร์ พลัส (อัสสัมชัญ – ศรีราชา), สิวารมณ์ เนเจอร์ พลัส 1 และ สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท – บางปู 83), สิวารมณ์ ซิตี้  (นิคมพัฒนา – ระยอง), สิวารมณ์ ปาร์ค (วงแหวน – ประชาอุทิศ 76), สิวารมณ์ ปาร์ค (สุขุมวิท – บางปู), สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์), สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท – บางปู 58), สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท – เทพารักษ์), สิวารมณ์ ไฮด์ (บางแค – สาทร), สิวารมณ์ ไฮด์ (พุทธมณฑล สาย 3), แกรนด์ สิวารมณ์ 1 และ แกรนด์ สิวารมณ์ 2 (สุขุมวิท – บางปู 109) ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว           โดยทางผู้บริหารได้นำทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้าง เข้าไปตรวจสอบทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติในครั้งนี้ และได้รับการยืนยันจากทีมวิศวกรที่ได้เข้าไปตรวจสอบโครงสร้างต่างๆ อย่างละเอียด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการดำเนินงานของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานการก่อสร้างที่แข็งแรงและเป็นไปตามหลักวิศวกรรม ทำให้โครงสร้างอาคารมีความมั่นคง           อีกทั้งบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพได้รับมาตรฐานยืนยัน และรองรับการสั่นสะเทือน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญในโซนพื้นที่ส่วนกลาง โดยได้ให้เจ้าหน้าที่วิศวกรเข้าไปตรวจสอบ ได้แก่ สโมสร สระว่ายน้ำ และฟิตเนส ให้มีความปลอดภัยที่สุด           “สิวารมณ์ เรียลเอสเตท “SVR” มุ่งมั่นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการ เพื่อตอบโจทย์ทุกรูปแบบในการใช้ชีวิต เพื่อส่งมอบสังคมคุณภาพและความสุขอย่างยั่งยืน BEST SMART LIVING” นายรณฤทธิ์ กล่าว

CHOW ตอกย้ำมาตรฐานสากล ผ่านการรับรอง ISO 9001 และ ISO 14001

CHOW ตอกย้ำมาตรฐานสากล ผ่านการรับรอง ISO 9001 และ ISO 14001

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน กรุงเทพฯ - นายคริสโตบอล ชิน (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจผู้ให้บริการด้านระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจร ในเครือ CHOWรับมอบใบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐาน ISO 2 ฉบับ ได้แก่ ISO 9001:2015 ระบบบริหารจัดการคุณภาพ (Quality Management System) และ ISO 14001:2015 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม  (Environment management System) จากนายพิพัฒน์ โอภาสทวีทรัพย์ (ซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ให้บริการด้านการตรวจประเมินและออกใบรับรองในด้านคุณภาพ อาชีวอนามัย ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคม           “CHOW มุ่งเน้นการเป็นผู้นำการให้บริการในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศโดยผ่านบริษัทย่อย บริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) การได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO ประจำปี 2568 เป็นการตอกย้ำระบบการให้บริการที่เป็นเลิศในด้านคุณภาพ พร้อมการมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานระดับสากล ” นายคริสโตบอล กล่าว                   

CHOW ปรับโครงสร้างธุรกิจ ยกชั้นสู่ Holding Company

CHOW ปรับโครงสร้างธุรกิจ ยกชั้นสู่ Holding Company

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า ตามที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ หรือ CHOW”) ได้รายงานให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์”) ทราบ ถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างกิจการของบริษัทและการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ โดยวัตถุประสงค์เพื่อปรับบทบาทของบริษัทฯ ให้ทำหน้าที่เป็นบริษัท Holding Company เพื่อช่วยให้บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการเงินลงทุนในบริษัทย่อยต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการธุรกิจที่แตกต่างกัน เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 และวันที่ 21 สิงหาคม 2567 แล้วนั้น           บริษัทฯ ขอเรียนแจ้งว่าภายหลังจากการปรับโครงสร้างกิจการในครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ บริษัทฯ จะเปลี่ยนลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัทเป็นโฮลดิ้งซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการลงทุน (Holding Company) และมีบริษัท เชาว์ สตีล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด หรือ CSM เป็นบริษัทแกน ซึ่งประกอบธุรกิจการรับจ้างผลิตและจำหน่ายเหล็ก           ทั้งนี้ ภายหลังจากการปรับโครงสร้างกิจการในครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ บริษัทฯ จะเปลี่ยนลักษณะการประกอบธุรกิจเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ดำเนินธุรกิจด้านการลงทุน (Holding Company) และมีบริษัท เชาว์ สตีล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (CSM) เป็นบริษัทแกนหลักของกลุ่มบริษัทฯ           โดยบริษัท เชาว์ ไบร์ท เวนเจอร์ส โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (CHOW) จะเป็นผู้มีอำนาจควบคุมบริษัท CSM และมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย การจัดการ รวมถึงการดำเนินงานของบริษัท CSM ตลอดจนมีอำนาจในการแต่งตั้งหรือถอดถอนกรรมการของบริษัท CSM ได้โดยตรง โดยจะมุ่งเน้นการบริหารธุรกิจที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใสตามแนวปฏิบัติของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งจะคำนึงถึงกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี หากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการปรับโครงสร้างกิจการของบริษัท บริษัทฯ จะรายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป

LTMH เปิดเทรดวันแรก 5.25 บ. ธุรกิจออนไลน์แข็งแกร่ง

LTMH เปิดเทรดวันแรก 5.25 บ. ธุรกิจออนไลน์แข็งแกร่ง

             หุ้นวิชั่น – "ลงทุนแมน" ลงสนามเทรด mai วันแรก ราคาเปิดที่ 5.25 บ. จากราคา IPO ที่ 5 บาท หรือเพิ่มขึ้น 5% ใส่เกียร์ลุยธุรกิจโตต่อ ชูผู้ติดตามรวมทุกแพลตฟอร์ม 8.39 ล้านคน เจาะกลุ่มออนไลน์ โชว์ ECOSYSTEM เสริมแกร่งอนาคต ราคาหุ้น LTMH เปิดตลาดเช้า วันที่ 2 เม.ย.68 ที่ราคา 5.25 บาท จากราคา IPO ที่ 5 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ คิดเป็น 5%              นายธณัฐ เตชะเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) หรือ LTMH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตต่อเนื่องจากธุรกิจสื่อออนไลน์ จากปัจจุบันมีผู้ติดตามในทุกแพลตฟอร์มรวมกันกว่า 8.39 ล้านคน ประกอบไปด้วย ลงทุนแมน, ลงทุนเกิร์ล, MarketThink, Brandcase, Money Lab และ Mao-Investor ที่มีจำนวนผู้ติดตาม (Followers) ในช่องทาง Facebook, Youtube, Instagram, X, Tiktok, Line และ Blockdit              ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนจะขยายธุรกิจออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน 250 ล้านบาท บริษัทมีแผนนำไปขยายธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) ซึ่งจะใช้เงินลงทุนรวม 43 ล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์และเนื้อหาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ภายใต้ "บริษัท เวลท์เอ็กซ์แมเนจเมนท์ จำกัด" (WM) และธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุนและ/หรือ การเป็นนายหน้าซื้อ-ขายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้ ภายใต้ "บริษัท หลักทรัพย์ เวลท์เอ็กซ์ จำกัด" (WS) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2568              นอกจากนี้ บริษัทจะนำเงินระดมทุนบางส่วนไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ใช้ลงทุนในหุ้น บลจ.ทาลิส ซึ่งปัจจุบันบริษัทถือหุ้นอยู่ 25% และส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ “บริษัทคาดการณ์รายได้จะเติบโตจากธุรกิจออนไลน์ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก เพราะเป็นรายได้แบบต่อเนื่อง ด้วยฐานผู้ติดตามที่มากกว่า 8 ล้านคน และด้วยความหลากหลายของธุรกิจ ECOSYSTEM ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริมรายได้ให้กับธุรกิจและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน” นายธณัฐ กล่าว              สำหรับธุรกิจของบริษัทประกอบธุรกิจแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจสื่อและแพลตฟอร์มสื่อ และกลุ่มธุรกิจออฟไลน์ โดยกลุ่มธุรกิจสื่อและแพลตฟอร์มสื่อ ประกอบด้วย 1) ธุรกิจสื่อออนไลน์ (Online Media) ผลิตสื่อออนไลน์ และให้บริการประชาสัมพันธ์ผ่านเว็ปไซต์ (Website) ของบริษัท และช่องทางแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ เช่น Facebook, Youtube, Instagram, Blockdit,X, Tiktok และ Line ภายใต้แบรนด์ ลงทุนแมน ลงทุนเกิร์ล MarketThink BrandCase MONEY LAB และ Mao-Investor ซึ่งเนื้อหาคอนเทนต์ (Content) มีทั้งที่บริษัทผลิตเองและที่ได้รับการว่าจ้างจากลูกค้า 2) ธุรกิจแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ (Online Media Platform) ให้บริการแพลตฟอร์มชุมชนออนไลน์ในนาม “Blockdit” ที่สมาชิกสามารถสร้างผลงานหรือโพสต์เนื้อหาได้ด้วยตัวเอง และ 3) ธุรกิจให้บริการที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร (Digital Marketing Solution) ภายใต้แบรนด์ “LTMH Rocket”              ส่วนกลุ่มธุรกิจออฟไลน์จะประกอบด้วยธุรกิจการจัดงานอิเวนต์ (Event) และธุรกิจการจำหน่ายหนังสือ งวดปี 2567 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจสื่อออนไลน์ : ธุรกิจให้บริการที่ปรึกษาด้านการตลาดฯ : ธุรกิจการจัดงานอิเวนต์ : อื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 75 : 15 : 8 : 2 ตามลำดับ นายธณัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลตอบรับจากการเข้าเทรดวันแรกเป็นสัญญาณเชิงบวก ที่สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อโมเดลธุรกิจและแผนการเติบโตในอนาคตของบริษัท

LTMH เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

LTMH เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

              หุ้นวิชั่น - อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ พร้อมด้วย ธณัฐ เตชะเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แอลทีเอ็มเอช ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ของ บมจ. แอลทีเอ็มเอช ผู้นำสื่อการลงทุน ธุรกิจ และการเงิน เจ้าของเพจ “ลงทุนแมน”  ในวันที่ 2 เมษายน 2568 มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,000 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “LTMH”

