การลงทุน


ตลท. รับจดทะเบียน 5 DR ใหม่ อ้างอิงหุ้นเทคของจีน

ตลท. รับจดทะเบียน 5 DR ใหม่ อ้างอิงหุ้นเทคของจีน

           หุ้นวิชั่น  - ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับจดทะเบียนหลักทรัพย์ใหม่ 5 DR อ้างอิงหุ้นเทคโนโลยีของจีน ได้แก่ China Mobile, Haier, Meituan, Tencent และ Xiaomi ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 22 เมษายน 2568 นี้ DR จำนวน 5 หลักทรัพย์ใหม่ อ้างอิงหุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ได้แก่ “CHMOBILE19” อ้างอิงหุ้น China Mobile Limited ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของจีน ครอบคลุมบริการมือถือ อินเทอร์เน็ต และโครงข่าย 5G “HAIERS19” อ้างอิงหุ้น Haier Smart Home Co., Ltd. ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านครบวงจรภายใต้แบรนด์ Haier เน้นการพัฒนาโซลูชันบ้านอัจฉริยะและระบบเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT “MEITUAN19” อ้างอิงหุ้น Meituan แพลตฟอร์ม E-Commerce ไลฟ์สไตล์ของจีน มีบริการที่หลากหลาย ได้แก่ การจัดส่งอาหาร บริการจองร้านอาหาร ที่พัก และท่องเที่ยว ครอบคลุมบริการในชีวิตประจำวัน “TENCENT19” อ้างอิงหุ้น Tencent Holdings Limited บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทำธุรกิจในกลุ่มบริการดิจิทัล ได้แก่ เกม โซเชียลมีเดีย การชำระเงินดิจิทัล โฆษณาออนไลน์ และบริการคลาวด์ “XIAOMI19” อ้างอิงหุ้น Xiaomi Corporation Co., Ltd. บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำผู้ผลิตสมาร์ทโฟและอุปกรณ์อัจฉริยะ ได้แก่ สมาร์ทโฟน Xiaomi Series และอุปกรณ์ Mi Smart Home ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) เป็นตราสารที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินบาท ผู้สนใจศึกษารายละเอียด 5 DR ใหม่ดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์คือ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด https://dr.yuanta.co.th หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DR เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com/dr

TRUE เสิร์ฟหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 3-3.85%  คาดเปิดจอง 2 และ 6 - 7 พ.ค.นี้

TRUE เสิร์ฟหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 3-3.85% คาดเปิดจอง 2 และ 6 - 7 พ.ค.นี้

            หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ : 21 เมษายน 2568 – บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2024 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ เปิดโอกาสการลงทุนในช่วงดอกเบี้ยขาลง โดยเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 5 ชุด อายุตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.00 - 3.85% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เสริมด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ในธุรกิจโทรคมนาคมและธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 2 และวันที่ 6 - 7 พฤษภาคม 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้             นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “หุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ที่กำลังจะเสนอขายในครั้งนี้ มี 5 รุ่น อายุตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ที่มองหาโอกาสรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ ด้วยอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจและด้วยสถานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าหุ้นกู้ TRUE เป็นทางเลือกการลงทุนที่มั่นคงในสภาวะตลาดปัจจุบัน โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อยเพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ (refinancing)             หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมีนักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน  และในปัจจุบัน ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ในช่วงนี้ เพื่อล็อกผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง”             หุ้นกู้ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชุดใหม่นี้ เสนอขาย ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” หรือ “Stable” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 2 และวันที่ 6 - 7 พฤษภาคม 2568 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 5 ชุด มีดังนี้ 1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 00% ต่อปี 2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 30% ต่อปี 3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 50% ต่อปี 4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 70% ต่อปี 5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่85% ต่อปี และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่วันครบกำหนดปีที่ 5 เป็นต้นไป             ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)             สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

บล.หยวนต้า แนะเก็งกำไร INDIAESG19 รับเจรจาการค้าสหรัฐ บรรลุข้อตกลงร่วมกัน

บล.หยวนต้า แนะเก็งกำไร INDIAESG19 รับเจรจาการค้าสหรัฐ บรรลุข้อตกลงร่วมกัน

            หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า แนะเก็งกำไร INDIAESG19 เป็น DR ที่อ้างอิง ETF ในสิงคโปร์ชื่อว่า iShares MSCI India Climate Transition โดยมีเป้าหมายในการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียอย่างน้อย 95% ของสินทรัพย์สุทธิ โดยคัดเลือกเฉพาะบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, Governance) และผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของ Climate Transition Benchmarks (CTBs) ที่กำหนดโดยสหภาพยุโรป             สัดส่วนการลงทุนแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรม โดย กลุ่มการเงิน มีน้ำหนักมากที่สุดที่ประมาณ 32% ของมูลค่าสินทรัพย์ รองลงมาคือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ที่ 14% และ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น ที่ 10% ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียที่ยังอยู่ในระดับสูง             แม้ว่าตลาดหุ้นอินเดียจะยังมี Valuation ที่ค่อนข้างสูง แต่ในระยะสั้นอาจมีแรงเก็งกำไรจากการคลายความกังวลในประเด็นสงครามการค้า หลังจากมีการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งแนวโน้มถือว่าค่อนข้างดี             ขณะเดียวกัน ในสัปดาห์นี้คุณ JD Vance รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกำหนดเดินทางเยือนอินเดียเป็นเวลา 4 วัน เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ โดยจะเข้าพบนายกรัฐมนตรี Narendra Modi เพื่อเจรจาทางการค้า ซึ่งคาดว่าจะมีข้อตกลงร่วมกันเพิ่มเติม เพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีในยุคอดีตของ โดนัลด์ ทรัมป์

บล.กรุงไทยฯ แนะเก็งกำไร NFLX80X รับงบ Q1/68 ดีกว่าคาด

บล.กรุงไทยฯ แนะเก็งกำไร NFLX80X รับงบ Q1/68 ดีกว่าคาด

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ระบุ Netflix (NFLX80X) เผยงบไตรมาส 1/2568 ดีกว่าคาด พร้อมมองไตรมาส 2/2568 โตเร่งตัวขึ้นจากการปรับราคาแพคเกจเต็มไตรมาส - รายได้ไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ USD 1.05 หมื่นล้านเติบโต 13%YoY และดีกว่าคาดจากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น การทยอยปรับราคาแพคเกจ แม้มีปัจจัยกดดันจากค่าเงิน โดยรายได้จาก US & Canada เติบโต 9%YoY และ EMEA เติบโต 15%YoY - อัตรากำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 31.7% ดีกว่าคาด และปรับขึ้นจาก 28.1% ในปีก่อน ส่งผลให้กำไรเติบโต 25%YoY มาที่ USD 6.61 ต่อหุ้นและดีกว่าคาด - บริษัทให้คาดการณ์ไตรมาส 2/2568 ดีกว่าคาดเล็กน้อยโดยมองรายได้ USD 1.10 หมื่นล้านซึ่งเติบโต 15%YoY อัตรากำไรจากการดำเนินงานขยายตัวต่อเนื่องมาที่ 33.3% และกำไร USD 7.03 ต่อหุ้น แต่คงรายได้ทั้งปี USD 4.35 - 4.45 หมื่นล้าน - ผู้บริหารระบุว่าปัจจุบันบริษัทยังไม่เห็นผลกระทบจากความกังวลด้านเศรษฐกิจส่งผลให้มีการคงประมาณการกำไรทั้งปีดังกล่าว โดยผู้บริหารเชื่อว่าความต่อเนื่องของคอนเทนต์ที่ “ต้องดู” นี้คือกุญแจสำคัญในการดึงดูดความสนใจของสมาชิกทั่วโลก            สำหรับไตรมาส 2/2568 Netflix จะเปิดตัวคอนเทนต์ใหม่มากมาย เช่นภาพยนตร์ Nonnas, Straw, Bullet Train Explosion และซีรีย์ Forever, The Royals ขณะที่ Squid Game ซีซันสุดท้ายจะเปิดตัววันที่ 27 มิถุนายน 2568 กราฟเทคนิค NFLX80X มีลุ้นขยับขึ้นไปทดสอบ High เดิมบริเวณ 3.60 และมีโมเมนตัมบวกจาก RSI ที่ขยับเหนือโซน 70 ภาพรวมเป็นการ sideway up จับตาการ Breakout รอบนี้ แนะซื้อเก็งกำไร

abs

มั่นใจ เต็มลิตร ทุกปั๊ม

SET วันนี้แกว่ง Sideway แนะ BEM โดดเด่นกำไรโต

SET วันนี้แกว่ง Sideway แนะ BEM โดดเด่นกำไรโต

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น  รายงานว่า นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (21 เมษายน 2568) คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ลักษณะ Sideway ออกข้าง โดยปัจจัยหนุนยังคงมาจากภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ออกมาค่อนข้างแข็งแกร่ง            อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องติดตามความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดการในวันที่ 23 เมษายนนี้ โดยจะมีผู้แทนรัฐบาลนำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะ เดินทางไปเจรจาเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการปรับขึ้นภาษีกับทางรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตาคือการประกาศคาดการณ์เศรษฐกิจโลกจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลก            สำหรับแนวรับของดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,130 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ระดับ 1,155-1,160 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ “ถือ” หุ้นบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดยคาดว่ากำไรในปีนี้ 2568 จะเติบโตทำสถิติใหม่ และได้รับแรงสนับสนุนจากสัญญาณบวกของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

ผถห.THAI ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ ตั้งเป้ากลับเข้าเทรด SET ภายใน ก.ค.68

ผถห.THAI ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ ตั้งเป้ากลับเข้าเทรด SET ภายใน ก.ค.68

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) มีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่จำนวน 11 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยกรรมการเดิม 3  ท่าน และกรรมการเข้าใหม่ 8 ท่าน จากผลการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 และเมื่อจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการดังกล่าวกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเสร็จเรียบร้อยจะส่งผลให้บริษัทฯ ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไขในการยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ  จะเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ เมื่อศาลมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ จะเดินหน้ากระบวนการขออนุญาตนำหุ้นกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง โดยคาดว่าจะสามารถนำหุ้น THAI กลับเข้าเทรดได้ภายในเดือนกรกฎาคมของปีนี้            ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการบริษัททั้งหมดได้รับการพิจารณาโดยคณะผู้บริหารแผนฯ และคณะทำงานสรรหาและกำหนดค่าตอบแทนว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนและเหมาะสมกับการประกอบธุรกิจของการบินไทย ตลอดจนมีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญซึ่งสอดคล้องกับ Board Skills Matrix ของบริษัทฯ อันเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ทั้งยังสามารถที่จะพัฒนากลยุทธ์ และขับเคลื่อนบริษัทฯ และบริษัทย่อยให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยกรรมการปัจจุบัน 3 ท่านและกรรมการใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันนี้จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ทันทีที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ            ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การลงมติแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่ครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการปลดล็อกภารกิจฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้การบินไทยพร้อมกลับเข้าสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพของตลาดทุนไทยอีกครั้ง พร้อมต่อยอดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ในฐานะสายการบินที่คนไทยภาคภูมิใจโดยตลอดช่วงเวลาของการฟื้นฟูกิจการที่ผ่านมา เราได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูฯ อย่างเคร่งครัด ทั้งการมีวินัยในการชำระหนี้โดยไม่ผิดกำหนดนัดชำระ มุ่งมั่นสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเพื่อให้ EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินตามงบเฉพาะกิจการมากกว่า 20,000 ล้านบาทตามเงื่อนไขตามแผนฟื้นฟูฯ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มี EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินอยู่ที่ 41,473 ล้านบาท ตลอดจนทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมาเป็นบวกโดยการปรับโครงสร้างทุนผ่านการแปลงหนี้เป็นทุนและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการ ณ สิ้นปี 2567 เป็นบวกที่ 45,495 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือว่าบรรลุทุกเงื่อนไขที่กำหนดในการยื่นคำร้องขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ”            นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญสูงสุดกับการยกระดับคุณภาพการบริการในทุกจุดสัมผัสของลูกค้า รวมถึงการนำเสนอบริการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบินไทยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับโลก และพร้อมปรับตัวให้ทันกับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม เทคโนโลยี หรือพฤติกรรมของผู้โดยสาร โดยเรามีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการจัดหาฝูงบินใหม่ เพื่อขยายกำลังการผลิตในการสร้างการเติบโตและความสามารถในการจ่ายหนี้ตามกำหนดในแผนฟื้นฟูฯ และดำเนินการแบบสายการบินเครือข่าย (Network Airline) เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ในเส้นทางภูมิภาค (Regional Route) มากขึ้น พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจอื่น ๆ ทั้งการขนส่งสินค้า ครัวการบิน และการซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)”            “เมื่อการบินไทยได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการตามที่ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งอนุมัติการแต่งตั้งกรรมการบริษัทในครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว จะถือว่าการบินไทยได้บรรลุเป้าหมายสำคัญในการดำเนินการตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูฯ ได้ครบถ้วน พร้อมเดินหน้ายกเลิกการฟื้นฟูกิจการและนำหุ้น ‘THAI’ กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ภายในเดือนกรกฎาคมของปีนี้ ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการฟื้นคืนสถานะทางการเงินเท่านั้น หากยังเป็นการประกาศจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ขององค์กรที่แข็งแกร่ง และพร้อมแข่งขันในระดับสากล โดยที่เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนา ยกระดับขีดความสามารถการดำเนินงานในทุกมิติ ดำเนินงานอย่างโปร่งใส ภายใต้หลักธรรมาภิบาล เพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน” นายชาย เอี่ยมศิริ กล่าวเสริม            สำหรับคณะกรรมการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ตามมติของที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ประกอบด้วยกรรมการปัจจุบันของบริษัทฯ จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ (1) ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ (2) นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร (3) พลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย และกรรมการเข้าใหม่ที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติแต่งตั้ง 8 ท่าน ได้แก่ (1) นายลวรณ แสงสนิท (2) ดร.กุลยา ตันติเตมิท (3) นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ (4) พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร (5) นายณปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม (6) นายยรรยง เดชภิรัตนมงคล (7) นายสัมฤทธิ์ สำเนียง (8) นายชาย เอี่ยมศิริ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร)

ลุ้นเจรจาสหรัฐฯ ส่องหุ้นรับอานิสงส์รัฐเดินเกมรุก

ลุ้นเจรจาสหรัฐฯ ส่องหุ้นรับอานิสงส์รัฐเดินเกมรุก

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. เอเอสแอล ระบุ ภาพรวมการรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ยังคงสดใส โดย KTB รายงานกำไรสุทธิที่ 1.17 หมื่นล้านบาท ดีกว่าที่ตลาดคาดราว 5% จากกำไรจากเงินลงทุนที่ดีกว่าคาด ส่วนเช้าวันนี้มีรายงานผลประกอบการของ KBANK-SCB และมี Analyst Meeting หากกำไรสุทธิออกมาดีกว่าคาด หรือมี outlook ในเชิงบวก อาจ outperform ตลาดในวันนี้            ขณะที่รัฐบาลจะส่งผู้แทนการเจรจาการค้า (นำโดยคุณพิชัย) กับสหรัฐฯ วันที่ 23 เม.ย. นี้ โดยเป็นการพูดคุยกับระดับรัฐมนตรีของสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวทางการเจรจาคือ นำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานมากขึ้น หรือขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น รวมถึงจะปรับเกณฑ์ FDI ให้ลดการสวมสิทธิ์ให้มากขึ้น ซึ่งคาดหวังว่าจะมีทิศทางในเชิงบวกเหมือนญี่ปุ่น            ในระยะสั้นอาจกระทบต่อภาคการส่งออก และเม็ดเงิน FDI ส่วนระยะกลาง-ยาวน่าจะได้รับการชดเชยจากแผนลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศของรัฐได้ เช่น โครงการ EEC, ท่าเรือ และรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น            ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำ Selective Buy หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการรับมือเชิงรุกของรัฐต่อ Trade Tariff เช่น PTTGC, PTTEP, GULF, GPSC, CPF            ประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway ในกรอบ 1,130-1,160 จุด

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

บล.กรุงศรี คาด SET แกว่งในกรอบ ชูหุ้นอิงเจรจา Trade Tariff

บล.กรุงศรี คาด SET แกว่งในกรอบ ชูหุ้นอิงเจรจา Trade Tariff

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้ “แกว่งในกรอบ” ต้าน 1160/1165จุด รับ 1143/1138 จุด ตลาดแกว่งรอปัจจัยใหม่ นำโดย 1.) พัฒนาการ Trade Tariff คงมุมมองเดิมว่าน่าจะมีโอกาสเห็นพัฒนาการด้านบวกเรื่อยๆ สัปดาห์นี้ จับตารองประธานาธิบดีสหรัฐ Vance เข้าพบนายกอินเดีย และ 23 เม.ย. ไทยเข้าพบผู้แทนการค้าสหรัฐฯ 2.) รายงาน Flash PMI ภาคผลิตและบริการ เม.ย. 25 ซึ่งเป็นเดือนแรกที่เริ่มมีผลกระทบภาษีการค้า 3.) ภายในรัฐฯเริ่มหาแนวทางหนุนเศรษฐกิจ ในส่วนการก่อหนี้เพิ่มเพื่อเร่งลงทุน เพื่อชดเชยความเสี่ยงภายนอก หนุนตลาดที่กำลังเล่นกับ Recovery Plays จากภาวะ Deep Value คือ Current Equity Risk Premium ที่ 5.15% > Avg. +2 S.D. 4.) วันนี้ติดตามผลประชุมธนาคารกลางจีน (PBOC) แม้ตลาดคาดคงดอกเบี้ย แต่อาจส่งสัญญาณพร้อมปรับลดเพื่อหนุนเศรษฐกิจ จากผลกระทบ Trade Tariff ประเมิน SET วันนี้แกว่งในกรอบรอฟื้นตัว หุ้นนำ คือ หุ้นอิงการเจรจา Trade Tariff (CPF, PTTGC, GULF, GPSC), กลุ่มอิงรัฐฯเตรียมเร่งลงทุน (ธนาคาร, รับเหมา) กลุ่มสื่อสาร (คาดมีความชัดเจนเกณฑ์ประมูลคลื่นวันนี้)           วันนี้แนะนำ CPF, GULF, TASCO

หุ้นที่ราคาลงลึก

หุ้นที่ราคาลงลึก

           หุ้นวิชั่น - บรรยากาศการลงทุนตลาลหุ้นไทยสัปดาห์นี้ คาดดัชนีจะอิงกับการเจรจาการค้าของประเทศต่างๆ และรายงานการส่งงบของหุ้นธนาคาร ปัจจัยต่างประเทศต้องติดตาม คือ การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ – จีน ทรัมป์เผยอาจเปิดใจยอมลดภาษีจีนลงก็ได้ แม้ก่อนหน้าจะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าจีนเพิ่มสูงถึง 145% และสินค้าบางรายการ เช่น เข็มฉีดยา อาจถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 245%            ขณะที่ประเทศอื่นๆ ทยอยเข้ามาเจรจาบ้างแล้วในสัปดาห์ก่อน อาทิ ญี่ปุ่น อิตาลี(ยุโรป) อินโดนีเซีย เป็นต้น ซึ่งต่างก็เป็นลักณะของการรอมชอม ....สถานการณ์ช่วงนี้จะเป็นเรื่องของการเจรจา 90 วัน จะไม่ได้รุนแรงเท่าก่อนหน้านี้แล้ว แต่ควรระมัดระวังการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ ทอง หรือ น้ำมัน ซึ่งมีความผันผวนสูงในช่วงนี้ จับตา 3 งบแบงก์            หุ้นกลุ่มธนาคารจะประกาศงบไตรมาส 1/68 เสร็จสิ้นคาดไม่เกินวันนี้(21 เม.ย.68) โดยธนาคารที่ประกาศงบไปแล้ว คือ TISCO, BBL และ TTB ซึ่งวันนี้คาดว่า จะประกาศครบทุกตัว คือ KBANK คาดกำไรสุทธิ 1.30 หมื่นล้านบาท, KKP คาดกำไรสุทธิ 1.28 พันล้านบาท, SCB คาดกำไรสุทธิ 1.14 หมื่นล้านบาท .... คาดมีแรงซื้อกลับซื้อกลับ เนื่องจากส่วนใหญ่ราคาปรับตัวลงจากการประกาศขึ้น “XD” ไปบ้างแล้ว ไทยเจรจาสหรัฐฯ            ทีมไทยแลนด์เตรียมเข้าพบผู้แทนการค้าสหรัฐฯ 23 เม.ย.นี้ เพื่อเจรจาหาทางออกจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่ไทยถูกจัดเก็บสูงถึง 36% โดยคาดว่ารัฐบาลจะเสนอข้อแลกเปลี่ยน นำเข้า ก๊าซ LNG เพิ่มอีกกว่า 1 ล้านตันใน 5 ปี พร้อมพิจารณานำเข้าก๊าซอีเทน 4 แสนตันภายใน 4 ปี ส่วนภาคเกษตรจะเน้นนำเข้าที่ไม่กระทบกับเกษตรกรไทย สำหรับผลิตอาหารสัตว์ส่งออก            บอร์ดคัดเลือกผู้ว่าการธปท. เล็งเปิดประชุมภายในเดือนเม.ย.นี้ เพื่อสรรหาผู้ว่าการธปท.คนใหม่แทนนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ที่จะหมดวาระเดือนก.ย. 68 โดยจะต้องเริ่มคัดเลือกภายใน 90 วันก่อนผู้ว่าคนก่อนครบวาระ .... นักลงทุนยังให้ความสนใจในประเด็นนี้ มีความกังวลว่ารัฐบาลอาจมีอิทธิพลต่อความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ ระวัง! 17หุ้นXD            สัปดาหนี้ มีหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย “XD” ทั้งหมด 17 หลักทรัพย์ อาทิ KGI, HMPRO, SAPPE, BAM, BBL, TISCO, TTB เป็นต้น ควรระวังแรงขายหุ้นทั้งก่อนและหลัง “XD” …. หากราคาหุ้นเหล่านี้ ปรับตัวลงเท่ากับเงินปันผลที่จ่ายออกมารอบนี้ จะมีผลต่อ SET Index ราว -2.0 จุด            ตลาดหุ้นไทย น่าจะตอบรับกับการผ่อนคลายในเรื่องมาตรการภาษีของ Trump กลยุทธ์ลงทุน ยังเป็นจังหวะซื้อต่อ ควรเลือกหุ้นตัวหลักๆของตลาด หรือหุ้นที่ราคาลงมามาก(จริงๆ)และมีสัญญาณไปต่อ เป้าดัชนีฯ รอบนี้จะไปอยู่ในโซน 1150-1200 จุด คัดหุ้นราคาลงลึก            หุ้นกลุ่มที่อิงกับหรือกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง แม้กลุ่มนิคมฯ + ชิ้นส่วนรถยนต์ จะเป็น 2 กลุ่มที่ได้ข่าวบวก แต่กลุ่มอื่นๆ ที่เหลือ ยังต้องรอคอยกันต่อไป ได้แก่ กลุ่มยางพารา และ กลุ่มสินค้าส่งออก บางตัว อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อีเล็คทรอนิคส์ ปิโตรเคมี เดินเรือ ท่องเที่ยว             หุ้น ที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายของนักลงทุนที่จะซื้อหุ้นที่ราคาลงมาลึก ประกอบด้วย WHA*, SCGP, PTTEP, BGRIM, HANA* (ที่มา-บล.ดาโอ) การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น

เช็กด่วน! สัปดาห์นี้เจรจาภาษี US ชี้ชะตาหุ้นไทย มี 6 หุ้นได้ประโยชน์

เช็กด่วน! สัปดาห์นี้เจรจาภาษี US ชี้ชะตาหุ้นไทย มี 6 หุ้นได้ประโยชน์

           หุ้นวิชั่น - จับตาวันที่ 23 เม.ย. “ไทยเจรจาภาษีสหรัฐ” ลุ้นระทึกผลจะออกมาหมู่หรือจ่า ชี้ชะตาหุ้นไทยสัปดาห์นี้ เปิด 6 หุ้นที่ได้ประโยชน์หรือมี Upside จากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ รวมถึง 8 หุ้นแกร่งเก็งรับอานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง            ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน- บล.กรุงศรี ระบุว่า สัปดาห์นี้ (21-25 เม.ย.68) ปัจจัยต่างประเทศ ติดตามความคืบหน้าการเจรจาภาษีการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะการเปิดช่องเล็ก ๆ ในการเจรจากับคู่กรณีหลักอย่าง จีน ว่าจะมีความคืบหน้าเพิ่มเติมหรือไม่ นอกจากนี้ ยังควรติดตามการเจรจากับประเทศคู่ค้ารายใหญ่ เช่น สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น และอินเดีย เป็นหลัก ทั้งนี้ ประเทศไทยมีกำหนดเข้าสู่กระบวนการเจรจากับเจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย.            ปัจจัยภายในประเทศ ติดตามการรายงานผลประกอบการงวด 1Q25 ของกลุ่มธนาคารที่เหลือ อาทิ SCB, KBANK, KKP โดยเราประเมินภาพรวมในเชิงกลาง ๆ โดยคาดว่าผลประกอบการจะไม่โดดเด่นมากนัก และน่าจะอยู่ในกรอบที่ตลาดประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว กลยุทธ์การลงทุน:            ประเมินแนวโน้มตลาดสัปดาห์หน้าเป็นลักษณะ “Sideways/Up” โดยแรงหนุนหลักมาจากพัฒนาการการเจรจาต่อรองมาตรการ Trade Tariffs ระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ ซึ่งล่าสุด สหรัฐฯ เริ่มเปิดช่องเจรจากับจีน ขณะที่ไทยมีกำหนดการเจรจาในวันที่ 23 เม.ย. นอกจากนี้ยังต้องจับตามาตรการประคองเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ            ในสัปดาห์นี้ ให้ติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนด้วย โดยประเมินว่าหุ้นที่น่าสนใจจะอยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับตัวลดลง เช่น • กลุ่มเช่าซื้อ: MTC, JMT • กลุ่มโรงไฟฟ้า: GULF, GPSC • กลุ่มที่มีหนี้สูง: BJC, MINT, TRUE • กลุ่ม High Yield: ADVANC            ผสมผสานกับ 6 หุ้น ที่ได้ประโยชน์หรือมี Upside จากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่าง ๆ เช่น • CPF, PTTGC, PTTEP • กลุ่ม China Plays: IVL, SCGP, SCC หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: SCC, PTTGC, BJC กำหนดการรายงานเศรษฐกิจหลักแต่ละประเทศ: สหรัฐฯ • 23 เม.ย. o Flash PMI เม.ย. 25 ภาคการผลิต: คาด 50.0 จุด (เทียบกับครั้งก่อน 50.2 จุด) o Flash PMI เม.ย. 25 ภาคบริการ: คาด 52.0 จุด (เทียบกับครั้งก่อน 54.4 จุด) o ยอดขายบ้านใหม่ มี.ค.: คาด 683,000 หลัง (เทียบกับครั้งก่อน 676,000 หลัง) • 24 เม.ย. o ยอดขายบ้านมือสอง มี.ค.: คาด 4.13 ล้านหลัง (เทียบกับครั้งก่อน 4.26 ล้านหลัง) o คำสั่งซื้อสินค้าคงทน มี.ค.: คาด +1.5% m-m (เทียบกับครั้งก่อน +1.0% m-m) • 25 เม.ย. o ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.มิชิแกน เม.ย. (ครั้งแรก): ไม่มีการคาดการณ์ (เดือนก่อน 50.8 จุด) • 21–25 เม.ย. o ติดตามความคืบหน้านโยบายภาษีการค้า และการเจรจากับประเทศคู่ค้า ไทย • 22 เม.ย. o ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย. 25: คาด -15.0 (เทียบกับเดือนก่อน -14.5) • 23 เม.ย. o Flash PMI เม.ย. 25 ภาคการผลิต: คาด 47.1 จุด (เทียบกับเดือนก่อน 48.6 จุด) o Flash PMI ภาคบริการ: คาด 50.5 จุด (เทียบกับเดือนก่อน 51.0 จุด) o การเจรจา Trade Tariffs ไทย-สหรัฐฯ • 21 เม.ย. o ติดตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) อายุ 1 ปี และ 5 ปี: คาดคงที่ที่ 3.1% และ 3.6% ตามลำดับ • 21–25 เม.ย. o รายงานผลประกอบการ 1Q25 กลุ่มธนาคารที่เหลือ: SCB, KBANK, KTB, KKP • 21–26 เม.ย. o รายงานยอดส่งออก-นำเข้า มี.ค. 25: คาด +10.7% y-y และ +3.6% y-y (เทียบกับเดือนก่อน +14% และ +4.0%)

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

หุ้นไทยบ่าย Sideway ต่อ แรงขายแบงก์ฉุดตลาดฯ

หุ้นไทยบ่าย Sideway ต่อ แรงขายแบงก์ฉุดตลาดฯ

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตลาดหุ้นไทย ปิดตลาดเช้าวันนี้ (18 เม.ย. 68) ที่ 1,145.16 จุด เพิ่มขึ้น 3.88 จุด หรือคิดเป็น 0.34% คาดช่วงบ่าย Sideway ออกข้าง            นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ดัชนีหุ้นไทยช่วงเช้า ปิดตลาดที่ 1,145.16 จุด +3.88 จุด (+0.34%) มูลค่าการซื้อขาย 13,773.12 ล้านบาท โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีแรงซื้อหนุน นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันดิบดับบลิวทีไอ WTI ปรับตัวขึ้น ประกอบกับมีแรงซื้อเพิ่มเติมในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และไอซีที            อย่างไรก็ตาม มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร เป็นปัจจัยกดดันทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้อย่างจำกัด สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่าย คาดดัชนียังแกว่งตัวในลักษณะ Sideway ต่อเนื่องจากช่วงเช้า โดยมีแรงขายหลักในหุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะที่มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังน้ำมันดิบดับบลิวทีไอ (WTI) ปรับตัวขึ้นแรง            โดยวางกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงบ่าย ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,135 จุด และแนวต้านที่ 1,150 จุด            พร้อมแนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นลักษณะเก็งกำไร IP และ NSL รายงานโดย : นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

7 หุ้นพระกาฬ สู้ศึกการค้า

7 หุ้นพระกาฬ สู้ศึกการค้า

          หุ้นวิชั่น- สงครามการค้าในเวทีโลก มีการปรับเปลี่ยนผันแปรในรายวัน ยังหาจุดที่ชัดเจนไม่ได้ และคาดว่าสถานการณ์คงยืดเยื้อกันต่อไป ตลาดหุ้นจึงเป็นของนักลงทุนที่กล้ารับความเสี่ยงสูงเท่านั้น              หลังจากที่ นักลงทุนมีการกระจายเงินลงทุนออกจากสหรัฐฯ มาในตลาดการเงินภูมิภาค รวมถึงตลาดการเงินไทยมากขึ้นสะท้อนได้จากวันที่ทรัมป์ประกาศตอบโต้ภาษี 185 ประเทศถึงปัจจุบัน (9 – 16 เม.ย. 68) กลับมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย 3 ใน 4 วันทำการสูงถึง 1.46 หมื่นล้านบาท, เข้าตลาดหุ้น 3 ใน 4 วันทำการ 883 ล้านบาท  และเข้าตลาด TFEX 3 ใน 4 วันทำการ 30,854 สัญญา           กลยุทธ์การลงทุน เก็งกำไรหุ้นพื้นฐานดีที่มีเม็ดเงินต่างชาติซื้อหนุนต่อเนื่องตั้งแต่วันที่มีประเด็นทรัมป์ตอบโต้ ภาษี (9 –16 เม.ย. 68) อย่างเช่น 10 หลักทรัพย์ดังนี้  CPF- PTTGC -CPALL -STA -DELTA -TTB, TIDLOR – CRC – MINT - BGRIM (ที่มา บล.เอเซียพลัส)           ขณะที่ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า หุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC- MINT- BJC- CPF           ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำ หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย            ได้แก่ 7 หุ้นดังต่อไปนี้  BCH- CPALL- CPAXT- GULF- MTC- OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร           ส่วนบล.กรุงศรี ระบุว่า ความคืบหน้าเรื่องแนวทางรับมือมาตรการกีดกันการค้าที่มี เพิ่มเติมในส่วนของไทย นั่นคือ การหารือระหว่างกระทรวงการคลังกับ BOT ต่อความเสี่ยง  เน้นไปที่หากผลกระทบมาตรการภาษีเริ่มเกิดขึ้น และกระทบหลายฝ่ายต้องหยุดชะงักชั่วคราว สถานการณ์การปล่อยสินเชื่อมีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้นได้อย่างไร แต่ในส่วนการนำเงินสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ไม่มีอยู่ในแนวทาง           คาดว่าน่าจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ – การผ่อนคลายนโยบายการเงิน หากผลกระทบ Trade Tariff สูง ประเมินจิตวิทยา บวกต่อ SET และหุ้นได้ประโยชน์ TH Bond Yield ลดลงต่อเนื่อง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF เช่าซื้อ เน้น MTC - JMT High Yield เน้น ADVANC หนี้สูง เน้น MINT TRUE           หัวข้อที่ กระทรวงการคลังหารือผู้ประกอบการในประเทศถึงแนวทางนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม อาทิ ก๊าซธรรมชาติ (PTT) ข้าวโพด อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป และอาหารสัตว์ ก่อนเดินทางไปสหรัฐฯ ประเมินแนวทางดังกล่าวจิตวิทยาบวก โดยหากใช้ก๊าซแทน Spot LNG เดิมใน Pool gas จะบวกต่อ กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF GPSC กลุ่มปิโตรเคมี PTTGC และเกษตร ฝั่ง CPF           มาที่ บล. ดาโอ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” CBG คง ราคาเป้าหมายที่ 95 บาท คาดกำไรสุทธิ ไตรมาศแรก ปี2568  ที่ 792 ล้านบาท (+26% YoY, +1% QoQ) สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์เดิม กำไรขยายตัว YoY จาก รายได้รวมขยายตัว +9% YoY จาก Domestic branded own ปรับตัวเพิ่มขึ้น +32% YoY, Distribution business +13% YoY ช่วยชดเชยรายได้ต่างประเทศที่ลดลง -12% YoY, 2) GPM ขยายตัวเป็น 28.1% จาก 26.8% จากต้นทุนน้ำตาล,เศษแก้ว และอลูมิเนียมที่ปรับตัวลดลง ด้านกำไรขยายตัว QoQ จาก GPM ขยายตัว และ SG&A expenses ลดลง เนื่องจาก 4Q24 มีค่าใช้จ่ายโบนัสพิเศษ แม้รายได้ที่ลดลง -10% QoQ           คาดกำไรปี 2528  ที่ 3,525 ล้านบาท (+24% YoY กำไร 2Q25E จะขยายตัวต่อ YoY, QoQ จากรายได้ทั้งไทยและต่างประเทศขยายตัว YoY, QoQ, GPM ขยายตัว จากการรับรู้น้ำตาลที่ลดลงเต็มไตรมาส เริ่มรับรู้ขวดแก้ว และกระป๋องที่บางลงตามแผน cost saving ของบริษัท           วกมาที่ บล.พาย ระบุ CPALL มี แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+8%YoY, -6%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดเติบโต 2% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +0.5% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks  เคาะ CPALL ราคาเป้าหมาย 80 บาท           CPF ปัจจัยบวกจากผลประกอบการงวด 1Q25 ที่คาดว่าจะสูงถึงระดับ 7,078 ล้านบาท (+514%YoY,+70%QoQ) จากผลดีของราคาเนื้อสุกรที่ไทยและเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดที่เกิดขึ้น ซึ่งผลดีดังกล่าวยังคงเห็นต่อเนื่องมาถึงช่วง 2Q25 นี้ ขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เบื้องต้นทาง CPF มีการขายไปยังสหรัฐฯ ไม่มากนัก มีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของรายได้รวม  เคาะราคาพื้นฐาน CPF ที่ 30.50 บาท การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น  

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.00-33.30 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.00-33.30 บ./ดอลลาร์

หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.00-33.30 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องตามดัชนีเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ย้ำความสำคัญของคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวให้อยู่ในกรอบ เสถียรภาพด้านราคาเป็นเงื่อนไขสำคัญ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากเงินหยวนที่กลับมาแข็งค่าหลังจีนพร้อมเปิดเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ หากยอมรับข้อเรียกร้องหลายประการ ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือนมีนาคมโต 4%MOM ตามตลาดคาด เพราะผู้บริโภคเร่งจับจ่ายสินค้าล่วงหน้า ก่อนการขึ้นภาษีนำเข้าอาจมีผลบังคับ

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

หุ้นตัวเบา! รอดชอร์ตเซล

หุ้นตัวเบา! รอดชอร์ตเซล

           หุ้นวิชั่น - การลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังตลท. ยกเลิกมาตรการห้าม Short Sell และปรับ Ceiling/Floor มาใช้ตามปกติคือ +/-30 แต่อนุญาตให้ Short Sell ได้เฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 ซึ่งยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ uptick คือให้ใช้ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย            ขณะที่การซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุนกลุ่ม HFT จำกัดอยู่เพียงเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 เช่นกัน เพื่อลดความผันผวนของหุ้นขนาดกลางและเล็ก แต่จะเริ่มใช้ในเดือน พ.ค.            นอกจากนี้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้เห็นชอบให้คงมาตรการ Minimum Resting Time (MRT) เพื่อป้องกันการใส่/ถอนคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็วเกินไปด้วย            ในมุมมองของ บล.หยวนต้า คาดว่า จะช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่ม Non-SET100(หุ้นตัวเบา)  ที่เคยถูก Short ได้แล้ว ไม่สามารถ Short ได้เพิ่มเติม กลับมาฟื้นตัวขึ้นจากแรง Short Covering เช่น 6 หุ้น ดังต่อไปนี้  MBK, THCOM, THANI, MASTER, TTA, PSL เป็นต้น              ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมีโอกาสฟื้นตัว หลังทรัมป์ชะลอการเก็บภาษี สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ออกไป ส่งผลให้ความเสี่ยงในการย้ายฐานการผลิตออกจากไทยลดลงในช่วงสั้น ส่งผลให้หุ้นมีโอกาสรีบาวน์ อย่างไรก็ตามระยะกลาง-ยาว ยังคงต้องติดตามการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ในกรอบ 90 วัน ว่าจะลดภาษี ให้ไทยจาก 37% ลดลงเหลือเท่าใด            จับตา  AMATA คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2568 ทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นได้ YoY จากยอดโอนที่คาดว่าจะเติบโตได้ YoY ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯต่อทุกประเทศ ทั่วโลกส่งผลให้ Valuation ลดลงเหลือ PER2025 เพียง 5.8 เท่ำ และให้ Yield 6%            วกมาที่ บล.ธนชาต มองว่า การที่ทรัมป์ได้ประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าจากจีนในสินค้ากลุ่ม Smartphone, Computer, Semiconductor และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชั่วคราว โดยจะกำหนดอัตราภาษีแยกในกลุ่มดังกล่าวอีกครั้งในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า โดยคาดว่าจะต่ำกว่า 125% มองเป็น “บวก” ต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องดังนี้ กลุ่มค้าปลีก IT อย่าง COM7 และ ADVICE ที่มียอดขาย iPhone คิดเป็น 50% และ 10% ตามลำดับ โดยช่วยลดความเสี่ยงที่ราคาสินค้า Apple พุ่งสูงขึ้นจนกระทบต่อ demand กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง DELTA KCE HANA ซึ่งคาดว่าอาจจะได้รับการยกเว้นบางส่วน อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงจากนโยบายทรัมป์ยังเป็นปัจจัยกดดันต่อภาพรวมของตลาด จึงยังคงคำแนะนำเป็น Underweight ในกลุ่มนี้            ส่วน บล.เอเซียพลัส ประเมินตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังผันผวนมาก กลยุทธ์การลงทุนแนะนำถือเงินสดบางส่วน แนะนำเก็งกำไรสั้นๆ กับ หุ้นได้กระแสจากการยกเว้นภาษีชั่วคราวจาก สหรัฐฯ อาทิ DELTA CCET KCE COM7 JMART ส่วนหุ้นเด่น เลือก ADVANC, CPALL, ICHI            ด้านบล.กรุงศรี แนะนำ “ซื้อ” ทั้ง BEM และ BTS โดยมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมด้วยสองเหตุผล โครงการค่าโดยสารคงที่ 20 บาทสำหรับระบบขนส่งมวลชน จะมาจากเงินอุดหนุน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้ง BEM และ BTS เนื่องด้วยงบประมาณอุดหนุน 8 พันล้านบาทต่อปีบ่งชี้ว่าทั้งสองบริษัทจะได้รับประโยชน์จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจากการลดราคาค่าโดยสาร โดยไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล หุ้นทั้งสองขณะนี้ซื้อขายด้วยส่วนลดที่มากเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง            ทำให้ แนะนำ “ซื้อ” ทั้ง BEM (ราคาเป้าหมาย 9.1 บาท) และ BTS (ราคาเป้าหมาย 6.49 บาท) เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายค่าโดยสารคงที่ 20 บาทนี้ นอกจากนี้ BEM และ BTS จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากบริการของพวกเขาถือเป็นรูปแบบการเดินทางที่ถูกกว่าในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาค่าโดยสารลดลงเหลือ 20 บาท อย่างไรก็ตาม ชอบ BTS มากกว่า BEM เนื่องจากได้รับประโยชน์จากนโยบายเงินอุดหนุนต่อกำไรมากกว่าและมีราคาประเมินที่ถูกกว่า การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

SET ปิดบวก 10.24 จุด ตอบรับจีนพร้อมคุยสหรัฐ-ผ่อนคลายเก็บภาษี

SET ปิดบวก 10.24 จุด ตอบรับจีนพร้อมคุยสหรัฐ-ผ่อนคลายเก็บภาษี

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (16 เมษายน 2568) ปิดที่ระดับ 1,138.90 จุด เพิ่มขึ้น 10.24 จุด หรือคิดเป็น 0.91% โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในช่วงบ่าย หลังมีรายงานว่าจีนแสดงความพร้อมที่จะเจรจากับสหรัฐอเมริกา            นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้น คาดได้รับแรงหนุนจากข่าวจีนเตรียมเจรจาการค้ากับสหรัฐ และเป็นไปตามตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงท่าทีผ่อนคลายในการจัดเก็บภาษี โดยชะลอการเก็บภาษีสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์            สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้ (17 เมษายน 2568) คาดว่าจะมีการพักตัว เนื่องจากนักลงทุนยังคงต้องติดตามสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนสูง และยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนตลาด            ให้แนวรับไว้ที่ 1,120 จุด และแนวต้านที่ 1,150 จุด โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ถือหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจโลก อาทิ CPN, CPALL รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

KGI เล็งออก 3 DR ใหม่ เทรด 17 เม.ย.นี้

KGI เล็งออก 3 DR ใหม่ เทรด 17 เม.ย.นี้

           KGI ปล่อย DR 3 หลักทรัพย์ใหม่ อ้างอิงหุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่จากจีน ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตสูง ในฐานะหนึ่งในผู้นำทางด้านบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ประกอบด้วย BABA13 อ้างอิงกับ Alibaba (9988.HK), TENCENT13 อ้างอิงกับ Tencent (700.HK) และ XIAOMI13 อ้างอิงกับ Xiaomi (1810.HK) พร้อมเทรดในตลท. 17 เมษายน 2568 นี้             นายเจนวิทย์  ชินกุลกิจนิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KGI) เปิดเผยว่า KGI เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นเทคโนโลยีระดับโลกได้อย่างสะดวกผ่านตลาดหุ้นไทย เตรียมเปิดตัวใบแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) จำนวน 3 ตัวใหม่ อ้างอิงหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำจากประเทศจีน ได้แก่ Alibaba, Tencent และ Xiaomi โดยจะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 17 เมษายน 2568 นี้ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่สนใจแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ E-commerce, Cloud,  AIoT และ Smart Tech ของจีนในระยะยาว            โดย DR ชุดใหม่ 3 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย            BABA13 อ้างอิงกับ Alibaba (9988.HK) ทำธุรกิจแพลตฟอร์ม E-commerce ระดับโลก และให้บริการด้าน Cloud Computing อัตราแปลงสภาพ 250 DR : 1 หลักทรัพย์อ้างอิง            TENCENT13 อ้างอิงกับ Tencent (700.HK) ทำธุรกิจแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย, ผลิตเกม และให้บริการด้านเทคโนโลยีต่างๆ อัตราแปลงสภาพ 500 DR : 1 หลักทรัพย์อ้างอิง โดยอ้างอิงราคาปิด TENCENT (700.HK)            XIAOMI13 อ้างอิงกับ Xiaomi (1810.HK) ผู้ผลิตชั้นนำในสมาร์ทโฟน, สินค้าที่เกี่ยวกับ AIoT และรถยนต์ไฟฟ้า อัตราแปลงสภาพ 50 DR : 1 หลักทรัพย์อ้างอิง            โดย KGI มั่นใจในประสบการณ์ พร้อมทั้งมีความเชี่ยวชาญในการทำหน้าที่ดูแลสภาพคล่องในธุรกิจตราสารอนุพันธ์มาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ สามารถเข้าไปศึกษา หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.thaiwarrant.com/dr/search การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดศึกษาข้อมูลก่อนลงทุนทุกครั้ง

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ชู 3 ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทย คาด SET กรอบดัชนี 1,120–1,140 จุด

ชู 3 ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทย คาด SET กรอบดัชนี 1,120–1,140 จุด

