หุ้น SET


[Vision Exclusive] ADVANC-TRUE รับอานิสงส์ประมูลคลื่น

[Vision Exclusive] ADVANC-TRUE รับอานิสงส์ประมูลคลื่น

           หุ้นวิชั่น - บอร์ด กสทช. เคาะวันประมูลคลื่นความถี่ 29 มิ.ย.นี้ รวม 4 ย่านหลัก ได้แก่ 850, 1500, 2100 และ 2300 MHz นักวิเคราะห์มองการแข่งขันไม่รุนแรง หนุน ADVANC และ TRUE ได้อานิสงส์จากต้นทุนลดลงหลายพันล้านบาทต่อปี โดย TRUE มีลุ้นพลิกกำไร-จ่ายปันผล แนะ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 15 บาท ส่วน ADVANC แนะ "ถือ" เป้า 294 บาท ลุ้น Upside เพิ่มจากการประมูล 5–10%            ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (บอร์ด กสทช.) วันนี้ (21 เม.ย.2568) มีมติให้ประมูลคลื่นความถี่ สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาสัมปทาน 4 คลื่น คือ ย่าน 850 เมกะเฮิรตซ์ (MHz), 1500 MHz, 2100 MHz (เฉพาะที่จะสิ้นสุดปี 2568) และ 2300 MHz โดยได้กำหนดวันประมูลคลื่นความถี่เป็นวันที่ 29 มิ.ย. 2568            ทั้งนี้ราคาเริ่มต้นในการประมูล คลื่น 850 MHz อยู่ที่  7,738.23 ล้านบาท, คลื่น 1500  MHz อยู่ที่ 1,057.49 ล้านบาท, คลื่น 2100 MHz อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท และคลื่น 2300 MHz อยู่ที่ 2,596.15 ล้านบาท            นักวิเคราะห์ฯ มองการแข่งขันจะไม่รุนแรง เป็นบวกทั้ง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) คาดหนุน Upside กำไรปีนี้            นายกิจพัฒน วงษ์เมตตา นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า การประมูลคลื่นมือถือดังกล่าวคาดเป็นบวกต่อ ADVANC และ TRUE หากอิงจากราคาที่เคาะออกมา จะถูกกว่าค่าเช่าคลื่นกับบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) โดย ADVANC จ่ายค่าเช่าคลื่น 2100 MHz ปีละ 3,900 ล้านบาท คาดช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ราวปีละ 2,000 ล้านบาท ในขณะที่ TRUE จ่ายค่าเช่าคลื่น 850MHz อยู่ราวปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท และ 2300MHz ปีละ 4,000-5,000 ล้านบาท คาดช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ปีละกว่าหลายพันล้านบาท เนื่องจาก มองว่า TRUE น่าจะไม่เข้าประมูลคลื่น 850 MHz และน่าจะนำเงินดังกล่าวมาชำระค่าคลื่น 2300 MHz แทน            ทั้งนี้มองการแข่งขัน หรือการประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าวจะไม่รุนแรงมาก สามารถแบ่งใบอนุญาตกันได้ลงตัว โดยมีคลื่นที่อยู่ในความต้องการของทั้งสองค่ายมือถือ คือ 2100 MHz และ 2300 MHz ขณะที่ 850 MHz ที่ TRUE เช่าอยู่กับ NT นั้น มองว่าหลังจากควบรวมกับดีแทค ทำให้คลื่นความถี่ต่ำมีค่อนข้างมากแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต่ออายุสัญญาคลื่นความถี่ดังกล่าว            สำหรับความพร้อมด้านฐานะทางการเงิน มอง ADVANC ไม่น่ามีปัญหา และ TRUE น่าจะมีทุนสนับสนุนอยู่แล้ว            อย่างไรก็ตามคงคำแนะนำ ถือ ADVANC ราคาเป้าหมาย 294 บาท Outlook ดูดี แต่ราคาหุ้นเริ่มสะท้อนปัจจัยบวกไปมากแล้ว บวกกับ P/E ค่อนข้างสูง ทำให้คาดว่าจะมี Upside จากการประมูลคลื่นในครั้งนี้ราว 5-10%            ขณะที่ TRUE มองมี Story ในแง่ของการพลิกมีกำไรสุทธิ ทำให้มีลุ้นว่าปีนี้ และปีหน้าจะจ่ายปันผลได้หรือไม่ และคาดมี Upside จากการประมูลคลื่นฯ มากถึง 30-40% จากต้นทุนค่าใช้จ่ายลดลงหลายพันล้านบาท แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 15 บาท รายงานโดย : พชรธร ภูมิคำ รองบรรณาธิการข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] A5 อสังหาฯ ไฮเอนด์คึก  ลูกค้าระดับบนแห่ Walk-in

[Vision Exclusive] A5 อสังหาฯ ไฮเอนด์คึก ลูกค้าระดับบนแห่ Walk-in

          หุ้นวิชั่น - A5 อสังหาฯ ไฮเอนด์คึก! ลูกค้าระดับบนแห่ Walk-in โครงการแนวราบหรู “CINQ ROYAL” ย่านบางนาพรึบ ชี้ 18 ยูนิตสุดพรีเมียม ด้านบอสใหญ่ "ศุภโชค ปัญจทรัพย์" เชื่อหลัง LTV ผ่อนคลาย อสังหาริมทรัพย์โตสนั่น เปิดเกมเจาะกลุ่ม Niche Market พร้อมเสิร์ฟทำเลศักยภาพสูง           นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 เปิดเผยกับทีมข่าว 'หุ้นวิชั่น' ว่า การผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) โดยคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อผู้บริโภคทั้งกลุ่มที่ต้องการซื้อบ้านหลังแรกและหลังที่สอง และจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมให้กลับมาคึกคักมากขึ้น           อย่างไรก็ตาม นายศุภโชคระบุว่า สำหรับ A5 ซึ่งเน้นเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) โดยเฉพาะลูกค้าระดับบน การผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงมากนัก เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้าส่วนใหญ่มักใช้เงินสดในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยมีสัดส่วนการขอสินเชื่อประมาณ 30% ขณะที่อีก 60-70% เป็นการชำระด้วยเงินสด           บริษัทมองว่าแนวโน้มลูกค้าสนใจโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น หนุนยอด Walk-in โครงการหรู “CINQ ROYAL” บางนา คึกคัก สำหรับทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ปัจจุบันพบว่า มีจำนวนผู้เข้าชมโครงการแนวราบของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนจากการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมสูง หันมาให้ความสนใจโครงการแนวราบมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการ CINQ ROYAL The Eighteen Bangna KM.7 ซึ่งเป็นโครงการระดับลักชัวรี จำนวนจำกัดเพียง 18 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านบางนา ใกล้แลนด์มาร์กสำคัญหลายแห่ง ทำให้ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มียอด Walk-in เข้าชมโครงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

[Vision Exclusive] จับตาบอร์ด OR สรุปซื้อหุ้นคืน?

[Vision Exclusive] จับตาบอร์ด OR สรุปซื้อหุ้นคืน?

          หุ้นวิชั่น - OR เตรียมนำเรื่องซื้อหุ้นคืน เข้าบอร์ดวันที่ (22 เมษายน 68) นี้ พิจารณาความเป็นไปได้ และความพร้อม แย้มมีเงินสในมือเพียงพอ แต่ต้องพิจารณาเรื่อง Free Float ประกอบด้วย หวังเกิด Free Float เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เดินหน้าเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ จัดทัพโปรโมชั่นกระตุ้นยอด ล่าสุดใช้ “บลูพลัส” รับส่วนลดสุดคุ้มจัดเต็มตั้งแต่ลิตรแรกที่เติม นานถึง 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 – 30 มิถุนายน 2568           ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในเรื่องการซื้อหุ้นคืน โดยคาดว่าจะมีการนำเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ในวันที่ 22 เมษายน 2568 ซึ่งการตัดสินใจใด ๆ จะต้องพิจารณาโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย           สำหรับภาพรวม ปริมาณการขายน้ำมันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปัจจัยหลายด้านที่ต้องติดตาม ทั้งพฤติกรรมการเดินทางในช่วงเทศกาล ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง รวมถึงสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม OR ให้ความสำคัญกับการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) อย่างชัดเจน           ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวแคมเปญส่งเสริมการขาย "บลูพลัส รับส่วนลดทันที!" สำหรับสมาชิกบลูพลัสที่เติมน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด ณ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2568 โดยมอบสิทธิพิเศษดังนี้: น้ำมันเกรดมาตรฐาน XTRA SAVE (เบนซิน, แก๊สโซฮอล์ 95, 91, E20, E85): รับส่วนลด 50 สตางค์/ลิตร ขณะที่ น้ำมันเกรดพรีเมียม SUPER POWER แก๊สโซฮอล์ 95: รับส่วนลดสูงสุดถึง 3 บาท/ลิตร (พัฒนาโดยบริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำจากเยอรมนี พร้อมสารเพิ่มพลัง “Super Booster”)           นอกจากนี้ เมื่อชำระค่าน้ำมันผ่าน xplORe Wallet สมาชิกจะได้รับแต้ม บลูพลัส x2 โดยบริษัทคาดว่ามาตรการส่งเสริมการขายดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของ OR ได้อย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีแรก           บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง OR ว่า ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายเดิมที่ 12.50 บาท อิง 2025E PER ที่ 17.2x (-2.75SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังของกลุ่มค้าปลีก) เชื่อว่าค่าการตลาด (marketing margin) ได้ผ่านจุดต่ำสุดระยะสั้นไปแล้วในเดือน ม.ค.2025 และอยู่ในเส้นทางการฟื้นตัวแล้ว ในขณะเดียวกัน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (oil fuel fund) ก็มีสถานะที่ดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง บวกกับทิศทางราคาน้ำมันที่ค่อนข้างทรงตัว ทำให้เชื่อว่า OR จะมีแรงกดดันที่น้อยลงจากภาครัฐต่อแนวโน้ม marketing margin ในระยะสั้น           ในขณะเดียวกัน เชื่อว่าบริษัทน่าจะเห็นปริมาณขายน้ำมันในประเทศที่เติบโต YoY ตามอุปสงค์น้ำมันอากาศยาน (jet fuel) ที่สูงขึ้นตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568/2569 ที่ 8.7/9.4 พันล้านบาท เทียบกับ 7.7 พันล้านบาทในปี 2567 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงไปมากแล้ว ราคาปัจจุบันจะสะท้อน 2025E PER ที่ไม่แพงที่ 14.7x (ประมาณ -3.3SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังของกลุ่มค้าปลีก) อีกทั้ง าชื่อว่าระดับราคาน้ำมันที่ต่ำในปัจจุบันน่าจะช่วยลดความกดดันจาก regulatory risk ที่เป็นไปได้อีกด้วย รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision

KBANK กำไรดีกว่าคาด หุ้นพื้นฐานดีปันผลเด่น

KBANK กำไรดีกว่าคาด หุ้นพื้นฐานดีปันผลเด่น

          หุ้นวิชั่น - KBANK โชว์ฟอร์มแกร่ง Q1/68 กำไรสุทธิ 13,791 ลบ. ดีกว่าคาด! แม้รายได้ดอกเบี้ยลดลงจากแรงกดดันตลาด แต่รายได้ค่าธรรมเนียม-การลงทุนโตแรง ดันกำไร เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ ขณะที่โบรกมองแนวโน้มทั้งปีสดใส ปี 2568 งบดีต่อเนื่อง ถือเป็นธนาคารที่มีพื้นฐานดี จ่ายปันผลสูง เชียร์ “ซื้อ” พร้อมแจกปันผลพิเศษอีก 2.50 บาทต่อหุ้น (XD 15 พ.ค. 68)           บมจ.ธนาคารกสิกรไทย KBANK และบริษัทย่อย รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ยังคงรักษาความแข็งแกร่ง แม้เผชิญความท้าทายจากภาวะดอกเบี้ยและเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารอยู่ที่ 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า           รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2,761 ล้านบาท หรือ 7.23% สะท้อนแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยในตลาด อย่างไรก็ตาม ธนาคารสามารถรักษา อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ (NIM) ไว้ที่ระดับ 3.41% ผ่านการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกัน รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ขยายตัวได้ดี เพิ่มขึ้น 1,826 ล้านบาท หรือ 15.39% จากกำไรในเครื่องมือทางการเงินตามมูลค่ายุติธรรม รายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้จากการลงทุน ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานสุทธิปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยที่ 935 ล้านบาท หรือ 1.87%           ด้านการควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า จากการบริหารประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) อยู่ที่ 40.84% เพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ธนาคารยังคงยึดหลักความระมัดระวัง โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่ระดับ 9,818 ล้านบาท อย่างเหมาะสม           เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้จากการดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้น 397 ล้านบาท หรือ 0.81% ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 2,243 ล้านบาท หรือ 10.06% ทำให้ กำไรจากการดำเนินงานก่อน ECL และภาษี เพิ่มขึ้นเป็น 29,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.99% ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 4.36 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.33% จากสิ้นปี 2567 โดยมีอัตราส่วน NPL อยู่ที่ 3.19% และ Coverage Ratio อยู่ที่ 159.49% สะท้อนคุณภาพสินทรัพย์ที่มั่นคง พร้อมอัตราส่วนเงินกองทุนตามเกณฑ์ Basel III ที่แข็งแกร่ง 20.52%           บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH กำไร ไตรมาส 1/2568 ที่ออกมาถือว่าดีกว่าคาด และคิดเป็น 26.6% ของประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิจัย ยังคงชอบ KBANK เชื่อว่าการดำเนินตามยุทธศาสตร์ธนาคารจะยังทำให้ผลประกอบการปี 68 เติบโตต่อเนื่องอย่างมั่นคง มีการประกาศเงินปันผลพิเศษอีก 2.50 บาทต่อหุ้น (XD 15/05/68) ถือเป็นธนาคารที่มีพื้นฐานดี จ่ายปันผลสูง ยังแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย

abs

มั่นใจ เต็มลิตร ทุกปั๊ม

CREDIT กำไรทะลุ 900 ลบ. โตเท่าตัว! ขาดทุนด้านเครดิตลด-พอร์ตสินเชื่อโต

CREDIT กำไรทะลุ 900 ลบ. โตเท่าตัว! ขาดทุนด้านเครดิตลด-พอร์ตสินเชื่อโต

           หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT ในไตรมาส 1 ปี 2568 ธนาคารมีกำไรสุทธิเท่ากับ 903.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 453.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 100.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการบริหารการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังของธนาคาร นอกจากนี้ ในปี 2568 ธนาคารยังมีการออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องจากปี 2567 เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ก่อนที่จะเข้าสู่ Stage 2 และ Stage 3 ส่งผลให้การตกชั้นของลูกหนี้ลดลง อีกทั้งธนาคารยังมีการเพิ่มจำนวนพนักงานเก็บเงินและเร่งรัดหนี้สิน (Collection) อย่างต่อเนื่องจากปี 2567 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการติดตามหนี้ ส่งผลให้คุณภาพของหนี้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การขยายตัวของเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ร้อยละ 12.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวร้อยละ 1.7 จากสิ้นเดือนธันวาคม 2567 ในไตรมาส 1 ปี 2568 ธนาคารบันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตสำหรับเงินให้สินเชื่อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้อยละ 42.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน NPL Coverage Ratio ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 150.7 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 148.6 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินงานที่ยังคงมุ่งเน้นความระมัดระวัง ทั้งนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin) อยู่ที่ร้อยละ 7.9 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ รวมถึงโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิต่อส่วนของเจ้าของในไตรมาส 1 ปี 2568 ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 15.38 เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม

ก.ล.ต.เตือนผถห. TPOLY26NA ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 24 เม.ย.68

ก.ล.ต.เตือนผถห. TPOLY26NA ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 24 เม.ย.68

              หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ TPOLY26NA  ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 24 เมษายน 2568  ตามที่บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) (TPOLY) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ TPOLY26NA จะจัดให้มีการประชุม ผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 24 เมษายน 2568 เวลา 10.00 น. ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์   (E-meeting) โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้ (1) ผ่อนผันให้การที่บริษัทไม่สามารถดำเนินการให้นายทะเบียนหุ้นกู้แจ้งแก่สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นกู้วันแรก ไม่ให้ถือเป็นกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ไม่ปฏิบัติ ตามข้อกำหนดสิทธิ (2) เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการดำรงมูลค่าของทรัพย์สินที่เป็นประกัน ประเภทหุ้นสามัญของบริษัททีพีซี เพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) และประเภทอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง) ต่อมูลค่าของหุ้นกู้ที่ยังไม่ได้ไถ่ถอนทั้งหมด จากเดิม ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1.4 เท่า ตลอดอายุหุ้นกู้ เป็น ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1 เท่า ตั้งแต่ 15 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2569 และไม่น้อยกว่า 1.2 เท่า ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2569 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2569 และดำรงในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1.4 เท่า ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2569 จนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้และปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ จากเดิม ร้อยละ 6.25 ต่อปี เป็น ร้อยละ 6.50 ต่อปี สำหรับช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการดำรงมูลค่าของทรัพย์สินที่เป็นประกัน (ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2569) ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับ จากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทน   ผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย

SET วูบ! ปิดลบ 16 จุด  จับตาเจรจาไทย-สหรัฐฯ

SET วูบ! ปิดลบ 16 จุด จับตาเจรจาไทย-สหรัฐฯ

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (21 เม.ย. 2568) ปิดที่ระดับ 1,134.71 จุด ลดลง 16.24 จุด หรือคิดเป็น -1.41% คาด SET พรุ่งนี้ ไร้ปัจจัยใหม่หนุน โบรกแนะ Wait and See ลุ้นดีลใหญ่ไทย-สหรัฐฯ 23 เม.ย. นี้ ชี้เป็นตัวแปรสำคัญทิศทางตลาดรอบใหม่           นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปิดที่ระดับ 1,134.71 จุด ลดลง 16.24 จุด หรือคิดเป็น -1.41% โดย SET Index ปรับตัวลดลงจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ จากการประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์หรือกลุ่มแบงก์ที่ลดลง ประกอบกับแนวโน้ม GDP ที่คาดว่าจะหดตัวในอนาคต ปัจจัยที่สอง แรงกดดันจากต่างประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (21 เม.ย. 68) เตือนว่า "จีนจะตอบโต้ทุกประเทศที่ร่วมมือกับสหรัฐฯ หากกระทบต่อผลประโยชน์ของจีน" ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะที่ประเทศไทยมีกำหนดการเจรจากับสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย. นี้ และปัจจัยที่สาม ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ส่งผลกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ฉุดตลาดในวันนี้           สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้ (22 เม.ย. 68) คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบทรงตัว เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุนตลาด โดยประเมินแนวรับที่ 1,130 จุด และแนวต้านที่ 1,140 จุด           กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้ Wait and See รอดูผลความชัดเจนของการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ           ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เมษายนนี้ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะในการเจรจา ซึ่งจะหารือเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการปรับขึ้นภาษีกับทางรัฐบาลสหรัฐฯ รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

BEM ฝึกซ้อมการจัดการเหตุการณ์ เพื่อความปลอดภัยบน MRT

BEM ฝึกซ้อมการจัดการเหตุการณ์ เพื่อความปลอดภัยบน MRT

          บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ร่วมกับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบางซ่อน สถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น ศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น มีกำหนดจัดฝึกซ้อมการจัดการเหตุการณ์เพลิงไหม้ภายในสถานีและอพยพหนีไฟ เพื่อให้พนักงานเกิดความชำนาญ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ ในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568 เวลา 00.45 - 03.30 น. ณ รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง สถานีวงศ์สว่าง           ทั้งนี้ ประชาชนผู้อาศัยในบริเวณใกล้เคียงอาจได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยและเสียงรถฉุกเฉิน จึงขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลโทร.    0-2624-5200

KTB ดิ่งกว่า 5% นำกลุ่มแบงก์ แม้งบไม่แย่ แต่ไม่มีปันผลแล้ว

KTB ดิ่งกว่า 5% นำกลุ่มแบงก์ แม้งบไม่แย่ แต่ไม่มีปันผลแล้ว

                หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ที่ปรับตัวลงมากกว่า 5% นำกลุ่มธนาคารในวันนี้ คาดมาจากเรื่องของเทคนิคอล แม้งบไตรมาส 1/2568 ออกมาไม่ได้แย่ และไม่ได้ดูน่ากังวลเป็นพิเศษ แต่หากมองไปข้างหน้า KTB ก็ไม่ได้มีความน่าสนใจมากนักเมื่อเทียบกับกลุ่ม โดยเฉพาะในเรื่องของเงินปันผล เนื่องจากจ่ายเพียงปีละครั้ง และปีนี้ก็ขึ้นเครื่องหมาย XD ไปแล้ว โดยจะจ่ายปันผลในวันที่ 2 พ.ค.นี้ ขณะที่มีความเสี่ยงในเรื่องของผลกระทบของดอกเบี้ยขาลง เช่นเดียวกันกับกลุ่มธนาคาร ประกอบกับส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ถือว่าปรับตัวลงมากสุดในกลุ่มธนาคาร

[Gossip] SNNP หุ้นตัวตึง...เข้า SET100

[Gossip] SNNP หุ้นตัวตึง...เข้า SET100

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง หรือ (SNNP) ผู้นำตลาดเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว...หุ้นตัวตึง ที่นักลงทุนห้ามพลาด หลังตลาดหลักทรัพย์ฯ ดึงเข้าคำนวณดัชนี SET100/SET100FF มีผลตั้งแต่ 16 เม.ย.68 งานนี้ ทีมบริหาร เป็นปลื้มสุดๆ เพราะนับจากนี้หุ้นจะอยู่ในโฟกัสของนักลงทุนต่างชาติ กลุ่มนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ มากยิ่งขึ้น....ได้เวลาสะสมเข้าพอร์ตแล้วละคร้าบบบบ!!

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

MOSHI ลุยออกสินค้าใหม่-ขยายสาขา ดัน Q1/68 SSSG พุ่ง

MOSHI ลุยออกสินค้าใหม่-ขยายสาขา ดัน Q1/68 SSSG พุ่ง

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ‘บมจ. โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น’ หรือ MOSHI เดินเกมรุกตลาดค้าปลีกในไตรมาส 1/68 อย่างต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มชะลอตัว เดินหน้าออกสินค้าใหม่กว่า 1,000 รายการต่อเดือน ผลักดันทั้งกลุ่มสินค้า License และสินค้าทั่วไป จัดเต็มสินค้าคอลเลกชันใหม่ พร้อมขยายสาขาใหม่แล้ว 8 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ชี้กระแสตอบรับดี ดัน SSSG ในไตรมาส 1/68 อยู่ในระดับ high single digit ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ได้อย่างชัดเจน           นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ MOSHI ผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่บริษัทฯ ยังคงมองเห็นศักยภาพในการจับจ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่แข็งแกร่งในสาขาท่องเที่ยว ทั้งนี้ แม้ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจะมีการชะลอตัวเล็กน้อย จากผลกระทบของเทศกาลเดือนรอมฎอนที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่มมุสลิม โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง (Middle east) ลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังสามารถรักษาระดับการเติบโตของยอดขายในทุกภูมิภาคได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ รวมถึงการออกสินค้าใหม่กว่า 1,000 รายการต่อเดือน โดยผลักดันทั้งกลุ่มสินค้า License และสินค้าทั่วไป โดยไตรมาสแรกของปี บริษัทฯ ได้เปิดตัวสินค้าคอลเลกชันใหม่ อาทิ Moshi Moshi x Moodeng, Moshi Moshi x Monsty Planet, กลุ่มสินค้า License เช่น Disney: Toy Story, Chip ‘n’ Dale และ We Bare Bears ส่งผลทำให้อัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 1/2568 อยู่ในระดับ high single digit           ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทฯ ได้เดินหน้าเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องไปแล้วจำนวน 8 สาขา ในทำเลที่มีศักยภาพ ได้แก่ Robinson จ.ร้อยเอ็ด, Lotus จ.ราชบุรี, Big C บางปะกอก, The Fourth สาย 4, UD Town จ.อุดรธานี และ Big C จ.เพชรบุรี รวมถึงมีการเปิดสาขา Standalone ในรูปแบบ Big Size ณ ตลาดโอชอ วัดเทียนดัด จ.นครปฐม และสาขาวังสะพุง จ. เลย ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า และสามารถสร้างยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายทุกสาขาที่เปิดใหม่ ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสาขาค้าปลีกและค้าส่งที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 172 สาขา ครอบคลุม 63 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็น ร้านค้าปลีกแบรนด์ Moshi Moshi จำนวน 165 สาขา โดยเป็นรูปแบบ Standalone จำนวน 7 สาขา, ร้านค้าส่งแบรนด์ Moshi Moshi จำนวน 2 สาขา, ร้าน Garlic 3 สาขา, ร้านค้าส่ง Giant 1 สาขา และร้านค้าส่ง The OK Station 1 สาขา           อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการเลือกทำเลที่ตั้งสาขาเพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญต่างๆ อาทิ ความหนาแน่นของประชากร กลุ่มเป้าหมาย กำลังซื้อ ใกล้แหล่งชุมชน ปริมาณการสัญจรของลูกค้า (Traffic) และสภาพการแข่งขันในพื้นที่ เป็นต้น เพื่อให้การขยายสาขา 40 แห่งในปี 2568 เป็นไปเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทฯ ได้คัดเลือกพื้นที่สำหรับเปิดสาขาใหม่แล้วกว่า 20-30 สาขา โดยจะเน้นการเปิดทั้งในห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น รวมถึงสาขาที่แบบ Standalone นอกศูนย์การค้า ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเสริมความแข็งแกร่ง และตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ได้อย่างชัดเจน

SET แกว่ง Sideway เกาะติดไทยเจรจาสหรัฐ

SET แกว่ง Sideway เกาะติดไทยเจรจาสหรัฐ

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) รายงาน SET Index ปิดตลาดเช้าวันนี้ (21 เม.ย. 68) ที่ 1,147.16 จุด ลดลง 3.79 จุด หรือคิดเป็น 0.33% คาดช่วงบ่าย Sideway ออกข้าง           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ดัชนีหุ้นไทยช่วงเช้าเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Sideway) โดยมีแรงขายกดดันจากหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน ขณะเดียวกันก็มีแรงซื้อ นำโดยหุ้นกลุ่มไอซีทีและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งช่วยพยุงดัชนีไว้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องติดตามการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 เมษายนนี้ คาดว่าผลการเจรจาจะมีนัยสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย และอาจส่งผลต่อภาพรวม GDP           สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายวันนี้ (21 เม.ย. 68) ดัชนียังแกว่งตัวในลักษณะ Sideway ออกข้าง โดยมีแรงขายหลักในหุ้นกลุ่มธนาคาร แต่ปัจจัยทางเทคนิคที่ส่งสัญญาณบวกเป็นตัวสนับสนุน โดยวางกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงบ่ายประเมินแนวรับไว้ที่ 1,140 จุด และแนวต้านที่ 1,160 จุด พร้อมแนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นลักษณะเก็งกำไร THCOM และ JAS           ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นช่วงเช้าแกว่งตัวในกรอบแคบ ซึ่งตลาดหุ้นไทยยังไร้ปัจจัยบวกหนุนตลาด และมีปัจจัยความกังวลเดิม คือมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย สอดคล้องกับความเห็นของพาวเวล ว่ามาตรการดังกล่าวอาจทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นและจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่อย่างไรก็ดียังมีความไม่แน่นอน รวมถึงยังไม่มีรายละเอียดการเจรจามาตรการภาษี ซึ่งด้านรัฐบาลไทยเองจะส่งผู้แทนการเจรจาการค้า กับสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย. นี้ โดยมีแนวทางการเจรจาคือ นำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานมากขึ้น หรือขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น รวมถึงจะปรับเกณฑ์ FDIให้ลดการสวมสิทธิ์ให้มากขึ้น ซึ่งคาดหวังจะมีทิศทางในเชิงบวกเหมือนญี่ปุ่น           โดยวางกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงบ่าย ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,140 จุด และแนวต้าน 1,155 / 1,175 ตามลำดับ รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

SCB โชว์กำไรสุทธิ Q1/68 โต 10.8% เน้นคุมต้นทุน-บริหารคุณภาพสินทรัพย์

SCB โชว์กำไรสุทธิ Q1/68 โต 10.8% เน้นคุมต้นทุน-บริหารคุณภาพสินทรัพย์

             หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ของปี 2568 จำนวน 12,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ              ในไตรมาส 1 ของปี 2568 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 31,047 ล้านบาท ลดลง 2.2% จากปีก่อน จากการลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ และยอดสินเชื่อโดยรวมที่ลดลง 1.0% จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ มีจำนวน 10,251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง ในขณะที่ค่าธรรมเนียมจากการขายประกันภัยและ ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อปรับตัวลดลง              ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวน 17,140 ล้านบาท ลดลง 5.3% จากปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ และการยุติการดำเนิน ธุรกิจแพลตฟอร์มโรบินฮู้ดในปี 2567 โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 39.9%              บริษัทฯ ตั้งสำรองลดลง 6.2% จากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นของธนาคารและธุรกิจกลุ่ม Gen 2 โดยเฉพาะจากบริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด ทั้งนี้ ได้รวมสำรองพิเศษจากการประเมินเบื้องต้นเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) คงอยู่ในระดับสูงที่ 156% คุณภาพของสินเชื่อโดยรวมอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดีโดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 อยู่ที่ 3.45% ลดลงจาก 3.52% ในปีก่อน เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.8%              นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) กล่าวว่า “ปีนี้เริ่มต้นด้วยความท้าทายที่สำคัญ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและความไม่แน่นอนอย่างสูงจากการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ บริษัทฯ ได้ ด าเนินมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยและเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างทันท่วงที เช่น การพักช าระหนี้ และการให้สินเชื่อเพื่อ ซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ และคาดว่าผลกระทบต่อธุรกิจของกลุ่ม SCBX มีในวงจำกัด              สำหรับความเสี่ยงจากการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ นั้น บริษัทฯ ประเมินว่าจะท าให้ GDP ของประเทศปีนี้ลดลงเหลือร้อยละ 1.5 และมี โอกาสทวีความรุนแรงมากกว่าคาดได้บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมเชิงรุก โดยติดตามสถานการณ์ของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม และร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม              แม้จะเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2568 ของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง จากการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯ มีอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม อีกทั้งธุรกิจ ในกลุ่ม Gen 2 และ 3 มีก าไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยต่อยอดผลประกอบการธุรกิจ Gen 1              บริษัทฯ ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปีที่แล้วในอัตราร้อยละ 80 และยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาความเข้มแข็งทางการเงินเพื่อสนับสนุน ลูกค้าและเศรษฐกิจไทย พร้อมกับเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง” เป้าหมายปี 2568 EIC ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงเหลือร้อยละ 1.5 (จากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 2.4) โดยมีสาเหตุหลักมาจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากกว่าที่คาดไว้ บริษัทมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อติดลบอยู่ที่ร้อยละ -1.0 ในไตรมาส 1 ปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการคัดเลือกการให้สินเชื่อที่รัดกุมและระมัดระวังมากยิ่งขึ้น โดยในช่วงเวลาที่เหลือของปี บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตให้อยู่ในระดับล่างของกรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 3.67 ซึ่งยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดลงอีก 3 ครั้งในปีนี้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิจึงมีแนวโน้มลดลงไปแตะระดับล่างของเป้าหมาย โดยมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่อาจกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ได้แก่ การเติบโตของสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen 2 และปริมาณการปรับโครงสร้างหนี้ที่อาจต้องดำเนินการเพิ่มเติม รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีแรงสนับสนุนหลักจากธุรกิจการบริหารจัดการความมั่งคั่ง โดยคาดว่าแนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสถัดไป โดยเฉพาะจากธุรกิจการบริหารจัดการความมั่งคั่ง อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องติดตามความเสี่ยงจากการชะลอตัวของการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และความผันผวนของตลาดการเงินที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้บริษัทคาดว่าอัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้จะอยู่ในระดับล่างของเป้าหมายตลอดทั้งปี อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อในไตรมาส 1 ปี 2568 ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยบริษัทจะยังคงบริหารจัดการงบดุลด้วยความยืดหยุ่น เพื่อรองรับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

KTIS เผยอ้อยเข้าหีบเพิ่ม 28% ผลิตน้ำทรายได้กว่า 31.4% ชี้คุณภาพอ้อยดีขึ้น

KTIS เผยอ้อยเข้าหีบเพิ่ม 28% ผลิตน้ำทรายได้กว่า 31.4% ชี้คุณภาพอ้อยดีขึ้น

           กลุ่ม KTIS เปิดข้อมูลหลังปิดรับอ้อยเข้าหีบของฤดูการผลิตปี 2567/68 พบว่า ได้ผลผลิตอ้อยเข้าหีบรวมทั้ง 3 โรงงาน จำนวน 6.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 28.0% ผลิตน้ำตาลได้ 6.7 ล้านกระสอบ มากกว่าปีก่อนถึง 31.4% เนื่องจากคุณภาพอ้อยดีขึ้นมาก จากการรณรงค์ให้ชาวไร่ตัดอ้อยสด ลดอ้อยไฟไหม้อย่างได้ผล โดยโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ มีสัดส่วนอ้อยไฟไหม้เพียง 2% เป็นอ้อยสดถึง 98% ชี้จากปริมาณอ้อยและน้ำตาลที่สูงขึ้น จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ปี 2568 ดีกว่าปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ            นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจน้ำตาล และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจรสู่ BCG อย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า ภายหลังการปิดหีบอ้อยของกลุ่ม KTIS สำหรับฤดูการผลิตปี 2567/68 พบว่า ได้รับอ้อยเข้าหีบประมาณ 6.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 28.0% เมื่อเทียบกับปริมาณอ้อยเข้าหีบของปี 2566/67 และสามารถผลิตน้ำตาลทรายได้ประมาณ 6.7 ล้านกระสอบ เพิ่มขึ้น 31.4% เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำตาลทรายที่ผลิตได้ในปี 2566/67 ที่ 5.1 ล้านกระสอบ            ทั้งนี้ หากดูตัวเลขรวมของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในปีผลิต 2567/68 ซึ่งได้อ้อย 92.2 ล้านตัน ผลิตน้ำตาลทรายได้ 100.4 ล้านกระสอบ จะเห็นว่ามีอ้อยเพิ่มจากปีก่อน 11.9% และน้ำตาลเพิ่มขึ้น 23.8% สะท้อนว่า การเพิ่มขึ้นของอ้อยและน้ำตาลของกลุ่ม KTIS สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม            “ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพอ้อยและทำให้ยิลด์ในการผลิตน้ำตาลทรายเพิ่มสูงขึ้นมาก มาจากการที่กลุ่ม KTIS สามารถควบคุมสัดส่วนอ้อยไฟไหม้ให้อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ ที่มีสัดส่วนอ้อยไฟไหม้เพียง 2% และเป็นอ้อยสดถึง 98% ซึ่งนโยบายการส่งเสริมการตัดอ้อยสดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำตาล แต่ยังสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ลดมลพิษและฝุ่นละอองจากการเผาอ้อย อีกทั้งยังสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการและความร่วมมือระหว่างโรงงานกับชาวไร่อ้อยที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น” นายสมชายกล่าว            ทั้งนี้ ด้วยปริมาณอ้อยและน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลดีไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ทุกสายธุรกิจ  โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อย จึงมั่นใจว่า ปี 2568 นี้ ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS จะดีขึ้นกว่าปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ            นายสมชายกล่าวด้วยว่า ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายที่เพิ่มมากขึ้นนั้น  นอกจากเรื่องของสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยแล้ว ยังสะท้อนถึงความสำเร็จในการส่งเสริมและสนับสนุนทั้งองค์ความรู้และเครื่องมือต่างๆ ให้กับชาวไร่อ้อยคู่สัญญาของกลุ่ม KTIS เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับชาวไร่อ้อยที่มีส่วนแบ่งรายได้จากการขายน้ำตาล 70% จะมีรายได้มากขึ้นด้วย สอดคล้องกับปณิธาณของกลุ่ม KTIS ที่ว่า “ชาวไร่อ้อยมั่งคั่ง กลุ่ม KTIS มั่นคง”

วัดกำลัง ADVANC- TRUE กำไ รQ1 จะแกร่งแค่ไหน?