GFC ปลอดภัยเรื่องอาคาร – ถังแช่แข็งตัวอ่อน   เปิดให้บริการตามปกติครบ 3 สาขา

GFC ปลอดภัยเรื่องอาคาร – ถังแช่แข็งตัวอ่อน เปิดให้บริการตามปกติครบ 3 สาขา

            หุ้นวิชั่น - จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมา ยอมรับว่าทุกพื้นที่รอบกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอาคารสูงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ บมจ. เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ (“GFC”) ขอแสดงความห่วงใยไปถึงทุกๆ ท่านมา ณ โอกาสนี้ และด้วยมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารสำหรับคลินิกให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากในรูปแบบ Stand Alone ทั้ง 3 สาขาของ GFC ได้แก่ GFC Rama 3, GFC Rama 9 International และ GFC Ubon ส่งผลให้ CEO “กรพัส อัจฉริยมานีกูล” ออกมาประกาศยืนยันถึงความปลอดภัยของตัวอาคาร ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว และได้มี ทีมวิศวกรเข้ามาตรวจเช็คระบบโครงสร้างต่างๆ รวมไปถึงการตรวจเช็คระบบห้องปฏิบัติการ ผลที่ออกมา ทุกอย่างปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานวิศวกรรมทุกอย่าง ทำให้ทุกสาขาของ GFC สามารถเปิดให้บริการได้โดยไม่ต้องปิดทำการแต่อย่างใด และอีกหนึ่งหัวใจหลักที่สำคัญของ GFC คือ “ถังแช่ตัวอ่อน” หลังจาก ที่นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจถังแช่ตัวอ่อนทุกถังแล้ว ถึงกลับเป็นปลื้ม เพราะตัวอ่อนทุกตัวที่อยู่ในตู้เลี้ยงปลอดภัยทั้งหมด งานนี้คงต้องยกนิ้วให้กับระบบความปลอดภัยของ GFC ที่มีมาตรฐานสูงเรื่องการ วางระบบความปลอดภัยในการดูแลตัวอ่อนได้เป็นอย่างดี สมกับเป็นผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ระดับ TOP ของประเทศ “ที่ใส่ใจในความสำเร็จ” จริงๆ

APM ยื่นไฟลิ่ง หุ้นกู้ DHOUSE 120 ลบ. ดอกเบี้ย 7.25% ต่อปี

APM ยื่นไฟลิ่ง หุ้นกู้ DHOUSE 120 ลบ. ดอกเบี้ย 7.25% ต่อปี

             หุ้นวิชั่น - APM ยิ่นไฟลิ่ง DHOUSE ต่อ ก.ล.ต. เตรียมเสนอขายหุ้นกู้มีประกัน ครั้งที่ 2/2568 ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ. 2570 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนด อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.25% ต่อปี เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 120 ล้านบาท หลักประกันทางธุรกิจมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.4 เท่า เพื่อเป็นเงินทุนในโรงงานผลิตชิ้นส่วนอาคารสำเร็จรูป เตรียมพัฒนาโครงการ UPark Residence พร้อมทั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจ และ ชำระคืนหุ้นกู้ DHOUSE25NA คาดเสนอขายวันที่ 6-8 พฤษภาคม 2568 และ คาดออกหุ้นกู้วันที่ 9 พฤษภาคม 2568              นายอรรถ เลิศรุ้งพร กรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจการตลาดและการขาย บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ DHOUSE เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญในจังหวัดมหาสารคาม โดยยึดหลักการพัฒนารูปแบบโครงการที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้า มีราคาเหมาะสม และ ให้ความสำคัญกับคุณภาพการก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนการให้บริการหลังการขายที่มีคุณภาพ              ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่ายที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการเดอะ แกรนด์ คาแนล, โครงการแกรนด์ บิซ, โครงการพฤกภิรมย์ ศาลากลาง และ โครงการ U Park HOME อีกทั้งบริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทให้เช่า ที่อยู่ระหว่างดำเนินงานก่อสร้างเพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลศักยภาพของจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ UPark Market และ UPark Residence              นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน รวมถึงธุรกิจร้านค้าภายในสถานีบริการน้ำมัน ในรูปแบบ DODO (Dealer Owned Dealer Operated) บริเวณถนนท่าขอนยาง - บ้านขี ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ใกล้มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในชื่อ “ปตท.ยูพาร์ค ขามเรียง” ซึ่งเป็นธุรกิจที่นอกเหนือจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยสามารถรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง และ กระจายความเสี่ยงในการดำเนินงานให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี              นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้เสี่ยงสูงมีประกันของบริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2568 ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ. 2570 และ ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนก่อนครบกำหนด อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.25% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายรวมกันเป็นมูลค่าไม่เกิน 120 ล้านบาท              สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวมีหลักประกันเป็นที่ดินในจำนวน 13 โฉนด รวมพื้นที่ 42 ไร่ 3 งาน 90.20 ตารางวา โดยผู้ออกหุ้นกู้จะต้องดำรงมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันรวมกันไม่ต่ำกว่า 1.4 เท่า ของมูลค่ารวมของหุ้นกู้ที่ยังมิได้ไถ่ถอนทั้งหมดตลอดอายุหุ้นกู้              นายสุริยา ธรรมธีระ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM กล่าวถึงวัตถุประสงค์ สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในโรงงานผลิตชิ้นส่วนอาคารสำเร็จรูป หรือ Prefab และ การพัฒนาโครงการ U-Park Residence รวมถึงการชำระคืนหุ้นกู้ DHOUSE25NA และเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจ              ทั้งนี้ บริษัทยื่นแบบแสดงรายการต่อ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุมัติจาก ก.ล.ต. คาดว่าจะกำหนดวันเสนอขายในช่วงระหว่างวันที่ 6-8 พฤษภาคม 2568 และ คาดว่าจะสามารถออกหุ้นกู้ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2568              ด้านนายฐิติพัฒน์ ทวีสิน รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่าย Corporate Finance Solutions & REIT บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ กล่าวว่า การเสนอขายหุ้นกู้ DHOUSE ครั้งที่ 2/2568 เป็นการเสนอขายให้ให้แก่ กลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ เคพีเอ็ม จำกัด เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้ และ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

เก็บ KTMS ด่วน!! ก่อน XD 7 พ.ค. 68 รับปันผล 0.0233 บาทต่อหุ้น

เก็บ KTMS ด่วน!! ก่อน XD 7 พ.ค. 68 รับปันผล 0.0233 บาทต่อหุ้น

            หุ้นวิชั่น  -  บมจ.เคที เมดิคอล เซอร์วิส “KTMS” ผู้นำด้านการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมรวมทั้งการขาย และการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์อย่างครบวงจร (One-stop Services) ภายใต้การบริหารงานของซีอีโอหญิงแกร่ง   “กาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา” ที่ไม่เคยทำให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นผิดหวัง กับนโยบายการจ่ายปันผล  อย่างสม่ำเสมอ โดยล่าสุดงวดปี 2567 แจกปันผลหุ้นละ 0.0233 บาท งานนี้หากใครยังไม่เก็บ KTMS     เข้าพอร์ตคงต้องใส่เกียร์แบบด่วนๆ เพราะแว่วๆ ว่าเตรียมขึ้น XD วันที่ 7 พ.ค.นี้ ดังนั้นหากใครอยู่ในลิสต์แล้วก็เตรียมเปิดกระเป๋ารอรับทรัพย์ ในวันที่ 26 พ.ค. 68 นี้ได้เลย มิหนำซ้ำยังแอบกระซิบถึงแผน Roadmaps 3 ปี (2568-2570) ตั้งเป้ามีสาขารวมแตะ 45-60 สาขา มีเครื่องไตเทียมรวมแตะ 550 เครื่อง พร้อมให้บริการแบบเชิงรุก ทั้งงานติดตั้งระบบน้ำ งานปรับปรุงหน่วยไตเทียม งานติดตั้งท่อลมรับ-ส่ง สิ่งส่งตรวจทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง หนุนเป้ารายได้โตเฉลี่ยต่อปี 20-30% เรียกได้ว่างานนี้เปิดฉากลุยขยายการลงทุนแบบเต็มสตรีม เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและการเติบโตที่ยั่งยืน

หุ้นน้องใหม่

หุ้นน้องใหม่ "LTMH" ชูแผนขยายธุรกิจสื่อ-เทคโนโลยี

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึงว่า บริษัท แอลทีเอ็มเอช จำกัด (มหาชน) หรือ “ลงทุนแมน” ว่า ประกอบธุรกิจ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจสื่อและแพลตฟอร์มสื่อ (ออนไลน์) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจสื่อออนไลน์, ธุรกิจแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ และธุรกิจให้บริการที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร และกลุ่มธุรกิจออฟไลน์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจการจัดงานอีเวนต์ (Event) และธุรกิจการจำหน่ายหนังสือ              ช่วงปี 2565-2567 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 174 ล้านบาท, 226 ล้านบาท และ 232 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในปี 2567 รายได้รวมเติบโต 3% YoY สาเหตุหลักจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจสื่อออนไลน์ (Online Media) ซึ่งเป็นรายได้หลักคิดเป็น 75% ของรายได้รวม และมีการเติบโต 37% จากปีก่อนหน้า จากการเพิ่มจำนวนพนักงานขาย การติดตามยอดขาย และปรับกลยุทธ์การขายอย่างสม่ำเสมอ บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจออนไลน์ที่ระดับ 49.3%, 47.7% และ 54.5% ตามลำดับ โดยในปี 2567 อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักมาจากการควบคุมต้นทุนธุรกิจออนไลน์ที่ดีขึ้น รวมถึงลักษณะธุรกิจของบริษัทที่มีต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 31, 38 และ 35 ล้านบาท ตามลำดับ              สำหรับปี 2568 เราคาดการณ์กำไรสุทธิอยู่ที่ 55 ล้านบาท เติบโต 56% YoY โดยคาดการณ์รายได้ที่ 300 ล้านบาท เติบโต 29% YoY จากการขยายตัวของธุรกิจสื่อออนไลน์ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้บริการสื่อโฆษณาของลูกค้า รวมถึงการเพิ่มขึ้นของฐานลูกค้า โดยมีสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ปรับตัวขึ้นเป็น 57.6%              ในส่วนของการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทกำหนดราคา IPO ที่ 5.00 บาท คิดเป็น Trailing PE ที่ระดับ 28 เท่า โดยมีจำนวนหุ้น IPO ทั้งหมด 50 ล้านหุ้น วัตถุประสงค์ของการระดมทุนคือ 1) ใช้สำหรับขยายธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) 2) ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และ 3) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน              เราประเมินราคาเหมาะสมของ LTMH โดยอิงค่า Prospective PE ที่ระดับ 24.2 เท่า เนื่องจากไม่มีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะเดียวกันโดยตรง จึงใช้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมบริการและหมวดธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์เป็นเกณฑ์อ้างอิง โดยใช้ค่าเฉลี่ย P/E Ratio ย้อนหลัง 2 ปี ของ PLANB ที่ระดับ 32.0 เท่า และ ONEE ที่ระดับ 16.4 เท่า เมื่อพิจารณาคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2568 ที่ 0.272 บาทต่อหุ้น เราคำนวณราคาเหมาะสมของหุ้น LTMH ไว้ที่ 6.60 บาท