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล. ฟิลลิป คาด SET Index วันนี้แกว่งตัว Sideways to Sideways up ในกรอบ 1,120 จุด –1,140 จุด : โดยได้ Sentiment หนุนระยะสั้นจากการที่สหรัฐฯ ผ่อนปรนภาษีในบางสินค้า หากแต่มองทางขึ้นจำกัด ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง 2 เศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ยังมีอยู่ ประกอบกับวันนี้หุ้นใน SET100 จะอนุญาตให้ขายชอร์ตได้ อีกทั้งจะมีการขึ้น XD ของหุ้นขนาดใหญ่           ผ่อนปรนบางสินค้าอย่างไม่คาดคิด: คาด Sentiment หนุนมาจากการที่สหรัฐฯ เผยเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 68 ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งยกเว้นภาษีศุลกากรตอบโต้ชั่วคราวสำหรับสมาร์ตโฟน คอมฯ และอุปกรณ์อิเล็กฯ อื่น ๆ ที่นำเข้าส่วนใหญ่จากจีน ซึ่งสำหรับสินค้าข้างต้นจากจีนจะยกเว้นภาษี 125% และโดนภาษี 20% ที่เชื่อมโยงกับเฟนทานิล ซึ่งช่วยคลายความกังวลในระยะสั้นต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจขนาดใหญ่ของโลก ประกอบกับในวันที่ 14 เม.ย. 68 ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะพิจารณายกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ชั่วคราว เพื่อให้ผู้ผลิตรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีได้มีเวลาปรับตัวและปรับระบบซัพพลายเชน           จีนไม่แคร์สหรัฐฯ อีกต่อไป: อย่างไรก็ดี คาดนักลงทุนมีแนวโน้มเปิดรับความเสี่ยงอย่างจำกัด ท่ามกลางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในระยะต่อไปที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยในวันที่ 14 เม.ย. 68 สหรัฐฯ เผยว่าได้เริ่มกระบวนการสอบสวนการนำเข้ายาและเซมิคอนฯ แล้ว เพื่อหาทางใช้มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าทั้ง 2 ประเภท อีกทั้งยังมี Sentiment กดดันจากความกังวลสงครามการค้าระหว่าง 2 เศรษฐกิจขนาดใหญ่ หลังจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% มีผลตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. 68 พร้อมเผยว่าจะไม่ขึ้นภาษีต่อสหรัฐฯ อีก เนื่องจากไม่มีความเป็นไปได้ที่สินค้าสหรัฐฯ ที่ส่งออกไปจีนภายใต้ภาษีปัจจุบันจะได้รับการยอมรับจากตลาด ดังนั้น หากสหรัฐฯ ยังคงเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ต่อไป จีนจะไม่สนใจเรื่องนี้           นอกจากนี้ สงครามการค้าข้างต้นยังหนุนความกังวลว่าสินค้าจีนจะถล่มเข้าสู่ไทย สอดรับกับ FTI CEO Poll ครั้งที่ 44 ของ ส.อ.ท. ซึ่งพบว่า 70.9% ได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าจากจีนที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด และ 45% เผยสินค้านำเข้าจากจีนมีราคาต่ำกว่า 20-40% เมื่อเทียบกับสินค้าไทย           อนุญาตขายชอร์ตหุ้นใน SET100 + หุ้นใหญ่ขึ้น XD: ตั้งแต่วันนี้ ตลท. อนุญาตให้ขายชอร์ตหุ้นใน SET100 ได้ (ยกเว้น Market Maker ที่ทำได้อยู่แล้ว) ส่งผลให้คาดว่าหุ้นใน SET100 โดยเฉพาะหุ้นที่มีพื้นฐานไม่ดี มีโอกาสถูกขายชอร์ต ซึ่งจะเป็นอีกแรงกดดันทางขาลงของ SET Index ประกอบกับการขึ้น XD ของ KTB และ SCB คาดเป็นแรงกดดันต่อ SET Index รวมกัน ≈ 4 จุด           ขณะที่เช้านี้ติดตามการเผยตัวเลขเศรษฐกิจจีน อาทิ ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตฯ เดือน มี.ค. 68 รวมถึง GDP ไตรมาส 1 ปี 68

ก.ล.ต.ปรับปรุงเกณฑ์การโฆษณาผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล

ก.ล.ต.ปรับปรุงเกณฑ์การโฆษณาผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล

           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการโฆษณาของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้มีความเหมาะสม ยืดหยุ่น สอดคล้องกับทางปฏิบัติของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และเป็นการส่งเสริมมาตรฐานของอุตสาหกรรม รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการโฆษณาอย่างรับผิดชอบ โดยหลักเกณฑ์มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2568            ตามที่ ก.ล.ต. มีแนวคิดในการปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการโฆษณาของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำและเผยแพร่โฆษณาอย่างเหมาะสมและรับผิดชอบ (responsible advertising) โดยผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง มีคำเตือนความเสี่ยงที่เหมาะสม ในขณะเดียวกันผู้ประกอบธุรกิจก็สามารถปฏิบัติได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในช่วงเดือนมกราคม 2568 ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับหลักการและร่างประกาศตามที่เสนอ ก.ล.ต. จึงออกประกาศ* เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ปรับปรุง การกำหนดขนาดข้อความที่เป็นคำเตือนให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะและรูปแบบ การโฆษณาในทางปฏิบัติของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยยังคงสามารถสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้ลงทุน ได้อย่างเพียงพอ ยกเลิก การจัดให้มีข้อความที่เป็นคำเตือนตลอดเวลาที่ทำการโฆษณา เนื่องด้วยเกณฑ์โฆษณาในปัจจุบัน กำหนดหลักเกณฑ์ที่มุ่งเน้นหลักการ (principle-based) ที่เพียงพอเหมาะสมแล้ว และเพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ การโฆษณาด้านหลักทรัพย์ ปรับปรุง ข้อความคำเตือนให้มีเพียงรูปแบบเดียว โดยเป็นข้อความคำเตือนที่เข้มที่สุดและครอบคลุมผลิตภัณฑ์ทั้งคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับทางปฏิบัติที่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลดำเนินการเผยแพร่คำเตือนในลักษณะดังกล่าวอยู่แล้ว ปรับปรุง การโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ให้สอดคล้องกับการปรับปรุง/ยกเลิกตามหลักการตามข้อ(1) ถึงข้อ (3) ข้างต้น            พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงแนวปฏิบัติหลักเกณฑ์ในรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดให้มีผู้แนะนำรายชื่อลูกค้า สำหรับการให้บริการเกี่ยวกับโทเคนดิจิทัล การโฆษณาและการส่งเสริมการขายของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์ที่กำหนดได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและดำเนินการจัดให้มีการโฆษณาและส่งเสริมการขายอย่างรับผิดชอบ (responsible advertising)            ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงดังกล่าวได้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2568 หมายเหตุ : * ประกาศที่เกี่ยวข้องจำนวน 2 ฉบับ ดังนี้ ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 10 /2568 เรื่อง หลักเกณฑ์ในรายละเอียดเกี่ยวกับการโฆษณาและการส่งเสริมการขายสำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) (https://publish.sec.or.th/nrs/10672s.pdf) ประกาศแนวปฏิบัติ ที่ นป. 2 /2568 เรื่อง แนวปฏิบัติหลักเกณฑ์ในรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดให้มีผู้แนะนำรายชื่อลูกค้าสำหรับการให้บริการเกี่ยวกับโทเคนดิจิทัล การโฆษณาและการส่งเสริมการขายของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (https://publish.sec.or.th/nrs/10673s.pdf) และภาคผนวกแนบท้าย (https://publish.sec.or.th/nrs/10674s.pdf)

บล.หยวนต้า แนะเก็ง BYDCOM80  รับทรัมป์จ่อรื้อภาษีนำเข้ายานยนต์ฯ เม็กซิโก-แคนาดา

บล.หยวนต้า แนะเก็ง BYDCOM80 รับทรัมป์จ่อรื้อภาษีนำเข้ายานยนต์ฯ เม็กซิโก-แคนาดา

            หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า คาดหุ้นกลุ่มยานยนต์ทั่วโลกมีแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาในระยะสั้น หลังจากที่คุณทรัมป์ใปให้สัมภาษณ์กับสื่อว่ามีแนวคิดที่จะปรับปรุงภาษีนำเข้ายานยนต์และชิ้นส่วน 25% จากเม็กซิโก และแคนาดา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ ซึ่งหลังจากนี้หากสหรัฐฯ กลับมาเดินหน้าภาษีรถยนต์อีกครั้งหนึ่ง มองว่า BYD ก็จะได้รับรู้ผลกระทบจำกัดเนื่องจากลดการส่งออกไปสหรัฐฯ ตั้งแต่สงครามการค้าในรอบที่แล้ว ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกยังคงทำ New High ต่อเนื่อง โดยในเดือน มี.ค. อยู่ที่ 377,420 คัน โต 25% YoY ทำให้ไตรมาส 1/2568 แตะระดับ 1 ล้านคันแล้วที่ 1,000,804 คัน เติบโต 60% YoY Bloomberg Consensus คาดการณ์กาณ์ กำ ไรสุทธิไตรมาส 1/2568 เติบโตถึง 76% YoY แรงหนุนจากยอดขายที่เติบโตเด่นและ GPM ที่สูงขึ้นจากยอดขายต่างประเทศที่เติบโตได้ดีกว่ายอดขายในประเทศ (ส่งออกมา GPM สูงกว่าเพราะการแข่งขันน้อยกว่าตลาดในประเทศ)             Bloomberg Consensus ประเมินราคาเป้าหมายที่ 465 HKD ต่อหุ้น คิดเป็น 2.00 บาทต่อ DR มี Upside ราว 26.6%

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

ราคาทองคำเช้านี้ พุ่ง 450 บ.  ชี้สัญญาณตึงเครียดสงครามการค้า

ราคาทองคำเช้านี้ พุ่ง 450 บ. ชี้สัญญาณตึงเครียดสงครามการค้า

             หุ้นวิชั่น - บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ประเมินราคาทองคำ หลังพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของ สกุลเงินคอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเข้าชื้อทองค่าในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากที่ประธานาธิบดีโคนัลค์ ทรัมป์ ประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีสินค้าน่าเข้าจากจีน เป็นสัญญาณบ่งซี้ถึงสถานการณ์ตึงเครียค ด้านการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่าง สองธาติมหาอ่านาจทางเศรษฐกิจของโลก สำหรับราคาทองวันนี้  16 เมษายน 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำช่วงเปิดตลาด ราคาปรับขึ้น  450 บาท และปัจจุบันราคาทองแท่ง รับซื้ออยู่ที่ 51,550.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 51,650.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 50,619.24 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 52,450 บาท 

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.30-33.60 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.30-33.60 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.30-33.60 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นมาใกล้โซนแนวรับ 40-33.50 ปัจจัยหลักจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาทองที่ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ฝั่งตลาดหุ้น นักลงทุนแสดงความกังวลจากผลกระทบของสงครามการค้า และยังจับตาใกล้ชิดกับการตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ และจีน สัปดาห์นี้จับตาการประชุมธนาคารกลางยุโรปในคืนวันพรุ่งนี้ ซึ่งตลาดคาดว่าธนาคารกลางยุโรปจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25% สู่ระดับ 2.25% ท่ามกลางความกังวลจากสงครามการค้า

DELTA คลายปม-ส่องมูลค่า? 

DELTA คลายปม-ส่องมูลค่า? 

            หุ้นวิชั่น - สัญญาณการผ่อนคลาย ภาษีตอบโต้ ของสหรัฐเริ่มมีภาพที่ชัดเจนขึ้น ถึงแม้จะยังมีประเด็นให้กังวลอยู่ก็ตาม             ตลาดหุ้นยังผันผวน แต่ออกในโทนบวกหลัง Trump ผ่อนคลายสินค้าบางกลุ่ม แต่กลยุทธ์ลงทุน ยังต้องคอยติดตามข่าวที่เกี่ยวข้อง เพราะแทบจะเปลี่ยนกันรายวันเลยทีเดียว             หุ้นที่เข้าซื้อ ควรเลือกหุ้นที่อิงดัชนีฯ (ขึ้นลงพร้อมตลาด หรือตัวหลักของตลาด) หรือหุ้นที่ราคาลงมามาก และมีสัญญาณไปต่อ             หุ้นที่คาดว่า จะปรับตัวขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่นๆ คือหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มาก่อนหน้านี้ ได้แก่ กลุ่มนิคมฯ กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มยางพารา และ กลุ่มสินค้าส่งออก บางตัว อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อีเล็คทรอนิคส์ ปิโตรเคมี เดินเรือ ท่องเที่ยว (ที่มา บล. ดาโอ)             ขณะที่ มุมมองของ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ได้คาดการณ์ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ของบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA)              คาดว่ารายได้ 1,200 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น y-y จากรายได้ส่วนของ Data Center & AI ที่เพิ่มมากขึ้น แต่ทรงตัว q-q เนื่องจากรายได้ลดลงจาก DC/DC conversion circuit ที่ถูกศาลสั่งให้หยุดขายในสหรัฐฯ แต่ทดแทนด้วยสินค้า AI ที่พัฒนาจากเยอรมันเพิ่มขึ้น             โดยมีค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 33.9 บาท/ดอลลาร์ รายได้ในรูปเงินบาท 41,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% y-y ลดลง 1.8% q-q             GPM 25.0% เพิ่มขึ้น y-y จากสินค้า AI มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน และช่วง 1Q67 มีการตั้งค่าเผื่อสินค้าและการรับลดมูลค่าวัตถุดิบ รวมถึงเพิ่มขึ้น q-q จากการรับ standard cost ทุกต้นไตรมาส ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง             SG&A to sale 13.8% เพิ่มขึ้น y-y จาก royalty fee ที่ถูกรับเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลง q-q เนื่องจากใน 4Q67 มีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายย้อนหลังและตั้ง Accrued R&D และภาษีที่เพิ่มขึ้น             กำไรสุทธิ 4,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% y-y และ 105.3% q-q มีแนวโน้มปรับราคาลง: ราคาพื้นฐาน 94.00 บาท คำแนะนำยังคง “ซื้อ” แต่ราคาพื้นฐานอาจถูกปรับลงจากผลกระทบของภาษีตอบโต้สหรัฐ ที่ล่าสุดเริ่มมีการผ่อนคลายบ้างแล้ว การลงทุน มีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ก่อนตัดสินใจ ข่าวหัวม่วง-ทีมงานหุ้นวิชั่น  

abs

Hoonvision

เช็กด่วน! ทุกปัจจัยหุ้นไทยพรุ่งนี้ ฟันธง 2 หุ้นได้เสียสู้ภาษี US

เช็กด่วน! ทุกปัจจัยหุ้นไทยพรุ่งนี้ ฟันธง 2 หุ้นได้เสียสู้ภาษี US

            หุ้นวิชั่น -บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทย • คาดดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น สหรัฐฯผ่อนนโยบายภาษี เป็นสัญญาณว่ามีทางออก • ตลาดหุ้นไทย สัปดาห์นี้ ผลกระทบมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ยังมีให้เห็น แต่โทนออกมาเป็นบวกมากกว่าเล็กน้อย ไทยกำลังรอเข้าไปเจรจากับสหรัฐฯ ตลาดหุ้นไทยหลังผ่านช่วงหลังสงกรานต์และหุ้นธนาคารขึ้น “XD” แต่จะเห็นแรงซื้อกลับมาได้ (ถ้าไม่มีข่าวลบเข้ามาเพิ่ม) .... ประเมินกรอบดัชนีฯ สัปดาห์นี้ ไว้ที่ 1094-1150 จุด • ข่าวเชิงบวกในเรื่องการค้า คือ Trump ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าประเภทโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และชิป ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่าง Apple และ Nvidia • ตลาดทั่วโลกคลายความกังวลลง หลังทรัมป์ประกาศระงับการก็บภาษีนำเข้า 90 วัน แต่ยังคงเก็บภาษีพื้นฐานที่ 10% ในขณะที่จีนถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 145% และจีนตอบโต้กลับ เป็น 125% …. เรามองจุด peak สุดของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ น่าจะผ่านไปแล้วในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ จากนี้ คาดว่า จะเป็นการเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีน เป็นหลัก ส่วนประเทศอื่นๆ น่าจะเป็นลักษณะของการรอมชอมกันมากกว่า สรุปคือ เมื่อผ่าน 90 วันไปแล้ว ไม่น่าจะกลับมารุนแรงแบบนี้อีก • ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ยังต้องจับตา Bond Yield ที่พุ่งรุนแรง สะท้อนความกังวลในเรื่องสภาพคล่องในตลาดเงิน เราประเมิน Fed อาจเข้ามาดูแล (ลดดอกเบี้ย+ซื้อพันธบัตร+ปล่อยกู้เพิ่ม) เพื่อลดแรงกระเพื่อมของตลาด • สี จิ้นผิง เตรียมเดินทางเยือน 3 ประเทศ SEA สัปดาห์นี้ ได้แก่ เวียดนาม (14-15) ต่อด้วย มาเลเซียและกัมพูชา (15-18) เร่งหารือกับพันธมิตร รองรับผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ .... โดยรวมแล้ว สี จิ้นผิงกำลังรักษา Supply chain ในภูมิภาค จีนกำลังสร้างแนวร่วมในการรับมือกับแรงกดดันทั้งทางการค้า และทางการเมือง • เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง (จาก 34.85 สู่ 33.59 บาท/ดอลลาร์) รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ทองคำ (ทองไทยแตะบาทละ 51,250 บาท) จึงทำให้ทองคำเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทในช่วงนี้ • "พิชัย ชุณหวชิร" เตรียมนำคณะผู้เจรจาเดินทางล่วงหน้าไปสหรัฐ พบปะกับนักธุรกิจ 17 เม.ย.68 "พิชัย นริพทะพันธุ์" นำทีมไทยแลนด์เดินทางสมทบ เตรียมเข้าพบกับผู้แทนรัฐบาลสหรัฐ เจรจาลดผลกระทบมาตรการภาษี 21 เม.ย.68 • ตลาดยกเลิกมาตรการคุมการซื้อขาย ที่ออกมาในช่วง 8-11 เม.ย. และออกมาตรการใหม่ คือ กำหนดหุ้นที่อนุญาตให้ขายชอร์ตได้ เป็นเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 ตามเกณฑ์ uptick ซึ่งจะมีผลใช้บังคับทันที ตั้งแต่ 16 เม.ย. และกำหนดให้การซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุนกลุ่ม HFT จำกัดอยู่เพียงเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 พร้อมคงมาตรการ Minimum Resting Time (MRT) ไว้ • สัปดาหนี้ มีหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย “XD” ทั้งหมด 20 หลักทรัพย์ อาทิ SCB, KTB, KBANK, KTC, STA, STGT เป็นต้น ควรระวังแรงขายหุ้นทั้งก่อนและหลัง “XD” …. หากราคาหุ้นเหล่านี้ ปรับตัวลงเท่ากับเงินปันผลที่จ่ายออกมารอบนี้ จะมีผลต่อ SET Index ราว -6.2 จุด • Event สัปดาห์นี้ : GDP 1Q/25 ของจีน(16), ดัชนียอดขายปลีกสหรัฐฯ(16), การประชุม ECB(17), ตัวเลขเคลมการว่างงานสหรัฐฯ(17), ยอดขายรถยนต์ของไทย(18) Strategy • ตลาดยังผันผวน แต่ออกในโทนบวกหลัง Trump ผ่อนคลายสินค้าบางกลุ่ม แต่กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ยังต้องคอยติดตามข่าวที่เกี่ยวข้อง เพราะแทบจะเปลี่ยนกันรายวันเลยทีเดียว หุ้นที่เข้าซื้อ ควรเลือกหุ้นที่อิงดัชนีฯ (ขึ้นลงพร้อมตลาด หรือตัวหลักของตลาด) หรือหุ้นที่ราคาลงมามาก และมีสัญญาณไปต่อ • หุ้นที่คาดว่า จะปรับตัวขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่นๆ คือหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มาก่อนหน้านี้ ได้แก่ กลุ่มนิคมฯ กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มยางพารา และ กลุ่มสินค้าส่งออก บางตัว อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อีเล็คทรอนิคส์ ปิโตรเคมี เดินเรือ ท่องเที่ยว • หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ SCB, KBANK ออก 2 หุ้นได้เสีย แนะนำ DELTA*, TOP เข้ามา หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย DELTA*(10%), TOP(10%), WHA(20%), CBG(10%)

'กสิกรไทย' คาดค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า กรอบ 33.50–34.20 บ./ดอลลาร์ฯ

'กสิกรไทย' คาดค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า กรอบ 33.50–34.20 บ./ดอลลาร์ฯ

              หุ้นวิชั่น - ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.50–34.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทิศทางค่าเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงผลการประชุม ECB และธนาคารกลางเกาหลีใต้            ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภค ดัชนีราคานำเข้า/ส่งออก ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนมี.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนเม.ย. และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์           นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามข้อมูลจีดีพีไตรมาส 1/2568 และตัวเลขเศรษฐกิจเดือนมี.ค. ของจีน รวมถึงตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค. ของอังกฤษ ยูโรโซน และญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

ตลาดหุ้นกู้ไทยมีอะไรที่ควรจับตามอง [HoonVision x FynnCorp]

ตลาดหุ้นกู้ไทยมีอะไรที่ควรจับตามอง [HoonVision x FynnCorp]

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทยไตรมาส 1 และแนวโน้มในปี 68            ตลาดตราสารหนี้ไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนด้วยมูลค่าตราสารหนี้ของทั้งภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากสัดส่วน 12% ของ GDP ในปี 2540 ไปสู่ 94% ของ GDP ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 โดย ณ 31 มีนาคม 2568 มูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทยตามรายงานของ ThaiBMA (ไม่รวมตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศ) อยู่ที่ประมาณ 17.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) มูลค่าคงค้างในตลาดตราสารหนี้ไทย Source: ThaiBMA            การเพิ่มขึ้นของมูลค่าคงค้างนั้น มาจากการออกพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งคิดเป็นเกือบ 74% ของมูลค่าคงค้างรวม ส่วนตราสารหนี้ภาคเอกชนคิดเป็น 26% ด้วยมูลค่าคงค้าง 4.5 ล้านล้านบาท ลดลงประมาณ 2.8% YoY เนื่องจากหุ้นกู้กลุ่ม High yield มีการออกน้อยกว่ามูลค่าที่ครบกำหนด ท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งทำให้มีปัจจัยที่นักลงทุนควรติดตามและพิจารณา มีดังนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนขาลงไปตามภาวะดอกเบี้ย            เส้นตอบเเทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government bond yield curve) อยู่ในช่วงขาลงในไตรมาส 1 โดยเฉพาะภายหลังที่ กนง. ปรับลดออัตราดอกเบี้ยเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ เร็วกว่าที่หลายฝ่่ายคาด ทำให้ Bond yield ไทย ณ 31 มีนาคม 68 รุ่นอายุ 2 ปี 5 ปี และ 10 ปี ปรับตัวลดลง 31-35 bps. จากสิ้นปี 2567 มาอยู่ที่ 1.69%, 1.74% และ 1.99% ตามลำดับ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับเส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate bond yield curve) ที่ปรับลดลง 26-52 bps. ในหุ้นกู้กลุ่ม Investment grade (AAA, AA, A และ BBB+) รุ่นอายุ 5 ปี มาอยู่ที่ระดับ 2.29% 2.63% 3.01% และ 4.31% ตามลำดับ ในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หาก กนง. มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกในช่วงที่เหลือของปี 2568 ก็จะส่งผลตราสารหนี้ที่ยังจ่ายดอกเบี้ยสูงที่ออกมาก่อนหน้านี้จะยิ่งน่าสนใจ ส่งผลให้นักลงทุนหันมาซื้อตราสารหนี้มากขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้นตาม และ bond yield ลดลงตามลำดับ นักลงทุนต่างชาติแห่ซื้อสะสม            ThaiBMA รายงานกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ (Fund flow) ในไตรมาสแรกของปีเป็นการซื้อสะสมสุทธิที่มูลค่า 10,297 ล้านบาท โดยเฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้การถือครองของนักลงทุนต่างชาติ มีมูลค่า 8.74 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 5% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทย            ตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงปัจจุบัน (10 เม.ย. 68) ต่างชาติมีการซื้อสะสมตราสารหนี้ไทยสูง รวมมูลค่า 21,574 ล้านบาท พลิกจากการขายสะสมสุทธิที่ 67,393 ล้านบาทในปี 2567 สะท้อนการเข้าถือครองสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพอย่างตราสารหนี้มากขึ้น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนโดยเฉพาะภายหลังที่สหรัฐฯ ประกาศปรับเพิ่มภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย พลังงาน อสังหาฯ การเงิน 3 กลุ่มที่ครองการออกหุ้นกู้สูงสุด            พลังงาน (ENERG) พัฒนาอสังหาฯ (PROP) และการเงิน (FIN) เป็น 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการออกหุ้นกู้มากที่สุด ตามลำดับในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 เนื่องจากลักษณะของอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง รวมถึงเป็น sector ที่มีหุ้นกู้ระยะยาวครบกำหนดไถ่ถอนในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปีมากที่สุด โดยกลุ่ม FIN มีหุ้นกู้ครบกำหนดมูลค่า 144,655 ล้านบาท ส่วนกลุ่ม PROP และ ENERG มีมูลค่าครบกำหนด 121,054 ล้านบาท และ 85,467 ล้านบาท ตามลำดับ มูลค่าการออกหุ้นกู้ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม (1Q24 vs 1Q25) Source: ThaiBMA การออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนลดลง            มูลค่าการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนลดลงมาตั้งแต่ปี 2565 ที่มูลค่า 1,261,548 ล้านบาท สู่ 913,141 ล้านบาทในปี 2567 และในไตรมาส 1 ปี 2568 มูลค่าการออกอยู่ที่ 203,486 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.76% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม หุ้นกู้ในกลุ่ม Investment Grade มีมูลค่าการออกสูงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่านักลงทุนให้ความสนใจและเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีอันดับเครดิตสูง เนื่องจากสถานการณ์ที่มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระและเลื่อนชำระยังคงมีให้เห็นต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระรวม 1,605 ล้านบาท จากผู้ออก 3 ราย (CV, WTX, CHO) ขณะที่หุ้นกู้เลื่อนชำระมีมูลค่า 8,841 ล้านบาท จากผู้ออก 9 ราย (RICHY, CV, CGD, JCK, PRIME, NRF, EP, TPOLY, ECF) จึงมีส่วนให้นักลงทุนอาจขาดความเชื่อมั่นและหันไปลงทุนในบริษัทที่มีอันดับเครดิต Investment Grade ขึ้นไปเพิ่มขึ้น มูลค่าการออกหุ้นกู้ระยะยาว Source: ThaiBMA เอกชนออก ESG Bonds เพิ่มขึ้น สวนทางกับหุ้นกู้ปกติ            ESG Bonds ที่ประกอบด้วย Green Bonds, Social bonds, Sustainability bonds และ Sustainability-linked bonds (SLBs) มีการออกเพิ่มขึ้นในภาคเอกชนกว่า 37% จากปีก่อน รวมมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาทในปี 2567 และยังขยายไปสู่อุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้น อย่าง โรงแรม หรือแม้แต่ Microfinance ขณะเดียวกัน ภาครัฐโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ออก SLB มูลค่า 30,000 ล้านบาทในปี 2567 ซึ่งถือว่าเป็นการออก SLB โดยภาครัฐเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนเทรนการออกหุ้นกู้ตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้กับนักลงทุนที่สนใจและมองเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว            ดังนั้น หากนักลงทุนในตราสารหนี้ติดตามปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะเป็นอีกตัวช่วยในการตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้นตามสถานการณ์ ควบคู่ไปกับการศึกษาข้อมูลรายบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ที่เราสนใจลงทุน

[Vision Exclusive] แนะสะสมไม้แรก ใกล้จุด Bottom แล้ว

[Vision Exclusive] แนะสะสมไม้แรก ใกล้จุด Bottom แล้ว

         หุ้นวิชั่น - ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ส่งผลให้ภาวะการลงทุนผันผวน นักลงทุนเริ่มตั้งคำถาม “จะรอก่อน หรือ ลุยเลย?”นักวิเคราะห์มองว่า ช่วงนี้อาจเป็นจังหวะดีสำหรับการทยอยสะสม “ไม้แรก” ในหุ้นพื้นฐานดี สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ และถือเพื่อลงทุนระยะกลางถึงยาว ขณะที่นักลงทุนสายระมัดระวัง ควรรอจังหวะตลาดนิ่ง แล้วค่อยเข้าซื้อเมื่อความชัดเจนกลับมา บล.ยูโอบีฯ มั่นใจ SET ไม่ต่ำ 1,000 จุด ชู BANPU รับประโยชน์รัฐเจรจาสหรัฐ          นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) (UOBKHST) แนะนำกลยุทธ์ลงทุน สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ให้พักการลงทุนไปก่อน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) แต่ขึ้นอยู่กับเกมภาษีโลก คาดว่าความไม่แน่นอนตรงนี้จะยังอยู่ไปอีกสักระยะหนึ่ง          ทั้งนี้หากถามว่าหุ้นลงมาเท่าไหร่ ถึงเรียกว่าปลอดภัย มองว่าด้วยกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดในปี 2568 น่าจะมีดาวน์ไซด์ 10% มาอยู่ที่ 85 บาท และ P/E ลงมาเหลือ 13 เท่า คาดว่าจุดต่ำสุด (Bottom) ของ SET จะอยู่ที่ 970 จุด อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไม่หลุดระดับ 1,000 จุด อย่างแน่นอน          สำหรับนักลงทุนที่กำลังหาจังหวะเข้าลงทุน ให้ไม้แรกที่ดัชนีฯ ระดับ 1,080 จุด และไม้สอง ที่ 1,020 จุด พร้อมแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการยืดระยะเวลาเก็บภาษี 90 วันของสหรัฐฯ ได้แก่          BANPU รับประโยชน์จากรัฐบาลเตรียมเจรจาผ่อนปรนภาษีกับสหรัฐ ซึ่งแนวทางการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องภาษี จะมุ่งนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเน้นสินค้าที่ไทยมีความต้องการใช้ในประเทศ เช่น สินค้าเกษตร เครื่องในสุกร รวมทั้งสินค้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ ที่มีต้นทุนต่ำในสหรัฐฯ โดย BANPU ถือว่ามีการดำเนินงาน หรือโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ และมี Valuation ที่ถูก          STGT รับประโยชน์จากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีจากจีนในอัตราสูง ส่งผลให้จะมีความต้องการซื้อสินค้า หรือผลิตภัณฑ์จากไทยและมาเลเซียมากขึ้น รวมถึงราคาหุ้นก็อยู่ในระดับต่ำด้วย บล.ลิเบอเรเตอร์ มอง SET ใกล้ Bottom พร้อมชู 5 หุ้นเด่น          นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กลาวว่า แม้ SET จะถอยลงมาเยอะ แต่ท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังไม่อ่อนข้อให้กับจีน ทำให้ดาวน์ไซด์ยังมีอยู่ แต่ใกล้ถึงจุด Bottom แล้ว แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในช่วงตลาดผันผวน เก็บเงินสดไว้ก่อน รอจังหวะเข้าไม้แรก (เช่น 30% ของเงินลงทุน 100 บาท) ที่โซน 1,050 จุด เน้นไปที่หุ้นพื้นฐานดี และราคาหุ้นไม่แพง เช่น CPF จากผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ต้นทุนการผลิตปรับลดลงมาค่อนข้างมาก BDMS ราคาหุ้นไม่แพง เป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีสหรัฐจำกัด และGULF รับขาขึ้นรอบใหม่ มองโซน 40 บาท เป็นจุดพอตั้งรับได้ อีกทั้งหุ้นได้ประโยชน์จากโอกาสคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ย ปลายเดือนเมษายนนี้ ได้แก่ MTC , CPALL เป็นต้น          ส่วนนักลงทุนเทรดดิ้ง แนะนำรอสถานการณ์ต่างๆ ชัดเจนกว่านี้ รวมถึงระวังแรงขายของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์หลายตัว ที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD ด้วย          อย่างไรก็ตามมองดัชนีฯ ต่ำสุดปีนี้ที่ 970 จุด เท่ากับช่วงโควิด-19 ซึ่งถือเป็นจังหวะที่จะเข้าได้อีกหนึ่งไม้ เชื่อว่าจุดนี้น่าจะมีแรงซื้อมหาศาลอย่างแน่นอน เนื่องจากหากหลุด 1,000 จุดลงมา ตลาดพร้อมที่จะตอบรับทั้งข่าวบวกและลบ ส่วนจะปรับขึ้นไปได้ถึงระดับไหน คาดว่ายังต้องรอเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับ (Fund Flow) และรอให้นักวิเคราะห์ออกมา downgrade ทั้งในเรื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) และ EPS Growth          ขณะที่บล.ลิเบอเรเตอร์ คาด GDP ของไทยน่าจะเติบโตได้ราว 1% และ EPS น่าจะอยู่ที่ประมาณ 88 บาท บล.หยวนต้า แนะแบ่ง 5 ไม้เข้าลงทุน แนะกลุ่มโรงไฟฟ้า          นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองเวลานี้ถึงจังหวะสะสมหุ้นแล้ว แต่ต้องทยอยแบ่งไม้เข้า และเลือกหุ้นที่พื้นฐานดี ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อย เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า มอง EGCO เด่นสุดในกลุ่ม จากเป็นโรงไฟฟ้า IPP และ GPSC, BGRIM จากราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ทั้งนี้กลุ่มโรงไฟฟ้ามีแรงหนุนจากต้นทุนพลังงานปรับตัวลง ทั้งราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงด้วย ทำให้ซึ่งช่วยชดเชยกับค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลดลงมาได้          นอกจากนี้ยังมองกลุ่มค้าปลีก, สื่อสาร, โรงพยาบาล และ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust)          กลยุทธ์ลงทุน แนะแบ่งไม้ลงทุน ทยอยเข้า 5 ไม้ ทีละ 20% ของเงินลงทุน ส่วนพอร์ตเทรดดิ้ง เน้นเล่นหุ้นที่ลงมาลึก ลุ้นเด้งกลับ ให้แนวรับ 1,000 จุด, 1,050 จุด, 1,080 จุด 1,085 จุด และ 1,100 จุด

Art Tokenization เปลี่ยนภาพวาดให้กลายเป็นสินทรัพย์ [Hoonvision x TokenX]

Art Tokenization เปลี่ยนภาพวาดให้กลายเป็นสินทรัพย์ [Hoonvision x TokenX]

           ศิลปะคือภาษาสากลที่สะท้อนวัฒนธรรม ความคิด และจิตวิญญาณมนุษย์ แต่ในโลกของการเงิน ศิลปะมักถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์ที่สวยแต่ซื้อขายยาก” ในตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา งานศิลปะไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งตกแต่งหรือวัตถุแห่งแรงบันดาลใจ แต่ยังเป็น “สินทรัพย์ทางเลือก” (Alternative Investment) ที่นักสะสมและนักลงทุนใช้ในการกระจายความเสี่ยง และเก็บรักษามูลค่า • ผลงานของศิลปินระดับโลก เช่น Picasso, Monet, Warhol หรือ Basquiat มีราคาซื้อขายสูงขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว • ตลาดประมูลศิลปะ เช่น Sotheby’s หรือ Christie’s เคยสร้างสถิติการขายผลงานชิ้นเดียวในราคาหลายร้อยล้านดอลลาร์ • ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน ศิลปะมักถูกมองว่าเป็น “Store of Value” หรือที่พักเงินที่ปลอดภัยกว่าตลาดทุนต่างๆ หรือเป็นที่กระจายความเสี่ยงในการลงทุน            จากข้อมูลของ Knight Frank the Wealth Report ประจำปี 2024 พบว่าใน Luxury Investment Index 10 ปีย้อนหลัง การลงทุนในงานศิลปะให้ผลตอบแทนถึง 105% และจากปี 2023-2024 ให้ผลตอบทน 11% แต่การลงทุนในศิลปะก็มีข้อจำกัดเช่นกัน เช่น • ต้องใช้เงินทุนสูง: ผลงานระดับโลกส่วนมากมีมูลค่าหลายล้านบาทถึงหลักร้อยล้าน นักลงทุนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก • สภาพคล่องต่ำ: การซื้อขายต้องอาศัยตลาดประมูล แกลเลอรี หรือดีลส่วนตัว ใช้เวลานาน และมีค่าธรรมเนียมสูง • ความเสี่ยงปลอมแปลง: การพิสูจน์ความแท้ของผลงานต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญและระบบตรวจสอบที่ซับซ้อน • การถือครองกระจุกตัว: ส่วนใหญ่ผลงานมักอยู่ในมือของนักสะสมหรือนักลงทุนรายใหญ่ เช่น มหาเศรษฐี, กองทุน, พิพิธภัณฑ์            ซึ่งเทคโนโลยีสมัยปัจจุบันอย่างบล็อกเชนกำลังเปลี่ยนสมการนั้น ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า Art Tokenization Art Tokenization คืออะไร?            Art Tokenization คือการแปลงผลงานศิลปะให้อยู่ในรูปแบบของ “โทเคนดิจิทัล” บนเครือข่ายบล็อกเชน โดยโทเคนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหลักฐานของความเป็นเจ้าของผลงานนั้น ซึ่งสามารถแบ่งเป็นหน่วยเล็กๆ ได้ (Fractional Ownership) หรือแทนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของผลงาน            กระบวนการนี้ทำให้ผู้คนสามารถร่วมถือครองงานศิลปะระดับโลกได้ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อทั้งชิ้น เช่น ภาพ Monet ราคา 100 ล้านบาท อาจถูกแบ่งออกเป็น 100,000 โทเคน นักลงทุนสามารถซื้อเพียง 1 โทเคน ก็กลายเป็น “เจ้าของบางส่วน” ได้ทันที ทำไมงานศิลปะถึงเหมาะกับการ Tokenize? • ศิลปะมีมูลค่าแต่ขาดสภาพคล่อง: ผลงานศิลปะชั้นนำมีมูลค่าเฉลี่ยสูง และมักอยู่ในมือคนไม่กี่คน การซื้อขายใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง • โปร่งใสและตรวจสอบได้: การบันทึกบนบล็อกเชนทำให้ประวัติการซื้อขายและความเป็นเจ้าของโปร่งใส ปลอมแปลงไม่ได้ • สร้างรูปแบบการลงทุนใหม่: จากเดิมที่ศิลปะถูกมองเป็นของสะสม ตอนนี้มันกลายเป็น “สินทรัพย์ลงทุน” ที่ให้ผลตอบแทนได้ • สร้างรายได้ต่อเนื่องให้ศิลปิน: บล็อกเชนสามารถตั้งโปรแกรมให้ศิลปินได้รับ “ค่าลิขสิทธิ์” ทุกครั้งที่มีการซื้อขายโทเคนในตลาดรอง Web 3.0 และ NFT - เทคโนโลยีสู่ Art Tokenization            ในช่วงปี 2018-2022 ก่อนที่โลกจะรู้จัก Art Tokenization เราได้เห็นการเติบโตของเทรนด์ NFT (Non-Fungible Token) และการเติบโตของระบบ Web 3.0 ซึ่งทำหน้าที่เป็น “รากฐาน” ของการเปลี่ยนผ่านจากอินเทอร์เน็ตแบบเดิมสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริงๆ ที่เป็นกระแสนิยมในลงทุนด้านงานศิลปะ NFT คืออะไร ?            NFT คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ 1 ชิ้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มักใช้แทนผลงานศิลปะดิจิทัล เช่น ภาพ วิดีโอ เพลง หรือแม้แต่ไอเทมในเกม ซึ่งในช่วงปี 2021-2022 ได้มีงานศิลปะในรูปแบบ NFT ออกมามากมาย เช่น NFT Beeple ในราคา 69 ล้านดอลลาร์ หรือ กระแส Bored Ape Yacht Club ที่สร้าง “วัฒนธรรมคริปโต” ให้กลายเป็นสินทรัพย์แฟชั่น            แม้ NFT จะกลายเป็นกระแสและตลาดจะปรับฐานในเวลาต่อมา แต่มันได้พิสูจน์แนวคิดสำคัญว่า: "ศิลปะในรูปแบบดิจิทัลสามารถมีเจ้าของ มีมูลค่า และมีตลาดของตัวเองได้" และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามว่า ถ้าเราสามารถถือครองศิลปะดิจิทัลได้ แล้วศิลปะจริงล่ะ? เราจะแปลงมันให้ซื้อขายง่ายแบบคริปโต หรือ สินทรัพย์ดิจิทัลได้ไหม?            ดังนั้น Art Tokenization เป็นแนวคิดที่ต่อยอดจาก NFT โดยนำ “ศิลปะในโลกจริง” มาผูกกับบล็อกเชนให้กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลแบบมีหลักประกันจริง และซื้อขายได้แบบทันสมัย ความแตกต่างระหว่างการลงทุนในด้านงานศิลปะทั่วไป , NFT และ Art Tokenization คุณสมบัติ งานศิลปะทั่วไป NFT Art Tokenization รูปแบบผลงาน กายภาพเท่านั้น (จิตรกรรม, ประติมากรรม ฯลฯ) ส่วนใหญ่เป็นไฟล์ดิจิทัล (JPEG, GIF ฯลฯ) งานศิลปะจริงที่มีกายภาพจับต้องได้ + ดิจิทัล ความเป็นเจ้าของ เจ้าของ 1 ราย (หรือตามสัญญา) มักเป็นเจ้าของ 1 คนต่อ 1 NFT แบ่งได้เป็นส่วนย่อย (Fractional Ownership) การซื้อขาย ประมูล แกลเลอรี ตัวแทนกลาง ผ่าน NFT Marketplace (เช่น OpenSea) บนแพลตฟอร์มซื้อขาย และลงทุน (บางที่ต้องได้รับใบอนุญาต) บล็อกเชนและ smart contract ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ใช้ยืนยันความเป็นเจ้าของดิจิทัล ใช้เพื่อแบ่งกรรมสิทธิ์และควบคุมรายได้ต่อยอด ซึ่งในกรณีของการลงทุนใน Art Tokenization มีตัวอย่างเกิดขึ้นมาแล้วในโลกเช่น            1) Maecenas ในปี 2018 Maecenas ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเปิดให้ลงทุนในภาพ “14 Small Electric Chairs” ของ Andy Warhol ซึ่งมีมูลค่าประเมินราว 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนำภาพนี้มาทำ Tokenization บนบล็อกเชน Ethereum แล้วขายโทเคนออกไปคิดเป็น 31.5% ของมูลค่ารวม หรือประมาณ 1.7 ล้านดอลลาร์นักลงทุนกว่า 800 คนจาก 56 ประเทศเข้าร่วมถือครองผลงานชิ้นนี้ผ่านการซื้อโทเคน ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของการ “เปิดประตูให้คนทั่วไปเป็นเจ้าของงานศิลปะระดับโลก” แบบไม่ต้องมีเงินหลักล้าน รูปภาพ : 14 Small Electric Chairs ที่ได้รับการ Tokenized เพื่อการลงทุน            2) Masterworks เป็นสตาร์ตอัปจากสหรัฐฯ ที่กลายเป็นผู้นำตลาด Art Tokenization สำหรับนักลงทุนรายย่อยในปัจจุบัน โดยใช้โมเดลคล้าย "ตลาดหุ้นสำหรับงานศิลปะ" รูปแบบการทำงานคือ: • บริษัทจะจัดซื้อผลงานศิลปะระดับโลก เช่น Picasso, Banksy, Basquiat ฯลฯ • นำผลงานนั้นมาออกเป็น “หุ้น” หรือโทเคนเพื่อเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป • นักลงทุนสามารถซื้อโทเคนในราคาหลักร้อย–หลักพันดอลลาร์ และได้รับผลตอบแทนเมื่องานถูกขายในอนาคต            จุดเด่นคือ Masterworks ไม่ได้แค่แบ่งเจ้าของ แต่ยังมีแผนการขายเพื่อทำกำไร พร้อมรายงานภาวะตลาดให้นักลงทุนติดตาม คล้ายการถือหุ้นในกองทุน โดยมีหน่วยงานกำกับเช่น SEC คอยดูแลการเปิดเผยข้อมูล จึงสร้างความเชื่อมั่นได้ในระดับสูง            ตัวอย่าง : ผลงานการลงทุนของ Masterwork แล้วถ้ามีการทำ Tokenize ขึ้นมาจริง งานศิลปะจริงเก็บไว้ที่ไหน ใครดูแล?            แม้ Art Tokenization จะทำให้ “สิทธิ์ความเป็นเจ้าของ” กลายเป็นดิจิทัล แต่งานศิลปะที่ถูกแปลงเป็นโทเคน ยังคงเป็นผลงานจริงที่ต้องมีอยู่ทางกายภาพ จึงต้องมีระบบการจัดเก็บและดูแลที่ปลอดภัย น่าเชื่อถือ และตรวจสอบได้เสมอ รูปแบบการจัดเก็บผลงานหลัง Tokenization จัดเก็บในสถานที่เฉพาะทาง (Secure Art Storage) โดย ผลงานศิลปะที่ถูก Tokenize มักถูกเก็บไว้ในโกดังหรือคลังเก็บศิลปะมืออาชีพ มีพื้นที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นแบบมาตรฐานพิพิธภัณฑ์ สถานที่เหล่านี้มักตั้งอยู่ในเขตปลอดภาษี มีระบบความปลอดภัยสูงระดับเดียวกับธนาคารเช่น แพลตฟอร์ม Freeport จะเก็บที่ (สวิตเซอร์แลนด์, สิงคโปร์) หรือ Art Vault ของ Masterworks (สหรัฐฯ) จัดหาบริษัทผู้ดูแล (Custodian) ทำหน้าที่รับผิดชอบ โดยผู้ถือโทเคนไม่ต้องเป็นคนดูแลเอง แต่จะมีบริษัทหรือทีมดูแลโดยเฉพาะ ซึ่งอาจเป็นบริษัทเดียวกับผู้ออกโทเคน หรือพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญด้านการเก็บรักษาศิลปะ มีการตรวจสอบและประกันภัย - ผลงานมักได้รับการตรวจสอบความแท้จากผู้เชี่ยวชาญก่อนทำ Tokenization โดยจะ มีประกันภัยครอบคลุมความเสียหาย การสูญหาย หรือภัยธรรมชาติเสมอ และบางแพลตฟอร์มเปิดให้ตรวจสอบข้อมูลคลังจัดเก็บผ่านบล็อกเชนหรือระบบดิจิทัล (audit trail) ไม่มีการเคลื่อนย้ายบ่อยครั้ง - เพราะทุกการเคลื่อนย้ายมีความเสี่ยง โทเคนที่ถือจึงแทน “ความเป็นเจ้าของ” ของงานที่ ถูกจัดเก็บอยู่ ณ ที่เดียวอย่างถาวร จนกว่าจะมีการขายหรือแสดงในพิพิธภัณฑ์ โอกาสที่ยังเปิดอยู่กับศิลปะไทยและโลกบล็อกเชน            ประเทศไทยมีศิลปินระดับโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ประเทือง ม่วงงาม, กมล ทัศนาญชลี, ถวัลย์ ดัชนี หรือแม้แต่ศิลปินร่วมสมัยรุ่นใหม่ ๆ การนำผลงานเหล่านี้เข้าสู่แพลตฟอร์ม Art Tokenization จะสามารถ: • เพิ่มรายได้ให้ศิลปินจากทั้งตลาดในและต่างประเทศ • ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้รู้จักศิลปะไทยมากขึ้น • สร้างตลาดศิลปะดิจิทัลในประเทศให้คึกคักขึ้น            ซึ่ง ธุรกิจการลงทุนในงานศิลปะผ่านบล็อคเชน ยังค่อนข้างใหม่ และเป็นโอกาสที่ดีในการสร้าง โดยประเด็นที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการในด้านต่างๆ การให้ความรู้แก่ศิลปินและนักลงทุน: เพราะศิลปินจำนวนมากยังไม่เข้าใจเทคโนโลยีนี้ และ ในส่วนของนักลงทุนการลงทุนด้านศิลปะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นชิน โครงสร้างพื้นฐาน: เช่น การประกันภัยงานศิลปะ หรือ สถานที่การจัดเก็บงานศิลปะที่เหมาะสม มาตราฐานแพลตฟอร์มการลงทุน: พัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนที่มีส่วนรวมศิลปิน และ นักลงทุน ให้เข้ามา โดยจะต้องมี ต้องมีมาตรฐานในการประเมินมูลค่า และการจัดเก็บงานศิลปะที่มีหลักประกัน ที่เหมาะสม            ในโลกที่การลงทุนเคลื่อนที่รวดเร็ว ศิลปะเองก็ไม่ยืนอยู่นิ่งกับที่ Art Tokenization คือการเปิดศักราชใหม่ของวงการศิลปะ ที่ทำให้ทุกคนมีโอกาสร่วมถือครอง ลงทุน และสร้างคุณค่าจากงานศิลป์ได้มากกว่าที่เคย หากประเทศไทยสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมาย และความเข้าใจร่วมกันในระดับประเทศได้ เราอาจได้เห็น “กรุงเทพฯ” หรือ “เชียงใหม่” กลายเป็นฮับศูนย์กลางของศิลปะดิจิทัลระดับเอเชียในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้เขียน สุทธิรัตน์ หาญพานิชย์ Head of Business Development, Token X

ทองขึ้นฉ่ำ ! ล่าสุดทองรูปพรรณขายออก 51,950 บ.