วัดกำลัง ADVANC- TRUE กำไ รQ1 จะแกร่งแค่ไหน?

          หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่าในไตรมาส 1/68 ADVANC จะมีกำไรสุทธิเติบโต 15.2% yoy และ 5.1% qoq เป็น 9.7 พันล้านบาทและมี EBITDA เพิ่มขึ้น 4.7% yoy และ 1.2% qoq เป็น 2.89 หมื่นล้านบาท           นอกจากนี้คาดว่า ADVANC จะมีอัตราส่วน EBITDA เพิ่มเป็น 52.4% จาก 50.3%ในไตรมาส 4/67 ขณะที่รายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย: IC) จะเติบโต 5.1% yoy แต่ลดลง 1.0% qoq เนื่องจากรายได้การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 2.9% yoy แต่ลดลง 1.6% qoq ส่วนรายได้จากการให้บริการบรอดแบนด์ เพิ่มขึ้น 9.0% yoy และ 2.1% qoq           สำหรับ TRUE นั้น ฝ่ายวิเคราะห์ฯคาดว่าจะขาดทุนสุทธิ 283 ล้านบาท ลดลง 63.2% yoy, และลดลง 96.2% qoq ในไตรมาส 1/68 เทียบกับขาดทุนสุทธิ 7.5 พันล้านบาทในไตรมาส 4/67 และขาดทุนสุทธิ 769 ล้านบาทในไตรมาส 1/67 โดยตั้งสมมติฐานว่า TRUE จะบันทึกค่าตัดจำหน่ายและการด้อยค่าของสินทรัพย์รวม 3.5 พันล้านบาทในไตรมาส 1/68           ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการดังกล่าว ในไตรมาส 1/68 TRUE จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 3.2 พันล้านบาทเทียบกับกำไร 3.6 พันล้านบาทในไตรมาส 4/67 นอกจากนี้ยังทำประมาณการ EBITDA ของ TRUE อยู่ที่ 2.47 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% yoy แต่ลดลง 2.2% qoq และอัตราส่วน EBITDA อยู่ที่ 59.4% ซึ่งลดลง qoq จาก 60.6% ในไตรมาส 4/67 ดังนั้น รายได้จากการให้บริการโดยรวม (ไม่รวม IC) ของ TRUE น่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% yoy แต่ลดลง 0.2% qoq           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า กลุ่มโทรคมนาคมไทยคาดการณ์ว่ารายได้จากการให้บริการหลักจะเติบโต 2-5% ในปี 68-70 หลังจากเติบโตแข็งแกร่งในปี 67 ที่ผ่านมา โดยจะมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (ARPU) ของทั้งบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการบรอดแบนด์ รวมทั้งยอดผู้ใช้บริการบรอดแบนด์ที่เพิ่มขึ้นสุทธิ นอกจากนี้ บริษัทโทรคมนาคมยังตั้งเป้า EBITDA เติบโต 3-10% เพราะรายได้จากการให้บริการหลักมีแนวโน้มเติบโตดีและค่าใช้จ่ายโครงข่ายน่าจะลดลงในปี 68           ส่วนเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/68 ได้แก่การประมูลคลื่น 6 ย่านความถี่ แต่เชื่อว่าจำนวนย่านความถี่น่าจะมากกว่าความต้องการของบริษัทโทรคมนาคม ดังนั้นราคาประมูลคลื่นความถี่รอบนี้จึงน่าจะสมเหตุสมผลกว่ารอบที่ผ่านมาในปี 62-63           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า แม้กลุ่มโทรคมนาคมไทยจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้าโลก แต่ยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) เพราะกลุ่มนี้มีการประเมินมูลค่าสูงที่ EV/EBITDA 8.9 เท่า และ P/BV 3.6 เท่าในปี 68 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยนในอดีต 10 ปี นอกจากนี้ กลุ่มโทรคมนาคมไทยอาจมี downside risk หากผู้ประกอบการแข่งขันกันเสนอแพ็คเกจบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์รายเดือนกันมากขึ้น, การ บริโภคภาคเอกชนชะลอตัว รวมทั้งการจัดประมูลคลื่นความถี่           ขณะที่จะมี upside risk หากสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าใช้จ่ายโครงข่ายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) รวมถึงการที่ผู้ใช้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์เพิ่มขึ้นสุทธิสูงกว่าคาด ทั้งนี้ยังแนะนำ “ถือ” ทั้ง ADVANC และ TRUE

ITEL เผย TRIS จัดอันดับเรทติ้ง “BBB” แนวโน้ม “Stable”

ITEL เผย TRIS จัดอันดับเรทติ้ง “BBB” แนวโน้ม “Stable”

            บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL ผู้นำด้านบริการโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกที่มีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพสูงสุดครอบคลุมทั่วไทย ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรประจำปี 2567 จาก “ทริสเรทติ้ง” (TRIS Rating) สถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำของประเทศไทย อยู่ที่ระดับ “BBB” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิตแบบ “คงที่” (Stable) ซึ่งสะท้อนถึงให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่มั่นคง และความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างมีเสถียรภาพ ในฐานะผู้ให้บริการวงจรสื่อสารข้อมูลผ่านโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสง ที่ได้รับความไว้วางใจทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง             การจัดอันดับในครั้งนี้ คือการสะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของตลาด ต่อศักยภาพของ ITEL ในการดำเนินธุรกิจด้านโครงข่ายวงจรสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง (Data Service) และธุรกิจให้บริการศูนย์สำรองข้อมูล (Data Center) ที่เป็นรายได้หลักของบริษัทฯ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ITEL มีรายได้จากธุรกิจ Data Service อยู่ที่ 1.26 พันล้านบาท ขณะที่รายได้จากธุรกิจ Data Center มีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูง โดยคิดเป็นรายได้รวมอยู่ที่เกือบ 100 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโต จากความต้องการใช้งานบริการด้านดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย             โดยหลังจากการจัดอันดับเครดิตเสร็จสิ้น ทาง ITEL ก็จะยังคงเดินหน้าพัฒนา และเสริมศักยภาพการบริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล และสนับสนุนการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน พร้อมยึดมั่นในพันธกิจ สำหรับการเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกที่ทันสมัย และปลอดภัย พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และนักลงทุนในระยะยาวเช่นกัน

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

JAS-MONO บวกคู่ เก็งเปิดพันธมิตรหลัก ถ่ายทอดสดฟุตบอลฯ 23 เม.ย.นี้

JAS-MONO บวกคู่ เก็งเปิดพันธมิตรหลัก ถ่ายทอดสดฟุตบอลฯ 23 เม.ย.นี้

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กสิกรไทย ระบุบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (JAS) เตรียมเปิดตัว ADVANC ในฐานะพันธมิตรโทรคมนาคมหลักอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 23 เม.ย. ซึ่งน่าจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของตลาดต่อความเป็นไปได้ของโครงการ           แม้การถ่ายทอดสดรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (โครงการ EPL) จะมีความคืบหน้าไปในทางที่ดี แต่ยังคงระมัดระวังต่อสถานการณ์ผิดนัดชำระหนี้ของ JTS จนกว่าจะมีมติเห็นชอบจากการประชุมผู้ถือพันธบัตรในวันที่ 8 พ.ค.           ปรับลดราคาเป้าหมาย (TP) ลง 5% เป็น 1.97 บาท และคงคำแนะนำ “ถือ” ข้อตกลงกับ ADVANC อาจสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาด แต่ให้ ความสำคัญกับรายงานยอดผู้ใช้บริการ 1 ล้านราย เป็นอันดับแรก เพื่อตัดสินความสำเร็จ

SNPS กำไร Q1 โตเด่น 52% YoY  ดีมานด์ API - B Gold หนุน เป้า 6.60 บ.

SNPS กำไร Q1 โตเด่น 52% YoY ดีมานด์ API - B Gold หนุน เป้า 6.60 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุ Specialty Natural Products (SNPS) คาดกำไร 1Q25 เติบโต YoY เด่นระดับ 52%            คาดกำไร 1Q25 อยู่ที่ 18 ลบ. ลดลง 25.8% QoQ ตามฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้น 51.9% YoY หนุนจากธุรกิจสารสกัดสมุนไพร (API) ทั้งลูกค้าเดิมที่กลับมาออเดอร์มากขึ้น หลังระดับสต๊อกกลับสู่ปกติ และเริ่มรับรู้รายได้จากลูกค้าใหม่ อินโดนีเซีย-อินเดีย ขณะที่สาร B Gold รับรู้รายได้เต็มไตรมาส OEM โตเล็กน้อย YoY ส่วน GPM คาดลด QoQ แต่สูงขึ้น YoY จาก Product mix ดีขึ้น 2Q25 คาดกำไรโตต่อทั้ง QoQ และ YoY            ปกติ 2Q รายได้จะสูงกว่า 1Q จากดีมานด์สินค้ากลุ่ม Self-care และเริ่มรับรู้รายได้จาก Colosure มากขึ้นหลังแก้ปัญหากำลังการผลิตได้แล้วตั้งแต่ เม.ย. 2025 พร้อม GPM กลับมาขยายตัว QoQ และต่อเนื่อง YoY B Gold จุดแข็งแข่ง Retinol ได้เปรียบทั้งคุณสมบัติ-ราคา            B Gold มีคุณสมบัติคล้าย Retinol แต่ไม่ระคายเคือง ราคาต่ำกว่าสารเกาหลีมาก และยังอยู่ในช่วงทดลองตลาด หากลูกค้าได้รับ อย. ผ่าน จะมีออเดอร์ล็อตใหญ่ หนุนการเติบโตระยะยาว คงราคาเหมาะสม 6.60 บาท แนะนำ “ซื้อ”            หากกำไร 1Q25 ออกมาตามคาด คิดเป็น 16.3% ของกำไรทั้งปี ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน ๆ ยังคงเป้ากำไร 2025 ที่ 113 ลบ. (+39.6% YoY) ปัจจุบันหุ้นซื้อขาย PER25 ที่ 18.3 เท่า PEG 0.5 เท่า มองว่ายังไม่แพง

SCGP ลุ้นกำไร Q1 ที่ 779 ลบ. สต็อกก่อนเก็บภาษีสหรัฐฯ

SCGP ลุ้นกำไร Q1 ที่ 779 ลบ. สต็อกก่อนเก็บภาษีสหรัฐฯ

           หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SCGP ว่าคงมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อ SCGP จากงบในไตรมาส 1 ปี 2568ที่คาดว่าจะออกมาที่ระดับ 779 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ผ่านมาโดยในปี 2568 เรามองว่าจะไม่มีรายการพิเศษขนาดใหญ่อย่างในไตรมาส 4 ปี 2567 มารบกวนการฟื้นตัวของ SCGP ในปีนี้            ประเมินว่า รายได้มีโอกาสเติบโตได้ราว 3–4% QoQมาจาก ปริมาณขายที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยนอกจากนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2568 SCGP มีโอกาสได้รับประโยชน์เชิงต้นทุนจากการเติมสต็อกสินค้าต่าง ๆ ภายใน 90 วัน ก่อนที่มาตรการ US reciprocal tariff จะเริ่มบังคับใช้ในไตรมาส 3 ปี 2568            อีกทั้งยังมองว่า Fajar จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นในปี 2568โดยในไตรมาส 1 คาดว่าผลขาดทุนจะลดลงจากเดิมที่ 200 ล้านบาทและมีโอกาสเห็น EBITDA breakeven ได้ในไตรมาส 2 ปี 2568 นี้

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

AURA รับราคาทองพุ่ง สินเชื่อ gold finance โต 30%

AURA รับราคาทองพุ่ง สินเชื่อ gold finance โต 30%

           หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง AURA ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ AURA จากราคาทองคำที่ปรับขึ้นมายืนเหนือ3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งยังคงเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้บริษัทคาดว่ามีกำไรจากส่วนต่างการซื้อขายทองคำของธุรกิจ Gold Trading และคาดว่าจะทยอยปรับค่ากำเหน็จขึ้นในครึ่งหลังปี 2568 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตต่อเนื่อง            โดยในสัปดาห์หน้าวันที่ 21 เมษายน AURA จะประกาศแผนระยะยาว 3 ปี คาดว่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ตลาดกลับมาสนใจและเข้าใจความสามารถในการเติบโตของ AURA ได้มากขึ้น นอกเหนือจากแผนระยะสั้นที่มีการตั้งเป้า ปี 2568 ดังนี้: เพิ่มสาขาเป็น 644 สาขาเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ Gold Finance เป็น 6,500 ล้านบาท (เติบโต 30%) ตั้งเป้ากำไรสุทธิปี 2568 เติบโต 20–30%            พร้อมกันนี้ ยังมีแผนขยายเพดานหนี้จาก 2 เท่า เป็น 2.5 เท่า และมี แผนออกหุ้นกู้วงเงิน 2,000–3,000 ล้านบาท รวมถึงขอวงเงินกู้ Syndicate Loanอีก 3,000–4,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลในไตรมาส 2 ปี 2568 เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องในการขยายสาขานอกจากนี้ ยังได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เนื่องจาก AURA มีสัดส่วนเงินกู้ที่เป็น อัตราลอยตัวประมาณ 98%

NER คาด Q1 กำไรโต 15.2% YoY  ลุ้นเจรจาสหรัฐฯ หนุนคำสั่งซื้อ

NER คาด Q1 กำไรโต 15.2% YoY ลุ้นเจรจาสหรัฐฯ หนุนคำสั่งซื้อ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุ North East Rubber (NER) แนวโน้มกำไร 1Q25 โตเด่นทั้ง QoQ และ YoY เราคาดปริมาณขายใน 1Q25 ที่ 1.2 แสนตัน (-11.8% QoQ, +4.7% YoY) ปริมาณขายลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลเพราะไตรมาส 1 ราคายางมักปรับตัวขึ้นเนื่องจากใกล้เข้าสู่ช่วงปิดกรีด คาด ASP ที่ 68 บาท/กก. (+13.4% QoQ, +19.2% YoY) เราคาดรายได้ที่ 8,160 ลบ. (-8.7% QoQ, +24.7% YoY) คาด GPM ฟื้นตัวแรง QoQ เป็น 10.7% จาก 8.8% ใน 4Q24 เนื่องจากมีการสต๊อกวัตถุดิบไปมากแล้วใน 4Q24 ทำให้ราคายางที่ปรับขึ้นต่อใน 1Q25 กระทบต้นทุนเฉลี่ยจำกัด แต่ราคาขายปรับขึ้นมากกว่า อย่างไรก็ตามยังต่ำกว่า 11.6% ใน 1Q24 คาด SG&A ทรงตัว QoQ ที่ 161 ลบ. แต่เพิ่มขึ้น 5.5% YoY คาดกำไรจากอนุพันธ์และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิเป็นบวกราว 20 ลบ. คาดกำไรสุทธิที่ 568 ลบ. ขณะที่กำไรปกติคาดที่ 548 ลบ. (+13.2% QoQ, +15.2% YoY) 2Q25 คาดกำไรทรงตัวสูง แต่ 3Q25 ท้าทาย จึงยังคงประมาณการเดิมไว้            แนวโน้มกำไร 2Q25 คาดได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้าจำกัด เนื่องจากมีการปิดการขายไปแล้วในช่วง 4Q24 – 1Q25 คาดปริมาณขายราว 1.1 แสนตัน เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY แต่ GPM อาจลดลงเล็กน้อย QoQ จากการเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบในช่วงปิดกรีด ขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ต่อทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกับจีน ทำให้ปริมาณการสั่งซื้อหยุดชะงักลงอย่างมีนัยสำคัญ ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อ หรือลดจำนวนการสั่งซื้อ กดดันราคายาง SICOM ลดลงอย่างรวดเร็ว และยังไม่ฟื้นแม้ว่าจะมีการเลื่อนการบังคับใช้ไป 90 วัน เนื่องจากอัตราภาษีใหม่ไม่ได้ถูกบังคับใช้กับจีนประเทศเดียว ซึ่งบริโภคยางค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม การใช้ยางของจีนเพื่อการบริโภคในประเทศเอง 60% และการส่งออกโดยตรงจากจีนไปสหรัฐฯ อยู่ที่เพียง 5% ทั้งนี้จะกระทบให้ปริมาณขายใน 3Q25 มีความท้าทายว่าจะถึงระดับ 1 แสนตันหรือไม่ แต่หากเจรจาได้เร็ว เชื่อว่าจะกลับมาเร่งซื้อเพราะสินค้าจะขาดสต๊อก แต่หากยืดเยื้อคาดว่ากำไร 3Q25 จะเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดของปี กำลังการผลิตใหม่อาจล่าช้าออกไป ... คงคำแนะนำ “ซื้อ”            แม้ว่าผลประกอบการ 3Q25 มีความเสี่ยงไม่เป็นไปตามคาด ประกอบกับแผนการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่อาจล่าช้าไปอย่างน้อย 1 ไตรมาส จากเดิมที่คาดว่าเฟสแรกจะแล้วเสร็จใน 2Q26 เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์เพื่อประเมินความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม รายได้จากกำลังการผลิตใหม่ยังไม่รวมในประมาณการ ขณะที่กำไรปี 2025 อาจได้รับผลกระทบจากราคายางที่ปรับตัวลง ทำให้กำไรปี 2025 อาจต่ำเป้าหมายของบริษัทได้ ซึ่งประมาณการกำไรของเราต่ำกว่าเป้าบริษัทราว 10–15% ทำให้โอกาสการปรับประมาณการกำไรขึ้นลดลง แต่ประมาณการเดิมคาดว่ายังอยู่ในกรอบที่เป็นไปได้ โดยหากกำไร 1Q25 ใกล้เคียงคาดจะคิดเป็นสัดส่วน 29% ของคาดการณ์ทั้งปี ราคายาง SICOM และราคาหุ้นสะท้อนความเสี่ยงที่สุดของประเด็น Reciprocal tariff ไปแล้ว หากเจรจาลดลงได้จะหนุนการฟื้นตัว ปัจจุบัน PER25 ต่ำเพียง 5.1 เท่า และจะ XD วันที่ 24 เม.ย. อีก 0.31 บาท Yield 7.0%            เราปรับไปใช้ PER ประเมินมูลค่า 7.25 เท่า จาก 7.45 เท่า ตามการเปลี่ยนไปอิง SET ESG Rating ที่ระดับ A ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 6.30 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

SAWAD จับตาสินเชื่อฟื้นตัว โบรกแนะ ‘ซื้อ’ เป้า 40.25 บ.

SAWAD จับตาสินเชื่อฟื้นตัว โบรกแนะ ‘ซื้อ’ เป้า 40.25 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. เอเอสแอล ระบุ SAWAD โมเมนตัมการเติบโตเด่นใน 2H25           ผู้บริหารตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 10-15% หลังสภาพคล่องดีขึ้นจากการคาดหวังการระดมทุนในตลาดหุ้นกู้ที่กลับมาสู่สภาวะปกติ โดย Focus ในสินเชื่อจำนำทะเบียนเป็นหลัก ภายใต้ความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อ (LTV ยังคงอยู่ในระดับต่ำ) ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มองว่ามีโอกาสเติบโต ขณะที่ NIM อาจปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อยจาก CoF มีแนวโน้มลดลงใน 2H25F เป็นผลจากได้รับอันดับ Credit rating ที่ A- จากเดิมที่ BBB+ จากทริสเรทติ้ง           ด้าน NPLs ratio ที่ 3-4% และ Credit cost ที่ 1.8-2.0% (ปี 24 = 2%) ส่วนธุรกิจนายหน้าประกันภัย เป้ายอดเบี้ยประกันวินาศภัยเติบโต 30-50% หลังได้รับใบอนุญาตให้ขายประกันผ่านช่องทางออนไลน์ และเป้า D/E ในกรอบ 1.7-2.0 เท่า เทียบกับปีก่อนที่ 2.2 เท่า           เราประเมินกำไรสุทธิปี 25F เท่ากับ 5.46 พันล้านบาท +4% YoY โดยโมเมนตัมของผลประกอบการจะเติบโตเด่นในช่วง 2H25F ทั้งนี้เราคาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวเพียง 10% ส่วน Credit cost ลดลงเพียงเล็กน้อยจากปีก่อนมาที่ 1.9% ซึ่งยังพอมี upside เนื่องจากบริษัทได้ clean up Balance sheet ในปีก่อนมาพอสมควรแล้ว และสถานการณ์ผลขาดทุนรถยึดน้อยกว่าคาด ด้าน ROE ปรับตัวลงเหลือ 15.7% จากผลของการจ่ายหุ้นปันผล โดยเรามองเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องแก่บริษัทเพื่อเร่งปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ทั้งนี้เราคาดว่าจะเป็นจุดต่ำก่อนที่จะกลับมาขยายตัวในปี 26F เป็นต้นไป           ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 40.25 บาท อิง PBV 1.77 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลังระยะยาว (4.9 เท่า) -1.25 SD ตลาดตอบรับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของบริษัทมากเกินไป ทั้งนี้ผู้บริหารมีแผนที่จะจ่ายหุ้นปันผลพร้อมเงินสดอย่างต่อเนื่อง แต่จะเพิ่มอัตราการจ่ายเป็นเงินสดขึ้นจากปีก่อนที่ 1.2%           แนวรับ 29.25-29/28 แนวต้าน 30.50/32.75/35.25

abs

Hoonvision

EASTW ยันมีเงินสดพร้อมชำระคืนหุ้นกู้ 1.2 พันลบ.

EASTW ยันมีเงินสดพร้อมชำระคืนหุ้นกู้ 1.2 พันลบ.

           อีสท์ วอเตอร์ ยืนยันฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีเงินสดพร้อมชำระคืนหุ้นกู้ 1,200 ล้านบาท            หุ้นวิชั่น - กลุ่มบริษัท อีสท์ วอเตอร์ ชี้แจงการบริหารจัดการด้านการเงินมีเสถียรภาพที่ดีพร้อมชำระคืนหุ้นกู้ปัจจุบันมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน ทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้น้ำทุกภาคส่วน พร้อมเดินหน้าให้บริการน้ำเต็มรูปแบบ เสริมความมั่นคง และสร้างความยั่งยืนในการบริหารทรัพยากรน้ำ            ตามที่ได้มีข่าวเผยแพร่เกี่ยวกับการชำระหุ้นกู้และกระแสเงินสด เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 ที่ผ่านมานั้น กลุ่มบริษัท อีสท์ วอเตอร์ เปิดเผยว่า การบริหารจัดการชำระหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2558 ชุดที่ 2 ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 จำนวนเงิน 1,200 ล้านบาท กลุ่มบริษัทอีสท์ วอเตอร์ ได้เตรียมเงินสดสำหรับไถ่ถอนหุ้นกู้ไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนการบริหารจัดการด้านกระแสเงินสด กลุ่มบริษัทอีสท์ วอเตอร์ มีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปีมาโดยตลอด  และยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้  โดยกระแสเงินสดปลายปี 2567 จำนวนเงินรวม 261.98 ล้านบาท อยู่ในเกณฑ์การบริหารจัดการตามหลักปฏิบัติที่ดีด้านกระแสเงินสดเพื่อบริหารต้นทุนการเงินที่มีประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง            กลุ่มบริษัทอีสท์ วอเตอร์ มุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจที่ได้รับนโยบาย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2535 ยืนยันในศักยภาพการบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก หลังจากโครงการวางท่อทดแทนระบบท่อซึ่งส่งมอบคืนแก่กระทรวงการคลังเสร็จสมบูรณ์แล้วในปลายปี 2567 ทำให้อีสท์วอเตอร์มีโครงข่ายท่อ หรือ Water Grid ที่สมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาคชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ซึ่งจะเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจยิ่งขึ้นในอนาคต โดยการดำเนินการตั้งแต่ต้นปี 2568 บริษัทมั่นใจแนวโน้มการผ่านพ้นจุดต่ำสุดในปี 2567 โดยจะเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา            ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทอีสท์ วอเตอร์ ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่และต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นหลักทุกรายภายใต้การดำเนินงานตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยในปี 2567 อีสท์ วอเตอร์ได้รับการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการจากสถาบัน IOD อยู่ในเกณฑ์ระดับดีเลิศ ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเทในการสร้างสมดุลระหว่างผลประกอบการ และความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม  และคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม

SAFE คาด Q2 กำไรฟื้น ดีมานด์ปีมะเมียหนุน เป้า 13.20 บาท

SAFE คาด Q2 กำไรฟื้น ดีมานด์ปีมะเมียหนุน เป้า 13.20 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. กรุงศรี แนะนำ Buy สำหรับ SAFE เนื่องจากคาดกำไรสุทธิเติบโตต่อปี +13% CAGR 25F-27F (สมมติฐานไม่รวมลูกค้าจีน) และมีโอกาสได้ประโยชน์จากการผ่านกฎหมายอุ้มบุญ แนวโน้ม 1Q25F คาดกำไรสุทธิ (-60% y-y +13% q-q) กลับมาเติบโต q-q ตามการใช้บริการและมีจำนวนรอบการเก็บไข่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ตั้งแต่ 2Q25F คาดมีปัจจัยบวกความต้องการมีลูกในปีมะเมีย จะทำให้กำไรสุทธิเติบโตทั้ง y-y q-q เป็นไตรมาสแรกนับจาก 2Q24 ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 25F เทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า -2.0SD มองเป็นโอกาสลงทุน คาดกำไรสุทธิ 1Q25F ที่ 27 ลบ. (-60% y-y +13% q-q)           เราคาดว่าใน 1Q25F จะมีกำไรสุทธิ 27 ลบ. (-60% y-y +13% q-q) ลดลง y-y แต่กลับมาเติบโต q-q เนื่องจาก 1) คาดรายได้ให้บริการรวม (-29% y-y +4% q-q) ลดลง y-y ตามจำนวนรอบการเก็บไข่และฝังตัวอ่อนใน 1Q24 ฐานสูงจากความต้องการมีลูกปีมังกร ส่วนรายได้ให้บริการคาดฟื้นตัวได้ q-q จากลูกค้าชาวไทยและต่างชาติมีจำนวนรอบการเก็บไข่เพิ่มขึ้น 2) คาด Gross margin 55.3% ลดลง y-y แต่ดีขึ้น q-q ตามทิศทางรายได้ และมี Economies of scale ของการใช้บริการเพิ่มขึ้น q-q และ 3) คาดค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น q-q ในอัตราน้อยกว่าการฟื้นตัวของรายได้ แนวโน้ม 2Q25F เริ่มเห็นการเติบโต y-y และ q-q           หากกำไรสุทธิ 1Q25F เป็นไปตามเราคาด จะคิดเป็น 16% ของกำไรสุทธิปี 25F ที่ 170 ลบ. (+2% y-y) โดยประมาณการกำไรสุทธิของ SAFE เรารวมความเสี่ยงลูกค้าจีนในสมมติฐานจำนวน OPU cycle ไว้แล้ว แนวโน้ม 2Q25F คาดกำไรสุทธิกลับมาเติบโตได้ y-y (2Q24 กำไรสุทธิ 47 ลบ.) และเติบโตต่อเนื่อง q-q เนื่องจากคาดจะมีจำนวนรอบการเก็บไข่และฝังตัวอ่อนเพิ่มขึ้นจากความต้องการมีลูกในปีมะเมีย ทำให้คาดรายได้ให้บริการเติบโต y-y และ q-q เป็นไตรมาสแรกนับจาก 2Q24 ประกอบกับคาด Gross margin ดี y-y และ q-q จากมี Economies of scale ของการใช้บริการเพิ่มขึ้น คำแนะนำ           แนะนำ Buy สำหรับ SAFE ราคาเป้าหมาย (TP25F) 13.20 บาท วิธี DCF WACC 9.7% เนื่องจาก 1) คาด 2Q25F กำไรสุทธิกลับมาเติบโต y-y และ q-q เร็วกว่าที่คาดเดิมใน 2H25F และ 2) ประมาณการกำไรสุทธิเรารวมกรณีไม่มีลูกค้าจีนไว้แล้ว คาดกำไรสุทธิเติบโตต่อปี +13% CAGR 25F-27F ส่วน Valuation หุ้น SAFE ซื้อขาย PE ปี 25F เทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า -2.0SD ยังมองเป็นโอกาสลงทุนเพื่อรับการฟื้นตัวของกำไรสุทธิปีนี้เป็นต้นไป

KTC กำไร Q1 ที่ 1,861 ลบ. ตามคาด  โบรกแนะซื้อ เป้า 55 บ.

KTC กำไร Q1 ที่ 1,861 ลบ. ตามคาด โบรกแนะซื้อ เป้า 55 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. กรุงศรี คงคำแนะนำ KTC BUY และคง TP25F ที่ 55 บ. ทีมวิจัยชอบ KTC เพราะ i) คาดมาตรการของ ธปท. จะช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้ ii) ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง iii) มีจุดแข็งเรื่องงบดุล iv) กำไรสุทธิปี 2025F คาดทำจุดสูงสุดใหม่ต่อจากปี 2024 สำหรับกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 1,861 ลบ. ใกล้เคียงกับเราและตลาดคาด โดยกำไรเพิ่มขึ้น +3% y-y เพราะการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ และการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ขณะที่กำไรลดลง -2% q-q เพราะการลดลงของสินเชื่อรวม NIM และรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารได้ดี NPL Ratio อยู่ที่ 1.97% ใกล้กับ 4Q24 กำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 1,861 ลบ. เพิ่มขึ้น +3% y-y ลดลง -2% q-q           KTC รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 1,861 ลบ. ใกล้เคียงกับเราและตลาดคาด โดยกำไรเพิ่มขึ้น +3% y-y เพราะ i) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เพิ่มขึ้น +3% y-y จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ ii) ค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง -5% y-y จากช่วงที่ผ่านมา มีการตั้งสำรองล่วงหน้าไว้แล้ว และคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น ขณะที่กำไรลดลง -2% q-q จาก i) รายได้ดอกเบี้ย (NII) ลดลง -3% q-q จากสินเชื่อรวมลดลง -4% q-q คิดเป็น -4% YTD หลักๆ จากสินเชื่อบัตรเครดิตตามปัจจัยฤดูกาลที่ช่วง 4Q ของทุกปียอดใช้จ่ายผ่านบัตรสูง และ NIM อยู่ที่ 13.1% ลดลงจาก 4Q24 ที่ 13.5% จากการลดลงของ yield on loan ii) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ลดลง -3% q-q จากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารได้ดี Gross NPL ลดลง -3% q-q ทำให้ NPL Ratio อยู่ที่ 1.97% ใกล้กับ 4Q24 ที่ 1.95%           กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 23% ของกำไรสุทธิทั้งปี 2025F คาดที่ 8.12 พันลบ. เพิ่มขึ้น +9% y-y คาดกำไรสุทธิ 2Q25F เพิ่มขึ้น y-y ทรงตัว q-q           เราคาดกำไรสุทธิ 2Q25F เพิ่มขึ้น y-y ทรงตัว q-q จากการเพิ่มขึ้นของรายได้รวม ทั้งสินเชื่อรวม NIM และรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ รวมถึงการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) คำแนะนำ           เราคงคำแนะนำ BUY และคง TP25F ที่ 55 บ. เราชอบ KTC เพราะ i) คาดมาตรการของ ธปท. จะช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้ ii) ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง iii) มีจุดแข็งเรื่องงบดุล iv) กำไรสุทธิปี 2025F คาดทำจุดสูงสุดใหม่ต่อจากปี 2024

KBANK กำไร Q1 โต 1.08% รายได้ดบ.ลด-NIMอยู่ที่ 3.41% 

KBANK กำไร Q1 โต 1.08% รายได้ดบ.ลด-NIMอยู่ที่ 3.41% 

           หุ้นวิชั่น - บมจ.ธนาคารกสิกรไทย KBANK และบริษัทย่อย รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ยังคงรักษาความแข็งแกร่ง แม้เผชิญความท้าทายจากภาวะดอกเบี้ยและเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารอยู่ที่ 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า            รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2,761 ล้านบาท หรือ 7.23% สะท้อนแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยในตลาด อย่างไรก็ตาม ธนาคารสามารถรักษา อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ (NIM) ไว้ที่ระดับ 3.41% ผ่านการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง            ในขณะเดียวกัน รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ขยายตัวได้ดี เพิ่มขึ้น 1,826 ล้านบาท หรือ 15.39% จากกำไรในเครื่องมือทางการเงินตามมูลค่ายุติธรรม รายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้จากการลงทุน ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานสุทธิปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยที่ 935 ล้านบาท หรือ 1.87%            ด้านการควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า จากการบริหารประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) อยู่ที่ 40.84%            เพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ธนาคารยังคงยึดหลักความระมัดระวัง โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่ระดับ 9,818 ล้านบาท อย่างเหมาะสม            เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้จากการดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้น 397 ล้านบาท หรือ 0.81% ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 2,243 ล้านบาท หรือ 10.06% ทำให้ กำไรจากการดำเนินงานก่อน ECL และภาษี เพิ่มขึ้นเป็น 29,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.99%            ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 4.36 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.33% จากสิ้นปี 2567 โดยมีอัตราส่วน NPL อยู่ที่ 3.19% และ Coverage Ratio อยู่ที่ 159.49% สะท้อนคุณภาพสินทรัพย์ที่มั่นคง พร้อมอัตราส่วนเงินกองทุนตามเกณฑ์ Basel III ที่แข็งแกร่ง 20.52%

KKP กำไร Q1/68 ลด 29.5% รายได้ ดบ. ทรุด-สินเชื่อชะลอ

KKP กำไร Q1/68 ลด 29.5% รายได้ ดบ. ทรุด-สินเชื่อชะลอ

           หุ้นวิชั่น -  ไตรมาส 1/2568 ธนาคารเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 1,062 ล้านบาท ปรับลดลง ร้อยละ 29.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2567 โดยหลักจากการลดลงของ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งปรับลดลง ร้อยละ 15.4 อันเป็นผลมาจากการชะลอตัวของสินเชื่อตามมาตรการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มที่มีคุณภาพสูง และจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยตามการปรับลดลงของ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย            ทางด้านรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ในส่วนของ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ยังสามารถทำได้ในระดับที่ดี โดยปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 16.4 โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจการจัดการกองทุน ซึ่งมีรายได้ปรับเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำการลงทุน และสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2567            ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยในส่วนของ กำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน ปรับลดลงตามภาวะตลาด ส่งผลให้ รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยรวม ปรับตัวลดลง ร้อยละ 4.6            ทางด้าน ผลขาดทุนจากการขายรถยึด ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยลดลง ร้อยละ 51.9 จากไตรมาส 1/2567 ธนาคารยังคงมีความระมัดระวังในการพิจารณาตั้งสำรอง โดย ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น สำหรับไตรมาส 1/2568 มีจำนวน 1,104 ล้านบาท            สำหรับ อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ ร้อยละ 131.0 ขณะที่ อัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม อยู่ที่ ร้อยละ 4.4

[Vision Exclusive] กลุ่มแบงก์โชว์ฟอร์มดี ลุ้น SCB กำไร 1.1 หมื่นล.

[Vision Exclusive] กลุ่มแบงก์โชว์ฟอร์มดี ลุ้น SCB กำไร 1.1 หมื่นล.