PROEN ลั่นฐานะการเงินแกร่ง ชำระหนี้หุ้นกู้งวด 2 ตามนัด

PROEN ลั่นฐานะการเงินแกร่ง ชำระหนี้หุ้นกู้งวด 2 ตามนัด

          หุ้นวิชั่น - PROEN มาตามนัด ชำระคืนหนี้หุ้นกู้งวด 2 เรียบร้อย จำนวน 100 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา  "กิตติพันธ์" ลั่นสะท้อนฐานะการเงินแข็งแกร่ง ยันแผ่นดินไหวไม่กระทบการก่อสร้างศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ ยันโครงสร้างมีความมั่นคงและแข็งแรง ขณะที่ศูนย์PROEN บางรัก ยังให้บริการลูกค้าตามปกติ           นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้ให้บริการ Cloud และ Data Center ครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30  มีนาคม ที่ผ่านมา บริษัทได้นำเงินจำนวน 100 ล้านบาท ชำระเงินหนี้หุ้นกู้งวดที่ 2 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางด้านฐานะการเงินของบริษัท ถึงแม้แผนเพิ่มทุนขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง จำนวน 400 ล้านหุ้น จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้น โดยงบกระแสเงินสด ณ สิ้นปี 2567 มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือ 176 ล้านบาท           ทั้งนี้บริษัทได้ออกหุ้นกู้วงเงิน 500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 7%ต่อปี เพื่อนำเงินไปใช้ในการก่อสร้างโครงการศูนย์บริการข้อมูล หรือ Data Center แห่งใหม่ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยกำหนดแบ่งชำระ 3 งวด งวดแรกชำระไปแล้ว 100 ล้านบาท เมื่อ 30 มีนาคม 2567 และงวดที่ 2  จำนวน 100 ล้านบาท เพิ่งชำระไปเมื่อวันที่  30 มีนาคม 2568  ส่วนงวดสุดท้ายจะครบกำหนดในวันที่ 30 มีนาคม ปี 2569           นายกิตติพันธ์ กล่าวว่า ถึงแม้ไทยจะเผชิญปัญหาแผ่นดินไหว แต่โครงการศูนย์บริการข้อมูล หรือ Data Center แห่งใหม่ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด โครงสร้างอาคารมีความมั่นคง แข็งแรง ขณะทื่ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์  PROEN บางรัก  ยังให้บริการปกติ ไม่มีลูกค้ารายใดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว

LTMH จากสื่อดิจิทัลสู่ WealthTech จับตาโตแรง - เป้า 7.40 บาท

LTMH จากสื่อดิจิทัลสู่ WealthTech จับตาโตแรง - เป้า 7.40 บาท

                หุ้นวิชั่น - บล.เอเอสแอล ประเมินแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,160-1,175 จุด อยู่ในโหมดระมัดระวังเพื่อรอจับตาปัจจัยสำคัญคืนนี้ คือ การประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ว่าจะมีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อไทยมากน้อยเพียงใด ไทยถือว่าอยู่ในกลุ่ม "Dirty 15" ซึ่งขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงสุดเป็นอันดับ 11 หากมีสินค้าหลักที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ จะเป็น Downside ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน ปัจจัยในประเทศ: ตลาดคาดว่าจะทยอยคลายกังวลต่อเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น โดยเบื้องต้นผลกระทบเชิงเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด และไม่ได้กระทบภาคอุตสาหกรรม แต่ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายระยะสั้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเห็น ครม. ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงหลังสงกรานต์ ซึ่งจะเข้าสู่ช่วง Low Season ของภาคการท่องเที่ยว ด้าน กนง. เราประเมินว่าโอกาสที่ จะลดดอกเบี้ยอีก 25-50 bps ในปีนี้มีสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าคาด โดย GDP ปีนี้อาจต่ำกว่า 2.5% กลยุทธ์การลงทุน: ยังคงเน้น Selective Buy เลือกหุ้น Defensive ที่แนวโน้มกำไรแข็งแกร่งและได้รับผลกระทบจำกัดจากปัจจัยภายนอก หุ้นเด่นเดือน เม.ย.: BA, BBL, CPF, HMPRO, OSP FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR หุ้นเด่นวันนี้: LTMH - แนะนำ "ซื้อ" เป้าหมาย 7.40 บาท - เป็นบริษัท สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำของไทย เติบโตจากเพจ ลงทุนแมน ปัจจุบันมี 6 แบรนด์ ได้แก่ ลงทุนแมน, ลงทุนเกิร์ล, MarketThink, BrandCase, MONEY LAB และ Mao-Investor - ขยายไปสู่ธุรกิจ แพลตฟอร์ม Blockdit, การให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์, การจัดงานอีเวนต์ธุรกิจ, การจำหน่ายหนังสือ และ WealthTech โดยใช้ประโยชน์จากฐานผู้ติดตามกว่า 8.3 ล้านคน - LTMH เพิ่มทุน IPO 50 ล้านหุ้น (25% ของหุ้นหลัง IPO) เพื่อลงทุนใน WealthTech, ชำระคืนหนี้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน - คาดว่ารายได้และกำไรปี 2025 เติบโต +35% และ +64% ตามลำดับ หมายเหตุ: Finansia เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย Fund Flow: เมื่อวานนี้ กระแสเงินทุนต่างชาติ ผสมผสาน สุทธิแล้วยังไหลออกจากภูมิภาคบางส่วน รวม -US$220 ล้าน เกาหลีใต้: ไหลออก -US$269 ล้าน ไต้หวัน: ไหลเข้าเล็กน้อย +US$23 ล้าน ไทย: ไหลเข้า +US$42 ล้าน เวียดนาม: ไหลออก -US$17 ล้าน แนวโน้มของ Fund Flow คาดว่าจะทรงตัววันนี้ โดยรอติดตาม การประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของทรัมป์ในคืนนี้ ประเด็นสำคัญวันนี้: (0) ตัวเลขนักท่องเที่ยว: Week 13 (24-30 มี.ค.) ทรงตัว w-w แต่ลดลง -9% y-y เฉลี่ย 8.4 หมื่นคน/วันนักท่องเที่ยวมาเลเซีย +42% w-w เป็นอันดับ 1นักท่องเที่ยวจีน -4% w-w, -49% y-y1Q25 มีนักท่องเที่ยวรวม 9.5 ล้านคน +2% y-y แต่ต่ำกว่าคาด -8% คาดว่าปี 2025 อาจต่ำกว่าคาดการณ์ 39 ล้านคน (-) กลุ่มโรงไฟฟ้า: ครม. มอบหมายให้กระทรวงพลังงานปรับลดค่าไฟฟ้า พ.ค.-ส.ค. 2025 ไม่เกิน 3.99 บาท/หน่วย (ต่ำกว่าที่ กกพ. เสนอที่ 4.15 บาท/หน่วย)ิ หากเป็นการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้า อาจส่งผลลบค่อนข้างมากต่อธุรกิจโรงไฟฟ้า หุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าไฟลดลง: ค้าปลีกที่มีสาขามาก: CPALL, CPAXT, CPN, BJC, HMPRO, GLOBAL, DOHOME กลุ่มสื่อสาร: ADVANC, TRUE (+) HMPRO ได้อานิสงส์จากการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยจากแผ่นดินไหว หนุนยอดขายในไตรมาสถัดไป คาดกำไรปกติ 1Q25 ลดลง q-q จากปัจจัยฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย y-yปี 2025 ตั้งเป้าเปิด 12 สาขา (จาก 9 สาขาในปี 2024) ปรับราคาเป้าหมายเป็น 11.80 บาท แนะนำ "ซื้อ" (+) THG / RAM THG ประกาศ เพิ่มทุน 6 พันล้านบาท PP: 430.5 ล้านหุ้นให้ RAM ที่ราคา 8.65 บาท RO: 511.2 ล้านหุ้น (5 หุ้นเดิม: 2 หุ้นใหม่) ที่ราคา 5 บาท คาดว่าการทำรายการจะเสร็จภายใน 3Q25หลังเพิ่มทุน คาดกำไรปกติ THG อยู่ที่ 1 พันล้านบาท ราคาหุ้นหลัง XR คาดอยู่ที่ 9.3 บาท RAM ถือหุ้น THG เพิ่มขึ้นเป็น 50% โดยต้องใช้เงินเพิ่มทุน 5 พันล้านบาท คาดใช้ bridging loan และอาจมีการขายสินทรัพย์บางส่วน คาดกำไรใหม่ของ RAM อยู่ที่ 1.5-1.7 พันล้านบาท โดยรวม ดีลนี้ช่วยให้ THG และ RAM ผ่านจุดต่ำสุด และมีโอกาสฟื้นตัวของกำไรใน 1-2 ปีข้างหน้า

[Vision Exclusive] TQR จุดเปลี่ยนประกัน! แผ่นดินไหวกระตุ้นดีมานด์

[Vision Exclusive] TQR จุดเปลี่ยนประกัน! แผ่นดินไหวกระตุ้นดีมานด์

          หุ้นวิชั่น - TQR มองแผ่นดินไหวกระตุ้นความต้องการประกันภัยที่อยู่อาศัย ชี้เป็นภัยใกล้ตัว และอาจะเกิดขึ้นได้ บิ๊กบอส "ชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์" ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 5-10% ชูธุรกิจประกันภัย ESG และเทคโนโลยีใหม่มาแรง เดินหน้าผนึก TQM บริาทประกันชั้นนำ ตอบโจทย์ลูกค้า           นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TQR เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า โดยทั่วไป กรมธรรม์ประกันภัยที่อยู่อาศัยยังไม่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากนัก และมีอัตราการซื้อที่ค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม คาดว่าหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ผู้บริโภคที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัยจะให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากตระหนักว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติอาจเกิดขึ้นได้ใกล้ตัว           ทั้งนี้ ประกันภัยที่อยู่อาศัยอยู่ภายใต้ระบบประกันภัยต่อ (Reinsurance) อยู่แล้ว ขณะที่ความเสียหายจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เชื่อว่าในระยะ 5-6 วันที่ผ่านมา การเคลมประกันภัยยังไม่ครบทุกโครงการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งคาดว่าจะมีการยื่นเคลมเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง           อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทประกันภัยอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ขณะเดียวกัน เชื่อว่าผู้บริโภคจะตื่นตัวและให้ความสนใจทำประกันภัยภัยธรรมชาติเพิ่มขึ้น           ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตที่ระดับ 5-10% จากปี 2567 ที่มีรายได้ 258.92 ล้านบาท โดยยังคงดำเนินธุรกิจในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมประกันภัยและประกันภัยต่ออย่างครบวงจร ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ร่วมกับบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) หรือ TQM และบริษัทประกันภัยชั้นนำ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและอนาคต           สำหรับประกันภัยต่อที่บริษัทให้ความสำคัญ ยังมุ่งเน้นธุรกิจประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับ ESG โดยเฉพาะในด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงประกันภัยต่อสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident and Health), ประกันภัยไซเบอร์ (Cyber), ประกันภัยความรับผิดของกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหาร (Directors and Officers), ประกันภัยต่อการก่อการร้ายและภัยทางการเมือง (Political Violence) และประกันภัยที่อยู่อาศัย ซึ่งธุรกิจประกันภัยต่อจะมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยงให้กับบริษัทประกันภัย รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] CRD ซ่อมบ้านแผ่นดินไหว  ลุ้นโครงการใหม่ 500 ล้าน