ทองขึ้นฉ่ำ ! ล่าสุดทองรูปพรรณขายออก 51,950 บ.

         หุ้นวิชั่น – วันที่  11 เมษายน 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำช่วงเปิดตลาด ราคาปรับขึ้นแรง  800 บาท จากนั้นปรับขึ้นอีกครั้ง 50 บาท ก่อนจะปรับลงอีกจำนวน 2 ครั้ง ครั้งละ 50 บาท  ส่งผลให้ปัจจุบัน ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 51,050.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 51,150.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 50,134.12 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 51,950 บาท 

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.10-34.40 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.10-34.40 บ./ดอลลาร์

             หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.40 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าเร็วหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นโลกกลับมาสูงขึ้นพร้อมดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่วนสกุลเงินเอเชียแข็งค่า US Treasury yield อายุ 2 ปี ปรับสูงขึ้น เพราะตลาดให้โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยน้อยลง สอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ของคณะกรรมการ Fed ที่ไม่ต้องการรีบลดดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้น tariffs จากจีนเป็น 125% หลังจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 84%

เช็ก!หุ้นดีราคาไม่แพง

เช็ก!หุ้นดีราคาไม่แพง

          หุ้นวิชั่น -หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีเท่าเทียม (Reciprocal Tax) กับประเทศที่ไม่ตอบโต้ภาษีออกไปอีก 90 วัน โดยเก็บภาษีเพียง 10% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าคาด ส่งผลดีต่อกลุ่ม Reopening Trade เช่น เทคโนโลยี, ส่งออก, ขนส่ง และพลังงาน  ส่งสัญญาณความคลี่คลายของความกังวลในตลาด           ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็น 124% จากเดิม 104% หลังจีนตอบโต้ในระดับ 84% อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาจจำกัด เพราะภาษีระดับ 54% เดิมได้ส่งผลให้การค้าระหว่างสองประเทศลดลงไปแล้วถึง 85% ของมูลค่าทั้งหมด           ตลาดหุ้นไทยเริ่มตั้งฐาน ซึ่งถือเป็นโซน Deep Value ที่มีความน่าสนใจในการลงทุน ทั้งนี้ระยะสั้นแนะนำเน้นกลุ่ม Reopening Trade ได้แก่ หุ้นเทคโนโลยี (DELTA, HANA, GULF, GPSC) กลุ่มส่งออก (AAI, ITC, SAPPE, SCGP) กลุ่มขนส่ง (AOT, BA) กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA, WHA)           ขณะที่พอร์ตระยะกลางยังเน้น 10 หุ้นพื้นฐานดี ราคาน่าสะสมอย่าง CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL และ AOT  (ที่มา KSS)           บล. ดาโอ มองประเด็น "ทรัมป์” ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff)  ชี้ว่า เป็นบวกระยะสั้น ได้คัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะมีโอกาส outperform SET ระยะสั้น โดยเลือกจากหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และราคาหุ้นปรับลงแรง นับจากวันที่ 2 เมษายน 2025 (วันที่ทรัมป์ประกาศภาษี reciprocal tariffs) หุ้นที่เลือกประกอบด้วย  AMATA, WHA, AAI, EPG, SPRC, SJWD, AAV, PTTEP, MASTER, MEDEZE, GULF, COCOCO, KTB,           วกมาที่ บล.พาย ระบุว่า หุ้น SET100 ที่ราคาปรับลงมาแรงนับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีทั่วโลกได้แก่ AMATA WHA- SJWD- MINT- CENTEL  มองกลุ่มนิคมน่าสนใจสุดจากก่อนหน้าด้วยความกังวลย้ายฐานผลิต แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เรากังวลคือในช่วง 3 เดือนจากนี้ผู้ประกอบการทั่วโลกก็จะไม่เร่งร้อนลงทุนเพื่อรอดูผลภาษีทำให้ความเสี่ยงขาลงเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน และหากไปดูสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำพบว่ายังคงทรงตัวในด้านบนมิได้ปรับลงมาอย่างมีนัยยะสำคัญสะท้อนว่านักลงทุนยังคงมีความกังวลอยู่เช่นเดิม           ดังนั้น การลงทุนอาจจะเป็นลักษณะสะสมบางส่วนจาก Valuation ที่ไม่แพงประกอบกับเก็งกำไรระยะสั้นๆในหุ้นที่ได้รับผลกระทบก่อนหน้า อาทิ ส่งออก (TU- ITC) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA -WHA)           ทั้งนี้ เชิงกลยุทธ์การลงทุนแนะสะสมได้บางส่วนเพราะสิ่งที่กังวลคือตลาดหุ้นไทยอาจจะเปิดกระโดดและทำให้เสียจังหวะแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่แพงมาก (Valuation) ในส่วนของหุ้นที่แนะสะสมได้แก่ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC- CRC -CPALL) ธนาคารพาณิชย์ (BBL- KBANK -KTB- SCB) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA -WHA) ส่งออก (ITC -TU) โรงแรม (CENTEL- MINT)           AMATA ( ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท) ระยะสั้นได้แรงหนุนจาก Trump นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการปี 25 ยังคงเห็นการเติบโตได้ดี แม้ว่าบริษัทจะตั้งเป้ายอดขายไว้เพียง 2,000 ไร่ ต่ำกว่าปี 24 ที่ทำได้ถึง 3,018 ไร่ เนื่องจากยังมี Backlog ที่รอรับรู้รายได้อีกกว่า 21,000 ล้านบาท ผู้บริหารตั้งเป้าโอนในส่วนของประเทศไทยที่มีกว่า 19,000 บล้านบาท ไม่ต่ำกว่า 50% ภายในปี 25 นี้ โดยยอดขายในช่วง 2M25 ทำได้แล้ว 230 ไร่           WHA (ราคาเป้าหมาย 5.30 บาท) เป็นหุ้นที่รับผลกระทบหนักก่อนหน้าจาก Trump ส่วนภาพรวมในช่วง 1Q25 ในส่วนของธุรกิจที่ดินล่าสุดทาง WHA มีการให้ข้อมูลเพิ่มว่ายอดขายที่ดินจะไม่ต่ำกว่า 4Q24 ที่ทำได้ 773 ไร่ (ส่วน 1Q24 ทำได้ 630 ไร่) เนื่องจากนิคมใหม่ที่ ESSIE 5 มีการเซ็นสัญญา LOI แล้วประมาณ 400 ไร่ และมีการเจรจาอีกกว่า 600 ไร่ นอกจากนี้ยังมีลูกค้าที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาเพิ่มเติมจากปี 24 อีกกว่า 400 ไร่ ส่วนธุรกิจให้เช่ารถ EV มีการเจรจากับลูกค้าอยู่กว่า 1,000 คัน จากเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปีที่ 1,700 คัน การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

Pi Private Wealth เปิดมุมมอง สัมมนา ‘Health & Longevity

Pi Private Wealth เปิดมุมมอง สัมมนา ‘Health & Longevity

         หุ้นวิชั่น - กรุงเทพ, ประเทศไทย - Pi Private Wealth โดย บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ “บล.พาย” ร่วมกับ บลจ.กสิกรไทย พร้อมด้วยบริษัทชั้นนำด้านสุขภาพ Soma Health ในประเทศไทย และ Cellcolabs จากประเทศสวีเดน จัดงานสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Health & Longevity: Unlocking the Future of Wellness”  เพื่อนำเสนอแนวโน้มและโอกาสในการลงทุนในอุตสาหกรรม Healthcare ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้าน Stem Cell ที่นำมาใช้ในการรักษา และดูแลสุขภาพ โดยงานจัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ณ โรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ (Waldorf Astoria Bangkok)          ภายในงานได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงของบล.พายและผู้เชี่ยวชาญจากพันธมิตรมาร่วมให้ข้อมูลเชิงลึก ได้แก่ นายณัฐพล จันทร์สิวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมและผู้บริหารสูงสุดด้านการลงทุน และ  นายกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายการบริหารพอร์ตการลงทุน จากบล.พาย, นาวสาวมทินา วัชรวราทร ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน จากบลจ.กสิกรไทย และนายณัชพล กิตติชัยวงศ์ ผู้ก่อตั้งร่วมและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SOMA Health พร้อมด้วย Dr. Mattias Bernow ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Cellcolabs ผู้เชี่ยวชาญจากทางด้านนวัตกรรม Mesenchymal Stem Cells (MSCs) ร่วมเป็นวิทยากร          นางสาวณัชชา สุนทรธาราวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมและผู้บริหารสูงสุดด้าน Private Wealth บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำคัญของงานสัมมนาครั้งนี้ว่า "Pi Private Wealth มุ่งสร้างประสบการณ์พิเศษให้แก่ลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง งานสัมมนาครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราจัดขึ้นเพื่อลูกค้า Pi Private Wealth โดยเฉพาะ โดยเน้นให้ข้อมูลด้านการลงทุนของกลุ่มธุรกิจ Healthcare ซึ่งนับเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความโดดเด่นในปัจจุบัน บอกเล่าตั้งแต่ภาพรวมของอุตสาหกรรม แนวโน้มการเติบโต และปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาพการลงทุนในระยะสั้น และระยะยาว รวมถึงโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ  นอกจากนั้นแล้ว เรายังส่งมอบความรู้ และแนวโน้มด้าน Longevity หรือ การมีอายุที่ยืนยาว และการมีสุขภาพที่ดี และบทบาทของ Mesenchymal Stem Cells (MSCs) ที่เป็นหนึ่งในนวัตกรรมของการแพทย์ทางเลือก เพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านกลยุทธ์การบริหารพอร์ตลงทุน ควบคู่ไปกับความรู้ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าคนสำคัญของเรา"          นายกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า "อุตสาหกรรม Healthcare เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่น่าจับตามองอย่างมากในอนาคต โดยเฉพาะนวัตกรรมด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต และการแพทย์ที่ช่วยยืดอายุขัย รวมถึงคนสูงวัยที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในโลก ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสในการเติบโตของพอร์ต แต่ยังเป็นการลงทุนในอนาคตของสังคมโลกอีกด้วย"          สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมของบริการ Pi Private Wealth ได้ที่ https://www.pi.financial/private-wealth [PR News]

บล.กรุงไทยฯ แนะเก็งกำไร DR กลุ่มอิงบริโภค

บล.กรุงไทยฯ แนะเก็งกำไร DR กลุ่มอิงบริโภค

             หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ระบุ Trump ประกาศเลื่อนเก็บภาษี Reciprocal Tariff ส่งผลบวกตลาดโลก แนะนำเก็งกำไร DR กลุ่มอิงการบริโภคที่ปรับลงมาก่อนหน้านี้ - Donald Trump เลื่อนการบังคับใช้ Reciprocal Tariff ออกไป 90 วันและปรับลดเหลือ 10% ยกเว้นจีนที่เพิ่มขึ้นเป็น 125% - KTX Research มองตลาดสหรัฐโดยเฉพาะกลุ่มที่อิงการบริโภค มีโอกาสรีบาวน์ แนะนำเก็งกำไรกลุ่มที่ปรับลงมาแรงก่อนหน้านี้ - กลุ่มอิงการบริโภค: AMZN80X, VISA80X, MA80X, NIKE80X, SBUX80X, BKNG80X - กลุ่มเทคโนโลยี: MSFT80X, META80X, GOOG80X - กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม: LVMH01, HERMES80, FERRARI80 - กลุ่มที่ต้องจับตาการเก็บภาษีเซมิคอนดักเตอร์ (เก็งกำไรด้วยความระมัดระวัง) : ASML01, AMD80X, AVGO80X, NVDA80X ตลาดเวียดนาม (E1VFVN3001, FUEVFVND01) และ ญี่ปุ่น (JAPAN13) คาดรีบาวน์ได้ดี ขณะที่อินเดีย (INDIA01) และจีน (CN01, HKCE01) ได้รับผลกระทบจำกัดจากกำไรบริษัททะเบียนที่อิงการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ซึ่งอาจรีบาวน์ได้น้อยกว่า

ราคาน้ำมันดิบพุ่ง 4% ทรัมป์เบรกภาษีนำเข้า 90 วัน

ราคาน้ำมันดิบพุ่ง 4% ทรัมป์เบรกภาษีนำเข้า 90 วัน

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 2.77 ดอลลาร์ หรือ 4.65% ปิดที่ 62.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นกว่า 4% หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับประเทศต่าง ๆ เป็นเวลา 90 วัน (ยกเว้นจีน) ขณะที่เช้าวันนี้ ราคาน้ำมันยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อยู่ที่ระดับ 62.90 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 0.88%

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.10-34.40 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.10-34.40 บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.10-34.40 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าเร็วหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นโลกกลับมาสูงขึ้นพร้อมดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่วนสกุลเงินเอเชียแข็งค่า US Treasury yield อายุ 2 ปี ปรับสูงขึ้น เพราะตลาดให้โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยน้อยลง สอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ของคณะกรรมการ Fed ที่ไม่ต้องการรีบลดดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้น tariffs จากจีนเป็น 125% หลังจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 84%

เล็งเป้า 8 หุ้นความเสี่ยงต่ำ

เล็งเป้า 8 หุ้นความเสี่ยงต่ำ

           หุ้นวิชั่น- มาวิเคราะห์หัวข้อประเด็นเจรจาการค้ากันให้ชัดๆ รัฐบาลแถลงมาตรการรับมือนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา โดยถือเป็นโอกาสในการยกระดับการค้าของไทยให้สูงขึ้น โดยจะเน้นแนวทางที่ ไม่ใช่การลดภาษีให้กับสหรัฐฯ แต่เป็นการปรับสมดุลทางการค้าระหว่างกัน            ซึ่งมีแนวทางหลัก ๆ ดังนี้คือ  นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเน้นสินค้าที่ประเทศไทยมีความต้องการใช้อยู่แล้ว เช่น สินค้าเกษตร เครื่องในสุกร และก๊าซธรรมชาติ ลดหรือยกเว้นภาษีให้กับสินค้าสหรัฐฯ ที่ไทยมีการจัดเก็บภาษีได้ไม่สูงนัก และมีรายได้ต่อปีไม่มากอยู่แล้ว โดยมีมากกว่า 100 รายการ ยกเลิกมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าไทย เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ และสนับสนุนภาคเอกชนไทยให้ไปลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเฉพาะในภาคเกษตร ภาคพลังงาน และอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ            โดยรวม มาตรการนี้ถือว่าสอดรับกับแนวทางที่สหรัฐฯ ต้องการ ซึ่งอ้างอิงจากแนวทางที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ เคยชื่นชมการแก้ปัญหาของเกาหลีใต้ เช่น การนำเข้าก๊าซธรรมชาติ และการร่วมลงทุนกับสหรัฐฯ ทำให้มีโอกาสที่การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงเชิงบวกได้            ผลบวกต่อหุ้น ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากแนวทางนี้ ได้แก่ CPF, GFPT (ต้นทุนลดลงจากการนำเข้าสินค้าบางประเภท) กลุ่มพลังงาน (ได้ประโยชน์จากการลงทุนเพิ่มเติม) โรงไฟฟ้า (ได้แหล่งก๊าซใหม่ หากค่าขนส่งรวมต้นทุนไม่สูง ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรอง) (ที่มา KSS)            วกมาที่ บล.พาย มองว่า ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังไม่เร่งร้อนเข้าลงทุนแม้หุ้นไทยจะถูกก็ตาม เพราะไม่มีปัจัยหนุนชัดเจนและยังเสี่ยงจะปรับลงได้อีกตามปัจจัยกดดันการค้าและการปรับประมาณการเศรษฐกิจ            อย่างไรก็ตามนักลงทุนระยะกลาง - ยาว หากประสงค์จะลงทุนอาจเลือกสะสมบางส่วนในหุ้นพื้นฐานดีที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ศูนย์การค้า (CPN) โรงพยาบาล (BDMS)            ขณะที่ CPF มีปัจจัยบวกจากผลประกอบการงวด 1Q25 ที่คาดว่าจะสูงถึงระดับ 7,078 ล้านบาท (+514%YoY,+70%QoQ) จากผลดีของราคาเนื้อสุกรที่ไทยและเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดที่เกิดขึ้น ซึ่งผลดีดังกล่าวยังคงเห็นต่อเนื่องมาถึงช่วง 2Q25 นี้ ขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เบื้องต้นทาง CPF มีการขายไปยังสหรัฐฯ ไม่มากนัก มีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของรายได้รวม (ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท)            มาส่องBDMSกัน  คาดประกาศกำไรสุทธิ 4Q24 สูงที่ 4.3 พันล้านบาท (+9% YoY, +2% QoQ) หนุนกำไรสุทธิปี 2024 เติบโตอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (+11% YoY) เป็นไปตามทิศทางเดียวกับที่เราและตลาดคาด สำหรับในปี 2025 คาดกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องหนุนจาก 1) แผนขยายจำนวนโรงพยบาลและเตียงผู้ป่วย และ 2) การเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ( ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)            ส่วน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ประเมินว่า  CPALL กำไร 4Q67 +28% QoQ และ +31% YoY รับผลบวกจากฤดูกาลท่องเที่ยว เทศกาลฉลองส่งท้ายปี และผลบวกจาก Synergy MAKRO & LOTUS ชัดเจนมากขึ้นหลังควบรวมเสร็จต้น 4Q67คาดกำไร 1Q68F ยังเติบโตเกิน 15% YoY ทั้งจาก 7-11 ที่ SSSG 2 เดือนแรก +3% YoY และธุรกิจ CPAXT SSSG 2 เดือนแรก +1-2% YoY และ GPM ปรับตัวดีขึ้นในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอาหารสด และ Ready to eat คาดกำไรทั้งปีนี้เติบโต 15% จากปีก่อนหน้า แม้จะเห็น Synergy ในกลุ่ม CPAXT มากขึ้น แต่ด้วยฐานกำไรที่สูงมากในปีก่อน + กำลังซื้อในไทยยังอ่อนแอ เคาะราคาพื้นฐาน 70 บาทต่อหุ้น            บล.เอเซียพลัส กระซิบว่า ใกล้ถึงโซนบรรจุกระสุนเพิ่ม SET INDEX 5 เดือน ย่อตัวลงมาเกิน -25% จนมี MARKET CAP เหลือเพียง 13.2 ล้านล้านบาท ต่ำกว่า GDP ไทย 67 ที่ 18.6 ล้านล้านบาท พอสมควร ที่สำคัญ คือ มี P/BV เหลือเพียง 1 เท่า เท่านั้น ในอดีตเวลา SET INDEX ปรับตัวลงมาเกิน -25% ยังมีโอกาสผันผวนได้อีก 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน แต่ระยะยาวฟื้นได้ ดีมาก เช่นเดียวกับเวลาที่ SET มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า มักเกิดขึ้นน้อยเพียงแค่ 1% กว่าตลอด 25 ปี และมักจะทยอยปรับตัวขึ้นได้ดีในระยะกลางยาวเช่นเดียวกัน ภายใต้ความผันผวนกับ TRADE WAR 2 ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้   เลือกหุ้น DOMESTIC ผันผวนต่ำ ดังนี้ ADVANC, BEM, CPALL,            โดยสรุปทำเนียบหุ้นความเสี่ยงต่ำ ที่นักลงทุนน่าสะสม และโบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำ ประกอบด้วย 8 หลักทรัพย์  ดังนี้   ADVANC, BEM, CPALL,BDMS,CPF,BJC,CPN,GFPT การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

[Vision Exclusive] โอกาสของคนกล้า โฟกัสหุ้นปันผลเด่น

[Vision Exclusive] โอกาสของคนกล้า โฟกัสหุ้นปันผลเด่น

          หุ้นวิชั่น - เปิดมุมคิดการลงทุน “โจ ลูกอีสาน” มองตลาดหุ้นไทยยังเผชิญปัจจัยระยะสั้นจากภาษีสหรัฐฯ แต่ระยะยาวภาคธุรกิจจะปรับตัวได้ ชี้หุ้นไทยตอนนี้ ‘ถูก’ เน้นหุ้น Domestic Play เริ่มน่าสนใจ  รวมถึงหุ้นที่มีปันผลสูง 7% ในกลุ่มค้าปลีก-ธนาคาร พร้อมกระจายลงทุนต่างประเทศ ย้ำชัดนี่คือ “โอกาสของคนกล้า” บล.เอเซียพลัส ประเมิน SET ยังผันผวน ในอดีตเวลา SET INDEX ปรับตัวลงมาเกิน -25% ยังมีโอกาสผันผวนได้อีก 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน แต่ระยะยาวฟื้นได้ ดีมาก เช่นเดียวกับเวลาที่ SET มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า มักเกิดขึ้นน้อยเพียงแค่ 1% กว่าตลอด 25 ปี และมักจะทยอยปรับตัวขึ้นได้ดีในระยะกลางยาวเช่นเดียวกัน           นายอนุรักษ์ บุญแสวง หรือ “โจ ลูกอีสาน” นักลงทุน VI  เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันว่า ยังคงได้รับแรงกดดันจากประเด็นการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้อย่างชัดเจน โดยมองว่า เป็นปัจจัยระยะสั้นที่แม้ยังไม่สามารถคาดการณ์บทสรุปได้ แต่ในระยะยาวเชื่อว่าภาคธุรกิจจะสามารถปรับตัวและหาทางออกได้ ส่งผลให้ระบบการค้าโลกกลับเข้าสู่ภาวะปกติในที่สุด           จากสถานการณ์ดังกล่าว นักลงทุนระยะสั้นอาจพิจารณาหันมาเน้นลงทุนในหุ้นที่อิงการบริโภคภายในประเทศ (Domestic Play) มากขึ้น ขณะที่โดยส่วนตัว นายอนุรักษ์ระบุว่า มองว่าหุ้นไทยในขณะนี้มีมูลค่าที่ “ถูก” เมื่อเทียบกับพื้นฐาน แม้ภาวะตลาดจะผันผวน แต่ก็ถือเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ถือครองหุ้นในช่วง 3-4 ปี โดยเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงในระดับ 7% ซึ่งปัจจุบันยังพบได้ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มประกันชีวิต ค้าปลีก และธนาคารพาณิชย์ ที่ยังมีศักยภาพการเติบโตที่ดี           อย่างไรก็ตาม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์อาจต้องพิจารณาหลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะนี้ เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา           “ในช่วงที่ตลาดผันผวนแบบนี้ อยากให้นักลงทุนมีสติ ไม่เครียดจนเกินไป เพราะนี่คือธรรมชาติของเส้นทางการลงทุน การกล้าลงทุนในช่วงที่ตลาดกลัว มักเปิดโอกาสให้ได้ราคาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในหุ้นที่จ่ายปันผลสูง หรือกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ ซึ่งมีหุ้นหลายตัวที่ Valuation น่าสนใจเช่นกัน ผมเองก็มีการลงทุนในตลาดฮ่องกงเพิ่มเติม และสำหรับผู้ที่ไม่ถนัดเลือกหุ้นรายตัว อาจพิจารณาลงทุนผ่านกองทุนดัชนีก็ได้” นายอนุรักษ์กล่าว           ทั้งนี้ นายอนุรักษ์ยังมองว่า การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติในช่วงนี้ยังเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากตลาดหุ้นไทย           ในปัจจุบันอาจยังขาด “เสน่ห์” ในสายตานักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในด้านความเชื่อมั่นต่อประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายของภาครัฐ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งผลักดันมาตรการปฏิรูป และสร้างแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศในระยะถัดไป           บล. ดาโอ ระบุว่า ตลาดหุ้นไทย ถูกกดดันเรื่องสงครามการค้า มองว่า หุ้น Domestic Play จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า หุ้นขนาดใหญ่ที่จะถูกขายโดยนักลงทุนต่างชาติ ปรับ list ของหุ้นในเชิงกลยุทธ์ จากแรงขายระลอกใหม่ โดยให้น้ำหนักกับ Domestic Play และ Defensive เป็นหลักได้แก่ ADVANC, CPALL, SCB, MTC* , KBANK           พลิกวิกฤตเป็นโอกาส มองว่า หุ้นอสังหาฯ รายใหญ่ ที่มีฐานะทางการเงินแข็งแรง ประสบการณ์สูง และไม่ได้อิงรายได้จากการขายคอนโดฯเป็นหลัก เราเลือกมา 4 ตัว คือ SIRI, LH*, SPALI, AP* ราคาที่ลงมามาก ทำให้ Dividend Yield ของหุ้นทั้ง 4 ตัวสูงขึ้น 10%, 7%, 8% และ 8% ตามลำดับ           ขณะที่ บล.เอเซียพลัส ประเมิน SET ผันผวน แต่ก็ใกล้ถึงโซนบรรจุกระสุนเพิ่ม SET INDEX 5 เดือน ย่อตัวลงมาเกิน -25% จนมี MARKET CAP เหลือเพียง 13.2 ล้านล้านบาท ต่ำกว่า GDP ไทย 67 ที่ 18.6 ล้านล้านบาท พอสมควร ที่สำคัญ คือ มี P/BV เหลือเพียง 1 เท่า เท่านั้น           ในอดีตเวลา SET INDEX ปรับตัวลงมาเกิน -25% ยังมีโอกาสผันผวนได้อีก 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน แต่ระยะยาวฟื้นได้ ดีมาก เช่นเดียวกับเวลาที่ SET มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า มักเกิดขึ้นน้อยเพียงแค่ 1% กว่าตลอด 25 ปี และมักจะทยอยปรับตัวขึ้นได้ดีในระยะกลางยาวเช่นเดียวกัน           ภายใต้ความผันผวนกับ TRADE WAR 2 ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันนี้ ฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการประเมินแนวรับสำคัญทางพื้นฐานของ SET INDEX ที่ต้องทยอยสะสมหุ้นเพิ่ม คือ 1060 จุด (อิง EPS 80 บาท/หุ้น, EYG 5.8% (สูงสุดตอนโควิด), ดอกเบี้ยนโยบาย 2%) และ 1026 จุด (อิง EPS 80 บาท/หุ้น, EYG 5.8% (สูงสุดตอนโควิด), ดอกเบี้ยนโยบาย 1.75%)           เลือกหุ้น DOMESTIC ผันผวนต่ำ ADVANC, BEM, CPALL รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision

คัด 5 หุ้นน่าสนใจ เก็งกำไรรีบาวน์แรง เช็ก!

คัด 5 หุ้นน่าสนใจ เก็งกำไรรีบาวน์แรง เช็ก!

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ SET ที่เริ่มฟื้นตัวจากโซนฐานกรณี Base Case ที่ KSS ประเมิน คาดมีชุดหุ้นที่ยัง Rebound ช้ากว่า SET ที่มีโอกาสฟื้นตัวแรง ดังนี้ อิง SET YTD (-22.4%) พบว่า มีหุ้นน่าสนใจเก็งกำไรรีบาวน์แรง อาทิ AMATA, WHA, BGRIM, SISB, AOT - AMATA (YTD-56.5%) Risk Sentiment สถานการณ์การกีดกันการค้าอยู่ในช่วงปลาย และมีโอกาสเห็น Upside เช่น การเจรจา > Downside หากคลายตัวจะเป็นแรงหนุน - WHA (YTD-54.2%) Risk Sentiment สถานการณ์การกีดกันการค้าอยู่ในช่วงปลาย และมีโอกาสเห็น Upside เช่น การเจรจา > Downside หากคลายตัวจะเป็นแรงหนุน - BGRIM (YTD-51.5%) ราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นหนึ่งในต้นทุนปรับตัวลงเร็วรับความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ถือเป็น Upside - SISB (YTD -41.7%) การศึกษาบุตรหลานเป็นค่าใช้จ่ายท้ายๆที่จะถูกปรับลด ประเมินหนึ่งในหุ้นธีมสินค้าบริการจำเป็น - AOT (YTD -38.7%) ผู้ให้บริการสนามบินรายหลัก หนุนมีความมั่นคงสูง คาดเป็นทางเลือกต้นๆ ที่ตลาดดึงสถานะกลับ

ก.ล.ต.ปรับปรุงเกณฑ์ ติดต่อ-ให้บริการลูกค้าบล. รองรับขาย NC bond

ก.ล.ต.ปรับปรุงเกณฑ์ ติดต่อ-ให้บริการลูกค้าบล. รองรับขาย NC bond

            หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การติดต่อและให้บริการลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) รองรับการเสนอขายตราสารด้อยสิทธิที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์หรือ ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ใช้ในการคำนวณเงินกองทุน (Net Capital Bond: NC bond) เพื่อให้บริการผู้ลงทุนได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ เนื่องจากหลักเกณฑ์การติดต่อและให้บริการลูกค้าของ บล. สำหรับการเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงหรือ มีความซับซ้อน (risky/complex product) ยังไม่ครอบคลุมถึงการให้บริการ NC bond ก.ล.ต. จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์ โดยมีสาระสำคัญดังนี้ (1) กำหนดให้ NC bond เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อน (2) การเสนอขาย NC bond ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การติดต่อและให้บริการลูกค้าสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความซับซ้อน เช่น (2.1) ให้ข้อมูลเพื่อให้ลูกค้าเข้าใจลักษณะและความเสี่ยงของตราสาร รวมทั้งมีการเตือนถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง (2.2) จัดให้มีการทดสอบความรู้ของลูกค้า (knowledge test) สำหรับ NC bond ที่ครบกำหนดอายุไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัทก่อนการลงทุนในครั้งแรก ทั้งนี้ ประกาศที่ปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว* มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 16 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

ก.ล.ต. เปิดเฮียริ่งประเมินผลสัมฤทธิ์พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ยกระดับกำกับดูแล

ก.ล.ต. เปิดเฮียริ่งประเมินผลสัมฤทธิ์พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ยกระดับกำกับดูแล

            หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) เพื่อทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน ก.ล.ต. เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคของ พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาใช้ประกอบการประเมินสภาพปัญหา ความจำเป็นและความสอดคล้องกับสถานการณ์ ความคุ้มค่า และภาระที่มีต่อภาคธุรกิจและประชาชน รวมถึงอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมาย โดยจะนำความเห็นและข้อเสนอแนะมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับให้การกำกับดูแลตลาดทุนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยต่อไป ทั้งนี้ การเปิดรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว เป็นไปตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. ประเมินผลสัมฤทธิ์ฯ) ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดทำการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายอย่างน้อยทุก 5 ปี นับแต่วันที่กฎหมายนั้นมีผลบังคับใช้ หรือดำเนินการ ทุกรอบระยะเวลาอื่น ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง หรือเมื่อมีกรณีอื่นตามที่กำหนดใน พ.ร.บ. ประเมินผลสัมฤทธิ์ฯ

สถานการณ์ตลาดน้ำมัน แนวโน้ม 7 - 11 เม.ย. 68

สถานการณ์ตลาดน้ำมัน แนวโน้ม 7 - 11 เม.ย. 68

หุ้นวิชั่น - สถานการณ์ตลาดน้ำมัน สัปดาห์วันที่ 31 มี.ค. 68 -  4 เม.ย. 68 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 7-11 เม.ย. 68 ราคาน้ำมันดิบลดลงจากสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า จุดชนวนสงครามการค้าคุมคามเศรษฐกิจโลก      วันที่ 5 เม.ย. 68 Reuters รายงานสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้า (Tariff) ขั้นต่ำ 10% กับหลายประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย อังกฤษ บราซิล อาร์เจนตินา โคลอมเบีย และซาอุดีอาระเบีย และตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 68 จะดำเนินการเก็บภาษีในอัตรา 11%-54% กับประเทศคู่ค้ากว่า 57 แห่ง อาทิ สหภาพยุโรป (EU) ที่ 20% และจีนถูกจัดเก็บภาษีรวมที่ 54% ของมูลค่านำเข้า จีนประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มอีก 34% รวมถึงจำกัดการส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) สู่สหรัฐฯ อาทิ Gallium, Germanium และ Antimony ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. 68 วันที่ 3 เม.ย. 68 การประชุม Joint OPEC-Non-OPEC Ministerial Monitoring Committee (JMMC) ในรูปแบบออนไลน์ สมาชิก OPEC+ จำนวน 8 ประเทศ (ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย อิรัก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต คาซัคสถาน แอลจีเรีย และโอมาน) ประกาศปรับปริมาณการผลิตน้ำมันในเดือน พ.ค. 68 เพิ่มขึ้น 411,000 บาร์เรลวันต่อเดือน คิดเป็น 3 เท่าของที่ Reuters Poll คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นตามแผนเพิ่มการผลิตน้ำมันเดิมที่ 138,000 บาร์เรลต่อวันต่อเดือน ตั้งแต่เดือน เม.ย. 68 จนถึงเดือน ก.ย. 69 การประชุม Society for Advancing Business Editing and Writing (SABEW) ที่เมืองอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 68 ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ  (Federal Reserve: Fed) นาย  Jerome Powell  กล่าวว่าภาษีศุลกากรใหม่ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Donald Trump สูงกว่าที่คาดไว้ มีแนวโน้มเงินเฟ้อสูงขึ้นและเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ Fed คงตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อ 2%  อย่างไรก็ตาม เน้นย้ำว่า Fed ไม่จำเป็นต้องรีบปรับอัตราดอกเบี้ย ที่มา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ตลท.เผย SET เดือนมี.ค.ปรับตัวลง-วอลุ่มเบาบาง กังวลภาษีทรัมป์-แผ่นดินไหว

ตลท.เผย SET เดือนมี.ค.ปรับตัวลง-วอลุ่มเบาบาง กังวลภาษีทรัมป์-แผ่นดินไหว

           ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่อง และปริมาณการซื้อขายในช่วงปลายเดือนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นผลจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐประกาศมาตรการเก็บภาษีอย่างต่อเนื่อง และยังคงมีการปรับเปลี่ยนนโยบายไปมาหลายครั้ง ทำให้ผู้ลงทุนกังวลเกี่ยวกับการส่งออกของไทย รวมถึงผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอแจ้งปิดการซื้อขายทุกตลาด ทั้ง SET mai TFEX ในภาคบ่ายของวันที่ 28 มีนาคม 2568 แต่หากพิจารณาเปรียบเทียบกับภัยธรรมชาติในอดีตทั้งสึนามิ ปี 2547 และน้ำท่วม ปี 2554 แม้ว่ามีผลกระทบต่อจิตวิทยาผู้ลงทุนและเศรษฐกิจโดยรวม แต่ผลกระทบเหล่านี้มักเป็นระยะสั้นและมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวซึ่งกระทบกับกลุ่มขนส่ง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มประกันภัย และกลุ่มรับเหมา ทำให้ผู้ลงทุนมีความกังวลว่าอาจมี บจ. ในกลุ่มดังกล่าว อาจได้รับผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ แต่หากพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ พบว่า บจ. ยังมีความเข้มแข็งและน่าจะสามารถผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ไปได้ อีกทั้ง SET Index ช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ทำให้ Valuation ของหลักทรัพย์อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ดังนั้น เริ่มเห็นสัญญาณ บจ. ไทยเข้ามาช่วยหนุนมูลค่าบริษัทของตัวเองโดยการเข้ามาซื้อหุ้นคืน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุน ขณะที่ Value Stock เริ่มมี downside ที่จำกัด ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนมีนาคม 2568 เดือนมีนาคม 2568 SET Index ปิดที่ 1,09 จุด ปรับลดลง 3.8% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 SET Index ปรับลดลง 17.3% กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มเกษตรและอาหาร และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 38,491 ล้านบาท หรือลดลง 10.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในช่วงไตรมาส 1/2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมฯ อยู่ที่ 42,826 ล้านบาท ลดลง  6.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 21,852 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2568 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 39,978 ล้านบาท วันที่ 8 เมษายน 2568 SET Index ปิดที่ 1,074.59 จุด ลดลง 50% มูลค่าการซื้อขายรวม 66,714 ล้านบาท สะท้อนแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากความวิตกต่อมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้ 9 เมษายน 2568 โดยนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบาย "Liberation Day" SET Index ปรับลดลง 8.4% สอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 2 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.4 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 15.2 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.9 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 24% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.34% ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนมีนาคม 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 519,619 สัญญา เพิ่มขึ้น 1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 463,656 สัญญา ลดลง 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

กลุ่มแบงก์ยังสตรอง! ตราสารหนี้พลิกวิกฤต NIM

กลุ่มแบงก์ยังสตรอง! ตราสารหนี้พลิกวิกฤต NIM

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง BANK Sector ว่า มาร์จิ้นลดลงชดเชยด้วยกำไรจากการลงทุนตราสารหนี้ Event สรุปประมาณการ 1Q68F และอัพเดตแนวโน้มกลุ่มธนาคาร Impact คาดว่ากำไรสุทธิใน 1Q68F จะเพิ่มขึ้น 14% QoQ และ 6% YoY            ปัจจัยการโตกำไร QoQ เป็นผลจากฐานกำไรต่ำในไตรมาส 4/67 เพราะคชจ.ดำเนินงาน ส่วนการโต YoY เป็นผลจาก NIM ลดลงเล็กน้อย และคชจ.ตั้งสำรองฯลด โดยเฉพาะ KBANK, KTB และ SCB อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากำไร FVTPL ของ BBL จะลดลง เพราะผลขาดทุน MTM จากการลงทุนในหุ้น            เราคาดว่า credit cost ของ TTB และ KKP จะลดลงจาก LOS ที่ลดลงเพราะราคารถมือสองขยับเพิ่มขึ้น NIM ที่ลดลงจะถูกชดเชยโดยกำไร FVTPL            นอกจากจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงแล้ว การปรับสัดส่วนสินทรัพย์โดยเพิ่มการปล่อยกู้ในตลาดเงินซึ่งมีความเสี่ยงต่ำยังเป็นปัจจัยที่กดดันให้ NIM ลดลงด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาเป็นรายธนาคาร พบว่า KTB มีการปล่อยกู้ในตลาดเงินเพิ่มขึ้นมากที่สุด รองลงมาคือ KBANK ในขณะที่ของ BBL เพิ่มขึ้น 5% แต่การปล่อยกู้ในตลาดเงินของ SCB และ TTB ลดลง อย่างไรก็ตาม ธนาคารทุกแห่งมีการปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อยู่ลดลง กลยุทธ์นี้น่าจะช่วยให้ธนาคารมีกำไร FVTPL ซึ่งจะมาช่วยชดเชย NIM ที่ลดลง การดำเนินงานของกลุ่มธนาคารไม่ได้แย่มากนักในรอบแรกที่สหรัฐตั้งกำแพงภาษีในปี 2561            การที่สหรัฐเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2561 ซึ่งในตอนนั้น สหรัฐทยอยประกาศขึ้นภาษี โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 8-9 เดือนจากเดือนมกราคม 2561 ถึงกันยายน 2561 ส่งผลให้ GDP ลดลงจาก 4.2% ในปี 2561 เหลือ 2.2% ในปี 2562 โดยที่อัตราการขยายตัวของการส่งออกพลิกจาก 3% ในปี 2561 เป็นหดตัวที่ -6% ในปี 2562 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายแกว่งตัวจาก 1.5% เหลือ 1.25% จากปี 2561-2562 ซึ่งในช่วงนั้น การดำเนินงานของกลุ่มธนาคารไม่ได้แย่มากนักเพราะกำไรสุทธิรวม (ของธนาคาร 7 แห่ง) เพิ่มขึ้น 6% ในปี 2561 และพลิกมาเป็นลดลง 0.6% ในปี 2562 ในขณะที่ NPL เพิ่มขึ้น 3% ในปี 2561 และ 4% ในปี 2562 โดย credit cost ลดลงในปี 2561-2562 (figure 1-6) ความเสี่ยงจากการตั้งกำแพงภาษีรอบ 2 ของสหรัฐในปี 2568 ขึ้นกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย            เราคิดว่าภาวะตลาดในปัจจุบันใกล้เคียงกับเมื่อปี 2561 ในแง่ที่ว่ามีการปรับลด NPL ส่วนใหญ่ออกจากงบดุลไปแล้วในปี 2567 ผ่านการตัดหนี้สูญ และขายออกไปให้ AMC ซึ่งคล้ายกับปี 2560 ก่อนที่มีมาตรการภาษีของสหรัฐ นอกจากนี้ในปัจจุบันธนาคารส่วนใหญ่ยังมีสำรองส่วนเกินและมีรายได้สูงกว่าช่วงปี 2561            เราคิดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะสามารถรับมือในแง่ของคุณภาพสินทรัพย์ได้ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจะมาจาก NIM ที่ลดลงตามระดับความรุนแรงของการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.