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทยอยประกาศงบไตรมาส 1/68 หลายแห่งกำไรออกมาดี หนุนจากต้นทุนสำรองฯ ลดลง แม้เผชิญแรงกดดันจากดอกเบี้ยขาลง-หนี้เสียขยับขึ้น ด้าน SCB, KBANK และ KKP เตรียมเผยผลประกอบการวันจันทร์นี้ ดังนั้นคาดการณ์กำไรสุทธิรวมของธนาคารในไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 59,500 ล้านบาท ชู TTB-KTB-BBL เป็น Top picks จากกำไรเด่น-ปันผลสูง-ราคายังไม่แพง            ความเคลื่อนไหวของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ทยอยประประกาศงบไตรมาส 1/2568 กันมาต่อเนื่อง อาทิ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TISCO), ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL), ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMBT), ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ได้ประกาศผลการดำเนินงานออกมาแล้ว            และยังมีธนาคารพาณิชย์ที่จะทยอยประกาศผลประกอบการมาอีก ในจันทร์ที่ 21 เมษายน 2568 คาดว่าจะมี 3 ธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK), บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) และ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKP) ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา            นายธนเดช รังษีธนานนท์ Director of Research บล.พาย กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ที่ได้มีการรายงานงบออกมาแล้ว โดยรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี อย่าง BBL ออกมาดีกว่าคาด, TISCO ใกล้เคียงคาด ขณะที่ TTB ต่ำกว่าคาด แต่สิ่งที่พบคือ Margin ของธนาคารดูอ่อนแอ จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อให้สอดรับกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ประกอบกับการลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้เปราะบางที่เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และการปรับโครงสร้างหนี้ในอดีต รวมถึงภาพหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวขึ้นทุกธนาคาร            ส่วน 3 ธนาคารพาณิชย์ที่เหลือ ที่จะรายงานงบในวันจันทร์นี้ ก็คาดว่าจะออกมาดี โดย SCB คาดว่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 11,974 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ 2.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ), KBANK คาดอยู่ที่ 12,860 ล้านบาท ลดลง -4.6% YoY และ เพิ่มขึ้น 27.9% QoQ ด้าน KKP คาดไว้ที่ 1,233 ล้านบาท ลดลง -18.1% YoY และลดลง -12.3% QoQ            ทั้งนี้คาดการณ์กำไรสุทธิรวมของธนาคารในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 59,500 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.1% YoY, 11.5% QoQ) หนุนจากสำรองหนี้ฯ ลดลงเป็นหลัก อย่างไรก็ดีการที่สหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้ากว่า 180 ประเทศ รวมทั้งสินค้าไทยจะถูกปรับขึ้นถึง 36% อาจกดดันเศรษฐกิจไทยชะลอตัวมากกว่าคาด ซึ่งส่งผลต่อการอ่อนแอในหลายด้านในอนาคต เช่น การขยายสินเชื่อใหม่ลดลง NIM ลดลง และหนี้เสียสูงขึ้น แต่เชื่อว่าธนาคารมีระดับสำรองหนี้ฯ สูง และเงินกองทุนสูงสามารถรับมือความไม่แน่นอนได้            สำหรับทั้งปี 2568 บล.พาย เตรียมทบทวนเป้าหมายกำไรสุทธิรวมของกลุ่มธนาคารอีกครั้ง หลังทุกธนาคารรายงานงบออกมากันครบแล้ว จากคาดการณ์เดิม กำไรสุทธิรวมน่าจะเติบโต 3.4% มาที่ 232,000 ล้านบาท เนื่องด้วยอัตราภาษีใหม่ของสหรัฐทำให้เศรษฐกิจมีความท้าทายสูงขึ้นอาจกดดันการเติบโตของธนาคารอ่อนแอกว่าคาดได้ และกดดันให้ราคาหุ้นธนาคารมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้น นอกจากนี้ยังคาดว่าจะเห็นคณะกรรมการโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ทำให้กดดันมาร์จิ้นของธนาคาร อีกทั้งภาพสินเชื่อ อาจไม่ได้โตตามคาด จากเดิมคาดว่าจะโตราว 1% และผลกระทบรายได้จากตลาดทุนที่ลดลง            บล.ดาโอ คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ของ KBANK จะอยู่ที่ 13,028 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 (QoQ) จากค่าใช้จ่าย (OPEX) ลดลงตามฤดูกาล และการตั้งสำรองฯ ลดลง แต่ลดลง -3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน (YoY) เนื่องจากมีฐานกำไรจากเงินลงทุนสูงในปีก่อน,            คาด SCB จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,387 ล้านบาท ทรงตัว เมื่อทียบกับ QoQ จากรายได้ค่าธรรมเนียมลดลงตามฤดูกาล และเพิ่มขึ้น 0.9% YoY จากการตั้งสำรองฯ ลดลง ส่วน            KKP คาดมีกำไรสุทธิที่ 1,282 ล้านบาท ลดลง -11.6% QoQ จากรายได้ค่าธรรมเนียมลดลงตามฤดูกาล และลดลง -14.8% YoY จากตั้งสำรองฯ ยังคงเพิ่มขึ้น จากลูกหนี้เช่าซื้อที่ปล่อยมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19            ทั้งนี้ยังคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” โดยคาดกำไรสุทธิรวมไตรมาส 1/2568 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท (+1% YoY, +8% QoQ) โดยเพิ่มขึ้น YoY , QoQ จากสำรองฯ และ OPEX ที่ลดลงเป็นหลัก โดยธนาคารที่เติบโตได้ดี YoY, QoQ คือ BBL (+5% YoY, +6% QoQ), KTB (+4% YoY, +10% QoQ) และ TTB (+1% YoY, +5% QoQ) จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก            ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ลดลง YoY, QoQ คือ KKP (-15% YoY, -12% QoQ), TISCO (-7% YoY, -5% QoQ) เพราะสำรองฯที่เพิ่มขึ้นตามการปล่อยสินเชื่อผลตอบแทนสูง อย่างจำนำทะเบียนที่เพิ่มขึ้น ด้านสินเชื่อไตรมาส 1/2568 ลดลงเล็กน้อย (-0.5% YoY, -0.3% QoQ) จากสินเชื่อภาครัฐ แต่สินเชื่อรายใหญ่ยังโตได้ดี ส่วน NPL จะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ส่วน NPL รวมทยอยเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 3.08% จากไตรมาส 4/2567 ที่ 3.05% แต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้            ยังคงประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารปี 2568-2569 อยู่ที่ 2.24 แสนล้านบาท และ 2.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น +4% YoY, +5% YoY ตามลำดับ จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก โดยคาดว่าจะมีการปรับตัวลดลง -9% YoY จากปี 2567 ที่ลดลง -7% YoY เพราะมีการตั้งเผื่อมาเยอะแล้ว ขณะที่ DAOL คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง ที่ 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% ในปี 2568            กลุ่มธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้น +6%/+21%% ในช่วง 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET เพราะตลาดหุ้นมีความผันผวนทำให้มีการโยกเงินเข้ามาในหุ้นที่มีมีอัตราเงินปันผลสูง โดยอัตราเงินปันผลเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 7% สูงกว่าอัตราปันผลเฉลี่ยของตลาดหุ้นที่ 3% ขณะที่ valuation ยังน่าสนใจ เทรดที่ระดับเพียง 0.68x 2025E PBV (-1.00SD below 10-yr average PBV) โดย Top picks เลือก TTB, KTB และ BBL - TTB (แนะนำซื้อ/ให้ราคาเป้า 2.22 บาท) เพราะมีโครงการซื้อหุ้นคืนช่วยหนุนราคาหุ้น ประกอบกับมี Dividend yield สูงราว 7% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ PBV ที่ 0.80x ที่ระดับเพียง -0.50SD และราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือ 5 พันล้านบาทได้อย่างต่อเนื่อง - KTB (แนะนำซื้อ/ให้ราคาเป้า 27.50 บาท) เพราะกำไรปี 2568 อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท โต +6% YoY ขณะที่ valuation ซื้อขายที่ PBV เพียง 0.76x (-0.50SD) ด้านราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือ 1 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่องมา 5 ไตรมาสติดกัน ส่วน NPL จะดีกว่ากลุ่มเพราะเน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐ - BBL (แนะนำซื้อ/ให้ราคาเป้า 186.00 บาท) เพราะมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดที่ 334% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุด ในกลุ่มเพียง 0.51x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x รายงานโดย : พชรธร ภูมิคำ รองบรรณาธิการข่าว Hoonvision

กลยุทธ์เทรด TISCO รอปันผล หรือ ขายก่อน?

กลยุทธ์เทรด TISCO รอปันผล หรือ ขายก่อน?

          บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง TISCO ว่า กำไรใกล้เคียงคาด…รายได้ลดลง พร้อมกับสำรองที่สูงขึ้น TISCO รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 จำนวน 1,643 ล้านบาท ลดลง 5.2% YoY และ 3.4% QoQ ใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาด ► ปัจจัยกดดันหลักๆ มาจาก           รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง 2.1% QoQ หลัง NIM ลดลงเหลือ 4.8% จาก 4.9% ใน 4Q24 เนื่องจากบริษัทปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำลง อีกทั้งมีผลจากการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ขณะที่สินเชื่อรวมลดลง 0.4% QoQ ตามนโยบายเพิ่มความระมัดระวังในการขยายสินเชื่อ           รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ลดลง 3.3% QoQ จากฐานสูงใน 4Q24 ที่มีการบันทึก Performance Fee ของธุรกิจบริหารจัดการกองทุนรวมเข้ามา และรายได้ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อที่ลดลงตามขนาดของสินเชื่อรวม แต่บางส่วนถูกชดเชยด้วยกำไรจากเงินลงทุนและรายได้เงินปันผลรับที่สูงขึ้น           การตั้งสำรองสูงขึ้น 14.4% QoQ คิดเป็น Credit Cost ที่ 0.7% เพิ่มขึ้นจาก 0.6% ใน 4Q24 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มตามนโยบายของบริษัทที่ต้องการเพิ่ม Coverage Ratio เพื่อรองรับความเสี่ยงของพอร์ตที่สูงขึ้น ตามการรุกขยายธุรกิจ High Yield อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยลูกหนี้ Stage 2 และ Stage 3 (NPL) ทรงตัวที่ 7.9% และ 2.4% ใกล้เคียงกับ 4Q24 Our Take ► กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 23.7% ของประมาณการทั้งปี เบื้องต้นยังคงประมาณการเดิม โดยคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q25 จะลดลงต่อทั้ง YoY และ QoQ จากผลของ NIM ที่ต่ำลง แต่คาดว่าจะไม่ลดลงมากเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ เพราะมีสัดส่วนสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยคงที่สูงราว 61.5% ► ปัจจัยกดดันหลักจะยังเป็นแนวโน้ม Credit Cost ที่ทยอยปรับขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อกลุ่ม High Yield ยังไม่สามารถเพิ่มขึ้นจนชดเชยปัจจัยกดดันต่างๆ ได้ ทำให้เราคาดว่า TISCO จะมีกำไรสุทธิปี 2025 จำนวน 6,934 ล้านบาท ทรงตัว YoY แต่มีแนวโน้มจะปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลง หากการเติบโตของสินเชื่อในกลุ่ม High Yield ยังไม่เร่งตัวขึ้นใน 2Q25 ► มีมุมมองเป็นกลางต่อผลดำเนินงานของ TISCO เพราะถือว่าไม่มีประเด็นที่ต่างไปจากความคาดหวังของตลาด แต่ด้วยแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q25 ที่คาดว่าจะลดลงต่อทั้ง YoY และ QoQ ทำให้ไม่เหมาะสำหรับการซื้อเพื่อสะสมในช่วงสั้น จึงคงคำแนะนำเชิงพื้นฐานเพียง “TRADING” ► ทั้งนี้ TISCO จะ XD วันที่ 28 เม.ย. (ปันผลหุ้นละ 5.75 บาท) ในเชิงกลยุทธ์จึงอาจพิจารณาขายทำกำไรก่อน แล้วรอสะสมใหม่หากราคาปรับลงหลัง XD เพราะมองว่าระยะกลาง-ยาว TISCO ยังมีความน่าสนใจจากการเป็นหุ้นปันผลสูง โดยคาด Dividend Yield ปี 2025 ของ TISCO ที่ 7.4%           บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ถือ” TISCO และราคาเป้าหมายที่ 96.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 1.75x (+0.50SD above 10-yr average PBV) โดยมองเป็นกลางทั้งจากกำไร 1Q25 ที่ตามคาด และการประชุมนักวิเคราะห์ที่เป้าหมายโดยรวมยังใกล้เคียงคาด โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.64 พันล้านบาท (-5% YoY, -3% QoQ) จากสำรองฯ ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งชดเชยกับ NIM ที่น้อยกว่าคาดจากโครงการคุณสู้เราช่วยกดดัน Loan yield           ด้าน NPL อยู่ที่ 2.42% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 2.35% ส่วนใหญ่มาจากจำนำทะเบียนรถ ทั้งนี้ผู้บริหารคาดแนวโน้มการตั้งสำรองฯ มีโอกาสลดลงน้อยกว่าเป้าที่ระดับ 100bps (เราคาด 100bps, 1Q25 ที่ 69bps) เพราะจะปล่อยสินเชื่อผลตอบแทนสูงลดลง และมีโครงการคุณสู้เราช่วยมาหนุนรายได้ดอกเบี้ยมีความเสี่ยงจะน้อยกว่าคาดเพราะโครงการคุณสู้เราช่วยจะกดดัน Loan yield คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลงอีก 2 ครั้ง ซึ่งจะช่วยให้ Cost of Fund จะลดลงได้ภายใน 3-6 เดือน และจะใช้เวลาราว 1 ปีในการ Repricing จบ           กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 24% ของประมาณการทั้งปี ทำให้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท ลดลง -1% YoY จากสำรองฯ ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25E มีโอกาสที่จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ จากสำรองฯ ที่จะเพิ่มขึ้นตามสินเชื่อผลตอบแทนสูงที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น +4% และ +16% ช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET เพราะตลาดหุ้นที่ผันผวนทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นปันผลมากขึ้น โดยจะ XD วันที่ 25 เม.ย. 25 ที่ 5.75 บาท ขณะที่ TISCO ยังยืนยันที่จะจ่ายปันผลในระดับสูงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าแนวโน้มกำไรจะลดลง           ทั้งนี้ คาดว่า TISCO จะยังคงเป็นหุ้นที่มี Dividend yield สูงถึงระดับราว 8% (จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยจะ XD ช่วงเดือน ก.ย. และ เม.ย.)

BAFS ผู้ให้บริการน้ำมันอากาศยานรายใหญ่สุดของประเทศ [HoonVision x FynnCorp]

BAFS ผู้ให้บริการน้ำมันอากาศยานรายใหญ่สุดของประเทศ [HoonVision x FynnCorp]

          BAFS หรือชื่อเต็ม บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งในปี 2526 ตามจุดประสงค์ของคณะรัฐมนตรี ณ ขณะนั้น ที่จะเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ต่อมาในปี 2545 บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย           ผู้ถือหุ้นหลักของ BAFS เป็นบริษัทชั้นนำที่ก่อตั้งมายาวนาน อย่าง บมจ. ราช กรุ๊ป, บมจ. การบินกรุงเทพฯ, บมจ. ท่าอากาศยานไทย และบริษัทน้ำมันต่างๆ           BAFS ประกอบธุรกิจหลักให้บริการจัดเก็บและเติมน้ำมันอากาศยานในท่าอากาศยาน 5 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง สุโขทัย ตราด และกำลังก่อสร้างระบบจัดเก็บ ให้บริการเพิ่มเติมที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา           นอกจากธุรกิจหลัก บริษัทได้ลงทุนและขยายกิจการไปยังธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ผ่านบริษัทลูกภายใต้กลุ่มบริษัท (BAFS Group) ใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการบิน (BAFS, TARCO, GAA, BI) ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน (BPT, BC) และกลุ่มบริการธุรกิจ (BPS, BID)           จุดเด่นของ BAFS Group คือ การมุ่งดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยยึดมั่นในหลัก ESG (Environmental, Social, Governance) เช่น เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ซึ่งในระหว่างนี้ ตั้งแต่ปี 2563 บริษัทได้รับการรับรองเป็น Carbon Neutral Company จากการชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดจากการดำเนินงานให้เป็นศูนย์ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เป็นต้น           โครงสร้างรายได้ มาจากการให้บริการระบบจัดเก็บน้ำมันอากาศยาน ระบบเติมน้ำมันอากาศยาน ระบบส่งน้ำมันอากาศยาน ระบบส่งน้ำมันเชื้อเพลิงจากท่อ ซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มรายได้จากค่าบริการ ที่เป็นรายได้หลัก คิดเป็น 88.97% ของรายได้รวมปี 2567 ที่เหลือจะเป็นรายได้จากการขายพลังงานไฟฟ้า และอื่นๆ ตามลำดับ           โดยผลการดำเนินงานในปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก ด้วยรายได้รวม 3,507 ล้านบาท (+14% YoY) และกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 102.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีแรกตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด จากปัจจัยสนับสนุนของภาคการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมา ด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยกว่า 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจ Aviation ฟื้นตัวตาม และทำให้ความต้องการปริมาณน้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 5,047 ล้านลิตร           อีกทั้ง ทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 นี้ BAFS Group คาดธุรกิจการบินยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และตั้งเป้าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานที่ 5,400 ล้านลิตร หรือ เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2567 ด้วยแรงหนุนจากจำนวนเที่ยวบิน รวมถึงการเปิดใช้งานรันเวย์ที่ 3 ของสนามบินสุวรรณภูมิ           กระแสเงินสดยังแข็งแกร่ง โดยกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานในปี 2567 เป็นบวกที่ 1,406.7 ล้านบาท ส่งผลให้ตลอดทั้งปีที่ผ่านมาบริษัทมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นสุทธิที่ 32.8 ล้านบาท และเงินสด รวมถึงรายการเทียบเท่าเงินสดมาอยู่ที่ 555.4 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 ขณะที่ บริษัทมีหนี้สินที่ต้องชำระคืนภายในปี 2568 อยู่ประมาณ 2,498 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระกว่า 1,183 ล้านบาท จึงเป็นส่วนที่ทำให้บริษัทจึงระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้เพิ่มเติม หุ้นกู้เสนอขายใหม่ ครั้งที่ 1/ 2568 ของบริษัท           BAFS ออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ [3 ปี 9 เดือน] อัตราดอกเบี้ย [4.75-5.10%] ต่อปี           จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน (ไม่รวมถึงผู้ลงทุนสถาบันที่เป็นบุคคลธรรมดา) และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่           ข้อกำหนดอัตราส่วนทางการเงิน บริษัทในฐานะผู้ออกหุ้นกู้จะต้องดำรงอัตราส่วนของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity Ratio) ไม่เกิน 2.5 เท่า ณ วันสิ้นปีบัญชีของผู้ออกตามงบการเงินรวมในแต่ละปี ซึ่ง BAFS ดำรงอัตราวนนี้อยู่ที่ 1.61 เท่า ณ สิ้นปี 2567           ช่วงเวลาจองซื้อ ในระหว่างวันที่ [9 และ 13-14 พฤษภาคม 2568] รวมทั้งวันเสาร์ที่ 10 วันอาทิตย์ที่ 11 และวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เฉพาะการจองซื้อผ่านระบบออนไลน์ของผู้จัดการการจัดจาหน่ายบางราย           ผู้จัดการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด           ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)           บริษัทได้รับจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดย บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568  องค์กรจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ BBB (tha)  หุ้นกู้จัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ BBB (tha)   แนวโน้ม stable วัตถุประสงค์ในการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ ได้แก่ นำไปใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างกลุ่มธุรกิจ Power & Utility และกลุ่มธุรกิจ Aviation ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นในการประกอบกิจการ Source: ThaiBMA ปัจจัยเสี่ยง ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ จากการที่บริษัทให้บริการระบบจัดเก็บและเติมน้ำมันอากาศยาน ทำให้หากมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก อย่าง ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เหตุการณ์ความวุ่นวาย โรคระบาด ภัยธรรมชาติ รวมไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง ก็อาจส่งผลให้ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศลดลง ความเสี่ยงจากภาระหนี้สูง ที่มาจากการกู้ยืมเพื่อใช้ในการดำเนินงานและรักษาสภาพคล่องของบริษัทในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID จนส่งผลทำให้มีหนี้สินสะสม สะท้อนจาก อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (IBD to EBITDA) ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 7.61 เท่า และความสามารถในการชำระผูกพัน (DSCR) อยู่ที่ 0.84 เท่า อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนทั้งสองนี้ มีทิศทางการปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนๆ อย่าง IBD to EBITDA ลดลงจากปี 2566 ที่อยู่ที่ 9.54 เท่า และ DSCR เพิ่มขึ้นจาก 0.73 เท่า ในปี 2566 ความเสี่ยงในการดำรงอัตราส่วนทางการเงิน เนื่องจากบริษัทเคยไม่สามารถดำรงอัตราส่วนตามที่กำหนดในสัญญากู้ยืมได้ในปี 2564 - 2565 ทำให้ต้องเจรจาขอผ่อนผันการผิดเงื่อนไขดังกล่าวจนสำเร็จ แต่หากในอนาคตถ้ายังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ และไม่ได้รับการผ่อนผัน อาจส่งผลให้หุ้นกู้คงค้างและเงินกู้ยืมที่มีข้อกำหนดเรื่อง Cross-default ถึงกำหนดชำระโดยพลัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัททันที

3 โบรกส่องอนาคต BBL

3 โบรกส่องอนาคต BBL "เงินปันผล" VS "หนี้ NPL" ใครชนะ

          บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” BBL และราคาเป้าหมายที่ 186.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.60x (-1.00SD below 10-yr average PBV) โดย BBL ประกาศกำไรสุทธิ 1Q25 อยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +20% YoY และ +21% QoQ ดีกว่าที่ตลาดคาด +11%และคาด +14% เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุนถึง 2.9 พันล้านบาท (คาด 500 ล้านบาท) แต่มีการตั้งสำรองฯที่สูงกว่าคาดมาอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท (คาด 7.9 พันล้านบาท)           ► ด้าน NIM ต่ำกว่าคาดมาอยู่ที่ 2.91% (คาด 3.10%) จากไตรมาสก่อนที่ 3.12% เพราะมี Loan yield ลดลงจากการชำระคืนของ Working capital ส่วน NPL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.00% จากไตรมาสก่อนที่ 2.70% ส่วนใหญ่เกิดจาก Relapse NPL ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตและกลุ่มการค้า           ► ทั้งนี้จากความกังวลเรื่องนโยบายใหม่ของรัฐบาลอินโดฯ ทาง BBL ไม่ได้กังวลต่อธนาคาร Permata มากนักเพราะมี Coverage ratio ในระดับสูงราว 350% ซึ่งสามารถรองรับความเสี่ยงได้อีกมาก กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 27% ของประมาณการทั้งปี เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุน แต่เป็นรายการที่คาดการณ์ได้ยาก ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +3% YoY จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก           ► ขณะที่คาดว่า กำไรสุทธิ 2Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง แต่จะลดลง QoQ เพราะฐานกำไรจากเงินลงทุนที่สูง           ► ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +3% และ +12% ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET จากกำไรที่ดีกว่าคาด และใกล้ประกาศจ่ายเงินปันผล โดยจะ XD วันที่ 23 เม.ย. 25 ที่ 6.50 บาท ประกอบกับ BBL ยังคงมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่มที่ 300% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุดในกลุ่มเพียง 0.53x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x           บล.เอเซีย พลัส ประเมินหุ้น BBL โดยกำไรสุทธิ 1Q68 ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท (+21% QoQ เพราะ Non-NII เพิ่ม และ OPEXลดตามฤดูกาล, +20% YoY จาก Non-NII) ดีกว่าฝ่ายวิจัยและ BB Consensus คาดราว 11% จาก Non-NII ในส่วนของกำไรจากเงินลงทุนผ่านการขายตราสารหนี้ ► NIM ที่ 2.8% อ่อนตัวจาก 3.0% งวด 1Q67 และ 4Q67 ตามการลดดอกเบี้ยนโยบาย ► NPL / Loan ที่ 3.6% เพิ่มจาก 3.2% ณ สิ้นงวดก่อน จากกลุ่มที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่ Coverage ratio ลงมาที่ 300% เทียบกับ 334% ณ สิ้นงวดก่อน ► ฝ่ายวิจัยมองกลางต่องบ 1Q68 แม้กำไรดีกว่าคาด แต่ NPL ปรับขึ้น โดยการปรับขึ้น ของระดับ NPL ยังไม่ได้ยากเกินบริหารจัดการ (3Q67 เคยสูงถึง 3.9%) และเป็นไปในรูปแบบเดียวกับปีก่อน (ขึ้น 1Q-3Q และกลับมาลง 4Q) ซึ่งกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ทาง BBL ไม่ได้มีการกลับสำรอง ทำให้ความจำเป็นในการตั้ง ECL ไม่ได้ เพิ่มมากนัก แม้ NPL จะปรับขึ้นก็ตาม ► คงประมาณการ หลังกำไรสุทธิ 1Q68 คิดเป็นสัดส่วน 28% ของประมาณการฝ่ายวิจัย(1Q67 คิดเป็นสัดส่วน 23% ของกำไรสุทธิปี 2567) และ BB Consensus น่าจะพอรองรับแนวโน้ม NII ระยะถัดไป ซึ่งมีแรงกดดันจากโอกาสในการลดดอกเบี้ยของ กนง. ► การปรับขึ้นของ NPL อาจส่งผลลบต่อราคาหุ้น แต่ในเชิง PBV ไม่แพงที่ 0.48 เท่า และคาด Div Yield ราว 5.8% ต่อปี ในมุม Valuation น่าสนใจ ประกอบกับมองว่าเงินปันผล ต่อหุ้นประคองตัวได้ แม้กำลังเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงก็ตาม คงแนะนำ Outperform เคาะราคาเป้าหมาย 180.00 บาท บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า BBL รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 จำนวน 12,618 ลบ. โตเด่น 19.9% YoY และ 21.3% QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 12.6% และ 11% ตามลำดับ ► ปัจจัยที่ทำให้กำไรสุทธิดีกว่าคาดมาจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่โต 27.4% QoQ (ดีกว่าที่เราคาด 42.4%) หลังมีกำไรจากเงินลงทุนที่บริษัทได้ขายทำกำไรจำนวนกว่า 2,897 ลบ. เพิ่มขึ้นมากจากเพียง 133 ลบ. ใน 4Q24 บวกกับรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิโต 8.3% QoQ โดยเฉพาะธุรกิจนายหน้าประกันที่ขยายตัวได้ดี จากอานิสงส์ของการเร่งซื้อประกันก่อนเริ่มบังคับใช้เงื่อนไข Co-payment ► Cost to Income Ratio ลดลงเหลือ 45.5% จาก 53.0% ใน 4Q24 เพราะมีการโอนกลับค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่ได้มีการเบิกใช้จริง ► ทั้งนี้ผลบวกดังกล่าวบางส่วนถูกหักล้างด้วยรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง 6.1% QoQ หลัง NIM ลดลงเหลือ 2.8% จาก 3.1% ใน 4Q24 สอดรับกับดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารที่ลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังปรับลงได้ไม่ทันกับรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง ► NPL ปรับขึ้นเป็น 3.6% จาก 3.2% ใน 4Q24 ทำให้การตั้งสำรองสูงขึ้น 18.8% QoQ แต่ส่วนใหญ่เป็น Relapsed NPL ที่เกิดจากลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้มีการชำระเงินล่าช้าในบางช่วง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ BBL ตั้งสำรองไว้มากแล้วและไม่ได้โอนกลับสำรองออกมาเวลาที่ลูกหนี้ดังกล่าวกลับมาชำระเงิน ทำให้การตั้งสำรองใน 1Q25 ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับ NPL ที่สูงขึ้น Our Take ► กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 27.4% ของประมาณการทั้งปี โดยเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดแนวโน้มกำไรสุทธิใน 2Q25 จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากกำไรจากเงินลงทุนที่ต่ำลงจากฐานสูงใน 1Q25 รวมถึง NIM ที่คาดจะลดลงต่อ จากการรับรู้ผลกระทบของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเต็มไตรมาส บวกกับรับรู้ต้นทุนดอกเบี้ยจาก Subordinated Note (ตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2) จำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์ฯ ส่วนทั้งปี 2025 เราคาด BBL จะมีกำไรสุทธิ 45,987 ลบ. โต 1.7% YoY ► มองแนวโน้มกำไรสุทธิใน 2Q25 จะชะลอตัวลง แต่ BBL ถือเป็นธนาคารที่ยัง Laggard จากกลุ่ม ซื้อขายด้วย PBV ปี 2025 ต่ำเพียง 0.5x ขณะที่ธนาคารใหญ่รายอื่นซื้อขายด้วย PBV ที่ 0.6-0.8x อีกทั้งปัจจุบันราคาหุ้นมี Upside ราว 29.7% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2025 เดิมที่ 190 บาท และคาดจะให้ Div. Yield อีก 5.8% ส่วนช่วงสั้นคาดตลาดจะตอบรับเชิงบวกจากกำไรสุทธิที่ดีกว่าที่ตลาดคาด จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

THCOM ตั้ง”สารัชถ์ รัตนาวะดี” นั่งประธานคณะกรรมการมีผล 1 พ.ค. นี้

THCOM ตั้ง”สารัชถ์ รัตนาวะดี” นั่งประธานคณะกรรมการมีผล 1 พ.ค. นี้

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM เผยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 มีมติรับทราบการลาออกของ นายสมประสงค์ บุญยะชัย จากตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการ และ กรรมการอิสระ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากติดภารกิจอื่น           พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการได้มีมติแต่งตั้ง นายสารัชถ์ รัตนาวะดี เข้าดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการ คนใหม่ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 แทนตำแหน่งที่ว่างลง           ทั้งนี้ นายสารัชถ์จะพ้นจากตำแหน่งเดิมในฐานะ รองประธานคณะกรรมการ ซึ่งเริ่มต้นดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2566 โดยสิ้นสุดวาระในวันเดียวกันกับการเริ่มต้นตำแหน่งใหม่

KTC กำไร Q1 ดีด 3.2% เป้าปี 68 พอร์ตโต 5%

KTC กำไร Q1 ดีด 3.2% เป้าปี 68 พอร์ตโต 5%

           หุ้นวิชั่น - KTC รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 1,861 ล้านบาทพอร์ตเพิ่มเล็กน้อย 3.2% และยังคงคุณภาพสินทรัพย์ที่น่าพอใจ ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสมขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรขยายตัวได้ดีกว่าอุตสาหกรรม พร้อมคาดปี 2568 พอร์ตลูกหนี้รวมโต 4-5% พร้อมคุมNPL ไม่เกิน 2%            บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (“กลุ่มบริษัท”) หรือ KTC มีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 เท่ากับ 1,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มีจำนวน 1,803 ล้านบาท ขณะที่งบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (“เคทีซี” หรือ “บริษัท”) มีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 เท่ากับ 1,877 ล้านบาท ลดลง 0.9% (YoY) เนื่องจากในปี 2567 บริษัทมีการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม 82 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว เคทีซีจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 2.7%            ในไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 6,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% (YoY) มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ รายได้ค่าธรรมเนียมด้านร้านค้า รายได้จากการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า และรายได้ค่าธรรมเนียม Interchange ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยและหนี้สูญได้รับคืนลดลงเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายรวม 4,433 ล้านบาท ลดลง 1.6% (YoY) จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารรวมสูงขึ้นหลัก ๆ จากค่าธรรมเนียมจ่ายเพิ่มขึ้นตามปริมาณธุรกรรม และค่าใช้จ่ายด้านการตลาด ทั้งนี้ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมอยู่ที่ 35.1%            ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มบริษัทมีพอร์ตสินเชื่อรวม 107,093 ล้านบาท ขยายตัวที่ 1.7% (YoY) แบ่งเป็น พอร์ตบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 1.5% (YoY) โดยมีอัตราการขยายตัวของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ 6.7% (YoY) และพอร์ตสินเชื่อบุคคลรวมเติบโตที่ 5.2% (YoY)            เคทีซียังสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี มี NPL Coverage Ratio ของงบการเงินเฉพาะกิจการอยู่ในระดับสูงที่ 449.5% ขณะที่อัตราส่วน NPL (%NPL) อยู่ที่ 1.58% ลดจาก ณ สิ้นปี ที่ 1.64% สำหรับกลุ่มบริษัทมี NPL Coverage Ratio อยู่ในระดับสูงเช่นกันที่ 384.5% และ %NPL ของกลุ่มบริษัท 1.97% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปี ซึ่งอยู่ที่ 1.95% สำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 Credit Cost ของกลุ่มบริษัทลดลงเป็น 6.0% จาก 6.4% ในช่วงเดียวกันของปี 2567            นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังมีอัตราส่วนทางการเงินที่แข็งแกร่ง อาทิ อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นเป็น 27.2% อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับสูงที่ 18.3% และอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 1.58 เท่า และด้วยความสามารถในการรักษาเสถียรภาพในทุกช่วงวงจรธุรกิจ สะท้อนได้จากความสามารถในการสร้างผลกำไร มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี และการรักษาตำแหน่งทางการตลาด บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงได้เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันเป็น “AA” จาก “AA-” ในวันที่ 9 เมษายน 2568            ทั้งนี้ เคทีซียังคงให้ความสำคัญในการขยายพอร์ตสินเชื่อรวมไปพร้อม ๆ กับการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ เพื่อให้กลุ่มบริษัทบรรลุเป้าหมายตามแผนธุรกิจที่ตั้งไว้ ภายใต้กรอบการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม

TTB ปันผลยิลด์ 7% รับประโยชน์ภาษีค้ำ

TTB ปันผลยิลด์ 7% รับประโยชน์ภาษีค้ำ

           หุ้นวิชั่น - ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ 5,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยต้นทุนดำเนินงานและค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลง ด้านโบรก งบไตรมาส1/2568 ออกมาตามคาด คงคำแนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 2.2 บาทต่อหุ้น รับอานิสงส์ผลประโยชน์ทางภาษีกว่า 9.4 พันล้านบาท และ Dividend Yield สูงถึง 7% เตรียมขึ้น XD วันที่ 25 เม.ย. นี้            ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB) รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ทีทีบีมีกำไรสุทธิจำนวน 5,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อนหน้า หรือคิดเป็น ROE ที่ร้อยละ 8.6 โดยกลยุทธ์หลักของ ธนาคารที่หนุนผลการดำเนินการด้านการเงิน ได้แก่ การรักษาคุณภาพของพอร์ตสินทรัพย์ โดยยังคงมุ่งเน้นการเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวังและการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ซึ่งรวมถึงการให้ความช่วยเหลือ ลูกค้าเพื่อสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดีผ่านโครงการคุณสู้เราช่วยและโครงการรวบหนี้ การดำเนินการตามแผนการปรับปรุงองค์กร (Transformation) เพื่อเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้รูปแบบใหม่ ปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนการดำเนินงาน และ เปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่การเป็น Humanized Digital Banking การเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ผ่านการบริหารจัดการพอร์ตสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ และการดำเนินการตามแผนบริหารส่วนทุน            ภายใต้ภาวะที่ยังคงมีความท้าทายในการเติบโตสินเชื่อ ธนาคารจะยังคงมุ่งเน้นการดำเนินการตามแผนบริหารจัดการส่วนทุน ทั้งนี้ ด้วยฐานะเงินกองทุนที่มีความแข็งแกร่งและ สภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง ธนาคารยังคงยึดเป้าหมายในการส่งมอบผลตอบแทนกลับคืนสู่ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการมุ่งสู่เป้าหมาย ROE ระยะกลางที่ร้อยละ 10 จุดเด่นผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2568            เน้นย้ำการเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ : เพื่อรักษาคุณภาพสินทรัพย์ธนาคารยังคงเน้นย้ำการเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวังไปยัง กลุ่มเป้าหมายอย่างสินเชื่อรายย่อย ขณะเดียวกันก็ยังคงใช้การหมุนเวียนสภาพคล่องจากการสินเชื่อที่ให้อัตราผลตอบแทนต่ำไปใช้เติบโตสินเชื่อรายย่อยกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเมื่อ เทียบกับความเสี่ยงที่ดีกว่า ส่งผลให้สินเชื่อกลุ่มดังกล่าวยังคงเติบโตต่อเนื่อง เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 YTD สินเชื่อเล่มแลกเงิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 YTD ด้านสินเชื่อ เพื่อการอุปโภคบริโภค (Consumer Loan) ชะลอลงเมื่อเทียบกับ high season ในไตรมาส 4 ขณะที่สินเชื่อรถแลกเงินชะลอลงตามการลดลงของยอดปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ            บริหารจัดการปริมาณเงินฝากและสินเชื่อให้สอดคล้องกัน เพื่อบริหารต้นทุนทางการเงินและรักษาอัตรากำไร : เพื่อรับมือกับทิศทางดอกเบี้ยขาลง ธนาคารบริหารจัดการ ปริมาณเงินฝากและสินเชื่อให้สอดคล้องกัน ควบคู่กับการปรับ duration ของเงินฝาก โดยลดสัดส่วนเงินฝากประจำระยะยาวและเพิ่มสัดส่วนเงินฝากประจำที่ระยะสั้นลง เพื่อให้ โครงสร้างเงินฝากมีความยืดหยุ่น ทั้งนี้ เงินฝากประจำลดลงร้อยละ 2 YTD ตามการลดลงของเงินฝากประจำระยะยาว ด้านเงินฝาก No-Fixed ลดลงร้อยละ 3 และ ME ลดลง ร้อยละ 2 ในส่วนของเงินฝากต้นทุนต่ำ กลุ่มเงินฝาก CASA ลดลงร้อยละ 2 YTD จากการลดลงของเงินฝากกระแสรายวันลูกค้าธุรกิจ ขณะที่เงินฝากออมทรัพย์ค่อนข้างทรงตัว โดย all free ซึ่งเป็น flagship product ยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 4 YTD กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 QoQ หนุนโดยการควบคุมต้นทุนทางการเงินที่ดีการบริหารต้นทุนในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดต้นทุนด้านความเสี่ยง ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ในไตรมาส 1/2568 ยังคงระดับได้ที่ร้อยละ 19 เทียบกับกรอบเป้าหมายที่ร้อยละ 3.10-3.25 ทั้งนี้ การบริหารต้นทุนทางการเงิน และการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดผลกระทบของการลดลงของส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยจากดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลงเร็วกว่าที่คาด ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ลดลงร้อยละ 7 QoQ ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้(C/I) ปรับตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 43 ในไตรมาส 1/2568 จากร้อยละ 44 ในไตรมาส 4/2567 สะท้อนให้เห็นผลของการปรับโมเดลธุรกิจสู่ Digital-first การมีวินัยด้านค่าใช่จ่าย และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน            คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ควบคุม ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ลดลงร้อยละ 2 QoQ มาอยู่ที่ 4,580 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ 152 bps โดยปัจจัยหลักมาจากอัตราการเกิดของหนี้เสียและผลขาดทุนจากรถยึดที่ลดลงและส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการช่วยลูกค้าผ่านโครงการ คุณสู้เราช่วย ในขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 75 จากยอดการตัดหนี้สูญที่ลดลงตามแผนการบริหารจัดการหนี้เสีย แต่ยังคงอยู่ ในกรอบเป้าหมายที่ให้ไว้ที่ต่ำกว่าร้อยละ 2.9            ทั้งนี้ ธนาคารยังคงเข้มงวดในการบริหารจัดการความเสี่ยงและเสริมความแข็งแกร่งให้กับกันชนป้องกันความเสี่ยงผ่านการ ตั้ง Management Overlay ส่งผลให้อัตราส่วนเงินสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 150            หลังหักค่าใช้จ่ายสำรองฯ และผลประโยชน์ทางภาษี ทีทีบีมีกำไรสุทธิ 5,096 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 QoQ แต่ลดลงร้อยละ 5.2 จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ร้อยละ 8.6 ค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาส 4/2567            ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 ธนาคารมีผลประโยชน์ทางภาษีคงเหลือเป็นจำนวน 9.4 พันล้านบาท ซึ่งสามารถรับรู้ได้ถึงปี 2571 ทั้งนี้ การใช้ผลประโยชน์ทางภาษีจะทยอยรับรู้ตาม การประมาณการรายได้ในอนาคต ไม่ได้ใช้วิธีรับรู้เท่ากันทุกปี (Straight-line basis)            ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเตราะห์ ถึง ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB) โดยกำไรสุทธิ ไตรมาส1/2568 ที่ 5.10 พันล้านบาท ลดลง -5% y-y เพิ่มขึ้น +2% q-qTTB รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 5.10 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับฝ่ายวิจัยและตลาดคาด โดยกำไรลดลง -5% y-y เพราะรายได้ดอกเบี้ย (NII) ลดลง -8% y-y จากสินเชื่อหดตัว -2.4% q-q ซึ่งคิดเป็น -2.4% YTD จากการลดลงของสินเชื่อรายใหญ่ SME และรายย่อย นอกจากนี้ NIM ที่ 3.13% ลดลงจาก ไตรมาส1/2568 ที่ 3.24% จากการลดลงของ yield on loan            ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +2% q-q จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ลดลง -7% q-q จากปัจจัยฤดูกาล และค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง -2% q-q จากอัตราการเกิดหนี้เสียและผลขาดทุนจากรถยึดที่ลดลง รวมถึงผลบวกจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย”            ด้าน NPL Ratio อยู่ที่ 2.75% เพิ่มจาก 2.59% ใน 4Q24กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 24% ของกำไรสุทธิทั้งปี 2025F คาดที่ 2.13 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +1% y-y            เบื้องต้นประมาณการมี downside จาก GDP คาดที่ 2.4-2.7% และดอกเบี้ยนโยบายคาดที่ 2.0% มีโอกาสต่ำกว่าคาด            คาดกำไรสุทธิ ไตรมาส2/2568 ลดลง y-y ทรงตัว q-q แม้สินเชื่อรวมและ NIM มีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามมองว่าจะถูกชดเชยกับการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง            คำแนะนำคงคำแนะนำ BUY และคง ราคาเป้าหมาย ที่ 2.2 บาท เพราะมีผลประโยชน์ทางภาษีเหลือจำนวน 9.4 พันล้านบาท ณ ไตรมาส 1/2568 (สามารถใช้ได้ถึงปี 2028) และการตั้งสำรองน้อยลง คาดช่วยหนุนกำไรสุทธิในช่วง 2568ปันผลต่อปีสูง Dividend yield คาดที่ 7% โดย ครึ่งปีหลัง 2568 ประกาศจ่ายปันผลระหว่าง 0.065 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend yield ที่ 3.3% ขึ้น XD วันที่ 25/04/25

SET วิ่งแรงท้ายสัปดาห์ ปิด 1,150.95 จุด บวก 9.67 จุด

SET วิ่งแรงท้ายสัปดาห์ ปิด 1,150.95 จุด บวก 9.67 จุด

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (18 เม.ย. 68) ปิดที่ระดับ 1,150.95 จุด เพิ่มขึ้น 9.67 จุด หรือคิดเป็น 0.85 % แผนเจรจาการค้าสหรัฐฯหนุน แถมหุ้น DELTA ดีดแรง 4.55% คาด SET สัปดาห์หน้าแกว่งตัวในกรอบ ไร้ปัจจัยใหม่หนุน           นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ปิดที่ระดับ 1,150.95 จุด เพิ่มขึ้น 9.67 จุด หรือคิดเป็น 0.85 % จากแรงซื้อหนุนจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น และราคาหุ้นของบริษัท เดลต้า อิเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่ปรับตัวขึ้น โดยราคาปิดอยู่ที่ 69 บาท +3.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น +4.55% ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดโดยรวม ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการในวันนี้ เนื่องในวัน Good Friday           สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า (21-25 เม.ย. 68) คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบทรงตัว เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนตลาด โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่แนวรับ 1,100 จุด และแนวต้าน 1,180 จุด           กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้นักลงทุนเน้นถือหุ้นในกลุ่มค้าปลีกภายในประเทศ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจโลก           ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า และผลประกอบการของกลุ่มธนาคารที่กำลังจะประกาศออกมา ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในระยะต่อไป รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

TEGH แปรสภาพ “TEBP” เดินหน้าเข้าตลาด mai ปลายปีนี้

TEGH แปรสภาพ “TEBP” เดินหน้าเข้าตลาด mai ปลายปีนี้

          บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ประกาศแปรสภาพบริษัทย่อย คือ บริษัท “ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์” หรือ “TEBP” เป็นบริษัท “มหาชน” เรียบร้อยแล้ว เตรียมความพร้อมเข้าตลาด mai เสริมทัพสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และผลักดันการเติบโตในอนาคต           นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ และน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออก และผู้นำด้านการผลิตพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์แบบครบวงจรรายใหญ่ในพื้นที่ EEC เปิดเผยว่า บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (TEBP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TEGH ได้จดทะเบียนแปรสภาพจากบริษัทจำกัด เป็นบริษัท “มหาชน” กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 โดยมีชื่อว่า “บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน)” และชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “THAI EASTERN BIO POWER PUBLIC COMPANY LIMITED” หรือ “TEBP”           ทั้งนี้ การแปรสภาพบริษัทดังกล่าวเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปลายปีนี้ ภายใต้วิสัยทัศน์ “Leading Green Energy Revolution: Pioneering the Net Zero Solution”           โดย บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งบริษัทฯ จะเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) เท่ากับหุ้นละ 1 บาท โดยจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น และ TEGH จะขายหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 15 ล้านหุ้น รวมจำนวนหุ้นที่จะ IPO ทั้งหมดไม่เกิน 90 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30.00% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) โดยภายหลังการ IPO TEGH ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) และจะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ TEGH ภายหลังการ IPO           ปัจจุบัน บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตพลังงานทดแทนประเภทพลังงานชีวภาพแบบครบวงจร และรับบริหารจัดการกากของเสียอินทรีย์รายใหญ่ในพื้นที่ EEC โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าและบริการประกอบด้วย 3 ธุรกิจ คือ ธุรกิจรับบริหารจัดการกากอินทรีย์, ธุรกิจผลิตและจำหน่ายก๊าซชีวภาพ และธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ

BA ดิ่ง 6.59% กังวลราคาน้ำมันฟื้น-ผู้โดยสารชะลอ กดกำไรปีนี้

BA ดิ่ง 6.59% กังวลราคาน้ำมันฟื้น-ผู้โดยสารชะลอ กดกำไรปีนี้

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ธนชาต ระบุ ราคาหุ้นบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ปรับตัวลดลงกว่า 7% คาดว่ามาจากความกังวลราคาน้ำมันที่ฟื้นตัว และกำไรที่ลดลงในปีนี้ โดยคาดว่ากำไรปีนี้จะลดลง 5% y-y จากการเติบโตของผู้โดยสารที่ชะลอตัวลง และต้นทุนการบำรุงรักษาที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดียังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BA พื้นฐาน 23 บาท จาก 3 เหตุผล คือ 1. มูลค่า “น่าสนใจ” โดยธุรกิจสายการบินและสนามบินซื้อขายที่ PE เพียง 4 เท่า ในปีนี้ เทียบกับคู่แข่งเทรดที่ PE 10-12 เท่า 2. ชอบกลยุทธ์ที่เน้นไปที่เส้นทางบินผูกขาดสมุย และมีการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจสนามบินซึ่งความเสี่ยงต่ำกว่าและกำไรสูงกว่า 3. งบการเงินแข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่เพียง 0.4-0.6 เท่าในปี 2025-27F

CH แก้เกมภาษีทรัมป์ เร่งส่งออกล็อตใหญ่  80%

CH แก้เกมภาษีทรัมป์ เร่งส่งออกล็อตใหญ่ 80%

           CH รับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เร่งส่งออกสินค้าล็อตใหญ่ 80% พร้อมวางหมากระยะยาว เจรจาคู่ค้าเดิม ขยายตลาดใหม่ยุโรป-เอเชีย-ตะวันออกกลาง ตามความต้องการบริโภคผลไม้แปรรูปคุณภาพสูง เล็งลงทุนต่างประเทศลดภาษี สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งในเวทีโลก สร้างโอกาสเติบโต มั่นใจสินค้ามีคุณภาพ มีมาตรฐาน พร้อมรับทุกสถานการณ์            นายศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH ผู้ผลิตและจำหน่ายผลไม้และอาหารแปรรูป ได้แก่ ผลไม้อบแห้ง ปลากระป๋อง และขนมเพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า จากมาตรการนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยของสหรัฐอเมริกาภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายฝ่าย รวมถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัทบางส่วน ที่มีการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ในช่วงระยะขยายเวลาระงับการเก็บภาษีต่างตอบแทนเป็นเวลา 90 วัน บริษัทได้เร่งดำเนินการส่งออกสินค้าที่มีออเดอร์ล่วงหน้าอยู่แล้วราว 80% ไปยังคู่ค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อลดผลกระทบด้านภาษีที่อาจเกิดขึ้น โดยสินค้าของบริษัทยังคงสามารถส่งออกได้ตามปกติ            อย่างไรก็ตาม เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต CH มีแนวทางดังนี้ คือ 1.ดำเนินการเจรจาเชิงลึกกับคู่ค้าเดิมในสหรัฐอเมริกา เพื่อหาทางออกร่วมกัน 2.มุ่งกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในโซนยุโรปซึ่งยังมีความต้องการบริโภคผลไม้แปรรูปคุณภาพสูงจากเอเชียอย่างต่อเนื่อง และมีแผนขยายกลุ่มลูกค้าไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง โดยตั้งงบการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ในปี 2568 3.แผนระยะยาว คือ การลงทุนในประเทศที่เสียภาษีน้อยกว่า รวมถึงมีวัตถุดิบใกล้เคียงกับประเทศไทย 4.ลงทุนในวัตถุดิบระยะยาว เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ถูกลง และ 5.รักษาสภาพคล่องกระแสเงินสด เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท รวมถึงเป็นเงินทุนสำรอง            “ท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้น ถือเป็นความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่เราเชื่อมั่นว่า CH เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานและศักยภาพสูง สามารถแข่งขันในตลาดสากลได้ พร้อมเดินหน้าปรับตัวในทุกสถานการณ์ เพื่อรักษาเสถียรภาพของบริษัท และสร้างโอกาสใหม่อยู่เสมอ ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้า และสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งขึ้นในเวทีโลก โดยปัจจุบันได้ขยายไปแล้วในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, อิตาลี, นอร์เวย์, ญี่ปุ่น, จีน, เลบานอน, อินเดีย และซาอุดิอาระเบีย มั่นใจว่าการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ จะสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ” นายศักดา กล่าว [PR news]

ICHI จับตา Q2 น่าสนใจ ไฮซีซั่นหนุนโต - เป้า 15.6 บ.

ICHI จับตา Q2 น่าสนใจ ไฮซีซั่นหนุนโต - เป้า 15.6 บ.

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง บริษัท บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI ว่าคาดการณ์กำไร 1Q25 ไม่เด่น และคาดกำไรจะกลับมาสวยใน 2Q25 หลังจากถูกกดดันช่วงฤดูหนาวที่ยาวนาน           เราคาดกำไรปกติใน 1Q25 ที่ 239 ลบ. (+15.7% QoQ, -34.4% YoY) โดยสรุปสาระสำคัญดังนี้ คาดรายได้ที่ 1,755 ลบ. (-12.6% QoQ, -18.0% YoY) เนื่องจากฤดูหนาวที่ยาวนานจากการได้รับผลกระทบจากลานีญากดดันอุปสงค์สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ GPM คาดอยู่ที่ 23.5% ลดลงทั้ง QoQ และ YoY จาก U-rate ที่ลดลงตามทิศทางยอดขาย รวมถึงการเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ของเครื่องจักรใหม่ในเดือนมี.ค. 2025 ที่ในช่วงแรกอาจยังไม่สามารถผลิตได้เต็มประสิทธิภาพ SG&A/Sales คาดอยู่ที่ 7.0% ลดลง QoQ เนื่องจากไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานที่สูงเหมือนใน 4Q24 แต่สูงขึ้น YoY เนื่องจากบริษัทมีการใช้ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่รายได้ลดลง ส่วนแบ่งกำไรจากอินโดนีเซียคาดที่ 2 ลบ. พลิกจากขาดทุน 4 ลบ. ใน 4Q24 เนื่องจากไม่มีการตั้งสำรองสินค้าล้าสมัย แต่ยังลดลงจาก 12 ลบ. ใน 1Q24 เนื่องจากเศรษฐกิจในอินโดนีเซียที่ชะลอตัวลง ประกอบกับการเกิดอุทกภัยในบางพื้นที่ คาดกำไรจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้งใน 2Q25           เบื้องต้นเราคาดกำไรจะกลับมาเติบโตทั้ง QoQ และ YoY ได้อีกครั้งใน 2Q25 หนุนจากการเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน และเทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับการเร่งทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น การรับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มไตรมาสที่จะทำให้บริษัทสามารถกลับมาผลิตสินค้าให้ IF ได้อีกครั้ง และการรับรู้รายได้จากลูกค้าใหม่อย่าง TKN นอกจากนี้บริษัทยังใช้กำลังการผลิตที่เหลือสำหรับการออกสินค้าใหม่มากขึ้นราว 7 SKUs GPM ใน 2Q25 คาดกลับมาฟื้นตัว QoQ จาก U-rate ที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากอินโดนีเซียคาดเห็นการฟื้นตัวต่อ QoQ จากฐานต่ำใน 1Q25 ที่เกิดเหตุอุทกภัย โดยปัจจุบันเริ่มมีลูกค้ากลับมาสั่งซื้อสินค้ามากขึ้นแล้ว ขณะที่การขายที่ดินที่ จ.อยุธยา มูลค่าราว 100-120 ลบ. คาดจะเสร็จสิ้นภายใน 2Q25 ทำให้บริษัทมีโอกาสจ่ายเงินปันผลพิเศษในอนาคต เป็น Upside ต่อการคาดการณ์เงินปันผลของเรา คงราคาเหมาะสมที่ 15.60 บาท และเลือกเป็น Top pick ของกลุ่มใน 2Q25           หากกำไรใน 1Q25 ออกมาตามคาด จะคิดเป็น 16.9% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเรา แม้กำไรใน 1Q25 จะอ่อนแอกว่าปีอื่นๆ แต่เนื่องจากแนวโน้มกำไรที่คาดจะกลับมาเติบโต YoY ได้อีกครั้งตั้งแต่ใน 2Q25 จากการขยายกำลังการผลิต ทำให้กำไรทั้งปียังอยู่ในกรอบประมาณการ เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2025 ไว้ที่ 1,409 ลบ. (+10.6% YoY) และคงราคาเหมาะสมที่ 15.60 บาท           เราประเมินว่า ICHI เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีความเสี่ยงทั้งจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และภาษีความหวานเฟส 4 จำกัด (ปรับสูตรแล้วใน 1Q25) แต่ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลงตามภาวะตลาดสะท้อนงบ 1Q25 ที่อ่อนแอไปแล้ว โดยซื้อขายบน PER25 เพียง 11.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 20.3 เท่า นอกจากนี้ยังสามารถคาดหวังเงินปันผลงวด 1H25 ได้ที่ระดับ 4-5% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” และเลือก ICHI เป็น Top pick ของกลุ่มเครื่องดื่มใน 2Q25

BBL บิ๊กเซอร์ไพรส์! กำไร 1.26 หมื่นล้าน

BBL บิ๊กเซอร์ไพรส์! กำไร 1.26 หมื่นล้าน

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง BBL ว่า กำไรดีกว่าคาด หลังบันทึกกำไรจากเงินลงทุนในตราสารหนี้ Earnings Results ► BBL รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 จำนวน 12,618 ล้านบาท เติบโตเด่น 19.9% YoY และ 21.3% QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ 12.6% และ 11% ตามลำดับ ► ปัจจัยที่ทำให้กำไรสุทธิดีกว่าคาดมาจาก รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ที่เติบโต 27.4% QoQ (ดีกว่าที่เราคาดไว้ 42.4%) หลังมีกำไรจากเงินลงทุนที่บริษัทได้ขายทำกำไรจำนวนกว่า 2,897 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากจากเพียง 133 ล้านบาทใน 4Q24 บวกกับ รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ ที่เติบโต 8.3% QoQ โดยเฉพาะธุรกิจนายหน้าประกันที่ขยายตัวได้ดี จากอานิสงส์ของการเร่งซื้อประกันก่อนเริ่มบังคับใช้เงื่อนไข Co-payment ► Cost to Income Ratio ลดลงเหลือ 45.5% จาก 53.0% ใน 4Q24 เนื่องจากมีการโอนกลับค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่ได้มีการเบิกใช้จริง ► ทั้งนี้ ผลบวกดังกล่าวบางส่วนถูกหักล้างด้วย รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง 6.1% QoQ หลัง NIM ลดลงเหลือ 2.8% จาก 3.1% ใน 4Q24 สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารตามดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังปรับลงได้ไม่ทันกับรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง ► NPL ปรับขึ้นเป็น 3.6% จาก 3.2% ใน 4Q24 ทำให้การตั้งสำรองสูงขึ้น 18.8% QoQ แต่ส่วนใหญ่เป็น Relapsed NPL จากลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ที่มีการชำระเงินล่าช้าในบางช่วง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ BBL ตั้งสำรองไว้มากแล้วและไม่ได้โอนกลับสำรองออกมาเวลาที่ลูกหนี้ดังกล่าวกลับมาชำระเงิน ทำให้การตั้งสำรองใน 1Q25 ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักเมื่อเทียบกับ NPL ที่สูงขึ้น Our Take ► กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 27.4% ของประมาณการทั้งปี โดยเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิใน 2Q25 จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากกำไรจากเงินลงทุนที่ต่ำลงจากฐานสูงใน 1Q25 รวมถึง NIM ที่คาดว่าจะลดลงต่อ จากการรับรู้ผลกระทบของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเต็มไตรมาส บวกกับการรับรู้ต้นทุนดอกเบี้ยจาก Subordinated Note (ตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2) จำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์ฯ ► ทั้งปี 2025 คาดว่า BBL จะมีกำไรสุทธิ 45,987 ล้านบาท เติบโต 1.7% YoY ► แม้แนวโน้มกำไรใน 2Q25 จะชะลอตัวลง แต่ BBL ยังถือเป็น หุ้น Laggard เมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคาร โดยมีการซื้อขายที่ PBV ปี 2025 เพียง 0.5x ขณะที่ธนาคารใหญ่รายอื่นซื้อขายที่ PBV ระดับ 0.6-0.8x อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside ราว 29.7% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2025 ที่ 190 บาท และคาดว่าจะให้ Dividend Yield ที่ 5.8% ► ในระยะสั้น คาดว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกจากกำไรสุทธิที่ดีกว่าที่คาด เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

TISCO กำไรไม่ว้าว! แต่ปันผลแรง 5.75 บ.

TISCO กำไรไม่ว้าว! แต่ปันผลแรง 5.75 บ.

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง TISCO ว่า กำไรใกล้เคียงคาด…รายได้ลดลง พร้อมกับสำรองที่สูงขึ้น Earnings Results ► TISCO รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 จำนวน 1,643 ล้านบาท ลดลง 5.2% YoY และ 3.4% QoQ ใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาด ► ปัจจัยกดดันหลักๆ มาจาก           รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง 2.1% QoQ หลัง NIM ลดลงเหลือ 4.8% จาก 4.9% ใน 4Q24 เนื่องจากบริษัทปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำลง อีกทั้งมีผลจากการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ขณะที่สินเชื่อรวมลดลง 0.4% QoQ ตามนโยบายเพิ่มความระมัดระวังในการขยายสินเชื่อ           รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ลดลง 3.3% QoQ จากฐานสูงใน 4Q24 ที่มีการบันทึก Performance Fee ของธุรกิจบริหารจัดการกองทุนรวมเข้ามา และรายได้ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อที่ลดลงตามขนาดของสินเชื่อรวม แต่บางส่วนถูกชดเชยด้วยกำไรจากเงินลงทุนและรายได้เงินปันผลรับที่สูงขึ้น           การตั้งสำรองสูงขึ้น 14.4% QoQ คิดเป็น Credit Cost ที่ 0.7% เพิ่มขึ้นจาก 0.6% ใน 4Q24 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มตามนโยบายของบริษัทที่ต้องการเพิ่ม Coverage Ratio เพื่อรองรับความเสี่ยงของพอร์ตที่สูงขึ้น ตามการรุกขยายธุรกิจ High Yield อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยลูกหนี้ Stage 2 และ Stage 3 (NPL) ทรงตัวที่ 7.9% และ 2.4% ใกล้เคียงกับ 4Q24 Our Take ► กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 23.7% ของประมาณการทั้งปี เบื้องต้นเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q25 จะลดลงต่อทั้ง YoY และ QoQ จากผลของ NIM ที่ต่ำลง แต่คาดว่าจะไม่ลดลงมากเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ เพราะมีสัดส่วนสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยคงที่สูงราว 61.5% ► ปัจจัยกดดันหลักจะยังเป็นแนวโน้ม Credit Cost ที่ทยอยปรับขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อกลุ่ม High Yield ยังไม่สามารถเพิ่มขึ้นจนชดเชยปัจจัยกดดันต่างๆ ได้ ทำให้เราคาดว่า TISCO จะมีกำไรสุทธิปี 2025 จำนวน 6,934 ล้านบาท ทรงตัว YoY แต่มีแนวโน้มจะปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลง หากการเติบโตของสินเชื่อในกลุ่ม High Yield ยังไม่เร่งตัวขึ้นใน 2Q25 ► เรามีมุมมองเป็นกลางต่อผลดำเนินงานของ TISCO เพราะถือว่าไม่มีประเด็นที่ต่างไปจากความคาดหวังของตลาด แต่ด้วยแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q25 ที่คาดว่าจะลดลงต่อทั้ง YoY และ QoQ ทำให้ไม่เหมาะสำหรับการซื้อเพื่อสะสมในช่วงสั้น จึงคงคำแนะนำเชิงพื้นฐานเพียง “TRADING” ► ทั้งนี้ TISCO จะ XD วันที่ 28 เม.ย. (ปันผลหุ้นละ 5.75 บาท) ในเชิงกลยุทธ์จึงอาจพิจารณาขายทำกำไรก่อน แล้วรอสะสมใหม่หากราคาปรับลงหลัง XD เพราะมองว่าระยะกลาง-ยาว TISCO ยังมีความน่าสนใจจากการเป็นหุ้นปันผลสูง โดยคาด Dividend Yield ปี 2025 ของ TISCO ที่ 7.4%

BBL ลงนำกลุ่มแบงก์ รับ NPL ขึ้น-ตั้งสำรองฯ สูง

BBL ลงนำกลุ่มแบงก์ รับ NPL ขึ้น-ตั้งสำรองฯ สูง

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้นของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ปรับตัวลงนำกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังรายงานงบไตรมาส 1/2568 ออกมาพบ NPL ขยับขึ้น-ตั้งสำรองฯ สูง           นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของ BBL ที่ปรับตัวลงมา คาดมาจาตัวเลข NPL ในไตรมาส 1/2568 ปรับตัวขึ้นมาที่ 3.6% จากไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 3.2% ประกอบกับยังคงตั้งสำรองฯ ไว้ในระดับสูงอยู่ และแม้ BBL จะมีกำไรสุทธิเติบโตดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ แต่ส่วนใหญ่มาจากเงินลงทุน ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน ขณะเดียวกันส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ต่ำกว่าคาดด้วย ทั้งนี้ด้วยปัจจัยดังกล่าว ทำให้กระทบต่อภาพรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ตัวอื่นๆ อีกทั้งมอง BBL ไม่น่าสนใจ เทียบกับตัวอื่นๆ ที่ให้ปันผลดีกว่า

GLOBAL สาขาใหม่หนุนยอดขาย  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 8.50 บ.

GLOBAL สาขาใหม่หนุนยอดขาย โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 8.50 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ระบุ GLOBAL รับรู้ปัจจัยลบของไตรมาสที่อ่อนแอแล้ว ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ (จาก ถือ) และคงราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท รวมถึงประมาณการทั้งหมด ราคาหุ้นของ GLOBAL ปรับตัวลง 48% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน จากประมาณการยอดขายสาขาเดิม (SSS) ที่คาดว่าจะลดลง 7% ใน 1Q25F เราคาดการณ์กำไรหลักใน 1Q25F จะลดลง 14% yoy เป็น 627 ล้านบาท จาก SSS ที่ลดลงอย่างมากเนื่องจากแนวโน้มการบริโภคที่อ่อนแอในประเทศไทย           เราเชื่อว่าปัจจัยลบดังกล่าวได้รับการรับรู้ไปในราคาหุ้นแล้ว ปัจจุบัน GLOBAL ซื้อขายที่ P/E ปี 2025F ที่ 14.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว -1.5SD โดยบริษัทจะประกาศผลประกอบการ 1Q25F ในวันที่ 28 เมษายน 2568 คาดการณ์กำไรหลัก 1Q25F ที่ 627 ล้านบาท ลดลง 14% yoy           เราประมาณการกำไรหลักจะอยู่ที่ 627 ล้านบาท ลดลง 14% yoy แต่เพิ่มขึ้น 26% qoq (จากปัจจัยด้านฤดูกาลในไตรมาส 1) SSS ลดลง 7% จากแนวโน้มการบริโภคที่อ่อนแอในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าวัสดุก่อสร้างสำหรับบ้านใหม่           ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา GLOBAL ได้เปิดสาขาใหม่ 8 แห่ง (สิ้นสุด 1Q25: 91 แห่ง) และด้วยจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้ยอดขายรวมลดลงเพียง 3% yoy (เป็น 8.5 พันล้านบาท) ซึ่งน้อยกว่าการลดลงของ SSS           อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น 0.1 จุด (เป็น 25.1%) เนื่องจากการเติบโตของรายได้จากสินค้าเฮาส์แบรนด์ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น 2 จุด yoy (เป็น 26%) ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 1.8 จุด yoy (เป็น 18.5%) จากการเปิดสาขาใหม่ 8 แห่งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา กำไร 2Q25F มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย qoq           เราเชื่อว่า SSS ของ GLOBAL อาจเห็นการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยใน 2Q25 หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 แต่ยังคงอยู่ในแดนลบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ           อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการขยายสาขา (เพิ่มขึ้น 7 สาขาในปีนี้เป็น 97 สาขา) ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายและลดผลกระทบเชิงลบจากการลดลงของ SSS ความเสี่ยงสำคัญคือ การฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศไทยที่ช้ากว่าคาด           เราประเมินราคาเป้าหมายที่ P/E ปี 2025F ที่ 18.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว -1SD ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 2025F ที่ 14.5 เท่า เราชอบ GLOBAL จากความเป็นผู้นำในตลาดสินค้าตกแต่งบ้านในต่างจังหวัดซึ่งยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก และเชื่อว่า P/E ปี 2025F ที่ -1.5SD ได้สะท้อนปัจจัยลบไปในราคาหุ้นแล้ว

TASCO ฟื้นตัวแรง 298% แนะ

TASCO ฟื้นตัวแรง 298% แนะ "ซื้อ" - เป้า 18 บ.

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ว่า คาดการณ์กำไรปกติ 1Q25 ที่ 428 ล้านบาท ลดลง 16% QoQ แต่ฟื้นตัว 298% YoY ต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า ว่าจะสามารถเติบโตได้ทั้ง QoQ และ YoY หลังถูกกดดันจากปริมาณขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยกำไรปกติที่ลดลง QoQ เพราะถูกกดดันจาก 1) ปริมาณขายยางมะตอยที่คาดลดลงมา ที่ระดับ 2.9 แสนตัน (-9% QoQ, +32% YoY) แม้เริ่มเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจยางมะตอยในประเทศ หลังถูกกดดันจากปริมาณขายในต่างประเทศที่ลดลงตามการเข้าสู่ช่วงวันหยุดตรุษจีนและช่วงรอมฎอน และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นรวมที่คาดลดลงเป็น 11.5% จาก 11.8% ในช่วง 4Q24 ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้จากฐานที่ต่ำ หลังการเบิกจ่ายงบประมาณทำได้ต่อเนื่อง (ในช่วง 1Q24 การอนุมัติงบประมาณฯ ที่ล่าช้าทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณทำได้ไม่เต็มที่และกดดันปริมาณขายยางมะตอย) และอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวจากระดับ 6.0% ใน 1Q24 (ผลจากสัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศที่ฟื้นตัว)           ทั้งนี้ปรับประมาณการปี 2025-26 ลง หลังอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวช้ากว่าคาด หากกำไรปกติ 1Q25 ออกมาใกล้เคียงคาดจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 21% ของประมาณการทั้งปี เราจึงปรับประมาณการปี 2025-26 ลง 14% และ 8% เป็น 1,726 ล้านบาท (+5% YoY) และ 1,844 ล้านบาท (+7% YoY) ตามลำดับ เพื่อสะท้อนผลประกอบการที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า หลังอัตรากำไรขั้นต้นยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับ 11.0-13.0% ต่อเนื่อง ตามต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการที่บริษัทฯ ยังคงมีสัดส่วนการขายยางมะตอยแบบ Trading (ซื้อมาขายไป) ที่ราว 70-80% ของยอดขายรวม (มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าการขายยางมะตอยจากโรงกลั่น)           แนวโน้ม 2Q25 กลับมาฟื้นตัว QoQ และ YoY ได้อีกครั้ง เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q25 ที่ระดับ 500-600 ล้านบาท กลับมาเติบโตได้ทั้ง QoQ และ YoY หลังได้แรงหนุนจาก 1) ปริมาณขายยางมะตอยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาที่ระดับ 3.2 แสนตัน แม้เข้าสู่ช่วงวันหยุดสงกรานต์ เพราะปริมาณขายยางมะตอยในต่างประเทศที่ฟื้นตัวหลังผ่านช่วงวันหยุดตรุษจีนและช่วงรอมฎอนจะสามารถชดเชยผลกระทบได้ 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับ 11.5-12.0% ต่อเนื่อง และ 3) การเบิกจ่ายงบประมาณฯ ที่ทำได้ต่อเนื่องตลอดทั้งไตรมาส เทียบกับปีก่อนที่การเบิกจ่ายงบประมาณฯ อย่างต่อเนื่องเริ่มเกิดขึ้นในช่วงกลาง 2Q24 ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 18.00 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”           ผลจากการปรับประมาณการลงและการปรับ PBV ที่ใช้ประเมินมูลค่าลงเป็น 1.7 เท่า (จากเดิมที่ 2.0 เท่า) เพื่อสะท้อนสภาวะตลาดที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ลดลงเป็น 18.00 บาท/หุ้น มี Upside 25.0% ราคาปัจจุบันให้ Dividend Yield ที่ระดับ 6.3% (อิงสมมติฐานเงินปันผลที่ระดับ 0.90 บาท/หุ้น/ปี) คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตามในช่วงสั้นหุ้นมีโอกาสถูกกดดันจากแนวโน้มกำไร 1Q25 ที่ไม่เด่นและการปรับลดประมาณการของตลาด (IAA Consensus คาดกำไรปกติปี 2025 ที่ 2,054 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการของเราราว 19%) เชิงกลยุทธ์ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยอาจพิจารณาเข้าลงทุนหลังประกาศงบ 1Q25 ในวันที่ 13 พ.ค.

CENTEL ยอดจองล่วงหน้าโต โบรกปรับราคาเหมาะสมเป็น 34 บ.