[Vision Exclusive] CRD ซ่อมบ้านแผ่นดินไหว ลุ้นโครงการใหม่ 500 ล้าน

          หุ้นวิชั่น - CRD รับอานิสงส์รีโนเวทหลังแผ่นดินไหว ชี้เชียงใหม่ดีมานด์ล้น จ่อซ่อมหลายยูนิต ด้านผู้บริหาร "ธีรพัฒน์ จิรพิพัฒน์" เล็งงานใหม่ ไตรมาส 2 มูลค่า 500 ลบ. เดินหน้าร่วมพัฒนาโครงการกับ ORN ทั้งโรงเรียนนานาชาติและคอนโดในภูเก็ต-เชียงใหม่ พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10% บุ๊กยอดธุรกิจจัดเก็บขยะต่อ           นายธีรพัฒน์ จิรพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ริมดอย จำกัด (มหาชน) หรือ CRD เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้โครงการคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเกิดรอยร้าวและรอยแตก โดยผู้บริโภคและเจ้าของโครงการต้องการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ ส่งผลให้บริษัทได้รับอานิสงส์จากดีมานด์ในส่วนนี้ เนื่องจากการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยถือเป็นงานเร่งด่วน และมีจำนวนยูนิตที่ต้องการรีโนเวทเป็นจำนวนมาก           ขณะที่โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง บริษัทได้เข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารแล้ว พบว่าอยู่ในระดับปลอดภัย และสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามปกติ           ทิศทางธุรกิจในไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะทรงตัว และยังไม่เติบโตอย่างหวือหวามากนัก เนื่องจากเป็นช่วงที่โครงการก่อสร้างเดิมแล้วเสร็จ ขณะที่โครงการใหม่จะเริ่มขึ้นในไตรมาส 2/2568 ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการของบริษัท และช่วยให้ภาพการเติบโตชัดเจนขึ้น           สำหรับไตรมาส 2/2568 บริษัทคาดว่าจะมีงานก่อสร้างใหม่เข้ามา 2-3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 400-500 ล้านบาท โดยเป็นงานที่ร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN ซึ่งมีโครงการสำคัญในแผนปี 2568 อาทิ การก่อสร้างโรงเรียนนานาชาติ และคอนโดมิเนียมในจังหวัดภูเก็ตและเชียงใหม่           และในปี 2568 บริษัทยังคงเป้าหมาย และคาดจะสามารถเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2-3 ของปี 2568 เป็นต้นไป โดยบริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตประมาณ 10% โดยเฉพาะจากงานบริการจัดเก็บขยะ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัญญาในโครงการจัดเก็บขยะในพื้นที่ปากเกร็ด เชียงใหม่ และลำปาง คาดว่าจะรับรู้รายได้ต่อเนื่องตามสัญญาการให้บริการ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

DEXON ยกระดับมาตรฐาน ซ่อมบำรุง Offshore Platform

DEXON ยกระดับมาตรฐาน ซ่อมบำรุง Offshore Platform

          หุ้นวิชั่น -  บริษัท เด็กซ์ซอน เมคคานิคอล โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ DMS เป็นบริษัทย่อยของบริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)  หรือ DEXON ซึ่งให้บริการออกแบบทางวิศวกรรม งานประกอบ งานโครงสร้าง รวมทั้งงานให้บริการบุคลากรทางด้านเครื่องกลและซ่อมบำรุงทั้งในส่วนงานท่อ DMS สร้างมาตรฐานใหม่ในวงการซ่อมบำรุงอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ด้วยความสำเร็จในโครงการซ่อมบำรุง Flare and Tripod Platform ของ บริษัทชื่อดังที่มีธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม พลังงานสะอาด โดยเป็นผู้รับเหมารายแรกที่นำเทคนิค Rope Access มาใช้ในงาน Hot Work Welding           การดำเนินงานแบ่งเป็นสองส่วนหลัก ส่วนแรกคืองาน Onshore ที่ DMS Yard ใช้เวลา 30 วัน โดยทีมวิศวกรได้พัฒนาและจัดทำเอกสารทางเทคนิคที่สำคัญ ประกอบด้วยการออกแบบและวิศวกรรมเฉพาะทาง การจัดทำ Welding Procedure Specification (WPS) และ Welding Procedure Qualification Test (WPQT) รวมถึงการออกแบบและทดสอบอุปกรณ์พิเศษ พร้อมทั้งจัดทำขั้นตอนการทำงานที่ผสานเทคนิค Hot Work และ Rope Access อย่างมีประสิทธิภาพ           สำหรับงาน Offshore ที่ใช้เวลาปฏิบัติงานเพียง 12 วัน ด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญได้ดำเนินการ Welding Repair บนโครงสร้าง Flare Platform และ Coating Repair ด้วยระบบเคลือบผิวมาตรฐานสากล พร้อมการตรวจสอบคุณภาพด้วย Close Visual Inspection และการวัดความหนาด้วย Ultrasonic Testing Measurement (UTM) ภายใต้การรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน IRATA           จุดเด่นของ DMS ในโครงการนี้คือการผสานความเชี่ยวชาญของทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ด้าน Offshore Structure ผู้เชี่ยวชาญด้าน QAQC ที่คุมมาตรฐานงานระดับสากล ช่างเชื่อมที่ผ่านการรับรองมาตรฐานพิเศษสำหรับงาน Offshore ทีม Rope Access ที่ได้รับการรับรองจาก IRATA และช่างเทคนิคด้าน NDT สำหรับการตรวจสอบคุณภาพ           DMS เราภาคภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจและสามารถส่งมอบงานได้ตามกำหนดเวลาจนทำให้ได้รับคำชื่นชมจากลูกค้าว่า “DMS เป็นผู้รับเหมารายแรกที่ดำเนินการ Rope Access Hot Work Welding ได้สำเร็จ" อีกทั้งการดำเนินงานทั้งหมดอยู่ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด โดยมีการควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผน การปฏิบัติงาน ไปจนถึงการตรวจสอบและส่งมอบงาน ส่งผลให้ DMS   ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการดำเนินโครงการสำคัญต่อไปในอนาคต

[ภาพข่าว]

[ภาพข่าว] "เอกพงศ์" บิ๊ก MOTHER นั่งประธานหอการค้ากระบี่คนใหม่

           นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER  ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ Mother Supermarket และ Mother Marche ในจังหวัดกระบี่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดพังงา ได้รับการโหวตให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการหอการค้าจังหวัดกระบี่ แทนนายนัทที อดิศราลักษณ์ ประธานคณะกรรมการหอการค้าจังหวัดกระบี่ ในการประชุมใหญ่สามัญสมาชิกหอการค้าจังหวัดกระบี่ ครั้งที่ 41 ประจำปี 2568 โดยมีนายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมมาริไทม์ แอนด์ สปา รีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ทั้งนี้ นายเอกพงศ์ นับเป็นประธานคณะกรรมการหอการจังหวัดกระบี่ สมัยที่ 21 โดยจะเข้าบริหารงานระหว่างปี 2568-2570 พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันยกระดับจังหวัดกระบี่สู่เมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืนของประเทศในอนาคต

AU อัปเกรดเมนูโตไม่หยุด บุกแฟรนไชส์ต่างประเทศ

AU อัปเกรดเมนูโตไม่หยุด บุกแฟรนไชส์ต่างประเทศ

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง AU ว่า ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มไตรมาสแรก แต่มองเป็นบวกต่อแนวโน้มทั้งปี 68 งวด 4Q67 มีกำไร 86 ลบ. +82%YoY +3%QoQ (เป็นไปตามคาด) โดยมีรายได้ 433 ลบ. +37%YoY +1%QoQ จาก 3 ปัจจัยสนับสนุนหลัก คือ 1) ขยายสาขา After You สู่ 62 แห่ง (+2 แห่ง YoY +1 แห่ง QoQ) 2) การเติบโตของ SSSG +9% จากยอดขายต่อบิลที่สูงขึ้น และ 3) การเริ่มวางจำหน่ายสินค้าใน 7-Eleven ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 67 ขณะที่ %GPM ปรับลดลงสู่ 64.7% (4Q66 = 65%, 3Q67 = 65.4%) เนื่องจากรายได้จากการขายสินค้าใน 7-Eleven ที่มาร์จิ้นต่ำกว่ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม %SG&A ปรับลดลงสู่ 26.1% (4Q66 = 30.5%, 3Q67 = 26.6%) จาก Economies of Scale โดยทั้งปี 67 บริษัทมีรายได้ 1,577 ลบ. +30%YoY และกำไร 296 ลบ. +66%YoY ความคิดเห็น: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้ม 1Q68 คาดหดตัว QoQ เนื่องจากผลกระทบของการเข้าสู่ช่วงรอมฎอนในเดือน มี.ค. ซึ่งส่วนใหญ่กระทบต่อสาขาในภาคใต้ และสะท้อน SSSG ภาพรวมเป็นลบ 2-3% แต่คาดยังคงเติบโต YoY จากรายได้ของการขายสินค้าใน 7-Eleven ตั้งแต่ปลายปีก่อน และเพิ่งเพิ่มกำลังผลิตจนสามารถวางจำหน่ายครบทุก 1.5 หมื่นสาขาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา (จากช่วงแรกเพียง 7-8 พันสาขา) รวมทั้งยังมีรายได้จากการเป็น Partner กับสายการบินไทย ทั้งนี้ เรายังคงมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มทั้งปี 68 ที่คาดจะเติบโตต่อเนื่องจาก 1) แผนขยายสาขาร้าน After You 5-6 แห่ง 2) การวางจำหน่ายสินค้าใน 7-Eleven ที่เป็น Categories ใหม่เพิ่มเติม ทั้งในรูปแบบ Own Brand และ Collaboration 3) การเปิดร้านแฟรนไชส์ในต่างประเทศ 1-2 แห่ง และ 4) แผนการทำเมนูใหม่ๆ ซึ่งบริษัทกำลังริเริ่มไปทำเมนูอาหารคาว ทั้งนี้ เราคาดกำไรปี 68 ราว 332 ลบ. +12%YoY และราคาเหมาะสม 13.50 บาท มีอัพไซด์ 35% แนะนำ "ซื้อ"

CHEWA ลงพื้นที่! นำวิศวกร ตรวจสอบความปลอดภัยหลังแผ่นดินไหว

CHEWA ลงพื้นที่! นำวิศวกร ตรวจสอบความปลอดภัยหลังแผ่นดินไหว

              หุ้นวิชั่น - จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA ดำเนินการตรวจสอบผลกระทบจากแผ่นดินไหวกับโครงสร้างอาคารในทุกโครงการอย่างเร่งด่วน โดยมี นายยุทธนา บุญสิทธิวราภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการก่อสร้าง นำทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบอาคารทุกประเภท ทั้งอาคารสูงและแนวราบ เพื่อประเมินสภาพความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างบ้านและอาคารทุกโครงการของชีวาทัย โดยทีมวิศวกรลงพื้นที่ตรวจสอบทันทีหลังเกิดเหตุ ผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าบ้านและอาคารทุกโครงการไม่ได้รับความเสียหายรุนแรงแต่อย่างใด               บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) ขอยืนยันว่าอาคารทุกโครงการได้รับการออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และเพื่อความอุ่นใจของลูกค้าชีวาทัย บริษัทฯ ได้เปิดสายด่วนคอลเซ็นเตอร์เพื่อให้บริการในกรณีฉุกเฉิน สำหรับลูกบ้านที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม แจ้งเหตุการณ์ ความผิดปกติที่อาจพบเจอ หรือขอความช่วยเหลือ ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1260 กด 8 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความอุ่นใจของลูกบ้านชีวาทัยทุกคน [PR news]

BC ลั่นแผ่นดินไหวไม่กระทบ ดีมานด์เข้าพัก Low Rise คึก

BC ลั่นแผ่นดินไหวไม่กระทบ ดีมานด์เข้าพัก Low Rise คึก

                     หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้โมเดล “สร้าง-ดำเนินการ-ขาย” (Build-Operate-Sale: BOS) ตอกย้ำความมั่นใจความปลอดภัยของโครงการในพอร์ตทั้งหมด ทั้งในกรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยวในต่างจังหวัด หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมา ยืนยันว่าโครงการทั้งหมดของ BC เป็นอาคารประเภท Low Rise ทำเลใจกลางเมือง ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวแต่อย่างใด           นายปรับ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า BC ได้ส่งทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบความมั่นคงของโครงการอย่างละเอียด ครอบคลุมทั้งโครงสร้างอาคาร ระบบน้ำ ไฟฟ้า และระบบภายในอื่นๆ โดยไม่พบข้อบ่งชี้ถึงความเสียหาย พร้อมวางแผนตรวจสอบซ้ำโดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญภายนอกในสัปดาห์นี้ทันทีเพื่อเสริมความมั่นใจให้ผู้ใช้งานอีกระดับ และตอกย้ำ โครงการของเราให้ความสำคัญด้านคุณภาพและความปลอดภัยในทุกขั้นตอน ตั้งแต่งานโครงสร้างและระบบวิศวกรรมต่างๆ โดยดำเนินการก่อสร้างผ่านผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์สูง และผ่านการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด มีมาตรฐานสูง นอกจากนี้ โครงการทั้งหมดของเรายังมีประกันภัยความเสี่ยงทุกประเภท (All Risks Insurance) เพื่อคุ้มครองทั้งทรัพย์สินและความปลอดภัยของผู้เช่าและผู้ใช้งานอย่างรอบด้าน           อย่างไรก็ดี จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น คาดส่งผลให้กลุ่มโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นของ BC โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ มีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น  เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเลือกเข้าพักในอาคาร Low Rise ของ BC ซึ่งผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความมั่นคงแล้วเรียบร้อย           ทั้งนี้ ปัจจุบัน BC มีโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นที่เปิดให้บริการรวม 9 โครงการ ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และชลบุรี (พัทยา) รวมถึงโครงการศูนย์การค้า “โคฟฮิลล์” ย่านเจริญกรุง ที่ได้รับการพัฒนาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยในทุกมิติ

mai ต้อนรับ LTMH เริ่มซื้อขาย 2 เม.ย. นี้

mai ต้อนรับ LTMH เริ่มซื้อขาย 2 เม.ย. นี้

                หุ้นวิชั่น - นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บมจ. แอลทีเอ็มเอช เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มบริการ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “LTMH” ในวันที่ 2 เมษายน 2568                 กลุ่ม LTMH ประกอบธุรกิจแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจสื่อและแพลตฟอร์มสื่อ และกลุ่มธุรกิจออฟไลน์ โดยกลุ่มธุรกิจสื่อและแพลตฟอร์มสื่อ ประกอบด้วย 1) ธุรกิจสื่อออนไลน์ (Online Media) ผลิตสื่อออนไลน์ และให้บริการประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ (Website) ของบริษัท และช่องทางแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ เช่น Facebook, YouTube, Instagram, Blockdit, X, TikTok และ Line ภายใต้แบรนด์ ลงทุนแมน, ลงทุนเกิร์ล, MarketThink, BrandCase, MONEY LAB และ Mao-Investor ซึ่งเนื้อหาคอนเทนต์ (Content) มีทั้งที่บริษัทผลิตเองและที่ได้รับการว่าจ้างจากลูกค้า 2) ธุรกิจแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ (Online Media Platform) ให้บริการแพลตฟอร์มชุมชนออนไลน์ในนาม “Blockdit” ที่สมาชิกสามารถสร้างผลงานหรือโพสต์เนื้อหาได้ด้วยตัวเอง                 และ 3) ธุรกิจให้บริการที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร (Digital Marketing Solution) ภายใต้แบรนด์ “LTMH Rocket” ส่วนกลุ่มธุรกิจออฟไลน์จะประกอบด้วยธุรกิจการจัดงานอิเวนต์ (Event) และธุรกิจการจำหน่ายหนังสือ งวดปี 2567 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจสื่อออนไลน์ : ธุรกิจให้บริการที่ปรึกษาด้านการตลาดฯ : ธุรกิจการจัดงานอิเวนต์ : อื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 75 : 15 : 8 : 2 ตามลำดับ บริษัทมียอดผู้ติดตามรวมแต่ละเพจผ่านช่องทางแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์เป็นจำนวนถึง 8.39 ล้านคน (ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568)                 LTMH มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 100 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 150 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 50 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 37.5 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 7 ล้านหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ ไม่เกิน 5.5 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ลงทุนทุกประเภทระหว่างวันที่ 25 - 27 มีนาคม 2568 ในราคาหุ้นละ 5 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 250 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,000 ล้านบาท                 ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 28.24 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในปี 2567 ซึ่งเท่ากับ 35.42 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.18 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ                 นายธณัฐ เตชะเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LTMH เปิดเผยว่า บริษัทเน้นการนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพ ทันเหตุการณ์ และถ่ายทอดเนื้อหาที่ซับซ้อนให้ง่ายต่อการเข้าใจ ส่งผลให้จำนวนผู้ติดตามเติบโตในช่วงปี 2564-2567 (CAGR) 19.61% ต่อปี และเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความมั่นคงให้กับบริษัทฯ ในปี 2567 บริษัทได้ขยายเข้าสู่ธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) โดยได้จัดตั้งบริษัทย่อย 2 บริษัท ได้แก่ บริษัทเวลท์เอกซ์ แมเนจเมนต์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ และบริษัทหลักทรัพย์เวลท์เอกซ์ จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน และตราสารแห่งหนี้ โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาใช้สำหรับขยายการดำเนินธุรกิจในบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน                 LTMH มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ ครอบครัวนายธณัฐ เตชะเลิศ ถือหุ้น 50.83% บริษัท เอ๊าท์ดอร์ มีเดีย อินเวสเม้นท์ จำกัด ถือหุ้น 12.75% และนายเอก ตังคนานนท์ ถือหุ้น 7.60% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ หลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.ltmh.com และ www.set.or.th

MPJ ลุยขยายลานตู้ ปักธงรายได้ 1.24 พันล.

MPJ ลุยขยายลานตู้ ปักธงรายได้ 1.24 พันล.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า "ถือ" MPJ คาดปี 2568 โตต่อผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 1.24 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% YoY โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) การขยายลานกองตู้คอนเทนเนอร์ 2 แห่ง ที่แหลมฉบัง (คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 3 ปี 2568) และลาดกระบัง (คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 2568) เพิ่มความจุรวม 6,000 ตู้ ทำให้มีลานกองตู้รวม 15,000 ตู้ รวมมีพื้นที่ 161,792 ตร.ม. 2) การขนส่งทางรถ โดยเตรียมซื้อรถใหม่ประมาณ 15 คัน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 200 คัน 3) ธุรกิจ Freight Forwarder เพิ่มพนักงานขายจาก 9 คน เป็น 13 คน ทั้ง 3 ปัจจัยนี้จะสนับสนุนให้รายได้และผลประกอบการเติบโตจากปี 2567 ที่มีรายได้ 1.05 พันล้านบาท (+12% YoY) และมีกำไร 100 ล้านบาท (+20% YoY)            • ความเห็น เรามีมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของ MPJ เนื่องจากมีแผนการขยายธุรกิจทั้งลานกองตู้คอนเทนเนอร์ การขนส่งทางรถ และ Freight Forwarder อีกทั้งมีการประกาศจ่ายเงินปันผลที่สูงถึง 0.30 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 30 เมษายน และจ่ายเงินปันผลวันที่ 22 พฤษภาคม คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 9.2% ขณะที่ราคาหุ้น MPJ ซื้อขายที่ P/E Ratio 6.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าบริษัท SONIC, III, SINO, ETL และ WICE ซึ่งดำเนินธุรกิจคล้ายกันอยู่ที่ 7.8, 8.5, 11.2, 12.5 และ 18.5 เท่าตามลำดับ แต่เราแนะนำเพียง "ถือ" เนื่องจากมีความเสี่ยงเกี่ยวกับข้อพิพาททางกฎหมาย 2 คดี โดยมีทุนทรัพย์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 90 ลบ. เป็นปัจจัยกดดันต่อราคาหุ้น (บริษัทคาดว่าจะใช้เวลาอีกราว 1-3 ปีในการพิจารณาคดี และคาดว่ามูลค่าชดเชยความเสียหายจะอยู่ที่ราว 25 ลบ.)

[Vision Exclusive] KOOL แรงรับหน้าร้อน ซัมเมอร์หนุน Q2 พีค

[Vision Exclusive] KOOL แรงรับหน้าร้อน ซัมเมอร์หนุน Q2 พีค

          หุ้นวิชั่น - KOOL ชูแบรนด์ MASTERKOOL แข่งตลาดพัดไอเย็น หน้าร้อนยอดขายพีค หนุนผลงาน Q2 ผงาด ด้านบิ๊กบอส "นพชัย วีระมาน" เร่งเครื่องรุกช่องทางออนไลน์โกยเงิน คาดปีนี้โต 10-15%  แย้มหาโครงการใหม่ต่อยอด ไม่ปิดกั้นโอกาสลงทุน ชี้ธุรกิจการเงิน-อสังหาฯ แกร่ง           นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแอล เวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ช่วงฤดูร้อนถือเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจจำหน่ายและให้เช่าผลิตภัณฑ์ทำความเย็น อาทิ พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้แบรนด์ “MASTERKOOL” ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงพีคที่สามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทได้มากที่สุดของปี และน่าจะส่งดีและเห็นภาพชัดเจนในไตรมาส 2/2568           สำหรับแผนการทำตลาดในช่วงไฮซีซั่นปีนี้ บริษัทจะเดินหน้าเจาะตลาดผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายหรือดีลเลอร์ และการวางจำหน่ายตามห้างร้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นช่องทางที่สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง           ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจในศักยภาพการแข่งขันของแบรนด์ MASTERKOOL ที่ยังคงสามารถแข่งขันกับแบรนด์อื่น ๆ ในตลาดได้อย่างดี โดยตั้งเป้ารักษาระดับยอดขายในช่วงฤดูร้อนให้อยู่ในช่วง 300–400 ล้านบาท           ภาพรวมธุรกิจในปี 2568 บริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้หลักจะยังคงมาจากธุรกิจจำหน่ายและให้เช่าผลิตภัณฑ์ทำความเย็นในสัดส่วน 60–70% ขณะที่ธุรกิจบริการรถเช่าจะมีสัดส่วนราว 20% และส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์           สำหรับทิศทางการเติบโตในปี 2568 บริษัทประเมินว่าทุกกลุ่มธุรกิจจะยังคงเติบโตในทิศทางเชิงบวก โดยสะท้อนตามภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มของแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งในส่วนของธุรกิจการเงิน คาดว่าจะเติบโตในช่วง 10–20% ขณะที่ธุรกิจหลักอย่างการจำหน่ายและให้เช่าผลิตภัณฑ์ทำความเย็น คาดว่าจะเติบโตในช่วง 10–15% ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะนี้อยู่ในขั้นเริ่มต้นโครงการใหม่ โดยคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อภาพรวมของกลุ่มในอนาคต           ทั้งนี้ บริษัทไม่ปิดกั้นโอกาสในการขยายการลงทุน โดยยังคงมองหาโครงการลงทุนใหม่ ๆ เพิ่มเติม แม้ในปัจจุบันยังไม่มีโครงการใหม่อยู่ในมือ           อนึ่งปี 2568 บริษัทมีรายได้ ที่ 824.30 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 54.32 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] PPS คุมงานก่อสร้าง แผ่นดินไหวไม่สะเทือน!   

[Vision Exclusive] PPS คุมงานก่อสร้าง แผ่นดินไหวไม่สะเทือน!  

          หุ้นวิชั่น - PPS ลุยตรวจสอบโครงสร้างอาคารสูง หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ยันไม่มีปัญหาทางโครงสร้าง ชูผลงานเด่น ตึกใบหยก 1 และใบหยก 2 แถม One Bangkok ฐานแน่น ด้านผู้บริหาร "พงศ์ธร ธาราไชย" มั่นใจในมาตรฐานการคุมงาน ส่งซิกโปรเจ็กต์สนามบินอู่ตะเภาจ่อ คว้างานสเติมพอร์ตกว่าราว 100 ล้านบาท จากปัจจุบันตุนงานแน่น 400 กว่าล้านบาท           ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS เปิดเผยกับทีมข่าว “หุ้นวิชั่น” ว่า ขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการตรวจสอบงานโครงสร้างอาคารในโครงการที่บริษัทรับผิดชอบในการควบคุมงานก่อสร้างไปแล้วบางส่วน โดยยืนยันว่า ไม่มีปัญหาในเชิงโครงสร้างอย่างแน่นอน           ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการเข้าตรวจสอบโครงการทั้งหมดที่ดูแลอยู่ ทั้งโครงการปัจจุบันและโครงการในอดีต โดยเฉพาะอาคารขนาดใหญ่ อาทิ ตึกใบหยก 1, ตึกใบหยก 2 รวมถึง โครงการ One Bangkok เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่ใกล้เคียงประเทศไทย           ขณะนี้บริษัทกำลังดำเนินการตรวจสอบโครงสร้างอาคารสูงที่เคยรับผิดชอบในอดีต เพื่อประเมินความปลอดภัยหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว พร้อมทั้งติดตามความคืบหน้าของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยบริษัทมั่นใจในมาตรฐานการคุมงานและดูแลการก่อสร้างที่ดำเนินการอยู่           สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2568 PPS ยังคงเดินหน้ารับงานใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมนี้ จะได้รับงานใหม่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการควบคุมงานก่อสร้างและที่ปรึกษาด้านการก่อสร้างโครงการสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งมีมูลค่าการก่อสร้างรวม 400 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าจะได้รับงานในส่วนของ PPS คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท           หากได้รับงานดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนงานในมือ (Backlog) ของบริษัทให้เติบโตขึ้นจากปัจจุบันที่มีมูลค่า Backlog กว่า 400 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

DEXON  สนับสนุนอุปกรณ์ตรวจสอบ ร่วมภารกิจค้นหา เหตุอาคารถล่ม

DEXON สนับสนุนอุปกรณ์ตรวจสอบ ร่วมภารกิจค้นหา เหตุอาคารถล่ม

          บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ DEXON ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุแผ่นดินไหวซึ่งส่งผลให้อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ในเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พังถล่ม เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568           เพื่อสนับสนุนภารกิจค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหาย DEXON ได้จัดส่งอุปกรณ์ตรวจสอบแบบไม่ทำลายขั้นสูง (Advanced Non-Destructive Testing – NDT) พร้อมทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนทีมกู้ภัยของกรุงเทพมหานคร และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งลงพื้นที่ปฏิบัติงานตั้งแต่วันเกิดเหตุ อุปกรณ์ที่สนับสนุนประกอบด้วย: กล้องตรวจสอบระยะไกล (Remote Visual Inspection – RVI Camera) สำหรับตรวจสอบพื้นที่เข้าถึงยากหรือไม่ปลอดภัย โดยไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่เข้าไปโดยตรง CRAWLER รุ่น F200 สำหรับตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เสี่ยง โดยสามารถส่งข้อมูลแบบไร้สายได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่จำกัด           DEXON ขอส่งกำลังใจไปยังผู้ได้รับผลกระทบ ครอบครัว รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่กำลังปฏิบัติภารกิจด้วยความเสียสละอย่างยิ่ง และขอเป็นกำลังใจให้คนไทยทุกคนก้าวผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกัน [PR News]

LEO ส่ง

LEO ส่ง "LSSC" เพิ่มทุน "ลีโอ จี๋ทู่ อินฟอร์เมชั่นฯ" เป็น 27 ลบ.

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บอร์ด LEO อนุมัติให้ บริษัทย่อย “ลีโอ ซอร์สซิ่ง ซัพพลายเชน (LSSC)” เพิ่มทุนใน “ลีโอ จี๋ทู่ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี” เป็น 27  ล้านบาท พร้อมลุยธุรกิจให้บริการเช่า-จำหน่าย Power Bank โทรศัพท์มือถือ / รถจักรยานไฟฟ้า ผ่าน Application เตรียมเปิดสถานีบริการ 3,000 แห่ง คาดทำเปิดให้บริการภายในปลายไตรมาส 2/68 ฟากซีอีโอ “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ระบุมั่นใจสามารถต่อยอดธุรกิจ Non Freight ตั้งเป้าปี 69 สร้างรายได้กว่า 100 ล้านบาท เติมเต็มธุรกิจหลัก หนุนอนาคตเติบโตมั่นคง          นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 ที่ประชุมคณะผู้บริหาร (Executive Committee) บริษัทฯ ครั้งที่ 4/2568 มีมติอนุมัติให้บริษัท ลีโอ ซอร์สซิ่ง แอนด์ ชัพพลายเชน จำกัด (LSSC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เพิ่มทุนในบริษัท ลีโอ จี๋ทู่ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (LJT)  โดยก่อนการเพิ่มทุน มีทุนจดทะเบียนที่ 5,000,000บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 50,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 100 บาท เพิ่มเป็น 27,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 270,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 100 บาท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น ทั้งก่อนเพิ่มทุนและหลังเพิ่มทุนเป็น 51% วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต คาดว่าจะทำรายการได้ภายในเดือนเมษายน 2568          ทั้งนี้ บริษัท ลีโอ จี๋ทู่ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (LJT)   เป็นบริษัทร่วมทุน ระหว่าง บริษัท ลีโอ ชอร์สซิ่ง แอนด์ ซัพพลายเชน จำกัด (LSSC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ LEO กับ Yunnan Xiaomaolv Information Technology Co., Ltd. โดย LSSC มีสัดส่วนถือหุ้น 51% ส่วน Yunnan Xiaomaolv Information Technology Co., Ltd. ถือหุ้น 49%  ประกอบธุรกิจให้เช่า และจำหน่าย Power Bank โทรศัพท์มือถือ / รถจักรยานไฟฟ้า ให้บริการโซลูชั่นแก่ลูกค้าผ่าน Application คาดว่าจะสามารถจะเริ่มดำเนินงานได้ภายในปลายไตรมาส 2/ 2568 โดยจะเริ่มจากธุรกิจให้บริการเช่ายืม Power Bank จัดทำเป็นตู้เช่า คิดค่าบริการรายชั่วโมง ใช้เสร็จสามารถนำมาคืนที่จุดบริการที่ไหนก็ได้ ตอบโจทย์ผู้ใช้ ที่ไม่สะดวกพกพา Power Bank ตลอดเวลา หรือไม่ต้องใช้เวลาชาร์จนานๆ ตามจุดบริการปลั๊กไฟสาธารณะที่ค่อนข้างหายาก ให้สามารถเช่าและชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ได้ทันที และสามารถพกพาไปกับการเดินทางได้ตลอดการเดินทาง หมดกังวลแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือหมดระหว่างวัน          “LEO มั่นใจว่าความร่วมมือระหว่าง LSSC กับ Yunnan Xiaomaolv  ในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดตลาดธุรกิจใหม่ที่เป็น Sharing Economy  โดยเฉพาะลูกค้าหลักของบริษัทฯ เน้นเจาะกลุ่ม Millennials และ Generation Z ซึ่งมีการใช้งานสมาร์ทโฟนสูงและสนใจใช้ผลิตภัณฑ์ Sharing Economy  เนื่องจากพวกเขามีการใช้งานสมาร์ทโฟนมากและยินดีที่จะจ่ายค่าบริการเช่า Power Bank ลูกค้าหลักอีกกลุ่มจะเป็นนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง ที่คุ้นเคยกับ Sharing Economy ของ Power Bank เป็นอย่างดี  สำหรับการที่ LEO เพิ่มทุนในบริษัท ลีโอ จี๋ทู่ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี เป็น 27,000,000 บาท เนื่องจากมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ  และเพื่อรองรับการขยายธุรกิจให้เช่าแบตเตอรี่สำรอง ให้มีจุดบริการที่ครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น”          นายเกตติวิทย์  ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า  ในปี 2564  ประเทศจีนถือส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจ Power Bank Rental (PBR) และคาดว่าจะเติบโตที่อัตรา 52.7% ตั้งแต่ปี 2565 ถึง 2573 การเติบโตในตลาดนี้ขับเคลื่อนโดยการพึ่งพาสมาร์ทโฟนมากขึ้น การคาดการณ์การเติบโตของตลาดในจีนจะเติบโตตามรูปแบบเดียวกับที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 41.3% ในช่วงปี พ.ศ. 2565 – 2573  คาดว่าจะผลักดันให้ตลาดมีมูลค่า 8.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2573       นอกจากนี้ มีข้อมูลสนับสนุนว่าจำนวน Millennials ที่เป็นกลุ่มลูกค้ารายหลักของธุรกิจ PBR นั้น ในทวีปเอเชียมีกลุ่ม Millennials มากที่สุด จำนวน 1,082 ล้านคน คิดเป็น 42% เมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมด  การเพิ่มขึ้นและการขยายตัวของเมืองก็เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจเช่า Power Bank ในเอเชียให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดเช่นเดียวกัน          “LEO มั่นใจว่าความร่วมมือระหว่าง LSSC กับ Yunnan Xiaomaolv  ที่เป็นบริษัทชั้นนำในประเทศจีน ที่มีจุดแข็งด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีนี้ ทางบริษัทฯ สามารถนำมาขยายการให้บริการให้เช่า Power Bank  ต่อในประเทศไทย คาดว่าจะตอบโจทย์ให้ลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ หมดกังวลเรื่องแบตเตอรี่มือถือหมดอีกต่อไป   ทางบริษัทฯ ตั้งเป้าจะเปิดให้บริการสถานีเช่า Power Bank จำนวน 3,000 แห่งในกรุงเทพฯ ภายในปลายไตรมาส 2 /2568 และมีแผนที่จะขยายไปถึง 10,000 แห่งภายในปลายปี 2568 และมีเป้าหมายที่จะขยายถึง 25,000 สถานีในปี 2569  และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้กว่าปีละ 100 ล้านบาท ภายในปี 2569” นายเกตติวิทย์ กล่าวในที่สุด

IVF เจาะ ซาอุฯ – เอมิเรตส์ รับดีมานด์ตลาดสุขภาพโต

IVF เจาะ ซาอุฯ – เอมิเรตส์ รับดีมานด์ตลาดสุขภาพโต

             หุ้นวิชั่น - บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ Inspire IVF ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากด้วยมาตรฐานสากล เดินหน้าขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง ตอกย้ำกลยุทธ์การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ที่เน้นการลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพสูง “ซาอุดีอาระเบีย - สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” หลังพบความต้องการที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้มีบุตรยาก และอานิสงส์จากนโยบายด้านสุขภาพของทั้งสองประเทศ ที่เน้นพัฒนาระบบสาธารณสุขและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ โดยบริษัทมุ่งสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตระดับสากล พร้อมคว้าโอกาสขยายรายได้และสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย              นางสาวเกศิณี กุลดิลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “อินสไปร์ ไอวีเอฟ เดินเกมกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ (Joint Venture) เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจสู่ตลาดที่มีศักยภาพสูงในตะวันออกกลางอย่าง ‘ซาอุดีอาระเบีย’ (KSA) และ ‘สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์’ (UAE) หลังพบดีมานด์การรักษาภาวะมีบุตรยากโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) จากปัจจัยหนุนด้านประชากรที่แต่งงานและมีบุตรช้าลง ผนวกกับนโยบายส่งเสริมสุขภาพของทั้งสองประเทศ อาทิ รัฐบาลซาอุฯ ทุ่มงบกว่า 224 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข รวมถึงการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพใน UAE ที่มีมูลค่ากว่า 992 ล้าน AED (หรือ 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งมีแนวโน้มเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวทางการแพทย์ (Medical Tourism Hub) ในอนาคต”              นางสาวเกศิณี กล่าวต่อว่า “เพื่อให้การขยายธุรกิจเป็นไปตามแผน เราได้ดำเนินการเข้าพบหน่วยงานและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ทั้งผู้ให้บริการทางการแพทย์ครบวงจรในตะวันออกกลาง ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ และบริการดูแลสุขภาพที่บ้าน โดยมีความสนใจทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์ IVF ในซาอุฯ และหน่วยงานที่กำกับดูแลเขตเศรษฐกิจเสรีด้านการแพทย์ใน UAE ที่พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับนักลงทุนด้านสุขภาพ อาทิ การยกเว้นภาษี การถือครองกรรมสิทธิ์เต็มรูปแบบ และการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการลงทุนด้านการแพทย์ ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจใน UAE ได้อย่างแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ”              “ทั้งนี้ ตลาด IVF ทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 43.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 5.57% ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2033 (ที่มา: Vision Research Reports) โดยจะได้รับการขับเคลื่อนจากอัตราการมีบุตรยากที่เพิ่มขึ้น และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี IVF เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง จึงนับเป็นโอกาสสำคัญของ Inspire IVF ในการก้าวสู่การเป็น ‘ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากมาตรฐานสากลระดับแนวหน้าของประเทศไทยและเอเชีย’ ที่พร้อมเติมเต็มทุกความฝันในการมีบุตรให้เป็นเรื่องง่าย และเป็นไปได้จริง (Simplicity in Every Step) โดยเราพร้อมเดินตามแผนขยายเครือข่ายในภูมิภาคตะวันออกกลาง ลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา” นางสาวเกศิณี กล่าวทิ้งท้าย ติดตามความเคลื่อนไหวของ บริษัท อินสไปร์ ไอวีเอฟ จำกัด (มหาชน) หรือ “IVF” ได้ทางเว็บไซต์ https://www.inspireivf.com เพจเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/inspireivfthailand หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 063-531-8666 และ 02-251-8666

PPS ชนซิลลิ่ง 0.22 บาท KSS แนะเก็งหุ้นที่ปรึกษา-คุมงานก่อสร้าง

PPS ชนซิลลิ่ง 0.22 บาท KSS แนะเก็งหุ้นที่ปรึกษา-คุมงานก่อสร้าง

          หุ้นวิชั่น - PPS พุ่งแรง ราคาชนซิลลิ่ง 0.22 บาท เพิ่มขึ้น +0.05 บาท หรือ +29.41% KSS แนะเก็งกำไรกลุ่มที่ปรึกษางานอาคาร/โครงสร้าง ด้านผู้บริหารเดินหน้าตรวจสอบตึกสูง มั่นใจปลอดภัยชัวร์!           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้น PPS เช้านี้ (10.21น.) ปรับตัวเพิ่มขึ้น ชน Celling ที่ 0.22 บาท หรือเพิ่มขึ้น +0.05 บาท หรือ +29.41% หลัง KSS แนะเก็งกำไรกลุ่มที่ปรึกษางานอาคาร/โครงสร้าง ซึ่ง PPS เป็นหนึ่งในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาแลุคุมงานก่อสร้าง           ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS เปิดเผยกับทีมข่าว “หุ้นวิชั่น” ว่า ขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการตรวจสอบงานโครงสร้างอาคารในโครงการที่บริษัทรับผิดชอบในการควบคุมงานก่อสร้างไปแล้วบางส่วน โดยยืนยันว่า ไม่มีปัญหาในเชิงโครงสร้างอย่างแน่นอน           ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการเข้าตรวจสอบโครงการทั้งหมดที่ดูแลอยู่ ทั้งโครงการปัจจุบันและโครงการในอดีต โดยเฉพาะอาคารขนาดใหญ่ อาทิ ตึกใบหยก 1, ตึกใบหยก 2 รวมถึง โครงการ One Bangkok เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่ใกล้เคียงประเทศไทย

UREKA เข้าโหมดเติบโตรอบใหม่ ธุรกิจน้ำประปา-ขายน้ำดิบหนุน

UREKA เข้าโหมดเติบโตรอบใหม่ ธุรกิจน้ำประปา-ขายน้ำดิบหนุน

             หุ้นวิชั่น - บมจ.ยูเรกา ดีไซน์ (UREKA) กางแผนธุรกิจปี 2568 สู่โหมดการเติบโตรอบใหม่ ตั้งเป้ารายได้โตก้าวกระโดด จากปีก่อน ฟากซีอีโอหญิง "รินทร์ณฐา เอกอัศวภิรมย์" ระบุรุกขยายธุรกิจผลิตน้ำประปา -ขายน้ำดิบ ผ่านบริษัทย่อย "บริษัท โมเดิร์น ซินเนอร์ยี่ จำกัด" สร้างรายได้เพิ่ม เร่งเจรจาปิดดีลธุรกิจสาธารณูปโภคต่อยอดธุรกิจเดิม ขณะที่เน้นกลยุทธ์ควบคุมต้นทุนธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติก  รีไซเคิล รักษามาร์จิ้นสูง พร้อมลุยลงทุนธุรกิจใหม่ ผลักดันการเติบโตก้าวกระโดด ปักธงย้ายเข้าจดทะเบียนใน SET อีก 2 ปี              นางสาวรินทร์ณฐา เอกอัศวภิรมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ UREKA เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ตั้งเป้าเป็นปีแห่งก้าวสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน จะเน้นการลงทุนในธุรกิจผลิตน้ำประปา ขายน้ำดิบ ซึ่งมีลูกค้าให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพิ่มการรับรู้รายได้ประจำของกิจการจำหน่ายน้ำประปา ผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท โมเดิร์น ซินเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งได้รับสัมปทานประกอบกิจการประปา และได้รับอนุญาตให้จำหน่ายน้ำประปาระยะเวลาสูงสุด 10 ปี              ขณะเดียวกันธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งดำเนินธุรกิจโดยบริษัท เอ.พี.ดับเบิลยู. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (A.P.W.) มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 28,000 ตันต่อปี  จะเน้นกลยุทธ์การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับสูง รวมถึงรักษากำลังการผลิตไว้ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรองรับออเดอร์ทั้งในและต่างประเทศ สร้างฐานรายได้ให้มากขึ้น              ปัจจุบัน บริษัทฯ มีลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ กีฬา และเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งยังคงมีสัญญาณดีต่อเนื่อง รวมทั้งมีแผนขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม คาดว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีโดยเฉพาะลูกค้าในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่ และมีความต้องการเม็ดพลาสติกในปริมาณสูงจะทำให้บริษัทฯอาจต้องขยายกำลังการผลิตในอนาคต เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มากขึ้น และถือเป็นสัญญาณที่ดีสนับสนุนให้ยอดขายเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด              “ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่นทุกธุรกิจ ทั้งธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล และธุรกิจผลิตน้ำประปาที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากความต้องการใช้น้ำประปาที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งมั่นใจว่าปริมาณน้ำกักเก็บไว้ในบ่อน้ำดิบพื้นที่กว่า 400 ไร่ เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าแน่นอน และด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มี จึงมุ่งหมายสร้างความมั่นคงในการบริหารจัดการน้ำ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อผนึกกำลังในการรักษาเสถียรภาพและส่งเสริมความยั่งยืนในการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งจะสนับสนุนให้บริษัทสามารถสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ เสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในระยะยาว” นางสาวรินทร์ณฐา กล่าว              นอกจากนี้ บริษัทฯมีความพร้อมที่จะเข้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม โดยเฉพาะธุรกิจสาธารณูปโภค เนื่องจากมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง รองรับการขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเห็นความชัดเจนโครงการต่างๆ ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ รวมถึงมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 2568 ผลดำเนินงานจะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมมุ่งมั่นผลักดันให้บริษัทฯ สามารถย้ายจากการเป็นบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า              อนึ่งภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2567 (สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2567) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 63.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.91 ล้านบาท คิดเป็น 12.18 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายและการให้บริการจำนวน 268.29 ล้านบาท              พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวนไม่เกิน 545.68 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ในอัตราจัดสรร 10 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 0.85 บาท พร้อมจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ UREKA-W3 ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมโดยไม่คิดมูลค่า ในอัตรา 3:3 ราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 2 บาทต่อหุ้น มีระยะเวลาการใช้สิทธิ 2 ปี โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (XR) วันที่ 13 มีนาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (Record date) วันที่ 14 มีนาคม 2568 นี้ ส่วนวันจองซื้อคือวันที่ 28 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2568 “สำหรับการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะช่วยผลักดันแผนการลงทุนขยายธุรกิจทั้งสาธารณูปโภคและธุรกิจใหม่ที่จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด” นางสาวรินทร์ณฐา กล่าวในที่สุด

BC - เดอะ อิชชูเออร์ มั่นใจ Summer Point ไม่กระทบเหตุแผ่นดินไหว

BC - เดอะ อิชชูเออร์ มั่นใจ Summer Point ไม่กระทบเหตุแผ่นดินไหว

             หุ้นวิชั่น - บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BC) ผู้นำด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โมเดลธุรกิจ “สร้าง-ดำเนินการ-ขาย” (Build-Operate-Sale : BOS) ยืนยันโครงการ “ซัมเมอร์ พ้อยท์” (Summer Point) อาคารสำนักงานให้เช่าแนวใหม่ ออกแบบพื้นที่ใช้สอยแบบมิกซ์ยูส ตั้งอยู่ติดกับรถไฟฟ้า BTS สถานีพระโขนง ย่านสุขุมวิท ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 หลังจากทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญและฝ่ายอาคารเข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารอย่างละเอียด พบว่ายังคงอยู่ในสภาพแข็งแรง สมบูรณ์ และปลอดภัยต่อการใช้งาน โดยได้กลับมาเปิดให้บริการตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป              นายปรับ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของโครงการ Summer Point เปิดเผยว่า บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดกับมาตรฐานการก่อสร้างที่สอดคล้องตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยมาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นหลักปฏิบัติสำคัญที่ BC ยึดมั่น ส่งผลให้โครงการสามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการ ร้านค้า และผู้ใช้บริการทุกคน              นายอริน รัตนโกวิท กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสินทรัพย์ บริษัท เดอะ อิชชูเออร์ จำกัด ในฐานะผู้ออกโทเคนดิจิทัล ชี้ให้เห็นว่าเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของสินทรัพย์ที่คัดเลือกนำมาระดมทุนผ่านการเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนซัมเมอร์พ้อยท์ หรือ “Summer Point Token” ที่มี โครงการ Summer Point เป็นสินทรัพย์อ้างอิง โดยได้ระดมทุนแล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 มูลค่ารวม 450 ล้านบาท ทั้งนี้ ภายหลังการตรวจสอบแล้วพบว่าสินทรัพย์ยังอยู่ในสภาพดี ปลอดภัย พร้อมเดินหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัลในตลาดรอง Bitkub อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “SUMX” การเดินหน้าซื้อขาย Summer Point Token ในตลาดรอง นับเป็นอีกก้าวสำคัญ ที่สะท้อนถึงศักยภาพในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการลงทุน              นายปรับ ทักราล กล่าวทิ้งท้ายว่า “บมจ. บูทิค คอร์ปอเรชั่น ยืนยันเดินหน้าอย่างมั่นคงในฐานะผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของโครงการ Summer Point ที่ได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความปลอดภัย และการบริหารจัดการที่โปร่งใส เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้งาน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในปัจจุบันและอนาคต”

[Vision Exclusive] PACO เล็งออเดอร์ใหม่ 80 ล. หน้าร้อนชิ้นส่วนแอร์ขายดี!

[Vision Exclusive] PACO เล็งออเดอร์ใหม่ 80 ล. หน้าร้อนชิ้นส่วนแอร์ขายดี!

          หุ้นวิชั่น - PACO คึกคักรับหน้าร้อน! ออเดอร์ชิ้นส่วนแอร์ทะลัก หนุนผลงาน Q2 โตแรง ด้านพ่อทัพใหญ่ "สมชาย เลิศขจรกิตติ" แย้มเจรจาลูกค้าใหม่ เล็งออเดอร์เข้า 80 ล้านบาท รับอานิสงส์ทางอ้อมจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ดันออเดอร์อเมริกาล้น           นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยเข้าสู่ฤดูร้อนในประเทศไทยซึ่งเป็นฤดูกาลที่ความต้องการใช้ชิ้นส่วนอะไหล่แอร์ทดแทนเพิ่มสูงขึ้น           ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เพิ่มเติมในไตรมาส 2/2568 ราว 80 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ           สำหรับเป้าหมายรายได้ปี 2568 บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 1,150 ล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,042.16 ล้านบาท โดยรายได้หลักยังคงมาจากตลาดอะไหล่ทดแทน (After Market) ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตรากำไรสูง           ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแผนรุกตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน ยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายหลักในปีนี้ ปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อจากตลาดดังกล่าวแล้วราว 30 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง           “ตลาดอเมริกามีอัตราการเติบโตโดดเด่น โดยยอดขายในปัจจุบันเติบโตเกือบ 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน” นายสมชาย กล่าว           ทั้งนี้ บริษัทได้รับอานิสงส์ทางอ้อมจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ต่อจีน ซึ่งส่งผลบวกต่อ PACO ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตหลักของตลาด After Market เนื่องจากไทยและจีนเป็นซัพพลายเออร์รายสำคัญของตลาดดังกล่าว หากมาตรการภาษียังมีผลต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนคำสั่งซื้อจากฝั่งอเมริกาให้เติบโตต่อ           ด้านผลประกอบการปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 147.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.5% จากปีก่อนที่มีกำไร 73.2 ล้านบาท แม้ว่ารายได้รวมจะทรงตัวอยู่ที่ 1,022.16 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจาก 1,027 ล้านบาทในปี 2566 โดยกำไรที่เติบโตอย่างโดดเด่นมาจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และการปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิตให้เหมาะสม รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] TACC ติดชาร์ต เสิร์ฟหุ้นเด่นรับลมร้อน

[Vision Exclusive] TACC ติดชาร์ต เสิร์ฟหุ้นเด่นรับลมร้อน

           หุ้นวิชั่น - โกลเบล็กคัดหุ้นรับลมร้อน TACC เข้าไฮซีซั่น Q2 ชี้ดีมานดืเครื่องดื่มพุ่งพรวด ใส่เกียร์ขายของพร้อม 7-Eleven เร่งเดินเกมเชิงรุกร้านกาแฟพันธุ์ไทย  ด้าน AU โดดอานิสงส์ขนมหวาน ไอศกรีมขายดี ปักเป้ารายได้ปี 68อ โต 25-30%  ส่องเป้า 13.50 บาท แนะนำ “ซื้อ”            นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า หุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากช่วงฤดูร้อน และมียอดขายดีในช่วงดังกล่าว ได้แก่ บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC และ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU            สำหรับ TACC ในช่วงไตรมาส 2/2568 ถือเป็นอีกหนึ่งไฮซีซั่นในการจำหน่ายสินค้า เนื่องจากเป็นฤดูร้อน ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคมีความต้องการเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเติบโตและการขยายสาขาของ 7-Eleven ราวปีละ 700 แห่ง และแผนขยายสาขาเชิงรุกของร้านกาแฟพันธุ์ไทยอีก 600 แห่ง            แม้ฝ่ายวิเคราะห์จะมีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มกำไร แต่ยังคาดว่ารายได้ปีนี้มีโอกาสเติบโต 10% และคาดกำไรปี 2568 จะอยู่ที่ราว 266 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน พร้อมประเมินราคาเหมาะสมที่ 6.10 บาท มีอัพไซด์ 36% และมีอัตราการจ่ายปันผลอยู่ในระดับสูงที่ 7-8% ต่อปี จึงมองว่า TACC เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้อานิสงส์จากฤดูร้อน            ขณะที่ AU คาดว่าจะมียอดขายขนมหวานในช่วงหน้าร้อนเพิ่มขึ้น จากทั้งฤดูกาลที่เป็นไฮซีซั่น และการท่องเที่ยวในประเทศ โดยสินค้าที่คาดว่าจะทำยอดขายได้ดี ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่มและไอศกรีม            ฝ่ายวิเคราะห์ยังมองบวกต่อแนวโน้มปี 2568 ที่คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโตราว 25-30% คาดว่าการเติบโตจะเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 เป็นต้นไป จากแรงหนุนของผลิตภัณฑ์ใหม่ “ขนมปังคัสตาร์ดไข่เค็มหน้าฝอยทอง” ที่ได้รับกระแสตอบรับดี รวมถึงการขยายสาขา After You อีก 8-10 แห่ง และแผนขยายแฟรนไชส์ไปยังต่างประเทศอีก 2 แห่ง            ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการกำไรปี 2568 ไว้ที่ราว 332 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และประเมินราคาเหมาะสมที่ 13.50 บาท พร้อมแนะนำ “ซื้อ” รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ CHO จำนวน 4 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 1 เมษายน 2568

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ CHO จำนวน 4 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 1 เมษายน 2568

          หุ้นวิชั่น - วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2568 | ฉบับที่ 70 / 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ CHO จำนวน 4 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 1 เมษายน 2568           ตามที่บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) (CHO) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ CHO212A CHO21OA CHO228A และ CHO229A จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 1 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้ (1) ผ่อนผันให้การที่ผู้ออกหุ้นกู้ไม่สามารถดำรงอัตราส่วนของ “หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น” ในอัตราส่วนไม่เกิน 5 : 1 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ไม่ให้ถือเป็นเหตุผิดนัด (2) ผ่อนผันให้การที่ผู้ออกหุ้นกู้มีเหตุผิดนัดชำระหนี้ไม่ว่ามูลหนี้ใดๆ (ไม่ว่ามูลหนี้รายเดียวหรือหลายราย)เป็นจำนวนเงินรวมกันเกินกว่า 300 ล้านบาท ไม่ให้ถือเป็นเหตุผิดนัด (เฉพาะรุ่น CHO212A และ CHO21OA) (3) ขอผ่อนผันให้การที่ผู้ออกหุ้นกู้เข้าเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ยืม และเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้พิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาครบกำหนดออกไปอีก 2 ปี อันมีลักษณะเป็นการเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาชำระหนี้ ไม่ให้ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ (เฉพาะรุ่น CHO228A และ CHO229A) (4) ยกเลิกการดำรงอัตราส่วนของ “หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น” (5) ผ่อนผันให้การที่บริษัทไม่ได้ชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ ซึ่งถึงกำหนดชำระในวันที่ 17 มีนาคม 2568 ไม่ให้ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ โดยกำหนดวันชำระดอกเบี้ยเป็นวันที่ 30 เมษายน 2568 รวมทั้งพิจารณาอนุมัติให้ยกเลิกการเรียกให้หุ้นกู้ถึงกำหนดชำระโดยพลัน และดอกเบี้ยผิดนัดตามหนังสือของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ (6) ขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไปอีก 2 ปี เป็นครบกำหนดวันที่ 15 มิถุนายน 2570 (7) แบ่งชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้บางส่วนในอัตราร้อยละ 5.0 ต่อปี และพักการชำระดอกเบี้ยส่วนที่เหลือนับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2568 โดยไปชำระในวันครบกำหนดไถ่ถอน หรือวันที่มีการไถ่ถอนก่อนครบกำหนด (อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.75 ต่อปี สำหรับหุ้นกู้ CHO212A และ CHO21OA และร้อยละ 7.25 ต่อปี สำหรับหุ้นกู้ CHO228A และ CHO229A)           ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย           หมายเหตุ : บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ CHO212A และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ CHO21OA CHO228A และ CHO229A ทั้ง 4 รุ่นครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 15 มิถุนายน 2568