GCAP GOLD แนะทยอยเก็บทอง ลุ้นเด้งทดสอบ 50,500 บาท

GCAP GOLD แนะทยอยเก็บทอง ลุ้นเด้งทดสอบ 50,500 บาท

           นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย นักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่าทิศทางทองคำ ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการผันผวนอย่างหนัก โดยราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปทำ All Time High ที่ $3,167 ก่อนจะทิ้งตัวลงแรงมาปิดตลาดที่ $3,035 ทั้งนี้เป็นผลมาจากแรงเทขายทำกำไร   หลังรับรู้ความชัดเจนของมาตรการภาษี ประกอบกับนักลงทุนเทขายทองคำเพื่อชดเชยการขาดทุนในตลาดหุ้น หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ทองคำยังได้รับแรงกดดันจากคำกล่าวของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ระบุว่า เฟดยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ยและภาษีชุดใหม่ของทรัมป์ที่สูงเกินคาด ส่งผลให้เฟดจะรอดูผลกระทบที่เกิดขึ้น            จากประเด็นดังกล่าว ทำให้ GCAP GOLD ประเมินทิศทางตลาดทองคำในสัปดาห์นี้ว่า นักลงทุนต้องเฝ้าติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิด โดยต้องประเมินภาพรวมทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคร่วมกัน โดยมีจุดเฝ้าระวังที่ระดับราคา $2,985 หากราคาไม่หลุดและรักษาฐานนี้ไว้ได้ ราคาทองจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อ แต่หากราคาทองหลุดต่ำกว่า $2,985 อาจจะเกิดแรงเทขายอีกระลอก ซึ่งอาจจะเข้าสู่รอบการปรับฐานอีกครั้ง            ดังนั้น จึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุน “รอซื้อ (OPEN LONG)” ในช่วงต้นสัปดาห์หากราคายืน ที่ $2,985 ราคาทองคำไทยอาจจะอยู่ประมาณ 49,000 – 48,800 บาท ทยอยเข้าเก็บสะสมเพื่อเล่นรอบ โดยมีเป้าหมายการเด้งรีบาวน์ของรอบสัปดาห์ที่ $3,055 / $3,105 หรือราคาทองแท่งไทยอาจจะอยู่ที่ 49,800 / 50,500 บาท ตามลำดับ การลงทุนในสัปดาห์นี้เน้นเล่นสั้น ยังไม่แนะนำให้ถือยาว            สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ยังคงจับตาดูการพัฒนาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด หากรัฐบาลทรัมป์เลือกที่จะกลับมาเจรจาการค้าและพิจารณาลดหรือยกเลิกภาษีต่างๆ ราคาทองคำอาจถูกแรงกดดันต่อไป แต่หากกลับกัน สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภาษีโต้กลับจากประเทศคู่ค้า ทองคำอาจมีแรงช่วยหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย รวมทั้งการติดตามการประกาศข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ (CPI) ในวันพฤหัสบดี ซึ่งคาดการณ์ว่าจะปรับตัวจากเดิม 2.8% ลงมาที่ 2.6% หากเงินเฟ้อลดลงตามคาดจริง ก็จะเป็นแรงหนุนให้กับทองคำได้

ก.ล.ต. เปิดเฮียริ่งหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์ SRI Fund เพิ่มความโปร่งใส

ก.ล.ต. เปิดเฮียริ่งหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์ SRI Fund เพิ่มความโปร่งใส

           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) โดยเพิ่มการจัดประเภทการลงทุน (label) ให้ชัดเจน เพิ่มมาตรฐานการลงทุน และเพิ่มความรับผิดชอบและโปร่งใสในการบริหารจัดการของกองทุน เพื่อช่วยให้ ผู้ลงทุนเลือกลงทุนได้สะดวกขึ้น และลดความเสี่ยงการฟอกเขียว (greenwashing)            ก.ล.ต. ได้ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (Sustainable and Responsible Investing Fund: SRI Fund) ในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านกลไกตลาดทุน จึงเห็นความจำเป็นในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการกำกับดูแลของสากล ความคาดหวังของผู้ลงทุน และเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น            ก.ล.ต. จึงเปิดรับความคิดเห็นต่อหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของ SRI Fund โดยมุ่งเน้นให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ปฏิบัติตามหลักการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ (responsible investment) พร้อมยกระดับแนวปฏิบัติของ SRI Fund ให้สามารถขับเคลื่อนการลงทุนในกิจการที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่าน (transition) สู่ความยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ จัดประเภท (label) SRI Fund ตามวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืน (sustainability objective) และลักษณะของกิจการที่ลงทุน โดยแบ่งเป็น 5 ประเภท เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนใน SRI Fund ได้ตรงตามวัตถุประสงค์และมีความสะดวกขึ้น ได้แก่  (1)  SRI Focus: มุ่งยั่งยืน เน้นลงทุนในกิจการที่ได้รับการประเมินว่ามีมาตรฐาน ESG ในระดับที่ น่าเชื่อถือ  (2)  SRI Improver: เน้นปรับเปลี่ยน เน้นลงทุนในกิจการที่มีเป้าหมายและแผนที่ชัดเจนในการพัฒนา ESG เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน  (3)  SRI Promote: โปรโมท เน้นลงทุนในกิจการที่สนับสนุนการพัฒนา ESG  (4)  SRI Impact: มุ่งผลบวก เน้นการสร้างผลกระทบ (outcome) ด้านความยั่งยืนของกองทุน และ  (5)  SRI Mixed Goals: ผสมผสาน เน้นลงทุนผสมผสานในกิจการที่มี ESG ในหลายลักษณะตามที่ระบุ เพิ่มความรับผิดชอบและโปร่งใสในการจัดการ SRI Fund และลดความเสี่ยงด้านการฟอกเขียว ได้แก่ กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของการลงทุน โดยกิจการที่เข้าเกณฑ์ลงทุนยั่งยืน ต้องไม่รวมถึงกิจการ ในลักษณะที่กำหนด (minimum exclusion list) เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ อาวุธสงคราม สื่อลามก การพนัน เป็นต้น นอกจากนี้ SRI Fund ต้องไม่ลงทุนในกิจการที่สร้างผลกระทบด้านลบอย่างมีนัยสำคัญด้วย (Do No Significant Harm) ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม หรือความรับผิดชอบ จริยธรรมในการกำกับดูแลกิจการ เพิ่มความชัดเจนในการเปิดเผยข้อมูลตัวชี้วัด (benchmark) โดยแยกการเปิดเผยข้อมูลระหว่างตัวชี้วัดผลการดำเนินงานกองทุน (performance benchmark) กับตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน (reference ESG benchmark) ของ SRI Fund ซึ่งสอดรับกับแนวทางสากล เพิ่มความโปร่งใส รับผิดชอบในการจัดการ SRI Fund โดยให้ บลจ. เปิดเผยข้อมูลการจัดการเพิ่มเติมในรายงานประจำปีกองทุน เช่น วิธีวัดผลและติดตามตรวจสอบระดับความยั่งยืนของกิจการ ที่ลงทุน เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่า SRI Fund ดำเนินการสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนที่แสดงไว้ ผ่อนคลายให้ SRI Impact ใช้ผู้ตรวจสอบการวัดผลกระทบเชิงบวก (impact verifier) ตามความสมัครใจ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลที่ให้ใช้ verifier ตามความสมัครใจ และ เพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการกองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ เพิ่ม ‘Sustainability corner’ ใน factsheet ให้เป็นพื้นที่เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างชัดเจน กำหนดให้กองทุนที่ใช้ชื่อหรือแสดงนโยบายลงทุนที่เน้นด้าน ESG หรือความยั่งยืนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐาน SRI Fund ต้องแก้ไขรายละเอียดโครงการจัดการเพื่อให้เป็น SRI Fund และเปิดเผยข้อมูลในมาตรฐานเดียวกัน ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นซึ่งมีรายละเอียดการปรับปรุงหลักการในเรื่องดังกล่าวที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. https://www.sec.or.th/TH/Pages/PB_Detail.aspx?SECID=1066 และระบบกลางทางกฎหมาย http://law.go.th/listeningDetail?survey_id=NTE3N0RHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ= ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นได้ผ่านช่องทางเว็บไซต์ หรือทางอีเมล [email protected] หรือ [email protected]  จนถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2568

สงครามการค้าระอุ หุ้นไทยป่วน! คาด SET ลงต่อ

สงครามการค้าระอุ หุ้นไทยป่วน! คาด SET ลงต่อ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดว่า SET Index มีโอกาสปรับตัวลงต่อเนื่องเพื่อทดสอบระดับต่ำสุดของวานนี้บริเวณ 1,056 ± จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังเป็นลบต่อเนื่อง เนื่องจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เริ่มลุกลาม ล่าสุด สหรัฐฯ ยืนยันจะเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 50% รวมเป็น 104% หากจีนไม่ยกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งจะมีผลวันนี้เวลา 11.01 น. ตามเวลาประเทศไทย ส่งผลให้เม็ดเงินยังคงไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง            นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจชะลอตัวหรือเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยล่าสุดมีการประเมินความน่าจะเป็นอยู่ที่ราว 40-50% และมีโอกาสที่ FED จะลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด โดยตลาดประเมินโอกาส 50% ที่ FED จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน พ.ค. และคาดว่าจะลดดอกเบี้ยรวม 5 ครั้งภายในปีนี้ จากระดับปัจจุบันที่ 4.25-4.50%            ปัจจัยในประเทศ: ต้องติดตามพัฒนาการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ หลังวานนี้กระทรวงการคลังเปิดเผย 5 แนวทางในการรับมือ และในวันนี้ต้องติดตามการพิจารณา พ.ร.บ. Entertainment Complex ในสภา            ด้านนโยบายการเงิน: เราคาดว่า กนง. มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย 25 bps จากระดับ 2% ในการประชุมปลายเดือนนี้ เพื่อประคองเศรษฐกิจและลดผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน            เรายังแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มวัฏจักร ส่งออก และภาคการผลิต เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ อาหารสัตว์เลี้ยง ยาง ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะปรับตัวได้แข็งแกร่งกว่าคือ Defensive / Consumer Staple / ภาคบริการ และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ได้แก่ สื่อสาร การแพทย์ โรงไฟฟ้า IPP ค้าปลีก ไฟแนนซ์ กลยุทธ์:            ยังเน้น Selective Buy หุ้น Domestic ที่แนวโน้มกำไร 1Q25-2025 แข็งแกร่ง และได้รับผลกระทบจำกัดจากเศรษฐกิจชะลอตัว หุ้นเด่นเดือน เม.ย.: BA, BBL, CPF, HMPRO, OSP FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR หุ้นเด่นวันนี้: CPALL แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 83 บาท กำไร 1Q25 คาดยังเติบโต y-y จาก SSSG ที่บวกต่อเนื่อง 1-3% ทั้ง 7-Eleven และ CPAXT ตั้งเป้า SSSG ทั้งปี +3% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ คาดกำไรปี 2025 ที่ 28,000 ล้านบาท +10% y-y ธุรกิจได้รับผลกระทบจำกัดจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นสินค้าบริการจำเป็น แนวรับ 46.75 บาท แนวต้าน 48.75-49.25//51 บาท Fund Flow: วานนี้ ต่างชาติไหลออกสุทธิจากภูมิภาค US$1,742 ล้าน ไต้หวัน US$887 ล้าน เกาหลีใต้ US$483 ล้าน อินโดนีเซีย US$228 ล้าน (สูงสุดในอาเซียน) แนวโน้มยังคงเป็นทิศทางไหลออกจากความกังวลเรื่องภาษีตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ประเด็นสำคัญวันนี้: (-) ปรับลด SET Target เหลือ 1,180 จุด (อิง EPS 84 บาท และ PER 14 เท่า) หากใช้ PER ต่ำสุดช่วงโควิดที่ 12.2 เท่า ดัชนีอาจลดลงถึง 1,025 จุด ใกล้เคียง Book Value ปี 2025 (P/BV ราว 1 เท่า) => มองว่าเป็นโอกาสสะสมหุ้น Domestic และ Defensive (+) กลุ่มอสังหาฯ ได้อานิสงส์ ครม. อนุมัติลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท ถึง 30 มิ.ย. 2026 ผู้ได้ประโยชน์: SPALI, AP (สต็อกบ้านในช่วงราคานี้มากที่สุด) หนุนตลาดควบคู่กับเกณฑ์ LTV ใหม่ 1 พ.ค. แต่กำลังซื้อยังอ่อน และปล่อยสินเชื่อยังเข้มงวด => งบกลุ่มอสังหาฯ 1Q25-2Q25 ยังไม่สดใส (-) ASK เผชิญความท้าทายสูงขึ้น รายได้มีแรงกดดัน ต้นทุนความเสี่ยงและ NPL สูงใกล้ 8.5% กำไรต่อหุ้นและ ROE ลดลงจากการเพิ่มทุน PPO (3:1 ที่ 7 บาท) คาดกำไรสุทธิปี 2025 ลดลง 45% y-y ปรับลดคำแนะนำเป็น “Reduce” ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท

ไทยไม่ก้มหัวให้สหรัฐ! เปิดเกมใหม่สู้ภาษีทรัมป์

ไทยไม่ก้มหัวให้สหรัฐ! เปิดเกมใหม่สู้ภาษีทรัมป์

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า รัฐบาลแถลงมาตรการรับมือนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา โดยถือเป็นโอกาสในการยกระดับการค้าของไทยให้สูงขึ้น โดยจะเน้นแนวทางที่ ไม่ใช่การลดภาษีให้กับสหรัฐฯ แต่เป็นการปรับสมดุลทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งมีแนวทางหลัก ๆ ดังนี้ นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเน้นสินค้าที่ประเทศไทยมีความต้องการใช้อยู่แล้ว เช่น สินค้าเกษตร เครื่องในสุกร และก๊าซธรรมชาติ ลดหรือยกเว้นภาษีให้กับสินค้าสหรัฐฯ ที่ไทยมีการจัดเก็บภาษีได้ไม่สูงนัก และมีรายได้ต่อปีไม่มากอยู่แล้ว โดยมีมากกว่า 100 รายการ ยกเลิกมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าไทย เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ สนับสนุนภาคเอกชนไทยให้ไปลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเฉพาะในภาคเกษตร ภาคพลังงาน และอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ             โดยรวม มาตรการนี้ถือว่าสอดรับกับแนวทางที่สหรัฐฯ ต้องการ ซึ่งอ้างอิงจากแนวทางที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ เคยชื่นชมการแก้ปัญหาของเกาหลีใต้ เช่น การนำเข้าก๊าซธรรมชาติ และการร่วมลงทุนกับสหรัฐฯ ทำให้มีโอกาสที่การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงเชิงบวกได้             ผลบวกต่อหุ้น ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากแนวทางนี้ ได้แก่: CPF, GFPT (ต้นทุนลดลงจากการนำเข้าสินค้าบางประเภท) กลุ่มพลังงาน (ได้ประโยชน์จากการลงทุนเพิ่มเติม) โรงไฟฟ้า (ได้แหล่งก๊าซใหม่ หากค่าขนส่งรวมต้นทุนไม่สูง ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรอง) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ยังอาจเผชิญแรงกดดันจากแนวทางป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า แต่ความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันการค้ารอบนี้คาดว่าสะท้อนไปในราคาหุ้นที่ปรับตัวลงเร็วและแรงไปก่อนหน้านี้แล้ว

น้ำมันร่วงต่ำสุดรอบ 4 ปี! Trade War ฉุดดีมานด์ทั่วโลก

น้ำมันร่วงต่ำสุดรอบ 4 ปี! Trade War ฉุดดีมานด์ทั่วโลก

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า น้ำมันดิบ Brent -2.16% d-d ปิดที่ 62.82 ดอลลาร์/บาร์เรล และน้ำมันดิบ West Texas -1.85% d-d ปิดที่ 59.58 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 4 ปี           ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวผันผวนในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐ ก่อนจะพลิกปิดลบในช่วงท้ายตลาด โดยปัจจัยลบยังคงเป็นเรื่องเดิม คือนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหา Trade War ที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกถดถอย และกดดันให้ความต้องการพลังงานลดลง ซึ่งส่งผลลบต่อราคาน้ำมันดิบ           ปัจจัยนี้จะยังคงเป็น Sentiment เชิงลบที่กดดันหุ้นในกลุ่มพลังงานของไทย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมต้นน้ำอย่าง PTTEP และ PTT รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่นที่จะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะหากสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 104% จริงตามที่ขู่ไว้

70 ประเทศแห่เจรจาสหรัฐ! ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้เริ่มขยับ

70 ประเทศแห่เจรจาสหรัฐ! ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้เริ่มขยับ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า สหรัฐเปิดให้ประเทศคู่ค้าเข้าเจรจาเพื่อลดผลกระทบจาก Reciprocal Tariff ล่าสุดมี 70 ประเทศแจ้งความจำนงเพื่อเข้าเจรจา โดยมี 2 ประเทศที่การพูดคุยมีพัฒนาการทางบวกอย่างชัดเจน ได้แก่ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้           ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าการพูดคุยทางโทรศัพท์เบื้องต้นกับผู้นำทั้ง 2 ประเทศเป็นไปด้วยดี โดยต่อจากนี้ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะส่งทีมเจรจาเดินทางไปยังสหรัฐเพื่อทำข้อตกลงต่าง ๆ           การเปิดเจรจาของสหรัฐสะท้อนท่าทีที่ผ่อนคลาย สร้างความหวังให้กับนักลงทุน บ่งชี้ว่าปัญหาใกล้เข้าสู่ช่วงปลายของความผันผวนแล้ว โดยเฉพาะหากมีการเจรจาเกิดขึ้นระหว่างจีนกับสหรัฐ ตลาดหุ้นจะตอบรับในทิศทางบวกอย่างมีนัยสำคัญ (ทรัมป์ส่งสัญญาณว่าจีนมีความต้องการเจรจากับสหรัฐเช่นกัน)

ภาษีไฟแลบ! จีนไม่ถอย สหรัฐเดินหน้าขึ้น 104%

ภาษีไฟแลบ! จีนไม่ถอย สหรัฐเดินหน้าขึ้น 104%

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า จีนไม่ยกเลิกการขึ้นภาษีตอบโต้ 34% ในวันที่ 8 เม.ย. 2568 ตามที่สหรัฐขู่ไว้ สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 50% รวมกับภาษีเดิมที่ประกาศเรียกเก็บก่อนหน้า (20% + 34%) จะทำให้ภาษีรวมทั้งหมดที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากสินค้าจีนพุ่งสูงเป็น 104% ซึ่งจะมีผลราว 11:00 น. ตามเวลาไทย หากไม่มีการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ คาดว่ามีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะเห็นจีนประกาศมาตรการโต้กลับในระดับเดียวกัน วันนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะมีทั้งโอกาสและความผันผวนที่อาจรุนแรงขึ้น หากทั้งสองประเทศยังคงตอบโต้กันไปมา

KSS คาด SET แกว่ง 1085 - 1090 ชู 3 หุ้นเด่น

KSS คาด SET แกว่ง 1085 - 1090 ชู 3 หุ้นเด่น

หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาดการณ์ SET วันนี้“แกว่งในกรอบ” ต้าน 1085/1090 จุด รับ 1056/1030 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ 1.) สหรัฐฯประกาศเก็บภาษีนำข้าสินค้าจีนเพิ่มเป็น 104% มีผล 11:00 น. วันนี้ หลังจีนไม่ถอนภาษีที่ขึ้นตอบโต้สหรัฐ คาดจีนมีโอกาสตอบโต้ระดับเดียวกัน ยังเป็นประเด็นที่สร้างความผันผวนสินทรัพย์เสี่ยง SET กระทบราคาน้ำามันที่ดิ่งลงต่อเฉลี่ย -2.0% แม้ทำให้กลุ่มอิงภายนอกและพลังงานต้นน้ำยังถูกกดดัน แต่ระดับความผันผวนน่าจะเริ่มต่ำลง ขณะที่ประเทศอื่นเริ่มมีภาพบวก 2.) สหรัฐฯเปิดช่องประเทศที่ไม่ตอบโต้มาตรการภาษีให้เข้ามาเจรจาได้ ขณะที่แนวทางเจรจาที่ทางการสหรัฐให้น้ำหนัก อาทิ การนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นนำร่องโดยเกาหลีใต้ได้รับการตอบรับทางบวก ทำให้ไทยเดินหน้าในลักษณะเดียวกันมีโอกาสที่ดีขึ้น โดยรวมคงมุมมอง Risk Sentiment ช่วงปลาย 3.) สถานการณ์ยังอยู่กรณีBase Case ที่ KSS ศึกษาแล้ว (EPS 88-82 บาท สมมติฐานราคาน ้ามันดิบ 65 เหรียญฯ การบริโภคภายในต่ำกว่าคาด 1%) PER Multiple กรอบ ERP ปัจจุบัน 5.77% - 6% เราให้โอกาส 50% เป็นจุดกลับตัว สถิติในอดีตบ่งชี้ระดับการฟื้นตัว 48-30% ใน 1 ปีข้างหน้า หุ้นเด่นวันนี้เน้นไปที่หุ้น Domestic ที่ Undervalue (CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, BDMS, MTC) วันนี้แนะนำ GULF, HMPRO, BDMS

จับตาหุ้นไทยผันผวนต่อ เปิดโผหุ้นความเสี่ยงต่ำ

จับตาหุ้นไทยผันผวนต่อ เปิดโผหุ้นความเสี่ยงต่ำ

           หุ้นวิชั่น - บล. ดาโอ ระบุ ตลาดหุ้นไทย ถูกกดจากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจจากภาษีการค้าของสหรัฐฯ ดัชนีฯ น่าจะลงต่ำสุดในสัปดาห์นี้ (ประเมินไว้ 1100-1110 จุด)            มองว่า หุ้น Domestic Play จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า หุ้นขนาดใหญ่ที่จะถูกขายโดยนักลงทุนต่างชาติ ปรับ list ของหุ้นในเชิงกลยุทธ์ จากแรงขายระลอกใหม่ โดยให้น้ำหนักกับ Domestic Play และ Defensive เป็นหลักได้แก่ ADVANC, CPALL, SCB, MTC* , KBANK พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เรามองว่า หุ้นอสังหาฯ รายใหญ่ ที่มีฐานะทางการเงินแข็งแรง ประสบการณ์สูง และไม่ได้อิงรายได้จากการขายคอนโดฯเป็นหลัก เราเลือกมา 4 ตัว คือ SIRI, LH*, SPALI, AP* ราคาที่ลงมามาก ทำให้ Dividend Yield ของหุ้นทั้ง 4 ตัวสูงขึ้น 10%, 7%, 8% และ 8% ตามลำดับ (ดูจากเงินปันผลคาดการณ์ปี 2568) มาตรการภาษีของสหรัฐฯ คาดยังมีผล(ลบ) ต่อ กลุ่มนิคมฯ กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มยางพารา และ กลุ่มสินค้าส่งออก บางตัว อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อีเล็คทรอนิคส์ ปิโตรเคมี เดินเรือ ท่องเที่ยว หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ GULF ออก หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย SIRI(10%), MTC*(10%), LH*(10%), SCB(10%)

9 หุ้น สู้ภาษีสหรัฐ

9 หุ้น สู้ภาษีสหรัฐ

          หุ้นวิชั่น – หุ้นไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยลบ ทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวช้า นโยบายการเงินที่ยังคงตึงตัว และแรงกดดันจากมาตรการภาษีระหว่างประเทศ ส่งผลให้ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปี 2025 ลงเหลือ 1,230 จุด จากเดิม 1,460 จุด ซึ่งสะท้อนอัพไซด์เพียง 5% จากระดับปัจจุบัน  (ที่มาKKP)           ตลาดหุ้นถูกปัจจัยมหภาคกดดันต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยหากไม่นับภาคการท่องเที่ยว อยู่ในภาวะถดถอยติดต่อกัน 9 ไตรมาส EPS และ GDP ยังโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตระยะยาวตั้งแต่ช่วงโควิด นโยบายการเงินที่ตึงตัวและประสิทธิผลของนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ลดลง เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มีผลตอบแทนแย่ลงในปีนี้           ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยภายในมากกว่าปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องแรงกดดันด้านภาษีศุลกากรเหมือนที่ประเทศอื่น ๆ เช่น จีน แคนาดา สหภาพยุโรป และเวียดนามกำลังได้รับผลกระทบ           ประเมินว่าดัชนี SET อาจร่วงลงไปที่ 1,000 จุด จากความเสี่ยงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ (growth shock) ในไตรมาส 2/2025 อาทิ การท่องเที่ยวที่อ่อนแอ การส่งออกที่ถูกท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษี ภาคการบริโภคที่อ่อนแอ และการลงทุนที่ซบเซา           ในขณะที่แรงหนุนเดียวที่อาจช่วยพยุงตลาดได้คือ การที่นักลงทุนกลับเข้าซื้อเมื่อมูลค่าตลาด (valuation) อยู่ในระดับที่ถูกเกินไปหากเทียบกับมูลค่าพื้นฐาน ซึ่งประเมินว่าอยู่ที่ระดับ P/E 10-11 เท่า หรือที่ดัชนี SET 1,000 จุด หรือการที่ผู้กำหนดนโยบายออกมาตรการกระตุ้นอย่างเร่งด่วนและเร็วกว่าที่คาด KKP แนะนำให้เน้นลงทุนในกลุ่ม 8 หุ้นปลอดภัย ดังนี้ โรงพยาบาล (BCH, PR9, BDMS, BH) ซึ่งมีการเติบโตที่แข็งแกร่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอ กลุ่มโทรคมนาคม (TRUE, ADVANC) ที่ได้รับประโยชน์จากปัจจัยสนับสนุนของการควบรวมในอุตสาหกรรม กลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB) ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและการบริหารเงินทุนที่ดี           วกมาที่บล.พาย มองว่า  GDP ของไทย จะโตได้ประมาณ 1% เท่านั้น เพราะโดนผลกระทบจากการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าที่ส่งออกมากสุดอย่าง “มือถือ” แต่ถ้าดูจริงๆ แล้ว มือถือพวกนี้ไม่ได้ผลิตโดยไทย แต่เป็นของจีน รวมถึงพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ก็เป็นของจีนเหมือนกัน ซึ่งเป็นไปได้ว่าการที่ไทยโดนตั้งกำแพงภาษีแรง ๆ นั้นจริง ๆ แล้วเป้าหมายอาจไม่ใช่ไทย แต่สหรัฐฯ อาจจะอยาก “ตีจีน” ผ่านช่องทางนี้ก็ได้ กลุ่ม 9 หุ้น ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีทรัมป์มากนัก    หุ้นโรงพยาบาล: BDMS, PR9, BCH• ค้าปลีก: CPALL, BJC, CPAXT• กลุ่มสื่อสาร: ADVANC, GULF • กลุ่มธนาคาร: TISCO           กลุ่มพวกนี้ถ้าราคาหุ้นย่อลงแรง  ก็ถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสม โดยควรมองเป็นการลงทุน ระยะกลางถึงยาว ไม่แนะนำให้เข้าไปเก็งกำไรระยะสั้นนะ           สัปดาห์นี้ประเมิน SET INDEX ผันผวนไปตามปัจจัยต่างประเทศหากมีข่าวปรับขึ้นภาษีก็เสี่ยงจะเกิดการปรับฐานแต่หากมีข่าวเจรจาก็อาจเห็นฟื้นตัว แต่การฟื้นตัวยังจำกัดท่ามกลางความเสี่ยงที่รออยู่ช่วงถัดไป           ดังนั้น เชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะกลาง – ยาว ยังให้สะสมแต่เน้นที่หุ้นพื้นฐานดีเช่นเดิม อาทิค้าปลีก: BJC CRC CPALLศูนย์การค้า: CPNโรงแรม: CENTEL MINTธนาคารพาณิชย์: BBL KBANK KTBการเงิน: MTC SAWAD การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น  

ORI เสนอขายหุ้นกู้ ชูดอกเบี้ย 5.20% - 5.50% ต่อปี

ORI เสนอขายหุ้นกู้ ชูดอกเบี้ย 5.20% - 5.50% ต่อปี

          ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมขายหุ้นกู้ 2 รุ่น อัตราดอกเบี้ย 5.20 - 5.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนเสนอขาย วันที่ 1-2 เมษายน 2568 และคาดว่าจะเสนอขายอีกครั้งในวันที่ 10 เมษายน และวันที่ 11 เมษายน 2568 จนถึง เวลา 12.00 น. ผ่าน 9 สถาบันการเงิน ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “BBB+/ Negative” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 พร้อมแบ็คล็อกในมือ 45,389 ล้านบาท หนุนรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 5 ปี           นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพิ่มเติมเรื่องแผ่นดินไหวรวมถึงมาตรการการแก้ไข เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอในการพิจารณาตัดสินใจลงทุน ตามมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน หรือที่เรียกว่า Public Offering โดยหุ้นกู้ที่ออกจำหน่ายครั้งที่ 2/2568 มีจำนวน 2 รุ่น ได้แก่ หุ้นกู้รุ่นที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.20% ต่อปี และ หุ้นกู้รุ่นที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.50% ต่อปี           บริษัทฯ ตระหนักและให้ความสำคัญต่อความเชื่อมั่นและประโยชน์ของผู้ลงทุนเสมอมา เพื่อให้ผู้ลงทุนมีเวลาศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ บริษัทจึงขอแจ้งขยายระยะเวลาการเสนอขายตราสารหนี้ครั้งนี้ จากเดิมกำหนดระหว่างวันที่ 1 - 3 เมษายน 2568 เป็นวันที่ 1 เมษายน 2568 และวันที่ 2 เมษายน 2568 จนถึงเวลา 14.00 น. และคาดว่าจะเปิดเสนอขายอีกครั้งใน\วันที่ 10 เมษายน และวันที่ 11 เมษายน 2568 จนถึงเวลา 12.00 น. นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ รุ่นอายุ 3 ปี จากร้อยละ 4.85 เป็น ร้อยละ 5.20 ต่อปี และ รุ่นอายุ 4 ปีจากร้อยละ 5.15 เป็น ร้อยละ 5.50 ต่อปี เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป           ซึ่งหุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่นจะชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ จองขั้นต่ำหน่วยละ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท เสนอขายวันที่ 1 เมษายน 2568 และวันที่ 2 เมษายน 2568 จนถึงเวลา 14.00 น. และคาดว่าจะเปิดเสนอขายอีกครั้งในวันที่ 10 เมษายน และ วันที่ 11 เมษายน 2568 จนถึงเวลา 12.00 น. โดยบริษัทฯและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “BBB+” แนวโน้ม “Negative” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568           สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นกู้ สามารถจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 1- 2 และ 10-11 เมษายน 2568 ผ่านสถาบันการเงินทั้ง 9 แห่ง ดังต่อไปนี้ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือ จองซื้อผ่าน Mobile application - CIMB Thai บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675 บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด โทร. 02-249-2999 บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด โทร. 02-687-7543 บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-659-5272-73 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-205-7000 ต่อ 7387 บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-660-6688           คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th           หมายเหตุ: การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน

น้ำมันดิบ! ต่ำสุดรอบ 4 ปี ภาษีทรัมป์ฉุด - หวั่นพลังงานทั่วโลกลด

น้ำมันดิบ! ต่ำสุดรอบ 4 ปี ภาษีทรัมป์ฉุด - หวั่นพลังงานทั่วโลกลด

          หุ้นวิชั่น - ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.29 ดอลลาร์ หรือ 2.08% ปิดที่ 60.70 ดอลลาร์/บาร์เรล ปรับตัวลดลงกว่า 2% เมื่อวันจันทร์ (7 เม.ย.) แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี จากความวิตกกังวลของนักลงทุนว่ามาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย และทำให้ความต้องการใช้พลังงานทั่วโลกลดลง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าวันนี้ ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 61.22 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.86%

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.80 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.50-34.80 บ./ดอลลาร์

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-34.80 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าเร็วจากการขึ้น Tariffs ที่ทำให้ sentiment โดยรวมของตลาดการเงินโลกแย่ลง นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ตลาดเอเชียเปิดมาเช้านี้กลับมาเป็นบวกได้ นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น ด้าน US Treasury yields กลับมาสูงขึ้น นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 50% หากจีนไม่ยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 34% ต่อสินค้าสหรัฐฯ เงินเฟ้อไทยเดือนมีนาคม ออกมาที่ 84%YOY และเงินเฟ้อพื้นฐาน 0.86%YOY ต่ำกว่าตลาดคาดทั้งคู่

วันนี้หุ้นฟลอร์กี่ตัว

วันนี้หุ้นฟลอร์กี่ตัว

          หุ้นวิชั่น - เมื่อ จีน ไม่ยอมอ่อนข้อให้สหรัฐฯ พร้อมตอบโต้การเก็บภาษีศุลกากร สงครามการค้าระเบิดแล้ว ทำให้นักลงทุนทั่วโลกแห่ขายหุ้นกันอย่างหนัก ตลาดหุ้นเอเซียวานนี้ (7 เมษายน 2568) ดิ่งเหวกันทั่วหน้า ตลาดหุ้นจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบไปถึง 7.34% ตลาดหุ้นโตเกียวดัชนีนิกเกอิปิดร่วง 7.83% ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็งปิดดิ่ง 13.74%           วันนี้ถึงคิวหุ้นไทย หลังได้รับอานิสงส์วันหยุดวานนี้ จะโดนแรงขายทบต้นทบดอกหรือไม่?            ล่าสุดตลาดหลักทรัยพ์แห่งประเทศไทย ได้ประกาศแผนรับมือ ปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor จากเดิม 30% มาเหลือ 15% และห้ามขายชอร์ตชั่วคราว ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับราคาเสนอซื้อขายสูงสุดและต่ำสุด (Ceiling & Floor) จะไม่ใช้บังคับกับการซื้อขาย DR และ DRx           พร้อมทั้งได้ปรับกรอบราคาซื้อขายแบบ Dynamic Price Band เป็นรายหลักทรัพย์ จากเดิม 10% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น เป็น 5% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น อย่างไรก็ตาม การห้ามการขายชอร์ตทุกหลักทรัพย์นั้น ยกเว้น Market Maker สำหรับ SET, mai และ TFEX           กฎนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2568 และไม่เกินวันที่ 11 เมษายน 2568           ถามเป็นมาตรการที่ดีหรือไม่ ของตลาดหลักทรัพย์ฯรอบนี้ ก็ต้องตอบว่า ดีในระดับหนึ่ง เพราะเป็นการชะลอแรงขายหุ้น เพื่อให้นักลงทุนได้มีเวลาศึกษาข้อมูลการลงทุนให้ครบถ้วนและรอบด้าน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน และเจ้าของหุ้นทั้งหลาย           แต่อีกด้านหนึ่ง การชะลอแรงขายแบบนี้ อาจทำให้ตลาดหุ้นตกอยู่การถูกแรงขายครอบงำยาวนานขึ้น เพราะเป็นมาตรการที่ผิดธรรมชาติการลงทุน หากผู้ลงทุนคิดดีแล้ว และต้องการขายหุ้นออกลดความเสี่ยง หนีภาวะสงครามการค้าออกไปก่อน ดังนั้น วันนี้อาจจะเป็นวันที่มีหุ้นในตลาดไทย ทำสถิติฟลอร์มากที่สุดวันหนึ่งก็ได้ ธรุกิจอะไรไม่โดนภาษี 36%           จากข้อมูลข่าวจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจของไทยระบุว่า ล่าสุดประเทศไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นเพื่อรับมือกับมาตรการภาษี ต้องทำให้สัดส่วนการเกินดุลของไทยที่มีต่อสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งมีแนวทางเจรจากับสหรัฐฯ ดังนี้           ประการแรก ไทยต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ให้มากขึ้น โดยมีพร้อมนำเข้าสินค้าหลายประเภทจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพด ปลาทูน่า เป็นต้น และประการที่สองคือ สินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ต้องเป็นสินค้าที่สามารถนำมาผลิตหรือแปรรูปในไทยเพื่อส่งออกได้ อันจะนำไปสู่การส่งเสริมการผลิตในประเทศ           และประการที่สาม คือ กระตุ้นและส่งเสริมส่งออกสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยมากขึ้น ด้วยการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ซึ่งเป็นเอกสารใช้เพื่อรับรองสินค้าของผู้ส่งออกว่า ส่งออกมาจากประเทศใดให้เข้มงวดมากขึ้น           ภาครัฐบาลย้ำอีกว่า แนวทางการเจรจาเหล่านี้ ไม่ได้มีเป้าหมายการลดส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ แต่เป็นการทำให้ช่องว่างของการได้เปรียบดุลการค้าลดลง และที่สำคัญคือ การเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าสินค้าที่ไทยต้องการ และนำมาผลิตและส่งออกให้ได้ด้วย โดยหลังจากนี้ภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการในรายละเอียดกันต่อไป           “คาดเจรจากับทางสหรัฐฯ ภายใน 2-3 สัปดาห์ เพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจส่งออกไทย เนื่องเพราะประเมินว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐฯรอบนี้ อาจสะเทือนกับ GDP ไทยไม่น้อยกว่า 1%”           ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาเนื้อหาข้อความ เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 68 ที่ปธน. ทรัมป์ลงนามประกาศคำสั่ง EO กำหนดภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) สรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้ 1. Baseline Tariff: จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการจากทุกประเทศในอัตราร้อยละ 10 โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย. 2568 2. Individualized Reciprocal Higher Tariff: จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการเป็นรายประเทศ สำหรับประเทศที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าด้วยสูง โดยไทยถูกกำหนดภาษีในอัตราร้อยละ 36 โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. 2568 3. สินค้าที่ไม่ได้อยู่ภายใต้มาตรการ Reciprocal Tariffs คือ (1) สินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรา 232 อยู่แล้ว ได้แก่ เหล็ก/อลูมิเนียม และรถยนต์/ชิ้นส่วนรถยนต์ (2) สินค้าที่ระบุไว้ในเอกสาร Annex II ของ EO ครอบคลุมทองแดง ผลิตภัณฑ์ยา เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป แร่ที่มีความสำคัญ และพลังงาน 4. Duty-free de minimis: สินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐฯ จะยังได้รับสิทธิยกเว้นภาษีตามข้อกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำ (duty-free de minimis treatment) ต่อไป           เห็นได้ว่า ธุรกิจส่งออกที่ไม่อยู่ในข่าย โดนภาษีตอบโต้ 36% ประกอบด้วย เหล็ก/อลูมิเนียม และรถยนต์/ชิ้นส่วนรถยนต์ และอาจรวมถึง ทองแดง ผลิตภัณฑ์ยา เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป แร่ที่มีความสำคัญ และพลังงาน อีกด้วย (รอการพิจารณาความชัดเจน)           ขณะที่ผู้บริหาร TEGH นางสินีนุช ได้โพสเฟสบุ๊คว่า ยางพาราธรรมชาติ อยู่ใน list Annex IIที่ "ไม่" ถูกเก็บภาษี 37% นะคะ และขยายความว่า อุตสาหกรรมยางล้อและชิ้นส่วนยานยนต์ของ USA ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 170,600 ล้าน USD และสร้างงานมากกว่า 291,000 ตำแหน่ง USA ไม่ได้ปลูกยางพารา จึงต้องนำเข้ายางพาราธรรมชาติ ประมาณ 1 ล้าน ตันต่อปี โดยนำเข้าจาก ไทย ในสัดส่วน 25%           ทั้งนี้ สินค้าที่จะได้รับผลกระทบ คือ ยางล้อรถยนต์ (USA นำเข้ายางล้อ ประมาณ 170 ล้านเส้นต่อปี) (ซึ่งไทย คือผู้ส่งออกยางล้อรายใหญ่สุด ไป USA) ทำให้ผู้ผลิตยางล้อที่พึ่งพาตลาด USA จะได้รับผลกระทบทางตรง ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตยางล้อใน USA อาจนำเข้ายางธรรมชาติมากขึ้น ผู้ผลิตยางธรรมชาติที่มีตลาดใน USA อาจส่งออกได้มากขึ้น (TEGH มีสัดส่วนการขายไป USA ที่ 14%)           ผลกระทบในระยะสั้น คือ ราคายางอ่อนตัว Supply chain ที่พึ่งพา จีน จะได้รับผลกระทบรุนแรง จีน คงจะเล่นสงครามราคา เพื่อคงอัตราการผลิต EU ถูกจัดเก็บ 20% ซึ่งต่ำกว่าประเทศผู้ผลิตยางล้ออื่นๆ น่าจะยังพอแข่งขันได้ สายโทรศัพท์ whitehouse คงไหม้ ในสัปดาห์นี้ (โฟสทิ้งท้าย)

[Vision Exclusive] หุ้นไทยถูกแต่ไร้เสน่ห์ โฟกัส mai

[Vision Exclusive] หุ้นไทยถูกแต่ไร้เสน่ห์ โฟกัส mai

           หุ้นวิชั่น -  “สุธน สิงหสิทธางกูร” “เจ็กกี้” นักลงทุนแนว VI เปิดใจมองหุ้นไทยราคาถูกแต่ไร้แรงจูงใจ เหตุขาดการเติบโต แนะจับตาหุ้น mai ที่ยังมีศักยภาพ พร้อมเสนอเปิดเผยข้อมูลพร้อมกัน-ทบทวนโครงสร้างภาษีเงินปันผล หวังยกระดับความน่าสนใจของตลาดทุนไทย มองตลาดจีนยังมีความน่าสนใจ โอกาสโตยังสูง ปัจจุบันเน้นลงทุนในจีนเป็นหลักประมาณ 78% แนะเลี่ยงการปรับพอร์ตกระทันหัน            นายสุธน สิงหสิทธางกูร หรือ “เจ็กกี้” นักลงทุนเน้นคุณค่า (นักลงทุนแนว VI) เปิดเผยกับ “Hoonvision” ว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนยังไม่เอื้อต่อการเข้ามาของนักลงทุน แม้ว่าราคาหุ้นไทยในเชิงมูลค่าจะอยู่ในระดับที่ “ถูก” เมื่อเทียบกับอดีต แต่ในด้านของ “พื้นฐาน” กลับพบว่าอัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับต่ำ            “ในอดีต เราเคยเห็นบริษัทจดทะเบียนเติบโตได้หลายเท่าตัว แต่ปัจจุบันภาพแบบนั้นแทบไม่หลงเหลืออยู่ในหุ้นใหญ่แล้ว” นายสุธนกล่าว พร้อมระบุว่า หุ้นกลุ่ม SET100 ในปัจจุบันยังไม่พบบริษัทที่มีศักยภาพโดดเด่นเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ทำให้ตลาดขาดแรงดึงดูดนักลงทุนต่างชาติอย่างชัดเจน            อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่า “ตลาด mai” ยังคงมีโอกาสสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กหลายตัวที่ราคาปรับตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำมาก จึงเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสมในการค้นหาหุ้นที่ยังมีศักยภาพซ่อนอยู่            นอกจากนี้ นายสุธนยังเสนอแนวทางให้ภาคตลาดทุนพิจารณาปรับปรุงกลไกด้านการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน โดยควรส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูลสำคัญพร้อมกัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของนักลงทุนทั่วไป และหลีกเลี่ยงการจัด Analyst Meeting แบบเฉพาะกลุ่มล่วงหน้า ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านข้อมูลได้ พร้อมกันนี้ ยังเสนอให้มีการพิจารณาปรับโครงสร้างด้านภาษี โดยเฉพาะภาษีเงินปันผล เพื่อไม่ให้ภาษีในประเทศไทยเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน            สำหรับภาพรวมของตลาดหุ้นต่างประเทศ แม้หลายตลาดยังเผชิญแรงกดดันคล้ายกับไทย โดยเฉพาะจีนและเวียดนามที่ดัชนีปรับตัวลดลง แต่เขายังเชื่อมั่นในศักยภาพของบางประเทศ โดยเฉพาะ “จีน” ที่ยังมีระบบซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง และมีหุ้นหลายกลุ่มที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว            “ในพอร์ตส่วนตัวของผม ปัจจุบันเน้นลงทุนในจีนเป็นหลักประมาณ 78% รองลงมาเป็นเวียดนาม 9% และอีกส่วนน้อยเป็นหุ้นไทย” นายสุธนกล่าว            ทั้งนี้ เขายอมรับว่าการปรับตัวลงแรงของตลาดเวียดนามส่งผลกระทบบางส่วนต่อพอร์ตลงทุน แต่ยังมั่นใจว่าการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากพื้นฐานของกิจการเป็นหลัก จะช่วยลดความผันผวนในระยะยาวได้ สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ นายสุธนแนะนำว่า ไม่ควรปรับพอร์ตแบบเร่งรีบ เพราะอาจไม่ทันกับจังหวะของตลาด แต่หากนักลงทุนมีการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว ก็ยังสามารถถือต่อหรือทยอยลงทุนเพิ่มได้ พร้อมเน้นย้ำว่า “การเลือกลงทุนควรพิจารณาเป็นรายตัว” โดยมองความแข็งแกร่งของกิจการเป็นหลัก รายงานโดย ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision

จับตาหุ้นขึ้น XD เม.ย. ขายก่อนหรือถือรอ

จับตาหุ้นขึ้น XD เม.ย. ขายก่อนหรือถือรอ

          หุ้นวิชั่น - ในดือนเม.ย.2568 จะมีหุ้นจำนวน 114 ตัว ถูกขึ้นเครื่องหมาย XD โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ TCAP จะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 11 เม.ย. จ่ายปันผลที่ 2.05 บาท/หุ้น, SCB จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 16 เม.ย. และจะมีการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 8.44 บาท/หุ้น, KTB ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 16 เม.ย. จ่ายปันผลที่ 1.55 บาท/หุ้น, KBANK ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 17 เม.ย. จ่ายปันผลที่ 8.00 บาท/หุ้น, BBL ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 23 เม.ย. จ่ายปันผลที่ 6.50 บาท/หุ้น, TISCO ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 25 เม.ย. จ่ายปันผลที่ 5.75 บาท/หุ้น, CIMBT จะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 เม.ย. จ่ายปันผลที่ 0.04 บาท/หุ้น และ LHFG จะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 เม.ย. จ่ายปันผลที่ 0.03 บาท/หุ้น เป็นต้น           นายมงคล พ่วงเภตรา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในเดือนนี้จำนวนรวม 8 บริษัท ประเมินจะมีผลต่อ SET Index ราว -8.71 จุด (คำนวณจาก SET Index วันที่ 27 มี.ค.68 ที่ 1,187 จุด)           สำหรับผู้ที่รอซื้อหุ้น SCB, KBANK, BBL, KTB, TTB  แนะนำให้ไปรอซื้อหลังวันขึ้นเครื่องหมาย XD เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลงไปค่อนข้างมาก อาจไม่คุ้มกับเงินปันผลที่จะได้รับ แต่หากอยากถือยาว สามารถซื้อได้ทันที เพื่อ lock yield ของปีหน้า           วิธีคำนวณ ถ้าอยากรู้ว่า ราคาหุ้นหลัง XD จะลงไปที่ใด ปกติให้เอาราคาวันก่อน XD ลบด้วยเงินปันผลจ่ายในงวดนั้น กรณีของ SCB คือ ราคาวัน XD อาจลงไปที่ 114 บาท (ถ้าใช้ราคาตลาดที่ 122.5 มาคำนวณ) แต่ถ้าราคาหุ้นขึ้นมามากกว่าปกติ คือ เก็งล่วงหน้ามามากกว่าเงินปันผลจ่าย ราคาหุ้นก็อาจกลับลงไปที่จุดก่อนขึ้นมาก็ได้           ในกรณีของ SCB คือ ที่ 117 บาท และ 110 บาท ซึ่งจะเป็นจุดรับ หรือจุดเข้าซื้อหุ้นหลัง XD คือ ใช้คำนวณว่า คุ้มไหม ถ้าจะถือหุ้นติด XD อย่างเช่น ถ้ามีทุน 125 บาท แล้วราคาลงไปที่ 110 บาท ได้ปันผลมาที่ 8.44 บาท แต่ขาดทุนจากราคาหุ้น 15 บาท อาจไม่คุ้ม ต้องขายก่อน XD ดีไหม                       อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นปันผล ก็ยังถือเป็นจังหวะที่ดีในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยนั้นอยู่ในโซนที่ไม่แพง หลังจากดัชนีฯ นั้นปรับตัวลงมาต่อเนื่อง จากผลกระทบเหตุการณ์แผ่นดินไหว ตลอดจนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ ซึ่งไทยถูกปรับขึ้นเป็น 37% ทำให้กระทบต่อการส่งออก ที่ถือเป็นเครื่องยนต์หลักของประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย (GDP) ในปีนี้           ขณะที่ยังมีหลายบริษัทที่ยังมีการเติบโตได้ดีอยู่ ซึ่งเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงมา ก็มองเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม

ส่งออกคอมพิวเตอร์หนักสุด! - จับตาทุเรียนขายจีนสะเทือน

ส่งออกคอมพิวเตอร์หนักสุด! - จับตาทุเรียนขายจีนสะเทือน

            หุ้นวิชั่น- ประเมินเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบสูงจากนโยบายภาษีของทรัมป์ 2.0 ทั้งผลกระทบทางตรงและทางอ้อม จับตา “ทุเรียน” ไทยส่งออกไปจีนในปี 2567 มีสัดส่วนมากถึง 97.4% ของมูลค่าการส่งออกทุเรียนไทยทั้งหมด              บทวิเคราะห์ SCB EIC ระบุว่า ผลกระทบทางตรง: ส่งออกไทยพึ่งสหรัฐฯ สูงถึง 18% สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 18.3% ในปี 2024 เพิ่มขึ้นมากจาก 12.7% ในปี 2019 หากเทียบกับประเทศในโลกที่มี GDP ใหญ่สุด 30 อันดับแรกและกลุ่มประเทศอาเซียน พบว่า ไทยมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ต่อ GDP ค่อนข้างสูงกว่าอยู่ที่ราว 10% ขณะที่ไทยเองก็โดน Reciprocal rate ในอัตราสูงกว่าด้วยเช่นกัน ไทยจึงมีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงผ่าน 2 ช่องทาง คือ 1) Substitution Effect : สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ไทยสูงถึง 36% ขณะที่ประเทศต่าง ๆ โดนอัตราภาษีน้อยกว่ามาก (ส่วนมากถูกเก็บภาษีแค่ 10%) จึงอาจทำให้สหรัฐฯ หันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่แข่งที่ขายราคาถูกกว่าไทย 2) Income Effect : สหรัฐฯ อาจนำเข้าสินค้าจากไทยและคู่ค้าอื่น ๆ น้อยลง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็อาจชะลอลงมากจากนโยบายกำแพงภาษีของตัวเองครั้งนี้             หากดูผลกระทบรายหมวดสินค้าส่งออก พบว่ากว่า 8 ใน 10 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบมาก เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (8.2% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด) พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากถึง 42.9% ของการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ทั้งหมด หรือผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากถึง 31.6% และ 58.5% ของการส่งออกสินค้ากลุ่มนั้นๆ ทั้งหมด ตามลำดับ ผลกระทบทางอ้อม: ส่งออกไทยกระจุกตัวในประเทศที่ถูกตั้งกำแพงภาษีสูง             นอกจากไทยส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงแล้ว ไทยยังส่งออกไปยังตลาดจีน อาเซียน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปในสัดส่วนที่สูงเช่นกัน ซึ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้ถูกตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงอยู่ที่ 54% 33% 24% 20% ตามลำดับ เทียบกับกำแพงภาษีที่สหรัฐ เก็บทั่วโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% ดังนั้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทยกลุ่มนี้ จะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อความต้องการสินค้าส่งออกไทยผ่านหลายช่องทาง คือ 1) ความต้องการสินค้าขั้นปลายของไทยลดลง เช่น เศรษฐกิจจีน (ตลาดส่งออกอันดับ 2 ของไทย) คาดว่าจะชะลอตัวลงจากมาตรการกีดกันการค้ารอบนี้ ย่อมส่งผลให้ความต้องการนำเข้าสินค้าไทยลดลงตาม โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ผักและผลไม้ อาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งจีนเป็นผู้นำเข้าหลัก (เช่น ทุเรียนไทยส่งออกไปจีนในปี 2567 มีสัดส่วนมากถึง 97.4% ของมูลค่าการส่งออกทุเรียนไทยทั้งหมด) 2) ความต้องการสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางของไทยในห่วงโซ่การผลิตลดลง เช่น ไม้ยางพารา ยางพารา ยางสังเคราะห์ เม็ดพลาสติก (โดยเฉพาะกลุ่ม Styrene และ Ethylene) และอะลูมิเนียมรีด (สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์หรือกระป๋องเครื่องดื่ม) ซึ่งพึ่งพาการส่งออกไปตลาดจีนสูง อาจถูกกระทบหากจีนส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยลง 3) การแข่งขันในตลาดส่งออกโลกสูงขึ้น บางประเทศอาจเผชิญปัญหาส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ได้น้อยลง แต่กำลังการผลิตในประเทศยังมีอยู่มาก ทำให้ต้องระบายสินค้าออกสู่ตลาดอื่นๆ มากขึ้น 4) บางประเทศคู่ค้าอาจหันไปนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพื่อลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ จึงอาจนำเข้าสินค้าไทยน้อยลง             ผลกระทบทางอ้อม: ภาวะ Wait & See ของการลงทุนในไทยจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ทั้งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนจากจีนส่วนหนึ่งเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยเพื่อส่งออกสินค้าไปขายตลาดสหรัฐฯ และหลีกเลี่ยงการกีดกันสินค้าส่งออกจากจีนโดยตรง รวมถึงการลงทุนในประเทศที่อาจ Wait & See โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ ที่อาจรอดูความชัดเจนของการเจรจาการค้าของรัฐบาลไทยเพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีครั้งนี้ ความไม่แน่นอนของภาษีตอบโต้ยังสูง ขึ้นกับเจรจา             SCB EIC ประเมินอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ไทยและประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ทั่วโลกต้องเผชิญจะมีแนวโน้มต่ำกว่าที่ทำเนียบขาวประกาศในวันที่ 2 เมษายน 2025 โดยในประกาศของทำเนียบขาวระบุชัดว่า ประธานาธิบดีทรัมป์อาจลดภาษีตอบโต้ให้ได้ หากประเทศนั้น ๆ สามารถแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นได้ เช่น พยายามลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษี Reciprocal Tariffs ได้บ้าง สำหรับประเทศนั้น ๆ ได้บ้าง อย่างไรก็ดี การเจรจาขอลด Universal Tariffs และ Specific Tariffs รายสินค้าจะดำเนินการได้ยากกว่า เพราะวัตถุประสงค์ของสหรัฐ ต้องการประกาศเป็นอัตราภาษีนำเข้าส่วนเพิ่มขั้นต่ำ และเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศบางประเภทโดยเฉพาะ             แม้อัตราภาษีที่แท้จริงที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจริงกับประเทศไทยอาจลดลงหลังการต่อรองลดผลกระทบไม่ให้รุนแรงมาก SCB EIC ประเมินว่า การประกาศสงครามการค้าของสหรัฐฯ ครั้งนี้จะเป็นความเสี่ยงด้านต่ำสำคัญของเศรษฐกิจไทย จะส่งผลกดดันให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2025 ปรับลดลงจากประมาณการเดิมที่ 2.4% อย่างมีนัยสำคัญ             ประเทศไทยจึงควรให้ความสำคัญเร่งเจรจาลดผลกระทบครั้งนี้ โดยอาจเน้นจาก 3 ประเด็นหลักของไทย ซึ่งสะท้อนได้จากรายงานอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศของ United States Trade Representative (USTR) เผยแพร่เดือน มีนาคม 2025 ได้แก่ 1) ลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ มากขึ้น หรือ ลดอัตราภาษีนำเข้าบางสินค้าของสหรัฐฯ 2) ลดมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น เกณฑ์ห้ามนำเข้าสินค้าบางชนิด เกณฑ์มาตรฐานสินค้าเกษตร 3) แก้ไขปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ และไทยเองก็ได้ประโยชน์ด้วย เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิเสรีภาพของแรงงาน ตลอดจนการพิจารณาลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ

นับถอยหลังภาษี36% เปิดวิธีเก็บสไตล์ทรัมป์

นับถอยหลังภาษี36% เปิดวิธีเก็บสไตล์ทรัมป์

          หุ้นวิชั่น – เกาะติดวิธีเก็บภาษีของสหรัฐ ที่เริ่ม 10 % ในวันที่ 5 เม.ย. และที่ 36% วันที่ 9  เมษายน นี้ จับตาสินค้าที่ขนลงเรือหรือยานพาหนะแล้ว และอยู่ระหว่างเดินทางมายังสหรัฐฯ ก่อนเวลาเส้นตาย จะโดนเก็บภาษี หรือไม่           ตามที่ ข้อมูลภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) กับสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้า เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ โดยอัตราภาษีดังกล่าวคำนวณโดยนำตัวเลขการขาดดุลและมูลค่าการนำเข้าทางการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้ามาคำนวณ ซึ่งในส่วนของไทยคำนวณออกมาแล้วมีอัตราภาษี 36%           ในช่วงแรก สหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีเพิ่มตั้งแต่เวลา 00:01 น.   ของวันที่ 5 เมษายน 2568 (เวลาสหรัฐฯ) ในอัตรา 10% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากทุกประเทศ            ส่วนสินค้าที่ขนลงเรือหรือยานพาหนะแล้วและอยู่ระหว่างเดินทางมายังสหรัฐฯ ก่อนเวลาดังกล่าว จะยังไม่ถูกเก็บภาษีดังกล่าว ก่อนเวลา 00.01 ของวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ทั้งนี้ ภาษี 10% จะเป็นการเก็บเพิ่มจากอัตราภาษีที่เรียกเก็บอยู่แล้ว (MFN apply rate) รวมทั้งอากร ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่แต่ละประเทศถูกจัดเก็บอยู่เดิม           หลังจากนั้น ในช่วงที่สอง ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 9 เมษายน 2568 สหรัฐฯ ก็จะเริ่มเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ตามอัตราเฉพาะที่กำหนดสำหรับแต่ละประเทศ ซึ่งประเทศไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% โดยจะเก็บเพิ่มจากอัตราภาษีที่เรียกเก็บอยู่แล้ว (MFN apply rate) รวมทั้งอากร ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ประเทศนั้นถูกจัดเก็บอยู่เดิม อย่างไรก็ดี สำหรับสินค้าที่ขนลงเรือหรือยานพาหนะแล้วและอยู่ระหว่างเดินทางมายังสหรัฐฯ ก่อนเวลาดังกล่าว ก็จะยังได้รับยกเว้นไม่ถูกเก็บภาษี 36% ดังกล่าว ทั้งนี้ อัตราภาษีต่างตอบแทนข้างต้นจะไม่ใช้กับสินค้าที่สหรัฐฯ ได้เคยประกาศใช้มาตรการไปก่อนหน้านี้ คือ วันที่ 12 มีนาคม 2568 สินค้าเหล็กและอลูมิเนียม ถูกจัดเก็บอัตราภาษีเฉพาะที่ 25%  และวันที่ 3 เมษายน 2568 สินค้ารถยนต์และชิ้นส่วน ถูกจัดเก็บอัตราภาษีเฉพาะที่ 25%  นอกจากนี้ ภาษีต่างตอบแทนดังกล่าวยังจะไม่ใช้กับสินค้าประเภททองแดง ยาและเวชภัณฑ์ เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป แร่ธาตุสำคัญบางประเภท พลังงานและผลิตภัณฑ์พลังงาน เนื่องจากสหรัฐฯ อาจจะมีการประกาศใช้ภาษีเฉพาะกับสินค้าดังกล่าวในภายหลัง ซึ่งคาดว่าจะเก็บเพิ่มในอัตรา 25% ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

สรุปปัจจัยถล่มหุ้นไทย - ส่อง 3 หุ้นมีดี

สรุปปัจจัยถล่มหุ้นไทย - ส่อง 3 หุ้นมีดี

          หุ้นวิชั่น- ภาษีตอบโต้สหรัฐฯ จะเขย่าตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศเพียงใด นักลงทุนควรเกาะติดข้อมูลอย่างใกล้ชิด รวมถึงหาโอกาสลงทุน ในจังหวะที่เหมาะสม จับตา 3 หุ้นแกร่งที่สามารถทนกระแสสงครามการค้าได้           บล. กรุงศรี มองว่า กลยุทธ์การลงทุน: ประเมินสัปดาห์นี้ (8-11 เม.ย.2568) ดัชนีหุ้นไทยคาดจะแกว่งตัวในกรอบ “แนวต้าน 1143/1157 จุด รับ 1105/1084 จุดปัจจัยที่จะกำหนดการเคลื่อนไหวหลักๆ คือ การเจรจาต่อรองของรัฐบาลไทยกับสหรัฐประเด็นเรื่องการค้า หากชัดเจนการต่อรองทำให้คาด Risk Sentiment กรณีดังกล่าวน่าจะผ่านจุดเลวร้าย หากเจรจาได้จะลดผลกระทบต่อ GDP ไทย และความเสี่ยงกำไรตลาด ส่วนประเด็นอื่น ติดตามเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ           กลยุทธ์การลงทุนยังแนะนำเน้นไปที่หุ้น Domestic, กลุ่มจำหน่ายสินค้า+บริการจำเป็น (ค้าปลีก BJC ร.พ. BDMS สื่อสาร ADVANC) และกลุ่มได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง การเงิน MTC หนี้สูง CPALL CPAXT           หุ้นเด่นสัปดาห์นี้: แนะนำ 3 หุ้น ประกอบด้วย CPALL, BJC, BDMS ส่วนสัปดาห์ก่อน CPALL, CPAXT, BJC ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -0.03% vs. ดัชนีฯที่ให้ผลตอบแทน -4.27% • CPALL (TP25F-80.0): Deep Value + ผันผวนต่ำ + ลุ้น Treasury Stock • BJC (TP25F-30.0): Deep Value (PBV < 1 เท่า) + ผันผวนต่ำ + ลุ้น Treasury Stock • BDMS (TP25F-37.5) : Defensive + Deep Value + คาดกำไรสุทธิ +10%CAGR 25-27F Investment Theme: • Apr25 Best Picks: AOT, BA, BJC, HMPRO, MTC, PTT, SCC • 2Q25F Stock Picks: BDMS, CPALL, MINT, KBANK, MTC, LH, ADVANC MidSmall Cap Play: BCH, BTS, JMT, ERW, AMATA สรุปปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย • US Trade: 7 เม.ย. – 11 เม.ย. ติดตามท่าทีประเทศที่ได้รับผลกระทบมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐฯ หากมีความคืบหน้าการเจรจาสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าจะหนุนสินทรัพย์เสี่ยง • US CPI: 10 เม.ย. ติดตามรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ คาดเงินเฟ้อทั่วไป +0.1%m-m, +2.6%y-y vs prev. +0.2%m-m, +2.8%y-y เงินเฟ้อพื้นฐานคาด +0.3%m-m, +3.0%y-y vs prev. +0.2%m-m, +3.1%y-y • US Econ: 11 เม.ย. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่น ม. มิชิแกน เม.ย.25 (เบื้องต้น) คาด 55.0 จุด vs prev. 57.0 จุด • CH CPI: 10 เม.ย. ติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI จีน คาดเงินเฟ้อทั่วไป -0.4%m-m, +0.0%y-y vs prev. -0.2%m-m, -0.7%y-y • JP Trade: 8 เม.ย. ติดตามรายงานดุลบัญชีเดินสะพัด ก.พ. คาดเกินดุล +3.733 ล้านล้านเยน vs prev. ขาดดุล -2.58 แสนล้านเยน • Thai Trade war: ติดตามแนวทางเจรจาต่อรองมาตรการกีดกันการค้ากับสหรัฐฯ • TH CCI: 10-15 เม.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. 57.8 จุด • SET EPS: กำไรตลาดปี 25F อยู่ที่ 94.25 บาท ลดลง w-w กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน รับเหมา สื่อ ฯลฯ กลุ่มถ่วง คือ กลุ่ม ICT, การเงิน • Fund Flow: สัปดาห์ที่แล้วเงินทุนไหลออก (หุ้น+พันธบัตร) ภูมิภาค Asia (exJ) -8022 ล้านเหรียญฯ ไทยเงินไหลเข้า +236 ล้านเหรียญฯ (ขายหุ้น -204 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +440 ล้านเหรียญฯ) เงินบาทอ่อนค่า w-w ที่ 34.2 +/- บาท           ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนจากนโยบายภาษีเท่าเทียมสหรัฐ ที่เลวร้ายกว่าคาดไปมาก ขณะที่ไทยอยู่ในกลุ่มที่โดนเก็บโซนสูง 37% เป็นรองเฉพาะจีน 54% (ภาษีเดิมที่โดนเก็บเดิม+ภาษีเท่าเทียม) กระทบ SET ปรับลงรุนแรง ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา (31 มี.ค. – 4 เม.ย. 2568) การเคลื่อนไหวรายตลาดหุ้นที่น่าสนใจดังนี้ สหรัฐ: ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวขึ้นและปรับลงช่วงปลายสัปดาห์รับ 1. ความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อสหรัฐจะเร่งขึ้น และผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจระยะสั้น จนอาจนำมาสู่ภาวะ Stagflation หลังสหรัฐประกาศใช้ภาษีเท่าเทียม (US Reciprocal Tariffs) เลวร้ายกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก คือ โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐานที่อัตรา 10% ต่อ (190 ทุกประเทศ มีผล 5 เม.ย.) (Universal Tariffs) โดยจะมีการเก็บภาษีเพิ่มเติมในอัตราที่สูงขึ้นกับหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย สหภาพยุโรป รวมถึงไทย รายละเอียด: เวียดนาม 46%, ไทย 37%, จีน 34%, อินโดนีเซีย 32%, อินเดีย 26%, เกาหลีใต้ 25%, ญี่ปุ่น 24%, สหภาพยุโรป (EU) 20% 2. ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาผสมผสาน แต่ส่วนใหญ่ออกไปทางอ่อนแอ หนุนมุมมองความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย i.) GDP: Fed Atlanta คาดการณ์ GDP สหรัฐงวด 1Q25 3.7%q-q จาก -2.8% มองผลจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Michigan ที่ออกมาปลายสัปดาห์ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 22 ii.) ฝั่งการลงทุน คือ รายงานการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือน ก.พ. +2.9%y-y, +0.7%m-m มากกว่าที่ตลาดคาด +0.3%m-m prev. +0.5%m-m ในเดือน ม.ค. แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ปรับตัวลง iii.) PMI ภาคผลิต (ISM) มี.ค. ลดลงอยู่ที่ 49.0 จุด ต่ำกว่าตลาดคาด 49.8 จุด prev. 50.3 จุด สอดคล้องกับสถาบัน S&P เดือนเดียวกันปรับลงที่ 50.2 จุด prev. 52.7 จุด 3.) ตลาดรอตัวเลขแรงงานสหรัฐ และการแสดงความคิดเห็นของประธาน Fed ยุโรป: ตลาดหุ้นยุโรปแกว่งตัวลงตลอดสัปดาห์ จากความเสี่ยงการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และยุโรปชะลอตัว และจากผลกระทบนโยบายภาษีของสหรัฐ คาดกระตุ้นเงินเฟ้อและกดดันต่อการดำเนินนโยบายการเงินในยุโรป โดยหุ้นกลุ่มที่กดดัชนีหลักๆ คือ กลุ่ม Health Care ฯลฯ เอเชีย: ตลาดหุ้นเอเชียโดนแรงกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐ Reciprocal Tariff อิงตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับลงมีข่าวลบตั้งแต่ต้นสัปดาห์ คือ การเมือง หลังศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้เผยว่าศาลจะมีคำพิพากษาคดีถอดถอนประธานาธิบดียุน ซอกยอล ในวันศุกร์นี้ (4 เม.ย.) หากศาลมีคำพิพากษาถอดถอน อดีตประธานาธิบดียุนจะถูกปลดจากตำแหน่งจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ภายใน 60 วัน มองเป็นจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นเกาหลีใต้ แม้จะมีปัจจัยบวกคือ รายงานยอดส่งออกของเกาหลีใต้เดือนมี.ค. +3.1%y-y สู่ระดับ 5.83 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการเพิ่มขึ้นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน แรงหนุนจากยอดส่งออก Semiconductor +11.9%y-y สู่ระดับ 1.31 หมื่นล้านดอลลาร์ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลงจากแนวโน้มเงินเยนที่แข็งค่า จากเงินไหลไปพักในมุมมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย...

พลิกวิกฤติ! 4หุ้นอสังหาไม่อิงคอนโด ยีลด์ปันผลเด้งแค่ไหน?

พลิกวิกฤติ! 4หุ้นอสังหาไม่อิงคอนโด ยีลด์ปันผลเด้งแค่ไหน?

           หุ้นวิชั่น – วิเคราะห์กลยุทธ์ การซื้อขายหุ้นไทย ในวันอังคารนี้ คาดบรรยากาศจะถูกครอบงำด้วยปัจจัยความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจจากภาษีการค้าของสหรัฐฯ ดัชนีฯ น่าจะลงต่ำสุดในสัปดาห์นี้ (ประเมินไว้ 1100-1110 จุด)            นักลงทุนควรรับมืออย่างไร หุ้นกลุ่มไหนความเสี่ยงต่ำน่าสะสม เป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เชื่อว่าอาจมีวิกฤติในโอกาส สำหรับนักลงทุนที่เน้นหุ้นเชิงปัจจัยพื้นฐาน ที่ราคาปรับลงมาเยอะ            บทวิเคราะห์บล.ดาโอ มีมองว่า หุ้น Domestic Play จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า หุ้นขนาดใหญ่ที่จะถูกขายโดยนักลงทุนต่างชาติ กลยุทธ์ ยังคงแนะนำทยอยสะสมหุ้น Domestic Play            นักวิเคราะห์ได้รับปรับรายชื่อของหุ้นในเชิงกลยุทธ์ จากแรงขายระลอกใหม่ โดยให้น้ำหนักกับ Domestic Play และ Defensive เป็นหลักได้แก่ ADVANC, CPALL, SCB, MTC* , KBANK            สำหรับหุ้น พลิกวิกฤติเป็นโอกาส มองว่า หุ้นอสังหาฯ รายใหญ่ ที่มีฐานะทางการเงินแข็งแรง ประสบการณ์สูง และไม่ได้อิงรายได้จากการขายคอนโดฯเป็นหลัก อัตราผลตอบแทนปันผลกระฉูด            เลือกมา 4 ตัว คือ SIRI, LH*, SPALI, AP* ราคาที่ลงมามาก ทำให้ Dividend Yield ของหุ้นทั้ง 4 ตัวสูงขึ้น 10%, 7%, 8% และ 8% ตามลำดับ (ดูจากเงินปันผลคาดการณ์ปี 2568)            ขณะที่ เรื่องการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ คาดยังมีผล(ลบ) ต่อ กลุ่มนิคมฯ กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มยางพารา และ กลุ่มสินค้าส่งออก บางตัว อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อีเล็คทรอนิคส์ ปิโตรเคมี เดินเรือ ท่องเที่ยว            หุ้นในพอร์ตวันนี้ นำ GULF ออก หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย SIRI(10%), MTC*(10%), LH*(10%), SCB(10%) การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

หุ้นไทยเปิดวันอังคารนี้ ...พังหรือฟื้น เช็กด่วน!

หุ้นไทยเปิดวันอังคารนี้ ...พังหรือฟื้น เช็กด่วน!

          หุ้นวิชั่น – จับตาหุ้นไทย เปิดตลาดวันอังคารนี้ ( 8 เมษายน 2568) คาดดัชนีฯ อยู่ในช่วงจุดต่ำสุด นักลงทุนทั่วโลกกังวลมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่จะบังคับใช้สัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยทำ New Low อีกครั้งนับตั้งแต่วิกฤตโควิด 19 หลังสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์แห่งวิกฤต (แผ่นดินไหวกรุงเทพฯ และการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ) ซึ่งสร้างแรงกดดันทั่วโลก ลุ้นสัปดาห์นี้อาจมีรีบาวน์หลังดัชนีฯลงแรง หรือลงต่ออีก? บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า ต้องติดตามมาตรการรัฐ และการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ยังคงแนะนำให้เก็บหุ้น Domestic Play ประเมินกรอบดัชนีฯ สัปดาห์นี้ ไว้ที่ 1110-1150  จุด มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ หลังประกาศไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนหนัก ค่าเงินอ่อนค่าลงโดยเฉพาะค่าเงินเอเชีย และกระทบสินค้า Commodity อื่นๆ อีกมาก สัปดาห์นี้รอติดตามการเข้าเจรจาของผู้นำในหลายๆ ประเทศ เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น อาจมีการประกาศผ่อนคลาย หรือการตอบโต้ของประเทศที่โดนเรียกเก็บภาษีอย่างไม่เป็นธรรม มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยหลักในสัปดาห์นี้ที่ส่งผลใหตลาดหุ้นผันผวนต่อ. ไมโครซอฟท์ชะลอการพัฒนา Data Centerในหลายประเทศ ในหลายประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมถึงรัฐอิลลินอยส์ นอร์ทดาโคตา และวิสคอนซินในสหรัฐ สะท้อนความกังวล ‘ฟองสบู่’ ในตลาด Data Center …. สร้างบรรยากาศเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มลงทุนใน Data Center และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ • ก.ล.ต. อนุมัติกองทุน Thai ESGX เน้นลงทุนในทรัพย์สินที่ยั่งยืน มีผลบังคับ 16 เม.ย. และคาดเปิดขาย 2 พ.ค. 68 รัฐบาลหนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนในหุ้น ESG ผู้ถือ LTF ต้องสับเปลี่ยนไป Thai ESGX ภายใน 30 มิ.ย. 68 คาดวงเงินเข้าใหม่จะมีไม่มาก โดยหลักจะเป็นเงินจากกองทุน LTF ที่เหลืออยู่ประมาณ 1.56 แสนล้านบาท(ข้อมูลเดือนมี.ค.68) ซึ่งคาดว่าสิ้นเม.ย.จะลดลงอีก เนื่องจากมีแรงขายออกต่อเนื่องในช่วงม.ค.-มี.ค. หลังครบกำหนดขายได้ -เที่ยวไทยคนละครึ่งจ่อปรับเงื่อนไข ไม่สามารถใช้สิทธิ์ช่วงคืนวันเสาร์-อาทิตย์ .... มองเชิงลบต่อกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม มาตรการอาจช่วยกระตุ้นนักท่องเที่ยวไทยไม่ได้มากเท่าที่ควร - สัปดาห์นี้ มีหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย “XD” ทั้งหมด 17 หลักทรัพย์ อาทิ BLC, BANPU, BPP, TCAP เป็นต้น ควรระวังแรงขายหุ้นทั้งก่อนและหลัง “XD” ….  หากราคาหุ้นเหล่านี้ ปรับตัวลงเท่ากับเงินปันผลที่จ่ายออกมารอบนี้ จะมีผลต่อ SET Index ราว -0.4 จุด

หุ้นกู้ NPS หนึ่งในผู้นำธุรกิจพลังงานและพลังงานหมุนเวียน กว่า 30 ปี [HoonVision X FynnCorp]

หุ้นกู้ NPS หนึ่งในผู้นำธุรกิจพลังงานและพลังงานหมุนเวียน กว่า 30 ปี [HoonVision X FynnCorp]

หุ้นวิชั่น - NPS ผู้ประกอบธุรกิจพลังงานและพลังงานหมุนเวียนกว่า 30 ปี ด้วยการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลอื่น อย่างชิ้นไม้สับ เปลือกไม้ และแกลบ โดยธุรกิจเติบโตต่อเนื่องจากสัญญาขายไฟฟ้าให้กับภาครัฐและเอกชนในอนาคต โดยเฉพาะจากโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ที่คาดจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2570 ซึ่งมีบริษัท Gulf เข้าร่วมลงทุน ทั้งนี้บริษัทเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จำนวน 3 รุ่น อายุ 3, 5, 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.8%, 4.5%, 5% ต่อปี ตามลำดับ โดยเปิดให้จองซื้อในระหว่างวันที่ 21-24 เมษายน 2568 NPS มุ่งผลิตพลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืน           บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ NPS จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อปี 2538 เพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า รวมถึงไอน้ำเพื่ออุตสาหกรรม ด้วยโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Cogeneration) แบบกังหันไอน้ำ ที่ผ่านมา บริษัทขยายการลงทุนในธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจโรงไฟฟ้า และธุรกิจที่สนับสนุนธุรกิจหลักภายใต้การดำเนินงานของบริษัทย่อยและบริษัทร่วม อย่างเช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า           ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทถือหุ้นในบริษัทย่อย 35 บริษัท และ บริษัทร่วม 2 บริษัท แบ่งการดำเนินงานได้เป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้าและพลังงานที่เกี่ยวข้อง ธุรกิจน้ำ ธุรกิจขนส่ง และธุรกิจอื่นๆ           โรงไฟฟ้าของ NPS ผลิตได้ทั้งไฟฟ้าและไอน้ำ โดยมีโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์แล้วทั้งหมด 15 โรง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 860 .70 เมกะวัตต์ (MW) และกำลังผลิตไอน้ำติดตั้งรวม 2,661.80 ตันต่อชั่วโมง (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567)           ปัจจุบัน บริษัทมีการใช้เชื้อเพลิงหลัก 3 ประเภท คือ ถ่านหิน น้ำมันยางดำ และเชื้อเพลิงชีวมวล โดยมีการใช้ถ่านหินและเชื้อเพลิงชีวมวลอื่น (ชิ้นไม้สับ เปลือกไม้ แกลบ) ในสัดส่วน 38.8% และ 34.4% ตามลำดับ           โครงสร้างรายได้ บริษัทมีรายได้หลักจากการขายไฟฟ้า ไอน้ำและน้ำ คิดเป็น 88.68% ของรายได้รวมปี 67 ตามมาด้วยรายได้จากค่าบริการ (จากการทำวิจัยและพัฒนา บริการทุ่นขนถ่ายสินค้ากลางทะเล เรือขนส่งสินค้า บริการซ่อมโรงงาน รถบรรทุก บริการไอที เป็นต้น) 5.78% และรายได้อื่นๆ           กลุ่มลูกค้าหลัก คือ บริษัท AA (บริษัทดั๊บเบิ้ล เอ จำกัด (มหาชน)) และบริษัทที่เกี่ยวโยงกัน คิดเป็น 41.2% ของรายได้รวมปี 67 ตามมาด้วย กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นบริษัทภายนอกในสวนอุตสาหกรรมที่จังหวัดปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา 28.9% และ กฟผ. 17% รวมถึงลูกค้าในประเทศอื่น อย่าง การไฟฟ้าประเทศฝรั่งเศส (EDF) และ VPK อีก 12.89%           บริษัทผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ กฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว 7 ฉบับ คิดเป็นพลังงานไฟฟ้าตามสัญญารวม 844 MW โดย กฟผ. จะชำระค่าตอบแทนเป็นรายเดือนตามปริมาณไฟฟ้าที่บริษัทผลิตและจำหน่ายให้ได้จริง ค่าตอบแทนจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ค่า CP ที่จะเปลี่ยนไปตามอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลบาทและเงินสกุลเหรียญสหรัฐในแต่ละเดือน และค่า EP ซึ่งจะเปลี่ยนตามราคาเชื้อเพลิงในแต่ละเดือน           สำหรับบริษัท AA มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 4 ฉบับ และจำนวนไฟฟ้าตามสัญญา 87.91 MW รวมถึงสัญญาซื้อขายไอน้ำ อีก 6 ฉบับ ส่วนการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝรั่งเศส มีสัญญา 1 ฉบับ พลังงานไฟฟ้าตามสัญญา 50 MW           สภาพการแข่งขัน ประเทศไทยมีผู้ประกอบกิจการโรงไฟฟ้าเอกชนภายในประเทศจำนวนมาก ทำให้การพึ่งพาจากต่างประเทศค่อนข้างน้อย หรือคิดเป็น 12.13% ของกำลังการผลิตตามสัญญาแยกตามผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้า ณ สิ้นปี 2567 รวม 51,414.3 MW ขณะที่ผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ (IPP) เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าหลักของประเทศ ซึ่งมีจำนวนกำลังการผลิตตามสัญญา 38.1% ตามมาด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) 31.6% ส่วนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) มีสัดส่วนการผลิตติดตั้งไฟฟ้า 18.1%           การเติบโตในอนาคต แม้ว่า NPS ยังไม่มีโรงไฟฟ้าในกลุ่ม IPP แต่บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งผ่านการคัดเลือกการประมูลไฟฟ้า IPP และมีปริมาณซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาที่ 540 MW โดยมี บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอรจี้ ดีเวลลอปเมนท์จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมลงทุน โดยได้ซื้อหุ้นสามัญของ BPH ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ NPS ในสัดส่วน 35%           นอกจากนี้ ในปี 2562 โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ได้เข้าลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นระยะเวลา 25 ปี อีกทั้ง ได้เข้าลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (Gas Sales Agreement) กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นระยะเวลา 25 ปี โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2570           ผลการดำเนินงาน บริษัทมีรายได้รวมในปี 2567 อยู่ที่ 17,801 ล้านบาท ลดลง 10.4% จากปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการที่สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ กฟผ. ทยอยหมดอายุไปในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 861.7 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีปริมาณการขายไฟฟ้าในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมและบริษัท AA ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่มีสัดส่วนรายได้รวมกันมากกว่า กฟผ. เพิ่มขึ้นและช่วยชดเชยปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงของ กฟผ.           นอกจากนี้ ในปี 2567 บริษัทยังคงมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 2,710.7 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมกระแสเงินสดลงทุนและจัดหาเงินทุนที่รวมกันอยู่ที่ 2,344.3 ล้านบาท โดยบริษัทมีกระแสเงินสดจ่ายหลักๆ ไปกับการซื้อที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ และการจ่ายคืนหนี้หุ้นกู้ ขณะที่มีการเพิ่มทุน 900 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา เพื่อลดระดับหนี้สินทางการเงินในช่วงที่มีการลงทุน ส่งผลให้บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1,701 ล้านบาท หุ้นกู้ NPS           บริษัทออกหุ้นกู้มาแล้วทั้งหมด 25 รุ่น ตั้งแต่ปี 2554 และมีหุ้นกู้คงค้างปัจจุบัน 9 รุ่น มูลค่ารวม 16,501.5 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2568 อยู่ที่ 2,298.2 ล้านบาท (NPS258A) นอกจากนี้ บริษัทไม่มีประวัติเลื่อนหรือผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้           เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ทริสเรทติ้ง จัดอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ BBB+ และหุ้นกู้จัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิตคงที่ สะท้อนการมีกระแสเงินสดต่อเนื่องจากสัญญาขายไฟฟ้าโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าบริษัท ซึ่งจะมาชดเชยสัญญาที่หมดอายุกับ กฟผ. ขณะที่ภาระหนี้สินลดลง D/E ratio อยู่ที่ 2.33 เท่า ในปี 67 จาก 3.00 เท่าในปี 66 หุ้นกู้เสนอขายใหม่           NPS ออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน ซึ่งผู้ออกมีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนด  จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เสนอขายให้แก่ ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน (โดยให้บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ลงทุนสถาบันจองซื้อในฐานะผู้ลงทุนทั่วไปเท่านั้น) หุ้นกู้ดังกล่าวแบ่งออกเป็น ดังนี้ 1. ชุดที่ 1  อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2571 อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี 2. ชุดที่ 2  อายุ 5 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2573  อัตราดอกเบี้ย 4.50% ต่อปี 3. ชุดที่ 3  อายุ 7 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2575  อัตราดอกเบี้ย  5.00% ต่อปี เปิดให้จองซื้อในระหว่างวันที่ 21-24 เมษายน 2568  โดยมี ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังนี้ -บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด -บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด -บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด -บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) -บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) -บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด -บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) -บริษัท หลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) -บริษัท หลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด -บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด -บริษัท หลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด -บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)  และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยบริษัทมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ดังนี้ เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ (Roll-over) มูลค่า 2,298.2 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนสิงหาคม 2568 เงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น 201.8 ล้านบาท ปัจจัยเสี่ยง ความเสี่ยงจากการพึ่งพาเงินทุนจากการออกหุ้นกู้ จากการที่บริษัทออกหุ้นกู้อยู่เป็นประจำ ทำให้สัดส่วนหุ้นกู้อยู่ในระดับสูง หรือคิดเป็น 82% ของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยในปี 2567 ถ้าบริษัทไม่สามารถ roll over ได้ ก็อาจส่งผลต่อการชำระคืนหนี้หุ้นกู้รุ่นก่อนหน้าได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถจัดหาเงินทุนจากแหล่งอื่นได้ เช่น กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การจำหน่ายเงินลงทุนในหุ้นสามัญ วงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและการเพิ่มทุน ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาถ่านหิน ซึ่งถือเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักของ NPS แต่บริษัทเองก็ได้ติดตามสภาวะตลาดอย่างต่อเนื่อง และได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าถ่านหิน รวมถึงทำสัญญาเช่าเรือระยะยาวมากขึ้นเพื่อควบคุมต้นทุนค่าระวางเรือ เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวที่อาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ ความเสี่ยงจากการดำรงอัตราส่วนทางการเงิน ในการดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) ตามข้อกำหนดสิทธิของผู้ออกนั้น กำหนดให้หนี้สินนี้ไม่รวม หนี้ด้อยสิทธิ และหุ้นกู้แปลงสภาพด้อยสิทธิ ทำให้ D/E ที่คำนวณตามสูตรของบริษัท น้อยกว่า D/E ของหุ้นกู้ทั่วไป อย่างไรก็ตาม บริษัทก็มีแผนควบคุมให้ D/E ณ วันสิ้นงวดบัญชีของแต่ละไตรมาสอยู่ในระดับไม่เกินอัตราที่ระบุไว้ในข้อกำหนดสิทธิที่ 2.5 เท่า ซึ่ง ณ สิ้นปี 67 อัตราส่วนนี้อยู่ที่ 1.88 เท่า

หุ้นไทย ใจสู้รึเปล่า!

หุ้นไทย ใจสู้รึเปล่า!

          หุ้นวิชั่น - วานนี้(4 เมษายน 2568) ตลาดหุ้นไทย โดนแรงกระหน่ำขายอย่างหนัก จากความกังวลประเด็นเรื่องสงครามการค้ารอบใหม่ ที่ประทุร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง ดัชนีมาปิดที่ 1,125.21 จุด ลดลง 36.60 จุด หรือคิดเป็น 3.15% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 48,286.09 ล้านบาท ถามว่า ตลาดหุ้นไทยลงมาสุดรึยัง พอรึยัง ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้             มาจับตา วันที่ 9 เมษายนนี้  กันว่า จะมีการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ตามที่สหรัฐฯ กำหนดไว้หรือไม่ หรือจะสามารถเจรจาเพื่อเลื่อนออกไปได้ เพราะหากสามารถชะลอการใช้มาตรการได้ จะช่วยลดแรงกดดันจากประเด็นดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาไม่เป็นผล หรือมีมาตรการตอบโต้กลับจากอีกฝ่าย จะยิ่งทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น           ขณะที่ หุ้น CPALL น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในยามนี้   โดยรายงานกำไรสุทธิ 7.2 พันล้านบาทในไตรมาส 4/2567 (+31% YoY, +29% QoQ) ได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS), ธุรกิจค้าส่ง และค้าปลีก แม้ว่าจะต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดเล็กน้อย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายรวมจาก CPAXT จำนวน 268 ล้านบาท           อย่างไรก็ตาม รายได้รวมยังเติบโต 7% YoY โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้น +4.2% และการขยายสาขา +5% YoY โดยในปีที่ผ่านมา CPALL เปิดสาขาใหม่ 182 แห่งในประเทศไทย และขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชาและลาว รวมถึงการเปิดศูนย์กระจายสินค้าสำหรับแม็คโครเพิ่มขึ้น           อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจ CVS ปรับตัวเพิ่มขึ้น 70 bps อยู่ที่ระดับ 27.6% จากการเติบโตของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ต้นทุน SG&A ต่อยอดขายเพิ่มขึ้น 40 bps ตามการขยายสาขาและค่าจ้างแรงงาน อย่างไรก็ตาม CPALL ยังคงสามารถบริหารต้นทุนได้ดี และคาดว่าการเติบโตของยอดขายและอัตรากำไรจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการในปี 2568           แนวโน้มในไตรมาส 1/2568 คาดว่า จะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐฯ ทั้งโครงการ Easy e-Receipt และ Digital Wallet ขณะเดียวกันราคาหุ้นในปัจจุบันเทรดที่ PE เพียง 16 เท่า เข้าสู่ระดับที่น่าสนใจ โดยก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวลงมาประมาณ 10% YTD จากปัจจัยลบเรื่องไม่เข้าร่วมลงทุนในกิจการ Seven & i           ทั้งนี้ Bloomberg ประเมินกำไรสุทธิปี 2568-2569 (ปีงบประมาณ 2025-2026F) อยู่ที่ 28,000 ล้านบาท (+10.6% YoY) และ 31,600 ล้านบาท (+12.6% YoY) ตามลำดับ มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยอยู่ที่ 74.82 บาท (ข้อมูลASL)           มาที่ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ มอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความกังวลผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้า ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก และ 3 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้           หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ Div. Yield อย่างน้อย 3% หุ้น SET50 ที่ ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100 BCH BTG           หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) สถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปี และ 2) คาดจ่ายปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว Div. Yield สูงเกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว  แนะนำ KTB BBL KBANK           หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อย 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA  แนะนำ MTC MINT BJC CPF การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

ก.ล.ต. เปิดเฮียริ่งให้ผู้ประกอบสินทรัพย์ดิจิทัล เก็บรวบรวม-เปิดเผยข้อมูล

ก.ล.ต. เปิดเฮียริ่งให้ผู้ประกอบสินทรัพย์ดิจิทัล เก็บรวบรวม-เปิดเผยข้อมูล

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ผู้ประกอบธุรกิจฯ) เก็บรวบรวมและเปิดเผยข้อมูลต่อ ก.ล.ต. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามความเสี่ยงของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลและการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ           ตามที่ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างปรับปรุงระบบการนำส่งข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล และได้ทบทวนชุดข้อมูลที่ผู้ประกอบธุรกิจฯ ต้องมีการเก็บรวบรวม และเปิดเผยต่อ ก.ล.ต. ผ่านระบบดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับการกำกับดูแลและการติดตามความเสี่ยง รวมทั้ง การจัดให้มีเครื่องมือในการติดตาม (smart detection) การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ตลอดจนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ในภาพรวม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลและสอดคล้องกับบริบทและลักษณะธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งสอดคล้องกับการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเป็นหลัก (data-driven organization)           ก.ล.ต. จึงเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการที่เกี่ยวข้อง โดยมีสาระสำคัญดังนี้ (1) ปรับปรุงให้ ก.ล.ต. เป็นผู้กำหนดชุดข้อมูลที่ผู้ประกอบธุรกิจฯ จะต้องเก็บรวบรวมและเปิดเผยต่อ ก.ล.ต. ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการกำหนดชุดข้อมูล (2) ปรับปรุงรายละเอียดชุดข้อมูลที่ผู้ประกอบธุรกิจฯ ต้องเก็บรวบรวมและเปิดเผยต่อ ก.ล.ต. เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทในการกำกับดูแลและการติดตามความเสี่ยงของธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว (3) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลของผู้ประกอบธุรกิจฯ ให้ความเหมาะสมและสอดคล้องกับทางปฏิบัติ โดยยังคงสามารถติดตามความเสี่ยงได้อย่างเท่าทัน เช่น ปรับปรุงกรอบเวลาในการเก็บรวบรวมและเปิดเผยข้อมูลต่อ ก.ล.ต. ให้ยืดหยุ่น เป็นต้น           ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นหลักการในเรื่องดังกล่าวไว้ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. https://www.sec.or.th/TH/Pages/PB_Detail.aspx?SECID=1065 และระบบกลางทางกฎหมายhttps://law.go.th/ ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ หรือทาง           e-mail: [email protected]  หรือ [email protected] จนถึงวันที่ 19 เมษายน 2568

ก.ล.ต.เตือนผถห.กู้ ECF จำนวน 7 รุ่น ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 9 เม.ย.68

ก.ล.ต.เตือนผถห.กู้ ECF จำนวน 7 รุ่น ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 9 เม.ย.68

           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ ECF จำนวน 7 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วน และเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 9 เมษายน 2568            ตามที่บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ ECF255A ECF255B ECF256A ECF246A ECF262A ECF265A และ ECF28NA จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 9เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) โดยมีเรื่องพิจารณาอนุมัติ ดังนี้            (1) ขอผ่อนผันให้การที่ผู้ออกหุ้นกู้ปรับเงื่อนไขการชำระหนี้หุ้นกู้ และ/หรือ เข้าเจรจากับสถาบันการเงิน หรือเจ้าหนี้อื่น เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ที่มีลักษณะเป็นการผ่อนผันการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ รวมทั้งการเลื่อน หรือเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาชำระหนี้ ไม่ให้ถือว่าเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ            (2) ขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ 6 รุ่น ดังนี้ - รุ่น ECF255A ECF255B ECF256A และ ECF246A ขยายระยะเวลาออกไปอีก 1 ปี  6 เดือน - รุ่น ECF262A ขยายระยะเวลาออกไปอีก 9 เดือน - รุ่น ECF265A ขยายระยะเวลาออกไปอีก 6 เดือน            (3) ขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ 6 รุ่น โดยมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาที่ได้ขยายอายุหุ้นกู้ออกไป ดังนี้ - รุ่น ECF255A ECF255B ECF256A ECF246A และ ECF265A เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยใหม่เป็น ร้อยละ 7.50 ต่อปี จากเดิม ร้อยละ 7.05, 7.30, 7.30, 7.40, และ 7.15 ตามลำดับ  - รุ่น ECF262A เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยใหม่เป็น ร้อยละ 7.70 ต่อปี จากเดิม ร้อยละ 7.60            (4) ขอเปลี่ยนแปลงวันกำหนดชำระดอกเบี้ยจากเดิม ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เป็นชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน            (5) ขอยกเลิกหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้ในการรายงานผลการทบทวนการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทโดยไม่ต้องจัดให้มีการทบทวนผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตามข้อกำหนดสิทธิ            สำหรับหุ้นกู้ ECF28NA บริษัทเปิดเผยในหนังสือนัดประชุมว่า ไม่มีการขอขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนและไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ เนื่องจากวันครบกำหนดไถ่ถอนของหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวอยู่ในลำดับสุดท้าย คือวันที่ 17 พฤศจิกายน 2571 รวมทั้งดอกเบี้ยหุ้นกู้รุ่นนี้เป็นแบบขั้นบันไดซึ่งกำหนดไว้สูงกว่าหุ้นกู้รุ่นอื่น ๆ            ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับจากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย หมายเหตุ : บริษัทหลักทรัพย์ สยามเวลธ์ จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ 5 รุ่น ได้แก่ ECF255A ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ECF255B ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ECF262A ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2569 ECF265A ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 11 พฤษภาคม 2569 ECF28NA ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 17 พฤศจิกายน 2571 บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ECF256A และ ECF246A ทั้ง 2 รุ่น ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 9 มิถุนายน 2568

จับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ กระทบตลาดหุ้นทั่วโลก ลงทุนอย่างไร?

จับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ กระทบตลาดหุ้นทั่วโลก ลงทุนอย่างไร?

                หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า จับตาการรายงานตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ คืนนี้ นอกเหนือจากความกังวลต่อการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเท่าเทียม จะส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ และเสี่ยงเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2025 การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ยังตอกย้ำความกังวลดังกล่าวคือดัชนี ISM PMI ภาคการบริการเดือนมี.ค. อยู่ที่เพียง 50.8 จุด ต่ำกว่าคาด และลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ที่ 53.5 จุด                 ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงใกล้เคียงระดับ 4.0% หลังตลาดเริ่มให้น้ำหนักว่า Fed อาจปรับลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง รวม 100 bps ในช่วงที่เหลือของปี การรายงานตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ คืนนี้จะมีบทบาทที่สำคัญเป็นพิเศษ!                 ความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทำให้ดัชนีหุ้น S&P500 ปรับตัวลดลงถึง -4.8% ฝ่ายวิจัยประเมินการรายงานตัวเลขจ้างงานคืนนี้จะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลก ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า ตลาดคาด (1) Nonfarm payrolls เพิ่มขึ้น 1.37 แสนตำแหน่ง (2) อัตราว่างงานที่ 4.1% และ (3) อัตราการปรับขึ้นของค่าจ้างรายชั่วโมงที่ +3.9% YoY                 หากออกมาแย่กว่าคาด จะเสริมความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจทำให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลง แต่คาดจะเป็นบวกต่อตลาดตราสารหนี้ (แนะนำกองทุน UGIS-N และ MU Bond) และหุ้นในกลุ่ม Yield Play เช่นกลุ่ม REITs & IFFs ไฟแนนซ์, และโรงไฟฟ้า

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.00-34.25 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.00-34.25 บ./ดอลลาร์

            หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.00-34.25 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาททยอยกลับมาแข็งค่าได้พร้อมสกุลเงินหลักอื่น ๆ เช่น ยูโร เยน และหยวน ขณะที่ ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เพราะตลาดกังวลเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)  อาจลดดอกเบี้ยมากขึ้น US Treasury yields ลดลง ยุโรปและจีนประกาศเตรียมออกมาตรการตอบโต้การขึ้น Tariffs ของสหรัฐฯ ขณะที่ประเทศอื่นส่วนใหญ่พร้อมเจรจา สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)  เผยดัชนีภาคบริการสหรัฐฯ ออกมาที่ 8 ต่ำกว่าตลาดคาด โดย sub index ด้านการจ้างงานหดตัวและยอดสั่งซื้อชะลอลง

หุ้นหลบภัยภาษีสหรัฐฯ  

หุ้นหลบภัยภาษีสหรัฐฯ  

          วิเคราะห์ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ กันอย่างตรงไปตรงมาจะพบว่า สินค้าส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบจากการออกมาตรการ Reciprocal Tariff (ภาษีตอบโต้) ของสหรัฐฯ ซึ่งไทยถูกกำหนดภาษีในอัตราร้อยละ 37  และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน 2568           ทั้งนี้ ก่อนอื่นต้องขอชี้แจ้งว่า  ข้อมูลอัตราภาษี Reciprocal Tariff ของไทยตาม chart ที่ whitehouse เผยแพร่ใน X ระบุร้อยละ 36 ขณะที่ข้อมูลตาม Annex I ของ  Executive Order ระบุอัตราภาษี Reciprocal Tariff ของไทย ร้อยละ 37 ซึ่งโดยหลักการ ควรพิจารณาใช้ข้อมูลจากตัวคำสั่ง EO (ที่มีการระบุอัตราภาษีใน annex 1) ที่เผยแพร่ลง Website ของ White House           สัดส่วนกลุ่มธุรกิจที่ส่งออกไปสหรัฐฯ มีดังนี้  เครื่องโทรศัพท์รวมถึงสมาร์ทโฟนและเครื่องโทรศัพท์อื่น ๆ (สัดส่วนร้อยละ 12.5 ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ รวม)  ทั้งนี้ อัตราภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอื่น เช่น เวียดนาม (ครองส่วนแบ่งอันดับ 2) (ร้อยละ 46) เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (สัดส่วนร้อยละ 11.1 ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ รวม)   โดยอัตราภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอื่น เช่น เวียดนาม (ครองส่วนแบ่งอันดับ 4) (ร้อยละ 46) ยางรถยนต์ (สัดส่วนร้อยละ 6.4 ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ รวม) ซึ่ง อัตราภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอื่น เช่น เวียดนาม (ครองส่วนแบ่งอันดับ 5) (ร้อยละ 46) กลุ่มธุรกิจ เซมิคอนดักเตอร์ (สัดส่วนร้อยละ 4.5 ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ รวม)  ทั้งนี้ อัตราภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอื่น เช่น เวียดนาม (ครองส่วนแบ่งอันดับ 1) (ร้อยละ 46) หม้อแปลงไฟฟ้า (สัดส่วนร้อยละ 3.8 ต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ รวม)  ซึ่ง อัตราภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอื่น เช่น เวียดนาม (ครองส่วนแบ่งอันดับ 5) (ร้อยละ 46)           กลุ่มธุรกิจที่อยู่ในเป้าหมายเหล่านี้ อยู่ในข่ายจะโดนภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ซึ่งต่อไปนี้ ต้องจับการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลไทย   ล่าสุดได้ออกมายอมรับแล้วว่า ​การประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าทุกรายอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่อาจไม่สามารถรับกับราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและในระดับสูงได้           ดังนั้น ในระยะยาว ผู้ประกอบการส่งออกไทยควรมองหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว ซึ่งรัฐบาลไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ และได้วางมาตรการรองรับในการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบที่อาจมีต่อผู้ประกอบการส่งออกของไทยที่มีตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก ​นี่คือ การสื่อสารเบื้องต้นของรัฐบาลไทย           บล. CGSI ระบุว่า รัฐบาลไทยคาดว่า reciprocal tariff จะกระทบมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยประมาณ 7-8 พันล้าน เหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณ 13-15% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ หรือ 2.3% ของมูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2567 ขณะที่รัฐบาลมีแผนนำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานจากสหรัฐฯมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้บริษัทไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ ทั้งนี้มองว่า การปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรอาจทำได้ยาก เพราะรัฐบาลต้องปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรในประเทศ           หากตั้งสมมติฐานว่าภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าและมูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยลดลง 10% จากปีก่อน  ผลลบสุทธิต่อ GDP ไทยน่าจะมีประมาณ 0.5% อย่างไรก็ตามเมื่อมูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงก็มักจะฉุดการบริโภคภาคเอกชนลดลงตาม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอย่างเช่นพนักงานโรงงานที่อาจไม่ต้องทำงานล่วงเวลา ซึ่งส่วนนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.4- 0.7% ดังนั้นเมื่อรวมผลกระทบจากทั้งสองส่วน เชื่อว่าผลกระทบโดยรวมต่อ GDP ไทยในปี 2568 น่าจะอยู่ที่ 0.9-1.2% หากปัจจัยอื่นไม่เปลี่ยนแปลง           ผลกระทบที่แท้จริงจาก reciprocal tariff ของสหรัฐฯอาจรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงประมาณการว่า EPS ของตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับผลกระทบประมาณ 10% จึงปรับลดเป้าดัชนี SET สิ้นปีนี้ จากเดิม 1,380 จุด (P/E 14 เท่า ในปี 69) มาที่ 1,200 จุด ซึ่งยังเท่ากับ P/E 13.4 เท่า ในปี 68 หรือ -1SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี           สำหรับหุ้นปลอดภัยที่เน้นธุรกิจในประเทศ (domestic defensive) และหุ้นปันผลสูงหุ้น คัดมา 12 หุ้น ประกอบด้วย BH, CBG, CPALL, CPN, HANA, KTB, MINT, MTC, PTTEP, SCB, PR9 และ SIRI การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

ส่องพฤติกรรมนักลงทุนต่างชาติปี 2567 ในตลาดหุ้นไทย

ส่องพฤติกรรมนักลงทุนต่างชาติปี 2567 ในตลาดหุ้นไทย

          หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานว่าจากการศึกษาข้อมูลการถือครองหุ้นและการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า จากการศึกษาข้อมูลการถือครองหุ้นและการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า  มูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน โดย ณ สิ้นปี 2567 นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการถือครองหุ้นรวมกว่า 5.83 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 5.11 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 หรือเพิ่มขึ้น 14.2% สาเหตุสำคัญจากราคาหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่และและการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นในบริษัทจดทะเบียนบางบริษัท สัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด (market cap) ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ระดับ 33.82% เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2566 ที่ระดับ 29.39% ในปี 2567 นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการซื้อขายหุ้นรวมกว่า 11.36 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 1.95 เท่าของมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ และเมื่อพิจารณามูลค่าการซื้อขายสุทธิ ที่จำแนกตามกลุ่มหลักทรัพย์ตามสิทธิการออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น พบว่า o ตลอดทั้งปี 2567 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 146,906 ล้านบาท o นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 149,837 ล้านบาท ใน local shares และขายสุทธิ 38,786 ล้านบาท ใน foreign shares แต่ซื้อสุทธิใน NVDR 41,417 ล้านบาท           ดังนั้น จากข้อมูลของนักลงทุนต่างประเทศทั้งจากการถือครองหุ้นและการซื้อขายหุ้น อาจสรุปได้ว่า ณ สิ้นปี 2567 พอร์ตการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยมีขนาดเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุสำคัญจากราคาหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ และการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นในบริษัท    จดทะเบียนบางบริษัท ขณะที่ข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศจำแนกกลุ่มหลักทรัพย์ตามสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น สะท้อนว่านักลงทุนต่างประเทศซื้อขายเพื่อทำกำไรระยะสั้นผ่าน local shares และขายสุทธิใน foreign shares เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2567 นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 5.83 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก 5.11 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 หรือเพิ่มขึ้น 14.2% สวนทางกับ SET Index ที่ปรับตัวลดลง 1.1%           จากการศึกษาข้อมูลการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (ตลาดหุ้นไทย) พบว่า ณ สิ้นปี 2567 นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นของบริษัทจดทะเบียน 868 หลักทรัพย์ มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 5.83 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 33.82% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด (ตารางที่ 1) ขณะที่ ณ สิ้นปี 2566 นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นของบริษัทจดทะเบียน 832 หลักทรัพย์ มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 5.11 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 29.39% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด           หากเปรียบเทียบข้อมูลการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ณ สิ้นปี 2567 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2566 (ตารางที่ 2) พบว่า ณ สิ้นปี 2567 นักลงทุนต่างประเทศถือครองหลักทรัพย์ใหม่ 55 หลักทรัพย์ ซึ่ง 34 จากทั้งหมด 55 หลักทรัพย์ (ประมาณ 62%) เป็นหลักทรัพย์ที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ในปี 2567 และอีก 21 หลักทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายในตลาดอยู่แล้ว ในทางกลับกันพบว่า มีหลักทรัพย์ 14 หลักทรัพย์ที่นักลงทุนต่างประเทศมีการถือครองหุ้นอยู่ ณ สิ้นปี 2566 แต่กลับไม่มีในพอร์ตของนักลงทุนต่างประเทศ ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งทั้งหมดเป็นหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนที่เพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในปี 2567 สำหรับหลักทรัพย์ที่นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นต่อเนื่อง 813 หลักทรัพย์ พบว่า 222 หลักทรัพย์มีมูลค่าการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่ 591 หลักทรัพย์มีมูลค่าการถือครองหุ้นลดลง และเมื่อพิจารณาสาเหตุหลักที่ทำให้มูลค่าการถือครองหุ้นโดยรวมเพิ่มขึ้น พบว่า ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่และการถือครองเพิ่มขึ้นในบริษัทจดทะเบียนบางบริษัท           หากพิจารณาการปลี่ยนแปลงของมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ณ สิ้นปี 2567 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 14.2% จากสิ้นปี 2566 สาเหตุสำคัญจากราคาหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่และการถือครองเพิ่มขึ้นในบริษัทจดทะเบียนบางบริษัท สวนทางกับ SET Index ที่ลดลง 1.1% ส่งผลให้สัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด (market cap) ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ระดับ 33.82% เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2566 ที่อยู่ที่ระดับ 29.39%           ในปี 2567 นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 11.36 ล้านล้านบาท หรือสูงถึง 1.95 เท่าของมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ โดยตลอดทั้งปี 2567 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 146,906 ล้านบาท ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นการขายสุทธิใน local shares แต่ซื้อสุทธิในส่วนของ NVDR           ในปี 2567 นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการซื้อขายรวมในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (ตลาดหุ้นไทย) รวมกว่า 11.36 ล้านล้านบาท คิดเป็น 50.04% ของมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งหมดในตลาดหุ้นไทย (ตารางที่ 3 และภาพที่ 1) โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุด (เมื่อเทียบกับนักลงทุนประเภทอื่นๆ) ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 หรือสูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เมื่อนับจากปี 2565 และพบว่าสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนสูงกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าการซื้อขายรวมของทั้งตลาดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2           หากเปรียบเทียบมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ ในปี 2567 (11.36 ล้านล้านบาท) กับมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ณ สิ้นปี  2567 (5.83 ล้านล้านบาท) พบว่า นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการซื้อขายประมาณ 1.95 เท่าของมูลค่าการถือครองหุ้น  (ลดลงจากปี 2566 ที่อยู่ระดับ 2.5 เท่า)           เมื่อพิจารณามูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างประเทศ ในปี 2567 จำแนกกลุ่มหลักทรัพย์ตามสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น (voting right) พบว่า 56.8% ของมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศในปี 2567 เป็นการซื้อขาย local shares และ  42.3% เป็นการซื้อขาย NVDR และมีการซื้อขาย foreign shares เพียง 0.9% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนต่างประเทศยังมีพฤติกรรมการซื้อขายเหมือนกับปีที่ผ่านๆ มา กล่าวคือ นักลงทุนต่างประเทศซื้อขายในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำกำไรระยะสั้น (ภาพที่ 2)           เมื่อพิจารณามูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ พบว่า ในปี 2567 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิรวม 146,906 ล้านบาทในตลาดหุ้นไทย (ตารางที่ 3) ซึ่งพบว่า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 149,837 ล้านบาท ใน local shares และขายสุทธิ 38,786 ล้านบาท ใน foreign shares แต่ในขณะเดียวกันมีการซื้อสุทธิในส่วนของ NVDR 41,717 ล้านบาท (ภาพที่ 3) แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนขายสุทธิในส่วนของเงินลงทุนระยะสั้น แต่ซื้อสุทธิสำหรับการลงทุนระยะสั้นและระยะกลางใน NVDR ขณะที่ขายสุทธิใน Foreign shares เล็กน้อยเนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น           ดังนั้น จากข้อมูลของนักลงทุนต่างประเทศทั้งจากการถือครองหุ้นและการซื้อขายหุ้น สรุปได้ว่า ณ สิ้นปี 2567 พอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยมีขนาดเพิ่มขึ้นโดยมีสาเหตุสำคัญจากราคาหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่และการถือครองเพิ่มขึ้นในบริษัทจดทะเบียนบางบริษัท ขณะที่ข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศจำแนกกลุ่มหลักทรัพย์ตามสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น สะท้อนว่า นักลงทุนต่างประเทศซื้อขายเพื่อทำกำไรระยะสั้นผ่าน local shares และขายสุทธิใน foreign shares เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น  

ส่อง 24 หุ้นส่งออกสหรัฐฯ โดนเต็มๆ ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่

ส่อง 24 หุ้นส่งออกสหรัฐฯ โดนเต็มๆ ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ หนักกว่าที่คิด! "วันปลดปล่อยอเมริกา" ทรัมป์กางรายชื่อประเทศเก็บภาษีนำเข้าใหม่! ไทยโดนภาษีหนักกว่าจีนที่ 36% ขณะที่เวียดนามโดนภาษี 46%            InnovestX มองผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ ต่อตลาดหุ้นไทย ดังนี้ โดยมองมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ที่เก็บไทยในอัตรา 36% จะกระทบทางตรงต่อสินค้าสำคัญของไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐ ดังนี้ 1. ยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ - มองเป็นลบต่อกลุ่มยานยนต์ โดยประเทศไทยส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐคิดเป็น 9% ของการส่งออกรถยนต์ และคิดเป็น 6% ของการผลิตรถยนต์ (AH SAT STANLY NYT) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (KCE, DELTA, HANA) 2. เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ - มองเป็นลบต่อกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA HANA KCE) 3. ยางและผลิตภัณฑ์ยาง - มองเป็นลบต่อกลุ่มยางและถุงมือยาง (STA STGT มีส่งออกไปสหรัฐโดยตรง ขณะที่ NER จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากลูกค้าจีนที่ส่งออกยางไปยังสหรัฐ) 4. สินค้าเกษตร ได้แก่ ข้าว อาหารสุนัขและแมว ทูน่าและผลิตภัณฑ์ทูน่า กุ้งและผลิตภัณฑ์กุ้ง มะพร้าวและผลิตภัณฑ์มะพร้าว สัปปะรดกระป๋อง - มองเป็นลบต่อ TU CFRESH COCOCO PLUS MALEE AAI ITC 5. อัญมณีและเครื่องประดับ - มองเป็นลบต่อผู้ส่งออกเครื่องประดับอย่าง PDJ            ขณะที่มองส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการลงทุนและเศรษฐกิจไทย อาจส่งผลให้เกิดการชะลอการลงทุนและการชะลอการขอสินเชื่อเพื่อส่งออก และเกิด Sentiment ลบต่อบรรยากาศการลงทุน 1. นิคมอุตสาหกรรม- มองนโยบายครั้งนี้อาจส่งผลกระทบให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อที่ดิน ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดอาจส่งผลกระทบต่อ Backlog บางส่วน หุ้น ที่เกี่ยวข้อง AMATA WHA FTREIT (ความต้องการในการเช่าโรงงานและคลังสินค้าลดลง) 2. ธนาคาร - ส่งผลกระทบทางอ้อมในแง่อัตราการเติบโตของสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์เล็กน้อย

หวยเกษียณผ่านวาระแรก คาดเงินลงทุนไหลเข้า 1.3 หมื่นล.

หวยเกษียณผ่านวาระแรก คาดเงินลงทุนไหลเข้า 1.3 หมื่นล.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการร่างแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ (หวยเกษียณ) ในวาระที่ 1 ซึ่งประเมินว่าเป็นสัญญาณบวกต่อเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศ เนื่องจากเราประเมินว่าโครงการดังกล่าวจะมีเม็ดเงินปีละ 1.3 หมื่นล้านบาท (ออกฉลากงวดละ 5 ล้านใบ ใบละ 50 บาท ปีละ 52 งวด) โดยเม็ดเงินดังกล่าว ตามนโยบาย กอช. จะถูกแบ่งมาลงทุนในหุ้นได้ 20% แม้ว่าเม็ดเงินใหม่ต่อปีจะอยู่ราว 2.6 พันล้านบาท แต่จะมีลักษณะของการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปีโดยอิงเกณฑ์ดังนี้ i.) เงินลงทุนหวยเกษียณของผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปี จะไม่สามารถถอนออกมาได้จนกว่าจะอายุ 60 ปี ii.) ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี จะถอนเงินออกมาได้ต้องรอระยะเวลา 5 ปี           ในระยะสั้น คาดว่าตลาดจะเริ่มมีการเก็งกำไรในหุ้น Deep Value ซึ่ง KSS แนะนำให้เป็นหุ้นเด่นในช่วง 2Q25F เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานมั่นคงในระยะกลาง 2-3 ปีข้างหน้า และปัจจุบันมีส่วนลดจากค่าเฉลี่ยมาก พร้อมให้ Dividend Yield ในระดับสูง (>2%) 10 หุ้น Big Caps ที่น่าสนใจ SCGP, HMPRO, CPALL, MINT, GPSC, BDMS, BH, BBL, KBANK, AOT 8 หุ้น Mid Caps ที่น่าสนใจ JMT, ERW, WHA, PLANB, SPALI, CENTEL, BCH, AMATA (*/+) Infra Tech: กระแสธุรกิจใหม่ของโลกยังคงเดินหน้าในส่วนของธุรกิจดิจิทัล โดย Gartner ซึ่งเป็นบริษัท วิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลกด้านไอที ได้คาดการณ์ล่าสุดในเดือนมีนาคม 2568 ว่า มูลค่า การใช้จ่ายใน GenAI ระดับโลกจะเป็นดังนี้ ด้านบริการ: มูลค่า 2.77 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโต 162.6% ซอฟต์แวร์: มูลค่า 3.71 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโต 93.9% อุปกรณ์ (ดีไวซ์): มูลค่า 3.98 แสนล้านดอลลาร์ เติบโต 99.5% เซิร์ฟเวอร์: มูลค่า 1.8 แสนล้านดอลลาร์ เติบโต 33.1% โดยรวมแล้ว คาดว่าตลาดจะมีมูลค่ารวม 643,860 ล้านดอลลาร์ เติบโต 76.4% สำหรับประเทศไทย ซึ่งอยู่ในฐานะ AI Adopter และนำเทคโนโลยีมาต่อยอดในภาคธุรกิจจริง (Real Sector) เราประเมินว่าการใช้จ่ายด้านบริการ, ซอฟต์แวร์ และอุปกรณ์ที่เร่งตัวขึ้นยังคงเป็นสัญญาณบวก และในฐานะที่ภาครัฐต้องการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐาน คาดว่าจะนำมาสู่เม็ดเงินลงทุนเพิ่มเติมจาก ผู้ประกอบการระดับโลก หุ้นที่ได้รับจิตวิทยาบวกจากธีมนี้ ได้แก่ โรงไฟฟ้า: GULF สื่อสาร: ADVANC, TRUE ดิจิทัล: BBIK, BE8 รับเหมาก่อสร้าง: STECON, INSET หุ้นที่พร้อมนำเทคโนโลยีมาต่อยอด: CPALL, SCC, PTT

รถมือสองราคาขึ้นหนุนเช่าซื้อ KKP–TISCO–TTB ได้อานิสงส์

รถมือสองราคาขึ้นหนุนเช่าซื้อ KKP–TISCO–TTB ได้อานิสงส์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า ดัชนีราคารถยนต์มือสอง ก.พ. 25 เพิ่มขึ้น +5% YoY, +3% MoM ธปท. ประกาศดัชนีราคารถยนต์มือสอง เดือน ก.พ. 25 เพิ่มขึ้น +3% MoM ธปท. ประกาศดัชนีราคารถยนต์มือสอง เดือน ก.พ. 25 อยู่ที่ 77.11 (+5% YoY, +3% MoM) โดยแบ่งเป็นดัชนีราคารถยนต์นั่งมือสองที่ 99.07 (+14% YoY, +6% MoM) และดัชนีราคารถยนต์บรรทุกมือสองที่ 65.00 (-2% YoY, 0% MoM) (ที่มา: ธปท.)           DAOL: มองเป็นบวกจากดัชนีราคารถยนต์มือสองที่ฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องในเดือน ก.พ. 25 เกิดจากปัจจัยทางฤดูกาลที่ปกติไตรมาส 1 จะฟื้นตัวได้ดีที่สุด นอกจากนี้ยังได้ผลดีจากมาตรการคุณสู้ เราช่วย ที่ส่งผลให้เกิด Supply รถยึดที่ลดลง โดยธนาคารที่มีสินเชื่อเช่าซื้อเรียงตามสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อจากมาก-น้อยคือ เช่น KKP (48% ของสินเชื่อรวม), TISCO (46% ของสินเชื่อรวม), TTB (31% ของสินเชื่อรวม), BAY (21% ของสินเชื่อรวม), SCB (7% ของสินเชื่อรวม) แต่อย่างไรก็ดี นอกจากนี้เรายังคงต้องติดตามปริมาณรถยึดที่ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2H ที่ปกติราคารถมือสองจะลดลงมากกว่า 1H ซึ่งอาจจะทำให้มูลค่าของผลขาดทุนรถยึดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้           ยังคงน้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดยเลือก TTB (ซื้อ/เป้า 2.22 บาท), KTB (ซื้อ/เป้า 27.50 บาท) และ BBL (ซื้อ/เป้า 186.00 บาท) เป็น Top pick แต่ KKP, TISCO และ TTB จะได้ sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นจากประเด็นดังกล่าว           ที่มา : บล.ดาโอ

ราคาทองพุ่ง! ขึ้น 650 บ. ปมทรัมป์ปรับขึ้นภาษีแรง

ราคาทองพุ่ง! ขึ้น 650 บ. ปมทรัมป์ปรับขึ้นภาษีแรง

                หุ้นวิชั่น – วันที่  3 เมษายน 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง ราคาปรับขึ้น  650 บาท โดยราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 51,150.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 51,250.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 49,588.36 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 51,400.00 บาท

8 หุ้นอรหันต์

8 หุ้นอรหันต์

          หุ้นวิชั่น - ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากแผ่นดินไหวราว 3 หมื่นล้านบาท (SCB EIC) แต่ตัวเลขจริงจะขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการฟื้นความเชื่อมั่น ในระยะสั้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้มีแนวโน้มสร้างผลกระทบต่อความกังวลด้านความปลอดภัยและการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความกังวลที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานอาคาร จนอาจทำให้กิจกรรมบางส่วนหยุดชะงักเพื่อรอตรวจสอบ รวมถึงประชาชนอาจชะลอการใช้จ่ายบริการ ช็อปปิง และการท่องเที่ยว หลังเกิดเหตุครั้งนี้ ส่วนรายจ่ายที่หายไปบางส่วนอาจได้รับการชดเชยจากรายจ่ายซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และการใช้จ่ายภาครัฐที่อาจเพิ่มขึ้น จากการออกมาตรการบรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ผ่านการจัดสรรงบฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย ทำให้ขนาดผลกระทบอาจลดความรุนแรงลงได้ ความสูญเสียทางเศรษฐกิจไทยจำนวน 3 หมื่นล้าน มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจมีแนวโน้มลดลงจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ผลกระทบสุทธิต่อเศรษฐกิจอาจยังไม่แน่นอน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาความเชื่อมั่นจะฟื้นฟูกลับมาได้ทั้งของคนในประเทศ นักท่องเที่ยว และนักลงทุนต่างชาติ ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่รุนแรงมากและมีผลชั่วคราวคือ การที่ภาครัฐเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ และเรียกความเชื่อมั่นสาธารณะกลับมาผ่านการออกแนวนโยบาย           เร่งช่วยเหลือ – เร่งประสานความร่วมมือด้านประกันภัยเพื่อเร่งรัดการชดเชยความเสียหายแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ ตลอดจนการออกมาตรการช่วยเหลือทางการเงินให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อบรรเทาผลกระทบเฉพาะหน้าและเพื่อรักษาสภาพคล่อง พร้อมออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ           เรียกเชื่อมั่น – เร่งตรวจสอบความปลอดภัยของโรงแรม ที่อยู่อาศัยและแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นอาคารสูงอย่างละเอียด จากหน่วยงานภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือ พร้อมประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ง่าย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติและสื่อต่างประเทศ รวมถึงการเร่งพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินที่สามารถแจ้งเตือนเหตุให้ประชาชน/นักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ทันท่วงที ที่สำคัญภาครัฐต้องสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพรวดเร็ว โปร่งใสและเชื่อถือได้ แม้จะควบคุม After shock ของเหตุการณ์แผ่นดินไหวไม่ได้ แต่นโยบายสื่อสารที่ชัดเจน จะช่วยลด After shock ทางความรู้สึกของประชาชน และช่วยลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่อาจตามมาได้ ด้าน บล.หยวนต้ามองว่า หุ้นไทย เชิงกลยุทธ์แม้จะมีโอกาสเกิด Sell in May ในเดือน พ.ค. แต่เชื่อว่าผลกระทบจะมีไม่มากหลังจากที่ ครม. เห็นชอบร่างกองทุน Thai ESGX เพื่อให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้ที่เปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX อีกทั้งยังให้สิทธิเพิ่มเติมสำหรับผู้ลงทุน Thai ESGX ใหม่ ซึ่งจะดึงดูดเม็ดเงินใหม่เข้ามา และจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ค. – มิ.ย. นี้ การจับจังหวะลงทุนในเดือน พ.ค. ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ดี เพราะต้นเดือน พ.ค. ยังคงมีปัจจัยกดดันจากประเด็นที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งจะเป็นจังหวะในการเข้าสะสม ในช่วงครึ่งหลังของเดือน พ.ค.* โดยเฉพาะเมื่อประเมินรายกลุ่มอุตสาหกรรมจะพบว่ามีหลายกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาด เป็นที่มาของการจัดพอร์ตหุ้น 8 อรหันต์ กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม เป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นเด่น และมีนัยยะสำคัญทางสถิติมากที่สุด เนื่องจากความน่าจะเป็นในการปรับตัวขึ้นสูงถึง 89% เฉลียที่ 1.8% ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะได้แรงสนับสนุนจากกลุ่มเครื่องดื่มเป็นหลัก ที่มักจะ มีแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาหลังจากหมดฤดูร้อน (กลาง พ.ค.) เนื่องจากเป็น ช่วงที่รายงานผลประกอบการไปแล้ว และบริษัทมักจะให้ Guidance ที่ดีต่อผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่จะเติบโตดี QoQ จากการเข้าสู่ High Season เช่น ICHI, COCOCO และ PLUS กลุ่มธนาคาร มักจะปรับตัวขึ้นได้หลังจากทยอยขึ้นเครื่องหมาย XD ไปเล้ว ตั้งแต่เดือน เม.ย. จึงมองว่าเป็นจังหวะทีดีในการเข้าสะสมเพิ่มสำหรับนักลงทุนระยะยาว เช่น KBANK และ SCB กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มักจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วงเดือน พ.ค. เช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นจังหวะสะสมสำหรับนักลงทุนระยะยาว โดยกลุ่มอสังหาฯ ยังมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวในปีนี้จากการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ของธนาคารพาณิชย์ แนะนำ SIRI, AP และ SPALI ขณะที่ บล.กรุงศรี ระบุว่า ราคาหุ้นCPALL เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว ประเมินแรงหนุนจาก เป็นหุ้นพื้นฐานมั่นคงที่ Deep Value เป็นเป้าหมายแรกๆ ในช่วงตลาดเริ่มตั้งฐานเพื่อฟื้นตัว จาก PER ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 15 ปี -1.43 S.D., PBV ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 15 ปี -1.6 S.D., Dividend Yield > 3.0%, ยอดขายสาขาเดิม YTD (ม.ค. - ก.พ.) ราว 3% ดีสุดในกลุ่ม สะท้อนความมั่นคง การปรับตัวเก่ง รวมถึงรับปัจจัยบวกจากคณะรัฐมนตรี กรณีประกาศแนวทางลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาท หนุน CPALL ต้นทุนค่าไฟฟ้า = 2.4% ของรายได้, คาดระดับค่าไฟดังกล่าวที่ลดลงจะเปิด Upside กำไร 4% +/- ทำให้นักวิเคราะห์พื้นฐาน KSS ประเมิน CPALL เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีศักยภาพดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน โดย Net D/E = 1.45 เท่า, Div Yield > 3%, FCF ปีละ 4.1 หมื่นล้านบาท (9.2% ของมูลค่าตลาด) ด้วยแรงขับเคลื่อนด้านบวกดังกล่าว เคาะราคาเป้าหมายพื้นฐาน 80 บาท การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

ไอ้โม่งทุบ PRM

ไอ้โม่งทุบ PRM

            ข่าวสังคม การลงทุน ประจำวันที่ 3 เมษายน 2568  มาเริ่มกันที่    การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก  ศึกเมอร์ซีย์ ไซด์ ดาร์บี้  ระหว่าง ลิเวอร์พูล-เอฟเวอร์ตัน  ถือว่า มีแฟนบอลทั่วโลกเฝ้าติดตามกันอย่างล้นหลาม   และคงได้ทราบผลกันไปแล้ว             ขณะที่ “คาราบาว” ตอกย้ำตัวจริงที่จริงจังเรื่องฟุตบอล สนับสนุน Carabao Cup 10 ปี นานที่สุดในประวัติศาสตร์ ดันแบรนด์ไทยสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้ทัวร์นาเมนต์  คาราบาวได้เป็นพาร์ทเนอร์กับ English Football League (EFL) ในฐานะการเป็นผู้สนับสนุนหลักของทัวร์นาเมนต์ ที่ก่อนหน้านี้เรียกกันว่า English Football League Cup หรือเรียกสั้น ๆ ว่า League Cup และปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Carabao Cup นับว่าเป็นการตอกย้ำการเป็น “ตัวจริงที่จริงจังเรื่องฟุตบอล” ของคาราบาว จากการเป็นผู้สนับสนุน Carabao Cup ตั้งแต่ปี 2017 จนถึง 2027 รวม 10 ปี ถือได้ว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์              ราคาหุ้น PRM  ปรับตัวลงแรงถึง 10.94%  นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี PRM เปิดเผยว่า  คาดเป็นผลจากแรงเทขายของนักลงทุน หลังเมื่อวานนี้ (1 เม.ย.2568) พบมีรายการซื้อขายบิ๊กล็อต (BIG Lot) จำนวน 21 ล้านหุ้น  มูลค่า 141.48 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 6.55 บาทต่อหุ้น ขณะที่เช้าวันนี้ พบบิ๊กล็อต อีกจำนวน 49 ล้านหุ้น มูลค่า 297.92 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 6.08 บาทต่อหุ้น เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนซื้อ หรือขาย             บล.กรุงศรี ประเมินกำไรปกติของ AAV  มี Downside -40-71% มากสุด เมื่อทียบกับหุ้นสายการบินอื่น หลังถูกกดดันจากยอดนักท่องเที่ยวรายสัปดาห์หดตัว Y-Y ต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ตึกถล่มในประเทศไทยจากแผ่นดินไหวที่พม่าฉุดความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว ทำให้เป้าหมายยอดนักท่องเที่ยวปีนี้ที่ 38 ล้านคน (+7%y-y) มีโอกาสเกิด Downside สูง เบื้องต้นประเมิน หากยอดนักท่องเที่ยวจีนยังหดตัว 40-50%y-y ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี รวมผลกระทบตึกถล่มฉุดยอดนักท่องเที่ยวลดลงช่วง 1-3 เดือนนี้ จะทำให้ยอดนักท่องเที่ยวปี 2568 ลดลงมาที่ 35.4 ล้านคน ทรงตัว y-y ด้านราคาตั๋วเครื่องบินอาจไม่สูงอย่างที่คิด โดยการฟื้นของเที่ยวบินเริ่มสูงกว่าการฟื้นของผู้โดยสารตั้งแต่เดือน ก.พ.-มี.ค.2568 ทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินปีนี้ มีโอกาสเกิด Downside เช่นกัน             นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร แจ้งว่า  เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ  บริษัท เอสคอน เจแปน (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมพัฒนาโครงการ ออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ (Origin Place Chaengwattana) คอนโดฯ ใหม่ ห้องเพดานสูง 4.2 เมตร* แห่งแรก ในย่านเเจ้งวัฒนะ ที่พัฒนาภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL นับเป็นโครงการลำดับที่ 3 ที่ได้ร่วมทุนกัน เพื่อแสดงถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพในความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการของออริจิ้น แม้ว่าพึ่งผ่านสถานการณ์แผ่นดินไหว มาเพียง 4 วัน             ผศ.ดร.วันชัย สุทธะนันท์ ประธานกรรมการ และ ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค หรือ BLC ผู้นำธุรกิจผลิต และจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพแบบครบวงจร พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทฯ ร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) โดยพิจารณาวาระสำคัญรับทราบผลการดำเนินงานงวดปี 2567 และมติขออนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 90,000,000 บาท คิดเป็นอัตราที่ 56.92% ซึ่งสูงกว่านโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท เป็นเงิน 36,000,000 บาท เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 และจะจ่ายเพิ่มเติมตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ ในอัตราหุ้นละ 0.09 บาท เป็นเงิน 54,000,000 บาท             โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record date) วันที่ 11 เมษายน 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 เมษายน 2568 เพื่อตอบแทนและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้น พร้อมโชว์แผนการดำเนินธุรกิจปี 2568 เดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้าน Pharmaceutical Ecosystem อย่างครบวงจร ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

LiVEx Investor Day 2025  เชื่อมโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน

LiVEx Investor Day 2025 เชื่อมโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน

            หุ้นวิชั่น - ในโอกาสครบรอบการดำเนินงาน 3 ปี ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย จัดงาน LiVEx Investor Day 2025 เชิญผู้ลงทุนที่พร้อมลงทุนในธุรกิจรับฟังการนำเสนอแผนธุรกิจใน Business Pitching (Non-Deal Roadshow) จาก SMEs และ Startups 11 บริษัท โดยมุ่งเน้นที่กลุ่มผู้ประกอบการ New S Curve และเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมอง และบูธจากผู้ประกอบการ 34 บริษัท             นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด ภายใต้กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ New S Curve ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นับเป็นกลไกทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ แต่ปัจจุบัน หลายธุรกิจยังเผชิญกับความท้าทายด้านความรู้ความเข้าใจในทางธุรกิจและตลาดทุน และต้องการการสนับสนุนในแง่มุมต่าง ๆ เช่น เงินทุน และเครือข่ายทางธุรกิจ LiVEx จึงมุ่งมั่นสนับสนุนให้ธุรกิจมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเครือข่ายพันธมิตรที่พร้อมช่วยสนับสนุนการเติบโต             “ปัจจุบัน LiVEx มีหลักทรัพย์จดทะเบียน 7 บริษัท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization)  รวม 5,210.62  ล้านบาท และมีมูลค่าระดมทุนรวม (Issuer size) 287.5 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 1 เมษายน 2568)  ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีธุรกิจสินเชื่อการเงิน ดิจิทัลเทคโนโลยี และสุขภาพการแพทย์ เข้าระดมทุนเพิ่มเติม สำหรับการจัดงาน LiVEx Investor Day 2025 ครั้งนี้ LiVEx ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร สร้างเวทีให้ผู้ลงทุนและผู้ประกอบการมาพบปะและรับฟังแผนธุรกิจ วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และโอกาสการเติบโต ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนมองเห็นภาพรวมของธุรกิจ สร้างความมั่นใจก่อนลงทุน” นายประพันธ์กล่าว             งาน LiVEx Investor Day 2025 จัดขึ้นวันพุธที่ 2 เมษายน 2568 เวลา 17.00-22.00 น. ณ โรงแรมคาร์ลตัน กรุงเทพฯ สุขุมวิท โดยภายในงานมีบูธแนะนำธุรกิจ ทั้งกลุ่มธุรกิจ Health & Wellness, Nutrition Innovation & Products, Digital Platform Services, Software &  Digital Solution, Energy Services & Solutions, และ  Media & Digital Marketing  พร้อมทั้งเวทีสำหรับผู้ประกอบการเพื่อนำเสนอศักยภาพและแผนการเติบโตของธุรกิจต่อกลุ่มผู้ลงทุน LiVEx เปิดการซื้อขายหลักทรัพย์ครั้งแรกเมื่อ 31 มีนาคม 2565 และดำเนินงานครบรอบ 3 ปีในปี 2568 ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายหลักทรัพย์ของ SMEs และ Startups ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อสร้างการเติบโต พร้อมเป็นสปริงบอร์ด (Springboard) ให้ธุรกิจก้าวไปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ใน SET และ mai ในอนาคต ภายใต้ 3 แนวคิดหลัก ได้แก่ 1) Light-touch Supervision  2) Investor Protection 3) Information-Based) ทั้งนี้ กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังให้บริการ LiVE Platform แพลตฟอร์มที่รวบรวมองค์ความรู้ เครื่องมือ ในการเตรียมความพร้อมธุรกิจ SMEs และ Startups สู่ตลาดทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

โบรกฯ มองดัชนี Q2 ต่ำสุด 1,080 จุด Thai ESGX ความหวังฟื้น! 

โบรกฯ มองดัชนี Q2 ต่ำสุด 1,080 จุด Thai ESGX ความหวังฟื้น! 

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ภาวะตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2/2568 ยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่แพ้ไตรมาส 1/2568 ที่นอกจากจะมีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของสงครามการค้าฯ และสงครามในตะวันออกกลาง ในประเทศเองก็เผชิญกับแผ่นดินไหวเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งปิดทำการซื้อขายทุกตลาด ทั้ง SET mai TFEX ในช่วงบ่ายของวันที่ 28 มี.ค.2568 ก่อนแจ้งเปิดการซื้อขายตามปกติในวันจันทร์ที่ 31 มี.ค.2568 แต่ด้วยความกังวลจากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ช่วงเปิดตลาดภาคเช้าดัชนีฯ ปรับตัวลงทันที โดยทำระดับต่ำสุดเอาไว้ที่ 1,155.05 จุด ต่ำสุดในรอบ 5 ปี (นับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563) ถือเป็นสถิติไตรมาสแรกที่ดูไม่สวยเท่าใดนัก           ทั้งนี้ในไตรมาส 2/2568 นักวิเคราะห์ฯ ได้มีการประเมินกรอบดัชนีหุ้นไทย ต่ำสุดไว้ที่ 1,080-1,100 จุด และมีแนวต้านสูงสุดที่ 1,350 จุด ซึ่งปัจจัยกดดันยังเป็นเรื่องของสงครามการค้าฯ ที่มีโอกาสทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยหนุน อย่างการเสนอขายของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thailand ESG Extra Fund : Thai ESGX) คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาพยุงหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 นี้           พร้อมแนะกลยุทธ์นักลงทุน ลงทุนในหุ้นรายตัว ที่ผลการดำเนินงานยังมีการเติบโตดี รวมถึงหุ้นปันผลสูง และหุ้น Value Play บล.พาย มอง SET ไตรมาส 2 ไร้สัญญาณบวก           นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2/2568 ยังไม่เห็นสัญญาณบวก เนื่องจากเศรษฐกิจไทย (GDP) ที่ยังเติบโตในระดับต่ำ โดยเครื่องยนต์ที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักยังดูอ่อนแอ ทั้งการบริโภคที่โตต่ำราว 3-4% จากหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ซึ่งคิดเป็น 89% ของ GDP ส่งผลกระทบมายังการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวออกไป           ขณะที่การส่งออก และการท่องเที่ยว เผชิญแรงกดดันจากมาตรการทางภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตราสูงถึง 25% จากปัจจุบันที่ระดับ 2.5% มีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย. และจะเริ่มดำเนินการเก็บภาษีในวันที่ 3 เม.ย.นี้ รวมถึงประกาศเก็บภาษีตอบโต้กับทุกประเทศ ทำให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ           ประกอบกับในช่วงก่อนหน้านี้ เดือนม.ค.-ก.พ.2568 สหรัฐมีการเร่งการนำเข้า ทำให้ตัวเลขการส่งออกเติบโตดี แต่มองว่าจากนี้ไปการส่งออกที่เคยเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก อาจไม่ถึงแล้ว           ส่วนภาคการท่องเที่ยว เจอผลกระทบจากแผ่นดินไหว ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชะลอการเข้ามาประเทศชั่วคราว ขณะที่ภาพรวม 3 เดือนแรกโตได้เพียง 3% จากทั้งปีตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวไว้ที่ 38-39 ล้านคน มองว่าอาจไปไม่ถึงเป้าหมายดังกล่าว           “การลงทุนในไตรมาส 2/2568 เป็นภาวะซึมๆ จากมาตรการทางการค้าของสหรัฐที่คอยกดดันภาพรวม และเศรษฐกิจไทยที่เติบโตในระดับต่ำ โดยสภาพัฒน์ ได้คาดการณ์ GDP ปีนี้เติบโตเหลือเพียง 2.1% และอาจเห็นการปรับลดคาดการณ์ของสำนักวิจัยอื่นเพิ่มเติมด้วย” *Sector หลักไร้แรงขับเคลื่อน กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ที่เป็น Sector ใหญ่ในตลาดหุ้นไทย ภาพรวมในไตรมาส 2/2568 ยังไม่ดี เป็นไปตามทิศทางเศรษฐกิจโลก และผลกระทบจากสงครามการค้าฯ ซึ่งจะคาดหวังให้เป็นตัวที่ผลักดันตลาดนั้นเป็นไปได้ยากมาก กลุ่มสื่อสาร คาดผลการดำเนินงานทรงตัว เป็นไปตาม GDP กลุ่มธนาคารพาณิชย์ มองกลาง-ลบเล็กน้อย แม้ว่าราคาหุ้นไม่แพง และมีปันผลดี แต่การเติบโตไม่เด่น โดยเฉพาะในแง่ของสินเชื่อธนาคารที่ไม่โต จากการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งการเติบโตจะมาจากการลดค่าใช้จ่าย การตั้งสำรองฯ ที่ลดลง กลุ่มค้าปลีก ยังดูเหนื่อย แนะนำให้ดูเป็นรายตัว เช่น กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ตกแต่งบ้าน จากความต้องการซ่อมบ้านหลังแผ่นดินไหว กลุ่มท่องเที่ยว ยังยากที่จะเติบโต จากคาดจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยน้อยลงกว่าเป้าหมาย           ให้กรอบแนวรับไว้ที่ 1,100 จุด และแนวต้าน 1,250 จุด เนื่องจากกังวลว่านโยบายภาษีของทรัมป์จะรุนแรงขึ้น แต่ก็มีความหวังจากกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thailand ESG Extra Fund : Thai ESGX) ที่เตรียมเสนอขายในไตรมาส 2/2568 เข้ามาพยังหุ้นไทย *ชู 4 หุ้นเด่น ผลงานโต นายวทัญ แนะกลยุทธ์การลงทุน เน้นลงทุนหุ้นเป็นรายตัว ที่มีผลประกอบการดี และมีปันผล ประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ BBL ราคาเป้าหมายที่ 172 บาท, KBANK ราคาเป้าหมาย 180 บาท Commerce ได้แก่ CPALL ราคาเป้าหมาย 80 บาท ศูนย์การค้า ได้แก่ CPN ราคาเป้าหมาย 80 บาท บล.หยวนต้า ลุ้น SET ฟื้นครึ่งหลัง Q2           นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในไตรมาส 2/2568 ตลาดหุ้นไทยยังโดนกดดันจากสงครามการค้าฯ, การขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นขนาดใหญ่หลายตัว และ Sell in May ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่าตลาดหุ้นในเดือนพ.ค.มักจะปรับตัวลงบ่อยครั้ง ทำให้ SET น่าจะเคลื่อนไหว “ทรงตัว” ในช่วงครึ่งไตรมาส และน่าจะปรับตัวขึ้นได้ในครึ่งหลังของไตรมาส 2 นี้ เป็นผลจากคาดการณ์ที่ว่า บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) จะรายงานผลการดำเนินงาน หรือกำไรออกมาดี รับอานิสงค์จากมาตรการ  Easy E-Receipt และการส่งออกในไตรมาส 1/2568 ที่เติบโต ขณะเดียวกันยังมีแรงหนุนจากกองทุน Thai ESGX ที่คาดหวังจะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาราว 1-2 หมื่นล้านบาท ในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.นี้ ให้กรอบแนวรับไว้ที่ 1,100-1,150 จุด และแนวต้าน 1,250-1,300 จุด มองว่าหากผ่านพ้นสงครามการค้าฯ ไปได้ มีโอกาสที่ SET จะเด้งสูง และตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกเกณฑ์ควบคุม Naked Short Selling คาดช่วงจำกัดดาวไซด์ แนะลงทุน 6 หุ้น ธีมปันผลสูง (Dividend Plays) และ Value Play  ได้แก่ 3BBIF CPALL GULF LH PTTGC BAM บล.ทิสโก้ ลุ้น SET เด้งหลังสงกรานต์ ชี้ต้นเดือนเม.ย.จังหวะเหมาะสะสมหุ้น            นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นปีดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาแล้วกว่า -17% ในช่วงหลังจากนี้บล.ทิสโก้มองว่าดัชนีหุ้นไทยจะเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนทั้งในและต่างประเทศ คือ การซื้อหุ้นคืน - นับตั้งแต่ต้นปี มีบริษัทจดทะเบียนไทยหลายแห่งประกาศซื้อคืนหุ้นรวมวงเงินกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าในปีที่แล้วทั้งปี บล. ทิสโก้มองส่งผลดีต่อราคาหุ้นโดยตรงและแนวโน้มการซื้อหุ้นคืนในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง TESGX - ถึงแม้บล. ทิสโก้ไม่ได้คาดว่าจะมีเม็ดเงินจาก LTF สูงถึง 3 ใน 4 หรือ 75% แปลงเป็น TESGX และมีเม็ดเงินลงทุนใหม่ราว 2-3 หมื่นล้านบาทไหลเข้า TESGX เหมือนกับที่ทางการประเมินไว้ แต่ก็น่าจะช่วยพยุงตลาดได้ไม่มากก็น้อยในระยะสั้น แนวโน้มสภาพคล่องเพิ่มขึ้น – นอกจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะลดปริมาณการลดสภาพคล่องในระบบลง (QT Tapering) จากเดิมเดือนละ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ เหลือเดือนละ 5 พันล้านดอลลาร์ฯ สภาพคล่องมีแนวโน้มสูงขึ้นชั่วคราวในช่วงไตรมาส 2 นี้หลังจากที่หนี้สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นชนเพดานแล้ว ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีแต่การใช้จ่ายเงินออกไปจากบัญชีเงินฝากหลัก (TGA)  ภาพนี้จะคล้ายกับช่วงปี 2566 ที่หนี้สหรัฐฯ ขึ้นชนเพดาน ทำให้สภาพคล่องในระบบสูงขึ้นและสามารถขับเคลื่อนหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นกว่า 8% ในช่วงไตรมาส 2 ของเวลาดังกล่าว การผลักดันร่างกฎหมายลดภาษีของสหรัฐฯ - พรรครีพับลิกันเตรียมผลักดันร่างกฎหมายลดภาษีมูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ควบคู่กับการตัดงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ในระยะ 10 ปี คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในช่วงไตรมาส 2 นี้ และมีผบบังคับใช้ในช่วงปลายปีนี้           “ปกติในช่วงครึ่งแรกเดือนเม.ย. จะเป็นช่วงที่มีวันหยุดต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนมักเลือกชะลอการลงทุนชั่วคราว อย่างไรก็ดีหลังผ่านพ้นช่วงหยุดยาว บล.ทิสโก้ คาดว่านักลงทุนจะกลับเข้าสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงครึ่งเดือนหลัง ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยหลังสงกรานต์มักกลับมาคึกคักขึ้น  จากการศึกษาความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังสงกรานต์นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา SET Index มีโอกาสสูงถึง 74% ที่จะปรับตัวขึ้น และให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +1.4% ผสานกับช่วงครึ่งเดือนแรกคาดจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ของทรัมป์และซึมซับในราคาหุ้นมากแล้ว เพราะฉะนั้นนักลงทุนอาจหาจังหวะทยอยสะสมในช่วงครึ่งเดือนแรก เพื่อหวังผลในช่วงครึ่งเดือนหลัง” นายอภิชาติ กล่าว           ทั้งนี้ บล.ทิสโก้แนะนำเลือกลงทุนหุ้นที่แนวโน้มงบไตรมาส 1/2568 เติบโต ได้รับผลกระทบจำกัดจากสงครามการค้า แนะนำ BJC, CPN, EKH ผสานกับหุ้นที่คาดว่าจะมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุนราคาหุ้น Outperform ในระยะสั้น เด่น AEONTS, HMPRO, PTTEP, SCCC ดังนั้น           หุ้นเด่นที่บล.ทิสโก้ แนะนำในเดือน เม.ย. คือ AEONTS, BJC, CPN, EKH, HMPRO, PTTEP และ SCCC  ด้านแนวรับสำคัญของดัชนีหุ้นไทยเดือนนี้อยู่ที่ 1,150 - 1,100 จุด และแนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,190 - 1,200 จุด ตามลำดับ           สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตามองในช่วงนี้ คือ ในวันที่ 2 เม.ย.2568 สหรัฐฯ จะประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษีดังกล่าว เพราะเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ และมีส่วนต่างของภาษีกับสหรัฐฯ ในระดับค่อนข้างสูง โดยหากสหรัฐฯ บังคับใช้ Reciprocal Tariffs กับประเทศไทยด้วยการขึ้นภาษีโดยเฉลี่ยราว 5% (อิงมาจากส่วนต่างของอัตราภาษีที่ไทยเรียกเก็บสูงกว่าสหรัฐฯ โดยเฉลี่ย) คาดจะส่งผลกระทบเชิงลบ (Downside Risk) ต่อ GDP ไทยในปีนี้ราว 0.3-0.5% จาก GDP ปีนี้ที่ บล.ทิสโก้คาดว่าจะโต 2.8%           อย่างไรก็ดีสัญญาณล่าสุดจากทรัมป์ระบุว่า Reciprocal Tariffs จะมีความยืดหยุ่นและในมุมมองของบล.ทิสโก้เชื่อว่าจะถูกใช้แบบเฉพาะในกลุ่มสินค้าหรือกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Targeted Tariffs) มากกว่าที่จะใช้เป็นวงกว้างในทุกกลุ่มสินค้า (Broad-based Tariffs) และอาจเปิดช่องในการเจรจาด้วยการทิ้งระยะเวลาการมีผลบังคับใช้อย่างน้อย 30 วันอย่างที่เคยทำมาในช่วงต้นปีนี้           ด้านทางเลือกการลงทุนหุ้นต่างประเทศ ภาพรวมตลาดหุ้นโลกในเดือนที่ผ่านมาเริ่มเผชิญแรงเทขายโดยเฉพาะในหุ้นสหรัฐฯ (NASDAQ -8% และ S&P500 -6%) และบล.ทิสโก้มองว่าในเดือน เม.ย. มีความไม่แน่นอนสำคัญคือการขึ้นภาษีเพื่อตอบโต้นานาประเทศของทรัมป์ในวันที่ 2 เม.ย. ทำให้บล.ทิสโก้มองว่าช่วงต้นเดือนจะเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่สามารถผ่านสงครามการค้าได้และมีความสามารถในการแข่งขันสูง เช่น BYD และบล.ทิสโก้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน (SHCOMP +0.45%) และฮ่องกง (HSI +0.78%) เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทำให้ DR แนะนำของบล.ทิสโก้ในเดือนนี้ ได้แก่ BYDCOM80 และ HK01 บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET โอกาสฟื้นแตะ 1,300-1,350 จุด ใน Q2/68            นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและความไม่แน่นอนด้านภาษีการค้า แต่ Valuation ที่ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับก่อนเกิด COVID-19 ทำให้เริ่มกลับมาน่าสนใจในแง่มูลค่า โดยคาดว่า SET Index มีโอกาสฟื้นขึ้นที่ระดับ 1,300 -1,350 จุดในช่วงไตรมาส 2/2568           InnovestX แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพสูง มีรายได้หลักจากในประเทศ และได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หุ้นเด่นที่แนะนำในไตรมาสนี้ ได้แก่ BCH กลุ่มโรงพยาบาลเชิงรับ พร้อมรายได้จากในประเทศ CPALL, CPF หุ้นบริโภคในประเทศที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัว KTB, TRUE กลุ่มธนาคารและเทคโนโลยีที่มีความแข็งแกร่ง           สำหรับต่างประเทศ แนะนำลงทุนในตลาดจีนและ Emerging Markets ที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐ โดยเน้นไปที่บริษัทที่มีเงินปันผลสูง มีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศสูงและมีลักษณะเชิงรับ ได้แก่ Verizon, UnitedHealth, Iberdrola, Hong Kong Exchange, Trip.com, Tencent, Alibaba           นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงาน Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ไตรมาส 2/2568 ตลาดการลงทุนยังเผชิญความผันผวนสูงจากมาตรการภาษี Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลก แม้ภาคเทคโนโลยียังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจถูกกดดันจากความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่เพิ่มสูงขึ้นจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง ทำให้ InnovestX แนะนำปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากมีความน่าสนใจลดลง และมีความเห็นเป็นกลางกับหุ้นไทยแต่เริ่มมอง downside จำกัดและมีโอกาสฟื้นตัวได้ระยะสั้น ขณะเดียวกันมีมุมมองด้านบวกสำหรับตลาดจีน โดยเฉพาะหุ้น A-Shares เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐและการหันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน และสำหรับตลาดเวียดนามจากประเด็นโอกาสการยกระดับตลาดหุ้นขึ้นสู่ Emerging market พร้อมแนะนำกระจายพอร์ตสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตราสารหนี้ ซึ่งมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่มั่นคงในภาวะความผันผวนสูง           ทั้งนี้ หุ้นเชิงรับ (Defensive Stocks) อย่าง Healthcare และ Utility คาดว่าจะยังคงให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นเติบโต (Growth Stocks) โดยนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงสามารถพิจารณากองทุนตราสารหนี้ เช่น UGIS-N ควบคู่กับกองทุนหุ้นต่างประเทศ อย่างหุ้นจีน A-Sharesกองทุน KFCSI300-A และหุ้นเวียดนาม กองทุน PRINCIPAL VNEQ-A รวมถึงกองทุนหุ้นเชิงรับอย่าง  LHHEALTH-A ซึ่งเน้นกลุ่ม Healthcare เพื่อสร้างสมดุลพอร์ตในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน บล.กรุงศรี มอง Q2/68 อาจเห็น SET เจอฐาน และค่อยๆ ฟื้นตัว           ทีมกลยุทธ์ บล.กรุงศรี ประเมิน SET ไตรมาส 2/2568 เจอฐาน และ ค่อยๆ ฟื้นตัว โดยมีกรอบแนวรับ 1,130-1,080จุด แนวต้าน 1,268-1,340 จุด แนะนำถือน้ำหนักหุ้นไทย 50% , หุ้นต่างประเทศลดลงเหลือ 20% พันธบัตร 20% และสินทรัพย์ทางเลือก 10% ปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย มาตรการระยะสั้น : กองทุน ThaiESGX รองรับเงินจาก LTF ที่ครบก าหนด 1.6 แสนล้านบาท บรรเทา Overhang ในตลาด มาตรการระยะกลาง-ยาว: ThaiESGX พิเศษ (พ.ค.-มิ.ย. 2025), กองทุน TISA และ "หวยเกษียณ" สร้างฐานเงินลงทุนระยะยาว นโยบายการเงิน-การคลังที่สอดประสาน: ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบาย, มาตรการ "คุณสู้เราช่วย", การผ่อนปรน LTV การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน Digital Wallet เฟส 3 และเร่งประมูลโครงการขนาดใหญ่ การลงทุนจากต่างชาติในโครงการ Data Center (สิงคโปร์, จีน, สหรัฐ) หนุน New S Curve แนะนำลงทุน 3 ธีมหลัก Deep Value Stocks ที่มีส่วนลดเทียบค่าเฉลี่ยระยะยาวสูง มีความมั่นคง และมี ESG Score ที่ดี Thailand Structural Reform หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง Thailand New Investment Cycle ในกลุ่มอุตสาหกรรม New S Curve โดยมีหุ้นเด่นในไตรมาส 2/2568 ได้แก่ BDMS, CPALL, MINT, KBANK, MTC, LH, ADVANC ส่วน Mid-Small Cap Play : BCH, BTS, JMT, ERW, AMATA ความเสี่ยงที่ต้องติดตาม Trade War 2.0 ที่อาจรุนแรงเกินคาด ส่งผลต่อเงินเฟ้อและการลดดอกเบี้ยของ Fed ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ตึงเครียดตั้งแต่ 22 มี.ค.2568 ประเด็นการส่งกลับชาวอุยกูร์ กระทบการเจรจา FTA กับสหรัฐและยุโรป หนี้ครัวเรือนระดับสูง 85-90% ของ GDP เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของการบริโภค นักท่องเที่ยวจีนเสี่ยงต่ำกว่าเป้า จากประเด็นความปลอดภัยและปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์           ดัชนีเป้าหมายสำหรับ SET ในปีนี้ กำหนดไว้ที่ 1,418 จุด (ปรับลดจาก 1,660 จุด) โดยใช้สมมติฐานกำไรตลาดปี 2567 ที่ 90 บาทต่อหุ้น (ปรับลดจาก 95 บาท) ตามหลักอนุรักษ์นิยมเพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้ากว่าคาด รวมถึงความเสี่ยงจากผลกระทบของมาตรการกีดกันการค้าต่อราคาน้ำมัน           นอกจากนี้ ได้มีการปรับลด Target PER เหลือ 15.7 เท่า จากเดิม 17.3 เท่า อันเนื่องมาจากภาพเม็ดเงินลงทุนภายในที่อยู่ในช่วงรอยต่อเพื่อฟื้นตัวจากโซนฐานแรงขับเคลื่อนหลักสำหรับตลาดในระยะถัดไป