CENTEL ยอดจองล่วงหน้าโต โบรกปรับราคาเหมาะสมเป็น 34 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง CENTEL ว่า แนวโน้มกำไร 1Q25 คาดทำได้เพียงทรงตัว YoY           คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 740 ล้านบาท ทรงตัว YoY จากฐานที่สูง โดยคาดกำไรปกติ 1Q25 อยู่ที่ 740 ล้านบาท (+24% QoQ, -1% YoY)           ธุรกิจโรงแรมคาดรายได้ที่ 3.3 พันล้านบาท (+23% QoQ, +11% YoY) จากการคาด RevPar เฉลี่ยทั้งกลุ่มที่ 4.9 พันบาทต่อคืน (+23% QoQ, +3% YoY) โดยเติบโต YoY ในกลุ่มโรงแรมต่างจังหวัด +11% เช่น ภูเก็ต สมุย กระบี่ ที่ไม่ได้พึ่งนักท่องเที่ยวจีน และโรงแรมญี่ปุ่น +8% YoY           ขณะที่มัลดีฟส์ RevPar -41% YoY จากการแข่งขันที่สูง และเป็นช่วงเริ่มต้นของโรงแรมใหม่           คาด GPM ธุรกิจโรงแรมที่ 45.5% (+520bps QoQ, +120bps YoY) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY จากต้นทุนโรงแรมใหม่ โดยคาดค่าใช้จ่ายก่อนการดำเนินงานและขาดทุนช่วงต้นของสองโรงแรมใหม่ราว 45 ล้านบาทใน 1Q25           สำหรับธุรกิจร้านอาหาร (ไม่รวมธุรกิจ JV) คาดรายได้ที่ 3.2 พันล้านบาท (-3% QoQ, +3% YoY) โดยอิง SSSG ที่ +1% YoY ร้านอาหารส่วนใหญ่ยังเติบโตได้ดีที่ 5-7% YoY ยกเว้น KFC ซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงสุด           คาด GPM ธุรกิจอาหารที่ 44.0% (+280bps QoQ, +230bps YoY)           ในด้านต้นทุน คาด SG&A ที่ 2.0 พันล้านบาท (+2% QoQ, +3% YoY) และคาดต้นทุนทางการเงินที่ 290 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY จากต้นทุนของโรงแรมใหม่ที่มัลดีฟส์ แนวโน้ม 2Q25 ลดลง QoQ แต่เติบโต YoY จากฐานต่ำ           จากข้อมูลของบริษัท พบว่ายอดจองล่วงหน้าช่วง 2Q25 ของกลุ่มโรงแรมในไทยยังเติบโต YoY แต่ไม่เด่นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ +10-15% YoY โดยได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงตั้งแต่เดือนก.พ. และ Sentiment ลบจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งกระทบหลัก ๆ ต่อโรงแรมในกรุงเทพฯ และพัทยา ซึ่งมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนราว 11-15%           ในตลาดต่างประเทศ โรงแรมญี่ปุ่นเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากฤดูกาลท่องเที่ยวและการจัดงาน World Expo (เม.ย.-ต.ค. 2568) ส่วนมัลดีฟส์ยังอ่อนแอทั้ง QoQ และ YoY           ดังนั้น แนวโน้มผลประกอบการ 2Q25 คาดว่ากำไรปกติจะลดลง QoQ แต่เติบโต YoY หนุนจากโรงแรมในญี่ปุ่น และฐานกำไรต่ำจากปีก่อนที่มีการรีโนเวทโรงแรมในพัทยาและภูเก็ต           นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยต่ำกว่าคาด – ปรับประมาณการปี 2025-2026 ลง 4-6%           นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย YTD เติบโตไม่ถึง 1% YoY ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ +10% YoY โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน -27% YoY จาก ความไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัย การท่องเที่ยวภายในประเทศจีนเอง การแย่งชิงนักท่องเที่ยวจีนจากประเทศอื่นในเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่น (+78% YoY และสูงกว่า Pre-COVID-19 ถึง 9%) เราจึงปรับคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยในปี 2025-2026 ลงเหลือ 36 และ 39 ล้านคน จากเดิมที่คาดไว้ 39 และ 40 ล้านคน ในขณะเดียวกัน ธุรกิจร้านอาหารคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ จึงปรับประมาณการรายได้ลงจาก i) ปรับลด Occupancy Rate และ ADR และ ii) ปรับ SSSG ธุรกิจร้านอาหารลงเป็น +2% YoY จากเดิม +3% YoY ขณะเดียวกัน ปรับเพิ่ม SG&A/Sales ขึ้นปีละ 60-90bps สุทธิแล้ว เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2025 ลง 6% เหลือ 1.9 พันล้านบาท (+9% YoY) และปี 2026 ลง 4% เหลือ 2.2 พันล้านบาท (+12% YoY) แนะนำ “ซื้อ” – ปรับราคาเหมาะสมเป็น 34.00 บาทต่อหุ้น           หลังการปรับประมาณการ เราปรับราคาเหมาะสมเป็น 34.00 บาทต่อหุ้น โดยราคาหุ้นปรับตัวลง 21% ในช่วง 1 เดือน ซึ่งคาดว่าสะท้อนปัจจัยลบเรื่องนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต่ำกว่าคาดไว้พอสมควรแล้ว           ปัจจุบันซื้อขายที่ EV/EBITDA เพียง 8 เท่า เทียบเท่า -2SD ของช่วง Pre-COVID-19           เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินว่าช่วงปลาย 2Q25 หุ้นจะกลับมาน่าสนใจมากขึ้น จาก           มาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่กระตุ้นดีมานด์ในช่วง Low Season           การเปิดสนามบินใหม่ในมัลดีฟส์ ซึ่งจะช่วยรองรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น           ความเสี่ยงสำคัญ: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าคาด , เศรษฐกิจโลกถดถอย , การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงในระยะถัดไป

สงครามการค้าลดดีกรี คัด 3 หุ้น ปัจจัยหนุนเด่น

สงครามการค้าลดดีกรี คัด 3 หุ้น ปัจจัยหนุนเด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ทรีนีตี้ คาด SET Index จะปรับตัวขึ้นได้จากแรงหนุนของหุ้นในกลุ่ม Oil & Gas จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นกว่า 3% และแรงเก็งกำไรในกลุ่ม Bank ในช่วงประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส ซึ่งล่าสุด BBL ประกาศกำไรดีกว่าตลาดคาดไว้           รวมถึงปัจจัยสงครามการค้าเริ่มมีสัญญาณที่ลดความตึงเครียดลง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวแสดงความลังเลใจในการเพิ่มภาษีต่อจีนมากขึ้น เนื่องจากเกรงว่าอาจส่งผลให้การค้าระหว่างสองประเทศชะลอตัวลง พร้อมยืนยันว่าทางการจีนได้ติดต่อมาอย่างต่อเนื่องเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน           และท่าทีของทางจีนที่พร้อมเปิดโต๊ะเจรจา หากสหรัฐฯ ปฏิบัติตามเงื่อนไข 4 ข้อ ได้แก่ แสดงความเคารพและลดถ้อยคำเสียดสีจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มีจุดยืนที่แน่วแน่และสม่ำเสมอ ให้ความสำคัญกับข้อกังวลด้านความมั่นคงของจีน โดยเฉพาะประเด็นไต้หวัน แต่งตั้งตัวแทนเจรจาที่มีอำนาจเต็มจากประธานาธิบดี Top Pick Daily (Fundamental): BBL, HMPRO, KCG Stock S R Comment BBL 140.00 148.00 กำไร 1Q68 เติบโต 20%YoY HMPRO 8.70 9.20 คาด Margin เติบโตจากสัดส่วนยอดขายสินค้า Low Margin ลดลง KCG 7.90 8.20 KCG Logistic park ช่วยลดค่าใช้จ่าย

MOSHI ยอดขายสาขาเดิม Q1 โต 7-8% จ่อเปิดสาขาใหม่แตะ 40 แห่ง เป้า 56.10 บ.

MOSHI ยอดขายสาขาเดิม Q1 โต 7-8% จ่อเปิดสาขาใหม่แตะ 40 แห่ง เป้า 56.10 บ.

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย คงมุมมองเชิงบวกต่อ MOSHI จาก SSSG ใน 1Q68 เป็นบวก 7-8% จาก feedback ที่ดีจาก merchandise กลุ่ม cartoon characters ใหม่ๆ ที่พัฒนาจากทีม R&D ของบริษัท และได้ประโยชน์จากการร่วม E-receipt เป็นปีแรก ซึ่งผู้บริหารคงเป้าการเติบโตของยอดขายที่ 15-20%               ขณะที่มอง GPM ที่ไม่รวม impact ของ exhibition ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 54.2% ซึ่งหมายถึงจะเห็นการเพิ่มขึ้นโดยรวม ทั้งนี้บริษัทไม่มีแผนการทำธุรกิจ exhibition เพิ่มเติมจากนี้ ประกอบกับแผนการขยายสาขาในปี 2568 ยังคงแผนที่ 40 สาขา โดยแบ่งเป็น สาขาในศูนย์การค้าราว 30 สาขา และอีก 13 สาขาเป็นสาขารูปแบบ Standalone นอกจากนี้เราคาด Moshi มีโอกาสได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงจากสงครามทางการค้า เนื่องจาก Moshi มีการนำเข้าสินค้าจากจีนราว 60-65% โดยปัจจุบันค่าเงิน CNYTHB อ่อนตัวลงราว 2% ตั้งแต่ต้นปี MOSHI: ราคาพื้นฐาน 56.10 บาท

ADVANC หุ้นปลอดภัย จ่ายปันผล4%-เป้า315บ.

ADVANC หุ้นปลอดภัย จ่ายปันผล4%-เป้า315บ.

               หุ้นวิชั่น - บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึงคำแนะนำหุ้นพื้นฐานแนะนำลงทุน : ADVANC – เป็นหุ้น Defensive…คาดกำไรสุทธิปี 68 ยังเติบโตได้ 5-6% แม้ว่าปี 67 จะเป็นฐานสูง จากรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และ FBB ที่ขยายตัว ARPU คาดว่าดีและมีเสถียรภาพ บริษัทเล็งหารายได้จากธุรกิจอื่นและสร้าง synergy ในกลุ่ม ระยะกลาง-ยาวมีปัจจัยหนุนจากธุรกิจบริการคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ ฐานะการเงินมั่นคง คาด DY ที่ 4% ต่อปีแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 315 บาท

เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร เช็กเลย!

เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร เช็กเลย!

              หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร ได้แก่ SAWAD* (เป้าพื้นฐาน 39 บาท) ประเมินราคาหุ้นเริ่มสร้างฐานลุ้นฟื้นตัว โดย MACD และ RSI เริ่มฟื้นก่อนราคา ประเมินแนวรับ 28.5 บาท / แนวต้าน 29.5 – 30.25 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 32 บาท (Stop loss 26.5 บาท) ประเมิน Sentiment บวกจากทั้งดอกเบี้ยขาลงและราคารถมือสองฟื้นตัวแรง ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะเป็นขาลงต่อเนื่องในปีนี้ (คาดมีโอกาส ธปท. ลดดอกเบี้ยราว 3 - 4 ครั้ง) และล่าสุดราคารถมือสองในประเทศฟื้นตัวแรง ดัชนีราคารถมือสองเดือน ก.พ. พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 66 (คาดผลขาดทุนรถยึดผ่านจุดที่แย่สุดไปแล้ว) Valuation ถูก Forward PE 8.8 เท่า (-2 SD) PBV 1.3 เท่า (ใกล้ -2 SD ที่ 1.2 เท่า) GULF* (เป้าพื้นฐาน 63 บาท) ประเมินราคาหุ้น Sideway up ลุ้นทำจุดสูงใหม่ (กราฟ 60 นาที) ประเมินแนวรับ 46.25 บาท / แนวต้าน 47.5 – 48.25 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 50.5 บาท (Stop loss 45 บาท) ประเมิน Sentiment บวกทั้งจากธุรกิจโรงไฟฟ้าและธุรกิจ New S-curvei) ธุรกิจโรงไฟฟ้าคาดได้ Sentiment บวกจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า / โอกาสการนำเข้า LNG ลดต้นทุนii) ธุรกิจ New S-curve อย่าง Virtual Bank ที่มีกระแสข่าวกลุ่มร่วมทุน KTB* GULF* ADVANC* และ OR* ผ่านเกณฑ์ (รอผลทางการเดือน มิ.ย.นี้) ซึ่งเราประเมินว่ากลุ่มร่วมทุนฯ จะได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าจำนวนมากทั้งจาก ADVANC* OR* และ KTB* สำหรับการทำธุรกิจ Virtual Bank BTG* (เป้าพื้นฐาน 23.9 บาท) ประเมินราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวหลังพักฐาน แนวรับ 19.5 บาท / แนวต้าน 20.1 – 20.6 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 21.3 บาท (Stop loss 18.6 บาท) ประเมินแนวโน้มกำไร 1Q68 โตเด่น และลุ้นโตต่อเนื่อง จากราคาเนื้อหมูที่ยังสูงต่อเนื่อง สวนทางกับราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ (ถั่วเหลือง ข้าวโพด) รวมทั้งมีโอกาสที่ภาครัฐจะเปิดทางนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากสหรัฐฯ (คาดว่ารัฐบาลจะมีมาตรการสนับสนุน) Valuation ไม่แพง และราคายัง Laggard กลุ่มฯ Forward PE 9.6 เท่า ขณะที่คาดกำไรปีนี้โตเด่น +60% YoY

CPN ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน เปิดโครงการใหม่หนุนโต 10%

CPN ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน เปิดโครงการใหม่หนุนโต 10%

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย ระบุ ราคาหุ้น CPN ขณะนี้ซื้อขายที่ระดับ -2SD หรือ 12.5 เท่าของกำไรปี 2568 เราชอบ CPN ที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ สำหรับค้าปลีก รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยพอร์ตธุรกิจที่กระจายความเสี่ยงได้ดี ซึ่งส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและปรับเพิ่มค่าเช่าได้ตลอด CPN ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดอิสระได้ดี จะช่วยในการลดหนี้สินลงได้ในอนาคต อีกทั้งแผนธุรกิจสำหรับปี 2568 มีแนวโน้มการเติบโตราว 10% จะมาจากส่วนของการปรับเพิ่มพื้นที่เช่าราว 4-5% โดยรายละเอียดโครงการใหม่ในปีนี้ เช่น โครงการดุสิต ทั้งห้างและออฟฟิศ และ Central Krabi ที่จะเปิดตัวครึ่งปีหลังจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตได้ต่อเนื่องในปี 2569 CPN: ราคาพื้นฐาน 78.00 บาท

จับตาเม็ดเงินไหลเข้า คัด 9 หุ้นเด่น มี ESG RATING

จับตาเม็ดเงินไหลเข้า คัด 9 หุ้นเด่น มี ESG RATING

             หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้นไทย มองช่วงเดือน ก.พ. – ปัจจุบัน เม็ดเงินต่างชาติมีการกระจุกตัวอยู่ในตลาดการเงินไทยพอสมควร อาทิ มียอดสะสมTFEX สูงถึง1.06 แสนสัญญา สะสมตราสารหนี้ 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการสะสมก่อนมีกองทุน THAIESGX เข้ามา คล้ายกับช่วงก่อนมีเม็ดเงินวายุภักษ์ไหลเข้ามา ในเดือน ก.ค. - ส.ค. 67 ที่มียอด TFEX สะสมสูงถึง2.46 แสนสัญญา สะสมตลาดตราสารหนี้สูงถึง 4.8 หมื่นล้านบาท และหนุน SET ขึ้นแรง 6% ในเดือนถัดมา • หวังว่าเม็ดเงินต่างชาติที่หลบความผันผวนไหลเข้าตลาดการเงินไทยช่วงนี้ น่าจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยมีโอกาส ผันผวนน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานดีมี ESG RATING เด่น อย่าง WHA, KCE, SCGP, SCC, TOP, PTTGC, BBL, CPALL, BDMS

CV แจงผิดนัดชำระหุ้นกู้ “CV257A” เร่งแก้นำเงินชำระดอกเบี้ย

CV แจงผิดนัดชำระหุ้นกู้ “CV257A” เร่งแก้นำเงินชำระดอกเบี้ย

                หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท โคลเวอร์เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CV) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ “หุ้นกู้ของ บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน” หรือ หุ้นกู้รุ่น CV257A มีกำหนดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้งวดที่ 9 ภายในวันที่ 17 เมษายน 2568 ซึ่งบริษัท ฯ ยังไม่ได้ชำระดอกเบี้ย ภายในกำหนด ทำให้สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ขึ้นเครื่องหมาย Failed to Pay (FP) เนื่องจากเหตุดังกล่าว                 สืบเนื่องจากปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินการด้านเอกสารในการรับเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม เพื่อนำมา ชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้รุ่นดังกล่าว ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานภายนอกและเอกสารประกอบสำคัญจาก ต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องขอเลื่อนกำหนดการจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้งวดที่ 9 ออกไป จากกำหนดเดิม วันที่ 17 เมษายน 2568 ทั้งนี้ บริษัท ฯ ขอยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด และจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือ หุ้นกู้รุ่น CV257A ทันทีเมื่อกระบวนการดังกล่าวแล้วเสร็จ                 อย่างไรก็ตามบริษัทอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบ พร้อมทั้งดำเนินการกำหนดแนวทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ดังกล่าว ซึ่งหากมีความคืบหน้าทางบริษัทจะรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป

โกลเบล็ก คาด SET Sideway จัดกลยุทธ์ลงทุนเด็ด - เช็ก!

โกลเบล็ก คาด SET Sideway จัดกลยุทธ์ลงทุนเด็ด - เช็ก!

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหว Sideway ออกข้าง โดยช่วงเช้าดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นหลัก มีแรงกดดันจากประธานเฟดชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนแอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มไอซีทีและพลังงาน ขณะที่ช่วงบ่ายดัชนีกลับมาเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยมีแรงซื้อหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคาร ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,141.28 จุด +2.38 จุด +0.21% มูลค่าการซื้อขาย 29,646 ล้านบาท Program Trading -1,105 ล้านบาท ต่างชาติ -223 ล้านบาท TFEX -16,469 สัญญา ตราสารหนี้ +18,579 ล้านบาท               คาดดัชนีในวันนี้ยังแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway ออกข้าง โดยยังขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นช่วยพยุงหุ้นกลุ่มพลังงาน มองกรอบดัชนีในวันนี้ 1,135-1,150 จุด กลยุทธ์การลงทุน • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA : CPALL SCB TISCO EGCO BDMS TU ADVANC • หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก ThaiESG Extra : BBL BEM CPALL PTT TISCO • หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : ANAN ORI NOBLE ITD TIPH TVH • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : HMPRO GLOBAL DOHOME SCGD TEAMG • หุ้นที่ธปท.กำลังพิจารณาอนุมัติให้ประกอบธุรกิจ Virtual Bank : KTB ADVANC GULF OR SCB

BBL อย่าลืมเช็ก!วันXD ซื้อวันนี้มีปันผล6.50บ.

BBL อย่าลืมเช็ก!วันXD ซื้อวันนี้มีปันผล6.50บ.

           หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” BBL และราคาเป้าหมายที่ 186.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.60x (-1.00SD below 10-yr average PBV) โดย BBL ประกาศกำไรสุทธิ 1Q25 อยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +20% YoY และ +21% QoQ ดีกว่าที่ตลาดคาด +11%และเราคาด +14% เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุนถึง 2.9 พันล้านบาท (คาด 500 ล้านบาท) แต่มีการตั้งสำรองฯที่สูงกว่าคาดมาอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท (คาด 7.9 พันล้านบาท)            ด้าน NIM ต่ำกว่าคาดมาอยู่ที่ 2.91% (เราคาด 3.10%) จากไตรมาสก่อนที่ 3.12% เพราะมี Loan yield ลดลงจากการชำระคืนของ Working capital ส่วน NPL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.00% จากไตรมาสก่อนที่ 2.70% ส่วนใหญ่เกิดจาก Relapse NPL ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตและกลุ่มการค้า ทั้งนี้จากความกังวลเรื่องนโยบายใหม่ของรัฐบาลอินโดฯ ทาง BBL ไม่ได้กังวลต่อธนาคาร Permata มากนักเพราะมี Coverage ratio ในระดับสูงราว 350% ซึ่งสามารถรองรับความเสี่ยงได้อีกมาก กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 27% ของประมาณการทั้งปี เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุน แต่เป็นรายการที่คาดการณ์ได้ยาก ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +3% YoY จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่เราคาดว่ากำไรสุทธิ 2Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง แต่จะลดลง QoQ เพราะฐานกำไรจากเงินลงทุนที่สูง             ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +3% และ +12% ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET จากกำไรที่ดีกว่าคาด และใกล้ประกาศจ่ายเงินปันผล โดยจะ XD วันที่ 23 เม.ย. 25 ที่ 6.50 บาท ประกอบกับ BBL ยังคงมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่มที่ 300% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุดในกลุ่มเพียง 0.53x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x

ASL คาด SET Sideway ชู MASTER เด่น -เป้า 21 บ.

ASL คาด SET Sideway ชู MASTER เด่น -เป้า 21 บ.

                   หุ้นวิชั่น - - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ประเมิน SET Index แกว่งตัว Sideway แนะนำ Trading ในกรอบ 1,130-1,150 จุด พร้อม Stock Pick: MASTER เป้า 21.00 บาท                    คาด SET Index มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ Trading ในกรอบ 1,130 – 1,150 จุด พร้อมแนะนำหุ้นเด่นประจำวัน ได้แก่ MASTER ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท ปัจจัยต่างประเทศ: ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงินของสหรัฐฯ หลังอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ออกมาเรียกร้องให้ Jerome Powell ประธาน Fed เร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย และขู่จะปลดออกจากตำแหน่งหากไม่ดำเนินการตามคำเรียกร้อง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดเงิน สอดคล้องกับผลสำรวจที่พบว่า นักลงทุนจำนวน 56.9% ไม่มีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นและกลุ่ม EU หลัง Trump ให้สัมภาษณ์ว่ามีความคืบหน้าครั้งใหญ่ในการเจรจา                    ด้านยุโรป: ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ในรอบ 1 ปี สู่ระดับ 2.25% เพื่อลดแรงกดดันและฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางจากผลกระทบของภาษีการค้าระหว่างประเทศ และความไม่แน่นอนที่ฉุดการบริโภคและการลงทุน                    นอกจากนี้: ตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่ในช่วงของการรายงานผลประกอบการ (Earnings Season) โดยเฉพาะในกลุ่มส่งออก เทคโนโลยี และ AI ซึ่งมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของ Trump ต่อจีน ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ: ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 215,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านในเดือนมีนาคม ลดลง 11.4% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มชะลอตัวจากต้นทุนก่อสร้างที่สูงขึ้น สัปดาห์หน้าติดตาม: ตัวเลขภาคอสังหาฯ ของสหรัฐฯ และเงินเฟ้อในญี่ปุ่น ปัจจัยในประเทศ: (+) Update ผลประกอบการกลุ่มธนาคาร (+) ธปท. ประเมินผลกระทบจากภาษีทรัมป์ กดดัน GDP (+) สรุปจากงานเสวนา “ตลาดทุนพบภาครัฐ” ของ FETCO เริ่มเข้าสู่การรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคาร 1Q25 โดยกำไรสุทธิของ TISCO ใกล้เคียงกับคาดการณ์ ซึ่งผู้บริหารให้มุมมองแนวโน้มที่เป็นกลาง ในขณะที่ BBL มีผลงานที่สูงกว่าคาดการณ์กว่า 10% จากรายได้ NII และค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าคาดการณ์ รวมถึงคุณภาพลูกหนี้ที่ดีขึ้น คาดว่าจะมีโอกาส outperform ตลาด                    ธปท. ประเมินว่า GDP ปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่า +2.5% (เดิมคาด +2.5%) โดยเริ่มเห็นการผลิต การค้า และการลงทุนบางส่วนชะลอตัวเพื่อรอความชัดเจน ขณะที่คาดว่าจะเห็นผลของมาตรการภาษีต่อภาพรวมการส่งออกมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ในการประชุม กนง. ในวันที่ 30 เมษายนนี้ จะพิจารณาปรับประมาณการ GDP ในปีนี้อีกครั้ง สำหรับงานเสวนา "ตลาดทุนพบภาครัฐ" โดยมีคุณพิชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองเชิงบวกอ่อนๆ ต่อการปรับตัวของนโยบายภายใต้การขึ้นภาษีของทรัมป์ โดยมีแผนการนำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานเพื่อแก้ไขปัญหาดุลการค้า แต่ก็จะไม่ให้เสียเปรียบในการแข่งขัน รวมถึงการพัฒนาโครงการที่เป็น New S-Curve มากขึ้น ผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐานเดิม (EEC, SEC) และโครงการใหม่อย่าง Land Bridge เพื่อเชื่อมต่อเศรษฐกิจไทยกับ supply chain ทั่วโลก รวมถึงการปรับเกณฑ์ FDI ที่ต้องเข้ามาสร้างมูลค่ามากกว่าโรงงานประกอบ                    เชิงกลยุทธ์: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการรับมือมาตรการภาษีของทรัมป์ เช่น PTTGC, PTTEP, GPSC, CPF และกลุ่ม Domestic Play เช่น BBL, KBANK, SCB, MTC, CPALL, BJC เราประเมิน: SET Index จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway ระหว่าง 1,130 – 1,150 จุด แนะนำ selective buy หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ติดตาม: ตัวเลขการส่งออกไทย Stock Pick: MASTER แนวโน้ม 1Q25 ยังเติบโต ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 6.00 บาท แนวโน้ม 1Q25 ยังเติบโต                    ผู้บริหารตั้งเป้าการเติบโตของรายได้จากกิจการโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นราว 20% โดยมี key driver มาจากรายได้ลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น ทั้งอินโดนีเซีย จีน เมียนมา ลาว เป็นต้น ขณะที่ OR Operation ยังมี capacity เพียงพอ ส่งผลให้ GPM โดยเฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้นต่อจากปีก่อน ด้านรายได้จาก Partner สูงขึ้นหลังปีก่อน จากปีที่แล้วรับรู้ PPA ไปแล้วหลายบริษัท แต่เบื้องต้นเราคาดการณ์รายได้และกำไรสุทธิทั้งปีเท่ากับ 2,475 ล้านบาท และ 624 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 16.1% และ 20.3% ตามลำดับ เนื่องจากความกังวลจากผลของภาวะเศรษฐกิจมีโอกาสชะลอลง                    ขณะที่แนวโน้ม 1Q68 ด้านรายได้โรงพยาบาลยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ YoY ซึ่งยังคงมีการเติบโตสูงในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ แต่ด้านรายได้จากชาวไทยอาจเห็นการเติบโตน้อยลงกว่าปีก่อน ขณะที่คาดว่าในงวดนี้จะมีการรับรู้ค่าใช้จ่าย PPA สำหรับดีล Korawin และ V Square เข้ามากดดัน แต่ทั้งนี้ดีลดังกล่าวมีขนาดใหญ่ และเป็นช่วงของ low season ส่งผลให้คาดว่า 1Q68 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี                    ด้านราคาปรับตัวลงกว่า 55.2% YTD คาดว่าได้รับรู้ปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว ทั้งข่าวการที่ผู้บริหารขายหุ้นให้กองทุนต่างประเทศ ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและค่าเงินที่อ่อนค่าของอินโดนีเซีย แม้ว่าในช่วง 1Q68 จะยังไม่ได้รับผลกระทบ และจาก สบส. มีการควบคุมการโฆษณา ห้ามแพทย์ LIVE ใน OR มีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นทำให้กระทบการตลาดในระยะสั้น แนวรับ: 19.30 / 18.60 แนวต้าน: 20.50 / 21.00

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.25-33.45 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.25-33.45 บ./ดอลลาร์

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.25-33.45 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าวานนี้ตามราคาทองที่ลดลงและดัชนีเงินดอลลาร์ที่ทรงตัวในระดับต่ำ ด้านธนาคารกลางยุโรปลดดอกเบี้ย 25 bps มาอยู่ที่ 25% ตามคาด ส่งผลให้ Government Bond yields ของยุโรปลดลง เงินยูโรอ่อนค่าเล็กน้อย นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าไม่อยากขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติม เพราะกลัวการจับจ่ายใช้สอยจะหยุดชะงัก ด้านเงินเฟ้อญี่ปุ่นเร่งตัวมาอยู่ที่ 2% ธปท. มองว่านโยบาย Tariffs ทำให้การลงทุนและการผลิตชะลอลง นโยบายการเงินช่วยได้บ้างแต่ไม่ตรงจุด

ตลท.ขึ้น CB หุ้น CV หลังผิดนัดชำระหนี้ ยังติด SP ไม่ส่งงบปี 67

ตลท.ขึ้น CB หุ้น CV หลังผิดนัดชำระหนี้ ยังติด SP ไม่ส่งงบปี 67

             หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย CBบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CV) โดยเหตุผลการขึ้น CB คือบริษัท/บริษัทย่อย/กองทุนผิดนัดชำระหนี้ตามเกณฑ์ที่กำหนด วันที่ขึ้นเครื่องหมาย 21 เม.ย. 2568 ข้อมูลการดำเนินการ : - หลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมายข้างต้น จะต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance (คือ สมาชิกต้องดำเนินการให้ลูกค้า วางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์นั้น)ตั้งแต่วันที่ขึ้นเครื่องหมายเป็นต้นไป จนกว่าจะแก้เหตุดังกล่าวได้ หมายเหตุ ปัจจุบัน CV เป็นหลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP เนื่องจากไม่นำส่งงบการเงินปี 67

BBL กำไร Q1/68 ดีกว่าคาด - Valuation น่าสน เคาะเป้า 180 บ.

BBL กำไร Q1/68 ดีกว่าคาด - Valuation น่าสน เคาะเป้า 180 บ.

               หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้น BBL  โดยกำไรสุทธิ 1Q68 ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท (+21% QoQ เพราะ Non-NII เพิ่ม และ OPEXลดตามฤดูกาล, +20% YoY จาก Non-NII) ดีกว่าฝ่ายวิจัยและ BB Consensus คาดราว 11% จาก Non-NII ในส่วนของกำไรจากเงินลงทุนผ่านการขายตราสารหนี้ • NIM ที่ 2.8% อ่อนตัวจาก 3.0% งวด 1Q67 และ 4Q67 ตามการลดดอกเบี้ยนโยบาย • NPL / Loan ที่ 3.6% เพิ่มจาก 3.2% ณ สิ้นงวดก่อน จากกลุ่มที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่ Coverage ratio ลงมาที่ 300% เทียบกับ 334% ณ สิ้นงวดก่อน • ฝ่ายวิจัยมองกลางต่องบ 1Q68 แม้กำไรดีกว่าคาด แต่ NPL ปรับขึ้น โดยการปรับขึ้น ของระดับ NPL ยังไม่ได้ยากเกินบริหารจัดการ (3Q67 เคยสูงถึง 3.9%) และเป็นไปในรูปแบบเดียวกับปีก่อน (ขึ้น 1Q-3Q และกลับมาลง 4Q) ซึ่งกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ทาง BBL ไม่ได้มีการกลับสำรอง ทำให้ความจำเป็นในการตั้ง ECL ไม่ได้ เพิ่มมากนัก แม้ NPL จะปรับขึ้นก็ตาม • คงประมาณการ หลังกำไรสุทธิ 1Q68 คิดเป็นสัดส่วน 28% ของประมาณการฝ่ายวิจัย(1Q67 คิดเป็นสัดส่วน 23% ของกำไรสุทธิปี 2567) และ BB Consensus น่าจะพอรองรับแนวโน้ม NII ระยะถัดไป ซึ่งมีแรงกดดันจากโอกาสในการลดดอกเบี้ยของ กนง. • การปรับขึ้นของ NPL อาจส่งผลลบต่อราคาหุ้น แต่ในเชิง PBV ไม่แพงที่ 0.48 เท่า และคาด Div Yield ราว 5.8% ต่อปี ในมุม Valuation น่าสนใจ ประกอบกับมองว่าเงินปันผล ต่อหุ้นประคองตัวได้ แม้กำลังเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงก็ตาม คงแนะนำ Outperform ให้ราคาเป้าหมาย 180.00 บ. 

น้ำมันดีด! คว่ำบาตรอิหร่าน-จีน หนุนราคาพลังงานทะยาน

น้ำมันดีด! คว่ำบาตรอิหร่าน-จีน หนุนราคาพลังงานทะยาน

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดที่ 67.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.20% d-d ขณะที่น้ำมันดิบ West Texas ปิดที่ 64.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.54% d-d ได้แรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานตึงตัวในระยะสั้น (Supply Shortage) โดยมีสาเหตุหลักจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน รวมถึงการคว่ำบาตรโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็ก (Teapot) ในจีน นอกจากนี้ ประเทศสมาชิก OPEC อย่างอิรัก คาซัคสถาน และประเทศอื่น ๆ ยังมีแนวโน้มที่จะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมเพื่อชดเชยการผลิตเกินโควตาในช่วงก่อนหน้า            จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มน้ำมันต้นน้ำ เช่น PTT และ PTTEP รวมถึงหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ซึ่ง SPRC ถูกประเมินให้เป็นหุ้นเด่น (Top Pick) ของกลุ่ม โดยมีราคาเป้าหมายที่ 8.00 บาท

ส่งออกสิงคโปร์โตแรง 15.7% อิเล็กทรอนิกส์นำทีม

ส่งออกสิงคโปร์โตแรง 15.7% อิเล็กทรอนิกส์นำทีม

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า สิงคโปร์รายงานยอดส่งออกรวม (ไม่รวมน้ำมัน) เดือนมีนาคม 2568 ขยายตัว +5.4%y-y เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +15.7%y-y ขณะที่ยอดส่งออกในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวโดดเด่นที่ +11.9%y-y จากเดิม +6.9%y-y              KSS ประเมินว่า ยอดส่งออกของสิงคโปร์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับยอดส่งออกของไทยจากสถิติในอดีต จึงคาดการณ์ในเชิงบวกว่า ยอดส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม ซึ่งจะประกาศระหว่างวันที่ 21 – 26 เมษายนนี้ มีโอกาสขยายตัวต่อเนื่องตามที่ Consensus คาดไว้ที่ +10.7% ยอดส่งออกในกลุ่มชิ้นส่วนของไทยมีแนวโน้มออกมาดี ตามการเติบโตของฝั่งสิงคโปร์ที่โดดเด่น มุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทย โดยประเมินว่ากลุ่มนี้ได้ตอบรับข่าวลบจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ไปแล้วในช่วงก่อนหน้า อีกทั้งราคาหุ้นหลายบริษัทในกลุ่มนี้เริ่มตั้งฐานได้และมีแรงซื้อกลับตลอดสัปดาห์ เช่น HANA +13.4%wtd, KCE +7%wtd              กลยุทธ์การลงทุน: แนะนำเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ DELTA, KCE และ HANA

KSS คาด SET วันนี้ Sideways - Up รับแรงหนุน ECB ลดดอกเบี้ย

KSS คาด SET วันนี้ Sideways - Up รับแรงหนุน ECB ลดดอกเบี้ย

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาดว่า SET วันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ “Sideways/Up” โดยมีแนวต้านที่ 1,147 และ 1,155 จุด ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 1,137 และ 1,132 จุด ปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยหนุนตลาดได้แก่ ความคืบหน้าในการประคองเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก Trade Tariff โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ที่ประกาศลดดอกเบี้ย Deposit Facility Rate ลง 25bps สู่ระดับ 2.5% ส่วนในไทย นักลงทุนเริ่มเก็งภาพการผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการเร่งซื้อพันธบัตรเพิ่มเติม 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 9 พฤษภาคม 2566                   นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากความคาดหวังเชิงบวกต่อพัฒนาการด้าน Trade Tariff ระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เปิดช่องสำหรับการเจรจา รวมถึงกำหนดการเจรจาระหว่างไทยและผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เมษายนนี้ ซึ่งมีโอกาสช่วยลดผลกระทบด้านภาษีต่อภาคการส่งออกของไทย และอาจนำไปสู่การผลักดันแผนลงทุนใน New S-Curve เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว                   อีกหนึ่งปัจจัยบวกคือ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 3.35% จากการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ในปี 2026F เพื่อชดเชยปริมาณการผลิตเกินโควต้าก่อนหน้า ร่วมกับสหรัฐฯ ที่กลับมากดดันการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ                   ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าจะมีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ, หุ้นที่ได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง, หุ้นกลุ่ม China Plays และหุ้นกลุ่มสื่อสารที่เก็งความคืบหน้าเรื่องเกณฑ์ประมูลคลื่นความถี่ สำหรับหุ้นเด่นที่แนะนำในวันนี้ ได้แก่ ADVANC, CPF และ IVL                   US Stock: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง โดยดัชนี Dow Jones -1.33% d-d หลัก ๆ ถูกกดดันจากการปรับตัวลงแรงของหุ้นบางตัว เช่น UnitedHealth ที่ร่วง -22.38% ขณะที่ดัชนี Nasdaq -0.13% d-d และ S&P 500 ปรับขึ้นเล็กน้อย +0.13% โดยกลุ่ม Sector หลักที่หนุนดัชนี S&P 500 ได้แก่ Energy, Consumer Staples, Real Estate และ Utilities ขณะที่กลุ่มที่ถ่วงตลาดคือ IT, Health Care และ ICT                   หุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ โดย UnitedHealth ร่วงแรง -22.38% หลังเปิดเผยผลประกอบการ 1Q25 ที่ต่ำกว่าคาด พร้อมปรับลดคาดการณ์กำไรปี 2025 เนื่องจากคาดว่าต้นทุนทางการแพทย์จะปรับตัวสูงขึ้น หุ้นอื่นในกลุ่มเดียวกันอย่าง Humana -7.4% และ CVS Health -1.84% ก็ปรับตัวลงเช่นกัน ขณะที่ Nvidia ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงต่อเนื่อง -2.9% จากประเด็นรัฐบาลสหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI รุ่น H20 ไปยังจีน ส่งผลให้บริษัทต้องบันทึกค่าใช้จ่ายสูงถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์                   ในทางตรงข้าม กลุ่มที่ปรับขึ้นได้แก่ Eli Lilly +14.36% หลังเปิดเผยผลการทดลองยาที่แสดงให้เห็นว่าสามารถลดน้ำหนักและระดับน้ำตาลในเลือดได้เทียบเท่ากับยา Ozempic ซึ่งเป็นยารักษาเบาหวานที่มียอดขายสูง ขณะที่หุ้นค้าปลีกอย่าง KSS ประเมินว่าการปรับลงของ Dow Jones จะมีผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นเอเชียและ SET Index ในกรอบจำกัด                   US Econ: ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดชี้ให้เห็นถึงสัญญาณชะลอตัว โดยยอดการเริ่มต้นสร้างบ้านในเดือนมีนาคมลดลง -11.4% m-m เหลือ 1.324 ล้านหลัง ต่ำกว่าคาดที่ 1.420 ล้านหลัง โดยมีสาเหตุหลักจากราคาวัสดุก่อสร้างที่แพงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจเริ่มได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง 9,000 ราย เหลือ 215,000 ราย ดีกว่าคาดที่ 225,000 ราย ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 220,000 ราย สะท้อนภาพภาคแรงงานยังประคองตัวได้แบบ Soft Landing โดยหากตัวเลขดังกล่าวพุ่งขึ้นเกิน 400,000 ราย จะเริ่มสะท้อนความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Hard Landing                   ECB Meeting: การประชุม ECB ล่าสุดเป็นไปตามคาด โดยมีมติเอกฉันท์ปรับลด Deposit Facility Rate ลง 25bps สู่ระดับ 2.25% ซึ่ง KSS มองว่าเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อของกลุ่มประเทศยุโรป และถือเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีธุรกิจในยุโรป เช่น XO, MINT, SHR และ IVL

CIMBTกำไร Q1โต33.9%แตะ 838 ลบ. คุมค่าใช้จ่ายลดลง– รายได้โตดี

CIMBTกำไร Q1โต33.9%แตะ 838 ลบ. คุมค่าใช้จ่ายลดลง– รายได้โตดี

               หุ้นวิชั่น - ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้รายได้ดอกเบี้ยลดลง แต่ชดเชยด้วยรายได้ค่าธรรมเนียม-การบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น ด้าน NPL เพิ่มเล็กน้อยจาก 2.6% เป็น 2.8% แต่ยังคงสำรองเกินเกณฑ์แบงก์ชาติ พร้อมโชว์ฐานเงินกองทุนแข็งแกร่งที่ระดับ 21.4%                ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT รายงานผลประกอบการ การดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีกำไรสุทธิจำนวน 838.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 212.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 33.9 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2567 สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 22.1 ในขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.2                รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวดสามเดือนปี 2568 มีจำนวน 3,583.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 77.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2567 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานอื่นเพิ่มขึ้นจำนวน 134.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.1 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและกำไรสุทธิจากการขายเงินลงทุนสุทธิกับการลดลงของกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 62.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.7เกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมและบริการ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 118.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.1 เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน                ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนปี 2568 เปรียบเทียบกบงวดเดี๋ยวกันปี 2567 ลดลงจำนวน 485.3 ล้านบาทหรือร้อยละ 22.1 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ทำให้อัตราส่วน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 47.6ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 62.5                อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net lInterest Margin - NIM) สำหรับงวดสามเดือนปี 2568อยู่ที่ร้อยละ 2.0 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.2 เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน                วันที่ 31 มีนาคม 2568 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่น และเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 246.3 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับเงินให้ สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 310.5 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.2 จากสิ้นปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 324.0 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อ ต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 79.3 จากร้อยละ 77.6 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ ร้อยละ 2.8 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.6 เป็นผลจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยยังคงมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อ และนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมขึ้น ตลอดจนได้มีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามหนี้ การดำเนินการดูแลและการแก้ไขลูกหนี้ที่ถูกผลกระทบ ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด                อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 134.3 ลดลงจากสิ้นปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 137.9 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 9.1 พ้นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีจำนวน 59.7 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วน เงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 21.4 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 16.7

[Vision Exclusive] TISCO กำไร Q1 ตามคาด จับตาแจ้งงบ “TTB-KTB”

[Vision Exclusive] TISCO กำไร Q1 ตามคาด จับตาแจ้งงบ “TTB-KTB”

          หุ้นวิชั่น - TISCO รายงานกำไรไตรมาส 1/2568 ตามโบรกคาด ที่ 1,643.38 ล้านบาท ลดลง 89.64 ล้านบาท หรือ -5.2% แรงกดดันด้านดอกเบี้ยและการตั้งสำรองฯ โบรกฯ มอง จุดเด่นสำคัญอยู่ที่จ่ายเงินปันผลที่สูง ปีนี้อยู่ที่ 7.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ราว 7.8% พร้อมจับตา TTB-KTB จ่อคิวประกาศต่อ นักวิคราะห์ส่วนใหญ่คาดกำไรโตทั้ง YoY และ QoQ รับปัจจัยบวกจากการตั้งสำรองฯ ที่ลดลงและการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น TTB คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 จะเติบโตที่ 5,539 ลบ.เพิ่มขึ้น 8% จาก Q-Q ส่วน KTB คาดที่ 11,024 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จาก Q-Q           บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TISCO) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ 1,643.38 ล้านบาท ลดลงจำนวน 89.64 ล้านบาท หรือ -5.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 (YoY) และลดลงจำนวน 58.43 ล้านบาท หรือ -3.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 (QoQ) เป็นไปตามที่ตลาดคาการณ์ โดยการลดลง YoY มีสาเหตุจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง 2% ผลจากการปรับลด ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางใน โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประกอบกับสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.7% ของยอดสินเชื่อ เฉลี่ย เพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง           ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 3.4% จากการเติบโตของ รายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ 10.3% รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 3.3% จากการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ บล.ทิสโก้ และกำไรจากเงินลงทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากตลาดรถยนต์ในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ ส่งผลให้รายได้ ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัยยังไม่ฟื้นตัว ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 0.9% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมี ประสิทธิภาพ           เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 กำไรสุทธิของบริษัทลดลง เป็นผลมาจากรายได้รวมที่อ่อนตัวลง 2.5% และค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มขึ้นจาก 0.6% มาเป็น 0.7% ของสินเชื่อเฉลี่ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นโยบาย และการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยชะลอตัวลง 3.3% จากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยอ่อนตัวลงตามฤดูกาลและผลจากยอดขายรถยนต์ที่ยังคงอ่อนแออีกทั้ง บริษัทมีการรับรู้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการของธุรกิจจัดการกองทุน (Performance Fee) ไปในไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ดีธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น ทั้งธรุกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน กำไร Q1/68 ตามคาดที่ 1.6 พันลบ.-ทั้งปีโอกาสหดตัว แต่ปันผลเด่น           บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ได้มีการคาดการณ์งบของ TISCO จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ราว 1,600 ล้านบาท ลดลง 6% เทียบกับไตรมาส 4/2567 (QoQ) และ 8% เมื่อทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากแรงกดดันหลักด้านค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงคุณภาพหนี้ที่อ่อนแอลงภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย และการขยายพอร์ตสินเชื่อไปยังกลุ่ม High Yield มากขึ้น           ขณะที่สินเชื่อโดยรวมมีแนวโน้มทรงตัวจากความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีแนวโน้มอ่อนตัวตามฤดูกาล โดยยังคงประมาณการกำไรปี 2568 ว่าจะชะลอตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามจุดเด่นสำคัญยังอยู่ที่อัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง โดยคงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 104 บาท อิง PBV 1.82 เท่า แม้ Upside จะค่อนข้างจำกัดจากแนวโน้มผลประกอบการในระยะสั้น แต่คาดว่า TISCO จะยังคงจ่ายปันผลปีนี้อยู่ที่ 7.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ราว 7.8% ต่อปี โดยในครึ่งปีหลังของปี 2567 จะมีการจ่ายปันผลอีก 5.75 บาท (XD 28 เม.ย. 68) คิดเป็น Residual Dividend Yield ประมาณ 5.8%           จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากจุดเด่นด้านผลตอบแทนปันผลที่น่าสนใจ           สอดคล้องกับ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ที่ได้คาดการณ์ว่า TISCO จะรายงานกำไรในงวดไตรมาส 1/2568 เฉลี่ย 1,609 ล้านบาท (-7% YoY, -5% QoQ) จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า, ยอดขายรถยนต์ในประเทศหดตัว และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2568 อาจเหลือ 5.3 แสนคัน หดตัว 7.5% YoY จากปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อที่มีอยู่เดิม รวมถึงปัญหาใหม่ทั้งแผ่นดินไหวและการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบรายได้หลักของไทย           ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 TISCO มีสินเชื่อสุทธิคงค้าง 2.26 แสนล้านบาท (+0.18% YTD) พลิกจากหดตัว 1.1% YoY ณ ปลายปี 2567 จากการเติบโตของสินเชื่อในทุกกลุ่มธุรกิจต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2567 โดยสินเชื่อสุทธิ +0.5% MoM, -0.6% YoY           ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลางต่อผลการดำเนินงานในปีนี้ที่มีโอกาสหดตัวเล็กน้อย จาก Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 2568 เฉลี่ย 6.6 พันล้านบาท (-5% YoY) ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายที่ระดับ PBV 1.84x สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 0.64x นอกจากนี้ IAA consensus คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 8% ต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับสูงและน่าสนใจถือลงทุนระยะยาวเพื่อรอรับเงินปันผล โดยบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปี 2567 หุ้นละ 5.75 บาท yield 5.8% XD 25 เมษายนนี้ วันจ่าย 16 พฤษภาคม 2568 แนะนำ “ถือ” เกาะติดงบ TTB-KTB ประกาศงบพรุ่งนี้ โบรกฯ คาดกำไรสุทธิโต QoQ-YoY           นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB) จะรายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 1/2568 เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 (QoQ) และช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แม้สินชื่อลดลงต่อเนื่อง จากความต้องการในประเทศที่ลดลง แต่มีปัจจัยหนุนจากการตั้งสำรองฯ ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 ที่มีการตั้งสำรองฯ พิเศษ หรือค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และแนวโน้มสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ก็ลดลงต่อเนื่องด้วย ทำให้คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 จะเติบโตที่ 5,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 ที่อยู่ที่ระดับ 5,112 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้ 5,334 ล้านบาท แนะนำ ซื้อ TTB ให้ราคาเป้าหมายที่ 2.08 บาท           นายกรกช กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 จะเติบโตที่ 11,024 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 ที่อยู่ที่ 10,475 ล้านบาท แต่คาดจะทำได้ใกล้เคียง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้ 11,078 ล้านบาท ได้ปัจจัยหนุนจากอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ที่ปรับตัวลดลง ช่วยชดเชย ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ที่คาดปรับตัวลง จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ขณะที่คาดกำไรสุทธิจะใกล้เคียง YoY เนื่องจากคาดกำไรเงินลงทุนจะลดลง เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ SET Index ยังมีทิศทางที่ดีอยู่ แต่ในปีนี้ SET Index ปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี คาดส่งผลกระทบกับพอร์ตเงินลงทุนของ KTB แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยหนุนจากในไตรมาส 1/2568 ไม่มีการตั้งด้อยค่าทรัพย์สินรอการขาย (Impairment) เหมือนในปีก่อนแล้ว           แนะนำ ถือ KTB ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 23.00 บาท รายงานโดย : พชรธร ภูมิคำ รองบรรณาธิการข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] WICE รับเต็มเร่งสต็อกหนีภาษี!

[Vision Exclusive] WICE รับเต็มเร่งสต็อกหนีภาษี!

           หุ้นวิชั่น - ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จุดกระแสความกังวลต่อการค้าและโลจิสติกส์ทั่วโลก ล่าสุดไปรษณีย์ฮ่องกงระงับส่งพัสดุไปยังสหรัฐฯ ตอบโต้มาตรการภาษี สะท้อนผลกระทบเชิงลึกถึงห่วงโซ่อุปทานโลก ด้านผู้บริหาร WICE ชี้แม้ E-Commerce จะได้รับผลกระทบบางส่วน แต่ยังไม่กดดันต่อค่าขนส่งในขณะนี้ประเมินเลื่อนขึ้นภาษี 90 วันกระตุ้นออเดอร์สั้น หนุนงบไตรมาส 2/68 ฟื้นตัวดี มั่นใจรายได้ไม่ต่ำกว่า 15% เดินหน้าให้บริการขนส่งครบวงจร ทั้งทางทะเล ทางอากาศ และข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน            การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นชนวนล่าสุดที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อการค้าโลก โดยเฉพาะเส้นทางโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ล่าสุดสำนักงานไปรษณีย์ฮ่องกงประกาศระงับการส่งพัสดุไปยังสหรัฐฯ ทั้งทางเรือและทางอากาศ เพื่อตอบโต้มาตรการภาษีดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ลุกลามจากนโยบายภาษีสู่ภาคขนส่งในระดับโลก มุมมองผู้ประกอบการโลจิสติกส์            นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ พร้อมด้วยนางสาวบุศรินทร์ ต่วนชะเอม ผู้อำนวยการกลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยว่า สถานการณ์การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกามีผลกระทบต่อภาคการขนส่งระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยล่าสุดมีกรณีสำนักงานไปรษณีย์ฮ่องกงประกาศระงับการจัดส่งพัสดุที่จ่าหน้าถึงสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อภาคธุรกิจ E-Commerce เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจะมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับอัตราการขึ้นภาษีที่ประกาศใช้ ทั้งนี้ การเลื่อนมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน กลับกลายเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นในระยะสั้น จากความต้องการสต็อกสินค้าไว้ล่วงหน้า ขณะที่อัตราค่าขนส่งในปัจจุบันยังไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี ต้องติดตามความชัดเจนของทิศทางนโยบายภาษีจากสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงการเจรจาต่อรอง ซึ่งประเทศไทยเองก็มีแนวโน้มที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการหารือเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ            สำหรับเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2568 บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ตั้งเป้าไว้ไม่ต่ำกว่า 15% แม้ในช่วงไตรมาส 1/2568 จะถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งมีปริมาณการขนส่งสินค้าลดลงจากปกติ อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อมั่นว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/2568 จะปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มการสั่งซื้อสินค้าในระยะสั้นเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการสต็อกสินค้าก่อนความชัดเจนในมาตรการจัดเก็บภาษีจากฝั่งสหรัฐฯ ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้ของบริษัทในปี 2568 คาดว่าจะมาจากการให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight) ประมาณ 30–40% การขนส่งทางอากาศ (Air Freight) ราว 20% การขนส่งทางบกข้ามแดน (Cross Border Service) อีกประมาณ 20% และส่วนที่เหลือราว 10% มาจากบริการในกลุ่มซัพพลายเชนโซลูชั่นส์ (Supply Chain Solutions)            ในส่วนของการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันบริษัทมีปริมาณการจัดส่งไม่มากนัก เนื่องจากสินค้าที่ขนส่งเป็นหลัก คือ ชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่การให้บริการขนส่งทางบกข้ามแดนในภูมิภาคยังคงดำเนินได้อย่างราบรื่น หรือแม้แต่กระทั่งเมียนมา ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีปัญหาในการบริหารจัดการ อีกทั้งการค้าข้ามแดนยังคงให้ความสำคัญกับตลาดหลัก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ลาว และเวียดนาม รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision

BBL กำไร Q1 โต 19.9% รายได้การลงทุนหนุน

BBL กำไร Q1 โต 19.9% รายได้การลงทุนหนุน

          หุ้นวิชั่น - ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อย หรือ BBL รายงานกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1/2568 จำนวน 12,618 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่จากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 31,909 ล้านบาท และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิร้อยละ 2.89 ซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาด สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ เพิ่มขึ้นจากการอำนวยสินเชื่อและบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี ประกอบกับกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นตามสภาวะตลาด สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการให้ความสำคัญในการบริหารค่าใช้จ่าย ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 45.5 ทั้งนี้ ธนาคารตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/2568 จำนวน 9,067 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน           ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,720,983 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 จากสิ้นปีก่อน จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้อยละ 300.3 เป็นผลจากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง           ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 จำนวน 3,225,131 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 84.4 ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ร้อยละ 21.0 ร้อยละ 16.5 และร้อยละ 15.8 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด รายได้และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของธนาคารและบริษัทย่อย           ในไตรมาส 1/2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารจำนวน 12,618 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.3 จากไตรมาสก่อน จากการที่ธนาคารมีแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย โดยรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากรายได้จากการลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจากการอำนวยสินเชื่อและบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวม ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงตามภาวะอัตราดอกเบี้ย สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลงจากการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ธนาคารตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใต้หลักความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง หากเทียบกับไตรมาส 1/2567 ธนาคารมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 ส่วนใหญ่จากรายได้จากการดำเนินงาน โดยมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิจากการลงทุนตามสภาวะตลาด ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ย สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสนี้ธนาคารมีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ           ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 1/2568 จำนวน 31,909 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่จากรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อสอดคล้องกับภาวะอัตราดอกเบี้ย สำหรับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.89 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย           ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 1/2568 จำนวน 13,745 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่จากกำไรสุทธิจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจากการอำนวยสินเชื่อและบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและกำไรสุทธิจากเงินลงทุนตามสภาวะตลาด ประกอบกับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ เพิ่มขึ้นจากการอำนวยสินเชื่อและบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี

โบรกฯ มอง TISCO ปันผลยังเด่น แม้แนวโน้ม Q2 สินเชื่อลดลง

โบรกฯ มอง TISCO ปันผลยังเด่น แม้แนวโน้ม Q2 สินเชื่อลดลง

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุ TISCO ยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อในทุกกลุ่ม จากเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ทำให้แนวโน้มสินเชื่อรวมในช่วง 2Q25 อาจลดลง q-q TISCO มอง yield on loan ลดลงต่อในช่วงที่เหลือของปี จากดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง และการช่วยเหลือลูกหนี้จากโครงการ คุณสู้ เราช่วย TISCO มองว่าค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) มีแนวโน้มต่ำกว่าที่ตั้งเป้าที่ 1.0-1.2% จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และการได้ประโยชน์จากโครงการ คุณสู้ เราช่วย TISCO มั่นใจสามารถรักษาระดับการจ่ายปันผลระดับสูง ความเห็นมองเป็น กลาง แม้ว่า yield on loan มีแนวโน้มต่ำกว่าฝ่ายวิจัยคาด แต่จะถูกชดเชยกับค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ที่ต่ำกว่าคาดเช่นกัน พร้อมยังคงมอง TISCO เป็นหุ้นปันผลเด่น

TRUE เสริมแกร่งสัญญาณ  ลูกค้าไทย-เทศ ใช้งานราบรื่นช่วงสงกรานต์

TRUE เสริมแกร่งสัญญาณ ลูกค้าไทย-เทศ ใช้งานราบรื่นช่วงสงกรานต์

          หุ้นวิชั่น - 17 เมษายน 2568 - ทรู คอร์ปอเรชั่น เผยอินไซต์เชิงลึกเทศกาลสงกรานต์ 2568 ที่ผ่านมา พบคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมสาดน้ำคึกคักทั่วประเทศ การเดินทางข้ามภูมิภาคเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะภาคอีสาน เหนือ และใต้ ขณะที่เครือข่ายอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ 5G และ 4G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการปรับแต่งเครือข่ายแบบเรียลไทม์ที่แม่นยำตรงจุด ส่งผลให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เร็วขึ้นถึง 3-4 เท่า สามารถรองรับปริมาณการใช้งานที่หนาแน่นได้ทุกแห่งตามแผน ทั้งในแหล่งจัดกิจกรรมสงกรานต์ จุดเล่นน้ำ แหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนเส้นทางคมนาคมหลักทั่วประเทศ           นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า "สงกรานต์ปีนี้นับว่าเป็นเทศกาลความสุขครั้งยิ่งใหญ่ของทั้งชาวไทย และต่างชาติที่มาเยือน เราได้เห็นการตอบรับของผู้คนทั่วประเทศผ่านข้อมูล Mobility Data ที่แสดงให้เห็นถึงความคึกคักของเทศกาลในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในพื้นที่จัดงานหลักทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทรู คอร์ปอเรชั่นได้เตรียมความพร้อมเครือข่ายไว้รองรับตลอด 24 ชั่วโมง ตอบสนองไลฟ์สไตล์ช่วงสงกรานต์ โดยเรานำเทคโนโลยี AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเครือข่าย ทำให้สามารถรองรับการใช้งานที่หนาแน่นในช่วงเทศกาลได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุด ลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นและสนุกสนานตลอดเทศกาลสงกรานต์"           เครือข่ายอัจฉริยะด้วย AI ของทรู คอร์ปอเรชั่น ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อยกระดับการให้บริการ โดยระบบบริหารเครือข่ายอัตโนมัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ 80% และลดการใช้พลังงาน 30% ขณะที่ระบบปรับแต่งเครือข่ายแบบเรียลไทม์ช่วยเพิ่มความเร็วในการปรับเครือข่ายสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้งานได้ทันที และตอบสนองความต้องการของลูกค้าเร็วขึ้น 3-4 เท่า โดยเฉพาะในพื้นที่จัดกิจกรรมที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น นอกจากนี้ ระบบวิเคราะห์ข้อมูลเครือข่ายอัจฉริยะยังช่วยเพิ่มความแม่นยำในการปฏิบัติงานและส่งผลให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นทั้ง 5G 4G WiFi และทรู ออนไลน์ อินไซต์การเดินทางช่วงสงกรานต์ (ข้อมูล 12-15 เม.ย. 68) 17% คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลออกท่องเที่ยวสงกรานต์ อัตราเดินทางเข้า-ออกภูมิภาค (เพิ่มหรือลด %) ภาคอีสานเพิ่ม 14%, ภาคเหนือเพิ่ม 9%, ภาคกลางและตะวันตก เพิ่ม 2.6%, ภาคใต้เพิ่ม 2.5%, กรุงเทพฯ และปริมณฑล ลด 17% จังหวัดยอดฮิต 5 อันดับ จากข้อมูลการเคลื่อนที่ผ่านการใช้งานมือถือ (Mobility Data) 1 บุรีรัมย์ 2. อุบลราชธานี 3. ศรีสะเกษ 4. ร้อยเอ็ด 5. ขอนแก่น การเดินทางช่วงสงกรานต์ - นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทย (Inbound Roamer) เติบโต 5% คนไทยเที่ยวต่างประเทศ (Outbound Roamer) เพิ่มขึ้น 27% 5 ประเทศยอดนิยมเดินทางท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ของลูกค้าทรูมูฟ เอช-ดีแทค :  1. จีน 2. ญี่ปุ่น 3. เกาหลีใต้ 4. ฮ่องกง 5. ไต้หวัน พฤติกรรมการใช้งานช่วงสงกรานต์ (ข้อมูล 12-15 เม.ย. 68) 10 สถานที่จัดงานสงกรานต์ ที่มีผู้ใช้งานเครือข่ายเพิ่มสูงสุด 1. Maha Songkran World Water Festival 2025 ที่สนามหลวง จ. กรุงเทพฯ 2. ข้าวสาร จ. กรุงเทพฯ 3. แยกเต็กฮะโคราช จ.นครราชสีมา 4. สีลม จ.กรุงเทพฯ 5. ข้าวเหนียว จ.ขอนแก่น 6. ศูนย์การค้าเมญ่า จ.เชียงใหม่ 7. แยกรินคำ จ.เชียงใหม่ 8. บริเวณถนนหน้าเทศบาลฯ-ตลาดเจ้าพรม จ. พระนครศรีอยุธยา 9. ข้าวตัง จ.พิจิตร 10. S2O Songkran Music Festival 2025 ราชมังคลากีฬาสถาน จ. กรุงเทพฯ 5 จังหวัดแชมป์การใช้ดาต้าสูงสุดช่วงสงกรานต์ 1. กรุงเทพฯ 2. ชลบุรี 3. สมุทรปราการ 4. ปทุมธานี 5. สมุทรสาคร  5 แอปพลิเคชันยอดนิยม ลูกค้าทรูมูฟ เอช Facebook 2. YouTube 3. TikTok 4. Google Play 5. LINE ลูกค้าดีแทค Facebook 2. YouTube 3. TikTok 4. LINE 5. Instagram           “พวกเราชาวทรู คอร์ปอเรชั่นยังคงดูแลคุณภาพเครือข่ายอย่างต่อเนื่องตลอดเส้นทางคมนาคมหลักทั่วประเทศ เพื่อรองรับประชาชนที่ยังทยอยเดินทางกลับภูมิลำเนาและกลับกรุงเทพฯ โดยเฉพาะผู้ที่ถือโอกาสนี้ลาหยุดประจำปีต่อเนื่องเป็นวันหยุดยาว ทั้งนี้ นอกจากการนำ AI มาเสริมประสิทธิภาพ ทีมงานเรายังปฏิบัติงานทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติได้รับประสบการณ์การใช้งานดิจิทัลที่ราบรื่นทุกพื้นทั่วไทย" นายประเทศ กล่าวในที่สุด [PR News]

TASCO คาดกำไร Q1 ดีด หลังรัฐเบิกจ่ายงบคล่อง ปักเป้า 21 บ.

TASCO คาดกำไร Q1 ดีด หลังรัฐเบิกจ่ายงบคล่อง ปักเป้า 21 บ.

                  หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส จับตาหุ้น TASCO โดยคาด 1Q68 กำไรสุทธิ 456 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดเทียบกับ 1Q67 ที่มีกำไรเพียง 8 ล้านบาท หลังการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเข้าสู่วงรอบปกติ โดยสภาพคล่องของผู้รับเหมาที่ดีขึ้น น่าจะทำให้ TASCO โอนกลับค่าเผื่อหนี้สูญคืนมาได้ 60 ล้านบาท • งวด 1Q68 TASCO นำเข้า Crude 1 Cargo เพียงพอใช้เป็นวัตถุดิบกลั่นยางมะตอยเกรดพรีเมียมอย่างน้อยถึง 3Q68 โดยสถานการณ์ปัจจุบันที่ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงมาก น่าจะทำให้การจัดหา Feedstock ในปีนี้ของ TASCO ทำได้ดีกว่าปีก่อน • ตลาดยางมะตอยในประเทศปีนี้ได้แรงหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่มีความราบรื่นมากกว่าปีก่อน โดยมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับยางมะตอยเพิ่มขึ้น 5% YoY ทำให้ธุรกิจยางมะตอยกลับสู่วงจรปกติ เริ่มไฮซีซั่นตั้งแต่ไตรมาส 1 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 • แม้ยังไม่เห็นจุดเปลี่ยนที่มีนัยฯ ตราบที่ TASCO ยังไม่สามารถซื้อ Crude จากเวเนซุเอลาได้ แต่พื้นฐานธุรกิจโดยรวมถือว่าแข็งแกร่งมากขึ้นจากการเพิ่มขีดความสามารถของโรงกลั่นยางมะตอยที่มาเลเซียให้สามารถรองรับ Feedstock ที่หลากหลายได้ • มีมุมมองธุรกิจเป็นบวกในปี 2568 คาดกำไรจะเติบโต 13% YoY ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 21.00 บาท อิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง -0.5 SD

JMART ขายหุ้นกู้ ชูดอกเบี้ย 5.50% สงครามไม่กระทบ - ผลงานโต

JMART ขายหุ้นกู้ ชูดอกเบี้ย 5.50% สงครามไม่กระทบ - ผลงานโต

           JMART เสนอขายหุ้นกู้ 2 ปี 6 เดือน เคาะดอกเบี้ยคงที่ 5.50% ต่อปี เปิดจอง 17-18 และ 21 เม.ย. 68 ผ่าน 11 สถาบันการเงินชั้นนำ หนุนความแข็งแกร่งทางการเงิน ย้ำเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสงครามการค้าไม่กระทบธุรกิจ พร้อมเดินหน้าเติบโตต่อเนื่อง            บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ระยะยาว ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เสนอขายต่อผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้ มีอายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าการเสนอขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,000 ล้านบาท เสนอขายระหว่างวันที่ 17-18 เมษายน และ 21 เมษายน พ.ศ. 2568            ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2568 อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทยังได้รับการปรับแนวโน้มจาก "ลบ" เป็น "คงที่" ที่อันดับเครดิต BBB+ จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด โดยทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินรวมของบริษัท ซึ่งวัดโดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วจะลดลงจาก 3.8 เท่าในปี 2567 เป็น 3.4 เท่าในปี 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากการคาดการณ์ว่าหนี้สินรวมของบริษัทจะลดลง นอกจากนี้สำหรับหุ้นกู้ JMART ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่อันดับเครดิต BBB แนวโน้มคงที่ โดยกลุ่มบริษัทมีนโยบายให้ความสำคัญกับการชำระหนี้มากกว่าการขยายการลงทุนในปี 2568 สะท้อนถึงแนวทางที่รอบคอบในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทาย            โดยหุ้นกู้ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการเสนอขายหุ้นกู้ ดังนี้ เพื่อนำไปคืนเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงิน เพื่อชำระคืนดอกเบี้ยหุ้นกู้ เพื่อกระแสเงินสดสำหรับเงินกู้ยืมให้กับบริษัทย่อยภายในกลุ่มบริษัท เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทและบริษัทย่อย            นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ถึงแม้ประเทศไทยจะเผชิญปัญหาแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา แต่ JMART รวมถึงธุรกิจในกลุ่มบริษัทไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด สามารถให้บริการได้ตามปกติ หรือแม้ว่าสหรัฐฯ จะประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้า กลุ่มบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจาก ธุรกิจของกลุ่มบริษัทไม่ได้มีการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ โดยกลุ่มลูกค้าหลักของกลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าที่อยู่ในประเทศไทย            โดย JMART ย้ำความมั่นใจ ในปี 2568 กลุ่มบริษัทพร้อมจะเติบโตด้วยเทคโนโลยี หรือแพลตฟอร์มอันทรงพลัง ที่สามารถหาลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ให้รีเทิร์นผลตอบแทนที่สูง อีกทั้งยังบริหารความเสี่ยงได้ด้วย NPL ในระดับต่ำ ล่าสุด สินเชื่อ Samsung Finance+ ภายใต้การบริหารของบริษัท KB J Capital และสินเชื่อ SG Finance+ โดยการบริหารของ SGC ได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งดีลเลอร์ และลูกค้าทั่วประเทศมียอดขายรวมกันมากกว่า 1.57 ล้านเครื่องในปี 2567 ที่ผ่านมา ส่วนธุรกิจศูนย์การค้าชุมชนภายใต้การบริหารของ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ (“J”) กลุ่มบริษัทมั่นใจในโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ที่สามารถตอบโจทย์ชุมชนได้ต่อเนื่อง และเป็นแหล่งรับรู้รายได้ที่ยั่งยืน โดยในปีที่ผ่านมาเปิดศูนย์การค้าชุมชนเพิ่มได้อีก 2 ศูนย์การค้า คือ โครงการแจส กรีน วิลเลจ ประเวศ และโครงการ แจส กรีน วิลเลจ รามคำแหง ซึ่งคาดว่าจะสร้างการรับรู้รายได้เต็มปีได้ภายในปี 2568 นี้            สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ ดังนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด โทร. 02-249-2999 บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-205-7000 ต่อ 7387 บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5555 บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675 บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-351-1800 บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-820-0100 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-8945 บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-660-6624 บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด โทร. 02-687-7543 หมายเหตุ: การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

SCGP คาด Q1 กำไรฟื้น  โบรกเคาะพื้นฐาน 16 บ.

SCGP คาด Q1 กำไรฟื้น โบรกเคาะพื้นฐาน 16 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์  คาด SCGP กำไร 1Q68F ฟื้นตัว QoQ ตามปริมาณขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนมีหยุดซ่อมบำรุง + ต้นทุนกระดาษลดลงมาก + ผลขาดทุนของ Fajar ลดลง ▪ แนวโน้มกำไร 2Q68F ดีขึ้นอีกตามปริมาณขายเพิ่มขึ้น และผลบวกระยะสั้นจากการเลื่อนเก็บภาษีการค้าออกไป 90 วัน ทำให้ความต้องการสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้นมาก ▪ หุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าบัญชี P/B 0.7x, P/E 15x ▪ แนวรับ=12.2/12.4 แนวต้าน=13.5/13.7 SCGP | ซื้อ | TP=16 บ.

PTT กำไรผันผวนน้อยสุดกลุ่ม เล็งหาพันธมิตรเสริมแกร่ง เป้า 34 บ.

PTT กำไรผันผวนน้อยสุดกลุ่ม เล็งหาพันธมิตรเสริมแกร่ง เป้า 34 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์  ระบุ PTT ประกาศจ่ายเงินปันผลทั้งปีเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 บ./หุ้น D/P 6.8% และคาดรักษาเงินปันผลระดับนี้ไว้ได้ในปีถัดๆ ไป ตามฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ▪ อยู่ระหว่างการหาพันธมิตรที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจ P&R (IRPC, PTTGC, TOP) เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันให้สูงขึ้น ▪ โครงการซื้อหุ้นคืนจะช่วยจำกัดการปรับลงของราคาหุ้น ขณะที่กำไรของ PTT จะผันผวนน้อยกว่าหุ้นพลังงานอื่น ▪ แนวรับ=30/30.25 แนวต้าน=32.5/33 PTT | ซื้อ | TP=34 บ.

KTC คาดกำไร Q1 โต YoY  Easy e-receipt กระตุ้นใช้บัตร

KTC คาดกำไร Q1 โต YoY Easy e-receipt กระตุ้นใช้บัตร

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ระบุ KTC รับประโยชน์จากมาตรการ Easy e-receipt ช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ.68 กระตุ้นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยผู้บริหารเผยตัวเลขยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรช่วง 1Q68 เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ทำให้คาดกำไร 1Q68F มีโอกาสโต YoY ▪ หันมาเน้นเจาะกลุ่มลูกค้า Hi-end ในธุรกิจบัตรเครดิต ถือเป็นลูกค้าชั้นดี ทำให้คุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี โดย ณ สิ้นปี 67 มี NPL เพียง 1.95% ▪ รับประโยชน์ต้นทุนดอกเบี้ยลดลง หลังได้ปรับอันดับเครดิตขึ้นเป็น AA และมีแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงหลายครั้งในปีนี้ ช่วยหนุนกำไรปีนี้มีโอกาสทำนิวไฮต่อเนื่องได้ตามเป้า ▪ แนวรับ=43.5/44 แนวต้าน=46/47.5 KTC | ซื้อ | TP=51 บ.

KTB คาดกำไรโตต่อเนื่อง  ปันผลเด่น 7% เป้า 25.90 บ.

KTB คาดกำไรโตต่อเนื่อง ปันผลเด่น 7% เป้า 25.90 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ คาด KTB กำไร 1Q68F ยังโตได้ทั้ง QoQ และ YoY บนคาดการณ์ credit cost ที่ลดลง และคุม cost to income ได้ดี ▪ พร้อมประกาศเป้าหมายปี 68 ตั้งเป้าสินเชื่อทรงตัว NIM ที่ 2.9-3.2% คุม cost to income < 45% และคุม NPL < 3.25% บน Credit Cost ที่ 105-125% ▪ ถือเป็นธนาคารที่มี ROE สูงเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม และถือเป็นหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงราว 7% ▪ แนวรับ=21.4/21.5 แนวต้าน=22.6/23            KTB | ซื้อ | TP=25.90 บ.

TISCO Q1 กำไร 1,643 ลบ.  ลดลง 5.2% - เศรษฐกิจเปราะบาง

TISCO Q1 กำไร 1,643 ลบ. ลดลง 5.2% - เศรษฐกิจเปราะบาง

           กลุ่มทิสโก้ เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2568 กำไรสุทธิ 1,643 ล้านบาท ลดลง 5.2% จากปีก่อน สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง  ขณะที่สถานะการเงินยังคงแข็งแกร่ง โดยกลุ่มทิสโก้ และ ธนาคารทิสโก้ ได้รับการเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรจาก ทริสเรทติ้ง เป็นระดับ “A” และ “A+” ตามลำดับ             นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (Mr. Sakchai Peechapat, Group Chief Executive, TISCO Financial Group Public Company Limited) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 เผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากความตึงเครียดของสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ และเหตุแผ่นดินไหวที่สร้างความตื่นตระหนกและกระทบต่อความเชื่อมั่น กดดันภาคเศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้วให้อ่อนแอลงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องจับตาความเสี่ยงใหม่จากมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ที่เริ่มขึ้นในเดือนเมษายน 2568 ทั้งนี้ ประเมินว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะยังมีความท้าทายสูง คาดการณ์ว่า จะเติบโตเพียง 1.5-2% โดยขึ้นอยู่กับผลของการเจรจาต่อรองอัตราภาษีกับสหรัฐฯ และผลกระทบข้างเคียงในภูมิภาค            ผลกระทบจากเศรษฐกิจดังกล่าว ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 ของกลุ่มทิสโก้ ปรับตัวลดลง 5.2% จากไตรมาส 1 ของปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 1,643 ล้านบาท โดยมีสาเหตุจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง สอดรับกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย และการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางเพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยลง ด้านตลาดรถยนต์ในประเทศยังคงซบเซา ยอดขายรถยนต์ใหม่ในไตรมาสแรกลดลงเกือบ 10% ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่เป็นไปอย่างยากลำบาก แม้ว่าทิสโก้จะสามารถเพิ่ม Penetration Rate ได้ จากการเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ใหม่ ๆ มากขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมธุรกิจประกันภัยที่ชะลอตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ กลุ่มทิสโก้ได้เพิ่มระดับการตั้งสำรองหนี้เผื่อสงสัยจะสูญมาอยู่ที่ 0.7% ของสินเชื่อเฉลี่ย เพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield Loans) และความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ            ด้านธุรกิจค่าธรรมเนียม ธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่อง จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในภาวะตลาดทุนผันผวน พร้อมครองตำแหน่งผู้นำในธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สะท้อนความไว้วางใจที่แข็งแกร่งจากลูกค้า นอกจากนี้ ธุรกิจหลักทรัพย์ยังสามารถขยายส่วนแบ่งทางการตลาดได้ แม้ในภาวะที่ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดลง            “กลุ่มทิสโก้ จะมุ่งเน้นการเติบโตอย่างระมัดระวัง โดยยึดมั่นในหลักการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย และการนำเทคโนโลยีมายกระดับผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมการติดตามดูแลลูกค้ากลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด โดยให้ความช่วยเหลืออย่างตรงจุดและรวดเร็วผ่านโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ อาทิ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว รวมถึงมาตรการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน (Pre-emptive Debt Restructuring) ของกลุ่มทิสโก้ ขณะเดียวกันยังมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขยายบริการบริหารความมั่งคั่ง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนเคียงข้างไปกับลูกค้า ทั้งในภาวะปกติและช่วงเวลาวิกฤต” นายศักดิ์ชัยกล่าว            ล่าสุด บริษัท ทริสเรทติ้ง ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A” จากเดิมที่ “A-” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิตที่ระดับ “คงที่” (Stable) รวมถึงปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A+” จากเดิม “A” ด้วยแนวโน้ม “คงที่” เช่นกัน สะท้อนถึงพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งของกลุ่มทิสโก้ จากความสามารถในการทำกำไรที่มั่นคง ความยืดหยุ่นในการให้บริการสินเชื่อรายย่อย ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของตลาด การดำเนินกลยุทธ์อย่างระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และสถานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งรองรับต่อความเสี่ยงรอบด้าน สรุปผลประกอบการสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2568            ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้สำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,643 ล้านบาท ลดลง 5.2% เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2567 สาเหตุมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง 2.0% เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อสอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบกับกลุ่มทิสโก้ให้การช่วยเหลือลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้และลดภาระดอกเบี้ยบางส่วนให้แก่ลูกหนี้ในกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.7% ของสินเชื่อเฉลี่ย เพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง (High Yield Loans) ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังคงเปราะบาง ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 3.4% จากการเติบโตของธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ 10.3% โดยบลจ.ทิสโก้ มีการออกกองทุนรวมใหม่ 7 กองในระหว่างไตรมาส ค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 3.3% จากส่วนแบ่งทางการตลาดของบล.ทิสโก้ ที่ปรับตัวดีขึ้น อีกทั้ง กำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากตลาดรถยนต์ในประเทศที่ยังคงซบเซา ส่งผลให้รายได้ค่านายหน้าประกันภัยอ่อนตัวลงในทิศทางเดียวกัน ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับตัวลดลง 0.9% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 15.0%            เงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 มีจำนวน 231,190 ล้านบาท ลดลง 0.4% จากสิ้นปี 2567 สาเหตุหลักมาจากสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่และสินเชื่อ SME ที่ลดลงตามยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ชะลอตัว ประกอบกับการเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนในสภาวะที่หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง สำหรับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 2.4% ของสินเชื่อรวม เป็นไปตามแผนการขยายสินเชื่อที่มีผลตอบแทนในระดับสูง โดยกลุ่มทิสโก้ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างระมัดระวัง พร้อมด้วยดำเนินนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม ทั้งนี้ ระดับค่าเผื่อสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) อยู่ที่ 153.8%            ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 20.7% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.9% และ 1.8% ตามลำดับ

หุ้นไทยบ่าย Sideway แนะเก็งหุ้นพลังงาน ชู TOP-PTTEP

หุ้นไทยบ่าย Sideway แนะเก็งหุ้นพลังงาน ชู TOP-PTTEP

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน SET Index ปิดตลาดเช้าวันนี้ (17 เม.ย. 68) ที่ 1,137.81 จุด ลดลง 1.09 จุด หรือคิดเป็น 0.10% คาดช่วงบ่าย Sideway            นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายวันนี้ (17 เม.ย. 68) คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway ต่อเนื่องจากช่วงเช้า หลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยภาคเช้าปิดที่ระดับ 1,137.81 จุด ลดลง 1.09 จุด หรือคิดเป็น 0.10% โดยช่วงเช้าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามการค้า            สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงบ่าย ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,130 จุด และแนวต้านที่ 1,142 จุด โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในลักษณะเก็งกำไร โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน เช่น TOP และ PTTEP ซึ่งมีสัญญาณทางเทคนิคที่ดีในขณะนี้            ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตาม คือการเจรจาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

TISCO กำไร Q1/68 ลดลงเหลือ 1.64 พันลบ.

TISCO กำไร Q1/68 ลดลงเหลือ 1.64 พันลบ.

                หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TISCO) เปิดเผยว่า กำไรสุทธิสำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 1 ปี 2568 ของบริษัทมีจำนวน 1,643.38 ล้านบาท ลดลงจำนวน 89.64 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2567 สาเหตุจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงร้อยละ 2.0 ผลจากการปรับลด ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางใน โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประกอบกับสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 0.7 ของยอดสินเชื่อ เฉลี่ย เพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 จากการเติบโตของ รายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ร้อยละ 10.3 รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 จากการ เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ บล.ทิสโก้ และกำไรจากเงินลงทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ที่ เพิ่มขึ้น                 อย่างไรก็ตาม ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากตลาดรถยนต์ในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ ส่งผลให้รายได้ ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัยยังไม่ฟื้นตัว ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 0.9 จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมี ประสิทธิภาพ                 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 กำไรสุทธิของบริษัทลดลงจำนวน 58.43 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4 เป็นผลมาจาก รายได้รวมที่อ่อนตัวลงร้อยละ 2.5 และค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.6 มาเป็น ร้อยละ 0.7 ของสินเชื่อเฉลี่ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงร้อยละ 2.1 จากไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นโยบาย และการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยชะลอตัวลงร้อยละ 3.3จาก ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยอ่อนตัวลงตามฤดูกาลและผลจากยอดขายรถยนต์ที่ยังคงอ่อนแออีกทั้ง บริษัทมีการรับรู้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการของธุรกิจจัดการกองทุน (Performance Fee) ไปในไตรมาสก่อนหน้า อย่างไร ก็ดี ธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น ทั้งธรุกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน                 กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (Basic earnings per share) สำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2568เท่ากับ 2.05 บาทต่อหุ้น ลดลงจาก 2.13 บาทต่อหุ้นในไตรมาสก่อนหน้า และจาก 2.16 บาทต่อหุ้นในไตรมาส 1 ปี 2567 ส่วนอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) อยู่ที่ร้อยละ 15.0 รายละเอียดผลประกอบการงวดไตรมาส 1 ปี 2568                 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ในไตรมาส 1 ปี 2568 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 3,328.45 ล้านบาท ลดลงจำนวน 67.01 ล้านบาท (ร้อยละ 2.0) เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยรายได้ดอกเบี้ยมีจำนวน 4,589.07 ล้านบาท ลดลง 184.70 ล้านบาท (ร้อยละ 3.9) จากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบกับการลดภาระดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ด้านค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยมี จำนวน 1,260.62 ล้านบาท ลดลง 117.69 ล้านบาท (ร้อยละ 8.5) เป็นไปตามต้นทุนเงินฝากที่ชะลอตัวลงในทิศทางภาวะ ดอกเบี้ยขาลง                 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 73.09 ล้านบาท (ร้อยละ 2.1) สาเหตุจากรายได้ ดอกเบี้ยที่ชะลอตัวลงจำนวน 157.14 ล้านบาท (ร้อยละ 3.3) ตามการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว และการลดภาระ ดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่วนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง 84.05 ล้านบาท (ร้อยละ 6.3) จาก ต้นทุนทางการเงินที่ทยอยปรับลดลง                 ในไตรมาสนี้ บริษัทมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทเพื่อสอดรับกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่อลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.63 เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว รวมถึงการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางบางส่วนในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ในขณะที่ต้นทุนเงินทุนลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.30 จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ทั้งนี้ ส่วนต่างอัตรา ดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 5.33และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin)อยู่ที่ร้อยละ 4.88 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย                 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 1,351.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 จากไตรมาส 1 ของปีก่อนหน้า สาเหตุมาจาก การขยายตัวของรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 มาอยู่ที่จำนวน 455.50 ล้านบาท จากการออก กองทุนรวมใหม่ในระหว่างไตรมาส รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 มาที่จำนวน 128.37 ล้าน บาท จากส่วนแบ่งตลาดของ บล.ทิสโก้ที่ปรับตัวดีขึ้น และผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่จำนวน 67.31 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์มี จำนวน 762.18 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.4 จากผลกระทบของยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งส่งผลให้รายได้ ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัยปรับตัวลงร้อยละ 4.0                 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 ลดลงร้อยละ 3.3 จากรายได้ธุรกิจหลักที่อ่อนตัวลงร้อยละ 4.7 โดยค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ลดลงร้อยละ 11.2จากธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่อ่อนตัวลงกว่าร้อยละ 15.5 ส่วนหนึ่ง มาจากการลดลงของรายได้ตามฤดูกาล รวมถึงตลาดรถยนต์ในประเทศที่ยังซบเซา อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนฟื้นตัวดี ขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 จากส่วนแบ่งตลาดของ บล.ทิสโก้ที่ ปรับตัวดีขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐานธุรกิจจัดการกองทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 จากการออกกองทุนรวมใหม่ในระหว่างไตร มาส ด้านกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน หน้า ชดเชยกับรายได้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการของธุรกิจจัดการกองทุน (Performance Fee) ที่รับรู้ไปในไตรมาสก่อน ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน                 ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 2,241.87 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.4 จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลงร้อยละ 0.9 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการลดลงของ ค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามการอ่อนตัวลงของผลกำไร ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมอยู่ที่ร้อยละ 47.9                 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) มีจำนวน 385.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ของปีก่อน หน้าและจากไตรมาสก่อนหน้า โดยค่าใช้จ่ายสำรองคิดเป็นอัตราร้อยละ 0.7 ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทดำเนิน นโยบายการขยายสินเชื่ออย่างระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามทวงถามหนี้ส่งผลให้ คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) อยู่ในระดับที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.42 ทั้งนี้ การตั้งสำรองในระดับนี้เพียงพอรองรับต่อความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตตามนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม และยังคงรักษาอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) ที่ ร้อยละ 153.8

หุ้นไทยที่หลบภัย Q2 ?!!!  คัด 3 หุ้นฟอร์มเด่น

หุ้นไทยที่หลบภัย Q2 ?!!! คัด 3 หุ้นฟอร์มเด่น

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.ทรีนีตี้ ระบุ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีนที่ออกมาเติบโตแข็งแกร่งเกินคาดที่ 5.4%  ช่วยตอกย้ำมุมมองในไตรมาสที่ 2 ที่จะเห็นการปรับตัวที่แข็งแกร่งกว่าของตลาดหุ้นเกิดใหม่ประเมินตลาดหุ้นไทยจะเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกเป็นแหล่งหลบภัยในไตรมาสที่ 2 นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่การลงทุนในระดับโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น            Powell Flags Tariff Risks: Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แสดงความกังวลอย่างชัดเจนว่า นโยบายภาษีนำเข้าที่ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสร้างความท้าทายต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed โดยเฉพาะภารกิจในการควบคุมเงินเฟ้อควบคู่ไปกับการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ พาวเวลล์ระบุว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในปัจจุบันส่วนหนึ่งเกิดจากผลของภาษีนำเข้า ขณะเดียวกันกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัว โดยเฉพาะดัชนี GDP ในไตรมาสแรกซึ่งคาดว่าจะโตในอัตราต่ำ ทั้งที่มียอดขายรถยนต์และการนำเข้าเร่งตัวเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีในอนาคต            ท่าทีของ Fed ยังคงระมัดระวัง โดยยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย พร้อมเน้นว่าการตัดสินใจใด ๆ จะต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะ "stagflation" ซึ่งเป็นภาวะที่เงินเฟ้อเร่งตัวในขณะที่การเติบโตชะลอลงและอัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้น            China’s GDP: ในขณะที่เมื่อวานนี้ (16 เม.ย.) จีนประกาศ GDP ประจำไตรมาส 1 ปี 2025 เติบโตแข็งแกร่งเกินคาดที่ 5.4% จากแรงสนับสนุนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และการเร่งส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ โดยยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมขยายตัวถึง 5.9% และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 7.7%            EM vs. DM: โดยจากถ้อยแถลงของนาย Jerome Powell และตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีนที่ออกมา ช่วยตอกย้ำมุมมองในไตรมาสที่ 2 ของเรา ที่จะเห็นการปรับตัวที่แข็งแกร่งกว่าของตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (DM) โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประเมินตลาดหุ้นไทยจะเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกเป็นแหล่งหลบภัยในไตรมาสที่ 2 นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่การลงทุนในระดับโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น            SET: คาด SET Index เปิดตลาดปรับตัวลงเล็กน้อยตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ แต่ระดับการลงคงไม่รุนแรงเท่า และดัชนีอาจมีการเด้งระหว่างวัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นช่วยพยุงกลุ่ม Oil & Gas ไว้ อีกส่วนอาจเป็นท่าทีของนักลงทุนต่างชาติที่ระยะสั้นอาจยังคงมีแรงซื้อสุทธิไปตามโมเมนตัมของเงินบาท ที่ปรับตัวแข็งค่าตามราคาทองคำที่ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หุ้น Top Picks : ADVANC, CPN, MAGURO

กลุ่มแบงก์บวกยกแผง รับ Sentiment ช่วงสั้น ตั้ง Virtual Bank

กลุ่มแบงก์บวกยกแผง รับ Sentiment ช่วงสั้น ตั้ง Virtual Bank

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้รับ sentiment เชิงบวก จากข่าวการพิจารณาคุณสมบัติผู้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ซึ่งมีผู้ผ่านการคัดลือกแล้วจำนวน 3 ราย จากทั้งหมด 5 ราย แต่มองเป็นเพียงในระยะสั้นเท่านั้น           สำหรับ KTB และ SCB เนื่องจากการจัดตั้ง Virtual Bank คงใช้เวลาอีกราว 1 ปี ถึงจะสามารถเปิดดำเนินการได้จริง และถ้าดู Virtual Bank ในต่างประเทศ ในช่วงแรกต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง และจะไม่สามารถทำกำไรในช่วง 1-2 ปีแรก ขณะที่ไม่ใช่ทุกรายที่จะประสบความสำเร็จ จากกรณีศึกษาในต่างประเทศ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีฐานลูกค้าที่ใหญ่มาก และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และหลายแห่งใช้เวลากว่าจะมีกำไรราว 5-8 ปีนับจากจัดตั้ง ดังนั้นยังไม่เห็นผลบวกในระยะสั้น สำหรับผู้ประกอบการที่จะได้ไล่เซ่นส์ Virtual bank ยังให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารระดับปานกลาง (neutral)           Top Pick ยังคงเป็น BBL (TP: 184.-), KTB (TP: 27.30) และ KBANK (TP:180.-) ที่คาดว่าจะมีกำไร 1Q68 และกำไรทั้งปี 68 ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง และเก็งกำไร SCB (TP:132.-) สำหรับข่าวดังกล่าว เนื่องจากพันธมิตร Kakao Bank ถือเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำ virtual bank ในเกาหลีที่ประสบความสำเร็จ มีผลประกอบการที่มีกำไรค่อนข้างดีเทียบกับรายอื่น           บล.กรุงศรี ระบุกลุ่มธนาคาร ยังคงมุมมองเดิมต่อ virtual bank ว่าไม่กระทบต่อกลุ่มธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ เพราะปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ได้พัฒนาระบบการเงินดิจิทัลอยู่แล้ว และฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงธนาคารได้

TISCO คาดกำไรลดแต่ปันผลเด่น โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 104 บาท

TISCO คาดกำไรลดแต่ปันผลเด่น โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 104 บาท

                          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ทรีนีตี้ TISCO คาดจะประกาศงบวันนี้ (17 เม.ย.): เราคาดว่า TISCO จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ 1.6 พันล้านบาท ลดลง 6% QoQ และ 8% YoY จากแรงกดดันหลักด้านค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงคุณภาพหนี้ที่อ่อนแอลงภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย และการขยายพอร์ตสินเชื่อไปยังกลุ่ม High Yield มากขึ้น ขณะที่สินเชื่อโดยรวมมีแนวโน้มทรงตัวจากความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีแนวโน้มอ่อนตัวตามฤดูกาล             โดยเรายังคงประมาณการกำไรปี 2568 ว่าจะชะลอตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จุดเด่นสำคัญยังอยู่ที่อัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง โดยเราคงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 104 บาท อิง PBV 1.82 เท่า แม้ Upside จะค่อนข้างจำกัดจากแนวโน้มผลประกอบการในระยะสั้น แต่คาดว่า TISCO จะยังคงจ่ายปันผลปีนี้อยู่ที่ 7.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ราว 7.8% ต่อปี โดยในครึ่งปีหลังของปี 2567 จะมีการจ่ายปันผลอีก 5.75 บาท (XD 28 เม.ย. 68) คิดเป็น Residual Dividend Yield ประมาณ 5.8% เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากจุดเด่นด้านผลตอบแทนปันผลที่น่าสนใจ.

TISCO กำไร Q1 หดตัว เศรษฐกิจฉุดผลงานร่วง

TISCO กำไร Q1 หดตัว เศรษฐกิจฉุดผลงานร่วง

              หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง TISCO ว่า Consensus คาดกำไรในงวด 1Q68 เฉลี่ย 1,609 ล้านบาท (-7% YoY, -5% QoQ) จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า, ยอดขายรถยนต์ในประเทศหดตัว และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 68 อาจเหลือ 5.3 แสนคัน หดตัว 7.5% YoY จากปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อที่มีอยู่เดิม รวมถึงปัญหาใหม่ทั้งแผ่นดินไหวและการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบรายได้หลักของไทย ปลายเดือน ก.พ. 68 TISCO มีสินเชื่อสุทธิคงค้าง 2.26 แสนล้านบาท (+0.18% YTD) พลิกจากหดตัว 1.1% YoY ณ ปลายปี 67 จากการเติบโตของสินเชื่อในทุกกลุ่มธุรกิจต่อเนื่องจาก 4Q67 โดยสินเชื่อสุทธิ +0.5% MoM, -0.6% YoY             ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลางต่อผลการดำเนินงานในปีนี้ที่มีโอกาสหดตัวเล็กน้อย จาก Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 68 เฉลี่ย 6.6 พันล้านบาท (-5% YoY) ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายที่ระดับ PBV 1.84x สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 0.64x นอกจากนี้ IAA consensus คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 8% ต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับสูงและน่าสนใจถือลงทุนระยะยาวเพื่อรอรับเงินปันผล โดยบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปี 67 หุ้นละ 5.75 บาท yield 5.8% XD 25 เม.ย. วันจ่าย 16 พ.ค. แนะนำ “ถือ”

CPALL คาดกำไร Q1 ที่ 6.5 พันล. โบรกชี้ SSSG แกร่ง เป้า 80 บ.

CPALL คาดกำไร Q1 ที่ 6.5 พันล. โบรกชี้ SSSG แกร่ง เป้า 80 บ.

 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.พาย ระบุ แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+8%YoY, -6%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดเติบโต 2% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +0.5% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)

หุ้นไทยผันผวนแรง! ให้กรอบ 1,122-1,150 จุด

หุ้นไทยผันผวนแรง! ให้กรอบ 1,122-1,150 จุด

            หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายธวัชชัย อัศวพรไชย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (17 เม.ย.68) คาดว่าจะมีความผันผวน โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index วันนี้ไว้ที่แนวรับ 1,122 จุด และแนวต้านที่ 1,150 จุด และต้องจับตา ปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ปิดลบ ทั้งนี้ หุ้นอินวิเดียปรับตัวลง 6.8% หลังบริษัทเปิดเผยผลกระทบจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปไปยังประเทศจีน ซึ่งได้ฉุดหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงตามกัน             นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าของจีน ที่ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% ขณะที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีต่อสินค้าจากจีนเป็น 145% ส่งผลเชิงลบต่อกลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์             ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ควรติดตามความคืบหน้าการออกใบอนุญาต Virtual Banking ในเชิงกลยุทธ์เป็นบวกต่อกลุ่ม Tech consult เช่น BBIK BE8 และกลุ่มที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกิจโดยตรงทั้งกลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร เป็นต้น             และผลการหารือระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการนำเข้าก๊าซจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งได้เสนอแผนนำเข้าก๊าซ LNG 15 ล้านตัน ทำสัญญายาว 15 ปี กับสหรัฐฯ ปัจจัยดังกล่าวมองเป็นบวกที่ช่วยให้ราคา Pool Gas ลดลง และสนับสนุนให้ PTTGC นำเข้าอีเทน 4 แสนตัน หนุนให้กลุ่ม PTT กลายเป็นผู้ส่งออก LNG รายใหญ่ในภูมิภาค หากเจรจาสำเร็จ สหรัฐฯ เกินดุลการค้าไทยเพิ่ม 600 ล้านเหรียญฯ รวมถึงการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นกลุ่มธนาคาร ได้แก่ KBANK และ KTC รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

CPF จับตางบ Q1 คาดแตะ 7พันล. ย้ำขายไปสหรัฐฯ ไม่ถึง 2%

CPF จับตางบ Q1 คาดแตะ 7พันล. ย้ำขายไปสหรัฐฯ ไม่ถึง 2%

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.พาย ระบุ ปัจจัยบวกจากผลประกอบการงวด 1Q25 ที่คาดว่าจะสูงถึงระดับ 7,078 ล้านบาท (+514%YoY,+70%QoQ) จากผลดีของราคาเนื้อสุกรที่ไทยและเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดที่เกิดขึ้น ซึ่งผลดีดังกล่าวยังคงเห็นต่อเนื่องมาถึงช่วง 2Q25 นี้ ขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เบื้องต้นทาง CPF มีการขายไปยังสหรัฐฯ ไม่มากนัก มีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของรายได้รวม CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท)

AOT ขานรับท่องเที่ยว กำไร Q2 ฟื้นแรง! 5.94 พันล.

AOT ขานรับท่องเที่ยว กำไร Q2 ฟื้นแรง! 5.94 พันล.

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดการณ์กำไรสุทธิ AOT ในไตรมาส 2 ปี 2568 (มกราคม-มีนาคม 2568) ที่ 5.94 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (YoY) และเพิ่มขึ้น 11.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งคิดเป็น 28.5% ของประมาณการกำไรเต็มปีที่ 2.08 หมื่นล้านบาท (+8.5% YoY) โดยคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็น 34.79 ล้านคน (+7.6% YoY, +3.5% QoQ) แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 21.48 ล้านคน และผู้โดยสารในประเทศ 13.31 ล้านคน ขณะที่จำนวนเที่ยวบินคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 11.1% YoY และ 2.6% QoQ              รายได้ในไตรมาสนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1.88 หมื่นล้านบาท (+2.8% YoY, +6.2% QoQ) โดยอัตรากำไร EBIT คาดว่าจะอยู่ที่ 43.0% ลดลงเล็กน้อยจาก 44.0% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ดี สัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบินและไม่เกี่ยวข้องกับการบินคาดว่าจะอยู่ที่ 50.4:49.6 ทั้งนี้คาดว่าผลการดำเนินงานของ AOT จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรจากการประหยัดต่อขนาด              นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณที่ดีในเรื่องการชำระค่าสัมปทานจากกลุ่ม King Power ซึ่งแม้จะเกิดปัญหาสภาพคล่องในช่วงที่ผ่านมา แต่ AOT ยังสามารถรับรู้รายได้จาก King Power เป็นลูกหนี้ค้างรับและได้รับการผ่อนผันให้เลื่อนการชำระจากเดือนกันยายน 2567 ถึงเมษายน 2568 โดยคาดว่า King Power จะกลับมาชำระตามกำหนดในเดือนพฤษภาคม 2568 จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการเติบโตที่ยั่งยืนของธุรกิจ AOT นักวิเคราะห์จึงปรับคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” พร้อมคงราคาเป้าหมายที่ 50.00 บาท อิงจากการประเมิน DCF (WACC 9%, TG 1%) โดยราคาหุ้น AOT ปัจจุบันมีค่า PE ที่ 26.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2562 และ 2567 อย่างมีนัยสำคัญ

TIDLOR ราคารถมือสองฟื้น รับปัจจัยบวกไม่ยั้ง เป้า 19.75 บาท

TIDLOR ราคารถมือสองฟื้น รับปัจจัยบวกไม่ยั้ง เป้า 19.75 บาท

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ TIDLOR สำหรับปี 2568 โดยเป็นบริษัทจำนำทะเบียนขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด พร้อมทั้งธุรกิจนายหน้าประกันที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ นอกจากนี้เราคาดว่าคุณภาพสินทรัพย์อาจมีโอกาสปรับตัวได้ดีกว่าที่คาดจากการปรับกระบวนการติดตามหนี้ และการจัดสรรทรัพยากรในการเก็บหนี้ พร้อมทั้งทำการตัดหนี้สูญเชิงรุกในช่วงปี 2566-2567 ที่ผ่านมา ทำให้ลูกหนี้กลุ่มใหม่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น นอกจากนี้เราคาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะลดลงมากกว่าที่ตลาดคาด จากราคารถมือสองที่หยุดปรับตัวลดลงและมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในครึ่งแรกของปี 2568 โดยราคารถมือสองปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เป็นปัจจัยเชิงบวกสนับสนุนได้ในช่วงนี้           TIDLOR: ราคาพื้นฐาน 19.75 บาท

GPSC ราคา pool gas ลด หนุนกำไร โบรกเคาะพื้นฐาน 41.50 บ.

GPSC ราคา pool gas ลด หนุนกำไร โบรกเคาะพื้นฐาน 41.50 บ.

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ GPSC โดยมีปัจจัยหนุนจากต้นทุน JKM LNG ที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ 11.37 ดอลลาร์/mmbtu ลดลง 21% ตั้งแต่ต้นปี และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ ส่งผลให้ราคา pool gas โดยรวมมีโอกาสปรับตัวลดลง ซึ่งทุกๆ 10 บาท/mmBTU ที่ลดลงจะส่งผลดีต่อกำไร GPSC ประมาณ 5% นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 2.01% จาก 2.3% ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลเป็น sentiment เชิงบวกต่อเนื่องสำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ปรับตัวลงมามากในปีนี้ ปัจจุบัน GPSC ซื้อขายอยู่ที่ระดับ P/E ปี 2025 ประมาณ 16.x เท่า พร้อมกำไรในปี 2568 ที่มีโอกาสเติบโตประมาณ 17% GPSC: ราคาพื้นฐาน 41.50 บาท

ตลาดหุ้นสั่นคลอน! FED ฉุดความเชื่อมั่น

ตลาดหุ้นสั่นคลอน! FED ฉุดความเชื่อมั่น

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,125-1,150 จุด โดยมี Sentiment ลบกดดันจากฝั่งสหรัฐฯ แม้ว่ายอดค้าปลีกเดือนมีนาคมจะออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย แต่ถ้อยแถลงของประธาน FED สร้างความกังวล โดยระบุว่าการเก็บภาษีที่สูงกว่าคาดจะกดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ชะลอลง ขณะที่เงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ภารกิจของ FED ในการทำให้อัตราการจ้างงานเต็มศักยภาพและเงินเฟ้อลดลงสู่เป้าหมาย 2% เป็นไปได้ยากขึ้น ส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงและกลับเข้าสู่พันธบัตรรวมถึงทองคำอย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดยังคาดการณ์ว่าการปรับลดดอกเบี้ยของ FED จะเกิดขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม วันนี้นักลงทุนควรติดตามผลการประชุม ECB โดยตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 25 bps สู่ระดับ 2.25%                ปัจจัยในประเทศ: โฟกัสอยู่ที่การเริ่มประกาศผลประกอบการ 1Q25 ของกลุ่มธนาคาร โดยเริ่มต้นที่ TISCO หากผลออกมาไม่แย่กว่าคาด จะช่วยลดความกังวลต่อแนวโน้มกำไรของฝั่ง Real Sector ได้บ้าง อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามการทยอยปรับลดประมาณการ EPS ของ SET ตามแนวโน้ม GDP ที่มีโอกาสเติบโตต่ำกว่า 2% จากผลกระทบของภาษีการค้าสหรัฐฯ ทั้งนี้ เรายังมองว่าหุ้นกลุ่ม Domestic และ Consumer Staple จะยังปรับตัวได้แข็งแกร่งกว่าตลาด                กลยุทธ์การลงทุน: ยังคงเน้น Selective Buy หุ้น Domestic ที่มีแนวโน้มกำไร 1Q25-2025 แข็งแกร่ง และได้รับผลกระทบจำกัดจากความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว หุ้นเด่นเดือนเมษายน: BA, BBL, CPF, HMPRO, OSP FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR                 หุ้นเด่นวันนี้: NSL แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 43 บาท ระยะสั้นคาดกำไร 1Q25 แข็งแกร่ง มีโอกาสเติบโตทั้ง q-q และ y-y ได้แรงหนุนจากสินค้าใหม่ที่ได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 โต 16-17% y-y จากการเติบโตของโรงงานผลิตชีส รวมถึงสินค้ากลุ่มน้ำมะพร้าว/น้ำผลไม้ส่งออกที่จะรวมรายได้เข้ามาเต็มปี เราตั้งสมมติฐานรายได้ปี 2025 โต +14% และกำไรสุทธิที่ 600 ลบ. ถือว่า conservative และยังมี Upside โดยปัจจุบันราคาเทรด PER อยู่ที่ 14 เท่า แนวรับ 28 // 27-26.50 บาท แนวต้าน 30-30.50 // 32 บาท                Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากภูมิภาคอย่างหนาแน่นรวมสุทธิ US$1.6 พันล้าน นำโดยไต้หวัน US$707 ล้าน รองลงมาคืออินโดนีเซียและเกาหลีใต้ ประเทศละ US$413-488 ล้าน ส่วนอาเซียนอื่นมีเม็ดเงินผสมผสาน โดยไหลเข้าไทยแต่ไหลออกจากเวียดนาม แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะยังอยู่ในทิศทางไหลออก หลังจากประธาน FED ระบุว่ามาตรการภาษีของทรัมป์ทำให้เศรษฐกิจชะลอและเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ FED ดำเนินนโยบายได้ยากขึ้น และยังไม่มีการออกมาตรการพยุงตลาดเพิ่มเติม                ประเด็นสำคัญวันนี้: (+) กลุ่มเนื้อสัตว์ คาดกำไร 1Q25 โต 47% q-q และ 466% y-y จากราคาสุกรที่ปรับขึ้นมากกว่าคาด โดยราคาหมูไทยเฉลี่ย YTD อยู่ที่ 80-82 บาท/กก. +19% y-y และหมูเวียดนาม +22% y-y จาก Supply ที่ลดลงจากโรคระบาดและน้ำท่วมใน 4Q24 เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2025 ขึ้น +45% เป็นโต +16% y-y นำโดย BTG +62%, TFG +33%, CPF +12% ขณะที่ GFPT คงเดิมที่ -24% (+) BTG คาดกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 1.25 พันลบ. +26% q-q และพลิกจากขาดทุนปีก่อน ได้แรงหนุนจากราคาหมูที่สูงขึ้น ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบยังอยู่ในระดับต่ำ เราปรับประมาณการกำไรปี 2025 ขึ้น +44-47% และตั้งเป้ากำไรใหม่โต 62% y-y ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 27 บาท แนะนำ “ซื้อ” (+) TFG คาดกำไรสุทธิ 1Q25 +45% q-q, +612% y-y จากราคาหมูที่สูงขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบลดลง ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2025 โต 10-15% y-y เราปรับประมาณการกำไรปี 2025-27 ขึ้น +17-24% ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 5.30 บาท แนะนำ “ซื้อ” (+) BDMS คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 4.4 พันลบ. +7% y-y แตะระดับสูงสุดใหม่ หนุนจากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่โต +10% y-y โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง +15-20% y-y ขณะที่ผู้ป่วยไทยโต +4-5% y-y คาด EBITDA margin ยังคงแข็งแกร่งที่ 25% และโมเมนตัมกำไรจะต่อเนื่องใน 2Q25 แนะนำ “ซื้อ” (+) กลุ่มไฟฟ้า ราคาหุ้นปรับขึ้นแรงวานนี้ โดยเฉพาะ GPSC และ BGRIM คาดได้ Sentiment บวกจากข่าวที่รัฐบาลหารือการนำเข้า LNG เพิ่มจากสหรัฐอีก 1 ล้านตัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงและหนุน Margin ของโรงไฟฟ้า SPP อย่างไรก็ตามต้องระวังการคาดหวังต่อราคาก๊าซที่อาจลดลงมากเกินไป ขณะที่ภาครัฐยังมีนโยบายลดค่าไฟอย่างต่อเนื่อง แนะนำ “ซื้อ” GULF เป้าหมาย 57.7 บาท และ RATCH เป้าหมาย 34.8 บาท

น้ำมันรีบาวด์แรง! พลังงานคึก - PTTEP–PTT เด่น

น้ำมันรีบาวด์แรง! พลังงานคึก - PTTEP–PTT เด่น

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น (Rebound) โดยน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น +1.82% d-d ปิดที่ระดับ 65.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ West Texas ปรับขึ้น +1.86% d-d ปิดที่ 62.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นที่ลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แม้ว่าสต็อกน้ำมันดิบจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำในวันนี้ แนะนำเก็งกำไรหุ้นเด่นในกลุ่ม อาทิ PTTEP แนวต้าน 107.5 / 115 และ PTT แนวต้าน 32.25 / 33.0

AOT รอบนี้ทำใจลำบาก ผู้โดยสารชะลอ-ลดเป้า

AOT รอบนี้ทำใจลำบาก ผู้โดยสารชะลอ-ลดเป้า

           หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ” AOT และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 52.00 บาท (เดิม 58.00 บาท) ยังอิง DCF (WACC 7.4% และ terminal growth 3.5%)            ประเมินกำไรสุทธิ 2QFY25E ที่ 5.7 พันล้านบาท -1% YoY, +7% QoQ จะเติบโตช้าลงกว่าเดิมที่ประเมินโตได้ทั้ง YoY และ QoQ ปัจจัยหลักๆ มาจากผู้โดยสารระหว่างประเทศเติบโตน้อยกว่าคาดเป็น 21.7 ล้านคน +9% YoY, +4% QoQ โดยในเดือน มี.ค.25 กลับมาลดลง -0.6% YoY จากผู้โดยสารจีนที่ลดลงเป็นหลัก ส่วนผู้โดยสารในประเทศจะยังเติบโตได้ตามเดิมที่ 13.5 ล้านคน +8% YoY, +5% QoQ เราปรับประมาณการกำไรสุทธิ FY25E ลง 10% เป็น 2.0 หมื่นล้านบาท +2% YoY เนื่องจากเราปรับลดผู้โดยสารรวมเป็น 127 ล้านคน +6% YoY (เดิม 132 ล้านคน +11% YoY, 1HFY25E = 69 ล้านคน +12% YoY) โดยปรับลดจากผู้โดยสารระหว่างประเทศเป็น 77 ล้านคน +6% YoY (เดิม 82 ล้านคน +13% YoY, 1HFY25E = 43 ล้านคน +16% YoY) จากนักท่องเที่ยวจีนที่เติบโตช้าลง และผลกระทบจากสงครามการค้าทำให้นักท่องเที่ยวประเทศหลักๆ ทั่วโลกระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น โดยประเมินผู้โดยสารระหว่างประเทศ 2HFY25E จะลดลง -3%-4% YoY ส่วนผู้โดยสารในประเทศยังประเมินที่ 50 ล้านคน +7% YoY ราคาหุ้น underperform SET -17% ในช่วง 3 เดือน จากความกังวลที่ KPD เลื่อนการชำระผลตอบแทน            ทั้งนี้ ปรับคำแนะนำลงเป็น ถือ จากแนวโน้มผู้โดยสารที่ฟื้นตัวช้าลง นอกจากนั้น ยังคงมีปัจจัยกดดัน จากความกังวลว่า AOT ต้องมีการออกมาตราช่วยเหลือ KPD เพิ่มเติม โดยเราได้ทำ sensitivity analysis (Fig 2: case 3-5) กรณีที่ AOT จะต้องปรับสัญญาใหม่ เช่น ลด minimum guarantee เพื่อช่วยเหลือ KPD โดยรายได้จาก KPD ที่ลดลงทุก 10% จะทำให้กำไรของ AOT ลดลงราวอีก 7% เทียบกับกำไรในประมาณการใหม่ของเรา (case 2: new base case)

ASL คาด SET แกว่งในกรอบ 1,122–1,150 จุด แนะซื้อ BEM เป้า 6 บ.

ASL คาด SET แกว่งในกรอบ 1,122–1,150 จุด แนะซื้อ BEM เป้า 6 บ.

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยวันนี้ แกว่งตัว Sideway แนะนำ Trading ในกรอบ 1,122-1,150 จุด ปัจจัยต่างประเทศ : (+) จีนแสดงเจตจำนงในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ (-) ถ้อยแถลงพาวเวลให้มุมมองเชิงลบ (-) หุ้นอินวิเดียปรับตัวลงกดดันกลุ่ม semiconductor               รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ทางการจีนได้เปิดเงื่อนไขก่อนที่รัฐบาลจีนจะเห็นชอบเจรจาการค้ากับสหรัฐ กล่าวคือ รัฐบาลทรัมป์ต้องแสดงให้เห็นว่าเคารพรัฐบาลจีน ด้วยการดูแลไม่ให้รัฐมนตรีแสดงความคิดเห็นดูหมิ่น สหรัฐต้องมีจุดยืนอยู่ในร่องในรอยมากขึ้น และเต็มใจแก้ไขข้อกังวลของจีนเรื่องการคว่ำบาตรของสหรัฐและเรื่องไต้หวัน ขณะที่นายกฯ จีนได้ให้มุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะยังขยายตัวผ่านการบริโภคภายในประเทศ และการพัฒนาตลาดอสังหาฯ มองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นจีน พาวเวลแสดงความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง เนื่องจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร และจะกระทบต่อภารกิจหลักสองประการของเฟด คือ การรักษาเสถียรภาพของราคา และการทำให้การจ้างงานเต็มศักยภาพ ทั้งนี้ พาวเวลประเมินว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น และ GDP อาจลดลง ซึ่งประมาณการจาก GDP Now ประเมินว่า US GDP 1Q25 จะหดตัว 2.2%               ทั้งนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเฟดจะให้ความสำคัญต่อเป้าหมายในด้านใดมากกว่า รวมถึงพาวเวลยังไม่ได้ส่งสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย และจะขอดูข้อมูลเศรษฐกิจก่อนการประชุมเฟดครั้งถัดไป               หุ้นอินวิเดียร่วงลง 6.8% หลังบริษัทเปิดเผยผลกระทบจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปไปยังประเทศจีน และได้ฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงตามกัน หลังได้รับผลกระทบจากจีนประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% ส่วนสหรัฐฯ ขึ้นภาษีจีนที่ 145% เป็น sentiment เชิงลบต่อกลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กฯ ปัจจัยในประเทศ : (+) อัปเดตความคืบหน้า Virtual Banking (+) ผลการหารือ ก.คลัง-ธปท. จะนำเข้าก๊าซจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น (0) KBANK, KTC ขึ้น XD ธปท. ประกาศผู้ผ่านการคัดเลือกได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Virtual Banking ได้แก่ KTB-AIS-GULF-OR SCBX-KakaoBank-WeBank Ascend Money-กลุ่ม CP ในเชิงกลยุทธ์เป็นบวกต่อกลุ่ม Tech Consult เช่น BBIK, BE8 และกลุ่มที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกิจโดยตรง ทั้งกลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร เป็นต้น               ด้านผลการหารือระหว่าง ก.คลัง และ ธปท. ได้เสนอแผนนำเข้าก๊าซ LNG 15 ล้านตัน ทำสัญญายาว 15 ปี กับสหรัฐฯ มองเป็นบวกที่ช่วยให้ราคา Pool Gas ลดลง และสนับสนุนให้ PTTGC นำเข้าอีเทน 4 แสนตัน หนุนให้กลุ่ม PTT กลายเป็นผู้ส่งออก LNG รายใหญ่ในภูมิภาค หากเจรจาสำเร็จ สหรัฐฯ เกินดุลการค้าไทยเพิ่ม 600 ล้านเหรียญฯ เราประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway ในกรอบ 1,122-1,150 แนะนำ selective buy หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ติดตาม: ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม / การรายงานงบธนาคาร               Stock pick: BEM ขานรับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 6.00 บาท

PR9 แนวโน้มสดใส จังหวะน่าสะสม ปักเป้า 27 บ.

PR9 แนวโน้มสดใส จังหวะน่าสะสม ปักเป้า 27 บ.

                หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ประเมินหุ้น PR9 โดยคาดกำไร 1Q25 เติบโตดี YoY จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เราคาดกำไรสุทธิใน 1Q25 ที่ 184 ล้านบาท -11%QoQ, +16%YoY กำไรชะลอตัว QoQ เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล ซึ่งปกติในไตรมาส 4 จะเป็น High Season ของธุรกิจตรวจสุขภาพ นอกจากนี้ใน 4Q24 ยังมีบันทึกรายการลดหย่อนทางภาษีจากเงินบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้ภาษีจ่ายต่ำกว่าปกติ เทียบ YoY เติบโตเด่นมีปัจจัยหนุนดังนี้ คาดรายได้จากการให้บริการเติบโต 15%YoY ปัจจัยหลักจากการเติบโตของรายได้จากลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง และกลุ่ม CLMV เป็นไปตามกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าต่างชาติ ส่วนคนไข้ไทยเติบโตในระดับ single digit นโยบายการควบคุมต้นทุนทำได้ดี และสัดส่วนการรักษาโรคเฉพาะทางที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ EBITDA margin ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1Q24 ที่ 23.3% เป็น 23.6% ใน 2Q25-3Q25 ลูกค้าตะวันออกกลางเติบโตมากขึ้น และมีผลบวกจากการลดหย่อนภาษีสำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง บริษัทให้ข้อมูลประเด็นเรื่องการปรับนโยบายการรักษาของรัฐบาลคูเวตเรื่องส่งคนไข้มารักษาในประเทศไทยยังไม่คืบหน้า ส่วนประเด็นผลกระทบแผ่นดินไหวที่ประเทศพม่าไม่กระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นการเพียงเลื่อนนัดการรักษาเท่านั้น ขณะที่กลุ่มลูกค้าตะวันออกกลางจะเติบโตมากขึ้น QoQ และ YoY หลังผ่านช่วงเทศกาลถือศีลอดสิ้นสุด 30 มี.ค. ที่ผ่านมา รวมถึงผลจากกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าตะวันออกกลางมากขึ้น และใน 2Q25-3Q25 บริษัทให้ข้อมูลว่ามีโอกาสใช้รายการลดหย่อนทางภาษีจากเงินบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์เหมือนกับงวด 4Q24 ที่ผ่านมา ทำให้ภาษีจ่ายลดลง ปี 2025 แนวโน้มสดใสภาพรวมปี 2025 เราคงประมาณการกำไรเติบโตต่อเนื่อง 13%YoY เป็น 808 ล้านบาทผลบวกจาก การขยาย Capacity มากขึ้น โดยตึก B มีการปรับปรุงศูนย์เลสิค ย้ายออกมา ขยายห้องผ่าตัดได้ 3 ห้อง และขยายศูนย์เช็กอัปเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ในการเพิ่มรายได้จากศูนย์เฉพาะทาง อาทิ ศูนย์โรคไต โรคหัวใจ ศูนย์มะเร็งและข้อเข่าสำหรับผู้สูงอายุ และศูนย์ IVF ผลบวกจากกลยุทธ์ในการเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง ที่มีการเซ็นสัญญากับทางเอเจนซีในการส่งต่อผู้ป่วยมารักษา และจากรายได้ลูกค้าต่างชาติที่เติบโตโดดเด่นตั้งแต่ต้นปี มีโอกาสที่สัดส่วนรายได้จากต่างชาติจะขึ้นมามากกว่าเป้าที่บริษัทตั้งไว้ที่ 20% ของรายได้รวม เพิ่มจากปีก่อนที่ 17% ของรายได้รวม คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 27.00 บาทเรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2025 ที่เติบโตเด่นกว่าอุตสาหกรรม ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงตามตลาดสวนทางผลประกอบการ เรามองเป็นจังหวะเข้าลงทุน เราคงมูลค่าพื้นฐานปี 2025 ที่ 27.00 บาท อิงวิธี DCF โดยใช้ WACC ที่ 7.6% และ Terminal Growth 3%

เปิดวาร์ป 10 หุ้นพื้นฐาน ต่างชาติแอบสะสม

เปิดวาร์ป 10 หุ้นพื้นฐาน ต่างชาติแอบสะสม

            หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้นไทย หลังจากที่ นักลงทุนมีการกระจายเงินลงทุนออกจากสหรัฐฯ มาในตลาดการเงินภูมิภาค รวมถึงตลาดการเงินไทยมากขึ้นสะท้อนได้จากวันที่ทรัมป์ประกาศตอบโต้ภาษี 185 ประเทศถึงปัจจุบัน (9 – 16 เม.ย. 68) กลับมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย 3 ใน 4 วันทำการสูงถึง 1.46 หมื่นล้านบาท, เข้าตลาดหุ้น 3 ใน 4 วันทำการ 883 ล้านบาท  และเข้าตลาด TFEX 3 ใน 4 วันทำการ 30,854 สัญญา กลยุทธ์การลงทุนแนะนำเก็งกำไรหุ้นพื้นฐานดีที่มีเม็ดเงินต่างชาติซื้อหนุนต่อเนื่องตั้งแต่วันที่มีประเด็นทรัมป์ตอบโต้ ภาษี (9 –16 เม.ย. 68) อย่าง CPF, PTTGC, CPALL, STA, DELTA, TTB, TIDLOR, CRC, MINT, BGRIM

จับตาไลเซ่น Virtual Bank ชำแหละหุ้นได้เสีย เช็กเลย!

จับตาไลเซ่น Virtual Bank ชำแหละหุ้นได้เสีย เช็กเลย!

                 หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์บล. ดาโอ ระบุว่า แหล่งข่าวเผย 3 กลุ่มทุนใหญ่ คว้าไลเซ่น Virtual Bank แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธปท. ได้พิจารณาคุณสมบัติ ศักยภาพ และความสามารถที่จะประกอบธุรกิจ Virtual Bank เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ได้สัมภาษณ์กลุ่มที่ยื่นขอใบอนุญาตทั้ง 5 ราย ยาวนานถึงรายละ 4 ชั่วโมง จึงได้คัดเลือก 3 ราย ประกอบด้วย 1. กลุ่มของธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ กลุ่มพันธมิตร ได้แก่ AIS และกลุ่ม พีทีที (PTT) ผ่าน OR 2. กลุ่มของ SCBX ที่มีพันธมิตรใหญ่ 2 ราย คือ "WeBank" ธนาคารดิจิทัลชั้นนำในจีน และ KakaoBank ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ 3. กลุ่มแอสเซนด์ มันนี่ ผู้ให้บริการ อีวอลเล็ต ภายใต้ชื่อ "ทรูมันนี่" ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในเครือของ "เครือเจริญโภคภัณฑ์" (ซีพี) จับมือ "Ant International"  ซึ่งเป็นผู้นำในฟินเทค เป็นบริษัทลูกของอาลีบาบา (Albaba) จากจีน                  โดย ธปท. ได้ส่งรายชื่อทั้ง 3 รายให้กระทรวงการคลังแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือการรอความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้จัดตั้ง Virtual Bank ภายในกลางปี 2025 จากนั้นผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดดำเนินธุรกิจภายใน 1 ปี นับจากวันที่รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ (ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ, กรุงเทพธุรกิจ) บล.ดาโอ มีมุมมองเป็นกลางต่อประเด็นดังกล่าว โดย 3 กลุ่มที่จะได้ คือ 1) กลุ่ม KTB, AIS, OR ฐานลูกค้ารวมราว 100 ล้านคน 2) กลุ่ม SCBX, KakaoBank, WeBank ฐานลูกค้ารวมราว 400 ล้านคน 3) กลุ่ม TRUE โดยมี Ascend money (Truemoney), Ant group ฐานลูกค้ารวมราวกว่าพันล้านคน (จากทั้งหมด 5 กลุ่มที่สนใจ โดยมีเพิ่มเติมคือ กลุ่ม Sea Group, BTS, BBL, สหพัฒน์, ไปรษณีย์ไทย และกลุ่ม ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ โดยมี Lightnet group, WeLab ฐานลูกค้ารวมราว 46 ล้านคน) ทั้งนี้หากดังกล่างเป็นจริง กลุ่มที่ได้ใกล้เคียงกับที่เราคาดเพราะมีฐานลูกค้าที่กระจายไปยังรายย่อยได้เยอะ และมีกลุ่มธุรกิจการเงิน รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญในการทำ digital bank อยู่แล้ว ขณะที่เรายังคงต้องรอกระทรวงการคลังประกาศรายชื่อผู้ที่ได้ใบอนุญาตในเดือน มิ.ย. 25 และจะเปิดให้บริการได้ภายในเดือน มิ.ย. 26                  สำหรับกลุ่มธนาคารเรายังคงน้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดยเลือก TTB (ซื้อ/เป้า 2.22 บาท), KTB (ซื้อ/เป้า 27.50 บาท) และ BBL (ซื้อ/เป้า 186.00 บาท) เป็น Top pick ขณะที่จะเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มที่จะได้รับงานทางด้าน IT เช่น BBIK (ซื้อ/เป้า 52.00 บาท) ที่มีโอกาสได้รับงานเกี่ยวกับการขายผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับการวางระบบ Virtual Bank ตั้งแต่การให้คำปรึกษา, การดำเนินด้าน Digital Excellence, ระบบ ERP, ระบบ CRM รวมถึงระบบ AI เป็นต้น นอกจากนั้น จะยังส่งผลบวกต่อภาพรวมการลงทุนด้าน IT เพราะจะเป็นการดูดซัพพลายผู้วางระบบ digital transformation ทำให้มีโอกาสได้รับงานใหม่ๆ

CBG คาดQ1กำไรเกินต้าน สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส

CBG คาดQ1กำไรเกินต้าน สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส

             หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” CBG และคงราคาเป้าหมายที่ 95.00 อิง 2025E PER 27.0x (ใกล้เคียง -1SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เราประเมินกำไรสุทธิ 1Q25E ที่ 792 ล้านบาท (+26% YoY, +1% QoQ) สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส ใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์เดิม กำไรขยายตัว YoY จาก 1) รายได้รวมขยายตัว +9% YoY จาก Domestic branded own ปรับตัวเพิ่มขึ้น +32% YoY, Distribution business +13% YoY ช่วยชดเชยรายได้ต่างประเทศที่ลดลง -12% YoY, 2) GPM ขยายตัวเป็น 28.1% จาก 26.8% จากต้นทุนน้ำตาล,เศษแก้ว และอลูมิเนียมที่ปรับตัวลดลง ด้านกำไรขยายตัว QoQ จาก GPM ขยายตัว และ SG&A expenses ลดลง เนื่องจาก 4Q24 มีค่าใช้จ่ายโบนัสพิเศษ แม้รายได้ที่ลดลง -10% QoQ คงประมาณการกำไรปี 2025E ที่ 3,525 ล้านบาท (+24% YoY กำไร 2Q25E จะขยายตัวต่อ YoY, QoQ จากรายได้ทั้งไทยและต่างประเทศขยายตัว YoY, QoQ, GPM ขยายตัว จากการรับรู้น้ำตาลที่ลดลงเต็มไตรมาส เริ่มรับรู้ขวดแก้ว และกระป๋องที่บางลงตามแผน cost saving ของบริษัท ราคาหุ้นทรงตัวเมื่อเทียบกับ SET ใน 1 เดือนที่ผ่าน มองว่า valuation น่าสนใจ โดยเทรดอยู่ที่ 2025E PER 17.2x             มองว่าผลประกอบการเดินหน้าสู่วัฎจักรขาขึ้นรอบใหม่

9 หุ้นได้ประโยชน์ รับมือสงครามการค้า

9 หุ้นได้ประโยชน์ รับมือสงครามการค้า

             หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ความคืบหน้าเรื่องแนวทางรับมือมาตรการกีดกันการค้าที่มี เพิ่มเติมวานนี้ในส่วนของไทย ได้แก่ 1.) การหารือระหว่างกระทรวงการคลังกับ BOT ต่อความเสี่ยงดังกล่าว เน้นไปที่หากผลกระทบมาตรการภาษีเริ่มเกิดขึ้น และกระทบหลายฝ่ายต้องหยุดชะงักชั่วคราว สถานการณ์การปล่อยสินเชื่อมีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้นได้อย่างไร แต่ในส่วนการนำเงินสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ไม่มีอยู่ในแนวทาง ฝ่ายวิจัยประเมินสัญญาณดังกล่าวเบื้องต้นน่าจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ – การผ่อนคลายนโยบายการเงิน หากผลกระทบ Trade Tariff สูง ประเมินจิตวิทยา บวกต่อ SET และหุ้นได้ประโยชน์ TH Bond Yield ลดลงต่อเนื่อง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF เช่าซื้อ เน้น MTC JMT High Yield เน้น ADVANC หนี้สูง เน้น MINT TRUE 2.) กระทรวงการคลังหารือผู้ประกอบการในประเทศถึงแนวทางนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม อาทิ ก๊าซธรรมชาติ (PTT) ข้าวโพด อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป และอาหารสัตว์ ก่อนเดินทางไปสหรัฐฯ ประเมินแนวทางดังกล่าวจิตวิทยาบวก โดยหากใช้ก๊าซแทน Spot LNG เดิมใน Pool gas จะบวกต่อ กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF GPSC กลุ่มปิโตรเคมี PTTGC และเกษตร ฝั่ง CPF

KSS คาด SET วันนี้ Sideways/Up ชู PTT-PTTEP-CPALL เด่น

KSS คาด SET วันนี้ Sideways/Up ชู PTT-PTTEP-CPALL เด่น

                หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1,147/1,155 จุด รับ 1,128/1,120 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ คือ 1.) จีนเปิดช่องเจรจามาตรการการค้ากับสหรัฐ ผสานการทยอยเข้าเจรจาชาติอื่น อาทิ ญี่ปุ่น (วานนี้), ไทย (ต้นสัปดาห์หน้า) บ่งชี้ Risk Sentiment การกีดกันการค้าผ่านจุดเลวร้าย ที่เหลือขึ้นกับข้อเสนอที่แต่ละชาติจะได้รับ 2.) ราคาน้ำมันดิบขึ้นเฉลี่ย 1.8% จากภาพบวก Trade Tariffs และความกังวลซัพพลาย หลังสหรัฐออกมาตรการใหม่ควบคุมการส่งออกน้ำมันอิหร่าน 3.) กระแสเงินทุนเข้าไทยเป็นบวก วานนี้ต่างชาติซื้อพันธบัตร 1.3 หมื่นล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ 6 ส.ค. 24 + เช้านี้ซื้ออีก 3.3 พันล้านบาท พร้อมซื้อหุ้น, Long Tfex เช้านี้เงินบาทแข็งค่า 33 +/- บาท จิตวิทยาบวกต่อ SET 4.) ความคืบหน้า Virtual Bank เป็นบวกต่อการเป็นหนึ่งในการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ของไทย ระยะแรกๆ บวกต่อหุ้น Digital Tech, ธุรกิจในกลุ่มที่ผ่านคัดเลือกและมีฐานข้อมูลต่อยอดธุรกิจได้ (ADVANC, TRUE, OR, CPALL) ระยะกลาง เพิ่มการเข้าถึงเงินกู้กลุ่ม Untapped                 ประเมินหุ้นนำ คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าไว อาทิ โรงไฟฟ้า, พลังงาน (น้ำมันเด่น), กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากตลาดเก็งโอกาสลดดอกเบี้ยจากการเร่งซื้อพันธบัตรไทย อาทิ เช่าซื้อ, หนี้สูง High Yield, และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Virtual Bank วันนี้แนะนำ: PTT, PTTEP, CPALL

[Vision Exclusive] AH ซุ่มเจรจาดีล M&A เงินล้นศึกษาซื้อหุ้นคืน

[Vision Exclusive] AH ซุ่มเจรจาดีล M&A เงินล้นศึกษาซื้อหุ้นคืน

          หุ้นวิชั่น - AH ประเมินมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ไม่กระทบธุรกิจ เหตุสัดส่วนส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ต่ำเพียง 0.5% ของรายได้รวม มั่นใจแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังแกร่ง พร้อมรับอานิสงส์ค่ายรถ EV ตั้งฐานผลิตในประเทศ หนุนโอกาสรับคำสั่งซื้อใหม่ ดันรายได้ปี 2568 โตต่อเนื่อง ลุ้นดีล M&A ชัดเจนครึ่งปีแรก พร้อมศึกษาแผนซื้อหุ้นคืนเสริมความเชื่อมั่น           นายเย็บ ซู ชวน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH เปิดเผยว่า จากกรณีที่สหรัฐอเมริกาประกาศปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการจากต่างประเทศ รวมถึงผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์นั้น บริษัทประเมินว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของอาปิโก ไฮเทค อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากในปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังสหรัฐอเมริกาโดยตรงเพียงร้อยละ 0.5 ของรายได้รวม ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมากทั้งนี้ หากพิจารณาภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ยังพบว่าไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีดังกล่าว เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้มีการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปไปยังตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูง ดังนั้นจึงเชื่อว่าผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยจะอยู่ในระดับจำกัด           ในทางกลับกัน บริษัทมีโอกาสที่จะได้รับคำสั่งซื้อใหม่จากบริษัทที่เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถในไทย ทั้งรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยปีนี้จะเห็นการผลิตรถยนต์อีวีเพื่อชดเชยให้เท่ากับจำนวนที่นำเข้าแนวโน้มดังกล่าวถือเป็นโอกาสสำคัญของบริษัท ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ของไทย ซึ่งมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและสายการผลิตที่จะรองรับความต้องการของตลาดในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์พลังงานใหม่ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตได้ ย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงติดตามสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ การค้า และเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมความพร้อมเชิงกลยุทธ์ เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น           สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทคาดว่ารายได้รวมจะเติบโตจากปีก่อน ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 27,002 ล้านบาท โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงความคืบหน้าในการขยายธุรกิจผ่านการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาในดีลสำคัญ และคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน โดยจะเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ในลำดับถัดไป           ปัจจุบัน บริษัทมีกำไรสะสมจำนวน 8,178 ล้านบาท ซึ่งเป็นฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเพียงพอต่อการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะการซื้อหุ้นคืนซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งนิยมใช้ในการบริหารจัดการโครงสร้างทุน และเสริมความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุน           ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณเมื่อวันจันทร์ (14 เม.ย.) ว่า เขาอาจจะหาทางช่วยเหลือบริษัทผลิตรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้ามหาศาล เพื่อให้พวกเขามีเวลาปรับซัพพลายเชน ทั้งนี้ ทรัมป์อาจจะยอมถอยจากมาตรการภาษีนำเข้าที่เขาตั้งไว้ก่อนหน้านี้ โดยภาษีนำเข้า 25% สำหรับรถยนต์ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ ได้เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อต้นเดือนเม.ย. ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น เยอรมนี เกาหลีใต้ และบริษัทอื่น ๆ รวมทั้งบริษัทอเมริกัน           มองเป็นบวกเล็กน้อยต่อกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย หากมีการผ่อนปรนภาษีนำเข้ารถยนต์จากที่ปรับเพิ่มขึ้นไป 25% (ลงมาในอัตราเดิมที่เคยระบุว่าอยู่ที่ 2.5%) ทำให้กลับมามองเป็นบวกเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามที่เราประเมินก่อนหน้านี้ว่าการที่ทรัมป์ขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าจากทุกประเทศ ขณะที่การขยายโรงงานผลิตรถยนต์ในสหรัฐเพิ่มยังต้องใช้เวลา จะเป็นผลบต่อภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐเองจนกว่าที่สหรัฐจะขยายโรงงานผลิตรถยนต์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามมาตรการภาษีของทรัมป์ที่ยังไม่แน่นอนและอาจเปลี่ยนแปลงได้อีก โดยสถิติที่ผ่านมาประเทศไทยมีการส่งออกรถยนต์ไปทวีปอเมริกาเหนือคิดเป็นประมาณ 8% ของยอดส่งออกรวม หรือคิดเป็นประมาณ 5% ของยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมด นอกจากนั้น ประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าอาจทำให้ประเทศคู่ค้าของไทยอื่นๆ มีความระมัดระวังในการใช้จ่าย และทำให้การส่งออกรถยนต์จะชะลอตัวมากกว่าคาดได้ ซึ่งในช่วง 2M25 ยอดส่งออกรถยนต์มีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาที่ -18% YoY ทั้งนี้ ปัจจุบันเรายังประเมินที่ 1.45-1.50 ล้านคัน (ปี 2024 ยอดผลิตรถยนต์ 1.47 ล้านคัน) โดยกลุ่ม Automotive ให้น้ำหนักเป็น underweight ไม่มีหุ้น top pick โดย SAT แนะนำ ถือ เป้า 12.00 รายงานโดย ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] BCH เป๋าตุงกว่า 1 หมื่นล. จัดปันผลหนัก

[Vision Exclusive] BCH เป๋าตุงกว่า 1 หมื่นล. จัดปันผลหนัก

          หุ้นวิชั่น - BCH ฐานะการเงินแข็งแกร่ง! ตุนกระแสเงินสดในมือกว่า 10,000 ล้านบาท เดินหน้าจ่ายปันผลเพิ่มจากนโยบายเดิมที่ “ไม่น้อยกว่า 40%”ปีนี้ BCH ตั้งเป้ารายได้โต 10% รับแรงหนุน “เบิกประกันสังคม” เพิ่มเป็น 12,000 บาทต่อ RW พร้อมคาดจำนวนผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มเกิน 1.5 แสนราย โดยเฉพาะจาก CLMV – คาด ‘มัลดีฟส์’ โตเด่นลุยแผนลงทุนต่อเนื่อง! เตรียมใช้เงิน 800-900 ล้านบาท           ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เปิดเผยว่า บริษัทมีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลในปีนี้ในอัตราที่สูงกว่านโยบายปกติเดิมที่กำหนดไว้ "ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ" ต่อปี โดยบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากกำไร (ขาดทุน) สะสมจำนวน 10,007.68 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.6 เท่า ขณะเดียวกัน บริษัทมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่กระจายตัวดี โดยมีผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) คิดเป็นสัดส่วน 43.75% สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 11,846.15 ล้านบาท โดยยังคงรักษาผลประกอบการให้อยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง           "ปัจจุบันบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีกระแสเงินสดในมือมากกว่า 10,000 ล้านบาท ส่งผลให้สามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราที่สูงกว่านโยบายเดิมที่กำหนดไว้ อีกทั้งยังไม่มีภาระหนี้สินคงค้าง ขณะเดียวกัน บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะเติบโตได้สูงกว่าปีก่อน จากปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน ส่งผลให้โรงพยาบาลในเครือมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการรองรับการขยายตัวของธุรกิจ รวมถึงแผนการลงทุนในอนาคต"ศ.ดร.นพ.เฉลิม กล่าว           สำหรับกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ คาดว่าปีนี้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีผู้ป่วยประมาณ 150,000 ราย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV รวมถึงผู้ป่วยจากมัลดีฟส์ที่มีแนวโน้มเติบโต หลังโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ Aasandha Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างรัฐบาลมัลดีฟส์และ Allied Insurance Company of Maldives เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งต่อผู้ป่วยโรคซับซ้อนเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพในประเทศไทย           อีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนรายได้ในปีนี้ มาจากการที่สำนักงานประกันสังคมมีการปรับเพิ่มอัตราค่าบริการผู้ป่วยในจาก 8,000 บาท เป็น 12,000 บาทต่อ RW ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มโรงพยาบาลของบริษัทที่ปัจจุบันมีผู้ประกันตนรวมกว่า 1,030,000 ราย และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ แม้จะต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิด แต่บริษัทเชื่อว่าอัตราการเติบโตของผู้ประกันตนยังคงเป็นบวก และยังมีโอกาสได้รับอานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบประกันสุขภาพใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของระบบ Co-Payment ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคเลือกใช้โรงพยาบาลเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายเหมาะสมมากยิ่งขึ้น           พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าในการลงทุนต่อเนื่อง โรงพยาบาลแห่งใหม่ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างด าเนินการเป็นไปตามแผนของบริษัท โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ มีจำนวนเตียงจดทะเบียนประมาณ 268 เตียง ใช้งบลงทุนรวมประมาณ 1,650 ล้านบาท รวมค่าที่ดิน โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของโรงพยาบาลคือผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยในโครงการประกันสังคม เนื่องจากโรงพยาบาลตั้งอยู่ในอำเภอบางเสาธง ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรมบางพลีทั้งนี้ บริษัทมีแผนการก่อสร้างโดยใช้เงินลงทุนจากกระแสเงินสดภายในกิจการ และเงินกู้ยืมระยะยาว ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการยื่นขอรับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2568 และสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นปี 2570           นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ระยอง จังหวัดระยอง มีจำนวนเตียงจดทะเบียนประมาณ 250 เตียง โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ ผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยในโครงการประกันสังคม เนื่องจากจังหวัดระยองมีจำนวนผู้ประกันตนประมาณ 517,000 ราย และเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการแข่งขันและการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ในพื้นที่นอกจากนี้ จังหวัดระยองยังตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ส่งผลให้บริษัทได้รับ สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี จากการจัดตั้งโรงพยาบาลในพื้นที่ดังกล่าวปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการออกแบบเพื่อเตรียมยื่นขอรับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2569 และเปิดให้บริการภายในปี 2571 และยังมีแผนที่จะเปิดโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอลที่พัทยาอยู่ รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว

ผ่ากลยุทธ์ หุ้นไทย เอาไงต่อ?  จับตางบQ1 กลุ่มแบงก์

ผ่ากลยุทธ์ หุ้นไทย เอาไงต่อ? จับตางบQ1 กลุ่มแบงก์

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินตลาดหุ้นไทย สัปดาห์นี้ มีจากปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่   16 – 17 เม.ย. กระทรวงการคลังเตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) เพื่อประเมินนโยบายของสหรัฐฯ 17 เม.ย. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะผู้เจรจา จะเดินทางล่วงหน้าไปยัง นครซีแอตเทิล สหรัฐฯ โดยจะพบกับนักธุรกิจจากกลุ่มต่าง ๆ ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนด้านอื่น ๆ 17 – 18 เม.ย. กลุ่มธนาคารเริ่มทยอยรายงานกำไรงวด 1Q25 นำโดย TISCO และ TTB ตามลำดับ 18 เม.ย. สำนักงาน กสทช. กำหนดราคาตั้งต้นในการประมูลคลื่นมือถือ หลังจากการทำ Public Hearing รอบที่ 2 20 เม.ย. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะร่วมเดินทางกับคณะของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเตรียมเข้าพบกับผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ 21 เม.ย. คาดว่าจะเป็นวันที่คณะไทย เข้าพบกับผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับประเด็นการค้าระหว่างประเทศ ปัจจัยเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่ต้องติดตาม แนวโน้ม เงินบาทแข็งค่า อาจกดดันให้ Fund Flow ไหลออก ติดตาม แนวทางการเจรจาต่อรองมาตรการกีดกันทางการค้า กับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ตลาดหุ้นไทยเริ่มสร้างฐาน – คำแนะนำสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว ตลาดหุ้นไทยมีส่วนลดค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น และอยู่ในระดับที่ถือว่า “ถูก” (Deep Value) โดย Current Equity Risk Premium (ERP) อยู่ในระดับ สูงกว่าเฉลี่ย +2 S.D. เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ เราจึงมองว่าสามารถเน้น “ซื้อลงทุน” ได้ในบริเวณนี้ และให้น้ำหนักตลาดหุ้นไทยในพอร์ตการลงทุนของเราที่ระดับ “Slightly Overweight” อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นคาดว่าตลาดจะเริ่ม สร้างฐาน โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามหลัก ๆ ได้แก่: สถานการณ์การเมืองภายในประเทศหลังเทศกาลสงกรานต์ กลุ่มธนาคารที่เริ่มทยอยรายงานผลประกอบการ 1Q25→ นำโดย TISCO และ TTB ตามลำดับ ปัจจัยเหล่านี้อาจเป็น จังหวะในการทยอยสะสมกองทุนหุ้นไทย สำหรับนักลงทุนที่มองระยะกลางถึงยาว

จับตา TISCO ประกาศงบพรุ่งนี้ คาด Q1/68 กำไรหด

จับตา TISCO ประกาศงบพรุ่งนี้ คาด Q1/68 กำไรหด

             หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ลิเบอเรเตอร์ ระบุ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TISCO) แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ตลาดคาดจะอ่อนตัว เป็น 1.6 พันล้านบาท ลดลง -5.4% q-q และ -7.1% y-y แต่ได้ประโยชน์จาก คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ลดดอกเบี้ย 0.25% เหนือความคาดหมายเมื่อ 26 ก.พ.2568 น่าจะเริ่มเห็นผลในไตรมาส 2/2568 เป็นต้นไป Bloomberg cons. ปรับคาดการณ์ปันผลปีนี้ลง 5 สตางค์ เป็น 7.73 บาท แต่ Div. yield ยังน่าพอใจ ปันผล 2H67 ที่ 5.75 บาท จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 25 เม.ย.นี้ แนะนำรอให้งบไตรมาส 1/2568 ออกก่อน โดยให้เริ่มเก็บที่โซน 94-97 บาท หากไม่หลุด stop loss 90.00 บาท ยังลงทุนได้