จับตา ภาษีเท่าเทียมสหรัฐฯ คาดทำ ‘ราคาทอง’ ผันผวน

จับตา ภาษีเท่าเทียมสหรัฐฯ คาดทำ ‘ราคาทอง’ ผันผวน

           หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด Gold Spot "Sideways – Sideways up" แนวรับ 3125/3100 เหรียญฯ และแนวต้าน 3150/3175 เหรียญฯ รายงานตัวเลข PMI ภาคการผลิต และตำแหน่งงานเปิดใหม่ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด ปัจจัยกดดันเล็กๆ ต่อทิศทาง Dollar Index และทำภาพราคาทองคำผันผวนระหว่างวัน ส่วนปัจจัยหลักตลาดรอจับตารายละเอียดการใช้มาตรการภาษีเท่าเทียมของสหรัฐฯ ในคืนนี้มากกว่า ทำให้ด้านราคาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยยังมีแรงซื้อเข้ากระตุ้นกำไรต่อเนื่อง  แต่..ฝ่ายวิจัยแนะนำระมัดระวัง โดยกรณีเปิดเผยรายละเอียดออกมาดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้อาจทำให้เกิดแรงขายในราคาทองคำได้            ส่วนภาพเทคนิค Gold spot พักตัวหลังไม่ผ่านแนวต้านที่ 3,150 แต่แนวโน้มหลักยังเป็นขาขึ้น โดยวันนี้หากไม่หลุด 3100 ลงมาอีกครั้ง ประเมินเป็นภาพพักตัวเพื่อขึ้นต่อ เป้าหมายต่อไปที่ 3175 กลยุทธ์แนะนำ เน้นถือ Long GOM25 ฝ่ายวิจัยแนะนำ เน้นถือ Long GOM25 เพื่อ Let profits run มากกว่า ไล่ราคาทองคำ ส่วนสถานะใหม่เลือกตั้งรับจังหวะย่อตัว ตัดขาดทุนหากหลุด 3095 เหรียญฯ ลงมา สำหรับราคาทองเช้าวันนี้ ปรับลดลง 200 บาท โดยปรับขึ้นลง จำนวน 5 ครั้ง ตามตารางดังนี้ **  

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.05-34.35 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.05-34.35 บ./ดอลลาร์

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.05-34.35 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าต่อจากความกังวลเรื่อง Tariffs ที่ส่งผลให้มีความต้องการถือเงินดอลลาร์มากขึ้น แม้ตัวเลขของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ภาคการผลิตของสหรัฐฯ จะออกมาที่ 49.0 ต่ำกว่าตลาดคาด ขณะที่ดัชนีราคา (Price paid) ของสถาบัน ISM อยู่ที่ 69.4 สูงกว่าคาดมาก เงินเฟ้อยุโรปเดือนมีนาคม ชะลอลงมาอยู่ที่ 3% เท่ากับที่ตลาดคาด โดยเป็นผลจากราคาภาคบริการที่ชะลอลงแรง นายทอม บาร์กิน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาริชมอนด์ กล่าวว่าภาษีนำเข้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ทั้งเงินเฟ้อและอัตราว่างงานสูงขึ้น

5 หุ้นเด่น ไตรมาส 2

5 หุ้นเด่น ไตรมาส 2

          หุ้นวิชั่น - มาถึงวันนี้ ตลาดหุ้นไทยเรา ก้าวข้ามแผ่นดินไหวกันหรือยัง จากการประเมินของหน่วยงานภาครัฐน่าเชื่อได้ว่า คงจะผ่านไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่เพียง  ซากหักพัง รอยร้าวของตัวอาคาร ที่ต้องซ่อมแซมกันต่อไป           สิ่งสำคัญคือ ความเชื่อมั่นใจ ของนักลงทุนว่า จะพลิกฟื้นกลับมาเร็วแค่ไหน  ความหวาดผวากังวลต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวหมดไปเหลือยัง แต่ที่แน่ๆและถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของประเทศไทย เพราะต่อไปนี้การใช้ชีวิตคนไทย ปัจจัยเรื่องแผ่นดินไหว ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้           มาโฟกัสที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 จะมีความท้าทายเพิ่มขึ้นจากความเสี่ยงในการโอนส่งมอบที่เพิ่มขึ้นหลังเหตุแผ่นดินไหว และบรรยากาศของโครงการแนวสูงที่ไม่เอื้อต่อการเติบโตโดยเฉพาะช่วงต้นปี Q2/68           นอกจากนี้ หนี้เสียในธุรกิจที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้น รวมถึงความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เพิ่มความระมัดระวังในการเปิดโครงการใหม่ลดลง และเน้นการระบายสินค้าคงคลังมากขึ้น           บล.หยวนต้า มองราคาหุ้นกลุ่มอสังริมทรัพย์ ปัจจุบันมี PER ต่ำกว่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี และมี Div. Yield สูง 6-8% ต่อปี ซึ่งเหมาะสำหรับการถือครองในระยะยาว แนะนำเลือกลงทุนรายตัว   ชอบ SPALI ([email protected]), AP ([email protected]), SIRI ([email protected]) โดยส่วนรายได้จากโครงการแนวสูงน้อยกว่า 35% จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่จำกัด นอกจากนี้การรักษาส่วนแบ่งในตลาดของบริษัทเหล่านี้ได้ดีกว่ากลุ่มฯ และสินค้าพร้อมขายหลากหลาย รองรับอุปสงค์ที่อาจเร่งตัวขึ้นหากมีมาตรการเพิ่มเติม           ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก  บล.เอเซียพลัสระบุว่า  นักลงทุนต้องติดตามเฝ้าระวัง  TRADE WAR ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ เพิ่มความกังวล RECESSION อาจเป็นปัจจัยเอื้อต่อการปรับลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้น  ขณะเมืองไทยยังมีความกังวลเพิ่มตามจากผลกระทบแผนดินไหว ซึ่งอาจเพิ่ม DOWNSIDE ต่อเศรษฐกิจไทย            ประเมิน 2H68 กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง สู่ 1.75% หากตัวเลขเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นเท่าที่ควร ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ย 25 BPS. จะหนุนระดับ MEYG ได้สูงถึง 5.8% คาดว่า TARGET SET INDEX จะขยับขึ้นมาได้ราว 50 - 60 จุด INTERNAL FACTOR           ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น หลังจากหลัง TRUMP ขู่เรียกเก็บภาษี 25 - 50% ต่อประเทศที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนปรับตัวขึ้นดีกว่าคาด  ภาพรวม SET INDEX ในช่วงสั้นคาดได้รับ SENTIMENT เชิงบวกจากประเด็นดังกล่าว           ขณะที่ บล. InnovestX มองว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะแรงกดดันจากแรงกดดันนโยบายการค้าของสหรัฐ และปรับลดเป้าหมาย SET Index ลงเหลือ 1,350 จุด จากเดิม 1,550 จุด เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่เผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก           แต่มองว่า SET Index มีโอกาสฟื้นตัวในไตรมาส 2/2568 จาก valuation ที่น่าดึงดูด และมาตรการจากภาครัฐ ทั้งนี้นักลงทุนควรเน้นกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง ทั้งในเชิงภูมิภาคและหมวดอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นเชิงรับ (Defensive Stocks) ที่มีรายได้ในประเทศสูง รวมถึงหุ้นในต่างประเทศที่มีศักยภาพเติบโต อาทิ กลุ่ม AI และพลังงานสะอาด           ด้านผลกระทบจากแผ่นดินไหวเมื่อ 28 มีนาคม InnovestX ประเมินว่าเกิดขึ้นจำกัดในระยะสั้น โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวที่อาจสูญเสียรายได้ราว 10–15% ภายใน 2 สัปดาห์  และอาจกระทบต่อช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจึงฟื้นตัว คาดว่า GDP ปี 2568 ยังขยายตัวได้ที่ 2.5% เนื่องจากไม่มีความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ โดยมองว่านโยบาย Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ เป็นความเสี่ยงหลักต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ มากกว่าภัยธรรมชาติ           โดย InnovestX แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพสูง มีรายได้หลักจากในประเทศ และได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หุ้นเด่นที่แนะนำในไตรมาส2  ได้แก่ 5 หุ้น ดังนี้  BCH  กลุ่มโรงพยาบาลเชิงรับ พร้อมรายได้จากในประเทศ CPALL, CPF หุ้นบริโภคในประเทศที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัว KTB, TRUE กลุ่มธนาคารและเทคโนโลยีที่มีความแข็งแกร่งสำหรับต่างประเทศ การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

บทพิสูจน์ ลงทุนแมน

บทพิสูจน์ ลงทุนแมน

          ###ข่าวสังคม การลงทุน ประจำวันที่ 2 เมษายน 2568  วันนี้ ยินดีต้อนรับ บมจ. แอลทีเอ็มเอช เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มบริการ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “LTMH”   ประกอบธุรกิจสื่อ และแพลตฟอร์มสื่อ และกลุ่มธุรกิจออฟไลน์ ภายใต้แบรนด์ ลงทุนแมน           งวดปี 2567 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจสื่อออนไลน์ : ธุรกิจให้บริการที่ปรึกษาด้านการตลาดฯ : ธุรกิจการจัดงานอิเวนต์ : อื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 75 : 15 : 8 : 2 ตามลำดับ บริษัทมียอดผู้ติดตามรวมแต่ละเพจผ่านช่องทางแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์เป็นจำนวนถึง 8.39 ล้านคน (ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์2568)           LTMH มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 100 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 150 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 50 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 37.5 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 7 ล้านหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ ไม่เกิน 5.5 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ลงทุนทุกประเภทระหว่างวันที่ 25 - 27 มีนาคม 2568 ในราคาหุ้นละ 5 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 250 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,000 ล้านบาท           ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 28.24 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในปี 2567 ซึ่งเท่ากับ 35.42 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.18 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ           ### บล. กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ OR ซึ่งมี trigger point จากการที่บริษัทตั้งเป้าเชิงรุกเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 34-35% มาอยู่ที่ 39% ภายในสิ้นปี 2568 โดยได้แรงหนุนจากแคมเปญการตลาดเชิงรุกที่จะปรับตามความเหมาะสมตลอดทั้งปี และการลดราคาขายปลีกน้ำมัน 1 บาท/ลิตร ซึ่งการปรับลดราคาดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 2 ระยะ แบ่งเป็นครั้งละ 50 สตางค์/ลิตร ได้แก่ วันที่ 28 มี.ค. 25 และ วันที่ 4 เม.ย. 25 เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชน           รวมถึงคาดว่า OR มีโอกาสซื้อหุ้นคืนได้ หากต้องการ OR มีเงินสด ณ สิ้นปี 2024 ที่ 4.7 หมื่นล้านบาท  เชื่อว่าความสามารถ สำหรับการซื้อหุ้นคืนจะอยู่ที่ 5-6 พันล้านบาท คิดเป็นปริมาณหุ้นซื้อคืนประมาณ 3-4%           ### บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า  ภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนเมษายน คาดว่า SET Index จะอยู่ในโหมดทรงตัวด้วยวอลุ่มต่ำ โดยมีปัจจัยกดดันที่สำคัญจากต่างประเทศ เนื่องจากนักลงทุนน่าจะทยอยให้น้ำหนักต่อปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และประเด็น Stagflation มากขึ้น สะท้อนผ่านสัญญาณตัวเลขต่างๆ ที่ออกมาล่าสุด ส่วนประเด็นแผ่นดินไหวในไทยนั้น ประเมินว่าจะส่งผลกระทบเพียงด้าน Sentiment ในระยะสั้น ยกเว้นบางกลุ่มที่อาจเผชิญกับความเชื่อมั่นที่ลดลงในระยะกลาง เช่น กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย และ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่เกี่ยวข้อง           ฝั่งของตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทย แม้การปรับลดลงของตลาดหุ้นโลกจะนำมาสู่แรงกดดันได้บ้าง แต่ด้วยความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นโลกที่อยู่ต่ำในช่วงหลัง และระดับ Valuation ที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับแนวทางมาตรการการคลังและนโยบายการเงินที่เกื้อหนุนมากกว่า ทำให้ประเมินว่า Downside Risk ของตลาดหุ้นในฝั่งนี้จะอยู่ในระดับที่จำกัดกว่า มองกรอบการแกว่งตัวของดัชนี SET ในเดือนนี้ที่ 1,100 - 1,190 จุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ห้ามประมาทก็คือสัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่เริ่มอ่อนแอเช่นกัน โดยเฉพาะภาค การท่องเที่ยว และ การลงทุนภาคเอกชน           ในเชิงกลยุทธ์เชื่อว่า ตลอดไตรมาส 2 ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงในระดับสูง จะยังเห็นการโยกย้ายเม็ดเงินออกจาก สินทรัพย์เสี่ยง เข้าสู่ สินทรัพย์ปลอดภัย ในภาพรวม ส่วนภายใต้กลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น ประเมินว่าจะเห็นการ Rotate เม็ดเงินออกจากหุ้นกลุ่ม Growth/Technology เข้าสู่ หุ้นกลุ่ม Value และ Defensive ซึ่งล้วนเป็นคุณลักษณะของหุ้นที่เลือกมาเป็น Top Picks ไตรมาส 2 ได้แก่ BCP, TOP, PTTGC, GPSC, CPF, BDMS, BH, TCAP, 3BBIF และ LHHOTEL           ###บล. กรุงศรี ชี้ว่า การประมูลใกล้เข้ามาแล้ว  มีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มโทรคมนาคม เนื่องจากกำไรและกระแสเงินสดอิสระ (FCF) จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง  ยังคงประมาณการว่ากำไรของกลุ่มจะเติบโต 10% YoY ในปี 2568 ร่างครั้งที่สองของการประมูลดูค่อนข้างสับสนในมุมมองของเรา โดยมีทางเลือกมากมายสำหรับการรับฟังความคิดเห็น เชื่อว่าเหตุผลที่ กสทช. ทำเช่นนี้ก็เพื่อลดแรงกดดันจากสาธารณชนเกี่ยวกับการประมูลแบบผู้ประกอบการน้อยราย ท้ายที่สุด           ยังคงยืนยันมุมมองว่า คลื่นความถี่ที่จะนำมาประมูลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะช่วยเพิ่มกำไรให้กับ ADVANC และ TRUE เนื่องจากการแข่งขันที่น้อยลง คาดว่าราคาประมูลที่ชนะในการประมูลครั้งนี้จะใกล้เคียงกับราคาเริ่มต้น เนื่องจากการแข่งขันที่น้อยแนะนำ "ซื้อ" สำหรับทั้ง ADVANC (ราคาเป้าหมาย 311 บาท) และ TRUE (ราคาเป้าหมาย 15 บาท) โดยมีพื้นฐานจากกำไรและกระแสเงินสดอิสระที่แข็งแกร่งขึ้นในช่วงสามปีข้างหน้า เรายังคงประมาณการกำไรสำหรับทั้ง ADVANC และ TRUE สำหรับปีหน้า โดยมีความเสี่ยงด้านบวกจากการประมูล           ### อีกครั้ง ที่ บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ HMPRO จากการคาดการณ์ว่า จะมีอุปสงค์จากการซ่อมแซมตกแต่งเพิ่มเติม ภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ซึ่งมีโอกาสคล้ายกับช่วงน้ำท่วมใหญ่ในปลายปี 2011 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ SSSG ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 1Q12           นอกจากนี้  มองว่าการซื้อหุ้นคืนที่ประกาศในสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเป็น downside protection สำหรับราคาหุ้นในช่วงนี้ โดยแผนการซื้อหุ้นคืนมีจำนวนไม่เกิน 800 ล้านหุ้น และมีวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มในวันที่ 1 เมษายนนี้ ส่งผลให้ ROE และ EPS มีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้จากจำนวนหุ้นที่ลดลง ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

ทรีนีตี้ คัด 10 หุ้นเด่น น่าลงทุน Q2/68

ทรีนีตี้ คัด 10 หุ้นเด่น น่าลงทุน Q2/68

                      หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน “ทรีนีตี้” ประเมินหุ้นเดือนเมษายนมี Downside risk จำกัด กรอบการแกว่งตัวของดัชนีจะอยู่ที่ 1150-1190 จุด พร้อมแนะจับตา 7 ปัจจัยสำคัญส่งผลต่อการลงทุน โดยเฉพาะนโยบายภาษีตอบโต้ของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 นโยบายการเงินธนาคารกลางประเทศสำคัญ และภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกเสื่อมถอย พร้อมคัดหุ้นเด่นไตรมาส 2 รับเงินไหลออกจากหุ้นกลุ่ม Growth และ Technology เข้าสู่หุ้นกลุ่ม Value และ Defensive ได้แก่ BCP, TOP, PTTGC, GPSC, CPF, BDMS, BH, TCAP, 3BBIF, LHHOTEL เป็นต้น            นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนเมษายนว่า  สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนเมษายน คาดว่า SET Index จะอยู่ในโหมดทรงตัวด้วยวอลุ่มต่ำ โดยมีปัจจัยกดดันที่สำคัญจากต่างประเทศ จากการที่นักลงทุนน่าจะทยอยให้น้ำหนักต่อปัจจัยเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และประเด็น Stagflation มากขึ้น สะท้อนผ่านสัญญาณตัวเลขต่างๆที่ออกมาล่าสุด ส่วนประเด็นแผ่นดินไหวในไทยนั้น ประเมินว่าจะส่งผลกระทบเพียงด้าน Sentiment ในระยะสั้น ยกเว้นบางกลุ่มที่อาจเผชิญกับความเชื่อมั่นที่ลดลงในระยะกลาง เช่น กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น            อย่างไรก็ดี ในฝั่งของตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทยนั้น แม้การปรับลดลงของตลาดหุ้นโลกจะนำมาสู่แรงกดดันได้บ้าง แต่ด้วยความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นโลกที่อยู่ต่ำในช่วงหลัง และระดับ Valuation ที่อยู่ต่ำ ประกอบกับแนวมาตรการการคลังและนโยบายการเงินที่เกื้อหนุนกว่า ทำให้เราประเมินว่า Downside risk ของตลาดหุ้นในฝั่งนี้จะอยู่ในระดับที่จำกัดกว่า มองกรอบการแกว่งตัวของดัชนี SET ในเดือนนี้ที่ 1150-1190 จุด แต่สิ่งที่ห้ามประมาทก็คือสัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่เริ่มอ่อนแอเช่นกัน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนภาคเอกชน            ในเชิงกลยุทธ์ หลังจากที่เราแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุน 1 ใน 3 ของเงินสดที่ถืออยู่ไปที่บริเวณดัชนี SET 1150-1160 จุด แนะถือครองหุ้นในส่วนดังกล่าว ทั้งนี้ เรายังคงเชื่อว่าตลอดทั้งไตรมาส 2 ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงในระดับสูง จะยังเห็นการโยกย้ายเม็ดเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยในภาพรวม ส่วนภายใต้สินทรัพย์เสี่ยงหุ้นด้วยกันนั้น ประเมินว่าจะเห็นการโยกย้ายเม็ดเงินออกจากจากหุ้นกลุ่ม Growth และ Technology เข้าสู่หุ้นกลุ่ม Value และ Defensive ต่อไป ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคุณลักษณะของตลาดหุ้นไทยรวมถึงหุ้นที่เราเลือกมาเป็น Top pick ประจำไตรมาสที่ 2  ซึ่งได้แก่ BCP, TOP, PTTGC, GPSC, CPF, BDMS, BH, TCAP, 3BBIF, LHHOTEL ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามในเดือนเมษายน ได้แก่ ความชัดเจนของการเรียกเก็บภาษี Reciprocal tariff ของสหรัฐฯในวันที่ 2 เมษายนนี้ และการตอบโต้ของประเทศที่ถูกเพิ่มภาษีดังกล่าว จับตาทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจโลกว่าจะมีความอ่อนแอต่อเนื่องหรือไม่ และสัญญาณ Stagflation ที่ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในช่วงหลัง การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 17 เมษายน ซึ่งล่าสุดตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาส 85% ที่ธนาคารจะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 25% หากเกิดขึ้น จะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก Deposit facility จะลงมาอยู่ที่ระดับ 2.25% การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ในวันที่ 30 เมษายนถึง 1 พฤษภาคม ล่าสุดนักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม 50% การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยในวันที่ 30 เมษายน ซึ่งเราคาดการณ์ว่าจะมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 00% ไปก่อน หลังจากเพิ่งปรับลดไปในรอบที่ผ่านมา การเข้ามาซื้อขายในตลาดของหุ้น GULFI ในช่วงต้นเดือน ความเป็นไปได้ของการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ

GCAP GOLD จับตา “ทรัมป์” รีดภาษีรอบใหม่ ลุ้นราคาทอง New High แตะ 51,200 บ.

GCAP GOLD จับตา “ทรัมป์” รีดภาษีรอบใหม่ ลุ้นราคาทอง New High แตะ 51,200 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย นักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD ประเมินว่าทิศทางตลาดทองคำในสัปดาห์นี้ ยังคงเผชิญกับความผันผวน พร้อมแนะนำให้จับตาทิศทางทองคำหลังประกาศภาษีใหม่จาก “ทรัมป์” ในวันที่ 2 เมษายน นี้ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาทองคำ ทั้งนี้หากมีการประกาศภาษีที่รุนแรง ราคาทองคำอาจพุ่งสูงขึ้น นักลงทุนอาจหันมาถือทองคำมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด           ดังนั้นประเมินว่า ราคาทองคำมีทิศทางเป็นขาขึ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและแรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย โดย GCAP GOLD ได้ประเมินเป้าหมายของการปรับตัวขึ้นระยะสั้นเบื้องต้นไว้ที่ $3,150 / $3,200 และราคาทองคำไทยอาจทำ New High อยู่ที่ประมาณ 50,800 บาท และหากเงินบาทอ่อนค่าขึ้นเพิ่มเติมอาจจะเห็น 51,200 บาท           นอกจากนี้ ทั่วโลกยังเฝ้าจับตาการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เมษายน ที่จะถึงนี้ ซึ่งทางประธานาธิบดีทรัมป์ จะประกาศบังคับใช้ภาษีตอบโต้รอบใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเพราะเป็นช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดทางการค้าอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับการ ขึ้นภาษีและการตอบโต้จากประเทศอื่นๆ ตามมา           สิ่งที่ต้องจับตามองในมาตรการทางภาษีรอบใหม่ครั้งนี้ คือ ความเข้มข้นของภาษีตอบโต้จะมากน้อยเพียงใด และจะครอบคลุมสินค้าหรืออุตสาหกรรมใดบ้าง และการตอบโต้จากประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของการตอบโต้จะขึ้นอยู่กับระดับภาษีที่สหรัฐฯ ประกาศ และความพร้อมของแต่ละประเทศในการปกป้องเศรษฐกิจของตน อาทิ จีนอาจจะเลือกตอบโต้ด้วยภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลือง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, สหภาพยุโรปอาจตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและเครื่องบินพาณิชย์, เอเชียและประเทศเกิดใหม่ กลุ่มประเทศเอเชียที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ อาจเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ทำให้บางประเทศอาจเลือกตอบโต้ด้วยมาตรการที่ส่งผลต่อบรรษัทข้ามชาติสหรัฐฯ ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศนั้น ๆ           โดยกลุ่มประเทศ “Dirty 15” รายชื่อเบื้องต้นประกอบด้วย จีน เยอรมนี เม็กซิโก ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย สวิตเซอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ แคนาดา และอิตาลี ประเทศเหล่านี้มีดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นบวกอย่างมาก ซึ่งหมายความว่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากกว่าการนำเข้า จึงตกเป็นเป้าหมายของมาตรการภาษีใหม่

ประมูล ICT ปลุกสื่อสาร โอกาสทองหุ้นไหน - เช็ก!

ประมูล ICT ปลุกสื่อสาร โอกาสทองหุ้นไหน - เช็ก!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า การประมูลใกล้เข้ามาแล้ว เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มโทรคมนาคม เนื่องจากกำไรและกระแสเงินสดอิสระ (FCF) จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เรายังคงประมาณการว่ากำไรของกลุ่มจะเติบโต 10% YoY ในปี 2568 ร่างครั้งที่สองของการประมูลดูค่อนข้างสับสนในมุมมองของเรา โดยมีทางเลือกมากมายสำหรับการรับฟังความคิดเห็น เราเชื่อว่าเหตุผลที่ กสทช. ทำเช่นนี้ก็เพื่อลดแรงกดดันจากสาธารณชนเกี่ยวกับการประมูลแบบผู้ประกอบการน้อยราย ท้ายที่สุด เรายังคงยืนยันมุมมองของเราว่าคลื่นความถี่ที่จะนำมาประมูลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะช่วยเพิ่มกำไรให้กับ ADVANC และ TRUE เนื่องจากการแข่งขันที่น้อยลง เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับทั้ง ADVANC และ TRUE (หุ้นแนะนำ, ราคาเป้าหมาย 15 บาท)           การประมูลใกล้เข้ามาแล้ว คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคมปีนี้ โดย กสทช. ได้เผยแพร่ร่างแก้ไขของการประมูลที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการประมูล ราคาเริ่มต้นสำหรับแต่ละคลื่นความถี่ เงื่อนไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนราคาและคุณภาพการให้บริการเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค เงื่อนไขการชำระเงินค่าใบอนุญาต และการพิจารณารวมใบอนุญาต 3500MHz เข้าในการประมูลครั้งนี้ ขั้นตอนต่อไปคือการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันนี้           แม้ว่าเงื่อนไขในร่างจะมีความสับสน แต่เรายังคงมุมมองว่าการประมูลครั้งนี้จะช่วยเพิ่มกำไรให้กับผู้ประกอบการ หลังจากอ่านร่างฉบับแก้ไขแล้ว เราพบว่าเงื่อนไขจำนวนมากถูกแบ่งออกเป็นอย่างน้อยสองทางเลือกสำหรับการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งรวมถึงจำนวนคลื่นความถี่ที่จะนำมาประมูลและราคาเริ่มต้นของใบอนุญาต อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการประมูลที่จะเกิดขึ้น และย้ำว่าการได้มาซึ่งคลื่นความถี่ใหม่ในการประมูลครั้งนี้จะสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานของ ADVANC และ TRUE ซึ่งหมายความว่าจะช่วยเพิ่มกำไรให้กับพวกเขา           สำหรับความแตกต่างระหว่างร่างครั้งแรกและร่างครั้งที่สองของเงื่อนไขการประมูล มีจุดสำคัญหลายประการ ได้แก่ จำนวนคลื่นความถี่ที่จะนำมาประมูล ซึ่งมีสองทางเลือก ได้แก่ ทางเลือกแรกคือคลื่นความถี่เดิม 6 ย่าน ได้แก่ 850MHz, 1500MHz, 1800MHz, 2100MHz, 2300MHz และ 26GHz ส่วนทางเลือกที่สองคือคลื่นความถี่ที่ใบอนุญาตจะหมดอายุในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ซึ่งมี 4 ย่าน ได้แก่ 850MHz, 1500MHz, 2100MHz (เฉพาะของ NT) และ 2300MHz นอกจากนี้ ราคาเริ่มต้นสำหรับคลื่นความถี่ทั้งหมดจะมี 4 ทางเลือก ได้แก่ อิงตามราคาเริ่มต้นจากการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะครั้งแรก คำนวณจากมูลค่าทางเศรษฐกิจตามวิธี DCF เปรียบเทียบกับราคาเริ่มต้นของการประมูลครั้งล่าสุด และอิงตามราคาที่จ่ายให้กับ NT           เงื่อนไขการชำระเงินค่าใบอนุญาตสำหรับ ผู้ประกอบการรายเดิม เช่น ADVANC และ TRUE ยังคงเหมือนเดิม โดยต้องชำระ 50% ของราคาประมูลสุดท้ายทันทีหลังจากชนะการประมูล อีก 25% ในปีที่สาม และอีก 25% ในปีที่สี่ ขณะที่ ผู้ประกอบการรายใหม่ ที่ชนะการประมูลจะได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า โดยชำระ 10% ของราคาประมูลสุดท้ายเป็นระยะเวลา 10 ปี อีกประเด็นสำคัญคือการพิจารณารวมคลื่นความถี่ 3500MHz ในการประมูล           แม้ว่าเงื่อนไขการประมูลในร่างที่เผยแพร่ล่าสุดจะมีความสับสน แต่เรายังคงคาดการณ์ว่าการประมูลจะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม 2568 (ล่าช้าไปหนึ่งเดือนจากกำหนดการเดิม) และจะไม่ก่อให้เกิดวัฏจักรการลงทุนใหม่ แต่จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการเราคาดการณ์ว่าจะมีการประหยัดต้นทุนจากปัจจัยดังต่อไปนี้ (i) ผู้ประกอบการจะประมูลเฉพาะคลื่นความถี่ของตนเอง โดย ADVANC จะประมูลคลื่นความถี่ 2100MHz และ TRUE จะประมูลคลื่นความถี่ 2300MHz และ (ii) จะมีการแข่งขันน้อย ทำให้ราคาประมูลสุดท้ายสำหรับใบอนุญาต/แบนด์วิธใกล้เคียงกับราคาเริ่มต้น ดังนั้น ต้นทุนในการได้มาซึ่งใบอนุญาตจะต่ำกว่าค่าเช่าที่จ่ายให้กับ NT           จากราคาเริ่มต้นสำหรับคลื่นความถี่ 2100MHz และ 2300MHz คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้น (EPS) สำหรับคลื่นความถี่ 2100MHz เราคาดว่า ADVANC จะจ่ายเพียง 1 หมื่นล้านบาท สำหรับ (1x30MHz) ซึ่งหมายถึงค่าตัดจำหน่ายเพียง 678 ล้านบาทต่อปี ซึ่งต่ำกว่าค่าเช่า 4 พันล้านบาท ที่จ่ายให้กับ NT ในปัจจุบันถึง 3.3 พันล้านบาท และคิดเป็นโอกาสในการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568 ของ ADVANC ขึ้น 9% สำหรับ TRUE ค่าตัดจำหน่ายรายปีสำหรับคลื่นความถี่ 2300MHz จะอยู่ที่ 670 ล้านบาท เทียบกับค่าเช่า 6 พันล้านบาท ที่จ่ายให้กับ NT ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงด้านบวกต่อประมาณการกำไรปี 2568 ถึง 44%           เราได้ทำการวิเคราะห์ความอ่อนไหวเพื่อประเมินว่าราคา ณ จุดใดจะไม่ช่วยเพิ่ม EPS ให้กับ ADVANC และ TRUE อีกต่อไป สำหรับ TRUE ราคาที่เป็นจุดเปลี่ยนคือ 9 หมื่นล้านบาท หรือ 9 เท่าของราคาเริ่มต้น ซึ่งดูเหมือนจะไม่น่าเป็นไปได้ ส่วน ADVANC ราคาที่เป็นจุดเปลี่ยนคือ 6.1 หมื่นล้านบาท หรือ 6 เท่าของราคาเริ่มต้น ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เช่นกัน           เราคาดว่าราคาประมูลที่ชนะในการประมูลครั้งนี้จะใกล้เคียงกับราคาเริ่มต้น เนื่องจากการแข่งขันที่น้อย           Action and Recommendation เราแนะนำ "ซื้อ" สำหรับทั้ง ADVANC (ราคาเป้าหมาย 311 บาท) และ TRUE (ราคาเป้าหมาย 15 บาท) โดยมีพื้นฐานจากกำไรและกระแสเงินสดอิสระที่แข็งแกร่งขึ้นในช่วงสามปีข้างหน้า เรายังคงประมาณการกำไรสำหรับทั้ง ADVANC และ TRUE สำหรับปีหน้า โดยมีความเสี่ยงด้านบวกจากการประมูล

สถานการณ์ตลาดน้ำมัน แนวโน้มสัปดาห์ 31 มี.ค. – 4 เม.ย. 68

สถานการณ์ตลาดน้ำมัน แนวโน้มสัปดาห์ 31 มี.ค. – 4 เม.ย. 68

สถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 24 - 28 มี.ค. 68 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 31 มี.ค. – 4 เม.ย. 68 ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ เล็งเก็บภาษีประเทศที่นำเข้าน้ำมันรัสเซียและเวเนซุเอลา 30 มี.ค. 68 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Donald Trump ให้สัมภาษณ์กับ NBC News ว่าหากรัสเซียไม่ยุติสงครามในยูเครน จะเรียกเก็บภาษีจากประเทศที่นำเข้าน้ำมันรัสเซียเพิ่มขึ้น 25 - 50% โดยอาจมีผลภายใน 1 เดือนหากไม่มีข้อตกลงหยุดยิง นอกจากนี้ ยังเตือนว่าหากประเทศใดซื้อน้ำมันจากรัสเซียจะถูกคว่ำบาตร โดยนาย Trump วางแผนจะพูดคุยกับประธานาธิบดี Vladimir Putin ของรัสเซียในสัปดาห์นี้ 29 มี.ค. 68 Reuters รายงานรัฐบาลสหรัฐฯ แจ้งยกเลิกใบอนุญาตให้บริษัทพลังงานข้ามชาติที่ส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจากเวเนซุเอลา เช่น Repsol, Eni, Reliance นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศให้ประเทศที่ซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลาต้องโดนกำแพงภาษี 25% สำหรับสินค้าที่ส่งออกมายังสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ 2 เม.ย. 68 นโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อจีนที่เป็นผู้ซื้อน้ำมันเวเนซุเอลารายใหญ่ที่สุด นำเข้าในเดือน ก.พ. 68 อยู่ที่ 503,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งคิดเป็น 55% ของการส่งออกทั้งหมดของเวเนซุเอลา 25 มี.ค. 68 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศรัสเซียและยูเครนบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในน่านน้ำแถบทะเลดำ (Black Sea) โดยทั้งสองประเทศจะรับประกันความปลอดภัยในการเดินเรือ ยุติการใช้กำลัง และป้องกันการใช้เรือพาณิชย์เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหารทุกประการ ที่มา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ราคาทองไปต่อ ปรับขึ้นรวม 550 บ. รูปพรรณขายออก 51,400 บ.

ราคาทองไปต่อ ปรับขึ้นรวม 550 บ. รูปพรรณขายออก 51,400 บ.

               หุ้นวิชั่น – วันที่  1 เมษายน 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง ราคาปรับขึ้นจำนวน 3 ครั้ง  “รวม 550 บาท” โดย ครั้งที่ 1 ปรับขึ้น 450 บาท ครั้งที่ 2 ปรับขึ้น 50 บาท ครั้งที่3 ปรับขึ้น 50 บาท ส่งผลให้ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 50,500.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 50,600.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 49,588.36 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 51,400.00 บาท

โดน 3 หุ้นแบงก์แค่ไหน?

โดน 3 หุ้นแบงก์แค่ไหน?

          หุ้นวิชั่น - มาวิเคราะห์ความจริงกัน ว่าผลกระทบแผ่นดินไหวครั้งนี้ กระทบอุตสาหกรรมอะไรกันบ้าง และนักลงทุนควรต้องทำตัวกันอย่างไร           บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ประเทศไทยเคยเกิดเหตุภัยพิบัติหนักๆ อยู่ 3 ครั้งใหญ่ ได้แก่ เหตุการณ์สึนามิ, น้ำท่วมใหญ่ และแผ่นดินไหวเชียงราย ซึ่งหากย้อนรอยเศรษฐกิจไทยในช่วงนั้น  เห็นได้ว่า ทั้ง 3 เหตุการณ์ส่งผลลบให้เศรษฐกิจเสียหายราว 4.55 แสนล้านบาท, 1.4 ล้านล้านบาท และ 2.2 พันล้านบาท ตามลำดับ           แผ่นดินไหวรอบนี้ หอการค้าคาดว่า จะฉุดเศรษฐกิจไทยระยะสั้น ประเมินความเสียหายราว 3-5 พันล้านบาท กระทบ GDP ราว 0.025% อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าหากเหตุการณ์คลี่คลายลง เศรษฐกิจไทยก็พร้อมฟื้นตัวขึ้นทันที           ขณะที่หากพิจารณาในมุมตลาดหุ้นไทย (SET) จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ จะคล้ายคลึงกับการเกิดสึนามิปี 47 มากกว่าการเกิดอุทกภัยปี 54 เนื่องด้วยการเกิดอุทกภัยปี 54 ช่วงเวลาที่เกิดต่อเนื่องนานถึง 5 เดือน           ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์สึนามิปี 47 SET ปรับตัวลงเพียง 3 วันแรกเท่านั้น และหลังจากนั้นจะทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วง 1-3 เดือน ตาม FLOW ต่างชาติที่ทยอยไหลเข้า ซึ่งต้องติดตามว่าการ PANIC SELL ครั้งนี้จะคล้ายกับเหตุการณ์ในอดีตหรือไม่ เนื่องด้วย VOLUME การซื้อขายขณะนี้เบาบางกว่าในอดีต           ซึ่งหากพิจารณา VOLUME BAND ของ SET ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนกังวล TRADE TARIFF ที่จะเกิดขึ้นวันที่ 2 เม.ย. 68 จึงทำให้ VOLUME ปัจจุบันอยู่ราว 2.2-3.0 หมื่นล้านบาท เท่านั้น ใกล้เคียงระดับลบ 1.5-2 SD           ขณะเดียวกัน แผ่นดินไหวใหญ่ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อแต่ละ SECTOR มาก-น้อยเพียงใด หรือมี SECTOR ไหนได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้บ้าง มาดูกัน แน่นอน เป็นปัจจัยลบต่อกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย นอกจากกระทบต่อภาพรวมคอนโดฯ, การดำเนินงาน 2Q68 ทรุดตัว (ทั้งผลกระทบวันหยุดยาวเดือน เม.ย. และดีมานด์ชะงัก) และเพิ่ม DOWNSIDE ต่อประมาณการกำไรปีนี้ ย่อมสร้างแรงกระแทกต่อหุ้นในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้           ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น UNDERPERFORM ตลาดฯ  จึงแนะนำลงทุนน้อยกว่าตลาดสำหรับกลุ่มฯ พร้อมหลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นกลุ่มนี้จนกว่าจะเห็นสถานการณ์ดีขึ้น หรือความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา           โดยจะเร็วช้าขึ้นอยู่กับหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอย่างผู้ประกอบการ ซึ่งปัจจุบันทุกรายต่างเร่งแก้ปัญหา และ TAKE ACTION อย่างเร่งด่วน นอกจากเพื่อช่วยเหลือลูกบ้าน ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจให้กับโครงการ/แบรนด์สินค้า           เบื้องต้นประเมินผลกระทบไล่จากมากสุดมายังน้อยสุด คือ กลุ่มพอร์ตหลักคอนโดฯ กลุ่มผสม (แนวราบ/คอนโดฯ) ได้แก่ AP, SPALI, SIRI, SC และ PSH กลุ่มพอร์ตหลักแนวราบ ได้แก่ LH, QH, LALIN           ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคาร ในเชิงโครงสร้างมองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยดูมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่โอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ภาวะแผ่นดินไหวส่งผลต่ออาคารสูง โดยเฉพาะคอนโด แม้อาคารส่วนใหญ่มีความปลอดภัยเชิงโครงสร้าง แต่การเรียกความเชื่อมั่นของผู้อยู่อาศัยต้องใช้เวลา           ทำให้ต้องจับตามูลค่าหลักประกันกลุ่มคอนโด HIGH RISE ทั้งที่บันทึกเป็นสินเชื่อและ NPA ในระยะสั้นมีแนวโน้มนำไปสู่ระดับการตั้งสำรองสูงขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านมูลค่าหลักประกัน (ส่วนของ NPA อาจบันทึกใน OPEX)           โดยแบงก์ที่มีสัดส่วนสินเชื่อบ้าน 3 อันดับแรก ได้แก่ 1 . SCB (32% ของสินเชื่อ) 2. TTB (26% ของสินเชื่อ)และ KTB (19% ของสินเชื่อ)           ส่วนประเด็นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของแต่ละธนาคาร อาทิ ลดค่างวด พักชำระเงินต้น และลดดอกเบี้ย เป็นมาตรการช่วยเหลือตามปกติช่วงเกิดภัยพิบัติ ดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อน้ำท่วมปีก่อน โดย ธปท. ให้คงการจัดชั้นลูกหนี้ไว้เช่นเดิม ชะลอการไหลตกชั้น           ส่วนกลุ่มท่องเที่ยว ภาพรวมอาคารโรงแรมให้บริการได้ตามปกติ แต่ยังต้องติดตามความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะถัดไป หลังปัจจุบันความไม่มั่นใจด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนยังสูงทำให้สถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย จากสมมติฐานปัจจุบันที่ทำไว้ 38.6 ล้านคน (+9% YOY) โดยผลกระทบจากกรณีที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยต่ำกว่าสมมติฐาน           เรียงตามสัดส่วนรายได้ในไทย ดังนี้ AOT > ERW > CENTEL และ MINT (สัดส่วนโรงแรมไทยไม่เกิน 20% ของรายได้ สัดส่วนหลักๆ 50% ของรายได้มาจากโรงแรมใน EU และอีก 20% มาจากธุรกิจร้านอาหาร) ในเชิงกลยุทธ์ หาก MINT ซึ่งได้รับผลกระทบต่ำสุด ย่อตัวตามการปรับพอร์ตของนักลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ประเมินเป็นโอกาสสะสม           กลุ่มเครื่องดื่ม คาดว่าผู้ผลิตที่มีโรงงานในหรือการจัดจำหน่ายสินค้าในเมียนมา อย่าง OSP และ CBG แม้โรงงานของทั้ง 2 บริษัทไม่ได้รับความเสียหาย แต่อาจกระทบต่อยอดขายจากกำลังซื้อในเมียนมาที่ลดลง เนื่องจากมีพื้นที่ได้รับความเสียหายหลายจังหวัด           ส่วนกลุ่มหุ้นที่ได้อานิสงส์เชิงบวกประกอบด้วย กลุ่มวัสดุก่อสร้าง หุ้นบริษัทในกลุ่มฯ ที่ได้ประโยชน์คือผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างงานตกแต่ง ได้แก่ กระเบื้อง ผนัง และสี เช่น DCC, SCGD, DRT, TOA ขณะที่งานซ่อมแซมในเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้ปูนซีเมนต์มีไม่มาก           รวมไปถึง กลุ่มค้าปลีก/ค้าส่ง คาดว่ากลุ่มผู้จำหน่ายสินค้าตกแต่ง ซ่อมแซมบ้าน ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะ HMPRO ขณะที่กลุ่มค้าส่ง คาดได้ประโยชน์จากการที่ผู้คนอาจหลีกเลี่ยงการไปจับจ่ายในห้างสรรพสินค้าที่เป็นอาคารสูง และหันไปซื้อในร้านค้าส่ง อย่าง CPAXT รวมทั้งร้านสะดวกซื้ออย่าง CPALL การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

ข่าวสังคม การลงทุน

ข่าวสังคม การลงทุน

          ###ข่าวสังคม การลงทุน ประจำวันที่ 1 เมษายน 2568   เริ่มกันที่ “อัสสเดช คงสิริ”  กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ออกมาแถลงข่าวด่วน ก่อนเปิดเทรดวันแรกหลังจากเกิดสถานการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568  เพื่อตอกย้ำว่า ภาคอุตสาหกรรมยังดำเนินการต่อได้ปกติ  มีความพร้อมในการแข่งขันได้ และสามารถส่งออกได้ ภาคการเงินดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง มีเสถียรภาพ สามารถใช้งานได้ปกติ           พร้อมบอกอีกว่า ช่วงนี้ นักลงทุนใจต้องแข็ง หากมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจบริษัทจดทะเบียน ก็ต้องมีความแน่วแน่ อย่าฟังข่าวที่ยังไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่  ยืนยันว่า บริษัทจดทะเบียนแข็งแรงและแข่งขันได้ในระยะยาว           ### ขณะที่ “พรอนงค์ บุษราตระกูล”  เลขาธิการ ก.ล.ต.ชี้ว่า ตลาดทุนได้ผ่านทั้งวิกฤติด้านเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติ โดยมีความยืดหยุ่นตัวได้ดี เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568  ที่ได้ตัดสินใจปิดการซื้อขายหลักทรัพย์ของ ตลท. นั่น ระบบไม่ได้มีปัญหา แต่คำนึงถึงความปลอดภัยของคน และ มั่นใจว่า ระบบตลาดทุน และDigital Asset ยังดำเนินการได้ปกติ           ### ผศ. ดร. ธเนศ วีระศิริ นายกสภาวิศวกร  อาคารส่วนใหญ่มีการโยกตัว ถือเป็นเป็นเรื่องปกติ เมื่อเกิดแผ่นดินไหว โดยอาคารในปัจจุบันออกแบบอาคารให้มีความเหนียว และปัจจุบันสภาวิศวกร ยังมีความมั่นใจกับตัวอาคารในประเทศไทย ปัจจุบัน มีคำขอให้เข้าตรวจพื้นที่ กทม.แล้วประมาณ 13,000 แห่ง และได้ดำเนินการตรวจแล้วกว่า 10,000 แห่ง โดยพบว่า มีเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่เป็นสีแดง           ### นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน แจ้งว่า ภายหลังการเกิดเหตุแผ่นดินไหว ในส่วนของโครงสร้างไฟฟ้า ได้รับผลกระทบเล็กน้อย แต่ไม่กระทบต่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับประชาชน โดยมีบางโรงไฟฟ้ามีการหลุดออกจากระบบหลังจากเหตุแผ่นดินไหวซึ่งเป็นระบบป้องกันภัยอัตโนมัติ แต่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็ได้บริหารจัดการจึงทำให้ประชาชนในบางพื้นที่ได้รับผลกระทบในระยะเวลาอันสั้น           ส่วนในด้านความมั่นคงปลอดภัยของเขื่อนนั้น กฟผ. ได้ตรวจสอบด้วยเครื่องวัดอัตราเร่งของพื้นดิน ซึ่งไม่พบความผิดปกติใดๆ ในตัวเขื่อนและอาคารประกอบอื่นๆ ทั้งเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนต่างๆ ของ กฟผ. จึงมั่นใจได้ว่าโครงสร้างระบบไฟฟ้าและเขื่อนมีความมั่นคงปลอดภัย           ด้านโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันและการส่งก๊าซธรรมชาติผ่านท่อนั้น ในส่วนของระบบการรับส่งก๊าซธรรมชาติและโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หลังการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่า ยังคงเป็นปกติและสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่กระทบต่อการส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงไฟฟ้าและผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติ ส่วนคลังน้ำมันและคลังปิโตรเลียมจำนวน 22 แห่งทั่วประเทศของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTT OR ไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวแต่อย่างใด           ### หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  OR พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมมอบน้ำมันดีเซลจำนวน 2,000 ลิตร ให้แก่กรุงเทพมหานคร เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ประสบเหตุตึกถล่ม           ก่อนหน้านี้ OR ได้สนับสนุนน้ำมันดีเซลจำนวน 600 ลิตร ให้แก่มูลนิธิเส้นด้ายเพื่อนำไปเติมให้รถแบคโฮสำหรับปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัย อีกทั้งยังได้มอบเครื่องดื่ม Café Amazon จำนวน 4,700 ชุด และเบเกอรี่ จำนวน 4,000 ชุด เพื่อเป็นกำลังใจในการค้นหาผู้สูญหายให้แก่ทีมกู้ภัย ทีม PTT Group SEALs ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่ม ปตท. ร่วมปฏิบัติหน้าที่กู้ภัยในครั้งนี้           ### บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ DEXON ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุแผ่นดินไหวซึ่งส่งผลให้อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ในเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ล่าสุด DEXON ได้จัดส่งอุปกรณ์ตรวจสอบแบบไม่ทำลายขั้นสูง (Advanced Non-Destructive Testing – NDT) พร้อมทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนทีมกู้ภัย           อุปกรณ์ที่สนับสนุนประกอบด้วย:  กล้องตรวจสอบระยะไกล (Remote Visual Inspection – RVI Camera) สำหรับตรวจสอบพื้นที่เข้าถึงยากหรือไม่ปลอดภัย โดยไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่เข้าไปโดยตรง  CRAWLER รุ่น F200 สำหรับตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เสี่ยง โดยสามารถส่งข้อมูลแบบไร้สายได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่จำกัด           ###ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ BEM  กำชับว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว อาจทำให้ประชาชนเกิดความกังวลด้านความปลอดภัยของการใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีม่วง และทางพิเศษทั้ง 3 สายทางที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ได้แก่ ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2), ทางพิเศษอุดรรัถยา และทางพิเศษประจิมรัถยา           ขอยืนยันว่ารถไฟฟ้าและทางพิเศษที่บริษัทดูแลนั้นได้ออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อรองรับสถานการณ์แผ่นดินไหว และที่ผ่านมาบริษัทมีการดูแลบำรุงรักษา ตรวจเช็คระบบและโครงสร้างอย่างสม่ำเสมอตามแผนงานเพื่อมอบความปลอดภัยสูงสุดให้แก่ผู้ใช้บริการ           ทีมวิศวกรและผู้เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตรวจสภาพความพร้อม และประเมินความแข็งแรงของโครงสร้าง และความพร้อมใช้งานของระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้าอย่างละเอียดในทุกพื้นที่ของทางพิเศษและระบบรถไฟฟ้าแล้ว พบว่ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์  สบายใจได้           ###หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BAFS ให้ความมั่นใจว่า  การเกิดแผ่นดินไหว ที่ประเทศเมียนมาร์ทำให้พื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพมหานครได้รับผลกระทบจากอุบัติภัยในครั้งนี้ พบว่า การให้บริการน้ำมันอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง ไม่ได้รับผลกระทบจากอุบัติภัยแต่อย่างใด           บริษัทได้ตรวจสอบแล้วไม่พบการรั่วไหลของน้ำมันอากาศยาน อีกทั้งคุณภาพน้ำมันอากาศยานยังเป็นไปตามมาตรฐานสากล การให้บริการน้ำมันอากาศยานแก่สายการบินต่างๆ ที่ท่าอากาศยานทั้งสอง สามารถให้บริการตรงเวตามปกติ ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

ตลท.-ก.ล.ต.ปลุกความเชื่อมั่น ยันปัจจัยพื้นฐานบจ.ไทยยังแกร่ง

ตลท.-ก.ล.ต.ปลุกความเชื่อมั่น ยันปัจจัยพื้นฐานบจ.ไทยยังแกร่ง

          หุ้นวิชั่น - ตลท. และ ก.ล.ต. ยืนยันตลาดทุนไทยยังมีเสถียรภาพ พร้อมเดินหน้าแผน BCP รับมือเหตุไม่คาดคิด ระบบยังพร้อมให้บริการ เดือนอย่าแพนิคเกินไป ด้านสภาวิศวกรชี้ อาคารส่วนใหญ่ยังปลอดภัย โครงสร้างพื้นฐานไม่ได้รับความเสียหายรุนแรง ได้ดำเนินการตรวจแล้วกว่า 10,000 แห่ง           นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา จึงต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลให้ดี โดยประเทศไทยก็ได้มีการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้ผ่านการทดสอบแล้ว รวมไปถึงสถาอุตสาหกรรมก็ได้ออกมาบอกชัดเจนว่าภาคอุตสาหกรรมยังดำเนินการต่อได้ปกติ ยังมีความพร้อมในการแข่งขันได้ และสามารถส่งออกได้ ภาคการเงินก็ยังดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง มีเสถียรภาพ สามารถใช้งานได้ปกติ ขณะที่ คปภ.ก็มีการเตียมความพร้อมที่จะช่วยเหลือประชาชน ในการประสานงานดำเนินการที่จะต้องการเคลมประกัน และยืนยันว่าบริษัทประกันมีความแข็งแกร่ง ด้านตลาดหลักทรัพย์และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็มีการประสานกัน และยังได้ประสานกับทุกภาคส่วน เตรียมความพร้อม โดยระบบ ใช้งานได้ปกติ แต่ในเคสนี้ เป็นเรื่องบุคลากรที่ต้องอพยพ และได้เช็คระบบ เช็คบุคลากร ณ วันนี้ บุคลากรพร้อมที่จะดำเนินการให้บริการต่อ           “การจัดงานวันนี้เพื่อให้ข้อมูลและความมั่นใจเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย ณ วันนี้ โดยมีภาวะต่างประเทศที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จะแยกยังไง ว่าประเด็นไหนเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน ประเด็นไหนเป็นปัจจัยที่เกี่ยวกับปัจจัยต่างประเทศ โดยเช้านี้ ญี่ปุ่นเปิดลบ 4% ไต้หวัน 2% กว่า มีหลายปัจจัยเข้ามากระทบ มีหลายอย่างที่ต้องวิเคราะห์ ช่วงนี้ ใจต้องแข็ง หากมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจบริษัทจดทะเบียน ก็ต้องมีความแน่วแน่ อย่าฟังข่าวที่ยังไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ การแพนิค น่าจะเดือดร้อนมากกว่าในระยะยาว ยืนยันว่า บริษัทจดทะเบียน ยังแข็งแรงและแข่งขันได้ในระยะยาว ปัจจัยพื้นฐานยังดี ”นายอัสสเดช กล่าว           อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลท.ก็พร้อมใช้ Circuit Breaker หรือการหยุดการซื้อขายชั่วคราว หากดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่มีไว้อยู่แล้ว เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆไม่เฉพาะสถานการณ์แผ่นดินไหวเท่านั้น           ขณะที่ ศาสตราจารย์ ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ตลาดทุนได้ผ่านมาหลายวิกฤติ ทั้งวิกฤติด้านเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติ ที่ผ่านมาก็มีความยืดหยุ่นได้ดี หลังการเกิดแผ่นดินไหว ต้องมาดูแผน BCP แต่ภายในระยะเวลาไม่นาน ก็สามารถบริหารจัดการติดต่อกับผู้ประกอบธุรกิจและตลาดหลักทรัพย์ฯ Digital Assetและตัดสินใจร่วมกัน คำนึงถึงประโยชน์ของนักลงทุนโดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้ตัดสินใจปิดการซื้อขายของ ตลท. ยืนยันว่า ระบบไม่ได้มีปัญหา แต่คำนึงถึงความปลอดภัยของคน และช่วงที่ไม่มีความแน่นอน การซื้อขายอาจได้รับผลกระทบได้ อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าระบบ ตลาดทุน และDigital Asset ยังดำเนินการได้ปกติ และมีเสถียรภาพ           นอกจากนี้ยังได้มีการการผ่อนปรนในเรื่องที่ไม่สะดวก เช่น การรายงาน ครบรอบการส่งรายงานประจำปี one report สิ่งเหล่านี้ ก.ล.ต.ได้สื่อสารผู้ประกอบธุรกิจ และสาธารณะ ระบบ ตลาดทุนฯ สามารถที่จะมั่นใจ โดยเฉพาะการใช้แผนBCP อยากให้นักลงทุนไตรตรองข่าวสารอย่างถูกต้อง           อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ อาจจะมีความกังวล Panic แต่ขณะนี้มีหลายปัจจัยเสี่ยงสงครามการค้า มันเป็นความเสี่ยงหลักสำคัญมากกว่า ตลาดทุนไทยอาจจะยังมีผลกระทบบ้าง แต่หากนักลงทุนแยกแยะข่าวต่างๆได้ เชื่อว่า แต่ระบบงานต่างๆ พร้อม รองรับทุกรูปแบบ ทั้ง ขึ้นชนซิลลิ่ง ติดฟลอร์ ขอให้ระบบซื้อขาย ข้อมูลข่าวสาร ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล ก็พร้อมจะรองรับทุกรูปแบบ           ผศ. ดร. ธเนศ วีระศิริ นายกสภาวิศวกร เปิดเผยว่า อาคารส่วนใหญ่มีการโยกตัว ถือเป็นเป็นเรื่องปกติเมื่อเกิดแผ่นดินไหว โดยอาคารในปัจจุบันออกแบบอาคารให้มีความเหนียว และปัจจุบันสภาวิศวกร ยังมีความมั่นใจกับตัวอาคารในประเทศไทย ปัจจุบัน มีคำขอให้เข้าตรวจพื้นที่ กทม.แล้วประมาณ 13,000 แห่ง และได้ดำเนินการตรวจแล้วกว่า 10,000 แห่ง โดยพบว่า มีเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่เป็นสีแดง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า โครงสร้างพื้นฐานของอาคารที่ร้องขอให้ไปตรวจสอบไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาคารออกแบบได้มีการออกแบบตามมาตรฐานวิศวกรรม

ราคาทองพุ่งต่อเนื่อง! รูปพรรณ ขายออก 50,750 บ.

ราคาทองพุ่งต่อเนื่อง! รูปพรรณ ขายออก 50,750 บ.

           หุ้นวิชั่น – วันที่  31 มีนาคม 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง ราคาปรับขึ้นจำนวน 6   ครั้ง  รวม “ราคาปรับขึ้น 350 บาท” โดยราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 49,850.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 49,750.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 48,951.64 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 50,750.00 บาท

หุ้นกู้ CK หนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ [HoonVision X FynnCorp]

หุ้นกู้ CK หนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ [HoonVision X FynnCorp]

         หุ้นวิชั่น - CK เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทย ครอบคลุมโครงการต่าง ๆ ตั้งแต่ระบบขนส่งมวลชนจนถึงโครงการพลังงาน มีรายได้หลักจากสัญญาก่อสร้าง และรายได้เกินครึ่งมาจากต่างประเทศ          กระแสเงินสดจากการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง และรายได้จากสัญญาก่อสร้างยังเติบโตต่อเนื่อง จากมูลค่างานในมือ (Backlog) เกือบ 300,000 ล้านบาท          บริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน ให้แก่นักลงทุนทั่วไป ช่วง [18 และ 21-22] เมษายน 2568 จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ทั้งหมด 4 ชุด หุ้นกู้ CK          กว่าประสบการณ์ 50 ปีในธุรกิจก่อสร้าง สู่การเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบัน            บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) ก่อตั้งในปี 2515 เพื่อประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจากหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งภาคเอกชน ลูกค้าหลักคือ หน่วยงานภาครัฐ เช่น กองทัพบก และกองทัพอากาศ และได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในปี 2537 ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุดในกลุ่มธุรกิจก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยมูลค่ากว่า 24,000 ล้านบาท            ขอบเขตงานของ CK ครอบคลุมถึงการก่อสร้างอาคารและงานโยธาทั่วไป ตั้งแต่ระบบขนส่งมวลชน ท่าอากาศยาน ถนน ทางด่วน สะพาน พลังงาน ท่าเรือ ไปจนถึง อาคาร ซึ่งบริษัทดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในนาม บริษัท ช.การช่าง (ลาว) จำกัด Source: The Company's Website            บริษัทดำเนินธุรกิจหลัก 2 ประเภท คือ ธุรกิจก่อสร้างและธุรกิจการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภค ซึ่งในธุรกิจก่อสร้างนั้น บริษัทเป็นทั้งผู้รับเหมาโดยตรง (Main Contractor) ด้วยวิธีการประกวดราคาหรือเจรจาต่อรองจากเจ้าของโครงการโดยตรง และผู้รับเหมาช่วง (Sub Contractor) โดยการรับจ้างจากผู้รับเหมารายอื่นที่ได้รับงานโดยตรงจากเจ้าของโครงการ (Main Contractor) ซึ่งถือเป็นการสร้างพันธมิตรทางการค้าที่มีศักยภาพ            นอกจากเป็นผู้รับเหมาแล้ว บริษัทยังเป็นนักลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค เช่น ในระบบคมนาคม ระบบขนส่งมวลชน ระบบสาธารณูปโภคน้ำ และระบบพลังงานไฟฟ้า โดยการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM), บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) (TTW) และบริษัทซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP) นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างหลักให้กับบริษัทเหล่านี้อีกด้วย            โดยโครงสร้างรายได้ของ CK มาจากการเป็นผู้รับเหมาโดยตรง คิดเป็น 96.62% ของรายได้รวมในปี 2567 และรายได้อื่นจากค่าบริหารโครงการ เงินปันผล และอื่นๆ อีก 3.38% ซึ่งบริษัทมีรายได้จากต่างประเทศ 50.11% และในประเทศ 49.89%            ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมี Backlog (งานที่ยังไม่ส่งมอบ) รวมมูลค่า 298,557 ล้านบาท จาก 11 โครงการ รับรู้รายได้ไปแล้ว 69,983 ล้านบาท หนึ่งโครงการ คาดว่าจะแล้วเสร็จใน สิงหาคม 2568 และจะรับรู้รายได้เพิ่ม ประมาณ 1,200 ล้านบาท โครงการที่เหลือ คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จระหว่างปี 2570 - 2576 ผลการดำเนินงาน            รายได้จากสัญญาก่อสร้างเพิ่มขึ้น 2.67% YoY (+973 ล้านบาท) ในปี 2567 อยู่ที่ 37,457.87 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้ของสัญญาก่อสร้างที่มีอยู่และโครงการใหม่ ส่วนรายได้อื่นอยู่ที่ 1,312.04 ล้านบาท ลดลง 10.8% YoY ขณะที่กำไรสุทธิลดลงเล็กน้อย 3.74% YoY จากค่าใช้จ่ายบริหารและต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น            โดยรายได้จากสัญญาก่อสร้างนี้ รับรู้จากโครงการหลัก อย่างเช่น โครงการรถไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง รถไฟฟ้าสายสีม่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (สายสีม่วงใต้) โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ            โครงการที่อยู่ในช่วงปลายโครงการ เช่น สัญญางานก่อสร้างอาคารศูนย์การเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำบางมด - สำโรง            โครงการใหม่ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น เช่น โครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียธนบุรีและสวนสาธารณะพื้นที่แขวงบางขุนนนท์ กรุงเทพฯ รวมถึง โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม กระแสเงินสดจากการดำเนินงานแข็งแกร่ง            บริษัทมีรายได้จากสัญญาก่อสร้างเพิ่มขึ้นในปี 2567 ขณะเดียวกัน กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5,547.04 ล้านบาท สะท้อนการมีแหล่งรายได้และกระแสเงินสดจากสัญญาก่อสร้างอย่างต่อเนื่องในระยะยาว จากการที่บริษัทเน้นการประมูลโครงการก่อสร้างและสัมปทานจากหน่วยงานภาครัฐ โดยกระแสเงินสดดังกล่าว ยังครอบคลุมกระแสเงินสดที่ใช้ในการลงทุนและจัดหาเงิน ซึ่งมีมูลค่ารวม 3,136.02 ล้านบาท ส่งผลให้มีเงินสดเพิ่มขึ้นสุทธิ 2,404 ล้านบาท สะสมให้บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ 10,188 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 รายได้สัญญาก่อสร้างเติบโตต่อเนื่อง จากการลงนามโครงการใหม่            ในเดือนพฤศจิกายน 2567 บริษัททำสัญญากิจการร่วมค้ากับ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อ ซีเคเอสที-โออาร์ มูลค่าสัญญากว่า 58,950 ล้านบาท เพื่อรับจ้างงานก่อสร้างโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี โดยบริษัทมีสัดส่วนการลงทุน 51% และมีระยะเวลาดำเนินการประมาณ 64 เดือน (5-6 ปี)            นอกจากนั้น ในปี 2567 บริษัทได้ลงนามสัญญารับจ้างจากบริษัทในเครืออย่าง BEM และ TTW จำนวน 6 โครงการ ด้วยสัญญามูลค่ารวม 125,707 ล้านบาท และได้ลงนามสัญญาอีก 1 โครงการจากการชนะการประกวดราคา มูลค่าประมาณ 552 ล้านบาท แนวโน้มในปี 2568            บริษัทมีโครงการที่จะเข้าร่วมประกวดราคาคิดเป็นมูลค่าประมาณเกือบ 4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูงและการก่อสร้างซับซ้อน อย่างไรก็ตาม CK มีจุดเด่นด้วยประสบการณ์และความพร้อมทั้งด้านการเงิน บุคลากร การบริหารจัดการ ทำให้บริษัทมีศักยภาพเติบโตในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อันดับเครดิต A- จากการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศ            ในด้านอันดับเครดิต พบว่าทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและจัดอันดับหุ้นกู้ที่ระดับ A- และแนวโน้มอันดับเครดิต Stable ณ วันที่ 3 มีนาคม 2568 สะท้อนความสามารถในการรับงานโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ซับซ้อน ซึ่งบริษัทเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างที่หลากหลาย ทำให้ได้รับสัญญาก่อสร้างและสร้างรายได้ประจำระยะยาว            อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังมีภาระหนี้สินในระดับสูงจากอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวม (D/E ratio) จาก 2.72 เท่า ในปี 2566 มาเป็น 3.27 เท่าในปี 2567 แต่หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (IBD) ลดลงตามเงินกู้ยืมทั้งระยะสั้นและยาว รวมถึงอัตรากำไรค่อนข้างน้อยของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ท่ามกลางการแข่งขันรุนแรง ประวัติการปรับอันดับเครดิตองค์กร (Issuer Rating)            ข้อกำหนดการดำรงอัตราส่วนทางการเงิน ตามข้อกำหนดสิทธิ (Financial Covenant) บริษัทในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ต้องรักษาอัตราส่วนของหนี้สินสุทธิที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) ตามงบการเงินรวมไม่เกิน 3 เท่า โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.67 เท่า            หุ้นกู้คงค้างของบริษัท (Outstanding bonds) ในปัจจุบันอยู่ที่ 41,102 ล้านบาท จากหุ้นกู้ 24 รุ่น โดย CK ออกหุ้นกู้มาแล้ว 81 รุ่น ตั้งแต่ปี 2543 และไม่มีประวัติการผิดนัดชำระหรือดอกเบี้ยของหุ้นกู้ นอกจากนี้ บริษัทมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2568 เป็นมูลค่า 7,200 ล้านบาท ในเดือน พฤษภาคม สิงหาคม และ พฤศจิกายน ตามลำดับ ขณะที่มีเงินสด รายการเทียบเท่าเงินสดในมือจำนวน 10,188 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 CK's Bond Outstanding Value (THB Million)            หุ้นกู้เสนอขายใหม่ บริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน ให้แก่นักลงทุนทั่วไป ช่วง [18 และ 21-22] เมษายน 2568 จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ทั้งหมด 4 ชุด ได้แก่ อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.3 - 3.5%] ต่อปี อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.6 - 3.8%] ต่อปี อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.8 - 4.0%] ต่อปี อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย [4.0 - 4.2%] ต่อปี ปัจจัยเสี่ยง ความเสี่ยงจากภาระหนี้สินในระดับสูง แม้ CK จะมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 10,188 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในปี 2568 ที่ 7,200 ล้านบาท แต่หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (IBD) คิดเป็นกว่า 90% ของหนี้สินรวมในปี 2567 ถือเป็นระดับที่สูง ทำให้บริษัทต้องบริหารกระแสเงินสดอย่างรัดกุมสำหรับการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงการออกตราสารหนี้เป็นหลัก หรือคิดเป็นประมาณ 75% ของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2567 รวมมูลค่ากว่า 41,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอื่น เช่น เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ความเสี่ยงเรื่องต้นทุนที่บริษัทต้องแบกรับ จากการเปลี่ยนแปลงของราคาวัสดุก่อสร้าง ท่ามกลางความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจและตลาดวัสดุก่อสร้างที่เคลื่อนไหวตามอุปสงค์และอุปทาน รวมไปถึงปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ รวมถึงข้อจำกัดการจ้างแรงงานต่างด้าว

มือไม้สั่น! ราคาทองพุ่ง รูปพรรณขายออก 50,200 บ.

มือไม้สั่น! ราคาทองพุ่ง รูปพรรณขายออก 50,200 บ.

            หุ้นวิชั่น – วันที่  28 มีนาคม 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง ราคาปรับขึ้นลงจำนวน 2 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 ราคาปรับขึ้น 600 บาท ,ครั้งที่ 2 ราคาปรับลง 50 บาท            รวมเช้าวันนี้ “ราคาปรับขึ้น 650 บาท” โดยราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 49,300.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 49,400.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 48,405.88 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 50,200.00 บาท

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.75-34.00 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.75-34.00 บ./ดอลลาร์

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าเล็กน้อย สอดคล้องเงินยูโรและเงินปอนด์ที่แข็งค่าเทียบกับเงินดอลลาร์ ด้านรัฐบาลอังกฤษกำลังเร่งเจรจาด่วนกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม เศรษฐกิจสหรัฐฯ โตสูงกว่าคาดที่ 4% ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โดยกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น 5.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี เงินเฟ้อกรุงโตเกียวเดือนมีนาคม เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 9%YOY สูงกว่าที่ตลาดคาด เพิ่มโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ)

ราคาน้ำมันดิบดีด ขานรับสต็อกต่ำกว่าคาด

ราคาน้ำมันดิบดีด ขานรับสต็อกต่ำกว่าคาด

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ +0.39% ปิดที่ 69.92 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สอง เนื่องจากนักลงทุนยังคงตอบรับต่อข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงแนวโน้มอุปทานน้ำมันที่ตึงตัว ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก

จัดทัพหุ้นท่องเที่ยว

จัดทัพหุ้นท่องเที่ยว

          หุ้นวิชั่น - มูลค่าการซื้อขายตลาดหุ้นไทยเริ่มลดลงสอดคล้องกับมูลค่าซื้อขายตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ที่ลดลงระดับ 20%-40%  เนื่องจากนักลงทุนชะลอ การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ระหว่างเฝ้ารอ ดูทรัมป์กำลังตัดสินใจตั้งกำแพงภาษีตอบโต้หลายประเทศ  สงครามการค้าระอุ กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก           ล่าสุด ครม. เคาะไฟเขียว พ.ร.บ.ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร มุ่งเน้นลงทุนเพื่อการท่องเที่ยวไทย กำหนด “กาสิโน” ไม่เกิน 10% ของพื้นที่ทั้งหมด หุ้นได้ประโยชน์ในมุมมอง BLS Research ประกอบด้วย  BTS , VGI , STECON ,BA , MBK และกลุ่มโรงแรม ส่วนกลุ่มธนาคารอาจได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการปล่อยกู้โครงการใหญ่           เช่นเดียวกับ บล.หยวนต้าคาด เป็นปัจจัยบวกเชิง Sentiment ต่อ VGI, BTS, MBK, ERW, CENT ส่วน บล.กรุงศรี ชี้ หุ้น BTS, VGI, BA, STECON ได้รับอานิสงส์พร้อมกับกลุ่มธนาคาร BBL, KBANK, KTB           ภายใต้มูลค่าซื้อขายเบาบางนี้  มุมมอง บล.เอเซีย พลัส แนะนำ TRADING หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว จากมาตรการคงค่าไฟฟ้า GPSC, BGRIM เก็งข่าวมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน รัฐจ่ายคนละครึ่ง ERW, MINT, CENTEL และหุ้นอิงราคาน้ำมัน PTTEP, PTT, BCP, TOP           หันมาดูตัวเลข นักท่องเที่ยวต่างชาติฯ ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 23 มี.ค. 68 โต 2.9% YOY มาที่ 8,885,747 คน หรือเฉลี่ย 108,363 คนต่อวัน (เพิ่ม 5.4% จากค่าเฉลี่ยรายวัน 4Q67) ยังถือว่าอัตราการขยายตัวน้อยกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยที่เพิ่ม 8.6%YOY (38.6 ล้านคน) และภาครัฐ (39-40 ล้านคน เพิ่มประมาณ 10% YOY) หลังนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยยังน้อยกว่าที่ประเมิน (สัปดาห์ที่ 17 มี.ค. – 23 มี.ค. 68 อยู่ที่ 67,580 คน ติดลบ 4% WOW และหดตัว 50% YOY) จากความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน และการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวจากประเทศอื่น โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น           สถานการณ์ของนักท่องเที่ยวจีนยังต้องติดตามการฟื้นตัว หากพิจารณาช่วงเกิดเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต (ก.ค. 61) นักท่องเที่ยวจีนมาไทยติดลบติดต่อกัน 5 เดือน จึงเริ่มกลับมาขยายตัว YOY ช่วง ธ.ค. 61 โดยสมมติฐานนักท่องเที่ยวฯ ทั้งปีเริ่มดูท้าทาย แต่ยังอยากติดตามปัจจัยหนุนช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวจากวันหยุดอีสเตอร์ที่ปีนี้เลื่อนไปอยู่ เม.ย. (ปีก่อนอยู่ มี.ค.)           รวมถึงติดตามการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนช่วงวันแรงงาน (หยุด 5 วัน 1–5พ.ค. 68) และ 3Q เข้าสู่ SEASONALITY ของสมุย ซึ่งแนวโน้มนักท่องเที่ยวฯ น่าจะเข้ามามากขึ้น รับประโยชน์จากกระแส WHITE LOTUS ว่าจะเข้ามาสนับสนุนได้มากน้อยเพียงใด           ทั้งนี้ กรณีที่นักท่องเที่ยวฯ ฟื้นช้ากว่าคาด อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวฯ เข้าไทยลงมาอยู่ที่ 37-37.5 ล้านคน เติบโต 4.1%-5.5%  เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับผลต่อการดำเนินงานกลุ่มท่องเที่ยว มองว่าบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้ในไทยสูง จะได้รับผลกระทบจากภาพนักท่องเที่ยวฯข้างต้น เรียงจากมากไปน้อยดังนี้ AOT ตามด้วย ERW, CENTEL และ MINT (สัดส่วนรายได้ 50% มาจากโรงแรมในEU)           ราคาหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว YTD ปรับฐานเฉลี่ย 20% (VS SET INDEX ลบ 15%) ซึมซับปัจจัยลบไปบางส่วนแล้ว ขณะที่มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย อย่าง เราเที่ยวด้วยกัน รัฐจ่ายคนละครึ่ง (50% : 50%)ครอบคลุมค่าที่พัก ค่าเครื่องบิน ร้านอาหาร เริ่ม พ.ค. - ก.ย. ประกอบกับร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร  ที่ ครม. เห็นชอบ  น่าจะช่วยสร้าง SENTIMENT ที่ดีต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวหลังปรับฐานมาอย่างต่อเนื่อง           โดยคงเลือก MINT และ CENTEL เป็นหุ้นเด่น จากโครงสร้างธุรกิจกระจายตัวและในหลายประเทศ (อย่าง CENTEL มีโรงแรมในญี่ปุ่น) ลดทอนผลกระทบจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่ช้ากว่าสมมติฐาน           ส่วน ERW มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER ราว 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 35 เท่า ถือว่าไม่แพงแล้ว ขณะที่ AOT จะรับประโยชน์จากการกระตุ้นท่องเที่ยวไทยน้อยกว่ากลุ่มโรงแรม เพราะค่าบริการผู้โดยสารขาออกในประเทศ (130 บาทต่อคน) ไม่สูงเท่าระหว่างประเทศ (730 บาทต่อคน)           ในที่สุดครม.  ได้มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ เพิ่ม อำนาจให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการทำคดีหุ้น ทั้งด้านการเพิ่มประสิทธิภาพเกี่ยวกับการกำกับดูแลการขายชอร์ต เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมโปร่งใส ด้านการกำกับผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุนเพื่อยกระดับการทำหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันการทุจริตของบริษัทจดทะเบียน การรายงานข้อมูลการก่อภาระผูกพันในหลักทรัพย์เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่สำคัญ ครบถ้วนและเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ด้านมาตรการทางกฎหมายเพื่อยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมของบริษัทจดทะเบียน           สำหรับกรณีการเป็นพนักงานสอบสวนในคดีที่มี high impact  ก.ล.ต. มีอำนาจในการทำคดีและเมื่อสรุปสำนวนเสร็จสิ้น จะนำส่งสำนวนและความเห็นไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องซึ่งเป็นไปตามหลักการ check and balance ตามกระบวนการยุติธรรม การดำเนินการดังกล่าว ก.ล.ต. สามารถบูรณาการพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการร่วมสอบสวนคดีโดยใช้ความเชี่ยวชาญมาช่วยให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายในกรณี high impact รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น           ก็ต้องจับตากันต่อไปว่า เมื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กับ  ก.ล.ต. แล้ว จะกล้าฟันมากน้อยแค่ไหน การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น  

ตลท.เชื่อ พรก. เพิ่มอำนาจ ก.ล.ต. ส่งผลดีต่อตลาดทุนไทย

ตลท.เชื่อ พรก. เพิ่มอำนาจ ก.ล.ต. ส่งผลดีต่อตลาดทุนไทย

          สืบเนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันนี้ (27 มีนาคม 2568) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ชุดยกระดับการกำกับดูแลกิจการและมาตรการบังคับใช้กฎหมาย) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอนั้น           นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อมั่นว่า ร่างกฎหมายดังกล่าว จะส่งผลดีต่อตลาดทุนโดยรวม เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของการกำกับดูแลการซื้อขายและการตรวจสอบการทำธุรกรรมของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ยังจะช่วยให้การดำเนินการทางคดีและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการกระทำความผิดในตลาดทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลงโทษผู้กระทำความผิดได้รวดเร็วมากขึ้น อันจะช่วยป้องปรามให้ผู้ที่คิดจะกระทำความผิดเกิดความเกรงกลัว โดยมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดเพิ่มเติมในร่างกฎหมายดังกล่าว สามารถจะเสริมสร้างความเชื่อมั่น (Trust & Confidence) ให้แก่ผู้ลงทุน ซึ่งถือเป็นวาระสำคัญเร่งด่วนของตลาดทุนไทยในขณะนี้

ก.ล.ต. ขานรับครม.ผ่านร่าง พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ

ก.ล.ต. ขานรับครม.ผ่านร่าง พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ

          ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ชุดยกระดับการกำกับดูแลกิจการและมาตรการบังคับใช้กฎหมาย) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ           นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การปรับปรุงกฎหมายในครั้งนี้ เป็นการปรับปรุงในหลาย ๆ มิติ ทั้งด้านการเพิ่มประสิทธิภาพเกี่ยวกับการกำกับดูแลการขายชอร์ตเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมโปร่งใส ด้านการกำกับผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุนเพื่อยกระดับการทำหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันการทุจริตของบริษัทจดทะเบียน การรายงานข้อมูลการก่อภาระผูกพันในหลักทรัพย์เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่สำคัญ ครบถ้วนและเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ด้านมาตรการทางกฎหมายเพื่อยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมของบริษัทจดทะเบียน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเพิ่มอำนาจในการทำคดีของ ก.ล.ต.           “ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้มีการดำเนินการในหลายด้านเพื่อยกระดับในการกำกับดูแล ให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน รวมทั้งเตรียมความพร้อมบุคลากรด้านการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับปรุงกฎหมายภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการกำกับดูแล โดยการออกเป็น พ.ร.ก. ตามที่ ครม. เห็นชอบจะช่วยให้การดำเนินการได้รวดเร็วมากขึ้น และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเป็นรากฐานในการช่วยบรรเทาผลกระทบต่อตลาดทุนได้กรณีมีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ อีกทั้งการเสริมสร้างตลาดทุนไทยให้แข็งแกร่งยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย           สำหรับกรณีการเป็นพนักงานสอบสวนในคดีที่มี high impact  ก.ล.ต. มีอำนาจในการทำคดีและเมื่อสรุปสำนวน เสร็จสิ้น จะนำส่งสำนวนและความเห็นไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องซึ่งเป็นไปตามหลักการ check and balance ตามกระบวนการยุติธรรม การดำเนินการดังกล่าว ก.ล.ต. สามารถบูรณาการพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการร่วมสอบสวนคดีโดยใช้ความเชี่ยวชาญมาช่วยให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายในกรณี high impact รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น” เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว

6 เรื่องต้องรู้! ก่อนลงทุนหุ้นเติบโต

6 เรื่องต้องรู้! ก่อนลงทุนหุ้นเติบโต

           หุ้นวิชั่น - การเติบโตของยอดขายและกำไร เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงความสำเร็จและศักยภาพของธุรกิจในระยะยาว โดยการเติบโตของยอดขายแสดงถึงความสามารถของบริษัทในการขยายตลาดและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ในขณะที่การเติบโตของกำไรสะท้อนถึงความสามารถในการจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยสองปัจจัยดังกล่าวมีความสำคัญต่อการสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว วิธีเลือกหุ้นเติบโตในระยะยาว หากเลือกหุ้นเติบโตเข้ามาในพอร์ตการลงทุน นอกจากจะเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีแล้ว ยังลดความเสี่ยงจากการลงทุนในระยะยาวด้วย สำหรับคุณสมบัติโดดเด่นของหุ้นที่มีการเติบโตของยอดขายและกำไร มีดังนี้ วิเคราะห์การเติบโตของรายได้และกำไร อัตราการเติบโตสูง มีการเติบโตของรายได้และกำไรที่สูงกว่าเฉลี่ยของตลาด โดยมักจะเกิดจากการขยายตัวของตลาดหรือการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด การเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด บริษัทเหล่านี้มักจะใช้กลยุทธ์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด เช่น การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือการขยายไปสู่ตลาดใหม่ การลงทุนในนวัตกรรมและการขยายตัว การลงทุนใน R&D มีการลงทุนอย่างมากในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ การขยายตัวของธุรกิจ มีการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ ๆ หรือการเพิ่มความสามารถในการผลิตเพื่อรองรับการเติบโต การบริหารเงินทุน การไม่จ่ายเงินปันผลหรือจ่ายน้อย บริษัทเหล่านี้มักจะไม่จ่ายเงินปันผลหรือจ่ายน้อย เนื่องจากเลือกที่จะนำกำไรกลับมาใช้ในการขยายธุรกิจ การมีงบดุลที่แข็งแกร่ง มักจะมีงบดุลที่แข็งแกร่งและมีเงินสดเพียงพอสำหรับการลงทุนในอนาคต การประเมินมูลค่าสูง อัตราส่วน P/E Ratio สูง หุ้นเหล่านี้มักจะมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) สูง เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังการเติบโตในอนาคต ความเสี่ยงสูง มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากมูลค่าหุ้นขึ้นอยู่กับความคาดหวังในอนาคต หากไม่บรรลุเป้าหมาย การลดลงของราคาหุ้นอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม การเป็นผู้นำหรือผู้บุกเบิก บริษัทเหล่านี้มักจะเป็นผู้นำหรือผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมนั้น ๆ โดยมีการสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ ที่มีนวัตกรรม หุ้นเติบโต ควรลงทุนนานแค่ไหน            สำหรับการลงทุนในหุ้นการเติบโตมักต้องใช้ระยะเวลานาน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มุ่งเน้นการเติบโตในระยะยาว โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนควรเตรียมพร้อมที่จะถือครองหุ้นเหล่านี้เป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี หรือมากกว่านั้น เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีจากความสามารถในการเติบโตของบริษัท หมายความว่า ต้องใช้ความอดทนและความสามารถในการรับความเสี่ยงในระยะยาว หุ้นเติบโต vs ระยะเป้าหมายสำหรับการลงทุน นักลงทุนอาจพิจารณาก่อนว่าแท้จริงแล้ว ระยะเวลาเป้าหมายการลงทุนของเราเป็นอย่างไร สอดคล้องกับการลงทุนในหุ้นเติบโตหรือไม่ อาจพิจารณาดังนี้ เป้าหมายการลงทุนระยะสั้น ไม่เหมาะสมสำหรับหุ้นการเติบโต เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงและอาจมีการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็ว เป้าหมายการลงทุนระยะกลาง (3 - 7 ปี) เป็นระยะเวลาที่นักลงทุนสามารถเริ่มเห็นผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัทได้ แต่ยังคงต้องมีความอดทนและความสามารถในการรับความเสี่ยง เป้าหมายการลงทุนระยะยาว (7 ปีขึ้นไป) เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงทุนในหุ้นการเติบโต เนื่องจากช่วยให้สามารถรับผลตอบแทนที่ดีจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท และลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดในระยะสั้น 6 เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจก่อนลงทุนหุ้นเติบโต ความเข้าใจในอุตสาหกรรมและตลาด การวิเคราะห์อุตสาหกรรม เข้าใจถึงแนวโน้มและโอกาสในการเติบโตของอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินธุรกิจ การวิเคราะห์ตลาด รู้จักผู้เล่นหลักในตลาดและสถานะของบริษัทที่สนใจลงทุน วิเคราะห์ทางการเงิน งบการเงิน สามารถวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทเพื่อประเมินความแข็งแกร่งทางการเงินและศักยภาพในการเติบโต อัตราส่วนการเงิน เข้าใจอัตราส่วนสำคัญ เช่น อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin), P/E Ratio หรือ D/E Ratio การประเมินความเสี่ยง ความเสี่ยงจากการแข่งขัน เข้าใจถึงความเสี่ยงจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมและความสามารถของบริษัทในการแข่งขัน ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจ เข้าใจถึงความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศที่บริษัทดำเนินธุรกิจ การวิเคราะห์เชิงเทคนิค การวิเคราะห์แนวโน้มราคา สามารถวิเคราะห์แนวโน้มราคาและรูปแบบการเคลื่อนไหวของหุ้นเพื่อทำนายการเคลื่อนไหวในอนาคต การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย เข้าใจถึงปริมาณการซื้อขายและความสนใจของนักลงทุนในหุ้นนั้น ๆ การวิเคราะห์ข่าวสารและเหตุการณ์ การติดตามข่าวสารติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อบริษัทและอุตสาหกรรม การประเมินผลกระทบ สามารถประเมินผลกระทบของข่าวสารและเหตุการณ์ต่อการเติบโตของบริษัทได้ การบริหารความเสี่ยง การกระจายการลงทุน รู้จักการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง การกำหนดเป้าหมายการลงทุน กำหนดเป้าหมายการลงทุนและแผนการบริหารความเสี่ยงอย่างชัดเจน พฤติกรรมราคาของหุ้นเติบโตเป็นอย่างไร การเติบโตของบริษัทมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนมักใช้ข้อมูลเกี่ยวกับการเติบโตของบริษัทในการประเมินมูลค่าหุ้นและตัดสินใจลงทุน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาด ดังนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น เมื่อบริษัทมีการเติบโตของรายได้และกำไร นักลงทุนมักจะมองว่าบริษัทมีศักยภาพสูง ส่งผลให้ความต้องการซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นและราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ความคาดหวังในอนาคต การเติบโตอย่างต่อเนื่องทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถสร้างผลตอบแทนในอนาคตได้ดี ซึ่งช่วยดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น ความผันผวนของราคาหุ้น การตอบสนองต่อผลประกอบการ หากบริษัทประกาศผลประกอบการที่ดีกว่าคาด ราคาหุ้นอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่หากผลประกอบการต่ำกว่าคาด ราคาหุ้นอาจลดลงอย่างมาก ความเสี่ยงจากความคาดหวังสูง หุ้นที่เติบโตมักมีราคาสูงกว่ามูลค่าพื้นฐาน ทำให้เกิดความผันผวนเมื่อบริษัทไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่นักลงทุนคาดหวัง การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม การเติบโตในตลาดใหม่ หากบริษัทสามารถขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ได้สำเร็จ ราคาหุ้นมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม การแข่งขันในอุตสาหกรรม หากบริษัทสูญเสียส่วนแบ่งตลาดหรือไม่สามารถรักษาการเติบโตได้ ราคาหุ้นอาจลดลง ความสัมพันธ์กับปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจโลก การเติบโตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก เช่น ความต้องการสินค้าลดลง หรือปัญหาในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งส่งผลต่อราคาหุ้น ข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญ ข่าวเกี่ยวกับการเติบโต เช่น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการเข้าซื้อกิจการ สามารถกระตุ้นให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ผลกระทบระยะยาว การสะสมมูลค่า การเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวช่วยให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น ความเสี่ยงในระยะยาว หากบริษัทไม่สามารถรักษาการเติบโตได้ ราคาหุ้นอาจลดลงอย่างต่อเนื่องและส่งผลเสียต่อนักลงทุน โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย