เศรษฐกิจ-ธุรกิจ


KKP หั่น GDP เหลือ 2.3% ชี้ไทยเสี่ยงโตต่ำ นทท.จีนหด-นโยบาย Trump กดดัน

KKP หั่น GDP เหลือ 2.3% ชี้ไทยเสี่ยงโตต่ำ นทท.จีนหด-นโยบาย Trump กดดัน

          KKP Research ประเมินเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มโตต่ำและเผชิญความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายการค้าของสหรัฐ ฯ โดยพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจปี 2024 ที่เติบโตได้ค่อนข้างต่ำเพียง 2.5% แม้ว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ดีและมีมาตรการแจกเงินขนาดใหญ่จากภาครัฐแล้วก็ตาม บ่งชี้ถึงความอ่อนแอในภาคส่วนอื่นๆ ของเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนจากปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีขนาดประมาณ 25% ของ GDP แต่หดตัวต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาจากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในหลายอุตสาหกรรม  ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางและกระจุกตัวมากขึ้น จากการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตในระยะยาวได้ อีกทั้งการเข้าสู่สังคมสูงอายุ ยังจะทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีแนวโน้มที่อาจต่ำกว่า 2.0% ภายในปี 2035           สำหรับปี 2025 KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตได้ช้าลงกว่าที่ประเมินไว้ โดยคาดว่าจะเติบโตได้เพียง 2.3% จากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาได้ต่ำกว่าที่คาด ธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจลงไปต่ำสุดที่ 1.25% ในปี 2026 ท่องเที่ยวจีนไม่มา ชั่วคราวหรือถาวร ?           จำนวนนักท่องเที่ยวจีนตั้งแต่ช่วงหลังตรุษจีนมาเติบโตได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้มาก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนปรับตัวลดลงจากประมาน 6 แสนคนต่อเดือน หรือ 60% ของช่วงก่อนโควิด ลงมาที่ระดับต่ำกว่า 4 แสนคน หรือ 35% ของช่วงก่อนโควิดซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2023 ประเด็นที่น่ากังวล คือ สัญญาณการฟื้นตัวที่ช้าของนักท่องเที่ยวจีนบางส่วนไม่ได้เกิดจากปัจจัยชั่วคราวและอาจทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้าลงในระยะยาว นักท่องเที่ยวจีนมีความนิยมเที่ยวในประเทศมากขึ้น ข้อมูลในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนว่าการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในต่างประเทศของชาวจีนฟื้นตัวช้ากว่าการท่องเที่ยวในประเทศอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยการท่องเที่ยวต่างประเทศต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดประมาณ 13.5% ในขณะที่การท่องเที่ยวในประเทศต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดประมาณ 6.4% ซึ่งอาจสะท้อนว่านักท่องเที่ยวจีนมีความชื่นชอบในการท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น การแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจากประเทศญี่ปุ่นและมาเลเซีย โดยจำนวนเที่ยวบินจากจีนไปยังญี่ปุ่นและมาเลเซียมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 อย่างชัดเจน นอกจากนี้เหตุการณ์ลักพาตัวนักแสดงจีนในไทยยังเพิ่มความกังวลกับนักท่องเที่ยวจีนที่จะมาเที่ยวไทย กรุ๊ปทัวร์จีนคือกลุ่มหลักที่ไม่กลับมา โดยแม้นักท่องเที่ยวทั่วไป (Free Individual Traveler) จะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้กว่า 77% ของช่วงก่อนโควิด แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนแบบกรุ๊ปทัวร์ยังคงไม่กลับมาในระดับเดิม โดยอยู่เพียงระดับประมาณ 45% ของจำนวนช่วงก่อนโควิดเท่านั้น           KKP Research ประเมินว่าหากนักท่องเที่ยวจีนไม่กลับมาฟื้นตัวจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยอาจไม่สามารถกลับไปแตะระดับ 40 ล้านคนเท่ากับช่วงก่อนโควิดได้เร็วตามคาด เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของภาคการท่องเที่ยวทั้งหมด โดย KKP Research ปรับประมาณการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวปี 2025 เป็น 37.2 ล้านคน จาก 38.1 ล้านคน และปี 2026 เป็น 39.9 ล้านคนจาก 40.6 ล้านคน เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญหน้ากับความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสหรัฐ ฯ           KKP Research ประเมินว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสหรัฐ ฯ เป็นลำดับต้น ๆ ของภูมิภาค โดยมีโอกาสสูงที่ไทยจะอยู่ในรายชื่อกลุ่มแรกของการเรียกเก็บภาษี reciprocal tariffs ซึ่งสะท้อนจากข้อมูลสองส่วน คือ 1) การเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ฯ ในระดับสูง ซึ่งไทยถือเป็นประเทศลำดับที่ 11 ของโลกที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ฯ มากที่สุด 2) ส่วนต่างระหว่างอัตราภาษีเฉลี่ยตามน้ำหนักการค้าที่ไทยคิดกับสหรัฐ ฯ และสหรัฐ ฯ คิดกับไทยถือว่าสูงเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศกลุ่ม Emerging Markets และสูงที่สุดใน ASEAN และไทยยังมีมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีอีกด้วย           KKP Research ประเมินว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ มีความไม่แน่นอนสูงมากและยังไม่ได้รวมผลกระทบไว้ในการประเมินตัวเลข GDP โดยมี 4 ปัจจัยหลักที่ต้องประเมินผลกระทบจากการขึ้นภาษี คือ 1) ขนาดของภาษีที่สหรัฐ ฯ จะขึ้นกับไทย 2) ผลต่อการชะลอตัวของการส่งออกของไทยจากการขึ้นภาษี 3) มูลค่าเพิ่มที่ไทยสร้างได้จากการส่งออกไปยังสหรัฐ ฯ และ 4) ระยะเวลาที่ไทยจะถูกขึ้นภาษี โดยประเมินว่า           1) อัตราภาษีที่ไทยจะถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ จะอยู่ในช่วง 10% - 20% โดยคำนวณจากส่วนต่างของอัตราภาษีที่ไทยคิดกับสหรัฐ ฯ และสหรัฐ ฯ คิดกับไทย อย่างไรก็ตามอัตรานี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง           2) มูลค่าเพิ่มที่ไทยสร้างได้ในประเทศจากสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 30% - 40%  ในช่วงก่อนปี 2020 สินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ มีมูลค่าเพิ่มค่อนข้างสูงที่ประมาน 50% - 60% อย่างไรก็ตามตั้งแต่หลังปี 2020 การเติบโตของการส่งออกเกิดจากการนำเข้าจากจีนเพื่อส่งต่อไปยังสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มในประเทศในระดับต่ำมาก ทำให้มูลค่าเพิ่มของสินค้าส่งออกไทยในปัจจุบันลดต่ำลง           จากสองปัจจัยสำคัญ KKP Research คาดการว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมจะอยู่ในช่วง 0.2 – 0.4ppt หากมีการประกาศขึ้นภาษีจริงและอัตราภาษีคงไว้ทั้งปี ผลกระทบดังกล่าวไม่รวมถึงผลจากข้อเสนอที่ไทยอาจต้องเจรจาเพื่อให้สหรัฐปรับลดอัตราภาษีนำเข้าลงมา ปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมโดยต้องจับตาช่วงต้นเดือนเมษายน ที่สหรัฐฯ จะมีการประกาศเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าเพิ่มเติม นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐมีแนวโน้มให้ผลจำกัด           มาตรการแจกเงินผ่านนโยบาย Digital Wallet เป็นความหวังของภาครัฐว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ส่งผลบวกน้อยกว่าที่ประเมินไว้ โดยมาตรการแจกเงินใน 2 ระยะแรกคิดเป็นเงินมูลค่ารวมกว่า 1.77 แสนล้านบาท แต่การบริโภคภาคเอกชนในช่วงไตรมาส 4 ปรับตัวดีขึ้นเพียงเล็กน้อย และอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีโดยเฉพาะเมื่อไม่รวมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ทำให้แม้ว่าภาครัฐมีการอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมผ่านการแจกเงินระยะที่สามซึ่งจะแจกคนเป็นจำนวน 2.7 ล้านคนอายุระหว่าง 16-20 คิดเป็นเงิน 2.7 หมื่นล้านบาทและจะเริ่มแจกช่วงไตรมาส 2 ของปี และการแจกเงินระยะสุดท้ายน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี แต่จากขนาดของการแจกเงินที่เล็กลง KKP Research ประเมินว่าผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวมจะมีจำกัดโดยคาดว่าการบริโภคจะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับระดับที่เคยประเมินไว้ คาด ธปท. ลดดอกเบี้ยถึง 1.25% ในปี 2026           ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในเดือนตุลาคมและเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ลงมาที่ระดับ 2% ซึ่งมีทิศทางสอดคล้องกับที่ KKP Research ประเมินไว้ว่ามีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะปรับลดลงเหลือ 1.5% ในปีนี้ อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอต่อเนื่อง ความไม่แน่นอนด้านการค้าโลก ภาวะทางการเงินที่ตึงตัวจากการหดตัวของสินเชื่อ และคุณภาพสินเชื่อที่ยังคงแย่ ส่งผลให้ KKP Research คาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 2 ครั้งในปี 2025 และอีก 1 ครั้งในปี 2026 และทำให้อัตราดอกเบี้ยสุดท้าย (Terminal rate) ในรอบการลดดอกเบี้ยนี้จะอยู่ที่ 1.25% เหตุผลสำคัญที่เชื่อว่าดอกเบี้ยควรลดลงเพิ่มเติม คือ ปัญหาด้านความเสี่ยงเสถียรภาพระบบการเงินลดน้อยลงมาก จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่ธนาคารระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และสินเชื่อภาคธนาคารหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณหนี้ต่อ GDP ของไทยเริ่มปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการสื่อสารของ ธปท. ในช่วงที่ผ่านมาที่กล่าวว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้จะไม่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงด้านเสถียรภาพของระบบการเงิน สัญญาณในตลาดการเงินหลายส่วนสะท้อนว่านโยบายการเงินในปัจจุบันอาจตึงตัวมากเกินไป อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพในอดีต นอกจากนี้สัญญาณของตลาดการเงินทั้งเงินบาทที่แข็งค่า อัตราดอกเบี้ยดอกเบี้ยระยะยาวที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อาจส่งสัญญาณว่านโยบายการเงินในปัจจุบันมีแนวโน้มตึงตัวเกินไป

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 3 รางวัล จาก Future Trends Awards 2025

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 3 รางวัล จาก Future Trends Awards 2025

           เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 3 รางวัลจากงาน Future Trends Awards 2025  ทั้งรางวัลสำหรับบุคคลซึ่งเป็นผู้นำองค์กรที่โดดเด่นและมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคต และ รางวัลการบริหารองค์กรมีความโดดเด่นในด้านวิสัยทัศน์และการสร้างสรรค์นวัตกรรม  โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ พิจารณาคัดเลือกด้วยหลักเกณฑ์ข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ              บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัลเกียรติยศจากงาน Future Trends Awards 2025  ภายใต้แนวคิด Knowing the Future, Be the Winners of Tomorrow เวทีสำคัญของการมอบรางวัลเพื่อยกย่องบุคคลและองค์กรที่โดดเด่นในการนำเทรนด์และนวัตกรรมมาใช้อย่างสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ สร้างคุณค่าต่อการพัฒนาของทุกภาคส่วน พร้อมเป็นต้นแบบและเป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนการเติบโตของวันนี้และอนาคตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพชีวิต สังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม  โดยสามารถคว้ารางวัลสำคัญถึง  3  ประเภท ได้แก่ รางวัล Leader of Business มอบให้แก่นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เป็นเครื่องยืนยันถึงบทบาทของผู้นำที่สามารถขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ โดยอาศัยกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาปรับใช้ในทุกกระบวนการของการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสใหม่ให้กับบริษัทฯ นอกจากนี้ รางวัลนี้ยังสะท้อนถึงแนวทางการบริหารที่คำนึงถึง ความคุ้มค่าและประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า ควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมในวงกว้าง ผ่านโครงการต่างที่ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืน รางวัล Leader of Leader มอบให้แก่ นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ถือเป็นรางวัลที่แสดงถึง วิสัยทัศน์และภาวะผู้นำ ที่ได้รับการยอมรับในระดับสูงสุด ตอกย้ำถึงศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ รางวัลนี้สะท้อนถึงบทบาทในการ สร้างความร่วมมือระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partnerships) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระดับสากล นอกจากนี้ ยังแสดงถึงความสามารถในการ เป็นแรงบันดาลใจ ให้กับบุคลากรในทุกระดับขององค์กร กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความเป็นผู้นำนวัตกรรม ตลอดจนการทำงานร่วมกันเพื่อความสำเร็จของธุรกิจ โดยรางวัลนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงบทบาทในฐานะผู้นำที่ไม่เพียงแต่สร้างความสำเร็จให้กับบริษัทฯ เพียงอย่างเดียวแต่ยังช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันชีวิตให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน รางวัล The Most Attractive Employer (Student 18-22 Years Old) เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จของเมืองไทยประกันชีวิตในการดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาที่กำลังเตรียมตัวก้าวสู่ตลาดแรงงาน สะท้อนให้เห็นถึง วัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง ทันสมัย และส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ เป็นที่ต้องการของคนรุ่นใหม่ บริษัทฯ มุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อการพัฒนา เช่น การทำงานข้ามสายงาน (Cross-Functional Team) การหมุนเวียนเพื่อเรียนรู้งานอื่น ๆ (Internal Rotation) และ กิจกรรมเสริมสร้างทักษะเพื่อให้พนักงานได้มีโอกาสเรียนรู้อย่างมืออาชีพและเติบโตไปพร้อมกับองค์กร โดยมุ่งเน้นความสมดุลในชีวิตและการทำงาน รวมถึงการทำงานแบบยืดหยุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการโอกาสทางอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการ “Young MTL Internship” ซึ่งเป็นโครงการนักศึกษาฝึกงานที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้สัมผัสเเละรับประสบการณ์จากการฝึกงานที่ได้คิดและลงมือทำจริง เพื่อเตรียมความพร้อม สำหรับการทำงาน รวมถึงยังมีโอกาสร่วมงานกับบริษัทฯ ในอนาคตอีกด้วย            สำหรับการได้รับรางวัลทั้ง 3 ประเภทนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุคลากรและผู้นำรุ่นใหม่ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี เพื่อส่งเสริมศักยภาพของพนักงานและสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับทุกภาคส่วนต่อไป บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลผ่านการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งและเปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมให้สูงขึ้นอีกทั้งยังขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของทุกฝ่ายอย่างสมดุลและยั่งยืน

หุ้นได้-เสีย ผ่อนกฎ LTV

หุ้นได้-เสีย ผ่อนกฎ LTV

          หุ้นวิชั่น - บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยยามนี้ ต้องยอมรับว่า นักลงทุนยังกล้าๆกลัวๆ ข่าวดีน้อย มีแต่ข่าวร้ายท่วมตลาด วานนี้ (20 มี.ค.2568) แบงก์ชาติปล่อยผี  ยอมผ่อนเกณฑ์ LTV เป็นการชั่วคราว ถือว่าเป็นการต่อลมหายใจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ในระดับหนึ่ง ดีกว่าไม่มีมาตรการกระตุ้นอะไรเลย           สาระสำคัญ มีดังนี้ 1.กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้งกรณี(1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป(2) มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป  2.การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2568 ถึง 30 มิ.ย.2569           ด้าน บล.ดาโอ มองเป็นบวก โดยการผ่อนเกณฑ์ LTV จะเป็นผลดีต่อกลุ่ม property ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการซื้อให้กับลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการช่วยระบายสต็อกที่อยู่อาศัยได้เร็วขึ้น และส่งผลให้ภาพรวมกลุ่มที่อยู่อาศัยมีการฟื้นตัวได้ดีขึ้น           สำหรับหุ้นที่ประเมินว่า จะได้ประโยชน์มากสุด ได้แก่ SPALI, SIRI, ORI เนื่องจากมี backlog รอโอน และยังมี inventory ค่อนข้างมาก           ส่วนกลุ่มธนาคารก็รับอานิสงส์ไม่น้อยเช่นกัน  เพราะจะช่วยให้คนเข้าถึงสินเชื่อบ้านได้มากขึ้น โดยธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อบ้านจากมากไปน้อย คือ SCB 32%, TTB 26%, KTB 19%, KBANK 17% ทั้งนี้ ยังคงน้ำหนักการลงทุนลงเป็น “มากกว่าตลาด” โดยเลือก KTB (ซื้อ/เป้า 27.50 บาท), TTB (ซื้อ/เป้า 2.22 บาท) และ BBL (ซื้อ/เป้า 186.00 บาท) เป็นหัวหอก           กลับมาที่ บล.เอเซีย พลัส ได้วิเคราะห์ประเด็นยอดฮิต กรณี GULF ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 5 ที่สัดส่วน 3.25% ใน KBANK และจะจ่ายปันผลรวม 10.5 บาท/หุ้น (ประกอบด้วยปันผลประจำปี 8.0 บาท/หุ้น XD 17 เม.ย.2568 และปันผลพิเศษ 2.5 บาท/หุ้น XD 15 พ.ค.68) ในวันที่ 6 มิ.ย.2568           ทั้งนี้หาก  GULF ถือหุ้นจนถึงวันขึ้นเครื่องหมาย XD จะได้รับเงินปันผลราว 808.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 3.8% ของคาดการณ์กำไรปกติปี 2568 ของ GULF ล่าสุด GULF ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้าถือหุ้นว่า  เป็นการลงทุนทั่วไปตามนโยบายของบริษัทฯ ซึ่งโดยปกติจะมีportfolio การลงทุนอยู่แล้ว โดยเห็นว่า KBANK เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง, P/BV และ P/E อยู่ในระดับต่ำ, และมีการจ่ายปันผลต่อเนื่องที่ให้dividend yield ราว 7-8%/ปี           ดังนั้น การเข้าลงทุนดังกล่าวจึงมุ่งหวังผลตอบแทนจากปันผล และ upside จากราคาหุ้น KBANK ในอนาคต ทั้งนี้ GULF ได้ทยอยซื้อสะสม KBANK ตั้งแต่ช่วง4Q67 ส่วนของนโยบายการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน KBANK รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดโอกาส synergy ร่วมกันระหว่าง GULF และ KBANK ในอนาคต ปัจจุบัน GULF ยังไม่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวได้ จึงถือเป็นประเด็นที่ยังคงต้องติดตาม           วกเข้ามาที่ กลุ่มหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่อีกครั้ง  หลังมีการคงดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างประเทศ บล .เอเซียพลัส มองเป็นกลางต่อพอร์ตสินเชื่อ ในต่างประเทศของ BBL (สัดส่วนสินเชื่อต่างประเทศ 25% แบ่งเป็น 10% ในอินโดฯ และ ประเทศอื่นๆ อีก 15%) ส่วนทิศทางดอกเบี้ยนโยบายไทย มองว่าในช่วงครึ่งปีแรกปี2568 มีโอกาสลดได้อีก 1 ครั้ง อย่างไรก็ดีหากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ช้ากว่าคาด อาจเห็นการลง ดอกเบี้ยนโยบายได้มากกว่านั้น (เริ่มมีมองไปที่ 1.00% -1.25%)           ส่วนแบงก์ใหญ่ 3 อันดับแรก ที่มีสัดส่วนสินเชื่อ Floating rate สูง จะรับผลจากการเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่ากลุ่มฯ ได้แก่ BBL ตามด้วย KTB และ KBANK โดย BBL จะมีความสัมพันธ์กับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ ในขณะที่ KTB และ KBANK มีความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยนโยบายไทยมากสุดในกลุ่มและในทางตรงข้ามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย ที่ลดลงจะดีต่อ KKP และ TISCO รวมถึง Non – Bank(Bond yield ลง) อย่าง MTC SAWAD และ TIDLOR               ขณะที่ แบงก์ใหญ่ ยังมีความน่าสนใจเชิง PBV ต่ำและ Div Yield ราว 6% -9% เน้นตั้งรับ KTB, BBLและ TTB มองว่าการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ของ 3 ธนาคาร ทำได้ดีกว่ากลุ่ม ช่วยให้การตั้งสำรองลดลง ชดเชยผลจากรายได้ที่อ่อนแอ ตามวัฎจักรดอกเบี้ย ด้านแบงก์เล็ก ชอบ TISCO มากกว่า KKP ในขณะที่ Non – Bank เลือก MTC มากกว่า TIDLOR (อยู่ระหว่างปรับเป็น Holding ราคาหุ้นอาจผันผวนระหว่างดำเนินการ) การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง by ทีมงานหุ้นวิชั่น

TRUE จับมือ ททท. กระตุ้นการใช้จ่ายนทท.  ชูแคมเปญ “Grand Songkran Grand Privileges”

TRUE จับมือ ททท. กระตุ้นการใช้จ่ายนทท. ชูแคมเปญ “Grand Songkran Grand Privileges”

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ 20 มีนาคม 2568 – เพื่อต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ ปี 2568 ที่กำลังจะมาถึง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE โดย  นางสรรค์พิจิตร เอี่ยมชีรางกูร หัวหน้าสายงานบริหารความสัมพันธ์และผสานสิทธิประโยชน์ลูกค้า ขานรับ นโยบาย ททท. โดยนางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ร่วมยกระดับประสบการณ์นักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ กระตุ้นการเดินทางและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไปกับแคมเปญพิเศษ “Grand Songkran Grand Privileges” มอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบาย เชื่อมต่อไร้รอยต่อ พร้อมสิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ การเดินทาง ที่พัก อาหาร แฟชั่น และความบันเทิง สามารถลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษเพื่อเก็บดีลจาก Splash Box ผ่านเว็บไซต์ www.grandsongkrangrandprivilege.com โดยจะเปิดให้บริการในวันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป และสามารถใช้ดีลสิทธิพิเศษได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เมษายน 2568           นางสรรค์พิจิตร เอี่ยมชีรางกูร หัวหน้าสายงานบริหารความสัมพันธ์และผสานสิทธิประโยชน์ลูกค้า บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เพื่อส่งมอบความสุขให้ลูกค้าทรูและดีแทคทุกพื้นที่ทั่วไทย ให้ทั่วถึง ทุกคน ทรูจึงเดินหน้ายกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พัฒนาเครือข่าย 5G ทั่วประเทศไทย เพิ่มประสบการณ์ใช้งานของลูกค้าทุกพื้นที่สู่ระดับเวิลด์คลาส สำหรับเทศกาลสงกรานต์ซึ่งถือเป็นปีใหม่ของคนไทย และเป็นเทศกาลที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางมาร่วมฉลองประเพณีไทยและร่วมเล่นน้ำสงกรานต์ ซึ่งทรู ไม่เพียงแต่มอบเครือข่ายที่ดีที่สุดให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังเข้าใจไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางยุคใหม่ ที่ต้องการความสะดวกสบายและความต่อเนื่องในการใช้ชีวิตดิจิทัล 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทั้งในสนามบิน สถานีขนส่ง และจุดท่องเที่ยวสำคัญ  โดยมีทีมวิศวกรเน็ตเวิร์ก   standby ประจำศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) พร้อม AI และหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ (War Room) เพิ่มประสิทธิภาพความเชื่อมั่นเครือข่าย 5G, 4G และอินเทอร์เน็ตบ้าน พร้อมดูแลและบริหารเครือข่ายครอบคลุมทุกบริการ 24 ชั่วโมง  เราต้องการให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเที่ยวเมืองไทย’ ด้วยเครือข่าย และสิทธิพิเศษที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์  ครั้งนี้ร่วมมือกับ ททท. มอบสิทธิประโยชน์ให้กับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นสายเที่ยว สายชิล สายกิน หรือสายดิจิทัล ทรูพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับทุกคน  โดยทรู มอบสิทธิพิเศษ ในโครงการ ‘Grand Songkran Grand Privileges’ ดังนี้ รับฟรีซิมทัวริสต์ เพียงแสดง Promo Code จากโครงการฯ เพื่อรับซิมฟรีหรือส่วนลดค่าซิมมูลค่า 49 บาท (จำกัด 1 สิทธิ์/ 1 หนังสือเดินทาง/ 1 Promo Code) รับฟรีชุดเสื้อกางเกงลายช้าง เมื่อซื้อซิมนักท่องเที่ยวมูลค่า 699 บาทขึ้นไป และแสดง Promo Code ที่เคาน์เตอร์ทรูหรือดีแทคที่ร่วมรายการ รับฟรีซองกันน้ำ เมื่อซื้อซิมนักท่องเที่ยวมูลค่า 349 บาทขึ้นไป และแสดง Promo Code มาพร้อมสิทธิพิเศษหลังเปิดใช้งานซิม โบนัสโทรฟรีมูลค่า 100 บาท สำหรับโทรไปยัง 7 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน อินเดีย เกาหลีใต้ และเวียดนาม ส่วนลดพิเศษจากพันธมิตร สำหรับลูกค้าซิมทรูและดีแทคทัวริสต์ อาทิ ส่วนลดเครื่องดื่มเต่าบินสูงสุด 25% ส่วนลด 50% สำหรับเครื่องดื่มและไอศกรีมที่ร้าน Burger King และ Bonchon ในสนามบินที่ร่วมรายการ ส่วนลดบริการ Grab สูงสุด 1,050 บาท ส่วนลด 300 บาท เมื่อซื้อสินค้าที่ Lotus’s ครบ 1,000 บาท เป็นต้น           ทั้งนี้ลูกค้าทรูและดีแทคยังสามารถรับของขวัญและสิทธิพิเศษเพิ่มเติมตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็นดีลพิเศษ กล่องสุ่ม และกิจกรรมลุ้นโชค ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางแอปทรูไอดี ดีแทคแอป หรือ https://ttid.co/OiLl/SplashTogether           เตรียมสุขสุดแกรนด์ไปด้วยกัน Let’s Splash Together!

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

ธปท.ผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ชั่วคราว ช่วยภาคอสังหาฯ

ธปท.ผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ชั่วคราว ช่วยภาคอสังหาฯ

         นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันชะลอตัวต่อเนื่องและยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้รับจากการหารือกับทั้งผู้ประกอบการในธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและสถาบันการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) จึงเห็นควรให้ผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (เกณฑ์ LTV) โดยประเมินว่าการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV จะช่วยประคับประคองภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยบรรเทาปัญหาอุปทานคงค้างที่อยู่ในระดับสูงได้บ้าง จึงอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้จำกัด ขณะที่การผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินมากนัก เนื่องจากในปัจจุบันภาวะการเงินตึงตัวและสถาบันการเงินระมัดระวังในการให้สินเชื่อ          ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เป็นการชั่วคราว เนื่องจากเกณฑ์ LTV ของไทยผ่อนคลายมากอยู่แล้วเมื่อเทียบกับต่างประเทศ และการบังคับใช้เกณฑ์ LTV ยังมีความสำคัญเพื่อดูแลมาตรฐานการให้สินเชื่อของระบบสถาบันการเงิน ช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้กู้จะได้รับสินเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินที่จะมาจากการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ สาระสำคัญของการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV มีดังนี้ 1. กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็นร้อยละ 100 สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้งกรณี (1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป และ (2) มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป 2. การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569

KKP เปิดตัว KKP Lifecare Saving ตอบโจทย์การเงิน-ด้านสุขภาพ

KKP เปิดตัว KKP Lifecare Saving ตอบโจทย์การเงิน-ด้านสุขภาพ

                หุ้นวิชั่น -ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) จับมือ บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "KKP Lifecare Saving" บัญชีเงินฝากที่มาพร้อมประกันโรคร้ายแรง ตอบโจทย์คนที่ต้องการทั้งผลตอบแทนทางการเงินและความอุ่นใจด้านสุขภาพในบัญชีเดียว ด้วยจุดเด่นที่ให้ความคุ้มครอง 40 โรคร้ายแรง ทุนประกันภัยสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษจากธนาคารเกียรตินาคินภัทร รับดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 0.75% ต่อปี (วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 – 31 พฤษภาคม 2568)                 นายกัมพล จันทวิบูลย์  กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า “ปัจจุบันอัตราการป่วยด้วยโรคร้ายแรงของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียดและมลภาวะที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับเจนเนอราลี่ ประกันชีวิต พัฒนาผลิตภัณฑ์ KKP Lifecare Saving ขึ้นมาเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการด้านการเงินและลดภาระทางการเงินในกรณีที่เกิดโรคร้ายแรง”                 บัญชีเงินฝากพร้อมประกันโรคร้ายแรง KKP Lifecare Saving ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการทั้งการออมเงินและการคุ้มครองสุขภาพ โดยการผสานข้อดีของบัญชีเงินฝากและแผนประกันสุขภาพเข้าด้วยกัน ด้วยจุดเด่น ดังนี้ คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี ตลอด 24 ชั่วโมง จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท คุ้มครอง 40 โรคร้ายแรง ครอบคลุมโรคที่พบบ่อย เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะไตวายเรื้อรัง วงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 1,000,000 บาท รับดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 0.75% ต่อปี (ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 – 31 พฤษภาคม 2568 ) ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยรายปีเพิ่มเติม เพียงรักษายอดเงินฝากขั้นต่ำ 50,000 บาท วงเงินเอาประกันภัยสูงถึง 125% ของยอดเงินฝากเฉลี่ย 2 เดือน ก่อนเดือนที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคร้ายแรง สะสมดอกเบี้ยเงินฝากทุกวัน ช่วยให้เงินเติบโตโดยไม่ปล่อยเงินให้อยู่เฉย ๆ                 “KKP Lifecare Saving เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินและต้องการเพิ่มหลักประกันด้านสุขภาพ โดยเฉพาะในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมีบัญชีเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยดี พร้อมกับการคุ้มครองโรคร้ายแรง จะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจขึ้น ปลอดภัย และไร้กังวล ทั้งในวันนี้และอนาคต” นายกัมพลกล่าว                 นายอาร์ช คอลมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ กล่าวว่า “เจนเนอราลี่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยตามความต้องการและสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดย KKP Lifecare Saving เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าธนาคารเกียรตินาคินภัทรที่ให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินอย่างครอบคลุม ทั้งการออมทรัพย์และการป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพ  ธนาคารเกียตินาคินภัทรถือได้ว่าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญของเจนเนอราลี่ เราจึงมุ่งมั่นที่จะเสริมความแข็งแกร่งด้วยการนำเสนอประกันภัยที่ตอบโจทย์ ผ่านการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม โดดเด่น และให้ประโยชน์ที่คุ้มค่าสำหรับลูกค้า ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ” นายอาร์ชกล่าว                 ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรทุกสาขา หรือ โทร. 02 165 5555

กกพ. เปิดระบบออนไลน์ ให้ติดตามสถานะคำขออนุญาต พค.2

กกพ. เปิดระบบออนไลน์ ให้ติดตามสถานะคำขออนุญาต พค.2

          ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน กกพ. ยกระดับการให้บริการโปร่งใสตามขั้นตอน ขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่ยื่นคำขอรับใบอนุญาตให้ผลิตพลังงานควบคุม (ใบอนุญาต พค.2) สำหรับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ (Solar Cells) และ โซลาร์ รูฟท็อป (Solar Rooftops) เพื่อใช้สำหรับการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ 200 – 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ (kVA) สามารถใช้บริการติดตามสถานะและความคืบหน้าในการพิจารณาคำขออนุญาตผ่านช่องทางออนไลน์แบบเรียลไทม์           “ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2568  สำนักงาน กกพ. ได้เปิดช่องออนไลน์เพื่อให้บริการติดตามสถานะคำขออนุญาต พค. 2 ให้แก่ ผู้ประกอบการที่ได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาต พค.2 ต่อสำนักงาน กกพ. ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ทั้งกระบวนการขออนุญาตในความรับผิดชอบสำนักงาน กกพ. และในส่วนความรับผิดชอบของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ ณ จุดๆ เดียว ” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว           สำหรับช่องทางและขั้นตอนการตรวจสอบสถานะ สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน กกพ. ที่ www.erc.or.th  และเข้าไปตรวจสอบได้ที่เมนู “ติดตามสถานะ พค.2” และคลิกไปที่ “ติดตามสถานะรายโครงการ” เพื่อค้นหาสถานะโครงการ โดยจะมีข้อมูลประกอบด้วย ชื่อผู้ขอรับใบอนุญาต (ชื่อโครงการ), ที่ตั้งสถานประกอบกิจการ, ประเภทเชื้อเพลิงหรือเทคโนโลยี, ประเภทการติดตั้ง, ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง และสถานะการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนนับตั้งแต่ยื่นคำขอ           ทั้งนี้ ล่าสุด ณ วันที่ 19 มีนาคม 2568 สำนักงาน กกพ. ได้รับคำขอที่มีเอกสารครบถ้วนแล้ว รวมจำนวน 1,085 โครงการ โดย พพ. อยู่ระหว่างพิจารณาให้ความเห็น จำนวน 958 โครงการ และสำนักงาน กกพ. ได้รับความเห็นจาก พพ. แล้ว อยู่ระหว่างเสนอ กกพ. พิจารณา จำนวน 127 โครงการ

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

หนี้ลดแต่ยังน่าห่วง!  พาณิชย์เผยหนี้ประชาชนลดลงเล็กน้อย

หนี้ลดแต่ยังน่าห่วง! พาณิชย์เผยหนี้ประชาชนลดลงเล็กน้อย

                นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เดือนกุมภาพันธ์ 2568 จำนวน 6,291 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ เกี่ยวกับภาระหนี้สินของประชาชน ผลการสำรวจพบว่า สถานการณ์หนี้สิน ของประชาชนดีขึ้นเล็กน้อยจากผลสำรวจปี 2566 และมีการลดลงของภาระหนี้นอกระบบ อย่างไรก็ตาม จากผลการสำรวจพบว่า กลุ่มอาชีพพนักงานของรัฐ เกษตรกร และพนักงานเอกชน ยังเป็นกลุ่มอาชีพหลักที่มีสัดส่วนกลุ่มที่มีภาระหนี้มากที่สุดเช่นเดียวกับการสำรวจในรอบก่อนหน้า และผู้ตอบแบบสอบถามมีสัดส่วนความต้องการ ให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือในการลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุด โดยมีรายละเอียดผลการสำรวจ ดังนี้ ภาพรวมภาระหนี้สินของประชาชน จากการสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 50.99 มีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งลดลงจากผลสำรวจปี 2566 (ที่ร้อยละ 62.52) เมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า พนักงานของรัฐ เกษตรกร และพนักงานเอกชน เป็นกลุ่มอาชีพที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้มากที่สุดที่ร้อยละ 68.18 ร้อยละ 57.16 และ ร้อยละ 53.15 ตามลำดับ สอดคล้องกับผลการสำรวจของปี 2566 ขณะที่กลุ่มนักศึกษาและผู้ไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุมีสัดส่วนการมีภาระหนี้น้อยที่สุด ที่ร้อยละ 20.51 และ ร้อยละ 26.74 ตามลำดับ การจำแนกตามกลุ่มรายได้ พบว่า กลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วน การมีภาระหนี้สินมากที่สุดที่ร้อยละ 81.25 รองลงมาคือ กลุ่มรายได้ระหว่าง 50,001 – 100,000 บาท ที่ร้อยละ 76.15 และกลุ่มรายได้ระหว่าง 40,001 – 50,000 บาท ที่ร้อยละ 62.96 ทั้งนี้ จากผลสำรวจมีข้อสังเกตว่ารายได้มีลักษณะแปรผันตรงกับสัดส่วนการมีภาระหนี้ หรือกล่าวคือกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้นจะมีสัดส่วนของผู้ที่มีภาระหนี้มากขึ้น สาเหตุของการเกิดหนี้ ในภาพรวมพบว่า การซื้อและผ่อนอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย และ ยานพาหนะเป็นสาเหตุการเกิดภาระหนี้มากที่สุดที่ร้อยละ 27.47 รองลงมาคือ การเกิดภาระหนี้จากค่าใช้จ่ายประจำ ที่เพิ่มสูงขึ้น ที่ร้อยละ 25.56 และการเกิดภาระหนี้เพื่อการลงทุน ที่ร้อยละ 11.94 และเมื่อพิจารณาจำแนก ตามกลุ่มอาชีพ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่ไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาระหนี้มากที่สุด ซึ่งอาจสะท้อนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน ประเภทของหนี้สิน ในภาพรวมพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีภาระหนี้ มีสัดส่วนเป็นภาระหนี้ ในระบบมากที่สุด ที่ร้อยละ 79.89 รองลงมาด้วยการมีภาระหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ที่ร้อยละ 13.53 และสัดส่วนภาระหนี้นอกระบบ ที่ร้อยละ 6.58 ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากผลการสำรวจในปี 2566 (ที่ร้อยละ 7.19) เมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า พนักงานของรัฐเป็นผู้มีสัดส่วนภาระหนี้ในระบบมากที่สุดที่ร้อยละ 90.37 รองลงมาคือ เจ้าของกิจการ และนักศึกษา ขณะที่เกษตรกรถือเป็นอาชีพที่มีสัดส่วนการมีหนี้ทั้งในระบบ และนอกระบบมากที่สุด ที่ร้อยละ 22.20 และอาชีพรับจ้างอิสระเป็นอาชีพที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้นอกระบบ มากที่สุด ที่ร้อยละ 15.59 ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกลุ่มอาชีพที่ไม่มีรายได้ที่ชัดเจน และแน่นอน และเมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มรายได้ พบว่า กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท เป็นกลุ่ม ที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้นอกระบบและภาระหนี้ในทั้งสองระบบมากที่สุด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่ากึ่งหนึ่ง ของผู้ตอบแบบสอบถาม อาจสะท้อนถึงปัญหาภาระหนี้ที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้ไม่สูงมากนัก ซึ่งจำเป็น ต้องหาแนวทางแก้ไขเพื่อบรรเทาภาระหนี้ของประชาชนกลุ่มดังกล่าว                   สำหรับรูปแบบหนี้สิน ในภาพรวมพบว่า มีรูปแบบหนี้จากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมากที่สุดที่ร้อยละ 28.90 ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (ที่ร้อยละ 48.44) ตามมาด้วยหนี้บัตรเครดิต ที่ร้อยละ 24.45 และ หนี้จากการกู้ยืมสหกรณ์ที่ร้อยละ 15.63 ขณะที่พนักงานเอกชนและกลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือน 40,001 – 50,000 บาท เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้จากบัตรเครดิตมากที่สุด และพนักงานของรัฐและผู้ไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุมีสัดส่วนหนี้สินจากการกู้สหกรณ์มากที่สุด การชำระหนี้รายเดือน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีหนี้ในระบบที่ต้องชำระ ไม่เกิน 10,000 บาท มากที่สุด ที่ร้อยละ 56.79 รองลงมาคือ ชำระหนี้ 10,001 – 30,000 บาท ที่ร้อยละ 28.58 และชำระหนี้ 30,001 – 50,000 บาท ที่ร้อยละ 4.70 และในส่วนการชำระหนี้นอกระบบ มีผลการสำรวจสอดคล้องกัน กล่าวคือ ผู้ที่มีหนี้สินนอกระบบ มีการชำระหนี้รายเดือนไม่เกิน 10,000 มากที่สุด ที่ร้อยละ 23.69 รองลงมาคือ การชำระหนี้นอกระบบ 10,001 – 30,000 บาท และ 30,001 – 50,000 บาท ตามลำดับ พฤติกรรมการปรับตัวจากผลกระทบของหนี้สิน ในภาพรวมพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามปรับตัว จากผลกระทบของหนี้ โดยวิธีการลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากที่สุด ที่ร้อยละ 27.83 รองลงมาคือ การหารายได้เพิ่ม ที่ร้อยละ 22.23 และการไม่ก่อหนี้สินเพิ่มเติม ที่ร้อยละ 18.47 ความช่วยเหลือที่ต้องการจากภาครัฐ ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามที่มีภาระหนี้มีความต้องการ ให้ภาครัฐออกมาตรการและนโยบายเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินของประชาชนโดยการลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุด ที่ร้อยละ 46.57 และรองลงมาคือ การพักหรือขยายเวลาการชำระหนี้ ที่ร้อยละ 33.21 ซึ่งสอดคล้อง กับความต้องการของผู้ตอบแบบสอบถามในทุกกลุ่มอาชีพ อายุ และภูมิภาค ขณะที่ความต้องการลำดับถัดมา คือ การสร้างและส่งเสริมอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ ที่ร้อยละ 15.21 โดยกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี มีสัดส่วนความต้องการให้มีการสร้างและส่งเสริมอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้มากที่สุด ที่ร้อยละ 45.45 และ ร้อยละ 31.17 ตามลำดับ                 นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงผลการสำรวจครั้งนี้ว่า แม้สถานการณ์หนี้สินของประชาชนจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐที่อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาภาระหนี้สิน  ของประชาชน อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังคงติดตามและดูแลปัญหาภาระหนี้สินของประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน                 นอกจากนี้เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.00 ต่อปี ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน ด้วยอีกทางหนึ่ง                 ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ยังคงดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาการเกิดหนี้อันเนื่องมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ผ่านการกำกับดูแลราคาสินค้าและการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการเลือกซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคในราคาที่เหมาะสม อาทิ งานธงฟ้าราคาประหยัด การจัดจำหน่ายน้ำมันปาล์มบรรจุขวดในราคาประหยัด และการลดราคาช่วงเทศกาล ตลอดจนมีกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตร ซึ่งช่วยดูดซับผลผลิตส่วนเกิน และเพิ่มรายได้เกษตรกร พร้อมทั้งกระจายสินค้าตามฤดูกาลในราคาที่เหมาะสมสู่ประชาชนต่อไป

เปิดรายงานการประชุมกนง. หลังให้ลดดอกเบี้ยลงเหลือ2%

เปิดรายงานการประชุมกนง. หลังให้ลดดอกเบี้ยลงเหลือ2%

              หุ้นวิชั่น - รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ครั้งที่ 1/2568 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ และ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทย               การประเมินภาพเศรษฐกิจ ฝ่ายเลขานุการ กนง. นำเสนอภาพเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ว่าขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ แม้อุปสงค์ในประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้ายังขยายตัวดี แต่ไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคการผลิตมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการระบายสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูงและนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 2.5 เล็กน้อย ซึ่งต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ จากภาคการผลิตที่ยังถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น รวมถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่บังคับใช้แล้ว โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ ขณะที่ภาคบริการและท่องเที่ยวยังขยายตัวได้               เศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วนขยายตัวแตกต่างกันมากขึ้น (K-shape) โดยภาคบริการมีแนวโน้มขยายตัวดี โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ส่วนภาคการผลิตกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรสินค้าเทคโนโลยี ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับยานยนต์ และภาคอสังหาริมทรัพย์มีพัฒนาการแย่ลง โดยการผลิตรถยนต์ถูกกดดันจากการแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ และสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อให้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกบ้างจากราคารถยนต์มือสองที่เริ่มทรงตัว               ด้านภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มชะลอตัวจากกำลังซื้อในประเทศที่ลดลง โดยสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเนื่องจากสัดส่วนการผิดนัดชำระหนี้ที่ปรับสูงขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มรายได้ต่ำถึงปานกลาง จึงต้องติดตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะรายเล็กที่มีข้อจำกัดด้านสภาพคล่องและการปรับตัว รวมถึงผู้รับเหมาก่อสร้างที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SMEs เพื่อประเมินภาพอย่างใกล้ชิด               คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า จากภาคการผลิตที่ถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ผลกระทบที่อาจรุนแรงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก และภาวะการเงินของธุรกิจและครัวเรือนบางส่วนที่ตึงตัว ขณะที่กรรมการบางท่านเห็นว่าเศรษฐกิจอาจมีความเสี่ยงมากกว่าที่ฝ่ายเลขานุการฯ ประเมินไว้ โดยอุตสาหกรรมยานยนต์และภาคอสังหาริมทรัพย์อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งก่อนจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว               สะท้อนจากการใช้กำลังการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่อยู่ในระดับต่ำและอุปทานคงค้างระดับสูงในภาคอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ภาคการผลิตในหลายอุตสาหกรรมเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่เผชิญความท้าทายในการปรับตัวและมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ รวมทั้งการแข่งขันที่อาจสูงขึ้นอีกในระยะต่อไป กรรมการบางส่วนแสดงความกังวลว่าภาคบริการและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก (growth driver) อาจสนับสนุนเศรษฐกิจได้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา               ส่วนหนึ่งจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวชะลอลงตามพฤติกรรมการใช้จ่ายและโครงสร้างของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคท่องเที่ยวไทยในระยะยาว ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นร่วมกันว่าเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวชะลอลงมีสาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ซึ่งจำเป็นต้องใช้นโยบายปรับโครงสร้างด้านอุปทานเพื่อยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เช่น การลงทุนใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน และการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อช่วยในการปรับตัว               สำหรับเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ (demand side) มีแนวโน้มขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน โดยการบริโภคของกลุ่มผู้มีรายได้สูงยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำถึงปานกลางยังถูกกดดันจากการขยายตัวของรายได้ที่ไม่ทั่วถึงและภาวะสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ชะลอลง กรรมการบางส่วนให้ความเห็นว่าการบริโภคภาคเอกชนที่ผ่านมา ถูกขับเคลื่อนโดยครัวเรือนกลุ่มรายได้ปานกลางและสูง แต่ครัวเรือนกลุ่มดังกล่าวอาจระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นในระยะต่อไป ตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและปัจจัยด้านความมั่งคั่งที่ลดลง (wealth effect) ตามมูลค่าของตลาดหุ้นไทย               ด้านการส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวได้จากสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าเกษตรแปรรูปเป็นหลัก สำหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่มูลค่ารวมอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และ data center ทั้งนี้ กรรมการบางส่วนให้ความเห็นว่าต้องติดตามการสร้างมูลค่าเพิ่มของการส่งออกสินค้าและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เนื่องจากการสร้างมูลค่าเพิ่มมีแนวโน้มลดลงเทียบกับอดีต ส่วนหนึ่งจากการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ซึ่งรวมถึงกรณีของ data center อีกทั้งมีการนำเข้าปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศ (import content) เพิ่มขึ้น               มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่จะออกมาเพิ่มเติม เช่น (1) มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าโดยตรงรายประเทศ ซึ่งไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจถูกสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีจากการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง และ (2) มาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ที่อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูปของไทยที่มีส่วนต่างภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนสูงทั้งในมิติรูปแบบและช่วงเวลา รวมทั้งการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น โดยฉากทัศน์ที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นรวมเป็นร้อยละ 30 และประเทศกลุ่มเสี่ยงรวมถึงไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าร้อยละ 10 การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจปรับลดลงจากกรณีฐานประมาณร้อยละ 0.3-0.5 โดยประเมินว่าจะได้รับผลกระทบในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ผ่านช่องทาง (1) การส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐฯ โดยตรงลดลง (2) การส่งออกสินค้าขั้นกลางของไทยไปจีนลดลง และ (3) ปัญหาการแข่งขันกับอุปทานส่วนเกินของจีนทั้งในตลาดส่งออกและตลาดในประเทศที่รุนแรงขึ้น อย่างไรก็ดี การประเมินผลในฉากทัศน์นี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง และผลกระทบอาจรุนแรงขึ้นหากมีมาตรการตอบโต้ทางการค้าเพิ่มเติม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีโอกาสต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในบางช่วงเวลา จากอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานมีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้นจากสินค้านำเข้า               ทั้งนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณนำไปสู่ภาวะเงินฝืดหรือภาวะที่เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง เพราะ (1) พลวัตเงินเฟ้อมาจากปัจจัยด้านอุปทานมากกว่าด้านอุปสงค์ โดยปัจจัยด้านอุปทาน อาทิ ราคาน้ำมันโลกที่ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยราคาสินค้าในหมวดพลังงานและอาหารสดส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปใน 12 เดือนที่ผ่านมาร้อยละ 0.2 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีก่อนหน้าที่ร้อยละ 1.0 (2) ราคาสินค้าและบริการไม่ได้ปรับลดลงในวงกว้าง โดยราคาสินค้าและบริการกว่า 3 ใน 4 ของตะกร้าเงินเฟ้อยังเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง และ (3) อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังทรงตัวในกรอบเป้าหมาย               มองไปข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อมีความเสี่ยงด้านต่ำตามแนวโน้มราคาพลังงานโลก จากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจต่ำกว่าคาด แนวโน้มราคาอาหารสดที่อาจต่ำกว่าคาดจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐที่อาจมีเพิ่มเติม คณะกรรมการฯ เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ทรงตัวใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมายไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและไม่ได้ส่งสัญญาณภาวะเงินฝืด อีกทั้งยังมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่รายได้ฟื้นตัวได้ช้าหลังจากที่เงินเฟ้อได้เร่งขึ้นไปในช่วงก่อนหน้า โดยกรรมการบางส่วนให้ความเห็นว่ากำลัง การผลิตส่วนเกิน (overcapacity) ของจีน และการแสวงหาตลาดใหม่ของประเทศต่าง ๆ ที่ถูกปรับขึ้นภาษีการค้า อาจทำให้มีสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันกับผู้ประกอบการไทยมากขึ้น ซึ่งจะกดดันภาคการผลิตและระดับราคาสินค้าของไทยเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า               การประเมินภาวะการเงินและเสถียรภาพระบบการเงิน ภาวะการเงินยังตึงตัวจากสินเชื่อที่ชะลอลง แม้การขยายตัวและคุณภาพของสินเชื่อในภาพรวมเริ่มมี สัญญาณทรงตัวบ้าง โดยการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจมาจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างยังหดตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ สภาพคล่องเพื่อดำเนิน ธุรกิจของ SMEs ถูกกดดันเพิ่มเติมจากสินเชื่อการค้า (trade credit) ที่แย่ลง โดย SMEs ส่วนใหญ่ประสบปัญหาระยะเวลารับชำระเงินจากลูกหนี้การค้า (credit term) ที่ยาวขึ้น ด้านสินเชื่ออุปโภคบริโภคยังปรับลดลง ส่วนหนึ่งจากครัวเรือนที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และมีภาระหนี้สูง               ทั้งนี้ ยังต้องติดตามแนวโน้มการ ขยายตัวและคุณภาพสินเชื่อในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบางการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ (household debt deleveraging) ยังคงดำเนินไปต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวคณะกรรมการฯ แสดงความกังวลในประเด็นสินเชื่อที่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน จึงเห็นควรให้ติดตามการขยายตัวและคุณภาพของสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคอย่างใกล้ชิด โดยกรรมการบางท่านตั้งข้อสังเกตว่าการกลับมาขยายตัวของสินเชื่อในช่วงปลายปี อาจมาจากปัจจัยเฉพาะจากการที่สถาบันการเงินเร่งปล่อยสินเชื่อให้ถึงเป้าหมาย รวมทั้งคุณภาพสินเชื่อที่ปรับดีขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขายหนี้เสียและตัดหนี้สูญของสถาบันการเงินในช่วงปลายปี นอกจากนี้ กรรมการส่วนหนึ่งแสดงความกังวลต่อการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อกลุ่มรายได้ต่ำที่อาจเริ่มลุกลามมายังกลุ่มรายได้ที่สูงขึ้นรวมถึงคุณภาพสินเชื่อที่ปรับแย่ลงอาจส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นได้               โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงข้อมูลล่าสุดว่าเริ่มเห็นสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินสูงขึ้น จึงต้องติดตามอย่าง ใกล้ชิดต่อไปราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินโลก รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เคลื่อนไหว ผันผวนจากความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก               อย่างไรก็ดี หลังตลาดการเงินประเมินว่านโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจไม่รุนแรงเท่าที่คาดไว้ ราคาสินทรัพย์เสี่ยงจึงปรับเพิ่มขึ้น และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับอ่อนค่า ค่าเงินบาทปรับแข็งขึ้นจากทั้งปัจจัยภายนอกและ ปัจจัยเฉพาะของไทยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในบางจังหวะ การระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนโดยรวมยังดำเนินการได้ตามปกติ แต่ต้องติดตามความเสี่ยงของการระดมทุนทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนได้ไม่เต็มจำนวน (rollover risk) ของผู้ออกตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ด้านดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับลดลง ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินโลกที่อาจส่งผลต่อตลาดการเงินไทยและความผันผวนของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด การพิจารณานโยบายการเงิน • คณะกรรมการฯ ประเมินว่าสมดุลของความเสี่ยง

รับมือทรัมป์ 2.0 อย่างไร เมื่อไทยยังมีแผลเป็นเศรษฐกิจ

รับมือทรัมป์ 2.0 อย่างไร เมื่อไทยยังมีแผลเป็นเศรษฐกิจ

          การกลับมารับตำแหน่งสมัยที่ 2 ของประธานาธิบดีทรัมป์ได้เร่งให้ความไม่แน่นอนในโลกสูงขึ้น นโยบายทรัมป์ 2.0 กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกใหม่ โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะมีผลกดดันเศรษฐกิจโลกและกระทบต่อการตัดสินใจดำเนินงานของธุรกิจทั่วโลก มองไปข้างหน้า SCB EIC ประเมินว่า สหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายลักษณะคาดการณ์ยาก พร้อมจะปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับการต่อรอง ในกรณีฐานมองว่าสหรัฐฯ จะใช้นโยบายขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) แทนนโยบาย Universal Tariffs ที่เคยหาเสียงไว้ และใช้นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าเฉพาะสินค้าหรือบางประเทศเพิ่มเติม (Specific Tariffs) เช่น สินค้ารถยนต์ เหล็กและอะลูมิเนียม หรือสินค้าจากประเทศจีนและแคนาดา           SCB EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นจะทำให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นราว 11% จากอัตราเฉลี่ยเดิม ยิ่งหากประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ด้วยแล้ว คาดว่าสงครามการค้ารอบใหม่นี้จะกระทบเศรษฐกิจโลกรวม –1.3% และเร่งให้เงินเฟ้อโลกเพิ่ม 0.5% ในระยะปานกลาง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลลบทางเศรษฐกิจสุทธิน้อยกว่า แต่เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะเร่งตัวสูงกว่าจากผลกระทบนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า           SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวชะลอลงบ้างที่ 2.6% (เทียบกับ 2.7% ในปีก่อน) จากผลสงครามการค้าที่จะรุนแรงขึ้น ขณะที่ประเทศต่าง ๆ เริ่มออกนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยลดผลกระทบจากภายนอกมากขึ้น เช่น ยุโรปและจีนวางแผนขาดดุลการคลังมากขึ้น โดยเยอรมนีมีแผนขยายกฎเกณฑ์การคลังด้านหนี้ (Debt Break) เพื่อเพิ่มงบประมาณป้องกันประเทศ พร้อมตั้งกองทุน 500,000 ล้านยูโรเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐตลอด 10 ปีข้างหน้า ด้านจีนวางแผนขาดดุลคลัง 4% ของ GDP สูงเป็นประวัติการณ์ อนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นก่อหนี้มากขึ้น และจะกู้เงิน 5 แสนล้านหยวนเพื่อเพิ่มทุนให้ธนาคารของรัฐ           นโยบายการเงินประเทศเศรษฐกิจหลักจะแตกต่างกันและไม่แน่นอนสูง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 50 BPS ในปีนี้ตามที่เคยประเมินไว้ แม้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังสูงและเสี่ยงเร่งขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าของตัวเอง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณชะลอลงจากผลกระทบนโยบาย Trump 2.0 และความไม่แน่นอนของนโยบายที่สูงขึ้น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อเนื่องมากกว่า Fed รวม 100 BPS ในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าและเงินเฟ้อต่ำกว่า ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้รวม 50 BPS เพื่อช่วยพยุงค่าเงินเยนอ่อน และเงินเฟ้อญี่ปุ่นทรงตัวสูงกว่ากรอบเงินเฟ้อได้อย่างยั่งยืนขึ้น           SCB EIC ยังคงมุมมองต่อประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่ 2.4% เศรษฐกิจไทยยังได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะโครงการ 10,000 บาทเฟสที่เหลือ และการลงทุนภาครัฐที่จะขยายตัวต่อเนื่องจากมาตรการเร่งเบิกจ่าย อย่างไรก็ดี ผลกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการใช้เงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สำหรับนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนของไทย เศรษฐกิจไทยจึงมีแนวโน้มได้รับผลกระทบอย่างมากจากสงครามการค้าทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะหลายปีที่ผ่านมาการส่งออกของไทยพึ่งตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น พร้อมกับการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้นด้วยหลังจากจีนมีแผนทยอยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ กระจายไปตลาดอื่น           ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอกสูงขึ้น ภาคการผลิตไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในปีนี้ ส่วนหนึ่งเพราะนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะสินค้าทุนและวัตถุดิบ ประกอบกับเทรนด์ธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในไทยเริ่มเปลี่ยนไป จากการย้ายฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ เปลี่ยนเป็นการเข้ามาแข่งขันกับตลาดในประเทศมากขึ้น ภาพการลงทุนภาคเอกชนแม้จะกลับมาขยายตัวในปีนี้จากที่หดตัวแรงในปีก่อน แต่เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าทุนตามกระแสการลงทุนทางตรงจากต่างชาติเป็นหลัก ขณะที่การลงทุนในประเทศด้านอื่นยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก           SCB EIC ตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายของโลก สะท้อนอาการแผลเป็นโควิดหลายมิติ ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างเดิมที่ยังไม่ได้แก้ไข ทั้งจาก (1) แผลเป็นภาคธุรกิจ : รายได้ธุรกิจฟื้นแบบ K-Shape สัดส่วนจำนวนบริษัทผีดิบ (Zombie firm) ยังสูงกว่าก่อนโควิด โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก (2)  แผลเป็นตลาดแรงงาน : แม้ภาพรวมการจ้างงานดีขึ้นต่อเนื่อง แต่คุณภาพการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับแย่ลง โดยแรงงานนอกระบบสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่มีรายได้ต่ำกว่าแรงงานในระบบเกือบเท่าตัว มี (3) แผลเป็นภาคครัวเรือน : สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ที่ยังสูงเกือบ 90% แม้จะทยอยลดลงบ้าง แต่ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิด สาเหตุหลักมาจากสินเชื่อใหม่หดตัว ทำให้แม้การบริโภคภาคเอกชนปีนี้จะมีปัจจัยบวกชั่วคราวจากโครงการเงินโอน 10,000 บาทเฟสที่เหลือ แต่ปัจจัยรายได้ฟื้นช้า หนี้สูง และการเข้าถึงสินเชื่อที่ลดลงจะยังคงกดดันการบริโภคอยู่ และ (4) แผลเป็นภาคการคลัง : เห็นได้จากหนี้สาธารณะสูงขึ้นมากเทียบก่อนโควิดและมีแนวโน้มเข้าใกล้เพดานหนี้ 70% ในอีกไม่กี่ปี แม้รัฐบาลจะขาดดุลสูงในปีงบประมาณ 2568 นี้ แต่กรอบงบประมาณจะสะท้อนข้อจำกัดการคลังในระยะปานกลางมากขึ้นเรื่อย ๆ จากปัจจัยพื้นฐานเชิงโครงสร้างของประเทศที่อ่อนแอเช่นนี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวแบบ K-Shape และมีแนวโน้มเติบโตต่ำในระยะข้างหน้า           SCB EIC ประเมิน กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ไปอยู่ที่ 1.5% ณ สิ้นปี สาเหตุจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ        1)  ภาวะการเงินจะยังตึงตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงทางการเงินสูง สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อรายย่อย ขณะที่การขายหุ้นกู้ของธุรกิจที่มีอันดับเครดิตไม่สูงเริ่มมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น และดัชนีค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วเทียบภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา และ 2) เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท่ามกลางความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศเช่นนี้           ในระยะข้างหน้า SCB EIC มองว่า ไทยต้อง “เร่งสร้างความเข้มแข็งจากภายใน” ทั้งในระยะสั้นและยาวควบคู่กันไป พร้อมการสื่อสารสาธารณะ ในการผลักดันนโยบายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ทรัพยากรภาครัฐให้ตอบโจทย์การปรับตัวของประเทศ โดยเร่งดำเนินการผ่านนโยบายระยะสั้น มุ่งลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนภายนอก ปรับกรอบนโยบายมหภาคให้เอื้อต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และนโยบายระยะยาว มุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านต่าง ๆ และยกระดับขีดความสามารถภาครัฐ           มุมมองผลกระทบต่อธุรกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะจากนโยบาย Reciprocal Tariffs และ Specific Tariffs ของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะกระทบกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมี นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลกระทบทางอ้อมผ่านคู่ค้าสำคัญ (เช่น จีน) ในอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง รวมถึงผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ นอกจากนี้ ปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาไทยอาจรุนแรงมากขึ้น รวมถึงสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ไทยอาจต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นหลังการเจรจาการค้า ซึ่งคาดว่าอาจเป็นความเสี่ยงที่ซ้ำเติมให้การผลิตในบางอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาผลกระทบเชิงบวกในบางธุรกิจที่ไทยอาจเข้าไปเจาะตลาดสหรัฐฯ แทนจีนหรือเม็กซิโกได้           ในสถานการณ์เช่นนี้ SCB EIC มองว่าผู้ประกอบการไทยสามารถใช้กลยุทธ์ 4P ในการปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากนโยบายของ Trump 2.0 และจากปัญหาโครงสร้างการผลิตที่ยังอ่อนแอ ประกอบด้วย 1) Product : พัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์/แตกต่างและเพิ่มมูลค่า 2) Place : กระจายตลาด 3) Preparedness : บริหารความเสี่ยงทุกมิติ ทั้งห่วงโซ่อุปทานและงบการเงิน 4) Productivity : เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว โดย : ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย วิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ( SCB EIC) นางสาวปราณิดา ศยามานนท์ ผู้อำนวยการ ผู้บริหารฝ่าย Industry Analysis  ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ( SCB EIC)

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเมืองแห่งอาหารอันดับ 2 ของโลก ประจำปี 68

กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเมืองแห่งอาหารอันดับ 2 ของโลก ประจำปี 68

          “สุดาวรรณ” ปลื้มร่วมภาคภูมิใจ กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเมืองแห่งอาหารอันดับ 2 ของโลก ประจำปี 2568 จาก Time Out เผยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมสนับสนุน ส่งเสริมการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากทุนทางวัฒนธรรมด้านอาหารของไทย พัฒนายกระดับอาหารไทย อาหารถิ่นสู่ระดับสากล           วันที่ 18 มีนาคม 2568 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า จากนโยบายนำทุนวัฒนธรรมทำให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลกมาเที่ยวในมิติด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม มุ่งขับเคลื่อน Soft Power สร้างเสน่ห์วิถีไทย ครองใจคนทั้งโลกผ่านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย โดนเฉพาะด้นอาหาร ถือว่าอาหารไทยเป็นที่ชื่นชอบจากนักชิมทั่วโลก ล่าสุดเป็นที่น่ายินดีว่า เมื่อเร็วๆนี้ กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเมืองแห่งอาหารอันดับ 2 ของโลก ประจำปี 2568 จาก Time Out ขยับขึ้นจากอันดับ 6 เมื่อปีที่แล้ว เป็นรองเพียง นิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา เท่านั้น ซึ่งกรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งสตรีทฟู้ดระดับโลก โดยเฉพาะ 'ย่านเยาวราช' เป็นย่านอาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยเมนูชื่อดังมากมาย รวมถึงบาร์ค็อกเทลสุดชิคที่เปิดให้บริการตลอดคืน ยังคงเป็นที่นิยมของนักเที่ยวยามค่ำคืน ขณะที่ 'ย่านบรรทัดทอง' ซึ่งเคยเงียบเหงา ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งรวมสตรีทฟู้ดที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ถนนที่ดีที่สุดอันดับ 14 ของโลก จาก Time Out           รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า “อาหาร” เป็นภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่สะท้อนแนวคิด (concept) วิถีชีวิต(lifestyle) ประวัติศาสตร์ (history) ภูมิปัญญา (remedy) ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ การประกอบอาหาร การปรุงรสอาหาร วิธีการรับประทาน ข้อกำหนดและข้อห้ามเกี่ยวกับอาหารที่แตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม รวมถึงการปฏิสัมพันธ์ (interaction) กับต่างประเทศ ที่ผ่านมากระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เดินหน้าสนับสนุนและขับเคลื่อนโครงการที่มุ่งส่งเสริมการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากทุนทางวัฒนธรรมด้านอาหารของไทย ส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นสู่มรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ความเป็นไทย “รสชาติ...ที่หายไป The Lost Taste”           “ในปี 2568 นี้ เป็นปีที่ 3 ในการขับเคลื่อนการยกระดับอาหารถิ่นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นนโยบายที่สำคัญของกระทรวงวัฒนธรรม และนอกเหนือจากการค้นหาเมนูอาหาร “รสชาติ...ที่หายไป” แล้ว ยังมุ่งพัฒนาเมนูอาหารถิ่นสู่การจัดสำรับเครื่องดื่มพื้นบ้าน (assortment of traditional cuisine and beverages) ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เกิดการอนุรักษ์และเผยแพร่องค์ความรู้และภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอาหารของประเทศ การออกไปสำรวจจังหวัดต่างๆ ของไทยและนำเทคนิค ส่วนผสม และรสชาติแบบดั้งเดิมที่เคยถูกละเลยมาสู่เมืองหลวงอีกครั้ง ตลอดจนการนำเสนอเมนูอาหารที่สร้างสรรค์สู่สากล“นางสาวสุดาวรรณ กล่าว           ทั้งนี้ เมนูยอดฮิตของไทย “ต้มยำกุ้ง” ยังได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก ในบัญชีรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity – บัญชี RL) เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ในที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intergovernmental Committee for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage: ICS-ICH) ครั้งที่ 19 ณ กรุงอาซุนซิออน สาธารณรัฐปารากวัย ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของไทยและถือเป็นการสร้างความตระหนักรู้ในระดับสากลต่อคุณค่าและความสำคัญของ “ต้มยำกุ้ง” ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมด้านอาหาร ซึ่งถือเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีการสร้างสรรค์ให้เข้ากับวิถีชีวิตที่มีความแตกต่างหลากหลาย สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชุมชนเกษตรกรรมริมแม่น้ำลำคลองในภาคกลางของไทยตลอดหลายศตวรรษที่มีวัฒนธรรมการบริโภคอาหารผ่านการสังเกตและเรียนรู้จากธรรมชาติ รวมถึงความเรียบง่ายและการดำเนินชีวิตที่พึ่งพิงธรรมชาติ พึ่งพาตนเอง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ           กระทรวงวัฒนธรรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการขับเคลื่อนโครงการด้านอาหารร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง (strengthening) ให้กับชุมชน มุ่งสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (creative economy) อย่างมีส่วนร่วมทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ อันจะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ (Thailand Creative Culture Agency : THACCA) ได้อย่างมีศักยภาพ

นายกฯ กำชับ 4 เรื่อง เช็กบิลคดีใหญ่ ฟื้นเชื่อมั่นตลาดทุน

นายกฯ กำชับ 4 เรื่อง เช็กบิลคดีใหญ่ ฟื้นเชื่อมั่นตลาดทุน

          น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดีย ว่า           อีกหนึ่งเรื่องที่รัฐบาลติดตามและให้ความสำคัญมาโดยตลอด คือเรื่องตลาดหุ้นไทย โดยวันนี้ดิฉันได้เชิญคุณพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. , คุณอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดี DSI เข้ามาพูดคุยติดตามเรื่องสถานการณ์ในตลาดหุ้น และ คดีทางการเงินที่เป็นปัญหา โดยดิฉันได้เน้นย้ำ 4 เรื่องสำคัญค่ะ 1.กำชับและติดตามคดีที่มีผลกระทบต่อผู้คนเป็นจำนวนมากและกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเร่งรัดติดตามให้คดีมีความคืบหน้าโดยเร็ว 2.แก้ไขกฎหมายเพื่อป้องกันการกระทำผิดในตลาดหุ้น โดยปรับปรุงกฎเกณฑ์ ยกระดับไม่ให้มีการกระทำแบบนี้เกิดขึ้นอีก เช่น ปรับปรุงกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ 3.กำชับถึงข้อกำหนดที่จะจัดการเรื่อง free float ลงโทษบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ทำผิดหลักเกณฑ์ได้ โดยการให้ออกจากตลาด 4.เน้นย้ำให้มีการใช้กฎหมายครบทุกมิติ เพื่อฟื้นความมั่นใจอย่างเร่งด่วนและเป็นธรรม เรื่องนี้ถือเป็นภารกิจของรัฐบาลในการสร้างความเชื่อถือและเชื่อมั่น (trust and confidence) ในด้านการใช้กฎหมายเพื่อให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ เชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย ให้ตลาดหุ้นไทยแข่งขันได้ในเวทีสากลค่ะ ที่มา https://www.facebook.com/ingshin21/posts/pfbid0FfcyQRrETzx2J2hp6JrxnWHKiSBY7ZackmgP8DYz3v1CSazY31pCpeR89zquhSsol

บีโอไอ เคาะส่งเสริม รถไฟฟ้าสีส้ม – ดาต้าเซ็นเตอร์ ลงทุนกว่า 2 แสนล.

บีโอไอ เคาะส่งเสริม รถไฟฟ้าสีส้ม – ดาต้าเซ็นเตอร์ ลงทุนกว่า 2 แสนล.

          บอร์ดบีโอไออนุมัติส่งเสริมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงการใหญ่ มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้ม และ Data Center 3 แห่งจากบริษัทไทย จีน และสิงคโปร์ เสริมแกร่งระบบนิเวศดิจิทัล รองรับยุค AI พร้อมสนับสนุนให้เอกชนร่วมลงทุนกิจการโรงพยาบาลของรัฐ ยกระดับบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึง           นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญขนาดใหญ่ 4 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 200,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เงินลงทุน 109,210 ล้านบาท โครงการ Data Center 3 โครงการจากประเทศไทย จีน และสิงคโปร์ ได้แก่ บริษัท จีเอสเอ ดาต้าเซ็นเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี บริษัท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 72,670 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง บริษัทในเครือ Empyrion Digital ประเทศสิงคโปร์ เงินลงทุน 4,720 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร           “Data Center ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับรองรับความต้องการในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI การที่มีบริษัทระดับโลกเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทยก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้าน นอกจากจะส่งเสริมให้ไทยเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้เข้าถึงบริการของศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ที่มีมาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง และมีความเสถียรในการให้บริการดิจิทัล ลดต้นทุนบริษัทในการทำศูนย์ข้อมูลของตนเอง ช่วยรักษาข้อมูลสำคัญให้ถูกเก็บและประมวลผลในประเทศซึ่งจะเป็นประโยชน์ด้านความมั่นคง ช่วยสนับสนุนการใช้แอปพลิเคชันและเทคโนโลยีดิจิทัลในการยกระดับภาคส่วนต่าง ๆ อีกทั้งจะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโทรคมนาคม สาธารณูปโภค พลังงาน อุปกรณ์ไอที บริษัทก่อสร้างและวางระบบขั้นสูง System Integrator ด้านต่าง ๆ รวมถึงช่วยสร้างงานที่มีคุณค่าสูงให้กับคนไทย เช่น ผู้ดูแลระบบโครงข่าย งานด้านวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และงานสนับสนุนด้านไอที” นายนฤตม์ กล่าว           ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2565-2567) มีโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service จำนวน 27 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.9 แสนล้านบาท ส่งเสริมการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชนในกิจการโรงพยาบาล           ตามที่รัฐบาลมีแนวทางส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในบริการด้านสาธารณสุขมากขึ้นในรูปแบบ PPP (Public-Private Partnership) เพื่อยกระดับมาตรฐานและเพิ่มขีดความสามารถทางการรักษาพยาบาล โดยลดภาระงบประมาณภาครัฐ แต่สามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยที่เป็นผู้ประกันตนได้จำนวนมาก โดยการผสานจุดแข็งของภาครัฐที่มีความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ ขณะที่ภาคเอกชนมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการและความพร้อมด้านการลงทุนเทคโนโลยี           บอร์ดบีโอไอจึงได้เห็นชอบให้กำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับกิจการโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีจำนวนเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนตั้งแต่ 91 เตียงขึ้นไป ในกรณีที่มีการร่วมทุนในรูปแบบ PPP กับหน่วยงานรัฐ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรเครื่องจักรและอุปกรณ์ และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี (โรงพยาบาลทั่วไปจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี) นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอได้อนุมัติหลักการในการส่งเสริม “โครงการโรงพยาบาลปลวกแดง 2 จังหวัดระยอง” ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนรัฐ-เอกชนในรูปแบบ PPP ครั้งแรกของกระทรวงสาธารณสุข ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้เป็นโครงการแรกด้วย สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก           เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคอุตสาหกรรม ที่ประชุมได้เห็นชอบให้กิจการที่มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น ลมหรือแสงอาทิตย์ไปแล้ว แต่ต้องการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (Battery Energy Storage System: BESS) และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ของระบบ BESS เพิ่มเติม สามารถขอรับการส่งเสริมภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานทดแทนได้           นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมวัสดุ ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามแดน (CBAM) ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบให้กิจการผลิตวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ในกลุ่ม Earthenware และกระเบื้องเซรามิกส์ ซึ่งเป็นกิจการที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

ASW จ่อโอน “Kave COCO Bangsaen”  คอนโดสร้างเสร็จติด ม.บูรพา

ASW จ่อโอน “Kave COCO Bangsaen” คอนโดสร้างเสร็จติด ม.บูรพา

           หุ้นวิชั่น - แอสเซทไวส์ เตรียมส่งมอบ “Kave COCO Bangsaen” แคมปัสคอนโดสร้างเสร็จใหม่พร้อมอยู่ ภายใต้การร่วมทุนกับ Tokyo Tatemono Asia มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ติด ม.บูรพา กระแสตอบรับดีเยี่ยม ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คใหม่ใกล้หาดบางแสน รายล้อมด้วยคาเฟ่ แหล่งแฮงค์เอาท์ จัดเต็มสุดในย่าน! ส่วนกลางมากถึง 50 รายการ สระว่ายน้ำใหญ่สไตล์บีชคลับเหมือนมีหาดส่วนตัว มั่นใจทำเลบางแสน-อมตะนคร ดีมานด์นักศึกษาและคนทำงานนิคมฯมีต่อเนื่อง Yield เฉลี่ย 6% ต่อปี* เปิดชมส่วนกลาง วิวจริง 22-23 มี.ค. 68 นี้ ห้อง Fully Furnished แต่งครบเข้าอยู่ได้ทันที พร้อมรับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกยูนิต ราคาเริ่ม 1.79 ล้านบาท            นางสาวพชร ประพันธ์วัฒนะ กรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คอนโดมิเนียม บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” กล่าวว่า โครงการเคฟ โคโค่ บางแสน (Kave COCO Bangsaen) แคมปัสคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ล่าสุดจากแอสเซทไวส์ ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มนิสิตนักศึกษา ผู้ปกครอง และลูกค้าในพื้นที่ชลบุรี จากการเป็นคอนโดมิเนียมติดมหาวิทยาลัยบูรพาที่มีส่วนกลางมากกว่า 50 รายการ และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่เสมือนมีหาดส่วนตัว ล่าสุด โครงการได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ตามแผนงานและได้มาตรฐานงานก่อสร้าง พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ส่งมอบห้องพักให้กับลูกค้า โดยจะเปิดให้ชมส่วนกลางจริงวันที่ 22-23 มี.ค. 2568 นี้ พร้อมมอบส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 300,000 บาท และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกยูนิต            ทั้งนี้ โครงการ Kave COCO Bangsaen เป็นโครงการแคมปัสคอนโดมิเนียมที่แอสเซทไวส์ร่วมทุน (Joint Venture) กับ Tokyo Tatemono Asia Pte. Ltd บริษัทย่อยในเครือ Tokyo Tatemono Co.,Ltd ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศญี่ปุ่น มูลค่าโครงการรวม 2,000 ล้านบาท ตัวโครงการประกอบด้วยอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร จำนวน 974 ยูนิต ตั้งอยู่บนถนนบางแสนสาย 4 ใต้ บนที่ดินขนาดประมาณ 8 ไร่ ติดมหาวิทยาลัยบูรพา ใกล้ถนนเส้นหลักลงหาดบางแสนเพียง 200 ม. และเชื่อมกับถนนสุขุมวิท สามารถเดินทางไปยังพัทยา นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ หรือเข้าสู่กรุงเทพฯ ได้ง่าย รายล้อมด้วยสถานศึกษา แหล่งอาหาร แหล่งไลฟ์สไตล์ และสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งห้างแหลมทองบางแสน ตลาดซอยซีไซด์ ตลาดวังมุข ตลาดปาร์คอิน รพ.มหาวิทยาลัยบูรพา รพ.สมิติเวช ชลบุรี รร.สาธิตพิบูลบำเพ็ญ รวมถึงคาเฟ่และร้านอาหารชื่อดังมากมาย            ตัวโครงการเน้นตกแต่งโทนสีสันสดใส แฝงกลิ่นอายยุค Mid-Century โดดเด่นด้วยส่วนกลางมากกว่า 50 รายการ ทั้งแบบ Outdoor อาทิ สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ 2 สระ รวม 3 โซน คือโซน The Island Pool สระทรงอิสระที่มี Pool Terrace กับ Hidden Daybed ไว้นั่งพักผ่อน โซน The Wetland สระยาวกว่า 45 ม. ที่มี Waterfall สไลด์เดอร์ Sunbed และโซน Party Pool สไตล์บีชคลับมาพร้อม Jacuzzi กับ Pool Bar ทั้งยังเชื่อมกับ Party Room สำหรับจัดปาร์ตี้ริมสระ, Jogging Track, Open Trail, Coco Bar, Sky Terrace และแบบ Indoor เช่น Creative Room, Photo Studio, Podcast Room, Theater Room, Multi Game Table, Fitness, Dance & Yoga Studio, Bike Simulator, Boxing, Health Station, EV Charger พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. โดยห้องชุดมีให้เลือก 4 รูปแบบ ได้แก่ 1 Bedroom 22.80 - 23.50 ตร.ม., 1 Bedroom Exclusive 25.50 - 26.50 ตร.ม., 1 Bedroom Extra 28.10 - 28.80 ตร.ม. และ 1 Bedroom Plus 34.50 - 35.40 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท            นางสาวพชร กล่าวเพิ่มเติมว่า ชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย นอกจากเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทะเลและธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ยังมีมหาวิทยาลัยบูรพา หนึ่งในสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศที่มีจำนวนนักศึกษามากถึง 27,000 คน และเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญ เนื่องจากอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่ง อาทิ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานและบริษัทชั้นนำระดับโลก ดึงดูดแรงงานคุณภาพจากทั่วประเทศ รวมถึง Expats บุคลากรในภาคธุรกิจและเทคโนโลยี ทำให้มีความต้องการที่พักอาศัยในพื้นที่นี้อย่างต่อเนื่อง            “นอกจากดีมานด์หลักจากนิสิตนักศึกษาที่ต้องการที่พักระหว่างศึกษา ซึ่งบางส่วนอาจอยู่อาศัยต่อเนื่องเพราะทำงานในพื้นที่ และกลุ่มผู้ปกครองที่ซื้อให้บุตรหลาน โดยคำนึงถึงโอกาสในการลงทุนเพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อหลังเรียนจบแล้ว ทำเลบางแสน-อมตะนครยังได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมโดยรอบ รวมถึงผู้ที่มองหาที่พักตากอากาศใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์และชายหาดบางแสน ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม เต็มไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ และสถานที่พักผ่อนที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง ทำให้ห้องชุดแต่งพร้อมอยู่ในย่านนี้สามารถปล่อยเช่าได้สูงสุดถึง 17,000 บาทต่อเดือน มีอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) ประมาณ 6% ต่อปี* เราเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของทำเล การออกแบบฟังก์ชันห้องที่ลงตัว และส่วนกลางที่ครบครัน จะทำให้โครงการ Kave COCO Bangsaen เป็นอีกหนึ่งแคมปัสคอนโดที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยเอง และการลงทุนในระยะยาว” นางสาวพชร กล่าว            โครงการ Kave COCO Bangsaen จะเปิดให้ชมส่วนกลางจริงวันที่ 22-23 มี.ค. 68 โดยภายในงานจะมอบส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกยูนิต ผู้ที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการและลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/4hcooZV สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 02-168-0000 หรือ Line OA: @assetwise หรือคลิก https://lin.ee/5kTwJmr [PR News]

BEM ให้การต้อนรับคณะเยี่ยมชมจาก The Wharton School, the University of Pennsylvania

BEM ให้การต้อนรับคณะเยี่ยมชมจาก The Wharton School, the University of Pennsylvania

           เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ให้การต้อนรับคณะอาจารย์และนักศึกษา MBA และ Executive MBA หลักสูตร Wharton’s Global Modular Course จาก The Wharton School, the University of Pennsylvania ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องในโอกาสเข้าเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการ โรงซ่อมบำรุงหลัก โดยมี นายอัลวิน จี รองกรรมการผู้จัดการ ให้การต้อนรับพร้อมให้ข้อมูล นอกจากนี้คณะอาจารย์และนักศึกษายังได้ทดลองเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้า MRT จากสถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยไปเยี่ยมชมสถานีสนามไชย ซึ่งได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นสถานีรถไฟฟ้าที่สวยที่สุดในประเทศไทย สร้างความประทับใจให้กับคณะเยี่ยมชมเป็นอย่างมาก [PR news]

หุ้นกู้ KCCH ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการหนี้ [FynnCorp IAS Bond Research]

หุ้นกู้ KCCH ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการหนี้ [FynnCorp IAS Bond Research]

บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) Business Sector: Finance and Securities Company Rating: Unrated Issue Rating: Unrated Listed Status: MAI Key Highlights: KCCH ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ KCCAMC และ KCCAR มีรายได้การดำเนินงานลดลงเล็กน้อย แต่ธุรกิจหลักยังเติบโตได้ดี เน้นลงทุนเพิ่มในพอร์ต NPL ที่ให้ผลตอบแทนสูง สถานะการเงินแข็งแกร่ง เงินสด 304 ล้านบาท แต่ยังต้องพึ่งพาเงินกู้เพิ่ม KCCH ออกหุ้นกู้ 6.00% ต่อปี ไม่มีเรตติ้ง อายุ 1 ปี 11 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ย 6.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568 หุ้นกู้ KCCH ภาพรวมธุรกิจ บริษัท ไนท คลับ แคปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (KCC) จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ในเดือนสิงหาคม ปี 2566 เพื่อดำเนินธุรกิจด้วยการเข้าลงทุนถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ซึ่ง KCC ดำเนินธุรกิจหลักด้วยการถือหุ้น 99.73% ภายใต้ บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปิตอล จำกัด (มหาชน) (KCCAMC) ที่ประกอบธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากการรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) จากสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน แล้วนำมาปรับปรุงโครงสร้างหนี้และบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย (NPA) เพื่อนำมาพัฒนาและจำหน่ายต่อไป นอกจากนี้ KCC ยังดำเนินธุรกิจหลักด้วยการถือหุ้น 100% ภายใต้ บริษัท เคซีซี แอสเซท รีคัฟเวอรี่ จำกัด (KCCAR) ซึ่งดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากการรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้ NPLs เช่น การซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพประเภทหุ้นกู้ หรือประเภทลูกหนี้การค้าจากบุคคลหรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน และนำมาบริหารจัดการ ปรับปรุงและจำหน่ายต่อไป แหล่งรายได้ มาจาก 1) การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ อย่างดอกเบี้ยรับจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ จากกำไรการรับชำระหนี้ และจากกำไรการขายเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ เป็นต้น และ 2) กำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขายที่บริษัทได้มีการสร้างมูลค่าเพิ่ม ปรับปรุงให้มีสภาพดีพร้อมใช้ประโยชน์ เพื่อให้สามารถจำหน่ายให้กับบุคคลภายนอกได้ นอกจากนี้ ยังมี 3) รายได้จากการดำเนินงานอื่น เช่น รายได้จากการให้บริการบริหารสินทรัพย์ รายได้ดอกเบี้ยรับจากธนาคาร และอื่นๆ ผลการดำเนินงานปี 2567 เมื่อรวมรายได้จากการดำเนินงาน 3 แหล่งข้างต้นจะอยู่ที่ 185.7 ล้านบาทในปี 2567 โดยรายได้มาจากธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นหลัก คิดเป็นกว่า 93% หรือมูลค่า 172.8 ล้านบาท ตามด้วยกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขาย มูลค่า 9.5 ล้านบาท (5%) และรายได้อื่นๆ ส่วนกำไรสุทธิ อยู่ที่ 81.8 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้จากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน 2.8% YoY สาเหตุหลักมาจากกำไรสุทธิจากการรับชำระหนี้ลดลง 58.3% YoY อยู่ที่ 10.98 ล้านบาท จาก 26.35 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่งปกติบริษัทจะรับรู้กำไรส่วนนี้เมื่อได้รับเงินส่วนที่เกินกว่าราคาทุนที่จ่ายซื้อลูกหนี้และดอกเบี้ยที่ได้รับชำระจากลูกหนี้ ส่วนกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขายที่จำหน่ายได้ ลดลง 32.7% YoY ขณะเดียวกัน กำไรสุทธิลดลงจากปีก่อนหน้า 2.8% จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มจากการออกหุ้นกู้เพื่อซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มเติม แม้ว่ารายได้ภาพรวมจะลดลงเล็กน้อย แต่รายได้หลักของบริษัท อย่างรายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้สุทธิของบริษัท ยังเติบโต 17.3% YoY มาอยู่ที่ 159.8 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนเพิ่มในพอร์ต NPL ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น และการขยายตัวของพอร์ต สะท้อนศักยภาพในการสร้างรายได้และผลตอบแทนในระยะยาวของบริษัท สถานะทางการเงิน บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 304 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E ratio) อยู่ที่ 1.06 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) อยู่ที่ 1.00 เท่า สะท้อนว่าหนี้สินส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย โดยหลักเป็นตราสารหนี้ คิดเป็น 88.5% ของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยทั้งหมด โดยบริษัทสามารถจ่ายดอกเบี้ยอยู่ในระดับดี สะท้อนจากอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (ICR) ที่ 2.14 เท่า อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนความสามารถในการชำระผูกพัน (DSCR) อยู่ที่ 0.26 เท่า หมายความว่า มีกำไร EBITDA ครอบคลุมภาระหนี้ (ดอกเบี้ย + เงินต้น) ที่ครบกำหนดใน 1 ปี ได้เพียง 26% ส่งผลให้บริษัทต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้ใหม่ เช่น การออกหุ้นกู้ KCCH เสนอขายหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ เป็นหุ้นกู้เสี่ยงสูง ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ 1 ปี 11 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ย 6.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568 โดยบริษัทไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรและหุ้นกู้ มีวัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อย เพื่อนำไปใช้ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะยาว การดำรงอัตราส่วนทางการเงิน บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) ตามข้อกำหนดสิทธิของผู้ออกหุ้นกู้ ไม่เกิน 2.5 เท่า ณ วันสิ้นงวดบัญชี ปัจจัยเสี่ยง ความเสี่ยงในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ บริษัทมีความเสี่ยงหากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายชำระเงินตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน หรือการดำเนินกระบวนการทางศาลล่าช้า หลักประกันไม่คุ้มหนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีขั้นตอนการคัดเลือกสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ด้วยการดำเนินการสอบทานข้อมูล (Due Diligence) อย่างละเอียด ความเสี่ยงจากการจัดซื้อลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจที่ไม่มีหลักประกัน หากเกิดเหตุการณ์ที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ให้กับบริษัทได้ บริษัทจะต้องดำเนินการฟ้องร้อง เพื่อบังคับคดีกับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ ซึ่งใช้ระยะเวลาและอาจส่งผลต่อกระแสเงินสดรับ และความสามารถในการชำระคืนหนี้ได้ ดังนั้น บริษัทจึงให้ความสำคัญในการพิจารณา ประเมิน และกำหนดราคาซื้อลูกหนี้ทุกครั้งที่เข้าประมูลซื้อลูกหนี้ อย่างเช่น การพิจารณาภาระหนี้คงเหลือ ความสามารถในการชำระหนี้ พิจารณาแผนธุรกิจ วิเคราะห์งบการเงิน และอุตสาหกรรม เป็นต้น ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของบริษัท จากการที่บริษัทมีลูกหนี้ 1 ราย ที่มีสัดส่วนมากกว่า 30.4% ของเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิของ KCCAMC ณ สิ้นปี 2567 โดยเป็นสินเชื่อธุรกิจที่มีหลักประกัน ซึ่งผลการดำเนินงานของลูกหนี้อาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ ทำให้ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทตามมา บริษัทจึงได้ติดตามลูกหนี้นี้ และมีการประเมิน ติดตามมูลค่าหลักประกันอย่างสม่ำเสมอ โดยมีรายงานความคืบหน้าทางคดีต่อคณะกรรมการบริษัททุกเดือน และรายงานต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงทุกไตรมาส

abs

Hoonvision

ปลัดพลังงาน สั่ง กฟผ. เร่งขุดขนถ่านหินแม่เมาะไม่ให้กระทบค่าไฟ

ปลัดพลังงาน สั่ง กฟผ. เร่งขุดขนถ่านหินแม่เมาะไม่ให้กระทบค่าไฟ

          หุ้นวิชั่น - ปลัดกระทรวงพลังงานยืนยันกรณี การว่าจ้างการขุดขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะที่ล่าช้า ได้สั่งการให้ กฟผ. เร่งงานทุกสัญญา ไม่กระทบค่าไฟ พร้อมขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ดำเนินการตรวจสอบ สร้างความเชื่อมั่นและแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการของ กฟผ.           วันนี้ (14 มีนาคม 2568) นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน และประธานบอร์ด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (รมว.พน.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีการจ้างเหมา ขุด-ขนถ่านหิน ที่เหมืองแม่เมาะ ปัจจุบันผลการสอบข้อเท็จจริงได้สิ้นสุดแล้ว ไม่มีเรื่องทุจริต หรือ การประพฤติมิชอบ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับ ซึ่งทาง กฟผ. จะได้เดินหน้าดำเนินการลงนามสัญญาจ้างผู้ชนะการประมูลต่อไป ซึ่ง กฟผ. จะเร่งการขุดขนถ่านหินจากทุกสัญญา เพื่อให้มีถ่านหินเพียงพอในการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะให้ได้เต็มที่ ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าในรอบถัดไป            อย่างไรก็ตาม ตามที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า กฟผ. ไม่ควรเดินเครื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะโรงที่ 8 ถึง 11 เนื่องจากสถานการณ์ของสงครามรัสเซีย-ยูเครนไม่รุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ในส่วนนี้ ขอชี้แจงว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา สงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ มีความไม่แน่นอน และความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง ได้ส่งผลกระทบให้ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG ผันผวนในระดับสูง ที่ 14 - 15 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ในการนี้ กฟผ. ได้มีการปรับสัดส่วนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้มีความเหมาะสมด้านราคาและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน ซึ่ง กฟผ. พยายามใช้เชื้อเพลิงที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดในการผลิตไฟฟ้า จึงยังคงจำเป็นต้องเดินเครื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะโรงที่ 8 ถึง 11 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ซึ่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ โรงที่ 8 ถึง 11 ส่งผลให้ปี 2567 สามารถลดการนำเข้า LNG ได้ประมาณ 18 ลำ มูลค่ากว่า 65,000 ล้านบาท หรือลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 11 - 13 สตางค์ต่อหน่วย            ในส่วนของการใช้วิธีพิเศษในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างนั้น ก็เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง ได้เปิดโอกาสให้บริษัทที่มีศักยภาพสามารถเข้าร่วม จำนวน 6 ราย โดยการคัดเลือกได้พิจารณาทั้งเทคโนโลยีที่บริษัทนำเสนอ แผนการดูแลรักษาเครื่องจักร อุปกรณ์ที่สำคัญ รวมทั้ง ประสบการณ์ในการดำเนินงาน และข้อเสนอด้านราคาของบริษัทที่เข้าร่วมการประมูล           “ผมขอยืนยันว่า ถึงแม้จะมีความล่าช้าในการจัดจ้างงานขุดขนถ่านหิน ผมในฐานะประธานบอร์ด กฟผ. และผู้บริหารทุกท่าน ได้พยายามบริหารจัดการการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบกับภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และผมต้องขอขอบคุณที่ท่านรัฐมนตรีฯ ได้กรุณาจัดให้มีการตรวจสอบที่เป็นกลาง ถือเป็นโอกาสอันดีที่แสดงให้เห็นว่าการจัดซื้อจัดจ้างของ กฟผ. มีความโปร่งใส เป็นไปตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างทุกขั้นตอน นอกจากนั้น คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ก็ได้ให้คำแนะนำให้ปรับปรุงระเบียบให้รัดกุมมากขึ้น ซึ่งทาง กฟผ. ได้น้อมรับคำแนะนำต่าง ๆ และจะดำเนินการปรับปรุง ข้อบังคับ และระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง จากนี้ กฟผ. จะดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อลงนามสัญญาว่าจ้างผู้ชนะการประมูล และจะเร่งดำเนินการในทุกสัญญาการขุดขนถ่านหินที่มีอยู่ ตลอดจนใช้สรรพกำลังของ กฟผ. ที่จะขุดขนถ่านหินให้ได้เต็มที่ เพื่อให้สามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะได้เต็มกำลังและไม่ส่งผลกระทบต่อราคาค่าไฟประชาชนต่อไป” นายประเสริฐ กล่าว

กฟผ. เตรียมลงนามสัญญาจ้างผู้ชนะประมูลงานจ้างเหมาฯ เหมืองแม่เมาะ

กฟผ. เตรียมลงนามสัญญาจ้างผู้ชนะประมูลงานจ้างเหมาฯ เหมืองแม่เมาะ

          หุ้นวิชั่น - กฟผ. เตรียมลงนามสัญญาจ้างผู้ชนะการเสนอราคางานจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะ สัญญาที่ 8/1 หลังผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของกระทรวงพลังงานไม่พบการทุจริต พร้อมรับข้อเสนอแนะมาปรับปรุง ย้ำกระบวนการจ้างยึดถือความโปร่งใส่ ปฏิบัติตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเคร่งครัด เพื่อบริหารถ่านหินและราคาต้นทุนพลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ           นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ. อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนลงนามสัญญาจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะ สัญญาที่ 8/1 หลังคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ. ที่แต่งตั้งโดยกระทรวงพลังงานไม่พบการทุจริต และให้ กฟผ. พิจารณาดำเนินการตามความถูกต้องเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ รวมถึงรับความเห็นและข้อเสนอแนะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมาปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น           งานจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะ สัญญาที่ 8/1 นี้ ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนแม้สถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานจะคลี่คลาย แต่สถานการณ์สงครามยังมีความไม่แน่นอน ทำให้การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินของโรงไฟฟ้าแม่เมาะซึ่งมีต้นทุนต่ำที่สุดยังคงมีความจำเป็นเพื่อช่วยพยุงราคาค่าไฟฟ้าของประเทศ โดยที่ผ่านมา กฟผ. ต้องนำถ่านหินภายใต้สัญญาเดิม (สัญญา 8 และ 9) มาใช้ก่อนกำหนดจนปริมาณถ่านหินครบก่อนสิ้นสุดสัญญา เพื่อรองรับการเลื่อนแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 8 – 11 และการนำโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4 กลับมาผลิตไฟฟ้าจนถึงปี 2568 เพื่อกระจายสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ และลดผลกระทบต้นทุนค่าไฟฟ้าของประเทศ เพราะหากปริมาณถ่านหินสำรองที่เตรียมไว้ใช้ในฤดูฝนหมดลงมีความเสี่ยงที่ต้องลดกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าแม่เมาะลง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการจ้างขุด-ขนดินและถ่านหินใหม่เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอสำหรับผลิตไฟฟ้าเต็มกำลังผลิตได้อย่างต่อเนื่อง           กฟผ. ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า กฟผ. บริหารการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะและบริหารจัดการเชื้อเพลิงถ่านหินที่มีอยู่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมิให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงด้านการผลิตไฟฟ้าและต้นทุนราคาพลังงานของประเทศอย่างเต็มความสามารถ

Bitcoin Strategic Reserve จะเปลี่ยนโฉมระบบการเงินโลกอย่างไร? [HoonVision x TokenX]

Bitcoin Strategic Reserve จะเปลี่ยนโฉมระบบการเงินโลกอย่างไร? [HoonVision x TokenX]

          Crypto Summit และการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve           หุ้นวิชั่น - เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2025 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve หรือ คลังสำรองยุทธศาสตร์บิตคอยน์ ของรัฐบาลสหรัฐฯ และวันที่ 7 มีนาคม 2025 หลังจาก Bitcoin Strategic Reserve เพียง 1 วัน ได้จัดงานประชุม Crypto Summit ขึ้นที่ทำเนียบขาว ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการประกาศแผนยุทธศาสตร์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายที่น่าสนใจ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสหรัฐฯ รับรองบิตคอยน์ให้เป็นหนึ่งในทรัพย์สินสำรองของประเทศอย่างเป็นทางการ           Crypto Summit ที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ได้เชิญผู้นำในอุตสาหกรรมคริปโตเข้าร่วม เช่น ไมเคิล เซย์เลอร์ (MicroStrategy), ไบรอัน อาร์มสตรอง (Coinbase), แบรด การ์ลิ่งเฮาส์ (Ripple) และคนในวงการคริปโตอีกหลายคน ในวันนั้นเอง ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศนโยบายสำคัญคือ การจัดตั้งคลังสำรองยุทธศาสตร์บิตคอยน์ (Bitcoin Strategic Reserve) โดยออกคำสั่งพิเศษ (Executive Order) ให้รัฐบาลรวบรวมบิตคอยน์ที่มีอยู่ในความครอบครองของรัฐเข้าคลังสำรองนี้ บิตคอยน์ที่นำมาใช้จะมาจากเหรียญที่รัฐบาลได้ยึดมาจากคดีความต่าง ๆ (เช่น คดีอาญาหรือแพ่ง) โดย ไม่ใช้เงินภาษีของประชาชนในการจัดซื้อเพิ่มเติม แนวคิดนี้ทำให้รัฐบาลสามารถสร้างคลังสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่สร้างภาระการคลังใหม่ และทรัมป์ย้ำว่ารัฐบาลจะไม่ขายบิตคอยน์เหล่านี้ออกไป แต่จะเก็บสะสมไว้เสมือน “ทองคำดิจิทัล” ในคลังอย่างถาวร           การตัดสินใจสำคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การที่ทรัมป์สั่งว่า รัฐบาลห้ามขายบิตคอยน์ที่เก็บเข้าคลังสำรอง เพื่อรักษาไว้เป็นมูลค่าระยะยาว นอกจากนี้ยังเปิดช่องให้กระทรวงการคลังและพาณิชย์สหรัฐฯ พิจารณาวิธีเพิ่มบิตคอยน์เข้าสู่คลังในอนาคตอย่าง “budget-neutral” กล่าวคือ หากจะซื้อเพิ่มก็ต้องหาแนวทางที่ไม่เพิ่มภาระงบประมาณหรือภาษีประชาชน ช่วงก่อนการประชุม มีการคาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจประกาศซื้อคริปโตเพิ่ม ซึ่งทำให้ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดกว่า 100,000 ดอลลาร์ในเดือนมกราคม 2025 แต่เมื่อประกาศจริงกลับไม่มีแผนซื้อเพิ่มทันที ราคาบิตคอยน์จึงปรับฐานลงมาเล็กน้อยเพราะตลาดผิดหวัง           อีกด้านหนึ่ง ทรัมป์ยังเคยระบุรายชื่อคริปโตที่รัฐบาลสนใจ 5 รายการ (Bitcoin, Ethereum, XRP, Solana และ Cardano) ซึ่งข่าวนี้เองก็เคยทำให้ราคาเหรียญเหล่านั้นขยับสูงขึ้น แต่ภายหลังรัฐบาลตัดสินใจจัดตั้งคลังสำรองเฉพาะบิตคอยน์เท่านั้น ส่วนคริปโตอื่น ๆ จะถูกรวบรวมไว้ใน “คลังสินทรัพย์ดิจิทัล (U.S. Digital Asset Stockpile)” แยกต่างหากโดยรับมาจากของกลางเช่นเดียวกัน ทว่ารัฐจะไม่ซื้อเพิ่มนอกเหนือจากที่ยึดมาได้           นโยบายเชิงสัญลักษณ์นี้สะท้อนถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของสหรัฐฯ ที่หันมายอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง หลังจากก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยวิจารณ์บิตคอยน์ว่าเป็น “กลลวง” (scam) การมี Bitcoin Strategic Reserve ทำให้บิตคอยน์ได้รับสถานะใกล้เคียงกับทรัพย์สินสำรองยุทธศาสตร์อื่น ๆ เช่น น้ำมันปิโตรเลียมและทองคำ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ สะสมไว้เพื่อความมั่นคงของประเทศ ในที่ประชุม Crypto Summit รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า จะใช้ Stablecoin เป็นเครื่องมือรักษาสถานะการเป็นสกุลเงินสำรองโลกของดอลลาร์สหรัฐฯ สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการขับเคลื่อนสกุลเงินของตน สะท้อนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ พยายามปรับตัวและกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ในยุคที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีบทบาทมากขึ้น ทิศทางกฎระเบียบสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศ ในด้านการนำ Bitcoin มาเป็น Strategic Reserve           นอกจากสหรัฐฯ แล้ว หลายประเทศและภูมิภาคได้พัฒนากรอบกฎหมายและแนวทางกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลของตนอย่างต่อเนื่อง ดังนี้: สหภาพยุโรป – กฎหมาย MiCA           ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงปฏิเสธการถือครอง Bitcoin เป็นทุนสำรองของธนาคารกลางสมาชิกในยุโรป โดย Christine Lagarde ประธาน ECB ระบุชัดเจนว่า “มั่นใจว่า... Bitcoin จะไม่ได้รับการบรรจุในทุนสำรองของธนาคารกลางใด ๆ ในยุโรป”​ เหตุผลหลักคือเงินสำรองของธนาคารกลางควรอยู่ในสินทรัพย์ที่มี สภาพคล่องสูงและปลอดภัย ซึ่ง Bitcoin ยังไม่เข้าข่ายตามเกณฑ์นี้ เนื่องจากราคาผันผวนและกระจุกตัวอยู่ในมือผู้ลงทุนบางกลุ่ม2. สิงคโปร์           สิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการเงินโลก แม้จะสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนและฟินเทค แต่หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง Monetary Authority of Singapore (MAS) มีจุดยืนระมัดระวังต่อคริปโตมาโดยตลอด โดย ปฏิเสธแนวคิดการสร้างทุนสำรองด้วยคริปโต อย่างชัดเจน สอดคล้องกับรายงานของ JPMorgan ที่ระบุว่าประเทศอย่าง สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และโปแลนด์ ต่าง “ปฏิเสธ” แนวคิดการจัดตั้ง strategic crypto reserve (ทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ในสินทรัพย์คริปโต) ด้วยความกังวลเรื่องความเสี่ยงและความผันผวนของราคา จีน           มีรายงานข่าวว่าจีนได้เริ่มพิจารณา Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองทางยุทธศาสตร์ของประเทศ อย่างไม่เป็นทางการ โดยมีการประชุมภายในแบบลับๆ ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024​  แรงจูงใจหลักมาจากความต้องการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ (การปลดดอลลาร์) และป้องกันความเสี่ยงจากการคว่ำบาตรทางการเงินของตะวันตก ด้วยการถือครองสินทรัพย์นอกอำนาจรัฐสหรัฐฯ เช่น Bitcoin​ โดย ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าจีนอาจเดินหน้าแนวคิดนี้ เนื่องจากสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวของจีนในการลดบทบาทดอลลาร์และเพิ่มความหลากหลายในทุนสำรอง (จีนเพิ่มการถือครองทองคำ, ผลักดันเงินหยวนสู่สากล, และเข้มแข็งความร่วมมือ BRICS ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์)​ ญี่ปุ่น           ญี่ปุ่นมีท่าทีที่น่าสนใจเพราะไม่ได้ปฏิเสธแนวคิดทันทีเหมือนยุโรป แต่ก็ยังไม่ได้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ ในเดือนธันวาคม 2024 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Satoshi Hamada ได้ยื่นกระทู้ในรัฐสภา เสนอให้รัฐบาลศึกษาความเป็นไปได้ในการนำ Bitcoin มาเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ​ เขาให้เหตุผลว่าควรพิจารณาเปลี่ยนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศบางส่วนมาอยู่ในรูปสินทรัพย์ดิจิทัลเช่น Bitcoin เพื่อให้ญี่ปุ่นไม่เสียเปรียบสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะตั้ง ทุนสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์ และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในระยะยาว (ทั้งในแง่การป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการเงินใหม่ๆ)​ บราซิล           บราซิลเป็นหนึ่งในประเทศที่เดินหน้าแนวคิดนี้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด ล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2024 Eros Biondini สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบราซิล (สภาคองเกรส) ได้เสนอ ร่างกฎหมาย จัดตั้งทุนสำรอง Bitcoin แห่งชาติ เรียกว่า “Sovereign Strategic Reserve of Bitcoins (RESBit)” โดยมอบหมายให้ธนาคารกลางบราซิลค่อย ๆ จัดสรรเงินเข้าซื้อ Bitcoin จนกระทั่งคิดเป็น สูงสุด 5% ของทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศ (ประมาณ 5% ของทุนสำรอง $355,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตีเป็นมูลค่าราว $18,000 ล้านที่จะอยู่ในรูป Bitcoin หากดำเนินการเต็มที่)​ อาร์เจนตินา           อาร์เจนตินา  อาร์เจนตินากำลังเผชิญวิกฤตค่าเงินและเงินเฟ้อสูง ทำให้แนวคิดการใช้สินทรัพย์ทางเลือกอย่างคริปโตได้รับความสนใจ ในเดือนพฤศจิกายน 2024 Martín Yeza สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พรรค PRO ฝ่ายขวา) ได้เสนอ ร่างกฎหมายแก้ไขธรรมนูญธนาคารกลาง เพื่อ เปิดทางให้ธนาคารกลางอาร์เจนตินาสามารถซื้อและถือครอง Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศได้ รวมถึงอนุญาตให้ธนาคารกลางสามารถทำเหมือง (ขุด) Bitcoin ได้ด้วย​ และมีเปลี่ยนแปลงสำคัญเมื่อประธานธิบดีคนปัจจุบัน ฮาเวียร์ มีเลย์ (Javier Milei) ซึ่งสนับสนุนคริปโตขึ้นรับอำนาจ และ ประกาศแนวคิด “เสรีภาพทางการเงิน” เปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกใช้เงินสกุลใดก็ได้ รวมถึงคริปโต อย่างไรก็ดี อาร์เจนตินายังไม่มีกรอบกำกับคริปโตแบบเบ็ดเสร็จ อาจต้องปรับนโยบายให้สมดุลกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการเจรจากับเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ           ในขณะที่ประเทศเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การออกกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมการออกและการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ป้องกันการฟอกเงิน และคุ้มครองผู้บริโภค (เช่น MiCA ของยุโรปที่ให้กรอบกำกับดูแลคริปโตทั้งหมด, สิงคโปร์และญี่ปุ่นที่เน้นความปลอดภัยและการคุ้มครองนักลงทุน รวมถึงเกาหลีใต้ที่ออกกฎหมายคุ้มครองผู้ใช้) แนวคิดเรื่องการจัดตั้งคลังสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบ “strategic reserve” ยังคงเป็นเฉพาะของสหรัฐฯ และบางประเทศเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ที่ตัดสินใจถือคริปโตในฐานะสินทรัพย์สำรองยุทธศาสตร์อย่างเป็นทางการ แม้ Bitcoin ส่วนใหญ่จะถือครองโดยเอกชนและนักลงทุน แต่ก็มีหลายประเทศที่รัฐบาลถือครอง Bitcoin จำนวนมาก ผ่านการยึดจากอาชญากรรมไซเบอร์หรือการลงทุนโดยตรงในนามของรัฐ ด้านล่างคือ 5 อันดับรัฐบาลที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในปัจจุบัน (ข้อมูลประมาณปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025) (ข้อมูลเป็นเพียงการประเมิน) โดยนอกมีเพียงสหรัฐอเมริกาที่นำเข้ามาเป็น strategic reserve สหรัฐอเมริกา – รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง ประมาณ 198,000 BTC จีน – รัฐบาลจีน ถือครอง ประมาณ 190,000 BTC สหราชอาณาจักร – รัฐบาลอังกฤษถือครอง ประมาณ 61,000 BTC ยูเครน – รัฐบาลยูเครนถือครอง ประมาณ 46,000 BTC ภูฏาน – ราชอาณาจักรภูฏานถือครอง ประมาณ 10,000–13,000 BTC           การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve ถือเป็นก้าวสำคัญที่ส่งสัญญาณให้ทั่วโลกเห็นถึงบทบาทของ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์สำรองเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ ทบทวนแนวทางของตนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและทุนสำรองระหว่างประเทศ แม้ว่าหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป และ สิงคโปร์ จะยังคงปฏิเสธแนวคิดนี้ แต่บางประเทศอย่างจีน บราซิล และอาร์เจนตินาเริ่มมีการศึกษาและถกเถียงเรื่องการถือครอง Bitcoin เป็นทุนสำรองของรัฐ หากประเทศเหล่านี้เริ่มเดินหน้าสะสม Bitcoin อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เร่งให้เกิดการแข่งขันการสะสมทุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างมหาอำนาจ ซึ่งจะส่งผลต่อโครงสร้างของระบบการเงินโลกอย่างมีนัยสำคัญ ในระยะยาว ผลกระทบของ Bitcoin Strategic Reserve ต่อระบบการเงิน และการลงทุนของโลก           การที่สหรัฐอเมริกาจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve อย่างเป็นทางการนั้นถือเป็นสัญญาณที่ส่งผลกระทบหลายมิติในระบบการเงินและการลงทุนโลก           การประกาศการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve โดยสหรัฐและการประชุม Crypto Summit ช่วยหนุนให้ตลาดคริปโตกลับมาคึกคัก ราคาบิตคอยน์ทะยานทะลุระดับ $90,000 อีกครั้งในช่วงที่มีข่าวบวกนี้ (เพิ่มขึ้นราว 11% ภายในวันเดียว)ขณะที่ตลอดปี 2024 ที่ผ่านมา บิตคอยน์ก็ปรับตัวขึ้นกว่า 120% และได้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ $100,000 เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งได้จุดกระแสความเชื่อมั่นอย่างร้อนแรงในหมู่นักลงทุนที่สนับสนุนสินทรัพย์ชนิดนี้​ การที่ทรัมป์ส่งสัญญาณว่าจะนำคริปโตสกุลอื่น ๆ อีกสี่สกุล (ได้แก่ XRP, Ether, Solana, Cardano) เข้ามารวมในทุนสำรอง (แม้ภายหลังจะจำกัดให้ใช้เฉพาะคริปโตที่รัฐบาลยึดมาได้) ส่งผลให้ราคาคริปโตโดยรวมพุ่งสูงในวงกว้าง โดยมูลค่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลรวมเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 10% ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังประกาศ (คิดเป็นมูลค่าเพิ่มกว่า $300 พันล้าน)​ นักลงทุนแห่เก็งกำไรในเหรียญทางเลือกที่ถูกเอ่ยถึง ทำให้ราคา altcoins หลายตัวทะยานขึ้น เช่น Cardano (ADA) ที่ราคาเพิ่มขึ้นเกือบ 42% ภายในสัปดาห์นั้นเพียงสัปดาห์เดียว​ ปริมาณซื้อขายและความสนใจของนักลงทุนต่างเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคา สะท้อนถึงความเชื่อมั่นเชิงบวกอย่างมากในตลาดกระทิงรอบนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงมีความผันผวนอยู่บ้างเมื่อมีข่าวนโยบายออกมา: ขณะประกาศรายละเอียดว่าทุนสำรองจะใช้บิตคอยน์ที่ยึดมาแทนการเข้าซื้อเพิ่มเติม ราคาบิตคอยน์เกิดการย่อตัวระยะสั้น (ลงประมาณ 4% มาที่ราว $86,000) เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนผิดหวังที่รัฐบาลยังไม่เข้าซื้อสินทรัพย์ใหม่ทันที​ แต่หลังจากนั้นไม่นานตลาดก็ฟื้นตัวกลับมาใกล้ระดับเดิมเมื่อผู้ลงทุนประเมินว่าการมีทุนสำรองดังกล่าวถือเป็นสัญญาณบวกในระยะยาว (ราคาบิตคอยน์ดีดกลับขึ้นมาบริเวณ ~$90,000 ช่วงปลายสัปดาห์)​           โดยรวมแล้วความเชื่อมั่นนักลงทุนต่ออนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ในเกณฑ์สูงมากหลังเหตุการณ์นี้ หลายฝ่ายมองว่าบิตคอยน์กำลังเสริมสถานะความเป็นสินทรัพย์สำหรับการเก็บรักษามูลค่า (store of value) เทียบเคียงทองคำ และมีแนวโน้มจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนมาตรฐานของสถาบันการเงินและเงินทุนสำรองของบริษัทใหญ่ ๆ ในระยะยาว​ ส่วนในระยะยาว มีความเป็นไปได้จะส่งผลกับตลาดการเงินและการลงทุนดังนี้ การรับรอง Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลโดยภาครัฐจะส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนและภาคเอกชนปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคริปโต เช่น Coinbase, MicroStrategy, และบริษัทFinTech ที่เกี่ยวข้อง จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากกระแสนี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นโดยรวมอาจต้องรับมือกับความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่เริ่มเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น อาจจะเป็นตัวเร่งที่ทำให้กองทุนรวมและ ETF ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนสถาบันและกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติจะมองหาการกระจายพอร์ตสินทรัพย์ที่รวมถึง Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ในส่วนของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น การสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลจากภาครัฐทำให้ Bitcoin และคริปโตหลักกลายเป็นสินทรัพย์ประเภทใหม่ ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีการเติบโตสูงขึ้น และโครงสร้างพื้นฐานของตลาดนี้จะมีมาตรฐานมากขึ้น เช่น การยอมรับเทคโนโลยีบล็อคเชนมากขึ้น และอาจจะกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบการเงินของโลก หรือ ราคา Bitcoin อาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหากมีประเทศอื่น ๆ นำไปใช้ในทุนสำรอง (Store of Value) ข้อพิจารณาสำหรับประเทศไทย           ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับ Bitcoin Strategic Reserve แต่การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ อาจจะเป็นจุดสคำคัญในการศึกษาจากตัวอย่างจริง ของต่างประเทศให้เห็นภาพง่ายขึ้น แต่หากตอบสนองช้า ก็อาจจะทำให้สูญเสียโอกาสด้านเทคโนโลยีการเงินและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แนวโน้มระยะยาวสำหรับประเทศไทย: การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้น เนื่องจากเห็นการใช้งานจริง และ ผลกระทบทั้งข้อดีและข้อเสียจากต่างประเทศ ทำให้ ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถยกตัวอย่างมาประยุกต์กับประเทศไทยได้ นักลงทุนไทยอาจมีความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะ Bitcoin, Digital Asset  และกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับ (หากกฎหมายไทยอนุญาตให้สถาบันการเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล) ซึ่งจะทำให้ตลาดของสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตมากขึ้น และ ลดข้อสงสัยกับนักลงทุน เกิดการพัฒนาแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลภายในประเทศ เช่น การกำหนดกรอบการทดสอบนวัตกรรม (sandbox) ที่ทำได้หลากหลายมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนและสถาบันการเงิน CeDeFi ในประเทศไทยอาจเติบโตขึ้น CeDeFi (Centralized & Decentralized Finance) เป็นแนวคิดที่รวมข้อดีของ DeFi (Decentralized Finance) และ CeFi (Centralized Finance) เข้าด้วยกัน ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในตลาดโลก เช่น การใช้ Bitcoin หรือ Investment Token เป็นหลักประกันในการให้บริการสินเชื่อ ภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสม แหล่งที่มา Reuters , Cointelegraph , Cryptobriefing, Foreignpolicy.com ผู้เขียน สุทธิรัตน์ หาญพานิชย์ Head of Business Development, Token X

ราคาทองเช้าวันนี้ เด้งรวม 550 บ. ลุ้นไปต่อ?

ราคาทองเช้าวันนี้ เด้งรวม 550 บ. ลุ้นไปต่อ?

             หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  14 มีนาคม 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ได้ปรับตัวขึ้นจำนวน 2 ครั้ง  รวม  550 บาท” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปรับตัวขึ้น 500 บาท และครั้งที่ 2 ปรับตัวขึ้น 50 บาท  โดยปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 47,450.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 47,400.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 46,601.84 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 48,350.00 บาท

จับตา สคร.ชงคลัง ตัดขาย 19 หุ้น

จับตา สคร.ชงคลัง ตัดขาย 19 หุ้น

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ( สคร.) เตรียมเสนอเรื่องต่อกระทรวงการคลังสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาตัดขาย 19 หุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ โดยจะเน้นที่หุ้นซึ่งไม่อยู่ในยุทธศาสตร์รัฐบาล หุ้นที่มีขนาดเล็กและผลประกอบการย่ำแย่ ปัจจุบัน รัฐบาลถือหุ้นทั้งหมด 140 บริษัท (ทั้งรัฐวิสาหกิจและไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ รวมถึงหุ้นที่ได้จากการยึดทรัพย์ในคดีต่างๆ) ทั้งนี้ แม้รัฐฯ จะเน้นย้ำกรณีดังกล่าว แต่อ้างอิงจากข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ในตลาด พบว่าหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่มีทั้งสิ้น 13 บริษัท ได้แก่ PTT, AOT, TTB, TFFIF, DMT, BCP, OR, MCOT, MFC, BEYOND, RPH, NEP และ TGH เราประเมินว่าการขายหุ้นดังกล่าวอาจสร้างจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหุ้นที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ (หรือบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ) ซึ่งถือเป็นหุ้นยุทธศาสตร์

สงครามการค้ากดน้ำมันดิบ  ก่อสร้าง - การบิน รับอานิสงส์

สงครามการค้ากดน้ำมันดิบ ก่อสร้าง - การบิน รับอานิสงส์

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ราคาน้ำมันดิบโลกพลิกลงอีกครั้ง อิงน้ำมันดิบ Brent -1.51% d-d ปิดที่ USD 69.88/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.67% d-d ปิดที่ USD 66.55/barrel จากแรงกดดันเรื่องเดิม คือ สงครามการค้า ล่าสุดยุโรปตอบโต้สหรัฐโดยขึ้นภาษีนำเข้าวิสกี้ และความกังวลเรื่อง Over Supply โดย OPEC+ เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน เม.ย. ขณะที่ IEA แถลงภาวะน้ำมันล้นตลาด โดยระบุว่าอุปทานน้ำมันทั่วโลกจะมีปริมาณมากกว่าอุปสงค์ราว 600,000 บาร์เรล/วันในปีนี้ มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT แต่ในทางตรงข้าม เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anti-commodity อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มสายการบิน เช่น AAV, BA

“เศรษฐา” ชี้อสังหาฯ เน้นเงินสด แนะรัฐผุดเมกะโปรเจ็กต์

“เศรษฐา” ชี้อสังหาฯ เน้นเงินสด แนะรัฐผุดเมกะโปรเจ็กต์

                      หุ้นวิชั่น - “เศรษฐา” นายกฯ คนที่ 30 และ Co-Founder หลักสูตร The NEXT Real แนะแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทย ด้วยการเดินหน้าลงทุนเมกะโปรเจ็กต์โครงสร้างพื้นฐานประเทศ หวังดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ-แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งระยะยาว-ขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจสู่เมืองน่าเที่ยว-เพิ่มระยะเวลาพำนักและปริมาณการใช้จ่ายนักท่องเที่ยว พร้อมชี้ 3 แหล่งเงินทุนสำคัญ ขณะที่แนะภาคอสังหาฯบริหารสภาพคล่องลุยตลาดปี 68 พร้อมเตรียมปรับตัว รับความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เหลือ 37 ล้านคน           นายเศรษฐา ทวีสิน Co-Founder หลักสูตร The NEXT Real และนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 กล่าวปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดงาน​ Real Connext 2025 ว่า​ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในอัตราเฉลี่ยเพียง 1.9% ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ต่างมีอัตราการเติบโตมากกว่าไทยถึง 2 เท่า ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยมาอย่างยาวนาน แนวทางที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญ จึงเป็นเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดย 20 ปีที่ผ่านมา โครงการเมกะโปรเจ็กต์มีเพียงการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ยังไม่มีโครงการอื่นๆ ในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นเลย           ทั้งนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพและแก้ปัญหาหลากหลายด้าน ได้แก่ 1.การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและสร้างความมั่นใจการลงทุน เนื่องจากอุตสาหกรรมใหม่ เช่น Data Center เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการที่ดี รวมถึงต้องยกระดับโครงสร้างพื้นฐานภายในสนามบิน เช่น ต้องมี Cold Storage เพื่ออำนวยความสะดวกต่อสินค้าที่ต้องแช่เย็น 2.การแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งระยะยาว ที่ผ่านมา การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลส่วนหนึ่งในแต่ละปี มักเป็นเรื่องการชดเชยราคาพืชผลทางการเกษตรจากปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง การสร้างเขื่อน การสร้างคูน้ำ ตลอดจนการถมทะเล จะเข้ามามีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาระยะยาว 3.การขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจออกจากตัวเมือง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบิน รถไฟฟ้าความเร็วสูง ระบบคมนาคม จะช่วยกระจายความเจริญออกจากกรุงเทพฯ เมืองขยายตัว เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ใหม่ๆ ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 4.การเพิ่มระยะเวลาพำนักและปริมาณการใช้จ่ายของการท่องเที่ยว เชื่อมโยงการคมนาคมที่แข็งแรงออกสู่เมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยว เพื่อเพิ่มระยะเวลาพำนักของนักท่องเที่ยวต่างชาติจากที่เน้นท่องเที่ยวเมืองหลักอยู่เพียงราว 3 วัน ให้ขยายไปสู่การท่องเที่ยวเมืองอื่นๆ เป็น 10 วันแบบฝรั่งเศส อิตาลี และเพิ่มปริมาณการใช้จ่ายต่อหัว (Spending per head) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญกว่าการเพิ่มแต่ปริมาณนักท่องเที่ยว           สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้นั้น อาจมาได้จาก 3 แนวทาง คือ 1.การยกระดับเพดานหนี้สาธารณะเหมือนประเทศพัฒนาแล้ว หนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทย ถูกกำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 70% ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอัตรา 60-65% หากไม่แก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะอาจจะไปแตะที่ 70% ได้ในช่วงกลางปีหน้า ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศกำหนดเพดานไว้สูงกว่า 70% โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่เข้าใจว่าสูงถึง 200% 2.การออกตราสารหนี้และการดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เช่น โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ซึ่งสามารถดึงดูดบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จากต่างประเทศ และ 3.การฟื้นฟูการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) เพื่อแบ่งประโยชน์จากทรัพยากรแก๊สธรรมชาติที่อยู่ใต้พื้นที่ทับซ้อนกว่า 20 ล้านล้านบาท โดยไม่แบ่งพื้นที่ทับซ้อน           “แก๊สเหล่านี้เป็นพลังงานไม่สะอาด หรือ Brown Energy อีก 10 ปี จะไม่มีใครอยากให้ใช้ทรัพยากรนี้ เนื่องจากผู้ใช้แก๊สในธุรกิจจะถูกกำแพงภาษี ธุรกิจส่วนใหญ่จะหันไปใช้พลังงานสะอาดอื่นๆ แทน ขณะที่แก๊สเหล่านี้มีมูลค่าถึงกว่า 20 ล้านล้านบาท สูงกว่างบประมาณแผ่นดินประเทศไทยปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 3.8 ล้านล้านบาท หากนำมาแบ่งผลประโยชน์กันเหลือมูลค่าฝ่ายละ 10 ล้านล้านบาท ประเทศไทยจะมีงบประมาณแผ่นดินเกือบ 3 ปีเลยทีเดียว แต่หากไม่รีบเจรจา ไม่รีบนำมาใช้ อนาคตก็จะไม่มีใครต้องการใช้” นายเศรษฐา ระบุ           สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายเศรษฐา กล่าวว่า อยากให้ทุกบริษัทช่วยกันประคองธุรกิจต่อไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอนาคตจะยังไม่สดใสและต้องทำงานหนัก อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า ต้องบริหารกระแสเงินสดให้ดีเพราะเป็นสิ่งที่สำคัญต่อธุรกิจ อย่าคาดหวังว่าจะพึ่งพาเงินทุนจากการพรีเซลล์เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ และอย่าคาดหวังว่าการยื่นขอ EIA และจะได้รับการอนุมัติในทุกโครงการ           นายเศรษฐา กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของประชากร (Shift of Demographic) เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก เช่น จีนปัจจุบันมี 1,250 ล้านคน จะลดลงเหลือ 750 ล้านคน ขณะที่ประเทศไทย ปัจจุบันมีประชากรเพียง 66 ล้านคน ในอนาคตอีก 50 ปีข้างหน้า มีการคาดการณ์ว่าจะเหลือจำนวนเพียง 37 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงและลดจำนวนลง จะส่งผลให้ไม่มีลูกค้ามาซื้อบ้าน ธุรกิจต่างๆ ก็มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนโครงสร้างประชากรนี้เช่นกัน ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันสร้างสังคมให้ดี ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค ทำให้คนมั่นใจในการมีลูก รวมถึงทำให้คนรุ่นใหม่มั่นใจในอนาคต สร้างสังคมที่เท่าเทียม เปลี่ยนเทรนด์ประชากร           สำหรับงาน Real Connext 2025 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 จากที่จัดงานครั้งแรกในปี 2018 ปัจจุบันหลักสูตร The NEXT Real มีผู้สำเร็จการอบรมแล้วรวม 1,700 คน รวม 14 รุ่น โดยสัดส่วนผู้เข้ารับการอบรม 50% เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ส่วนสัดส่วนอีก 50% เป็นกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง และเกี่ยวข้อง ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมรวมรุ่นผู้เข้ารับการอบรมตั้งแต่รุ่นที่ 1-14 พร้อมทั้งจัดแสดงสินค้าวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง และจัดเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ในแวดวงธุรกิจประเด็นต่าง ๆ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2568 ณ Island Hall ชั้น 3 Fashion Island           ทั้งนี้ หลักสูตร The NEXT Real มุ่งเน้น ให้ผู้เข้าอบรมได้แลกเปลี่ยนแนวคิด และมุมมองใหม่ๆ ซึ่งมีการรวบรวมผู้บริหารในวงการอสังหาริมทรัพย์มาถ่ายทอดทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ เพื่อให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่ใช้เป็นแบบอย่างในการเรียนรู้ ให้ก้าวพ้นจากความผิดพลาดและมุ่งหน้าสู่ความสำเร็จ และมีโอกาสได้พบกับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้นแบบ เกิดความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในไทย และต่างประเทศ ผสมผสานการเรียนรู้นวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ๆ ด้วยการนำ “Experience” ชั้นเลิศ บวก “Trend” ระดับโลก สร้าง “Innovation” ใหม่ ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกับการสร้าง Real Estate Ecosystem ของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่ ที่เข้มแข็งและการเชื่อมต่อกันอย่างแข็งแกร่งในกลุ่มนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยส่งเสริมและต่อยอดความสำเร็จซึ่งกันและกัน ล่าสุด กำลังเปิดรับสมัครผู้เข้าอบรมรุ่นที่ 15 สอบถามได้ที่ 094-149-4466, 095-691-5422 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://thenextreal.net/ [PR News]

โกลเบล็ก ตั้งเป้าเติบโต 10% ลุยบริหารเวลธ์ ดัน AUM ทะลุหมื่นล้านบาท

โกลเบล็ก ตั้งเป้าเติบโต 10% ลุยบริหารเวลธ์ ดัน AUM ทะลุหมื่นล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บล.โกลเบล็ก ประกาศเกมรุกปี 2568 ตั้งเป้าการเติบโต 10% เล็งขยายธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเพิ่ม AUM แตะ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ DRx และ Structured Note รองรับนักลงทุนทุกกลุ่ม รวมถึงศึกษาแนวทางพัฒนา Gold Link Note เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนในอนาคต ชี้จับตาภาคลงทุนปีนี้ที่ยัง เผชิญแรงกดดัน หลัง “ทรัมป์” คืนตำแหน่ง กระตุ้นสงครามการค้า กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังซบเซา จากปัญหาความเชื่อมั่นที่ลดลง การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ และแรงกดดันจากการบังคับขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนหุ้นปันผลระยะยาว           นาย ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 ไว้ที่ 10% จากปีก่อน โดยมี ธุรกิจบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Private Wealth Management) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าการขยายพอร์ตกลุ่มลูกค้าดังกล่าว จะสามารถสร้างโอกาสการลงทุนให้กับลูกค้าได้ แม้ว่าตลาดหุ้นจะเผชิญกับความผันผวน “โกลเบล็ก ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเห็นผลลัพธ์ในปีนี้ โดยเฉพาะธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต”     ปัจจุบัน โกลเบล็ก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) กว่า 5,000 ล้านบาท และมีแผนขยายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง โดยการลดการพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว พร้อมขยายทีมที่ปรึกษาการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 50 คน ภายในปีนี้ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น หุ้น, หุ้นกู้ และ Structured Note นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เช่น การนำผลิตภัณฑ์ Depositary Receipt (DR) และ DRx มาผสมผสานกับ Structured Note เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนรูปแบบใหม่ โดยคาดหวังให้ สินทรัพย์ภายใต้การบริหารเติบโตแตะระดับ 10,000 ล้านบาท พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาการพัฒนา Gold Link Note ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนในทองคำ พร้อมขยายช่องทางดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดย บล.โกลเบล็ก มุ่งมั่นพัฒนาและสร้างโอกาสทางการลงทุนให้กับลูกค้าในทุกสภาวะตลาด พร้อมขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงในปี 2568 สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกขณะนี้ นายธนพิศาล กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปีนี้  เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะตัวแปรหลักจากทิศทางตลาดต่างประเทศ ที่สอดรับกับนโยบาย ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากการกลับมาดำรงตำแหน่งในสมัยที่ 2 ซึ่งนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทั่วโลก อาทิ มาตรการตั้งกำแพงภาษี ส่งผลให้เกิดสงคราม                  ทางการค้าอีกครั้ง ซึ่งตัวแปรดังกล่าวกระทบต่อโครงสร้างตลาดการเงินและการลงทุนทั่วโลก อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ตลาดหุ้นไทย ยังคงเผชิญกับความผันผวนท่ามกลางข่าวเชิงลบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ รวมถึงแรงกดดันจากการบังคับขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ในหลายบริษัท ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการเข้าลงทุน ดังนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ภาครัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดทุน อาทิ การตั้งกองทุนพิเศษ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดทุน รวมถึงการเร่งผลักดันการเติบโตของ GDP และการดึงเงินทุนจากนอกระบบเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงต้องจับตาความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด พร้อมใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการลงทุนระยะยาวในช่วงที่ตลาดยังคงผันผวน           “ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 ยังคงมีความท้าทาย ด้วย sentiment ของตลาดหุ้นยังไม่ดี แม้ว่าปัจจุบันราคาหุ้นไทยจะถูกและน่าสนใจในการลงทุน ดังนั้น ควรจะมีมาตรการในการใส่เม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเพื่อขับเคลื่อนตลาดทุน และเป็นการเรียกความเชื่อมั่นกลับมา”นายธนพิศาล กล่าวทิ้งท้าย

ราคาทองเช้าวันนี้ ดีดรวม 250 บ. จับตาไปต่อ?

ราคาทองเช้าวันนี้ ดีดรวม 250 บ. จับตาไปต่อ?

                   หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  13 มีนาคม 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง "ได้ปรับตัวขึ้นจำนวน 2 ครั้ง  รวม  250 บาท" โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปรับตัวขึ้น 200 บาท และครั้งที่ 2 ปรับตัวขึ้น 50 บาท  โดยปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 46,850.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,950.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 46,010.60 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 47,750.00 บาท ฮั่วเซ่งเฮง ระบุ แนวโน้มราคาทองคำ (เช้า) ประจำวันที่ 13 มีนาคม 2568 ราคาทองคำปรับตัวขึ้น จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า จากที่ทรัมป์ใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ ในอัตรา 25% ขณะที่แคนาดาและสหภาพยุโรป (EU) ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ทั้งนี้นักลงทุนคาดการณ์ว่า มาตรการภาษีศุลกากรจะส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้รับปัจจัยหนุนจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ชะลอตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยดัชนี CPI เดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบรายปี ส่วนกองทุน SPDR ซื้อทอง 3.44 ตัน

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทเคลื่อนไหว sideways หลังเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) สหรัฐฯ ออกมาที่ 2% MOM ต่ำกว่าตลาดคาด ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานออกมาที่ 0.2% MOM ตามคาด แต่ Treasury yields และดัชนีเงินดอลลาร์กลับมาสูงขึ้นจากความกังวลเรื่อง Tariffs สหภาพยุโรปประกาศมาตรการตอบโต้ที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากยุโรปไปก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางแคนาดาลดดอกเบี้ย 25 bps มาอยู่ที่ 75% โดยสงครามการค้ากับสหรัฐฯ อาจกระทบเศรษฐกิจรุนแรง

“กกพ.” เปิดรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีงวด พ.ค. - ส.ค. 68

“กกพ.” เปิดรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีงวด พ.ค. - ส.ค. 68

          “กกพ.” เสนอ 3 ทางเลือกค่าไฟงวด พ.ค. - ส.ค. 2568 ที่ 4.15 – 5.16 บาทต่อหน่วย ชี้หลายปัจจัยยังคงกดดันค่าไฟ ปริมาณความต้องการไฟฟ้าเพิ่มต่อเนื่อง ปริมาณไฟฟ้าพลังน้ำนำเข้าลดลงตามฤดูกาล แนวโน้มต้นทุนไฟฟ้าจากถ่านหินเพิ่มสูงขึ้น           ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ค่าเอฟทีในงวด พ.ค.- ส.ค. 2568 ยังคงมีภาระการชดเชยต้นทุนคงค้างที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. นอกจากนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐยังผันผวนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ และการระบายน้ำของเขื่อนในประเทศได้ลดลงในฤดูแล้ง แม้จะมีแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินแล้ว แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้ายังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นตามสภาวะอากาศร้อน ทำให้ กกพ. ยังไม่สามารถประกาศปรับลดค่าเอฟทีลงได้           “ปัจจัยหลักๆ ยังคงเป็นภาระการชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. และต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบกับช่วงฤดูแล้งและอากาศที่ร้อนทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าต้นทุนต่ำลดลงตามฤดูกาล ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้ากลับเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยลบที่กดดันค่าเอฟที และไม่สามารถปรับลดค่าเอฟทีลงได้อีก” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว           ดร.พูลพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนที่ กกพ. ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อร่วมหาแนวทางใหม่เพิ่มเติม ในการปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ กกพ.ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเพิ่มเติม ที่จะสามารถนำมาเป็นปัจจัยในการพิจารณา ค่าเอฟทีได้ทันตามวงรอบปกติของการพิจารณาค่าในงวด พ.ค.- ส.ค. 2568 ที่ถูกกำหนดให้ต้องทบทวนและ ค่าเอฟที และค่าไฟฟ้า ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 1 เดือนก่อนที่การประกาศจะมีผลบังคับใช้           ทั้งนี้ในการประชุม กกพ. ครั้งที่ 9/2568 เมื่อวันพุธที่ 5 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา กกพ. มีมติให้สำนักงาน กกพ. ดำเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค. - ส.ค. 2568 แบ่งเป็น 3 กรณีตามเงื่อนไข ดังนี้           กรณีที่ 1: ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟที (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) และการคำนวณกรณีเรียกเก็บมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าปี 2566 ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 137.39 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟทีที่สะท้อนแนวโน้ม (1) ต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และ (2) เงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 71,740 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 99.98 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) จำนวน 15,084 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 21.02 สตางค์ต่อหน่วย) รวมจำนวน 121.00 สตางค์ต่อหน่วย โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 - ธันวาคม 2567 ในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีสถานะทางการเงินคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.16 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน           กรณีที่ 2: ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟที (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 116.37 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟทีที่สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 71,740 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 99.98 สตางค์ต่อหน่วย) โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีสถานะทางการเงินคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.95 บาท ต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน ทั้งนี้ ยังไม่รวมมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) อีกจำนวน 15,084 ล้านบาท           กรณีที่ 3: กรณีตรึงค่าเอฟทีเท่ากับงวดปัจจุบัน (ข้อเสนอ กฟผ.) ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระคืนภาระต้นทุน AF คงค้างสะสมได้จำนวน 14,590 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 20.33 สตางค์ต่อหน่วย) เพื่อนำไปพิจารณาทยอยคืนภาระค่า AF ให้แก่ กฟผ. และมูลค่าส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับค่าก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บ เดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) ในระบบของ กฟผ. ต่อไป โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 จะมีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. รับภาระแทนประชาชนคงเหลืออยู่ที่ 60,474 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) อีกจำนวน 15,084 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) คงที่เท่ากับ 4.15 บาทต่อหน่วย เช่นเดียวกับปัจจุบัน           “จากแนวโน้มค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงจากงวดก่อนหน้า 0.91 บาทต่อเหรียญสหรัฐ (งวด ม.ค. - เม.ย. 68) เป็น 34.27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเดือน พ.ค. - ส.ค. 2568 ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลดลงเนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูแล้ง โดยการไฟฟ้าได้ลดต้นทุนโดยซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศและการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ยังต้องจัดหานำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวแบบสัญญาจร (LNG Spot) มากกว่าช่วงต้นปี โดยราคา LNG Spot ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามปริมาณความต้องการในตลาดโลกมาอยู่ที่ 14.0 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู แต่ปัจจัยที่ยังไม่สามารถทำให้ค่าไฟลดลงได้ยังคงมาจากภาระหนี้ค่าเชื้อเพลิงสะสมในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าจะลดลงมากจากงวดก่อนหน้า แต่ภาระหนี้ที่มีอยู่ก็ยังอยู่ในระดับสูงและต้องได้รับการดูแลเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศด้วย” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว           ดร.พูลพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสาเหตุหลักซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวลดลง แต่เมื่อรวมกับการทยอยคืนหนี้ค่าเชื้อเพลิงค้างชำระในงวดก่อนหน้าที่ยังคงสูงอยู่ ส่งผลให้ค่าไฟในช่วงกลางปี 2568 นี้ อาจจะต้องปรับเพิ่มค่าค่าเอฟทีขึ้นสู่ระดับ 116.37 - 137.39 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อคืนหนี้คงค้างให้กับ กฟผ. และ ปตท. ซึ่งทำให้เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บในงวด พ.ค. - ส.ค. 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 4.95 - 5.16 บาทต่อหน่วย หรือหากตรึงค่าเอฟทีไว้ที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย โดยทยอยคืนหนี้คงค้างควบคู่ไปกับการลดผลกระทบต่อการปรับค่าไฟฟ้าอย่างก้าวกระโดดเพื่อลดภาระของประชาชน ค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับปัจจุบัน           สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าได้ง่ายๆ 5 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิกใช้งานนปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน ซึ่งทั้ง 5 ป. จะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเองด้วย ทั้งนี้ กกพ. เปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 11 – 24 มีนาคม 2568 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

MGC เปิดตัว แอสตัน มาร์ติน รุ่น ‘แวนเทจ ใหม่’

MGC เปิดตัว แอสตัน มาร์ติน รุ่น ‘แวนเทจ ใหม่’

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ – แอสตัน มาร์ติน แบงคอก แบรนด์พาร์ทเนอร์ บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ MGC-ASIA เปิดตัว แอสตัน มาร์ติน รุ่น ‘แวนเทจ ใหม่’ (New Vantage) เครื่องยนต์วางหน้า วี8 สูบ 665 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ยนตรกรรมสปอร์ตคู่ใจสายขับตัวจริง กำหนดค่าตัว 21.90 ล้านบาท           นาย ธีรไนย มาศดิตถ์ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายและการตลาด แอสตัน มาร์ติน แบงคอก ผู้จำหน่ายยนตรกรรมสปอร์ตจากประเทศอังกฤษ ‘แอสตัน มาร์ติน’ อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย แบรนด์พาร์ทเนอร์ของ บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA เปิดเผยว่า แอสตัน มาร์ติน แบงคอก ได้จัดงานเปิดตัวรุ่น แอสตัน มาร์ติน แวนเทจ ใหม่ (New Vantage) ‘Engineered For Real Drivers’ นิยามใหม่แห่งรถสปอร์ต ที่เป็นเหมือนกับตัวแทนของสมรรถนะขั้นสูงสุดของสายพันธุ์ แวนเทจ ที่ถือกำเนิดมากว่า 76 ปี ผสมผสานด้วยจิตวิญญาณแห่งความเร็ว สร้างความเร้าใจสูงสุดให้ผู้ขับ ตอบโจทย์ผู้ที่มองหาพละกำลังระดับฮาร์ดคอร์และการควบคุมที่เฉียบคม ผสานโครงสร้างแบบเครื่องยนต์วางหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ที่มีสมดุลไร้ที่ติ โดย แอสตัน มาร์ติน แวนเทจ ใหม่ เปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้น 21.90 ล้านบาท* (*ราคารวม warranty 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)           สำหรับ แอสตัน มาร์ติน แวนเทจ ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน วี8 สูบ ทวินเทอร์โบ 4.0 ลิตร 665 แรงม้า (PS) แรงบิด 800 นิวตันเมตร พร้อมอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 มีโครงสร้างและระบบขับเคลื่อนถูกปรับแต่ง เพื่อสร้างความเร้าใจสูงสุดให้ผู้ขับ ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมทั้งยังมีเทคโนโลยี Active Vehicle Dynamics, Bilstein DTX adaptive dampers, Electronic Rear Differential (E-diff) และยาง Michelin Pilot S 5 ขนาด 21 นิ้ว ที่ผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อใช้กับ แอสตัน มาร์ติน แวนเทจ ใหม่ อีกทั้งห้องโดยสารยังมีการออกแบบใหม่ทั้งหมด พร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ล้ำสมัย ที่มาพร้อมความหรูหรา และคุณภาพเหนือระดับ           “แอสตัน มาร์ติน เป็นรถยนต์สัญชาติอังกฤษ ที่กำเนิดช่วงปีค.ศ. 1913 และปีนี้นับว่าครบรอบ 112 ปี ที่ก่อตั้งโดย ไลโอเนล มาร์ติน กับ โรเบิร์ต แบมฟอร์ต ซึ่งทั้งคู่สร้างรถแข่งร่วมกัน เพื่อไปแข่งรายการ แอสตัน คลินตัน ฮิลล์ไคล์ม (Aston Clinton Hillclimb) และสามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ และครั้งนี้ก็นับเป็นโอกาสดีสำหรับลูกค้าในประเทศไทย ที่จะได้สัมผัสกับ แอสตัน มาร์ติน แวนเทจ ใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ ‘Thrill Driven’ ซึ่งยังคงรักษาเอกลักษณ์และกลิ่นอายตามแบบฉบับดั้งเดิม ไว้ได้อย่างครบถ้วน ทำให้ แวนเทจ ใหม่ เป็นยนตรกรรมเปี่ยมสมรรถนะ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการขับจากสนามแข่งฟอร์มูลาวัน สะท้อนตัวตนออกมาได้อย่างชัดเจนและทรงพลังที่สุด” นายธีรไนย กล่าว [PR News]

“แอสเซทไวส์” ฉลอง 20 ปี ขนทัพคอนโดและบ้านเสิร์ฟด่วน! ลดรวม 20 ล้านบาท

“แอสเซทไวส์” ฉลอง 20 ปี ขนทัพคอนโดและบ้านเสิร์ฟด่วน! ลดรวม 20 ล้านบาท

          แอสเซทไวส์ ฉลองครบรอบ 20 ปี ขนทัพบ้านหรูและคอนโดมิเนียม ทั้งโครงการใหม่ พรีเซล และโครงการพร้อมอยู่ บนทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ EEC มากถึง 38 โครงการ ร่วมงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 47 มอบโอกาสพิเศษให้คนอยากมีบ้านผ่านแคมเปญ “AssetWise Fast Come Fast Served” เสิร์ฟดีลด่วน แจกส่วนลดมูลค่ารวมกว่า 20 ล้านบาท* อาทิ ฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 20 ปี* ฟรีของแถมกว่า 20 รายการ* จองเพียง 999 บาท* พร้อมดีลเด็ดจากสถาบันการเงินชั้นนำ ผ่อนต่ำเริ่มต้นเพียงล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน นานสูงสุด 2 ปี* และโปรนาทีทอง จับก่อนจอง! ลุ้นรับของรางวัลเพิ่ม มูลค่ารวมกว่า 200,000 บาท* เฉพาะผู้ที่จองในงานเท่านั้น (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)           โครงการคอนโดมิเนียมที่นำมาร่วมงาน จำนวน 32 โครงการบนทำเลศักยภาพเดินทางสะดวก ส่วนกลางจัดเต็ม นำโดยแบรนด์เคฟ (Kave) แคมปัสคอนโดใกล้โรงเรียนและมหาวิทยาลัย เหมาะกับซื้ออยู่อาศัยเองและลงทุน, แบรนด์แอทโมซ (Atmoz) รีสอร์ตคอนโดมิเนียมพร้อมพื้นที่สีเขียวสำหรับพักผ่อนและเติมเต็มความสุขในทุกวัน, แบรนด์โมดิซ (Modiz) คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ใกล้รถไฟฟ้า ตอบโจทย์ชีวิตในเมือง, โครงการมารูน รัชดา 32 คอนโดมิเนียมใหม่ใจกลางรัชดา ส่วนกลาง 8 ชั้น 24 ชั่วโมง, โครงการอควารัส จอมเทียน-พัทยา คอนโดมิเนียมหรูสไตล์ Luxurious Staycation Residence ใกล้หาดจอมเทียน           โครงการบ้านเดี่ยว 6 โครงการ อาทิ แบรนด์เอสต้า (ESTA) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดหลังใหญ่ ฟังก์ชั่นครบในสังคมคุณภาพบนทำเลรังสิต-คลอง 2 และบรมราชชนนี, โครงการ CHANN The Riverside บ้านเดี่ยวหรูบริบทใหม่กับชีวิตริมสายน้ำ หนึ่งเดียวติดถนนบรมราชชนนีและโค้งแม่น้ำท่าจีน, แบรนด์ดิ อาเบอร์ (THE ARBOR) บ้านเดี่ยวสไตล์ครีเอทีฟโมเดิร์น ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างอย่างเฉพาะตัว บนทำเลดอนเมือง-แจ้งวัฒนะและรามอินทรา-วัชรพล และโครงการ The Honor โยธินพัฒนา บ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้น ดีไซน์เหนือกาลเวลา มาพร้อมสระว่ายน้ำและลิฟต์ส่วนตัวทุกหลัง           นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมกระทบไหล่นักฟุตบอลสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่จะมาแจกเสื้อพร้อมลายเซ็น และกิจกรรม Meet & Greet กับเหล่าสาวสวยและหนุ่มหล่อ อาทิ นิต้า มานิตา นางสาวไทยปี 2565, ณิชา พูลโภคะ รองชนะเลิศอันดับ 2  Miss Universe Thailand 2023, ยีนส์ จารณะ และท็อป สิทธิโชค จากเวที Mister International Thailand แล้วพบกันที่ “งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 47” วันที่ 20-23 มีนาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ บูธ 13-24 และ 37-48 ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ [PR News]

เปิดมูลค่าส่งออกผลไม้สด ปี 2567

เปิดมูลค่าส่งออกผลไม้สด ปี 2567

             หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการติดตามสถานการณ์การส่งออกไทยปี 2567 พบว่า ผลไม้เป็นสินค้าเกษตรส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยมีปัจจัยหนุนจากความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นจากความนิยมของผู้บริโภคชาวต่างชาติ ในผลไม้ไทย ทั้งในด้านคุณภาพมาตรฐาน ความหลากหลายของสายพันธุ์ และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์              นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ในปี 2567 ไทยมีการส่งออกผลไม้ ทั้งแบบสด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง รวมมูลค่า 6,510.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (231,401 ล้านบาท) สูงกว่ามูลค่าการส่งออกเฉลี่ยในข่วง 5 ปีที่ผ่านมา (5,855.7 ล้านเหรียญสหรัฐ) คิดเป็นสัดส่วน 22.6% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมดของไทย เฉพาะการส่งออกผลไม้สด มีมูลค่า 5,149.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (183,823 ล้านบาท) โดยไทยมีผลไม้สดที่เป็นสินค้าส่งออกสำคัญหลายชนิด เช่น              ทุเรียน มีปริมาณการส่งออก 859,183 ตัน มูลค่า 3,755.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (134,852 ล้านบาท) มีสัดส่วนถึง 72.9% ของมูลค่าการส่งออกผลไม้สดทั้งหมดของไทย ตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) จีน (สัดส่วน 97.4% ของมูลค่าการส่งออกทุเรียนสดของไทย) (2) ฮ่องกง (1.3%) (3) เกาหลีใต้ (0.3%) (4) มาเลเซีย (0.2%) และ (5) สหรัฐอเมริกา (0.2%)              ลำไย มีปริมาณการส่งออก 527,927 ตัน มูลค่า 571.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (19,698 ล้านบาท) ตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) จีน (สัดส่วน 73.1% ของมูลค่าการส่งออกลำไยสดของไทย) (2) อินโดนีเซีย (14.2%) (3) เวียดนาม (6.7%) (4) มาเลเซีย (1.5%) และ (5) อินเดีย (1.0%)              มังคุด มีปริมาณการส่งออก 284,860 ตัน มูลค่า 490.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (17,573 ล้านบาท) ตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) จีน (สัดส่วน 91.0% ของมูลค่าการส่งออกมังคุดสดของไทย) (2) เวียดนาม (4.8%) (3) เกาหลีใต้ (1.6%) (4) สหรัฐฯ (0.5%) และ (5) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (0.3%)              มะพร้าวอ่อน มีปริมาณการส่งออก 257,428 ตัน มูลค่า 217.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (7,616 ล้านบาท) ตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) จีน (สัดส่วน 82.7% ของมูลค่าการส่งออกมะพร้าวอ่อนของไทย)(2) สหรัฐฯ (7.1%) (3) ฮ่องกง (2.1%) (4) สิงคโปร์ (1.6%) และ (5) เนเธอร์แลนด์ (1.5%)              มะม่วง ปริมาณการส่งออก 106,753 ตัน มูลค่า 133.09 ล้านเหรียญสหรัฐ (4,716 ล้านบาท) ตลาดส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) เกาหลีใต้ (สัดส่วน 61.8% ของมูลค่าการส่งออกมะม่วงสดของไทย) (2) มาเลเซีย (25.6%) (3) ญี่ปุ่น (2.9%) (4) เวียดนาม (2.8%) และ (5) สปป.ลาว (0.8%)              ปัจจุบัน การส่งออกผลไม้สดของไทยพึ่งพาจีนเป็นตลาดหลัก ซึ่งไทยกำลังเผชิญการแข่งขันจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นในตลาดจีน เช่น ทุเรียนสด ไทยได้รับการอนุญาตให้นำเข้าจีนได้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2546 แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จีนเริ่มอนุญาตการนำเข้าทุเรียนสดจากเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียด้วย นอกจากนี้ ยังมีเรื่องกฎระเบียบการนำเข้าของจีนที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ดังนั้น ไทยควรเร่งปรับตัวเพื่อที่จะรักษาส่วนแบ่งในตลาดจีนไว้ให้ได้ รวมถึงเร่งเจาะตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะตลาดที่มีการนำเข้าผลไม้จากโลกในสัดส่วนสูงแต่ไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดนั้นไม่มาก เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดจีน และลดผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น              นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ว่าปีที่ผ่านมา การส่งออกผลไม้ของไทยในภาพรวมหดตัว เนื่องจากผลผลิตออกน้อยสาเหตุจากสภาพอากาศที่ร้อนแล้ง ส่งผลให้ผลผลิตผลไม้หลายชนิดลดลง และกระทบต่อการส่งออก อย่างไรก็ตาม ผลไม้ก็ยังคงเป็นสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ สามารถสร้างมูลค่าให้กับประเทศและรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างมาก ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) มีนโยบายดูแลสินค้าเกษตร เน้นย้ำให้หน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดในประเทศ ผลักดันการส่งออกไปสู่ตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ และการสนับสนุนการนำผลผลิตไปแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งได้มีการเตรียมมาตรการบริหารจัดการผลไม้เชิงรุกปี 2568 สำหรับดูแลผลผลิตฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะออกสู่ตลาด

สถานการณ์ตลาดน้ำมัน แนวโน้มสัปดาห์ 10 - 14 มี.ค. 68

สถานการณ์ตลาดน้ำมัน แนวโน้มสัปดาห์ 10 - 14 มี.ค. 68

สถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 3 - 7 มี.ค. 68 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 10 - 14 มี.ค. 68 ราคาน้ำมันดิบลดลงจากผู้ผลิตน้ำมันเดินหน้าเพิ่มปริมาณการผลิตตามแผน ขณะที่ตลาดกังวลเศรษฐกิจโลกอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีที่ไม่แน่นอนของสหรัฐฯ ผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ 8 ประเทศ จะผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเดือนละ 138,000 บาร์เรล ตั้งแต่เดือน เม.ย. 68 – ก.ย. 69 สหรัฐฯ เลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาที่อยู่ในรายการข้อตกลงทางการค้า United States Mexico Canada Agreement (USMCA) ในอัตรา 25% จากกำหนดเดิมวันที่ 4 มี.ค. 68 เป็นวันที่ 2 เม.ย. 68 ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ อาทิ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Donald Trump กำลังพิจารณากำหนดมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ ต่อระบบธนาคาร และบริษัทน้ำมันของรัสเซีย รวมทั้งจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากรัสเซีย เพื่อกดดันให้รัสเซียที่ยังโจมตียูเครนอย่างหนัก หันมาเจรจาหยุดยิงกับยูเครน ที่มา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.85-34.10 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.85-34.10 บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.85-34.10 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าขึ้นหลังเกิดภาวะ Risk-off ที่นักลงทุนโลกกังวลว่า Tariffs และการปลดเจ้าหน้าที่รัฐจะส่งต่อผลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นโลกปรับลดลงแรง ดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่า กดดันเงินภูมิภาคอ่อนค่า อีลอน มัสก์ เรียกร้องให้มีการปรับลดงบประมาณสวัสดิการสังคม ประกันสังคม และเมดิแคร์ (Medicare) ซึ่งขัดกับคำกล่าวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐที่ระบุว่าจะไม่แตะโครงการเหล่านี้ ทางการจีนเข้าดูแลเงินหยวนน้อยลง โดยเห็นส่วนต่าง Daily fixing แคบลง  

[ภาพข่าว] เมืองไทยประกันชีวิต จัดงาน “MTL Bancassurance Kick Off 2025”

[ภาพข่าว] เมืองไทยประกันชีวิต จัดงาน “MTL Bancassurance Kick Off 2025”

          นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นประธานจัดงาน “MTL Bancassurance Kick Off 2025” ภายใต้ธีม “Breakthrough Our Limits From Good to Great” ก้าวข้ามทุกลิมิตเพื่อพิชิตเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน เพื่อปลุกพลังให้เต็มเปี่ยม พร้อมก้าวข้ามทุกขีดจำกัด ขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จและการเติบโตที่แข็งแกร่ง  ด้วยความมุ่งมั่นในการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืน ภายในงานยังได้มอบนโยบายแนวทางการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ในปี 2568 แก่ผู้บริหารและฝ่ายขายช่องทางธนาคาร หรือ Bancassurance ทั่วประเทศ  โดยมีนายเคียม เคียว โฮ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส  นายเกศพงศ์ นาทะสิริ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และผู้บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  ร่วมในงาน  ณ  โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา

BEM - BMN ผนึก UNFPA ประเทศไทย ฉลอง วันสตรีสากล 2568

BEM - BMN ผนึก UNFPA ประเทศไทย ฉลอง วันสตรีสากล 2568

          หุ้นวิชั่น - BEM และ BMN ร่วมมือกับ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประเทศไทย เปลี่ยนพื้นที่ในระบบรถไฟฟ้า MRT ให้เป็นพื้นที่แห่งการสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงและสนับสนุนการขับเคลื่อนสังคมสู่ความเท่าเทียม จัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง วันสตรีสากล 2568 ต้อนรับการรวมตัวของบุคคลและองค์กรที่ขับเคลื่อนความเสมอภาคทางเพศผ่านนิทรรศการภาพถ่ายสุดพิเศษ "Her Awards: ประชากรหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ" จัดแสดงระหว่างวันที่ 8 - 15 มีนาคม 2568 ณ เมโทร มอลล์ แหล่งช้อป ชิม ชิล ในระบบรถไฟฟ้า MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย           บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ จำกัด หรือ (BMN) ผู้ให้บริการสื่อโฆษณา พื้นที่ค้าปลีก พื้นที่จัดกิจกรรม ในระบบรถไฟฟ้า MRT และทางด่วน ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ   บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการทางพิเศษและรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สายสีม่วงและทางด่วน ร่วมมือกับ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประเทศไทย เปิดพื้นที่เมโทร มอลล์ ให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเฉลิมฉลอง วันสตรีสากล 2568 เพื่อต้อนรับการรวมตัวของบุคคลและองค์กรที่ขับเคลื่อนความเสมอภาคทางเพศผ่านนิทรรศการภาพถ่ายสุดพิเศษ "Her Awards: ประชากรหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ" ส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงและสนับสนุนการขับเคลื่อนสังคมสู่ความ           เท่าเทียม โดยนิทรรศการครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จของผู้หญิงทั่วประเทศ รวมถึงบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิมนุษยชน ภายใต้แนวคิด “Accelerate Actions to Advance Gender Equality and Empowerment of Women and Girls” ที่เน้นให้ทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกันสร้างโอกาสและสนับสนุนศักยภาพของผู้หญิงและเด็กหญิง พร้อมนำเสนอภาพถ่ายและเรื่องราวสุดทรงพลังของบุคคลและองค์กรที่ได้รับรางวัล Her Awards ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปสู่ความเสมอภาคอย่างแท้จริง ในวันงานมีการจัด เวทีเสวนา ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.อารยา ปานุราช กรรมการผู้จัดการ BMN ในฐานะผู้แทน BEM และตัวแทนจาก UNFPA พร้อมแขกรับเชิญพิเศษจากภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมมาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางการเสริมพลังผู้หญิงและเด็กหญิงในยุคปัจจุบัน           ดร.อารยา ปานุราช กรรมการผู้จัดการ BMN ในฐานะผู้แทน BEM กล่าวว่า “BMN เชื่อว่าความเท่าเทียมทางเพศไม่ใช่เพียงแค่แนวคิด แต่คือพื้นฐานสำคัญของสังคมที่ยั่งยืน เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองวันสตรีสากล และสนับสนุนให้ MRT เป็นพื้นที่ที่สร้างโอกาสให้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สำหรับการเดินทาง การทำธุรกิจ หรือพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจ สำหรับ BMN การขับเคลื่อนความเสมอภาคทางเพศเป็นมากกว่าการจัดกิจกรรมเพียงปีละครั้ง แต่คือความมุ่งมั่นที่จะใช้ศักยภาพของสื่อนอกบ้านของ BMN และพื้นที่ต่างๆ ใน MRT เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารประเด็นที่มีความหมายต่อสังคม เราต้องการเห็น MRT เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเติบโตได้ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเพศ อายุ หรือสถานะทางสังคม และนิทรรศการ ‘Her Awards’ ครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ และขับเคลื่อนสังคมให้เดินหน้าไปสู่ความเท่าเทียมที่แท้จริง” สำหรับนิทรรศการ "Her Awards" จะมีการจัดแสดงภาพถ่ายและเรื่องราวของผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจจากทั่วประเทศ พร้อมทั้งกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ นิทรรศการภาพถ่าย "Her Awards" นำเสนอเรื่องราวของผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจในสังคมไทย Mini Talk เสวนาเสริมพลังให้กับผู้หญิงในทุกมิติ ทั้งด้านอาชีพ การศึกษา และบทบาทในสังคม กิจกรรม "Empowering Women, Empowering Society" เปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนความเท่าเทียมทางเพศ โซนกิจกรรมพิเศษ สำหรับเยาวชนและผู้หญิงยุคใหม่ สร้างเครือข่ายการเรียนรู้และแรงบันดาลใจ           BEM BMN และ UNFPA มุ่งมั่นที่จะทำให้งานนี้ไม่ใช่เพียงแค่นิทรรศการ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพของผู้หญิงและเด็กหญิง รวมถึงการส่งเสริมสังคมที่เท่าเทียมและปราศจากความรุนแรง ด้วยความเชื่อที่ว่าผู้หญิงทุกคนควรได้รับโอกาสที่เท่าเทียมในการใช้ชีวิตและเติบโตในทุกด้าน อีกทั้ง BMN ยังคงเดินหน้าสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมประเด็นทางสังคมที่สำคัญ และเปิดพื้นที่ให้ MRT เป็นมากกว่าระบบขนส่งสาธารณะ แต่เป็นศูนย์กลางของการสร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ความเท่าเทียมที่แท้จริง           พบกับนิทรรศการ “Her Awards” ได้ตั้งแต่วันที่ 8 - 15 มีนาคม 2568 ที่เมโทร มอลล์ แหล่งช้อป ชิม ชิล ในระบบรถไฟฟ้า MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรแห่งประเทศไทย ชมฟรีตลอดงาน! ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: BMN และ BEM Bangkok Expressway [PR News]

พาณิชย์ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโตต่อเนื่อง 6 เดือน สะท้อนมุมมองบวกประชาชน

พาณิชย์ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโตต่อเนื่อง 6 เดือน สะท้อนมุมมองบวกประชาชน

             หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 6,275 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ระดับ 52.0 ยังคงอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกัน เป็นเดือนที่ 6 และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกของประชาชนต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะความเชื่อมั่นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ปรับตัวดีขึ้น และการส่งออกที่เติบโตได้ดีในตลาดสำคัญ นอกจากนี้ มาตรการของภาครัฐที่เข้มงวดกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ช่วยเพิ่ม ความมั่นใจในการทำธุรกรรมของประชาชนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หนี้ครัวเรือนยังคงเป็นปัญหาภายในประเทศที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นของประชาชน รวมถึงยังมีปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ ความผันผวนของสถานการณ์โลกจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่จะส่งผลกระทบทั้งในภาคการค้าระหว่างประเทศและสถานการณ์ความขัดแย้งโลก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ยังคงอยู่ในช่วงเชื่อมั่นหรือมีค่ามากกว่าระดับ 50              โดยอยู่ที่ระดับ 52.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 51.5 ในเดือนก่อน โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนียังคงอยู่ในช่วงเชื่อมั่น เนื่องจาก (1) การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชน อาทิ มาตรการภาษี Easy E-Receipt 2.0 และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ (เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท) เป็นต้น              ซึ่งช่วยลดภาระค่าครองชีพและส่งเสริมภาคธุรกิจ (2) ราคาสินค้าเกษตรสำคัญปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันและยางพารา รวมถึงพืชผลการเกษตรหลายชนิดทยอยเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร (3) การเร่งแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเข้มงวด ช่วยลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นใจในการทำธุรกรรมทางการเงินของประชาชน และ (4) การส่งออกไทยยังขยายตัวได้ดีในตลาดส่งออกสำคัญ              ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 50.15 รองลงมาคือ มาตรการของภาครัฐ คิดเป็นร้อยละ 14.82 ราคาสินค้าเกษตร คิดเป็นร้อยละ 7.76 เศรษฐกิจโลก คิดเป็นร้อยละ 7.33 สังคม/ความมั่นคง คิดเป็นร้อยละ 7.22 การเมือง คิดเป็นร้อยละ 3.90 ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 3.86 ภัยพิบัติ/โรคระบาด คิดเป็นร้อยละ 2.79 และอื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 2.17 ตามลำดับ              ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายภูมิภาค จำนวน 5 ภูมิภาค พบว่า ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น 4 ภาค ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 54.9 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 52.2 ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 51.0 และภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 50.6 โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลให้มีความเชื่อมั่นคือ เศรษฐกิจไทย สังคม/ความมั่นคง มาตรการ ของภาครัฐ และเศรษฐกิจโลก ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของภาคเหนือปรับขึ้นจากเดือนก่อนหน้า แต่อยู่ต่ำกว่า ช่วงเชื่อมั่นเล็กน้อย ที่ระดับ 49.8              ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายอาชีพ จำนวน 7 อาชีพ พบว่า ทั้ง 7 กลุ่มอาชีพมีดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่นทั้งหมด โดยพนักงานของรัฐ อยู่ที่ระดับ 55.8 ผู้ประกอบการ อยู่ที่ระดับ 53.1 นักศึกษา อยู่ที่ระดับ 52.0 เกษตรกร อยู่ที่ระดับ 51.8 พนักงานเอกชน อยู่ที่ระดับ 50.9 ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ อยู่ที่ระดับ 50.7 และอาชีพรับจ้างอิสระ อยู่ที่ระดับ 50.4 สำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดยอยู่ที่ระดับ 43.9              ทั้งนี้ นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ประชาชนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยว่าจะสามารถขยายตัว และมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ อาทิ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพ การส่งเสริมการส่งออก การสนับสนุนสินค้าเกษตร และการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการใช้จ่ายของประชาชน ตลอดจนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยล่าสุดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 คาดว่าจะช่วยลดความกังวลต่อปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้สินภาคธุรกิจ และกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น              นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้จัดโครงการ "ชูใจ วัยเก๋า 60+" ซึ่งเป็นการสานต่อโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านผู้สูงอายุที่ได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยร่วมมือกับผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และแพลตฟอร์มออนไลน์ กว่า 200 ราย ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริการ และกลุ่มแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถซื้อสินค้าและบริการได้ในราคาถูกลง ระหว่างวันที่ 30 มกราคม - 30 เมษายน 2568 ซึ่งการดำเนินโครงการนี้ จะช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพ เพิ่มความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย และคาดว่าจะช่วยสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและทั่วประเทศ

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.60-33.80 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.60-33.80 บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหว Sideways โดยมีแรงกดดันด้านแข็งค่าหลังเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ ออกมาที่ 151,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาด และอัตราว่างงานที่ 1% สูงขึ้นและมากกว่าคาด ทำให้ US Treasury yields ลดลง ค่าเงินดอลลาร์อ่อน แต่ Yields กลับมาสูงขึ้นและเงินดอลลาร์แข็งค่า หลังนายเจอโรม พาวเวลประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)  กล่าวว่า เศรษฐกิจยังดี เงินเฟ้อจีนออกมาที่ -7%YOY ติดลบครั้งแรกในรอบ 13 เดือน เงินเฟ้อไทยเดือนกุมภาพันธ์ออกมาที่ 08% ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 1.1% และเดือนก่อนที่ 1.32%

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.85 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.85 บ./ดอลลาร์

            หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.85 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่าวันที่ผ่านมา ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดดอกเบี้ย Deposit facility rate 25 bps มาอยู่ที่ 50% แต่กล่าวว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มกลับเข้าเป้า 2% ช้าลง ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยุโรปปรับสูงขึ้นเร็ว ทางการจีนส่งสัญญาณทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม โดยจะดำเนินมาตรการขาดดุลการคลังสูงขึ้นผ่านการออกบอนด์มากขึ้น นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มที่อยู่ใต้ USMCA จากแคนาดาและเม็กซิโกออกไปถึงวันที่ 2 เมษายน

เปิดผลสำรวจ! 61% จาก 41 ซีอีโอไทย ชี้ธุรกิจรอดยากในทศวรรษหน้า หากไม่ปรับตัว

เปิดผลสำรวจ! 61% จาก 41 ซีอีโอไทย ชี้ธุรกิจรอดยากในทศวรรษหน้า หากไม่ปรับตัว

              หุ้นวิชั่น - PwC ประเทศไทย เผยรายงานผลสำรวจล่าสุดพบซีอีโอไทยแสดงความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและโลกลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 67 ขณะที่มองการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังในปี 2568 ส่งผลให้แผนการเพิ่มจำนวนพนักงานลดลง และมากกว่าครึ่งยังไม่มีแผนขยายการลงทุนในต่างประเทศ ขณะที่การลงทุนใน GenAI และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ซีอีโอไทยคาดหวังว่าจะช่วยพลิกโฉมรูปแบบธุรกิจใหม่ในอนาคต ‘รายงานผลสำรวจซีอีโอทั่วโลกประจำปี ครั้งที่ 28 ฉบับประเทศไทย: ปฏิรูปรูปแบบธุรกิจ เพื่อพิชิตโลกอนาคต’ ของ PwC ประเทศไทย ยังได้แนะนำให้ผู้บริหารระดับสูงต้องมีการปรับเปลี่ยนธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มคุณค่าใหม่จากการดำเนินงาน               นาย พิสิฐ ทางธนกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ซีอีโอไทยมีความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและโลกลดลงเล็กน้อย โดย 44% เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2568 (ลดลง 1% จากปีก่อน) และ 51% กล่าวว่าเศรษฐกิจภายในประเทศจะดีขึ้นในปีนี้  (ลดลง 1% จากปีก่อน) ขณะที่ 27% แสดงความเชื่อมั่นในระดับสูงหรือสูงมากต่อรายได้ของบริษัทในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็น 44% สำหรับแนวโน้มในช่วงสามปีข้างหน้า นอกจากนี้ ซีอีโอไทย 61% กล่าวว่าธุรกิจของตนจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในทศวรรษหน้า หากยังดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางเดิม ๆ ซึ่งลดลงจากการสำรวจเมื่อปีก่อนที่ 67%               “ซีอีโอไทยมีแนวโน้มที่จะดำเนินกลยุทธ์์ด้วยความระมัดระวังมากขึ้นในปีนี้ แม้ว่าจะมีความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของรายได้และความสามารถในการดำเนินธุรกิจของตนเอง เนื่องจากยังขาดความเชื่อมั่นต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศและโลกด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ยังคงกดดัน sentiment โดยรวมของการลงทุนและการขยายกิจการใหม่ ๆ อย่างไรก็ดี มีซีอีโอไทยจำนวนไม่น้่อยที่กำลังปรับเปลี่ยนธุรกิจตัวเองเพื่อความอยู่รอด โดยในปีที่ผ่านมา เราเห็นหลายธุรกิจตื่นตัวในเรื่องของ AI การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งแสวงหาโอกาสในการสร้างคุณค่าด้วยวิธีการใหม่ ๆ มากขึ้นและโฟกัสไปที่การสร้างรายได้จากธุรกิจหลัก” นาย พิสิฐ กล่าว              ทั้งนี้ รายงานฉบับประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘รายงานผลสำรวจซีอีโอทั่วโลกประจำปี ครั้งที่ 28 ของ PwC’ ได้รวบรวมความคิดเห็นของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ทั่วโลกจำนวนทั้งสิ้น 4,701 ราย ซึ่งรวมถึงซีอีโอจากประเทศไทย จำนวน 41 ราย ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม ถึง 8 พฤศจิกายน 2567             สำหรับปัจจัยความเสี่ยงที่สร้างความกังวลให้กับผู้นำธุรกิจไทยนั้นพบว่า ความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค และความเสี่ยงทางไซเบอร์เป็นภัยคุกคามอันดับแรกที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ (24% เท่ากัน) ตามมาด้วยเงินเฟ้อ และการหยุดชะงักของเทคโนโลยี (20% เท่ากัน) และการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะที่จำเป็น และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (15% เท่ากัน)             นอกจากนี้ ซีอีโอไทยยังคงมีความระมัดระวังต่อการดำเนินธุรกิจในระยะข้างหน้า เห็นได้จากแผนการสรรหาบุคลากรที่ลดลง โดยมีเพียง 29% ที่วางแผนจะเพิ่มจำนวนพนักงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ลดลงจากปีก่อนที่ 33% และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ 42% และ 46% ตามลำดับ ยิ่งไปกว่านั้น ซีอีโอไทยมากกว่าครึ่ง (56%) ยังไม่มีแผนที่จะจัดสรรเงินทุนให้กับการดำเนินงานในต่างประเทศในอีก 12 เดือนข้างหน้า และ 41% ไม่มีแผนที่จะควบรวมกิจการขนาดใหญ่ในช่วงสามปีข้างหน้า “ในขณะที่ปี 2568 จะเป็นปีที่ซีอีโอบริหารงานด้วยความระมัดระวัง สิ่งสำคัญที่พวกเขาจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายนี้ คือ จะต้องกล้าที่จะปฏิรูปรูปแบบธุรกิจเพื่ือเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้าง ส่งมอบ และสรรหาคุณค่าใหม่” นาย พิสิฐ กล่าว  GenAI และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ             ในช่วงปีที่ผ่านมา ซีอีโอไทยตื่นตัวต่อกระแสการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (generative AI: GenAI) ที่เข้ามาส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก โดย 30% รายงานว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ 37% พบว่ามีความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น และ 20% ระบุว่าจำนวนพนักงานของธุรกิจเพิ่มขึ้นจากที่ซีอีโอ 33% คาดการณ์ว่าจำนวนพนักงานจะลดลงในปี 2567 แต่อย่างไรก็ดี ยังมีซีอีโอไทย 27% ที่รายงานว่ามีความไว้วางใจใน AI น้อยหรือไม่ไว้วางใจเลย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการประยุกต์ใช้ AI ที่ยังคงมีอยู่             นอกจากนี้ ซีอีโอไทยยังคงให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง หลังผู้นำธุรกิจเริ่มมองเห็นโอกาสทางการตลาดและความต้องการสินค้าและบริการอย่างยั่งยืนที่สูงขึ้นของผู้บริโภค โดย 76% กล่าวว่า พวกเขาได้ลงทุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปีที่ผ่านมา ขณะที่ 37% กล่าวว่า สามารถยอมรับอัตราผลตอบแทนสำหรับการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศที่ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ยอมรับได้สำหรับการลงทุนอื่น ๆ และถึงแม้ว่าจะมีซีอีโอไทยเพียง 22% ที่กล่าวว่า องค์กรของตนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการผนวกโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ             “ผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเข้ามาของเทคโนโลยีเกิดใหม่ และเมกะเทรนด์อื่น ๆ กำลังเป็นตัวเร่งให้ผู้นำธุรกิจทั่วโลกรวมทั้งไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสร้างคุณค่า และตอบสนองความคาดหวังที่เปลี่ยน แปลงไปของลูกค้า กำลังแรงงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ นอกจากนี้ จะต้องนำแนวปฏิบัติการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบมาผนวกกับกลยุทธ์การทำธุรกิจในทุกมิติ ซึ่งถึงแม้ว่าในบางกรณีอาจจะไม่ได้สร้างผลตอบแทนในทันที แต่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากต้องการที่จะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาว” นาย พิสิฐ กล่าว 

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.50-33.70 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.50-33.70 บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.50-33.70 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องตามเงินยูโรที่แข็งค่าแรง หลังคณะกรรมาธิการยุโรปเตรียมออกมาตรการส่งเสริมการใช้จ่ายด้านกลาโหม ซึ่งคาดว่าจะระดมทุนได้ 8 แสนล้านยูโร เลข ISM ภาคการบริการสหรัฐฯ ออกมาที่ 5 สูงกว่าตลาดคาดที่ 52.5 จากดัชนีย่อยด้านจ้างงานและยอดสั่งซื้อที่ปรับดีขึ้น ขณะที่เลขจ้างงาน ADP Employment change ออกมาที่ 7.7 หมื่น สหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้ากลุ่มยานยนต์จากประเทศแคนาดาและเม็กซิโกออกไป 1 เดือน

ASW เปิดคอนโดใหม่ เคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว – บดินทรเดชา

ASW เปิดคอนโดใหม่ เคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว – บดินทรเดชา

           “แอสเซทไวส์” เปิดตัว “เคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว-บดินทรเดชา” (Kave Playground Ladprao-Bodindecha)” แคมปัสคอนโดมูลค่า 1,600 ล้านบาท ใกล้ รร.บดินทรเดชาฯเพียง 10 ก้าว คุ้มค่าทั้งอยู่อาศัยเองและปล่อยเช่า รับ Yield 5%* ชูคอนเซปต์ LET’S PLAY ใช้ชีวิตสนุกด้วยส่วนกลางแน่นมากถึง 60 รายการ รองรับได้ทุกกิจกรรมทั้งเล่นและเรียน พร้อมแยกตึก Pet-Friendly เอาใจคนรักสัตว์ บนทำเลใจกลางลาดพร้าว ใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย สายสีเหลือง สถานีลาดพร้าว 83 และสายสีส้ม สถานีรามคำแหง เริ่ม 2.39 ล้านบาท เปิดพรีเซลตึกใหม่ใกล้ส่วนกลางที่สุดวันที่ 22 มี.ค.68 นี้            นางสาวพชร ประพันธ์วัฒนะ กรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คอนโดมิเนียม บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” กล่าวว่า บริษัทเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ “เคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว – บดินทรเดชา (Kave Playground Ladprao-Bodindecha)” มูลค่ารวม 1,600 ล้านบาท โครงการแคมปัสคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ที่ชูแนวคิด “LET’S PLAY สนุกได้ทุกวัน... มันส์ ได้ทุกเจน” โดดเด่นด้วยส่วนกลางครบครัน รองรับได้ทุกกิจกรรมทั้งเล่นและเรียน ​บนทำเลศักยภาพใกล้ รร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เพียง 10 ก้าว โดยจะเปิดพรีเซลตึกใหม่ใกล้ส่วนกลางที่สุดวันที่ 22 มี.ค. 68 นี้            “Kave เป็นแบรนด์แคมปัสคอนโดมิเนียมที่แข็งแกร่งในด้านทำเลใกล้สถานศึกษา และฟังก์ชันพื้นที่ส่วนกลางที่รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ได้จริง วันนี้แอสเซทไวส์จึงต่อยอดความสำเร็จด้วยการเจาะทำเลใหม่ย่านลาดพร้าว – บดินทรเดชา ซึ่งเป็นแหล่งรวมสถาบันการศึกษาทุกระดับ เราพัฒนาโครงการ Kave Playground ให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่เป็น New Urban Lifestyle Hub ที่รองรับทุกจังหวะการใช้ชีวิตของคน Gen Z ในคอนเซปต์ LET’S PLAY ให้ทุกการเรียนรู้เป็นเรื่องสนุก มีพื้นที่ให้ทำทุกกิจกรรมที่รักได้เต็มที่ ด้วยฟังก์ชันส่วนกลางที่ครบครันมากถึง 60 รายการ เพื่อให้คน Gen Z ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ คล่องตัว และเต็มที่ในแบบที่ต้องการ” นางสาวพชร กล่าว            โครงการเคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว – บดินทรเดชา (Kave Playground Ladprao-Bodindecha) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น จำนวน 11 อาคาร และอาคารสูง 9 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มีทั้งหมด 515 ยูนิต โดยแบ่งเป็นห้องพัก 512 ยูนิต และพื้นที่เชิงพาณิชย์ 3 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 5-1-68 ไร่ ห้องชุดมีให้เลือก 4 รูปแบบ ได้แก่ Studio ขนาด 21.40-23.90 ตร.ม., One Bedroom ขนาด 23.60-29.20 ตร.ม., One Bedroom Extra ขนาด 26.80-30.32 ตร.ม. และ One Bedroom Plus ขนาด 30.40-34.00 ตร.ม. ทุกห้องพักตกแต่งแบบ Fully Furnished มอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนห้องพักที่น้อยเพียง 5-6 ยูนิตต่อชั้น และแยกตึกสำหรับ Pet-Friendly เพื่อคนรักสัตว์โดยเฉพาะ            ขณะเดียวกัน โครงการยังมีพื้นที่ส่วนกลางจัดเต็มกว่า 60 รายการ ทั้งโซน Indoor ที่มีตัวอาคารถึง 4 ชั้น แยกออกจากที่พัก อาทิ Learning Pod, Book Adventure, Round Table Meeting, Room Theatre, Live Studio, Cook’s Haven Studio, Pulse Gym & Fitness, Yoga Room, Sauna และโซน Outdoor ​ที่มีสระว่ายน้ำระบบเกลือถึง 2 สระแบบ Active Pool ยาว 16 ม. และแบบ Relax Pool ยาว 22 ม. (พร้อมสระเด็ก) และชั้น 9 ยังมี Playscape ส่วนกลางแบบ Outdoor เช่น Co-Working Outdoor, Crater Nest, Volcano Play และที่จอดรถ 206 คัน (40%) ภายในโครงการยังคํานึงถึงความปลอดภัย เข้าอาคารด้วยระบบ Key Card มีกล้อง CCTV และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท            ตัวโครงการโดดเด่นด้วยโลเคชันที่ติดถนนรามคำแหง ตรงข้าม รร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนฉลองรัช เชื่อมถนนหลัก 3 สาย ถนนลาดพร้าว ถนนรามคำแหง และ ถนนประเสริฐมนูญกิจ สามารถเดินทางเข้าสู่เอกมัยได้ง่ายดาย ทั้งยังใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย คือสายสีเหลือง สถานีลาดพร้าว 83 และสายส้ม สถานีรามคำแหง ซึ่งทางโครงการจะมี Shuttle Van Service บริการรับ-ส่งถึงสถานีด้วย นอกจากนี้โครงการยังใกล้สถานศึกษา อาทิ รร.อุดมศึกษา, SISB School, Traill International School, ม.รามคำแหง, ม.อัสสัมชัญ (ABAC) ม.เกษมบัณฑิต และรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น The Mall รามคำแหง, BigC, Makro, Town in Town และสนามราชมังคลาฯ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยทุกรูปแบบ ทำให้โครงการเคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว-บดินทรเดชา เป็นอีกหนึ่งโครงการคุณภาพที่มีความคุ้มค่า เหมาะกับซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและซื้อลงทุน โดยห้องชุดแต่งพร้อมอยู่ในย่านนี้สามารถปล่อยเช่าได้ตั้งแต่ 9,500 บาทต่อเดือน มีอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Yield) ประมาณ 5% ต่อปี*            โครงการเคฟ เพลย์กราวด์ ลาดพร้าว – บดินทรเดชา พร้อมเปิดพรีเซลตึกใหม่ใกล้ส่วนกลางที่สุด วันที่ 22 มี.ค. 68 ผู้ที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการและลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 350,000 บาท ได้ที่ https://bit.ly/4kmFwiq สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 02-168-0000 หรือ Line OA: @assetwise หรือคลิก https://lin.ee/5kTwJmr [PR News]

ช่องวัน ผนึก กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี  เฟ้นหาพรีเซ็นเตอร์ Big C - ดันเป็นนักแสดง

ช่องวัน ผนึก กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เฟ้นหาพรีเซ็นเตอร์ Big C - ดันเป็นนักแสดง

          ช่องวัน ผนึก กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ปั้นโปรเจกต์สุดพิเศษ “Big C Super Girl” ดึงจุดแข็งทั้ง 2 ฝ่ายเสริมความแข็งแกร่งแบรนด์ผ่านคอนเทนต์ พร้อมชูโอกาสการเฟ้นหาพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของ Big C และดันขึ้นแท่นเป็นนักแสดงช่องวัน เริ่มเปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 4 – 31 มีนาคม 2568           ถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE พร้อมด้วย ระฟ้า ดำรงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาดกลุ่ม, นิพนธ์  ผิวเณร  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตละคร , สุธาสินี  บุศราพันธ์  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตรายการ  จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี หรือ BJC - Big C  ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภค บรรจุภัณฑ์ และห้างค้าปลีก “บิ๊กซี” โดยมี อัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี, ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี, กชกร อาคมธน รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และสื่อสารการตลาด ร่วมเปิดตัวโปรเจกต์ Big C Super Girl เพื่อค้นหาพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของ Big C พร้อมโอกาสในการเป็นนักแสดงช่องวัน และชิงเงินรางวัล มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท โดยงานจัดขึ้น ณ ห้องสตาร์เลาจน์ ชั้น 20 ตึกจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568           การจับมือทางธุรกิจของช่องวัน 31 คอนเทนต์ครีเอเตอร์ในกลุ่ม เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ onee ผู้นำด้านคอนเทนต์บันเทิงชั้นนำของประเทศที่เป็นมากกว่าช่องทีวี กับ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ในครั้งนี้ ถือเป็นการใช้จุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งความแข็งแกร่งของการเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในตลาดค้าปลีกและความน่าสนใจของแบรนด์ บิ๊กซี ผนวกกับศักยภาพการผลิตคอนเทนต์บันเทิงของทาง ช่องวัน มาร่วมกันเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ผ่านการปั้นคอนเทนต์ร่วมกัน และผลักดันให้โปรเจกต์นี้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น           ทั้งนี้ ความร่วมมือของการจัดทำโปรเจกต์ดังกล่าว ยังนับเป็นครั้งแรกในการเปิดโอกาสให้กับหญิงสาวอายุ 18-35 ปี ที่มีความทันสมัย โดดเด่นด้วยทักษะความสามารถ ได้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์  และพร้อมที่จะต่อยอดเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นนักแสดงช่องวัน           สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโปรเจกต์ Big C Super Girl สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2568 นี้  ที่ bigcsupergirl.one31.net

“สินเชื่อรถเรียกเงิน” KKP AUTO ยื่นมือช่วยเสริมสภาพคล่อง  ให้วงเงินสูงสุดในตลาด

“สินเชื่อรถเรียกเงิน” KKP AUTO ยื่นมือช่วยเสริมสภาพคล่อง ให้วงเงินสูงสุดในตลาด

                หุ้นวิชั่น - ในภาวะเศรษฐกิจที่ความคล่องตัวทางการเงินเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดการกับความท้าทายหรือคว้าโอกาสในชีวิต KKP AUTO โดยธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP)  ขอ “ยื่นมือ” สนับสนุนทุกความต้องการทางการเงิน ผ่าน “สินเชื่อรถเรียกเงิน” สินเชื่อรีไฟแนนซ์รถยนต์ที่ให้วงเงินสูงสุดถึง 150% ของราคาประเมินรถ ซึ่งนับเป็นวงเงินสูงที่สุดในตลาด เพื่อตอบโจทย์บุคคลทั่วไป เจ้าของกิจการขนาดเล็ก และผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเพื่อลงทุนในธุรกิจ รับมือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน จัดการภาระหนี้สิน  หรือรวมหนี้จากสถาบันการเงินอื่นมาเป็นก้อนเดียว   ตอบทุกปัญหาทางการเงิน                 นายเตชินท์ ดุลยฤทธิรงค์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทำให้ผู้กู้เกิดความต้องการเข้าถึงเงินก้อนที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้กู้จำนวนมากกลับพบอุปสรรคจากเงื่อนไขการขอสินเชื่อที่เข้มงวด และในที่สุดก็อาจถูกปฏิเสธ  “สินเชื่อรถเรียกเงิน” จึงออกแบบมาเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่มี “รถ” สามารถนำมาใช้ “เรียกเงิน” สร้างสภาพคล่องได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น สำหรับพนักงานเงินเดือน ความคล่องตัวทางการเงินช่วยให้สามารถบริหารจัดการหนี้สิน หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด โดยไม่กระทบต่อแผนการเงินระยะยาว สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระและเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) เงินทุนหมุนเวียนคือกุญแจสำคัญในการขยายกิจการ เพิ่มสินค้า หรือบริหารกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับเกษตรกรยุคใหม่ เงินก้อนช่วยให้สามารถบริหารจัดการรายได้ที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาล รวมถึงใช้พัฒนาอุปกรณ์และขยายผลผลิตได้                 “‘สินเชื่อรถเรียกเงิน’ ต้องการเป็น ‘มือ’ ที่คอยสนับสนุนและส่งเสริมให้คนไทยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่พึ่งพาได้ โปร่งใสและปลอดภัย เราเชื่อว่าสินเชื่อในรูปแบบของการใช้รถยนต์เป็นหลักประกันด้วยเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นและให้วงเงินสูง จากสถาบันการเงินที่ได้รับการรับรองจากธนาคารแห่งประเทศไทยและอยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนาน จะช่วยให้ลูกค้าสบายใจได้ว่าเงื่อนไขของสินเชื่อเป็นไปตามมาตรฐานสากล ช่วยป้องกันปัญหาการพึ่งพาหนี้สินนอกระบบที่อาจก่อให้เกิดภาระหนักและยากต่อการบริหารจัดการในระยะยาว อยากให้คนไทยที่ต้องการเรียกเงินก้อน เรียกใช้ ‘สินเชื่อรถเรียกเงิน’” นายเตชินท์กล่าว จุดเด่นของ “สินเชื่อรถเรียกเงิน” วงเงินสูงสุดในตลาด – ให้สินเชื่อสูงสุดถึง 150% ของราคาประเมินรถยนต์ มั่นคงและน่าเชื่อถือ – ดำเนินงานโดยธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) สะดวกและรวดเร็ว – อนุมัติไว พร้อมบริการประเมินวงเงินและลงนามสัญญาถึงที่ทั่วประเทศ อัตราดอกเบี้ย - เริ่มต้น25% ต่อเดือน                 “สินเชื่อรถเรียกเงิน” ใช้สัญลักษณ์ “มือสีชมพู” ที่ดูเป็นมิตร เป็นตัวแทนของบริการที่จริงใจ สะดวก และพร้อมยื่นไปสนับสนุนลูกค้าในทุกๆ ที่ ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่า “สินเชื่อรถเรียกเงิน” โดย KKP AUTO ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร พร้อมอยู่เคียงข้างในทุกสถานการณ์ทางการเงิน และสนับสนุนให้คุณมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้นในอนาคต                 สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อธนาคารเกียรตินาคินภัทร ได้แล้ววันนี้ที่ www.รถเรียกเงิน.com หรือ สอบถามเพิ่มเติมโทร 02-495-4555

TFG ปักหมุดปี 68 รายได้โต 10-15% รับอานิสงค์ราคาหมู-ไก่พุ่ง

TFG ปักหมุดปี 68 รายได้โต 10-15% รับอานิสงค์ราคาหมู-ไก่พุ่ง

          หุ้นวิชั่น - บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) มั่นใจแนวโน้มผลงานปี 68 โตแกร่ง ปักหมุดรายได้เติบโต 10-15% สร้างนิวไฮต่อเนื่อง รับอานิสงส์ราคาสุกรเวียดนามพุ่ง-ราคาไก่เพิ่ม ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง พร้อมเดินหน้าขยายสาขาร้านค้าปลีก "ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต" เพิ่มเป็น 600 แห่ง บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสดอีก 0.225 บาท/หุ้น เตรียมรับทรัพย์วันที่ 24 เม.ย.นี้ นายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TFG) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2568 คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% จากปีที่ผ่านมา และเตรียมขยายสาขาร้านค้าปลีก "ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต" (Retail Shop) ให้มีจำนวนสาขา 600 แห่งในปี 2568 จากปีที่ผ่านมามีสาขาอยู่ที่ 401 แห่ง โดยรองรับความต้องการของผู้บริโภค และเพิ่มมาร์จิ้นให้ธุรกิจ สนับสนุนผลการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต “ปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้แนวโน้มผลงานในปี 2568 นิวไฮต่อเนื่อง มาจากราคาสุกรที่เพิ่มขึ้น จาก Supply ทั่วโลกที่ลดลง จากโรค ASF ยังคงระบาด รวมไปถึงต้นทุนที่ลดลงของกากถั่วเหลือง และข้าวโพดอาหารสัตว์ยังทรงตัว รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2567 (1 มกราคม-31 ธันวาคม 2567) มีรายได้รวม 66,081.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,539.95 ล้านบาท หรือ 16.87% จากปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 56,541.75 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และมีกำไรสุทธิ 3,143.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,956.31 ล้านบาท หรือ 486.93% จากปีที่ผ่านมาขาดทุนสุทธิ 812.50 ล้านบาท นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานปี 2567 (1 มกราคม-31 ธันวาคม 2567) ในอัตรา 0.225 บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 มีนาคม 2568 กำหนดจ่ายวันที่ 24 เมษายน 2568 โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.075 บาท/หุ้น รวมจ่ายปันผลทั้งปีอยู่ที่ 0.30 บาท/หุ้น ทั้งนี้ TFG ได้รับการคัดเลือกให้รับรางวัล Sustainability Disclosure Recognition 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 (สำหรับการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ประจำปี 2567)

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.65-33.90บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.65-33.90บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น  - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.65-33.90บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่องตามดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า โดยการขึ้น Tariffs ของสหรัฐฯ ทำให้จีนและแคนาดาประกาศขึ้น Tariffs ตอบโต้ ส่วนเม็กซิโกกล่าวว่าจะประกาศในวันอาทิตย์ นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอลง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจลดดอกเบี้ยมากขึ้น เงินยูโรแข็งค่าต่อหลังเยอรมนีประกาศเตรียมกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อใช้สำหรับกลาโหมและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จีนตั้งเป้า GDP growth ปีนี้ 5% และขาดดุลการคลังราว 4% ต่อ GDP  

GULF คว้ารางวัล  The Most Attractive Employer - Tech Industry

GULF คว้ารางวัล The Most Attractive Employer - Tech Industry

          บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF คว้ารางวัล ‘Future Trends Corporate Awards’ สาขา ‘The Most Attractive Employer - Tech Industry’ จากเวที Future Trends Award 2025 ตอกย้ำความสำเร็จในการปรับตัวจากบริษัทพลังงาน สู่ผู้นำธุรกิจดิจิทัลที่สามารถดึงดูดบุคลากรและคนรุ่นใหม่ในตลาดที่แข่งขันสูง รวมถึงรักษาคนที่มีความสามารถไว้กับองค์กรได้           นายสมิทธ์ พนมยงค์ Executive Officer GULF กล่าวว่า “กัลฟ์เริ่มต้นจากธุรกิจพลังงาน และขยายสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และล่าสุดคือธุรกิจดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร แต่ยังสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของบริษัทฯ ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล อีกหัวใจสำคัญที่หล่อหลอมให้เราประสบความสำเร็จคือค่านิยมที่เปรียบเสมือนดีเอ็นเอของคน GULF คือ ‘G-U-L-F’ ได้แก่ ‘Goal-Oriented’ มุ่งมั่นพัฒนาตนเอง กล้าที่จะก้าวข้ามทุกขีดจำกัด ‘Unity’ ร่วมแรงร่วมใจ ‘Learning’ ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และ ‘Flexibility’ พร้อมปรับตัวรับทุกความท้าทาย ค่านิยมองค์กรที่แข็งแกร่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GULF ปรับตัวจากบริษัทพลังงานมาสู่การเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมดิจิทัลได้อย่างราบรื่น และดึงดูดให้บุคลากรที่มีความสามารถอยากเข้ามาร่วมงาน รวมถึงรักษาบุคลากรเหล่านั้นไว้ได้ด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในเกณฑ์สำคัญของการพิจารณารางวัลนี้”           Future Trends Awards 2025 เป็นรางวัลระดับนานาชาติที่มุ่งยกย่ององค์กร ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมขับเคลื่อนเทรนด์ใหม่ และเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน พิจารณารางวัลโดยคณะกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขา จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Knowing the Future, Be the Winners of Tomorrow นำเสนอภาพรวมเทรนด์โลก ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและสังคมไทยในอนาคต โดยรางวัลจะมอบให้กับองค์กรที่โดดเด่นในการนำเทรนด์มาใช้อย่างสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและการเติบโตอย่างยั่งยืนของทุกภาคส่วนในสังคม [PR News]

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.90-34.30 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.90-34.30 บ./ดอลลาร์

            หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.90-34.30 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นพร้อมสกุลเงินภูมิภาค และเงินยูโรที่แข็งค่าเร็วจากความเชื่อมั่นนักลงทุนที่สูงขึ้นตามคาดการณ์ว่าจะมีการใช้จ่ายด้านยุทโธปกรณ์มากขึ้น ซึ่งจะดีต่อเศรษฐกิจ ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเพิ่มเติม หลังสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยตัวเลข ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐออกมาที่ 3 ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่ดัชนีราคาสูงขึ้น นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ลงนามขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเป็น 20% และเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในวันพรุ่งนี้ ทำให้ตลาดหุ้นปรับลดลง

AOTGA เผยโฉมใหม่ ‘AOTGA Premium Lounge’

AOTGA เผยโฉมใหม่ ‘AOTGA Premium Lounge’

          หุ้นวิชั่น - บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOTGA เผยโฉมห้องรับรองพิเศษใหม่ “AOTGA Premium Lounge” สำหรับผู้โดยสารอากาศยานส่วนบุคคล ณ  อาคารผู้โดยสารการบินทั่วไป (General Aviation Terminal)  ท่าอากาศยานดอนเมือง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The New Chapter of Journey” ชูไฮไลท์ด้วยการออกแบบสไตล์  Thai Contemporary ในโทนสีน้ำเงินทอง ผสานกลิ่นไอของความเป็นไทยที่นำสมัยบนพื้นที่กว่า 100 ตร.ม. มอบความสะดวกสบายและบริการที่เป็นเลิศในบรรยากาศผ่อนคลายก่อนและหลังการเดินทาง พร้อมเพลิดเพลินกับอาหารว่างทั้งคาวหวานที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน และบาร์เครื่องดื่มระดับพรีเมียม บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง  รองรับการขยายตัวของพันธมิตรทางธุรกิจที่ให้บริการอากาศยานส่วนบุคคล (private jet) แบบเช่าเหมาลำ และผู้โดยสารอากาศยานส่วนบุคคลระดับวีไอพี           นายสิริวัฒน์ โตวชิรกุล ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด (บพท.) หรือ AOTGA กล่าวว่า ตามที่ AOTGA ได้ประกาศปรับปรุงห้องรับรองพิเศษ AOTGA Premium Lounge ที่ให้บริการผู้โดยสารอากาศยานส่วนบุคคล ณ อาคารผู้โดยสารการบินทั่วไป (General Aviation) ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งได้ดำเนินการปรับปรุงทั้งภายในและภายนอกอาคารตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมานั้น ขณะนี้ พร้อมเปิดให้บริการในโฉมใหม่ ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2568 นี้เป็นต้นไป สะท้อนความมุ่งมั่นของ AOTGA ในการยกระดับประสบการณ์การเดินทางระดับพรีเมียมสู่อีกขั้น พร้อมมอบบริการภาคพื้นดินครบวงจรที่ได้มาตรฐานระดับสากลโดยทีมงานผู้ให้บริการที่มีความชำนาญในการให้บริการอากาศยานส่วนบุคคล           กิตติพจน์  เวณุนันนทน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่(สายงานเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ AOT     กล่าวว่า ปัจจุบันกระแสความนิยมของกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียม มีความต้องการใช้บริการห้องรับรองพิเศษผู้โดยสารอากาศยานส่วนบุคคล เพราะต้องการพื้นที่ส่วนตัว และการบริการที่สะดวกสบายก่อนการเดินทาง สะท้อนได้จากสถิติจำนวนอากาศยานส่วนบุคคลที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากโควิด-19  ซึ่งการที่ AOTGA ได้มีการปรับโฉม AOTGA Premium Lounge ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่ให้บริการผู้โดยสารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในกลุ่มผู้โดยสารที่มีกำลังซื้อสูงที่ต้องการประสบการณ์การเดินทางที่เหนือระดับได้มากยิ่งขึ้น           โดย AOTGA Premium Lounge โฉมใหม่นี้ สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 20 คน ในเวลาเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ห้องประชุมส่วนตัว ขนาด 6 ที่นั่ง, บริการ WiFi ฟรี, ห้องอาบน้ำ, ห้องน้ำ, ตู้ฝากสัมภาระ, รถรับ-ส่ง ขนาด 11 ที่นั่ง จากอาคารผู้โดยสารการบินทั่วไปสู่อากาศยานส่วนบุคคล รวมถึงพนักงานการโดยสารทีมพิเศษที่ผ่านการฝึกอบรมการดูแลผู้โดยสารกลุ่ม V.I.P พร้อมให้บริการอาหารแบบ Light meal, เครื่องดื่มจากพันธมิตรอย่าง บริษัท อิตาเลเซีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบไปด้วย น้ำแร่อัดแก๊สธรรมชาติแบรนด์ San Benedetto จากเทือกเขา Alpine, เมนูเครื่องดื่มพิเศษ AOTGA Signature Mocktail สูตรเฉพาะที่มีบริการที่ AOTGA Premium Lounge เท่านั้น และกาแฟ illy นอกจากนี้ ยังต่อยอดโปรเจกต์ AOTGA x good goods ด้วยการเสิร์ฟเมนู Snacks ขนมทานเล่นขบเคี้ยวขึ้นชื่อหมุนเวียนจากชุมชนทั่วประเทศที่ผลิตจากวัตถุดิบท้องถิ่นออร์แกนิก อาทิ  ขนมมันญี่ปุ่น 4 สี จากจังหวัดเชียงราย ขนมผลไม้อบแห้งหลากหลายรสชาติ จากจังหวัดลำพูน และขนมป๊อปคอร์น รสน้ำตาลโตนด จากจังหวัดสงขลา เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น กระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการดำเนินงานของบริษัท ฯ ที่มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนในทุกมิติภายใต้แนวคิด ESG

ASW คว้า Top5 โดดเด่นในโซเชียล จาก Thailand Social Award 2025

ASW คว้า Top5 โดดเด่นในโซเชียล จาก Thailand Social Award 2025

           ใครว่าแบรนด์อสังหาหาริมทรัพย์ต้องพูดถึงแต่บ้านหรือคอนโดมิเนียมเท่านั้น ล่าสุด บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) : AssetWise หรือ ASW นำโดยสุรัตน์ พงศ์พูลสุข รองประธานสายงานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด นำทีมแอสเซทไวส์ เข้าร่วมงาน Thailand Social Award ครั้งที่ 13 งานประกาศรางวัลโซเชียลระดับประเทศ ซึ่งจัดโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งของไทย หลังคว้ารางวัล Finalist “รางวัลแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย” (Best Brand Performance on Social Media) สาขาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 อันดับแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับประเทศ จากการสร้างสรรค์คอนเทนต์ในช่องทางโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงและโดนใจกลุ่มผู้บริโภค สะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ Lifestyle Marketing ที่ช่วยขยายฐานให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักของแอสเซทไวส์            นอกจากพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพแล้ว หลายปีที่ผ่านมา แอสเซทไวส์ได้ตอกย้ำการเป็น “บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์” มาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ Lifestyle Marketing เป็นกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนแบรนด์ในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการร่วมสร้างสรรค์แบรนด์ผ่านกิจกรรมที่เชื่อมกับไลฟ์สไตล์ของคนทุกเจนเนอเรชันใน 3 กลุ่มหลักคือ “การประกวด ดนตรี กีฬา” (Pageant, Music, Sport) ส่งผลให้ชื่อของแอสเซทไวส์เป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และมีชื่อเข้าชิงในงานประกาศรางวัลโซเชียลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศถึง 2 ปีซ้อน แม้เพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้เพียง 4 ปี            ยิ่งกว่านั้น การใช้ Lifestyle Marketing ยังช่วยถ่ายทอดบุคลิกของแบรนด์แอสเซทไวส์ที่เต็มไปด้วยความสนุก (Joyful) อารมณ์ดี (Feel good) และมีชีวิตชีวา (Energetic) พร้อมส่งต่อความสุขให้กับผู้คนตามแนวคิดของแบรนด์คือ “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” (We Build Happiness) ด้วย            หนึ่งในกิจกรรมที่สร้างปรากฏการณ์มากที่สุดคือ “การประกวด” เนื่องจากแอสเซทไวส์เป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์รายเดียวในไทยที่เป็นผู้สนับสนุนหลักเวที Miss Universe Thailand มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ในฐานะผู้มอบรางวัลคอนโดมิเนียมให้กับนางงามผู้ชนะเลิศ ทั้งยังสนับสนุนเวทีประกวดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น นางสาวไทย,  Mister International Thailand และ Mister Global Thailand แอสเซทไวส์จึงเป็นที่รู้จักในกลุ่มแฟนคลับนางงามทุกเพศทุกวัยทั่วประเทศ จนเป็นที่มาของแฮชแท็ก #คอนโดจักรวาล และ #คอนโดนางงาม            อีกด้านที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ “ดนตรี” ด้วยการเป็นผู้สนับสนุนหลักในรายการ PIANO&i และ PIANO&i Concerts ของศิลปินมากความสามารถอย่าง โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร โดยล่าสุดได้ดึง โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ และไบรท์ พิชญทัฬห์ มาร่วมเป็นแบรนด์พรีเซนเตอร์ในโอกาสครบรอบ 20 ปีแอสเซทไวส์ ไปจนถึงเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของอีเวนต์สุดไวรัลอย่าง SkyTrain Music Fest เทศกาลดนตรีแนวใหม่ให้แฟนคลับได้มาฟังดนตรีสดกันอย่างใกล้ชิดกับหลากศิลปินชื่อดังบนรถไฟฟ้าครั้งเเรกในเอเชีย และในอีกหลากหลายคอนเสิร์ต ทำให้แบรนด์แอสเซทไวส์เข้าถึงผู้คนได้หลากหลายเจนเนอเรชันมากยิ่งขึ้น ผ่านฐานแฟนคลับของศิลปิน โดยเฉพาะกลุ่มคน Gen Z            ขณะที่ด้าน “กีฬา” แอสเซทไวส์เดินหน้าภารกิจผลักดันเยาวชนไทยสู่การเป็นนักกีฬาฟุตบอลมืออาชีพ โดยร่วมกับสยามสปอร์ต เปิดโอกาสให้เยาวชนทั่วประเทศได้แสดงศักยภาพและพัฒนาทักษะฝีเท้า ด้วยการจัดการแข่งขัน AssetWise Siamkeela Cup มาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566-2567 และยังเข้าร่วมเป็นพันธมิตรสนับสนุนสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด (BG Pathum United) อย่างเป็นทางการครั้งแรกในฤดูกาล 2024/2025 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาฟุตบอลในระดับเยาวชนให้ก้าวสู่สากล  ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้ช่วยให้แอสเซทไวส์สามารถขยายขอบเขตการรับรู้แบรนด์ไปยังฐานแฟนบอลไทยที่มีอยู่ทุกเพศทุกวัย            กลยุทธ์ Lifestyle Marketing ไม่เพียงแค่ช่วยสร้าง Engagement และขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค สะท้อนความตั้งใจในการสร้างความสุขตามแนวคิด “We Build Happiness” ของแอสเซทไวส์ว่าไม่ได้จำกัดอยู่แค่การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างสรรค์และสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยให้คนทุกเจนเนอเรชันได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยความน่าประทับใจ และแอสเซทไวส์ยังคงจัดกิจกรรมส่งต่อความสุขเหล่านี้อย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อเติมเต็มความสุขในทุกด้านของชีวิตให้กับคนทุกเจนเนอเรชัน [PR News]

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.05-34.30 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 34.05-34.30 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.05-34.30 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าขึ้นต่อเนื่องหลังโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนเข้าพบโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และเกิดการถกเถียงกันอย่างรุนแรง ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ต่อมากลุ่มผู้นำยุโรปแสดงจุดยืนสนับสนุนยูเครนต่อต้านรัสเซีย เงินเฟ้อสหรัฐฯ (Overall PCE) ออกมาที่ 3%MOM และ 2.5%YOYเท่าตลาดคาด ส่วน Core PCE ออกมาที่ 0.3%MOM และ 2.6%YOY เท่าตลาดคาดเช่นกัน ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนออกมาที่ 2 สูงกว่าคาดที่ 49.9 และ ดัชนี PMI ภาคบริการออกมาที่ 50.4 เท่าตลาดคาด

ราคาทองเช้าวันนี้ +50 ทองรูปพรรณ ขายออก 47,250 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ +50 ทองรูปพรรณ ขายออก 47,250 บ.

               หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  03 มีนาคม 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 50 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 46,350.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,450.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 45,510.32 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 47,250.00 บาท

เทียบชัดหุ้นยางพาราเด่น STA - NER [HoonVision x FynnCorp]

เทียบชัดหุ้นยางพาราเด่น STA - NER [HoonVision x FynnCorp]

          หุ้นวิชั่น - มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยปี 67 เกิน 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรก ยางพาราเป็นสินค้าส่งออกที่ขยายตัวโดดเด่นในกลุ่ม ไทยครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ยางพาราโลก ผู้ประกอบการยางพาราได้รับผลบวกจากราคายางที่สูงขึ้น จากอุปสงค์ที่ฟื้นตัว ทำให้ผลการดำเนินงานปี 67 เติบโตจากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะ 2 ผู้เล่นจดทะเบียนในตลาด อย่าง STA และ NER มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเติบโตต่อเนื่อง มูลค่าการส่งออกไทยภาพรวมขยายตัว 5.4% YoY ในปี 2567 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (TPSO) รายงานมูลค่าการส่งออกของไทยขยายตัว 5.4% จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 300,529.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 10,548,759 ล้านบาท ซึ่งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร คิดเป็น 17.36% ของมูลค่าการส่งออกรวม ด้วยมูลค่า 52,185 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,835,800 ล้านบาท) ขยายตัว 6.0% จากปีก่อนหน้า ถือว่าเป็นครั้งแรกของไทยที่มูลค่าส่งออกสินค้าเหล่านี้เกินกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น 7.5% YoY ขยายตัวต่อเนื่อง 4 ปี ไทยส่งออกสินค้าเกษตรเป็นมูลค่า 28,827.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,014,588 ล้านบาท) ขยายตัวที่ 7.5% เทียบกับปีก่อน โดยสัดส่วนกว่า 88% ของมูลค่าการส่งออกมาจาก 5 สินค้าอันดับแรก ได้แก่ 1) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง (22.58%) 2) ข้าว (22.32%) 3) ยางพารา (17.32%) 4) ไก่ (14.96%) 5) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (10.87%) และตลาดส่งออกหลักของสินค้าเกษตร คือ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ตามลำดับ มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย (2567) ถึงขาดดุลแต่สินค้าส่งออกหลายกลุ่มยังเติบโต แม้ว่าภาพรวมในปี 2567 ไทยยังขาดดุลการค้าอยู่ที่ 6,280.4 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการส่งออกสินค้าในหลายกลุ่มก็ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร อย่างเช่นยางพารา ข้าว อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องแปรรูป เป็นต้น ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเติบโตแบบ Double digits ตามลำดับ ซึ่งสินค้ากลุ่มยางพารา ขยายตัวกว่า 48.5% YoY ในเดือนธันวาคม และ 36.8% YoY ในปี 2567 การขยายตัวของกลุ่มสินค้าส่งออกไทย (2567) ไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราแปรรูปหลักของโลก ครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ในปี 2567 สินค้ายางพารามีมูลค่าส่งออก 4,992.4 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มสินค้าเกษตร ซึ่งไทยนับว่าเป็น 1 ใน 4 ผู้ผลิตยางพาราหลักของโลกจากการมีผลผลิตยางพาราจำนวนมาก โดยไทยส่งออกยางแปรรูปขั้นกลางเป็นหลักประมาณ 65% ได้แก่ ยางแท่ง ยางผสม น้ำยางข้น ยางแผ่นรมควัน ตามลำดับ ที่เหลือเป็นยางแปรรูปขั้นปลาย อย่าง ยางล้อและถุงมือยางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม คู่แข่งประเทศอื่นอย่าง สาธารณรัฐโกตดิวัวร์ (Cote d’Ivoire) และเวียดนามมีข้อได้เปรียบกว่าไทยในแง่ปริมาณผลผลิตต่อไร่สูงกว่า ราคาขายต่ำกว่า รวมถึงมีตลาดส่งออกหลักในจีนและยุโรป ซึ่งมีสินค้าคู่แข่งอย่าง ยางแท่ง ยางผสม และน้ำยางข้น ขณะที่ไทยมีต้นทุนการผลิตสูง และการส่งออกสินค้ายางพารายังอยู่ขั้นกลางเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมี Value added ไม่เทียบเท่ายางแปรรูปขั้นปลาย เช่น ยางล้อ ถุงมือยางธรรมชาติ ปริมาณการส่งออกสินค้ายางของไทย (2566) ยางพาราส่งออก อย่างยางแท่งและยางแผ่นรมควัน จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยางล้อรถยนต์เป็นหลัก ส่วนน้ำยางข้น ถูกนำไปใช้ในการผลิตถุงมือยาง ยางยืด กาว ถุงยางอนามัย และอื่นๆ ดังนั้น หากไทยสามารถเพิ่มสินค้าส่วนยางแปรรูปขั้นปลาย ประกอบกับรักษาและสามารถเพิ่มฐานลูกค้าในกลุ่มยางแผ่นรมควันได้ ซึ่งไทยยังคงเป็นผู้ผลิตหลักอยู่ จะเป็นการเพิ่ม Value ให้กับอุตสาหกรรมยางพาราและสร้างมูลค่าให้กับสินค้าส่งออกได้มากยิ่งขึ้น หุ้นยางพารา: STA และ NER ในปี 2567 ที่ผ่านมา ราคายางพาราปรับตัวขึ้นมาก ด้วยราคาเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 174.3 เซนต์ต่อกิโลกรัม จากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัวอย่างเช่น จีน ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคหลัก ประกอบกับอุปทานที่ค่อนข้างขาดแคลน โดยราคายางเฉลี่ย ณ ตลาด SICOM (Singapore Commodity Exchange) ถึงช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ยังคงสูงกว่า 190 เซนต์ต่อกิโลกรัม สะท้อนความต้องการใช้ยางจากอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง จากราคายางที่ปรับตัวขึ้นดังกล่าว ส่งผลดีต่อผู้ประกอบธุรกิจยางพารา ซึ่งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาด ได้แก่ ศรีตรัง (STA) นอร์ทอีส (NER) ไทยอีสเทิร์น (TEGH) และ ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์ (TRUBB) โดย STA และ NER ถือเป็นผู้เล่นใหญ่ในกลุ่มหุ้นยางพารา ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 24,268.8 ล้านบาท และ 9,128.2 ล้านบาท ตามลำดับ (อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 27 ก.พ. 2568) โดย STA มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและฐานรายได้สูง สะท้อนการเป็นผู้มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ขณะที่ NER เน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่องแบบมีเสถียรภาพ ซึ่งมีความผันผวนน้อยกว่า STA ทั้งในแง่รายได้และกำไร Net Profit ในที่นี้ คือ กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัท ในด้านผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) และ ประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ (ROA) พบว่า NER โดดเด่นทั้งในเรื่อง การสร้างผลตอบแทนและการใช้สินทรัพย์น้อยกว่า ซึ่งหากวิเคราะห์ในโครงสร้างเงินทุนของบริษัทพบว่า NER มีสัดส่วนหนี้สินมากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น สะท้อนด้วยค่า D/E (Debt to Equity) ที่ 1.29 เท่าในปี 2567 ขณะที่ STA มีค่านี้ต่ำกว่าเล็กน้อยอยู่ที่ 1.2 เท่า ในปีเดียวกัน ด้านอัตราส่วนเงินปันผลตอบเเทน (Dividend yield) ของ NER โดดเด่นกว่า อยู่ที่ 7.36% ในปี 2567 ขณะที่ STA อยู่ที่ 5.52% ส่วนหนึ่งมาจากราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อหุ้น (P/E ratio) ของ STA ที่สูงถึง 70.56 เท่า สะท้อนการเป็นหุ้นที่เติบโตเร็ว จากผลการดำเนินงานและแผนขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการยางพาราที่เติบโตต่อเนื่อง ดังนั้น เมื่อพิจารณาแล้ว หุ้น STA อาจเหมาะกับนักลงทุนมองหาหุ้นที่มีการเติบโตที่สะท้อนผ่านค่า P/E ที่สูง ส่วนหุ้น NER จะเป็นหุ้นที่เน้นความมีเสถียรภาพทั้งในด้านผลการดำเนินงาน ราคา และผลตอบแทน เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่มั่นคง กลยุทธ์การเติบโตในปี 2568 ผู้เล่นในกลุ่มเน้นการเติบโตจากการขยายกำลังการผลิต เพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ส่งผลต่อต้นทุนที่ลดลง รวมถึงการขยายฐานลูกค้าใหม่ในตลาดต่างประเทศ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่างเช่น กลุ่ม STA ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตติดตั้งสู่ 3.74 ล้านตันต่อปีภายใน 2568 จากกำลังการผลิต 2.62 ล้านตันต่อปีในปี 2560 ส่วน NER ขยายฐานลูกค้าไปในเกาหลีและอินเดีย เพื่อตอบสนองกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงเน้นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น แผ่นปูกันกระแทกสำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วย ปัจจัยเสี่ยง อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยางพาราก็มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเผชิญ จากภาวะเศษฐกิจ สภาพภูมิอากาศ ความท้าทายจากเทรนด์ความยั่งยืน โดยเฉพาะจากกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการต้ดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EU Deforestation Regulation : EUDR) ซึ่งกำหนดให้สินค้ายางพาราหรือผลิตภัณฑ์จากยางพาราที่ส่งไปสหภาพยุโรป ต้องผ่านการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ว่าไม่ได้มาจากพื้นที่ที่มีการตัดไม้ทำลายป่า ส่งผลต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ แต่ไทยเองก็มีความพร้อมมากกว่าประเทศคู่แข่ง ซึ่งข้อกำหนด EUDR เลื่อนการบังคับใช้จากสิ้นปี 2567 มาเป็นสิ้นปี 2568 ดังนั้น จากที่ไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว ก็จะมีความพร้อมมากขึ้นสำหรับข้อกำหนดนี้ หมายเหตุ: การวิเคราะห์ข้างต้นเป็นการดูอัตราส่วนทางการเงินเบื้องต้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน รายละเอียดเพิ่มเติม ที่ https://app.visible.vc/shared-update/8901e23d-5940-4055-a7a5-e0cc315074dc

BEM ร่วมกับ กทพ. ทดลองเปิดใช้ช่อง Easy Pass จำนวน 4 ด่านของทางพิเศษศรีรัช

BEM ร่วมกับ กทพ. ทดลองเปิดใช้ช่อง Easy Pass จำนวน 4 ด่านของทางพิเศษศรีรัช

          บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ร่วมกับ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ กทพ. ทดลองเปิดใช้ช่อง Easy Pass  ในบางช่วงเวลา จำนวน 4 ด่าน ของทางพิเศษศรีรัช ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. – 30 มิ.ย. 68  เพื่อมอบความสะดวก รวดเร็วในการเดินทางของผู้ใช้บริการ โดยมีรายละเอียดดังนี้ ด่านคลองประปา 1 ทดลองเปิดใช้ Easy Pass ช่องที่ 2 ตั้งแต่เวลา 00 – 15.00 น. ด่านย่านพหลโยธิน ทดลองเปิดใช้ Easy Pass ช่องที่ 2 ตั้งแต่เวลา 00 – 06.00 น. ด่านประชาชื่น 1 ทดลองเปิดใช้ Easy Pass ช่องที่ 2 ตั้งแต่เวลา 00 – 14.00 น. ด่านประชาชื่น 2 ทดลองเปิดใช้ Easy Pass ช่องที่ 23 ตั้งแต่เวลา 00 – 06.00 น.           ผู้ใช้บริการทางพิเศษสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร. 02 664 6400 ศูนย์ควบคุมทางพิเศษ หรือ EXAT Call Center โทร.1543 หรือติดตามทางช่องทาง Facebook (เฟซบุ๊ก) และ X (เอ็กซ์) BEM Bangkok Expressway and Metro

“มะม่วงไทย” ดาวรุ่งผลไม้ส่งออก เกาหลีใต้ก้าวขึ้นอันดับที่ 1 ตลาดส่งออกของไทย

“มะม่วงไทย” ดาวรุ่งผลไม้ส่งออก เกาหลีใต้ก้าวขึ้นอันดับที่ 1 ตลาดส่งออกของไทย

              หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่ามะม่วงเป็นหนึ่งในผลไม้ส่งออกสำคัญของไทย รองจากทุเรียน ลำไย และมังคุด ไทยเป็นผู้ส่งออกมะม่วงชั้นนำของโลก ด้วยจุดเด่นด้านรสชาติและสายพันธุ์หลากหลาย ทำให้มะม่วงไทยได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ               เกาหลีใต้ก้าวขึ้นอันดับที่ 1 ตลาดส่งออกมะม่วงสดของไทย จากอันดับที่ 2 รองจากมาเลเซีย ในปีก่อนหน้า โดยในปี 2567 ไทยส่งออกมะม่วงสดไปเกาหลีใต้ด้วยมูลค่า 2,931 ล้านบาท ขยายตัว 132.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจัยสำคัญมาจากมาตรการของรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ขยายปริมาณโควตานำเข้าผลไม้เขตร้อน และลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรชั่วคราว เพื่อลดค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคและลดปัญหาขาดแคลนสินค้าในประเทศ โดยปรับอัตราภาษีมะม่วงและมังคุดเหลือ 0% จากเดิม 30% และทุเรียนเหลือ 5% จากเดิม 45% ทำให้มะม่วงไทยได้เปรียบด้านราคาและขยายตลาดได้มากขึ้น สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคเกาหลีใต้ที่นิยมรับประทานผลไม้สดหลังอาหารหรือเป็นอาหารว่าง และกระแสข้าวเหนียวมะม่วง ในเกาหลีใต้ที่ได้รับความนิยมจากสื่อโซเชียลมีเดียและการส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารไทยให้เป็นที่รู้จัก ในต่างประเทศ               เห็นได้ว่าเกาหลีใต้มีแนวโน้มนำเข้าผลไม้จากไทยเพิ่มขึ้น เช่น มะม่วง อาโวคาโด และกล้วย สำหรับตลาดอื่น ๆ เช่น มาเลเซีย ยังคงเป็นตลาดสำคัญสำหรับมะม่วงสดจากไทย เนื่องจากความนิยมบริโภคผลไม้สดและนำไปทำเครื่องดื่มปั่น Mango Shake ขณะที่ญี่ปุ่นต้องการมะม่วงสดเพิ่มขึ้นตามกระแสรักสุขภาพ และการนำมะม่วงไปใช้ในอุตสาหกรรมขนมหวาน เป็นต้น                ผอ.สนค. กล่าวเพิ่มเติมว่า “มะม่วงไทยมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่สามารถทดแทนด้วยมะม่วงจากแหล่งอื่น การเติบโตของการส่งออกผลไม้สดของไทยเป็นผลจากการที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินมาตรการบริหารจัดการผลไม้มาอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเตรียมความพร้อมตั้งแต่ก่อนผลผลิตออกสู่ตลาด มีการส่งเสริมผ่านหลายโครงการสำคัญทั้งในและต่างประเทศ อาทิ จำหน่ายผลไม้ไปประเทศเพื่อนบ้านผ่านงานมหกรรมการค้าชายแดน นโยบายผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ โดยส่งเสริมเมนูผลไม้ไทยตามฤดูกาลผ่านร้านอาหารไทย   ซีเล็คท์ (Thai Select) ทั่วโลก การร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ โครงการจับคู่ธุรกิจสินค้าผลไม้ เพื่อขยายตลาดส่งออก รวมถึงการลดภาระค่าขนส่งของผู้ประกอบการ และกระจายสินค้าให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น”                แม้ว่าปัจจุบันเกาหลีใต้จะอนุญาตนำเข้าผลไม้จากไทยได้เพียง 6 ชนิด คือ มะม่วง มังคุด ทุเรียน กล้วย มะพร้าว และสับปะรด แต่ชาวเกาหลีใต้มีการรับรู้เกี่ยวกับรสชาติและคุณภาพของผลไม้ไทยเป็นอย่างดีผ่านสื่อโซเชียลและนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางมาไทย โดยเฉพาะมะม่วง มังคุด และทุเรียน ผลไม้ไทยได้รับการยอมรับจากชาวเกาหลีใต้ว่าเป็นสินค้าพรีเมียมคุณภาพสูง หากไทยสามารถรักษามาตรฐานคุณภาพ และความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์ได้ต่อเนื่อง ก็จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดได้มากขึ้น นอกจากนี้ ไทยอยู่ระหว่างการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement) กับเกาหลีใต้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการส่งออกมะม่วงและผลไม้ของไทยให้เติบโตได้เป็นอย่างดี                ปัจจุบัน มะม่วงไทยได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication) หรือ GI แล้ว 12 ชนิด ได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพิษณุโลก มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบางคล้า มะม่วงน้ำดอกไม้ คุ้งบางกระเจ้า มะม่วงน้ำดอกไม้สระแก้ว มะม่วงเบาสงขลา มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบ้านโหล๋น มะม่วง ยายกล่ำนนทบุรี มะม่วงน้ำดอกไม้สมุทรปราการ มะม่วงมันหนองแซงสระบุรี มะม่วงเขียวเสวยแปดริ้ว มะม่วงขายตึกแปดริ้ว และมะม่วงแรดแปดริ้ว หากไทยส่งเสริมและประชาสัมพันธ์มะม่วง GI ของไทย ให้เป็นที่รู้จัก ผ่านเมนูอาหารและการท่องเที่ยวที่ไทยมีศักยภาพอยู่แล้ว ก็จะเพิ่มโอกาสในการขยายตลาด เนื่องจากเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในด้านคุณภาพ อีกทั้งสร้างจุดเด่นที่แตกต่างของสินค้า และยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโต               สำหรับในปี 2567 การส่งออกผลไม้สดของไทย มีมูลค่า 183,823 ล้านบาท โดยไทยส่งออกมะม่วงสด (พิกัด 08045021) เป็นมูลค่า 4,716 ล้านบาท ขยายตัว 45.68% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดส่งออก 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) เกาหลีใต้ 2,931 ล้านบาท (สัดส่วน 62.2% ของมูลค่าการส่งออกมะม่วงสดของไทย ขยายตัว 132.7% จากปีก่อนหน้า) (2) มาเลเซีย 1,191 ล้านบาท (สัดส่วน 25.3% หดตัว 12.8%) (3) ญี่ปุ่น 139 ล้านบาท (สัดส่วน 3.0% ขยายตัว 32.8%) (4) เวียดนาม 131 ล้านบาท (สัดส่วน 2.8% หดตัว 15.7%) และ (5) สปป.ลาว 38 ล้านบาท (สัดส่วน 0.8% ขยายตัว 29.3%) ตามลำดับ

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.00-34.20 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.00-34.20 บ./ดอลลาร์

            หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.00-34.20 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าขึ้นจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าเร็ว หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในวันที่ 4 มีนาคม และจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 10% ในวันเดียวกัน จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 242,000 ราย ในสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ คลัง หารือสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และธปท. เร่งจัดทำแผน Master plan เพื่อดันให้เศรษฐกิจปีนี้โต 3-3.5% โดยเน้นที่ภาคท่องเที่ยวและการเกษตร

SCB นำร่อง ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผล 3 มี.ค.นี้

SCB นำร่อง ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผล 3 มี.ค.นี้

         หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% มาอยู่ที่ 2.00% ต่อปี เพื่อให้ภาวะการเงินลดความตึงตัว สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ กนง. ประเมินไว้และสามารถรองรับความไม่แน่นอนข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป          นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มเติบโตไม่สูงนักจากปัจจัยท้าทายภายนอกและความเปราะบางภายในประเทศ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้จะมีส่วนช่วยลดต้นทุนทางการเงิน สนับสนุนการใช้จ่ายและการลงทุนให้เกิดสภาพคล่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยจะช่วยบรรเทาความตึงตัวของภาวะการเงินในปัจจุบัน และช่วยให้ภาคธุรกิจและประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ต้องเผชิญกับปัญหาการแข่งขันและข้อจำกัดด้านสภาพคล่องของธุรกิจ รวมถึงลูกค้ารายย่อยที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และต้องรับภาระหนี้สูง          ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารไทยพาณิชย์จึงได้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR : Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.325% เป็น 7.075% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR : Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.175% เป็น 7.075% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR : Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.925% เป็น 6.825% ต่อปี ธนาคารพร้อมให้การสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมคำนึงถึงศักยภาพและโอกาสในการปรับตัวของลูกค้าในอนาคต สำหรับลูกค้าที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือหรือคำปรึกษาสามารถติดต่อธนาคารได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ SCB Call Center 02-777-7777

ตลท.หารือคลัง หนุนโครงการ Jump+ ขับเคลื่อนตลาดทุน-ศก.

ตลท.หารือคลัง หนุนโครงการ Jump+ ขับเคลื่อนตลาดทุน-ศก.

          หุ้นวิชั่น - นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ นำทีมผู้บริหาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เข้าพบ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หารือแนวทางเพิ่มความเข้มแข็งของบริษัทจดทะเบียนไทยผ่านโครงการ "Jump+" ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนตลาดทุนและเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานพันธมิตรจะสนับสนุนเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล การให้คำปรึกษา และเพิ่มการรับรู้เพื่อช่วยเพิ่มความน่าสนใจ           ทั้งนี้ โครงการ Jump+ เป็นหนึ่งใน flagship projects ตามแผนกลยุทธ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2568-2570 เพื่อสร้างการเติบโตและสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทจดทะเบียน และตลาดทุนไทย [PR News]

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอ่อนค่าหลัง กนง. มีมติลดดอกเบี้ย แต่กลับมาแข็งค่าขึ้นหลังไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่อ อย่างไรก็ดี SCB FM มองว่ามีโอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ สอดคล้องกับมุมมองของตลาด สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ผ่านแผนการจัดเก็บภาษีและการใช้จ่าย ซึ่งปูทางไปสู่การขยายเวลาการลดภาษีชั่วคราว ผ่านการตัดลดงบประมาณในโครงการสวัสดิการสังคม US Treasury yields ลดลงต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจที่ชะลออาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยได้

กนง.เซอร์ไพรส์ ลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 2.00% เหตุเศรษฐกิจไทย โตต่ำกว่าคาด

กนง.เซอร์ไพรส์ ลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 2.00% เหตุเศรษฐกิจไทย โตต่ำกว่าคาด

            หุ้นวิชั่น - นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.00 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 1 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย             เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก แม้ว่าเศรษฐกิจจะได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศและการท่องเที่ยว กรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปีในการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งรองรับความเสี่ยงด้านต่ำที่ชัดเจนขึ้น ขณะที่กรรมการ 1 ท่าน เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากให้น้ำหนักมากกว่ากับการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นในระยะข้างหน้า             เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากการระบายสินค้าคงคลังที่สูง แม้อุปสงค์ในประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าขยายตัวดี มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากภาคการผลิตที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้านำเข้าที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง ขณะที่ภาคบริการยังขยายตัวได้ ด้านอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวได้จากสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีและเกษตรแปรรูปเป็นหลัก ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามภาคการผลิตที่อาจถูกกดดันต่อเนื่อง โดยเฉพาะ SMEs ที่เผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย             อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้านอุปทานโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มลดลง รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ การแข่งขันด้านราคาที่สูงจากสินค้านำเข้า โดยอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับดังกล่าวไม่ได้มีสัญญาณนำไปสู่ภาวะเงินฝืดหรือภาวะที่เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง และยังมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพและต้นทุนของผู้ประกอบการ ด้านอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังทรงตัวในกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อมีความเสี่ยงด้านต่ำจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกและการอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศ             ภาวะการเงินยังตึงตัว แม้การขยายตัวและคุณภาพของสินเชื่อในภาพรวมเริ่มมีสัญญาณทรงตัวบ้าง แต่สินเชื่อ SMEs โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างยังหดตัวต่อเนื่อง ด้านการขยายตัวของสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ปรับลดลง ส่วนหนึ่งจากครัวเรือนที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และมีภาระหนี้สูง คณะกรรมการฯ เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ช่วยลดความตึงตัวของภาวะการเงินโดยไม่กระทบต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว แต่เห็นควรให้ติดตามแนวโน้มการขยายตัวและคุณภาพสินเชื่อของกลุ่มเปราะบาง รวมถึงนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. เคลื่อนไหวผันผวนจากความไม่แน่นอนของนโยบายประเทศเศรษฐกิจหลัก คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินโลกและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด             ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ประเมินในครั้งนี้ และสามารถรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม โดยเห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจที่ปรับลดลงเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างซึ่งจำเป็นต้องใช้นโยบายเพิ่มขีดความสามารถของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในการยกระดับศักยภาพอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการแนวโน้มเศรษฐกิจการเงินอย่างใกล้ชิด

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.65-33.90 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.65-33.90 บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.65-33.90 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าเร็วและแรงกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค โดยพบว่ามีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ก่อน และตลาดเงินให้โอกาสการลดดอกเบี้ยของ กนง. วันนี้สูงขึ้น แม้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่และ SCB FM ยังมองว่าจะคงดอกเบี้ย ส่งออกไทยมกราคมเร่งตัวขึ้น 6%YOY สูงกว่าตลาดคาด ผลจากการส่งออกทองคำ วัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น และการเร่งส่งออกก่อนมี Tariffs สหรัฐฯ เตรียมเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการควบคุมเซมิคอนดักเตอร์

ตลท. เปิดรับความคิดเห็น ทวนเกณฑ์ Free Float ถึง 18 มี.ค. นี้

ตลท. เปิดรับความคิดเห็น ทวนเกณฑ์ Free Float ถึง 18 มี.ค. นี้

          ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) มีแผนปรับปรุงเกณฑ์ New Listing เพื่อดึงดูดบริษัทขนาดใหญ่ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีแนวคิดที่จะทบทวนเกณฑ์ Free Float สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่จะเข้าจดทะเบียนเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในการเข้าจดทะเบียน เพิ่มความชัดเจน และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ           ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องการสร้างโอกาสการเติบโต และผลักดันให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นศูนย์กลางการระดมทุน (Listing Hub) ของธุรกิจที่มีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศ           ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเปิดรับฟังความคิดเห็น เรื่อง การปรับปรุงเกณฑ์ Free Float สำหรับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนใน SET และ mai  ดังนี้ ปรับปรุงเกณฑ์ Free Float สำหรับบริษัทที่มีทุนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทที่จะเข้าจดทะเบียน ดังนี้ ปรับปรุงสัดส่วน Free Float จาก 20% เป็น 17% ของทุนชำระแล้ว ยกเลิกการใช้ดุลยพินิจในการผ่อนผันระยะเวลาการกระจาย Free Float เพิ่มหลักเกณฑ์กรณีบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนใน SET และ mai มีการดำเนินการใด ๆ ที่จะส่งผลให้สัดส่วน Free Float ลดลงต่ำกว่าคุณสมบัติตามเกณฑ์รับหลักทรัพย์ ในทันทีตั้งแต่หุ้นเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะถือว่าบริษัทดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติเรื่อง Free Float ตามเกณฑ์รับหลักทรัพย์ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทเลี่ยงการปฏิบัติตามเกณฑ์รับหลักทรัพย์           ในส่วนของเกณฑ์ดำรงสถานะสำหรับบริษัทจดทะเบียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง คือ บริษัทต้องมีผู้ถือหุ้นรายย่อยขั้นต่ำ 150 ราย และถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่า 15% ของทุนชำระแล้ว           การเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นพร้อมรายละเอียดบนเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ https://www.set.or.th/th/rules-regulations/market-consultation หัวข้อ “การทบทวนเกณฑ์ Free Float สำหรับการรับบริษัทขนาดใหญ่เข้าจดทะเบียนใน SET และ mai” สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่ https://forms.gle/6gre4xMu4qE9cgZx5 จนถึง 18 มีนาคม 2568

ส่งออกไทยขยายตัว 7 เดือนต่อเนื่อง เดือน ม.ค. ขยายตัว 13.6%

ส่งออกไทยขยายตัว 7 เดือนต่อเนื่อง เดือน ม.ค. ขยายตัว 13.6%

          หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ แถลง การส่งออกของไทยในเดือนมกราคม 2568 มีมูลค่า 25,277.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (862,367 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ร้อยละ 13.6 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ร้อยละ 11.4           โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวกลับสู่กรอบเป้าหมาย และ การขยายตัวของกิจกรรมภาคการผลิต ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.3 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาคการผลิตและผู้บริโภค นอกจากนี้ การส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ และจีนขยายตัวในระดับสูง ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าทุนและวัตถุดิบของไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อการค้าโลก มูลค่าการค้ารวม           มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนมกราคม 2568 การส่งออก มีมูลค่า 25,277.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 13.6 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 27,157.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 7.9 ดุลการค้า ขาดดุล 1,880.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ           มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนมกราคม 2568 การส่งออก มีมูลค่า 862,367 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 11.8 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 938,112 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.3 ดุลการค้า ขาดดุล 75,746 ล้านบาท การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร           มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 0.1 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน โดยสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.0 ในขณะที่สินค้าเกษตร หดตัวร้อยละ 2.2 โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 45.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 15 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ มาเลเซีย และเกาหลีใต้) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 12.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 11.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อียิปต์ และซาอุดีอาระเบีย) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 13.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 16 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย เยอรมนี เวียดนาม และไต้หวัน) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 19.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ เมียนมา ออสเตรเลีย และลาว) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 13.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 16 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี รัสเซีย และมาเลเซีย)           ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว หดตัวร้อยละ 32.4 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดแคนาดา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เยเมน และจีน แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อิรัก แอฟริกาใต้ เซเนกัล และญี่ปุ่น) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง หดตัวร้อยละ 11.0 กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่ขยายตัวในตลาดเวียดนาม ฮ่องกง อินโดนีเซีย เมียนมา และอินเดีย) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 7.9 กลับมา หดตัวหลังจากขยายตัวในเดือนก่อนหน้า (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และเนเธอร์แลนด์) เครื่องดื่ม หดตัวร้อยละ 16.0 กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน (หดตัวในตลาดกัมพูชา เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย และจีน แต่ขยายตัวในตลาดลาว ฮ่องกง ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์) ผักกระป๋อง และแปรรูป หดตัวร้อยละ 13.3 กลับมาหดตัวในรอบ 4 เดือน (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และไต้หวัน แต่ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ลาว ฮ่องกง และเมียนมา) การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม           มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 17.0 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 45.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 148.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย สหรัฐฯ อิตาลี กาตาร์ และสหราชอาณาจักร) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ 19.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และอินเดีย) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 28.1 ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย และเบลเยียม)  เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 33.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย อิตาลี และตุรกี)           ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 16.5 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อาร์เจนตินา และบราซิล) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ หดตัวร้อยละ 18.6 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวในตลาดอินเดีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา เกาหลีใต้ และเวียดนาม) เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 16.8 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เมียนมา จีน และฮ่องกง แต่ขยายตัวในตลาดสิงคโปร์ เม็กซิโก ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเช็ก และไอร์แลนด์) เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว หดตัวร้อยละ 18.3 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ จีน มาเลเซีย และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวในตลาดเมียนมา กัมพูชา เวียดนาม ฮ่องกง และสหรัฐฯ) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด หดตัวร้อยละ 38.2 หดตัวต่อเนื่อง 11 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง จีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เม็กซิโก และสหราชอาณาจักร) ตลาดส่งออกสำคัญ           การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิตโลก ประกอบกับตามความต้องการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้น ท่ามกลางความกังวลต่อความเสี่ยงของนโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ และจีน ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 11.2 โดยขยายตัวทุกตลาด ได้แก่ สหรัฐฯ ร้อยละ 22.4 จีน ร้อยละ 13.2 ญี่ปุ่น ร้อยละ 1.9 สหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 13.8 อาเซียน (5) ร้อยละ 4.8 และ CLMV ร้อยละ 5.2 (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 10.3 โดยขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 111.5 แอฟริกา ร้อยละ 13.9 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 21.6 และสหราชอาณาจักร ร้อยละ 9.8 แต่หดตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 26.9 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 2.1 และรัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 5.7 (3) ตลาดอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 472.8           ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 22.4 (ขยายตัวต่อเนื่อง 16 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์           ตลาดจีน ขยายตัวร้อยละ 13.2 (ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง แผงวงจรไฟฟ้า และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้           ตลาดญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ 1.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ยางพารา และไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว แผงวงจรไฟฟ้า และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ           ตลาดสหภาพยุโรป(27) ขยายตัวร้อยละ 13.8 (ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ           ตลาดอาเซียน (5) ขยายตัวร้อยละ 4.8 (กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ อากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำตาลทราย           ตลาด CLMV ขยายตัวร้อยละ 5.2 (ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องดื่ม และทองแดงและของทำด้วยทองแดง           ตลาดเอเชียใต้ ขยายตัวร้อยละ 111.5 (ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ทองแดงและของทำด้วยทองแดง เคมีภัณฑ์ และกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ           ตลาดทวีปออสเตรเลีย หดตัวร้อยละ 26.9 (หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญ ที่ขยายตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์ยาง           ตลาดตะวันออกกลาง หดตัวร้อยละ 2.1 (ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา และข้าว สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้           ตลาดแอฟริกา ขยายตัวร้อยละ 13.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ข้าว เครื่องยนต์สันดาปภายใน และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป           ตลาดลาตินอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 21.6 (ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์พลาสติก           ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS กลับมาหดตัวร้อยละ 5.7 สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล และอัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าสำคัญ ที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ และอากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ           ตลาดสหราชอาณาจักร ขยายตัวร้อยละ 9.8 (ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ไก่แปรรูป เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป           แนวโน้มการส่งออกในปี 2568 กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 2-3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโตตามการขยายตัวของภาคการผลิต สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลางที่เริ่มคลี่คลาย ดัชนีราคาอาหารโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งสะท้อนความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการทดแทนสินค้านำเข้าจากจีน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ สถานการณ์การค้าโลกที่ยังคงตึงเครียด ความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตเงินเฟ้อรอบใหม่ในสหรัฐฯ ผลกระทบจากมาตรการจำกัดการส่งออกน้ำมันของรัสเซียที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงานและค่าระวางเรือ ตลอดจนผลกระทบจากมาตรการทางการค้าต่าง ๆ เช่น การปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลทางการค้า กระจายความเสี่ยงด้านตลาด และกำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์ที่ท้าทาย

ยูโอบี ประกาศกำไรปี 67 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายคืนทุนส่วนเกินผู้ถือหุ้น

ยูโอบี ประกาศกำไรปี 67 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายคืนทุนส่วนเกินผู้ถือหุ้น

           กรุงเทพฯ, 25 กุมภาพันธ์ 2568 – กลุ่มธนาคารยูโอบี รายงานผลกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.0 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 สำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการจึงได้เสนอจ่ายเงินปันผลที่ 92 เซนต์ต่อหุ้นสามัญ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่ 88 เซนต์ต่อหุ้นสามัญ เงินปันผลรวมสำหรับปี 2567 จะเป็น 1.80 เหรียญสิงคโปร์ต่อหุ้นสามัญ หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ประมาณร้อยละ 50            ภายใต้กลยุทธ์การกระจายทุนของธนาคาร คณะกรรมการจึงได้ประกาศแผนมูลค่า 3 พันล้านเหรียญสิงคโปร์เพื่อคืนทุนส่วนเกินในระยะเวลาสามปีข้างหน้า แผนดังกล่าวประกอบด้วยเงินปันผลพิเศษและการซื้อหุ้นคืน โดยในปี 2568 ธนาคารจะเสนอจ่ายเงินปันผลพิเศษ 50 เซนต์ต่อหุ้นสามัญ หรือคิดเป็นทุนส่วนเกินมูลค่า 800 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 90 ปีของธนาคาร นอกจากนี้ ธนาคารยังได้เปิดตัวโครงการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 2 พันล้านเหรียญสิงคโปร์            ในปี 2567 กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารยูโอบีเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.0 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้จากการค้าและการลงทุนที่แข็งแกร่ง รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิยังคงทรงตัวที่ 9.7 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ โดยการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่งร้อยละ 5 ช่วยชดเชยผลกระทบจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยที่มีต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของธนาคาร รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 อยู่ที่ 2.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งที่เป็นตัวเลขสองหลัก ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่แข็งแกร่งขึ้น และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น คุณภาพสินทรัพย์ยังคงมั่นคง โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ที่ร้อยละ 1.5            ผลดำเนินการโดยรวมของกลุ่มลูกค้าองค์กรยังคงมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง โดยสินเชื่อเพื่อการค้าดีดตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปีก่อน ธุรกิจธุรกรรมทางการเงินของธนาคารเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้จากกลุ่มลูกค้าลูกค้าองค์กร นอกจากนี้ รายได้จากการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยคิดเป็นมากกว่าหนึ่งในสี่ของรายได้จากกลุ่มลูกค้าองค์กร            กลุ่มลูกค้ารายย่อยยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีในปี 2567 รายได้จากค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตยังคงแข็งแกร่งและเติบโตที่อัตราร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับการสนับสนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังคงเติบโตและแฟรนไชส์ในภูมิภาคที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น รายได้จากการบริหารจัดการความมั่งคั่งดีดตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ดีขึ้น กลุ่มธนาคารยูโอบียังคงเห็นการไหลเข้าของเงินใหม่สุทธิที่แข็งแกร่ง ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของลูกค้าผู้มีมูลค่าสินทรัพย์สูงเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 แสนล้านเหรียญสิงคโปร์ เติบโตขึ้นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ ในปี 2567 ธนาคารมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 850,000 ราย โดยประมาณครึ่งหนึ่งเป็นลูกค้าที่ได้มาผ่านช่องทางดิจิทัล ณ สิ้นปี 2567 ฐานลูกค้ารายย่อยของธนาคารทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนเกือบ 8.4 ล้านราย            กลุ่มธนาคารยูโอบียังคงเดินหน้าขับเคลื่อนวาระด้านความยั่งยืนในปี 2567 โดยในเดือนพฤศจิกายน 2567 ธนาคารได้ออกรายงานความคืบหน้าฉบับที่สองเกี่ยวกับคำมั่นในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และทุกภาคอุตสาหกรรมสำคัญมีความคืบหน้าอย่างดี โดยเฉพาะในภาคพลังงาน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 พอร์ตสินเชื่อด้านความยั่งยืนของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 อยู่ที่ 5.8 หมื่นล้านเหรียญสิงคโปร์ เรายังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้าของเราในเส้นทางสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สารจากกรรมการผู้จัดการใหญ่            นายวี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า "กลุ่มยูโอบีบรรลุผลกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากรายได้จากค่าธรรมเนียมที่แข็งแกร่ง รวมถึงรายได้จากการค้าและการลงทุนที่มั่นคง การลงทุนระยะยาวของเราในด้านแพลตฟอร์มและศักยภาพในภูมิภาคกำลังเริ่มเห็นผล และเราคาดว่ารายได้จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้            "แม้ว่าจะเห็นสัญญาณความไม่แน่นอนทั่วโลก แต่เรามั่นใจว่าภูมิภาคอาเซียนจะยังคงมีความยืดหยุ่น โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นและการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่แข็งแกร่ง ตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นของธนาคารในตลาดหลักต่างๆ ของภูมิภาคอาเซียน ฐานลูกค้าที่ขยายตัว และแพลตฟอร์มที่ได้รับการพัฒนา จะช่วยให้เราพร้อมที่จะคว้าโอกาสในภูมิภาคท่ามกลางการปรับโครงสร้างการค้าและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก            "ในปี 2567 เราได้เสร็จสิ้นการรวมกิจการของซิตี้กรุ๊ปในประเทศไทย หลังจากประสบความสำเร็จในการรวมกิจการในมาเลเซียและอินโดนีเซียในปี 2566 การรวมกิจการในเวียดนามกำลังดำเนินไปตามแผนและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีนี้ เราจะยังคงใช้ประโยชน์จากความร่วมมือกันในการขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์หลักของธนาคาร การบริหารจัดการต้นทุน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันเพื่อปรับปรุงการบริการให้กับลูกค้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น            "ปีนี้เป็นปีครบรอบ 90 ปีของธนาคารยูโอบี ซึ่งเราได้มาถึงจุดนี้ได้ด้วยการสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย คู่ค้า และลูกค้าของเรา เราจะยังคงดำเนินการตามแนวทางอย่างเคร่งครัดในการแสวงหาการเติบโตระยะยาวควบคู่กับความมั่นคง เพื่อให้เราสามารถสร้างคุณค่าให้กับทุกคนที่เราให้บริการ" ปี 2567 เปรียบเทียบกับปี 2566            กำไรสุทธิในปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 สู่ระดับ 6.0 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผลกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับการสนับสนุนจากรายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้จากการค้าและการลงทุนที่แข็งแกร่ง หากไม่รวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียว กำไรสุทธิหลักอยู่ที่ 6.2 พันล้านเหรียญสิงคโปร์            รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิยังคงทรงตัวที่ 9.7 พันล้านเหรียญดสิงคโปร์ โดยการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่งร้อยละ 5 ช่วยชดเชยผลกระทบจากการหดตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่เกิดจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย            รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิเติบโตขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 2.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตแบบตัวเลขสองหลักในค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งเนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่แข็งแกร่งขึ้นจากการขยายตัวของแฟรนไชส์ในภูมิภาค และค่าธรรมเนียมจากสินเชื่อที่สูงขึ้นเมื่อกิจกรรมการให้สินเชื่อและตลาดทุนเริ่มฟื้นตัว            รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 อยู่ที่ 2.2 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้จากการบริหารการเงินที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า ซึ่งมาจากการขายพันธบัตรรายย่อยที่เพิ่มขึ้นและความต้องการป้องกันความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง รวมถึงผลการดำเนินงานที่ดีจากกิจกรรมการค้าและการบริหารสภาพคล่อง            หากไม่รวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียว ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 อยู่ที่ 6.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เนื่องจากยูโอบียังคงลงทุนในการสร้างขีดความสามารถในภูมิภาค เงินกันสำรองรวมคงที่ที่ 926 ล้านเหรียญสิงคโปร์ โดยต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 27 จุด ไตรมาส 4 ปี 2567 เปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2567            กำไรสุทธิในไตรมาส 4 ลดลงร้อยละ 5 มาอยู่ที่ 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ ซึ่งกำไรสุทธิหากไม่รวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวก็ยังคงอยู่ที่ 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์เช่นกัน เนื่องจากค่าใช้จ่ายจากการรวมพอร์ตโฟลิโอของ                ซิตี้กรุ๊ปลดลง            รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิยังคงทรงตัวที่ระดับ 2.5 พันล้านเหรียญดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.00 จากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ลดลง แต่ได้รับการชดเชยจากสินเชื่อที่เติบโตขึ้นร้อยละ 1 รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิปรับตัวลดลงจากรายได้ระดับสูงในไตรมาสก่อน อยู่ที่ 567 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เนื่องจากการชะลอตัวตามฤดูกาลในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อและการบริหารจัดการความมั่งคั่ง รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยกลับสู่ภาวะปกติที่ 443 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หลังจากที่ในไตรมาส 3 ปี 2567 มีผลการดำเนินงานที่ได้รับอานิสงส์จากความผันผวนของตลาด            ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลักรวมลดลงร้อยละ 2 มาอยู่ที่ 1.6 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ร้อยละ 45.0 เงินกันสำรองรวมลดลงเหลือ 227 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการกลับรายการเงินสำรองทั่วไปที่เคยตั้งไว้ ต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 25 จุดในไตรมาสนี้ ไตรมาส 4 ปี 2567 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566            รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 โดยได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ร้อยละ 5 ขณะที่รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยคงที่อยู่ที่ 567 ล้านเหรียญสิงคโปร์ และ 443 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ตามลำดับ            ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลักเพิ่มขึ้นเนื่องจากการลงทุนในการเติบโตของแฟรนไชส์ โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้หลักอยู่ที่ร้อยละ 45.0 เงินกันสำรองรวมเพิ่มขึ้นเป็น 337 ล้านเหรียญสิงคโปร์ จากการตั้งสำรองแบบเฉพาะรายที่สูงขึ้น คุณภาพของสินทรัพย์            ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงมีเสถียรภาพ โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (non-performing assets coverage) ยังคงอยู่ในระดับที่เพียงพอที่ร้อยละ 91 หรือร้อยละ 194 หากนับรวมหลักประกัน เงินทุน ฐานะเงินทุน และสภาพคล่อง            ฐานะเงินทุนของกลุ่มธนาคารยูโอบียังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) ที่ร้อยละ 15.5 สำหรับไตรมาสนี้ สภาพคล่องของธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่ดี โดยอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (LCR) เฉลี่ยในทุกสกุลเงินอยู่ที่ร้อยละ 143 และอัตราส่วนการจัดหาเงินทุนสุทธิ (NSFR) อยู่ที่ร้อยละ 116 ซึ่งทั้งสองตัวเลขสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝาก (LDR) ยังคงแข็งแกร่งที่ร้อยละ 82.7

สถานการณ์ตลาดน้ำมันแนวโน้ม 24 - 28 ก.พ. 68

สถานการณ์ตลาดน้ำมันแนวโน้ม 24 - 28 ก.พ. 68

          หุ้นวิชั่น - สถานการณ์ตลาดน้ำมัน สัปดาห์วันที่ 17 - 21 ก.พ. 68 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 24 - 28 ก.พ. 68 ราคาน้ำมันดิบผันผวนจากแหล่งผลิตใน Kurdistan จะกลับมาดำเนินการอีกครั้ง ขณะที่ประธานาธิบดี Trump ประกาศจะเติมคลังสำรองน้ำมัน Reuters รายงานประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Donald Trump กดดันอิรักให้อนุญาตสูบถ่ายน้ำมันดิบจากเขตปกครองตนเอง Kurdistan ในอิรักไปยังท่าส่งออกที่ตุรกีผ่านท่อ Kirkuk-Ceyhan (ปริมาณสูบถ่าย 700,000 บาร์เรลต่อวัน) หลังหยุดดำเนินการกว่า 2 ปี จากปัญหาค่าผ่านท่อ มิฉะนั้นอาจถูกคว่ำบาตร ล่าสุดกระทรวงน้ำมันของอิรักบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาล Kurdistan ประธานาธิบดี Trump จะประกาศขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) สินค้าของกลุ่มประเทศ BRICS สูงถึง 150% หากกลุ่ม BRICS พยายามลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (De-dollarization) หลังจากที่เคยเตือนเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 68 นักวิจัยจาก Wuhan Institute of Virology ในจีนค้นพบไวรัส HKU5-CoV-2 ในค้างคาว ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับไวรัส SARS-CoV-2 ที่เคยทำให้เกิดการระบาดของ COVID-19 อนึ่ง การระบาดของ COVID-19 ทำให้อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกลดลงประมาณ 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน เม.ย. 63 ประธานาธิบดี Trump ประกาศจะเติมคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve หรือ SPR) ของสหรัฐฯ ให้เต็มโดยเร็วที่สุด เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป ทั้งนี้ EIA รายงานปริมาณ SPR สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 ก.พ. 68 อยู่ที่ 395 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็นสัดส่วน 55% ของความจุ

ก.ล.ต.ผนึกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมฯ ยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า

ก.ล.ต.ผนึกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมฯ ยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า

          หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) กำหนดมาตรการเพิ่มเติมในการจัดการปัญหาบัญชีม้า เพื่อยกระดับการป้องกันการหลอกลวงลงทุน รวมทั้งปราบปรามการฟอกเงินและอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568           การประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ในครั้งนี้ ก.ล.ต. และสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) พร้อมทั้งผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ผนึกกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสมาคมธนาคารไทย ร่วมกำหนดมาตรการและมาตรฐานการประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล (industry standard) เพิ่มเติม เพื่อจัดการปัญหากรณีเงินของผู้เสียหายถูกโอนย้ายออกผ่านช่องทางบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นบัญชีม้าจะถูกจำกัดการทำธุรกรรม บางลักษณะที่เสี่ยงต่อการฟอกเงิน           นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ประสานการทำงานร่วมกับ TDO และ ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางในการฟอกเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ เช่น การจัดทำแนวทางเฝ้าระวังและตรวจสอบบัญชีต้องสงสัย โดยการร่วมประชุมในวันนี้ นอกจากจะยกระดับ industry standard เพื่อจัดการบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว ยังกำหนดมาตรการสำหรับจัดการบัญชีม้าแต่ละประเภทกรอบเวลาเร่งรัดดำเนินการ รวมทั้งวางแนวทางแลกเปลี่ยนข้อมูลและวางแนวทางประสานงานระหว่างผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ภาคธนาคาร ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นไม่ให้เงินของผู้เสียหายถูกโอนย้ายออกผ่านช่องทางบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังมีมาตรการป้องกันการหลอกลงทุนตั้งแต่ต้นทาง เช่น การแจ้งเตือนและให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับกลโกงหลอกลงทุน และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปิดกั้นบัญชีโซเชียลมีเดียที่มีพฤติกรรมหลอกลงทุน           “อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. มีการตรวจสอบระบบงานทำความรู้จักลูกค้าของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านการติดตามทั้งในรูปของ on-site inspection และ off-site monitoring อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลดำเนินการตามหลักเกณฑ์ มาตรการ และ มาตรฐานการประกอบธุรกิจดังกล่าวด้วย” รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.40-33.65 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.40-33.65 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.40-33.65 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าวานนี้ตามเงินยูโรที่แข็งค่าหลังการเลือกตั้งในเยอรมนีออกมาตามที่ตลาดคาด ทั้งนี้ บาทกลับมาอ่อนค่าจากที่ทรัมป์จะจำกัดการลงทุนของจีนในภาคเทคโนโลยี พลังงาน และภาคส่วนยุทธ์ของสหรัฐฯ อีกทั้ง จะขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกตามที่บอกไว้ ผู้นำพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ที่ชนะการเลือกตั้งเยอรมนี เตรียมถกกับพรรคสังคมประชาธิปไตยแห่งเยอรมนี (SPD) เพื่อจัดตั้งรัฐบาล และผลักดันแผนงบประมาณด้านยุทโธปกรณ์ ธนาคารกลางเกาหลีลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps มาอยู่ที่ 2.75%

วัน เรียลเอสเตท ผนึก S ลุยคอนโดหรู “วัน ริเวอร์ พระราม 3”

วัน เรียลเอสเตท ผนึก S ลุยคอนโดหรู “วัน ริเวอร์ พระราม 3”

          มือทองวงการอสังหาฯ “นพรัตน์ เอื้อพิพัฒนากูล” ส่ง “วัน เรียลเอสเตท” จับมือร่วมทุน “สิงห์ เอสเตท” พัฒนาคอนโดหรู 33 ชั้นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา “วัน ริเวอร์ พระราม 3” มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้าน โชว์คอนเซ็ปต์ “ความสุขที่แตกต่าง…วิวแม่น้ำเจ้าพระยา” มอบความงดงามและความสงบแห่งพระราม 3 ผ่านวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและวิวสวนสาธารณะ 29 ไร่* พร้อมมอบความโปร่งสบายผ่านห้องขนาดโอ่อ่า เพดานสูงพิเศษ 3.4 เมตรทุกยูนิตแห่งเดียวในย่าน ที่จอดรถมากถึง 115% ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท คาดเปิดขายเป็นทางการ มี.ค.นี้           นายนพรัตน์ เอื้อพิพัฒนากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัน เรียลเอสเตท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า บริษัทได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนระดับสากล ภายใต้สัดส่วนการร่วมทุน 50 ต่อ 50 เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีวิวแม่น้ำเจ้าพระยา วัน ริเวอร์ พระราม 3 (One River Rama 3) มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท และตอกย้ำจุดยืนของบริษัทที่มุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ใส่ใจในทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิต สร้างประสบการณ์ที่แตกต่างของการอยู่อาศัยให้กับคนกรุงเทพฯ           “คอนโดมิเนียมวิวแม่น้ำ หรือ River View เป็นหนึ่งในประเภทคอนโดมิเนียมที่ผู้คนสนใจอย่างมาก แต่เสน่ห์ของโครงการคอนโดมิเนียมริมน้ำในแต่ละทำเลนั้น ก็มีความแตกต่างกัน วัน ริเวอร์ พระราม 3 แตกต่างจากที่อื่นที่ไม่ใช่แค่มอบวิวแม่น้ำ แต่โครงการของเราโอบล้อมด้วยสวนสาธารณะสีเขียวกว่า 29 ไร่ และมองเห็นสะพานคู่สองรัชกาลทอดตัวยาวคู่กันเหนือสายน้ำ ให้ผู้อยู่อาศัยได้ดื่มด่ำกับทั้งธรรมชาติและความสง่างาม เคียงข้างกันทุกวันในยามค่ำคืน ผ่านการออกแบบที่ให้ทั้งความเป็นส่วนตัว และความโปร่งสบาย เราอยากส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่แตกต่างนี้ไปสู่ผู้บริโภค และภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์สอดคล้องกันอย่างสิงห์ เอสเตท มาร่วมลงทุนด้วย” นายนพรัตน์ กล่าว           สำหรับ วัน ริเวอร์ พระราม 3 (One River Rama 3) เป็นโครงการคอนโดมิเนียม 33 ชั้น 1 อาคาร ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-0-54 ไร่ บนทำเลพระราม 3 ติดสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ประกอบด้วยยูนิตพักอาศัย 192 ยูนิต แบ่งเป็นแบบ 1-2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 71.5-113.0 ตร.ม. มาพร้อมกับเพดานสูง 3.4 เมตรทุกยูนิต มอบความโปร่งสบายเหมือนอยู่บ้าน จัดผังอาคารแบบ Single Corridor มองเห็นวิวแม่น้ำเดียวกัน มีที่จอดรถถึง 115% ของจำนวนยูนิตพักอาศัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ อาทิ Skyswim, Starlight Garden, Moonlit Bar, Massage Room, Onsen ปัจจุบัน โครงการได้รับอนุมัติรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว โดยเริ่มก่อสร้างแล้วตั้งแต่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือน มี.ค.นี้ โดยผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเบื้องต้นได้ที่ https://oneriverrama3.com/th/ หรือ https://www.facebook.com/onerivercondo           ทั้งนี้ นายนพรัตน์ เอื้อพิพัฒนากูล มีผลงานคร่ำหวอดในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่า 35 ปี โดยเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัทระดับท็อป 5 ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก่อนออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง ได้แก่ บริษัท วัน เรียลเอสเตท จำกัด ในปี 2554 เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน นายนพรัตน์ ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการขายและการตลาดให้แก่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ฯหลายราย           นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนระดับสากล กล่าวว่า ทีมงานวัน เรียลเอสเตท และนายนพรัตน์ ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจมาอย่างยาวนาน ตลอดจนใส่ใจทุกรายละเอียดของการพัฒนา ตั้งแต่การเลือกแปลงที่ดิน การออกแบบ Layout ห้อง การเลือกใช้วัสดุ ไปจนถึงการออกแบบประสบการณ์การอยู่อาศัย สิงห์ เอสเตท ในฐานะผู้นำการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี มีวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องตรงกันในการพัฒนาโครงการเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการอยู่อาศัย จึงมีความมั่นใจและตัดสินใจเข้าร่วมทุนในการพัฒนาโครงการวัน ริเวอร์ พระราม 3           “สิงห์ เอสเตท มั่นใจในการเข้าร่วมทุนโครงการนี้ด้วยเหตุผลหลายๆ ด้าน คือ 1.วิสัยทัศน์ที่สอดคล้องตรงกันในการส่งมอบโครงการลักชัวรีที่สร้างคุณค่าเพื่อผู้บริโภค 2.ประสบการณ์ที่แข็งแกร่งของผู้บริหารและทีมงานบริษัท วัน เรียลเอสเตท จำกัด 3.ศักยภาพของทำเลวิวแม่น้ำน้ำย่านพระราม 3 และ 4.การเป็นทำเลใหม่ที่สิงห์ เอสเตทมีความสนใจ เราในฐานะ Investment Partner จึงมั่นใจว่าโครงการวัน ริเวอร์ พระราม 3 จะได้รับการพัฒนาอย่างยอดเยี่ยม และได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค” นายณัฐวุฒิ กล่าว           สำหรับ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนระดับสากล ภายใต้วิสัยทัศน์ มุ่งมั่นสร้างคุณค่าและการเติบโตอย่างยั่งยืน (Entrusted and Value Enricher) ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจพักอาศัย (Residential) 2.กลุ่มธุรกิจโรงแรม (Hospitality) 3.กลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์ (Commercial) 4.กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน (Industrial estate & Infrastructure)           ขณะที่ บริษัท วัน เรียลเอสเตท จำกัด เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่แตกต่าง เข้าถึงชีวิตจริงของคนได้ง่าย ผ่านการใส่ใจทุกรายละเอียด ความงดงาม ความประณีต มีผลงานการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่สำคัญ อาทิ โครงการคอนโดมิเนียม มิติ ชีวา เกษตร สเตชั่น (Miti Chiva Kaset Station) โครงการคอนโดมิเนียม มิติ คอนโด ลาดพร้าว-วังหิน (Miti Condo Ladprao-Wanghin) มีพอร์ตฟอลิโอด้านการบริหารการขายและการตลาดโครงการอสังหาริมทรัพย์สะสม 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 39,000 ล้านบาท [PR News]

BINANCE TH ร่วมกับ GULF จับมือ  ม.ธรรมศาสตร์ ลงนาม MoU พัฒนา “บุคลากรสินทรัพย์ดิจิทัล”

BINANCE TH ร่วมกับ GULF จับมือ ม.ธรรมศาสตร์ ลงนาม MoU พัฒนา “บุคลากรสินทรัพย์ดิจิทัล”

              หุ้นวิชั่น - BINANCE TH by Gulf BINANCE ผู้นำแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาและเติมทักษะให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย               ข้อมูลจาก ก.ล.ต. เผยมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ณ เดือน มกราคม 2568 มีมูลค่ากว่า 9.95 หมื่นล้านบาท โดยมีบัญชีนักลงทุนมากกว่า 2.45 ล้านราย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังอยู่ในวงจำกัด สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยต้องการกําลังแรงงานด้านดิจิทัลมากกว่า 140,000 คน อาทิ วิศวกรซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพัฒนาเอไอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้พัฒนาโปรแกรมเซมิคอนดัคเตอร์ ไมโครชิป ออโตเมชั่น และนักการตลาดดิจิทัล               นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า               “กัลฟ์ให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่เพียงภาคการเงินเท่านั้น เรามองเห็นโอกาสในการประยุกต์ใช้บล็อกเชนในธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน และการทำธุรกรรมซื้อขายไฟฟ้า แต่การที่จะขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง เราจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่พร้อม ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ที่จะเข้าใจทั้งด้านพลังงานและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นอกจากนี้ การมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านคริปโตเคอร์เรนซี จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีบล็อกเชนในภูมิภาค และดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อีกด้วย"               นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า "การเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยกำลังขยายตัวขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2024 มูลค่าการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของเราเติบโตขึ้นกว่า 300% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ จากการยอมรับของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นเราจึงต้องเร่งพัฒนาบุคลากรด้านบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลให้ทันต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาหลักสูตร e-Learning และ Blended Learning ที่ครอบคลุมทั้งด้านทฤษฎีและการประยุกต์ใช้จริง โดยจะเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล การเงินดิจิทัล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักศึกษาไทยมีความรู้ทัดเทียมในระดับสากล และพร้อมเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัลของประเทศในอนาคตอันใกล้"               ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตที่มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 มธ.พร้อมปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเราตั้งเป้าผลิตบัณฑิตด้านนี้กว่า 8,000 คนต่อปี และความร่วมมือกับผู้นำทั้งในอุตสาหกรรมพลังงานและสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย ผ่านการผสมผสานองค์ความรู้จากในและนอกห้องเรียน รวมถึงประสบการณ์จริงจากภาคธุรกิจ ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด และนำมาต่อยอดได้ นอกจากนั้นนักศึกษาและบุคลากรไทยที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับประโยชน์มากมาย เช่น โอกาสในการฝึกงานกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โอกาสในการทำงานในตำแหน่งที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน และโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ"               Changpeng Zhao (CZ) อดีต CEO ของ Binance กล่าวว่า "เราเชื่อว่าการศึกษาเป็นรากฐานของนวัตกรรมและการเข้าถึงทางการเงิน ความร่วมมือของเรากับกัลฟ์และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษา 1,000 คนเกี่ยวกับบล็อกเชนและ คริปโตถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับคนรุ่นต่อไปของประเทศไทยด้วยความรู้และทักษะที่จำเป็นในการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศไทยมีระบบนิเวศบล็อกเชนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และการเสริมสร้างความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยี คริปโตให้กับเยาวชนจะช่วยขับเคลื่อนการยอมรับอย่างรับผิดชอบ การเป็นผู้ประกอบการ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ความคิดริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนกลุ่มผู้มีความสามารถในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างอุตสาหกรรม คริปโตระดับโลกด้วยการส่งเสริมชุมชนผู้นำ นักพัฒนา และนักประดิษฐ์ในอนาคตที่มีข้อมูลครบถ้วน เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือในความพยายามเชิงกลยุทธ์นี้และยังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้การศึกษาเกี่ยวกับบล็อกเชนเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของ Web3"               ความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่การลงนาม โดยทั้งสามองค์กรจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาและบุคลากรให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Digital Asset Hub แห่งอาเซียน ซึ่งคาดว่าภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท ภายในปี 2025

3 ปีสงครามรัสเซีย-ยูเครน! เศรษฐกิจโลกเสียหายหนัก โตชะลอเหลือ 3.2%

3 ปีสงครามรัสเซีย-ยูเครน! เศรษฐกิจโลกเสียหายหนัก โตชะลอเหลือ 3.2%

          หุ้นวิชั่น - นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึง สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ครบรอบ 3 ปีในวันที่ 24 ก.พ. นี้ ว่านับตั้งแต่ที่รัสเซียส่งกองกำลังเข้าไปปฏิบัติการทหารในยูเครนเมื่อ 24 ก.พ. 65 และเดินหน้าโจมตีจนสามารถยึดครองดินแดนของยูเครนมาได้มากกว่าหนึ่งในห้า ในขณะเดียวกัน ยูเครนก็ได้รับการสนับสนุนทางทหารจากชาติตะวันตกและพันธมิตร NATO อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งร่วมกันคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่รุนแรงต่อรัสเซีย เพื่อกดดันให้รัสเซียยุติการสู้รบ จนนำมาสู่วิกฤตการณ์ที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลกมาจนถึงขณะนี้ อย่างไรก็ตาม สงครามที่ดำเนินมาเป็นเวลานานถึง 3 ปี กำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ภายหลังการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้เร่งเดินหน้าเปิดทางเจรจาสันติภาพของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ท่ามกลางความหวังว่าความขัดแย้งที่มีแนวโน้มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้นจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศษฐกิจการค้าโลกในระยะข้างหน้า สงคราม 3 ปี สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกมหาศาล           ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีสาเหตุหลักจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจโลกและไทย เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับวิกฤตราคาพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนาน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการสู้รบในยูเครนและมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบกับห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร สินค้าโภคภัณฑ์ และความผันผวนของราคาพลังงานโลก ทำให้เศรษฐกิจโลกช่วงปี 2565-2567 เติบโตอย่างอ่อนแอ ที่ 3.6%  3.3% และ 3.2% ตามลำดับ ซึ่งชะลอลงอย่างมากจากระดับ 6.6% ในปี 2564 และยังต่ำกว่าการเติบโตในทศวรรษก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 (ปี 2543-2562) ที่เติบโตเฉลี่ย 3.8% เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวชะลอลงในปี 2566 ตามภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงการส่งออกที่กลับมาหดตัวในรอบ 3 ปี จากผลของการดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดของประเทศต่าง ๆ ที่สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโดยรวม สิ้นปีที่ 3 สู่ 3 ความคาดหวังการยุติสงครามภายในปีนี้           ความหวังแรก : การเจรจายุติสงคราม จุดเปลี่ยนสำคัญของสงครามในยูเครนเกิดขึ้นภายหลัง การกลับมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เมื่อปลายเดือน ม.ค. 68 ที่ได้ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเพื่อยุติสงครามในยูเครนโดยเร็วที่สุด ซึ่งนำไปสู่การหารือแบบพบหน้ากันอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ กับรัสเซียที่กรุงริยาดของซาอุดีอาระเบีย เมื่อ 18 ก.พ.  ที่ผ่านมา เกี่ยวกับแนวทางยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยทั้ง 2 ฝ่าย เห็นพ้องที่จะฟื้นฟูภารกิจการทูตระหว่างกัน และจะทำงานร่วมกันเพื่อการเจรจายุติสงครามในยูเครน รวมถึงการแต่งตั้งคณะทำงานระดับสูงเพื่อการเจรจาสันติภาพที่จะนำไปสู่การยุติสงครามในยูเครน ตลอดจนการเสริมสร้างความร่วมมือ ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการยุติสงครามในยูเครน แม้ว่ายูเครนและประเทศพันธมิตรในยุโรปไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมการหารือในครั้งนี้ แต่ก็เชื่อว่าการประชุมดังกล่าวจะเป็นการปูทางสู่การเจรจาสันติภาพโดยตรงระหว่างประธานาธิบดีรัสเซียกับยูเครนต่อไป           ความหวังที่สอง : หนุนฟื้นเศรษฐกิจโลก สัญญาณการใช้ความพยายามทางการทูตเพื่อยุติการสู้รบในยูเครนที่ยืดเยื้อมานานถึง 3 ปี ไม่เพียงส่งผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศคู่ขัดแย้งโดยตรงเท่านั้น แต่จะยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมด้วย โดย IMF ประเมินเมื่อปลายปี 2567 ว่า หากสงครามสิ้นสุดภายในปลายปี 2568 เศรษฐกิจของยูเครนอาจกลับมาเติบโตถึง 4% ซึ่งสูงกว่าที่ประเมินไว้ในเดือน ต.ค. 67 ที่ 2.5% หลังจากที่เผชิญความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างหนักจนทำให้เศรษฐกิจหดตัวถึง 28.8% ในปี 2565 ขณะที่ทางด้านของรัสเซียเมื่อยอมยุติสงคราม เชื่อว่าชาติตะวันตกจะทยอยผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ซึ่งจะทำให้รัสเซียกลับเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมากขึ้น โดยเฉพาะการกลับมาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรป ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตอาหารและพลังงาน ซึ่งที่ผ่านมารัสเซียได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการรับมือกับมาตรการคว่ำบาตรได้เป็นอย่างดี สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แม้จะหดตัว 1.3% ในปี 2565 แต่สามารถพลิกฟื้นกลับมาขยายตัวได้ถึง 3.6% ในปี 2566-2567           ความหวังที่สาม : ผลักดันเศรษฐกิจการค้าไทย ตลอดช่วงเวลาแห่งความท้าทายทางเศรษฐกิจของรัสเซียจากการถูกคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก กระทรวงพาณิชย์มีความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะสร้างความร่วมมือและรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้ากับรัสเซีย โดยแยกประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจออกจากความสัมพันธ์ทางการค้า แม้ว่าการส่งออกไปรัสเซียในปี 2565 จะลดลงจากปี 2564 ถึงกว่า 43.4% แต่ก็กลับมาขยายตัว 40.5% ในปี 2566 และขยายตัวต่อเนื่อง 7.9% ในปี 2567 ด้วยมูลค่า 885.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับการส่งออกในช่วงก่อนเกิดสงครามในยูเครน ขณะที่การส่งออกไปยูเครนที่แม้จะยังไม่ฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดสงครามแต่ก็เห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โดยการส่งออกไปยูเครนขยายตัวถึง 110.5% ในปี 2567 สถานการณ์สงครามและความตึงเครียดทางเศรษฐกิจของรัสเซียที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงหลังจากนี้ เชื่อว่าจะเป็นโอกาสในการผลักการค้าการลงทุนของไทยกับรัสเซียได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งจะเอื้อประโยชน์ต่อการเร่งรัดเจรจา FTA ไทย-ยูเรเซีย (EAEU) ที่จะช่วยเปิดประตูการค้าการลงทุนกับกลุ่มสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย ที่ประกอบด้วยรัสเซีย เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และอาร์เมเนีย ซึ่งล้วนเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ของไทย           นายพูนพงษ์ฯ กล่าวปิดท้ายว่า ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตทางภูมิรัฐศาสตร์หรือสงครามในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็นสงครามที่ใช้อาวุธสู้รบหรือสงครามที่ไม่มีการใช้อาวุธอย่างสงครามการค้า กระทรวงพาณิชย์มีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด พร้อมทั้งประสานงานกับภาคเอกชนและร่วมมือกันวางแนวทางการรับมือและแก้ไขปัญหา เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการค้าไทยในภาพรวม และในปีนี้กระทรวงพาณิชย์จะยังคงเดินหน้าผลักดันการค้าการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยความมั่นใจว่าจะทำให้การส่งออกไทยในปีนี้บรรลุได้ตามเป้าหมายหรือสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.40-33.65 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.40-33.65 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.40-33.65 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงหลังเลข PMI ออกมาที่ 50.4 ต่ำกว่าตลาดคาด เงินเฟ้อทั่วไปญี่ปุ่นเดือนมกราคมออกมาที่ 4.0%YOY ตามที่ตลาดคาด ด้านผู้ว่าฯ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวว่า พร้อมเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นหาก Yields ปรับสูงขึ้นเร็วผิดปกติ PMI ยุโรปออกมาที่ 50.2 ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ส่วนการเลือกตั้งในเยอรมนี พบว่านายฟรีดริช เมอซ์ ซึ่งเป็นพรรคผู้นำฝ่ายค้านเดิมมีคะแนนนำ ส่วนพรรครัฐบาลเดิมคะแนนอยู่อันดับ 3

ราคาทองเช้าวันนี้ -100 ทองรูปพรรณ ขายออก 47,350 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ -100 ทองรูปพรรณ ขายออก 47,350 บ.

         หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  20 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับลด 100 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 46,750.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,850.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 45,904.48 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 47,350.00 บาท

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.55-33.80 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.55-33.80 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.80 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบ ส่วนรายงานการประชุม FOMC เดือนมกราคม ชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) พร้อมคงดอกเบี้ยต่อ เพื่อให้มั่นใจว่าเงินเฟ้อจะกลับเข้าใกล้เป้าหมาย ขณะที่ตลาดแรงงานยังอยู่ใกล้ระดับจ้างงานเต็มที่ เงินเยนแข็งค่าขึ้นเทียบต่อดอลลาร์หลังบอร์ดธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ไม่มั่นใจว่าเงินเฟ้อจะยังอยู่สูงต่อไปได้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหา นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนว่าเป็นเผด็จการ และควรรีบตกลงดีลกับรัสเซียโดยเร็ว

‘พีระพันธุ์’ เร่งหาวิธีปรับลดค่าไฟ ยืนยันแนวทาง กกพ. ทำไม่ได้

‘พีระพันธุ์’ เร่งหาวิธีปรับลดค่าไฟ ยืนยันแนวทาง กกพ. ทำไม่ได้

          วันนี้ (19 ก.พ. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมกับเลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. และตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการลดค่าไฟ รวมทั้งกรณีที่ กกพ. เสนอให้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ทบทวนเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) และผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ซึ่งได้รับการต่อสัญญาและให้ได้รับการอุดหนุนส่วนต่างต้นทุน (Adder) รวมทั้งมาตรการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน(เอฟไอที) จากผู้ผลิตไฟฟ้า เพื่อจะให้ค่าไฟสามารถปรับลดลงได้อีก 17 สตางค์ โดยที่ประชุมเห็นว่าไม่สามารถทำได้ตามแนวทางที่ กกพ.เสนอ เนื่องจากเป็นเรื่องของข้อผูกพันทางสัญญาไม่ใช่เรื่องระเบียบ กกพ. ซึ่งเลขาธิการ กกพ. รับทราบและเข้าใจข้อกฎหมายแล้ว โดยจะนำไปแจ้งให้คณะกรรมการ กกพ. ทราบต่อไป           ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีข้อสรุปจากผู้แทนสำนักงานกฤษฎีกาว่า ข้อเสนอของ กกพ. เพื่อปรับลดค่าไฟในแนวทางนี้ไม่สามารถทำได้ และ รมว.พลังงาน ได้ขอให้ทาง กกพ. พิจารณาและทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อไม่ได้เกิดความสับสนในเรื่องดังกล่าว           นายพีระพันธุ์ยังเปิดเผยอีกว่า ขณะนี้ทางรัฐบาลกำลังพิจารณาหาแนวทางที่จะปรับลดค่าไฟงวดต่อไปอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะแนวทางการปรับปรุงระบบ Pool Gas ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน

1 เดือน กับ นโยบายทรัมป์ 2.0

1 เดือน กับ นโยบายทรัมป์ 2.0

          นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์การดำเนินนโยบายทรัมป์ 2.0 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างใกล้ชิด หลังจากกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง พร้อมให้คำมั่นว่าจะนำสหรัฐฯ “ก้าวเข้าสู่ยุคทอง” และสานต่อนโยบายที่ได้วางรากฐานไว้เมื่อ 8 ปีก่อน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า และความมั่นคง ภายใต้แนวคิด AMERICA FIRST หรือ อเมริกาต้องมาก่อน           ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้านโยบายและมาตรการตามที่ตนได้หาเสียงไว้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการด้านการค้าระหว่างประเทศ พลังงาน สิ่งแวดล้อม ตลอดจนมาตรการจัดระเบียบผู้อพยพ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยและโลก ผ่านการออกคำสั่งฝ่ายบริหาร หรือ Executive Order ฉบับสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ อาทิ การถอนตัวจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และหันมาส่งเสริมการขุดเจาะน้ำมัน การทำเหมือง และการพัฒนาก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ เพื่อช่วยลดราคาพลังงาน และบรรเทาภาวะเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี การถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าวเป็นที่จับตามองว่า อาจเป็นโอกาสให้จีนก้าวมาเป็นผู้นำ ในตลาดพลังงานสะอาด อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ และยานยนต์ไฟฟ้า การปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรอีก 10% กับสินค้านำเข้าทั่วไปจากจีน มีผลใช้บังคับ มาตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ขณะที่จีนได้ตอบโต้มาตรการภาษีดังกล่าวด้วยการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรอีก 15% กับสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ และอีก 10% กับสินค้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ทางการเกษตร และรถยนต์นั่งและรถบรรทุก รวมทั้งออกมาตรการควบคุมการส่งออก แร่หายาก (critical minerals) ที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสะอาด และ การป้องกันประเทศ การเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 25% กับสินค้านำเข้าทั่วไปจากแคนาดาและเม็กซิโก ยกเว้นสินค้ากลุ่มพลังงานของแคนาดาที่เก็บในอัตรา 10% ซึ่งแต่เดิมกำหนดให้มีผลใช้บังคับในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 แต่ต่อมาได้มีการเลื่อนวันบังคับใช้ออกไปเป็นวันที่ 4 มีนาคม 2568 โดยให้เหตุผลว่าสหรัฐฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมาย และการลักลอบนำเข้ายาเสพติด อย่างไรก็ตาม หากถึงเวลาที่คำสั่งมีผลใช้บังคับ แต่ทั้งสองประเทศไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างเพียงพอ สหรัฐฯ จะดำเนินมาตรการเก็บภาษีนำเข้าตามที่ได้ระบุไว้ การปรับขึ้นภาษีกับสินค้าเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม นำเข้าจากทุกประเทศ สู่อัตรา 25% มีผลใช้บังคับวันที่ 12 มีนาคม 2568 อาศัยอำนาจตามมาตรา 232 ของ The Trade Expansion Act 1962 เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมภายในประเทศ ถือว่า มีผลกระทบต่อคู่ค้าหลายประเทศ ซึ่งเดิมสหรัฐฯ เก็บภาษีกับสินค้านำเข้าดังกล่าวในอัตราที่ต่ำ โดยรวมไม่เกินอัตรา 10% แต่กำลังจะเพิ่มภาษีขึ้นไปกว่า 2 เท่าตัว ย่อมสร้างผลกระทบด้านต้นทุนของผู้ประกอบการ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้           สำหรับผลกระทบต่อไทย มาตรการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ซึ่งในปีที่ผ่านมามีการส่งออกสินค้าในรายการที่จะถูกใช้มาตรการทางภาษีประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐคิดเป็นสัดส่วน 16.8% ของมูลค่าส่งออกเหล็กฯ ไปยังสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม (รองจากจีน) ซึ่งในปีที่ผ่านมามีมูลค่าส่งออกสินค้าในรายการที่จะถูกใช้มาตรการทางภาษีประมาณเกือบ 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 72.8% ของมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถือว่าไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่าโดยเปรียบเทียบ เนื่องจากสหรัฐฯ มุ่งเป้าไปยังประเทศข้างเคียงในทวีปอเมริกา ซึ่งมีตลาดส่งออกสินค้าดังกล่าวกระจุกตัวอยู่ที่ตลาดสหรัฐฯ เกินกว่า 50% ของมูลค่าส่งออกสินค้านั้น ๆ           นอกเหนือจากมาตรการข้างต้น ยังมีมาตรการอื่น ๆ ที่ไทยต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเตรียมใช้ภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) คาดว่าอาจนำมาใช้ในช่วงเดือนเมษายน 2568 หลังจากที่หน่วยงานต่าง ๆ จะส่งผลการทบทวนและการตรวจสอบการดำเนินนโยบายการค้าของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการเตรียมผลักดันเสนอร่างกฎหมายการค้าต่างตอบแทนต่อสภาคองเกรสในอนาคต           ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้หน่วยงานต่าง ๆ ของสหรัฐฯ กำลังดำเนินการตามข้อสั่งการประธานาธิบดีภายใต้นโยบาย “AMERICA FIRST TRADE POLICY” ที่สั่งการให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทบทวนนโยบายเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน กับประเทศคู่ค้าทั่วโลกของสหรัฐฯ และให้รายงานผล ตลอดจนข้อเสนอแนะ และการดำเนินการที่เหมาะสมไปยังประธานาธิบดีภายในเดือนเมษายน 2568 โดยข้อสั่งการสามารถสรุปได้โดยง่าย มี 4 ข้อสั่งการที่สำคัญ คือ (1) ทบทวนและตรวจสอบการค้าของประเทศคู่ค้าทั่วโลก (2) ทบทวนความตกลงทางการค้าของสหรัฐอเมริกา (3) ทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน และ (4) ตรวจสอบประเด็นที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ           นายพูนพงษ์ฯ กล่าวปิดท้ายว่า การศึกษาและติดตามนโยบายของสหรัฐฯ รวมถึงการบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความสำคัญยิ่ง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด และติดตามนโยบายที่ส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านบวกและด้านลบ เพื่อให้สามารถปรับตัวและใช้โอกาสจากมาตรการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคธุรกิจไทยในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์โดยคณะผู้บริหารเยือนสหรัฐฯ เพื่อเร่งหารือกระชับความสัมพันธ์ทั้งกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของสหรัฐฯ ตลอดจนผลักดันความร่วมมือทางการค้า การลงทุน และเทคโนโลยีร่วมกัน สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์

กลุ่มอสังหาฯ บวกยกแผง เก็ง ธปท.ลดดอกเบี้ย-ลุ้นผ่อนเกณฑ์ LTV

กลุ่มอสังหาฯ บวกยกแผง เก็ง ธปท.ลดดอกเบี้ย-ลุ้นผ่อนเกณฑ์ LTV

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ช่วง 1 สัปดาห์ข้างหน้ามีโอกาสเด่น ภายใต้แรงหนุน มีโอกาสสูงขึ้นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุม 26 ก.พ.นี้ หลัง GDP ต่ำกว่าเป้า บวกกับการฟื้นตัวของสินเชื่อปลายปี 2567 สะดุด ธปท.รับพิจารณาผ่อนคลายมาตรการสินเชื่ออสังหาฯ LTV แม้ทีมกลยุทธ์ยังคาดหวังไม่มาก แต่จะเป็นแรงส่งจิตวิทยาบวกต่อกลุ่ม ราคาหุ้นอสังหาฯ อยู่ในธีมที่ตลาดให้น้ำหนักในปัจจุบัน คือ กลุ่มปันผลสูง ซึ่งหุ้นอสังหาฯ ใกล้ถึงช่วงประกาศงบปี พร้อมจ่ายเงินปันผล, Valuation ที่ Deep Value หรือ ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของบริษัท เชิงกลยุทธ์ แนะนำนักลงทุนเลือกเก็งกำไรหุ้นที่มีฐานธุรกิจมั่นคง 2-3 ปีข้างหน้า ที่ Deep Value เช่น - SIRI (Yield25F - 9.9% PER25F อยู่ที่ 5.3 เท่า อยู่ในระดับ AVG - 1.94 S.D., PBV25F อยู่ที่ 0.6 เท่า AVG - 0.58 S.D.) - AP (Yield 25F - 7.6% PER25F อยู่ที่ 4.8 เท่า อยู่ในระดับ AVG - 0.35 S.D., PBV25F อยู่ที่ 0.59 เท่า AVG - 1.2 S.D.)           ขณะที่ทางพื้นฐาน Upside ยังเปิดกว้าง SIRI ราคาเป้าหมาย 2.34 บาท, AP ราคาเป้าหมาย 10.4 บาท           เชิงเทคนิค วางกรอบเก็งกำไร SIRI แนวรับ (1.65/1.63) แนวต้าน (1.74/1.78) Stop Loss 1.6 และ AP แนวรับ (8.2/8.0) แนวต้าน (9.0/9.15) Stop Loss 7.75

“โกลเบล็ก” คัดหุ้นเด่นดัชนี MSCI Rebalance

“โกลเบล็ก” คัดหุ้นเด่นดัชนี MSCI Rebalance

           กรุงเทพฯ - บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยลง จากแรงกดดันของหุ้น DELTA หลังประกาศงบออกมาผิดคาด พร้อมติดตามการรายงานผลการดำเนินของบริษัทจดทะเบียนรายอื่นต่อ จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี 1,220-1,290 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นเข้า-ออก ดัชนี MSCI Rebalance นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย SET มีโอกาสปรับตัวลง จากแรงกดดันของหุ้น DELTA หลังประกาศงบออกมาต่ำกว่าตลาดคาด ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด ล่าสุด ตลท. สรุปมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์สะสมตามกลุ่ม นักลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-14 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่าสถาบันในประเทศขายสุทธิ 9,350.06 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 662.53 ล้านบาท นักลงทุน ต่างประเทศขายสุทธิ 9,947.33 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศ ซื้อสุทธิ 18,634.86 ล้านบาท จึงให้กรอบดัชนีระหว่าง 1,220-1,290 จุด            สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนที่จับตาในประเทศ อาทิ สัปดาห์ที่ 3 ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม, ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์, วันที่ 26 ก.พ. กำหนดประชุม กนง. ครั้งที่ 1/2568, วันที่ 28 ก.พ. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย, สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ, สศอ. แถลงดัชนีอุตสาหกรรม, สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค,  ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตา ได้แก่ วันนี้ 19 ก.พ. ญี่ปุ่น รายงานยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนม.ค. ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรเดือนธ.ค.,จีน รายงานดัชนีราคาบ้านเดือนม.ค., สหรัฐ รายงานตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนม.ค., เช้าวันที่ 20 ก.พ. เฟดเผยรายงานการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค., วันที่ 20 ก.พ. จีน รายงานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีและ 5 ปี, สหรัฐ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีการผลิตเดือนก.พ. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนม.ค.            ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ  เช่น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy-E receipt ได้แก่ CRC, COM7, ERW, CENTEL, MINT, M, AU, TNP, SIS, SYNEX, IP และ HL รวมทั้งหุ้นที่เข้า-ออก ดัชนี MSCI Rebalance โดย MSCI Global Standard : ไม่มีหุ้นเข้า แต่มีหุ้นออก ได้แก่  PTTGC, TOP ส่วน MSCI Global Small Cap : หุ้นเข้า ได้แก่ GPSC, PTTGC, SCGP, TOP และหุ้นออก ได้แก่ BSRC, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSG, PSH, SAPPE, STECON, THG, TIPH (ใช้ราคาปิด 28 ก.พ.)            ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาทองคำปรับตัวลงจากแรงขายทำกำไรเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในปี 68 อยู่ที่ 10%YTD ขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นให้ผลตอบแทนเพียง 4%YTD โดยทองคำยังได้แรงหนุนจากความกังวลสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ อีกทั้งได้ลงนามมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) คาดมีผลบังคบใช้เดือน เม.ย. อย่างไรก็ตามสหรัฐเผยตัวเลขเงินเฟ้อ CPI และ PPI ปรับตัวขึ้นสูงกว่าคาด ประกอบกับประธานเฟดส่งสัญญาณไม่เร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนเลื่อนคาดการณ์ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นเดือน ก.ย. จากเดิมคาดว่าจะปรับลดในเดือน ก.ค. เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้อย่างจำกัด มองกรอบทองคำสัปดาห์นี้ 2,880 – 2,950 $/Oz ทยอยขายทำกำไรที่แนวต้าน

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.55-33.80 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.55-33.80 บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.80 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แม้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหลังนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ หนุนให้ Fed คงดอกเบี้ยนโยบายต่อได้ ธนาคารกลางออสเตรเลียลดดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps มาอยู่ที่ 1% ตามที่ตลาดคาด และกังวลต่อความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางการค้าโลก นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และยา ในอัตรา 25% ภายในวันที่ 2 เมษายน แต่ไม่บอกว่าจะขึ้นครอบคลุมทุกประเทศหรือไม่

ราคาทองเช้าวันนี้ +350 ทองรูปพรรณ ขายออก 47,300 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ +350 ทองรูปพรรณ ขายออก 47,300 บ.

         หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  19 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 350 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 46,700.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,800.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 45,859.00 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 47,300.00 บาท

ธอส. จัดทำสินเชื่อ Solar Roof ปี 68 กู้สูงสุด 3 แสนบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.90% ต่อปี

ธอส. จัดทำสินเชื่อ Solar Roof ปี 68 กู้สูงสุด 3 แสนบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.90% ต่อปี

          ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดทำสินเชื่อ Solar Roof ปี 2568 สำหรับลูกค้าสวัสดิการที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระและต้องการกู้เพิ่มเพื่อซื้อ Solar Roof วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก เพียง 3.90 % ต่อปี ระยะเวลาการกู้สูงสุด 10 ปี กรณีกู้ 1 แสนบาท ผ่อนชำระเงินงวด 3 ปีแรกเริ่มต้นเพียงเดือนละ 1,100 บาท พิเศษ! ไม่ต้องจดทะเบียนจำนองเพิ่มที่สำนักงานที่ดิน โดยผู้ที่สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อได้แล้ว ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป           นายกมลภพ วีระพละ  กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” โดยตลอดระยะเวลากว่า 71 ปี ได้ทำให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง มาแล้วมากกว่า 4.6 ล้านครอบครัว พร้อมเดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับคนไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการส่งเสริมการมีอยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดทำ “สินเชื่อ Solar Roof ปี 2568” สำหรับลูกค้าสวัสดิการที่หน่วยงานทำข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้ที่อยู่อาศัยประเภทไม่มีเงินฝากกับธนาคาร ที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระและต้องการกู้เพิ่ม เพื่อซื้อ Solar Roof วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 – 3 เท่ากับ 3.90% ต่อปี และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR (อัตราดอกเบี้ย MRR  ธอส. ปัจจุบันเท่ากับ 6.545% ต่อปี) ระยะเวลาการกู้สูงสุด 10 ปี กรณีกู้ 1 แสนบาท ผ่อนชำระเงินงวด 3 ปีแรก เริ่มต้นเพียงเดือนละ 1,100 บาท เท่านั้น พิเศษ! ลูกค้าไม่ต้องจดทะเบียนจำนองเพิ่มที่สำนักงานที่ดิน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อได้แล้ว ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage  ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ  www.ghbank.co.th

รมว.คลัง นำทัพโรดโชว์ญี่ปุ่น ดึงลงทุนเซมิคอนดักเตอร์-ยานยนต์-เกษตรอัจฉริยะ

รมว.คลัง นำทัพโรดโชว์ญี่ปุ่น ดึงลงทุนเซมิคอนดักเตอร์-ยานยนต์-เกษตรอัจฉริยะ

          นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง นำคณะบีโอไอ เยือนประเทศญี่ปุ่น 19-21 ก.พ.นี้ จัดงานสัมมนาใหญ่ “Thailand - Japan Investment Forum” และพบปะนักลงทุนเป้าหมาย เพื่อหารือแผนขยายฐานผลิตในไทย ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ เกษตรและอาหาร พร้อมจับมือพันธมิตร เสริมความร่วมมือด้านพลังงานและอุตสาหกรรม            นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 19-21 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมการลงทุน จะนำคณะหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไทย เดินทางไปเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง โดยบีโอไอ ร่วมกับธนาคาร SMBC และพันธมิตรภาคธุรกิจญี่ปุ่น จัดสัมมนาใหญ่ “Thailand-Japan Investment Forum 2025” ณ โรงแรมอิมพีเรียล กรุงโตเกียว เพื่อนำเสนอศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยขณะนี้มีนักลงทุนและผู้บริหารบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นลงทะเบียนเข้าร่วมงานแล้วมากกว่า 300 ราย           ภายในงานสัมมนา รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการบีโอไอ จะนำเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล โอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย สิทธิประโยชน์และมาตรการสนับสนุนจากบีโอไอและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนญี่ปุ่น นอกจากนี้จะมีการเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากบริษัทญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในไทย อีกทั้งจะมีการร่วมออกบูธให้ข้อมูลโดยผู้แทนสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (Thai Trade Center) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นิคมอุตสาหกรรมของไทย (อมตะ WHA โรจนะ เอเซีย) ธนาคารกรุงเทพ องค์กรส่งเสริมการค้าและการลงทุนในต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) สมาคมความร่วมมือทางเทคนิคในต่างประเทศของญี่ปุ่น (AOTS) สมาคมความร่วมมือทางเศรษฐกิจญี่ปุ่น - ไทย (JTECS) และธนาคาร SMBC ในฐานะผู้ร่วมจัดงาน           นอกจากนี้ คณะรัฐบาลไทยจะพบกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นเป็นรายบริษัท ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ เกษตรและอาหาร เพื่อหารือแผนขยายการลงทุนในประเทศไทย อีกทั้งจะพบกับ นายมูโตะ โยจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (METI) เพื่อหารือความร่วมมือด้านการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ภายใต้กรอบความร่วมมือ Energy and Industry Dialogue (EID) รวมทั้งหน่วยงานสำคัญอื่น ๆ ของญี่ปุ่น เช่น Leading-Edge Semiconductor Technology Center (LSTC) สถาบันด้านเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของญี่ปุ่น และหน่วยงานด้านเทคโนโลยีการเกษตรอัจฉริยะและเทคโนโลยีพลังงาน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของไทยด้วย           “นักลงทุนญี่ปุ่น ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของไทย ทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยเป็นประเทศที่มีเงินลงทุนสะสมมากที่สุดในประเทศไทย การจัดโรดโชว์ครั้งนี้มีเป้าหมาย 2 ประการ ข้อแรกคือ การสร้างความมั่นใจในหมู่นักลงทุนญี่ปุ่น ทั้งที่มีฐานอยู่ในไทยแล้ว และที่กำลังตัดสินใจโยกย้ายฐานการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อเกิดความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยยังคงสนับสนุนและพร้อมเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่มั่นคงในอนาคต อีกประการหนึ่งคือ การนำเสนอโอกาสการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญ เช่น เซมิคอนดัคเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท (xEV) เกษตรอัจฉริยะ อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง พลังงานใหม่ รวมทั้งกลุ่ม SMEs และ Startup ของญี่ปุ่น ซึ่งมีศักยภาพที่จะออกไปลงทุนในต่างประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว           ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2563 – 2567) ญี่ปุ่นได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เป็นจำนวน 1,176 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักร และเคมีภัณฑ์

ธปท. เผย ธนาคารพาณิชย์ Q4/67 สินเชื่อหดตัว 0.4% NPL ลดลงเหลือ 2.78%

ธปท. เผย ธนาคารพาณิชย์ Q4/67 สินเชื่อหดตัว 0.4% NPL ลดลงเหลือ 2.78%

          ธนาคารแห่งประเทศไทย เผย ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง โดยสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 4 ปี 2567 หดตัวอยู่ที่ ร้อยละ 0.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่หดตัว ร้อยละ 2.0 โดยขยายตัวจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่           ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัวลดลงด้านสินเชื่ออุปโภคบริโภค หดตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและรายได้กลุ่มเปราะบางที่ฟื้นตัวช้า ทั้งนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อ NPL ไตรมาส 4 ปี 2567 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 552.1 พันล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมปรับลดลงอยู่ที่ร้อยละ 2.78โดยหลักมาจากสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการ บริหารจัดการคุณภาพหนี้และการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงลูกหนี้บางส่วนสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ทำให้ ปรับชั้นดีขึ้นมาอยู่ที่ Stage 2 ประกอบกับ มีการจัดชั้นเชิงคุณภาพของสินเชื่อธุรกิจ ส่งผลให้สินเชื่อ Stage 2 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 6.98 สำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน จากทั้ง • รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ซึ่งมาจากการวัดมูลค่าตราสารทางการเงินเป็นสำคัญ • รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ • ค่าใช้จ่ายสำรองลดลง จากการตั้งสำรองสูงในปีก่อน           อย่างไรก็ตาม ยังต้อง ติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ SMEs และครัวเรือนบางกลุ่มที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีภาระหนี้สูง รวมถึง ธุรกิจที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงตลอดจน ติดตามผลสำเร็จของการให้ความช่วยเหลือภายใต้โครงการ "คุณสู้ เราช่วย"โดย สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 3 ปี 2567 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลง           ขณะที่ ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ปรับลดลง ตามการหดตัวของสินเชื่อและตราสารหนี้ ด้าน ความสามารถในการทำกำไรโดยรวมลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะ ภาคการผลิต แม้ว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนจาก ภาคการท่องเที่ยว

ร่างพ.ร.บ. Entertainment Complex เผย คนไทยเข้ากาสิโน ต้องมีเงินฝากกว่า 50 ลบ.

ร่างพ.ร.บ. Entertainment Complex เผย คนไทยเข้ากาสิโน ต้องมีเงินฝากกว่า 50 ลบ.

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อยู่ระหว่างการเปิดรับความคิดเห็น ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) หลังผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาในวาระที่ 1 แล้ว โดยมีสาระสำคัญ ระบุเอาไว้ว่า           มาตรา 8 ในการดำเนินการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร ให้รัฐจัดให้หน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการในการตามแผนการพัฒนาเพื่อจัดตั้งสถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรโดยสอดคล้องกับการพัฒนา และป้องกันมิให้สถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบ วงจรเกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม และพัฒนาระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร จัดสรรงบประมาณ จัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมและจำเป็น รวมถึงการสนับสนุนด้านอื่น เพื่อให้การดำเนินการของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องบรรลุวัตถุประสงค์ของการพัฒนาพื้นที่และการกำกับดูแล มิให้สถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรส่งผลกระทบต่อประชาชนของประเทศ สร้างบรรยากาศที่ดีสำหรับการประกอบกิจการ โดยลดขั้นตอนในการประกอบธุรกิจให้มี ความสะดวกรวดเร็ว ส่งเสริมและสนับสนุนสถาบันการเงินไทยและต่างประเทศในการให้บริการทางการเงิน ในเขตพื้นที่เพื่อพัฒนาสถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรให้มีความสะดวก รวดเร็ว และมีข้อจำกัดเพียง เท่าที่จำเป็นเพื่อการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ           มาตรา 9 การพิจารณาประกาศกำหนดพื้นที่ตามมาตรา 7 ให้คณะกรรมการนโยบายสถาน บันเทิงครบวงจรแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่ ความเหมาะสม ทางด้านการเงิน ตลอดจนผลกระทบและแนวทางหรือมาตรการป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาผลกระทบดังกล่าว และความคุ้มค่าที่ประชาชนในพื้นที่และรัฐจะได้รับ โดยต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย ผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินข้างเคียง และหน่วยงานของรัฐที่ใช้ประโยชน์หรือดูแลที่ดินข้างเคียงหรือ ทางเข้าออกของที่ดินที่อาจได้รับผลกระทบจากการอนุญาตให้มีการตั้งสถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร และนำผลการรับฟังความคิดเห็นเสนอคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรนำไปประกอบการพิจารณาด้วย           *การรับฟังความคิดเห็นตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด           มาตรา 10 การดำเนินการเพื่อจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรภายในบริเวณพื้นที่ที่กำหนด ในพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 6 ที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน หรือชุมชนตามที่มีกฎหมายกำหนด ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการเป็น การเฉพาะเพื่อพิจารณาให้ความเห็นหรือความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ ๕ หรือกิจการนั้น โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานที่ถูกต้องและมี ข้อมูลครบถ้วน           มาตรา 11 การดำเนินการเพื่อจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรภายในบริเวณพื้นที่ที่กำหนด ในพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 6 ที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ให้คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจ...           ทั้งนี้ในมาตรา 18 ให้คณะกรรมการนโยบายมีหน้าที่และอำนาจ กำหนดสัดส่วนพื้นที่ของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจร ทั้งนี้ ต้องไม่เกิน 10% ของที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร ในกรณีที่กาสิโนตั้งอยู่ในอาคารใดให้นับจากพื้นที่อาคารนั้นทั้งหมด           มาตรา 46 ในการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ต้องกำหนดให้มีใบอนุญาต ตามจำนวนกิจการหรือธุรกิจในสถานบันเทิงตามที่ระบุไว้ในบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้อย่างน้อย 4 ประเภท ร่วมกับกาสิโน และให้ถือว่าผู้ได้รับใบอนุญาตในกิจการใดกิจการหนึ่ง เป็นผู้ได้รับอนุญาตในกิจการอื่นที่ประกอบ กันเป็นสถานบันเทิงครบวงจร โดยไม่ต้องยื่นคำขอมีใบอนุญาตเป็นรายกิจการใหม่อีก และให้ระบุการได้รับอนุญาต สำหรับกิจการที่ได้รับอนุญาตหรือใบอนุญาตอื่นให้ชัดแจ้งไว้ในใบอนุญาตทุกใบด้วย           มาตรา 48 การประกอบธุรกิจของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่ได้รับใบอนุญาตให้ ได้รับยกเว้นจากกฎหมายต่าง ๆ ดังนี้ กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว มาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 โดยให้มีจำนวนกรรมการที่ เป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทยได้ไม่เกินจำนวนที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด มาตรา 1105 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมีทุนจดทะเบียนชำระ แล้วเต็มจำนวน           มาตรา 52 ผู้รับใบอนุญาตจะเริ่มประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรได้ก็ต่อเมื่อได้รับ การอนุมัติ อนุญาต ใบอนุญาต ความเห็นชอบ การจดทะเบียน หรือการจดแจ้ง ครบถ้วนตามรูปแบบและแผนการ ประกอบการสถานบันเทิงครบวงจร           มาตรา 55 ผู้รับใบอนุญาตต้องประกอบสถานบันเทิงครบวงจรด้วยตนเอง โดยจะมอบการบริหารจัดการทั้งหมดหรือบางส่วน หรือยินยอมให้บุคคลอื่นเป็นผู้มีอำนาจประกอบธุรกิจแทนไม่ได้ เว้นแต่จะ ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการนโยบายก่อน           ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตโอนสิทธิตามใบอนุญาตให้บุคคลอื่นหรือนำหุ้นไปเป็นหลักประกันการ ชำระหนี้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบาย ตามจำนวนและ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด ทั้งนี้ ให้ถือว่าการจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นของบริษัท จำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเกินกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นทั้งหมดเป็นการโอนสิทธิตามวรรคนี้           ห้ามมิให้ผู้ถือหุ้นในบริษัทผู้รับใบอนุญาตจำหน่าย จ่าย โอนหุ้น หรือนำหุ้นไปเป็นหลักประกันการ ชำระหนี้ ทั้งนี้ ตามจำนวนและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด           ห้ามมิให้เปลี่ยนแปลงกรรมการ ผู้บริหาร หรือโครงสร้างองค์กร ของผู้รับใบอนุญาต เว้นแต่ได้รับ ความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบาย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด           ในกรณีที่บริษัทในกลุ่มของผู้รับใบอนุญาตเข้ามาบริหารจัดการสถานบันเทิงครบวงจร กรรมการ ของบริษัทในกลุ่มดังกล่าวจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามของกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้และ กฎหมายอื่นด้วย           กรณีที่ผู้รับใบอนุญาตฝ่าฝืนหรือไม่ดำเนินการตามความในมาตรานี้ ให้สำนักงานมีคำสั่ง ให้ผู้รับใบอนุญาตแก้ไขให้ถูกต้อง พร้อมทั้งกำหนดระยะเวลาให้ผู้รับใบอนุญาตแก้ไข หากพ้นกำหนดระยะเวลา ดังกล่าวแล้ว ผู้รับใบอนุญาตไม่ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องครบถ้วนหรือดำเนินการแต่ไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ระยะเวลาดังกล่าว ให้สำนักงานเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาต กำหนดค่าปรับบังคับ การ พักใช้ใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาต ตามความร้ายแรงของพฤติการณ์และตามความเหมาะสมแก่กรณี           มาตรา 56 ใบอนุญาตมีอายุ 30 ปีนับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาต โดยผู้รับใบอนุญาตจะต้อง ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมรายปีตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด แต่ต้องไม่เกินอัตราตาม บัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้           มาตรา 58 การเลิกประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ผู้รับใบอนุญาตต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการนโยบายก่อน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด           มาตรา 60 กาสิโนจะจัดให้มีขึ้นได้เฉพาะในสถานบันเทิงครบวงจรที่ได้รับอนุญาตให้มีกาสิโนเป็น การเฉพาะเท่านั้น ในกาสิโน ผู้รับใบอนุญาตจะจัดให้มีการพนันหรือขันต่อได้ตามบัญชีแนบท้ายกฎหมายว่าด้วยการ พนันซึ่งคณะกรรมการนโยบายกำหนด ซึ่งมิใช่สลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบ นอกจากการพนันหรือขันต่อตามวรรคสอง คณะกรรมการนโยบายอาจประกาศกำหนดการพนัน หรือขันต่อประเภทอื่นเพิ่มเติมอีกก็ได้           มาตรา 61 ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเข้าเล่นหรือเข้าพนันผ่านการเชื่อมต่อระบบ คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นใดกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อให้บุคคลภายนอกกาสิโนเข้าเล่นหรือ เข้าพนันได้           มาตรา 62 ห้ามมิให้บุคคลใดจัดให้มีการเข้าเล่นหรือเข้าพนันผ่านการเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นใดกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือถ่ายทอดการเล่นหรือการพนันขันต่อเพื่อให้ บุคคลภายนอกกาสิโนเข้าเล่นหรือเข้าพนันขันต่อได้           มาตรา 64 ห้ามมิให้บุคคลดังต่อไปนี้ เข้าไปในกาสิโน ผู้มีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ลงทะเบียนตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด ผู้ที่มีลักษณะของบุคคลต้องห้ามตามที่สำนักงานประกาศกำหนด ผู้ซึ่งสำนักงานสั่งห้ามเข้ากาสิโน           มาตรา 65 ผู้มีสัญชาติไทยซึ่งจะเข้าไปในกาสิโนต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้ ลงทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด มีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน ผ่านการตรวจสอบตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 64 สำหรับอัตราค่าธรรมเนียม การขอรับใบอนุญาต ครั้งละ                            100,000 บาท ใบอนุญาตครั้งแรก  ฉบับละ                                 5,000 บาท รายปี ใบอนุญาต (ต่ออายุ)  ฉบับละ                              5,000 บาท รายปี ปีละ 1,000 บาท ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ                                100,000 บาท ค่าเข้ากาสิโนของผู้มีสัญชาติไทย  ครั้งละ              5,000 บาท

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแม้เลข GDP ไทยไตรมาส 4 ปี 2024 ออกมาที่ 2%YOY ทำให้ GDP ทั้งปีอยู่ที่ 2.5%YOY ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดโดยเป็นผลจากอุปสงค์ในประเทศ และภาคการผลิตที่ยังอ่อนแอ ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐหลังเลข GDP ญี่ปุ่นไตรมาส 4 ออกมาที่ 8% สูงกว่าตลาดคาดค่อนข้างมาก นำโดยการใช้จ่ายภาคธุรกิจ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงให้คำมั่นว่าจะยกเลิกค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับที่ไม่เป็นธรรมต่อบริษัทเอกชน

ราคาทองเช้าวันนี้ -50 ทองรูปพรรณ ขายออก 46,850 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ -50 ทองรูปพรรณ ขายออก 46,850 บ.

             หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  18 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับลง 50 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 46,250.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,350.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 45,419.36 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 46,850.00 บาท

ORI จับมือพันธมิตร ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ปิดดีลบิ๊กล็อตกว่า 1.2พันล้านบาท

ORI จับมือพันธมิตร ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ปิดดีลบิ๊กล็อตกว่า 1.2พันล้านบาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงานว่า ORI จับมือพันธมิตร ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ปิดบิ๊กล็อตโควต้าต่างชาติ So Origin Sukhumvit 105 มูลค่า 1,200 ล้านบาท สร้างแต้มต่อรุกตลาดอสังหาฯ 5 ประเทศในเอเชีย พบดีมานด์พุ่งต่อเนื่อง           นายธนกร วุฒิพงษ์ รองประธานกรรมการบริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการนำโครงการ So Origin Sukhumvit 105 คอนโดฯใหม่ใกล้ BTS สถานีแบริ่ง เพียง 200 เมตร* ไปโรดโชว์และจัดกิจกรรมขายต่างประเทศ โดยได้ลงนามแต่งตั้ง บริษัท ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (Thaiway Property) เป็นมาสเตอร์เอเจนท์ ขายห้องชุดในโครงการดังกล่าวนั้น ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมปิดยอดขายโควต้าต่างชาติ มูลค่า 1,200 ล้านบาท จากลูกค้าชาวต่างชาติใน 5 ประเทศแถบเอเชีย คือ ประเทศ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ใต้หวัน และเมียนม่า ลูกค้าที่ซื้อมีทั้งแบบ B2B และ B2C ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย เเละลงทุน(Investment ) รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุวัยเกษียณ(Retirement) ที่ต้องการโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาพำนักในประเทศไทย           ความสำเร็จจากการการขายห้องชุดโครงการ So Origin Sukhumvit 105 ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเพราะตลาดทั้ง 5 ประเทศดังกล่าวได้รู้จักอสังหาฯแบรนด์ ออริจิ้น ดีอยู่แล้ว จากการนำโครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์ต่างๆ ในเครือ ออริจิ้น ไปขายในช่วงก่อนหน้า ซึ่งได้รับการตอบรับดีเยี่ยม โดยแบรนด์โซ ออริจิ้น (SO ORIGIN) เป็นคอนโดมิเนียมที่มีดีไซน์เอกลักษณ์บนทำเลที่น่าสนใจใกล้รถไฟฟ้าเพื่อคน Gen Y และ Gen X การได้พันธมิตรไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำการตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศในแถบเอเชีย ได้ช่วยสร้างความแข็งแกร่งและสร้างชื่อให้กับ ออริจิ้น ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงสุดในประเทศไทย และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง           สำหรับ โครงการ So Origin Sukhumvit 105 ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท 105 ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีแบริ่ง เพียง 200 เมตร* ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 6 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดฯ LOW-RISE สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ยูนิตทั้งหมด 913 ยูนิต + 2 ร้านค้า โดยโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ อาทิ ห้องออกกำลังกาย, โถงต้อนรับ, สระว่ายน้ำ, Co-Working Space, Creativity&Craft space,Meeting room,Studio room,Co-Living Space,Sharing zone,Private zone,Garden,Pavilion,Rooftop Garden,Oxygen launch,Edible vegetable garden และOutdoor Theater เป็นต้น พร้อมอุ่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัย จากกล้องวงจรปิด CCTV 24 ชั่วโมง, ระบบ Access Control ด้วย Key Card เข้า-ออกอาคาร และพื้นที่จอดรถ และ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง โดยขนาดห้องมีตั้งแต่ 24-53 ตารางเมตร(ตร.ม) ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “CRAFTING A CLASSY MOMENTS ฟีลคลาสซี่ ได้ทุกโมเม้นต์” ราคาเริ่ม 2.81 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 2,540 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างปี 2569 คาดแล้วเสร็จทั้งโครงการในช่วงปี 2571           นอกจากนี้ โครงการ So Origin Sukhumvit 105 ยังมีจุดเด่นทำเลในซอยสุขุมวิท 105 ใกล้กับศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ บางนา ทำเลยอดนิยมสำหรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ที่แน่นไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ชอบเที่ยว ชิม ช้อป และ แฮงค์เอาท์ กับเพื่อนๆ ที่สำคัญเดินทางสะดวก 3 นาที ถึงรถไฟฟ้า BTS สถานีแบริ่ง ที่อยู่ใกล้โครงการเพียง 200 เมตร* อีกทั้งยังแวดล้อมไปด้วยโรงพยาบาล , ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และไลฟ์สไตล์ (Mega Project , Life style ) สถานศึกษาระดับนานาชาติ และอาคารสำนักงาน(OFFICE BUILDING) เป็นต้น           ด้านนางสาว เจสสิก้า เชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (Ms. Jessica Chao, CEO, Thaiway Property Company) กล่าวว่า บริษัทฯมีความยินดีและเป็นเกียรติที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเร็จ ทำการตลาดและขายคอนโดใหม่แบรนด์ So Origin Sukhumvit 105 จนสามารถทำยอดขายได้มากถึง 1,200 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของลูกค้าผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ ออริจิ้น ที่พัฒนาคอนโดมิเนียมคุณภาพในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 2.81 ล้านบาท บน Prime Area อยู่ใกล้ New CBD ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่กำลังมองหาคอนโดฯใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการกลุ่มคนซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง กลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายการลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งกลุ่มคนที่ซื้อไว้อยู่อาศัยหลัง Retirement ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ ไทยเวย์ พร็อพเพอร์ตี้ เชี่ยวชาญชำนาญ และมีฐานลูกค้าในมือ           พร้อมกันนี้ นายธนกร วุฒิพงษ์ ได้กล่าวในตอนท้ายว่า ในปี 2568 ORIGIN ยังคงเดินหน้าเจาะตลาดลูกค้าต่างชาติเพิ่มด้วยการจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งที่เป็น Agent รายเดิม และเปิดรับ Agent รายใหม่ๆ เข้าร่วม Origin Agent Club ด้วยการเดินสายโรดโชว์ไปยังตลาดประเทศใหม่ๆ รวมถึงการพิจารณาเปิดสำนักงานขายในต่างประเทศ ในประเทศที่มีลูกค้าให้ความสนใจ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงโครงการได้ง่ายขึ้น เป็นหนึ่งในแผนไต่ระดับการเติบโต ครองความเป็นผู้นำเจ้าตลาดส่งออกคอนโดฯ ชั้นนำ และการนำเอาโครงการ So Origin Sukhumvit 105 ไปขายที่ประเทศจีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, ใต้หวัน และเมียนม่า นั้น เพราะเป็นตลาดที่ยังมีดีมานด์ ขณะเดียวกันก็เพื่อรักษาฐานการเติบโตของตลาดประเทศในโซนเอเชียของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ [PR News]

ก.ล.ต. ผนึกกำลังผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า

ก.ล.ต. ผนึกกำลังผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า

          หุ้นวิชั่น - วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 | ฉบับที่ 31 / 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำหนดมาตรการจัดการปัญหาบัญชีม้า เพื่อยกระดับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายในการสร้างมาตรฐานการประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลและร่วมมือในการสกัดกั้นบัญชีม้า           ก.ล.ต. เปิดเผยถึงการจัดการเกี่ยวกับบัญชีม้าว่า ได้ประสานการทำงานร่วมกับ TDO และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างใกล้ชิด และได้ร่วมกันกำหนดมาตรการจัดการบัญชีม้าเพิ่มเติมเพื่อยกระดับมาตรการคัดกรองและตรวจสอบบัญชีม้าให้เข้มข้น เท่าทัน และครอบคลุมลักษณะหรือพฤติกรรมเสี่ยงของบัญชีม้ายิ่งขึ้น โดยผู้ที่เป็นบัญชีม้าจะถูกจำกัดการทำธุรกรรมบางลักษณะที่เสี่ยงต่อการฟอกเงิน ผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล           นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช. สอท.) และ ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาจัดการบัญชีม้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย ตลอดจนสนับสนุนให้กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อสกัดกั้นการใช้บัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน โดยผ่านกลไกการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU) ในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล           สำหรับการดำเนินการที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ประสานการทำงานกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาบัญชีม้าและอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน รวมทั้งร่วมเสนอแนะแนวทาง ให้ข้อคิดเห็น และดำเนินการตามมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีการออกหนังสือเวียนให้ผู้ประกอบธุรกิจยกระดับการคัดกรองลูกค้าและธุรกรรมต้องสงสัยตามแนวทางที่จัดทำร่วมกับ TDO และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบและติดตามผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนร่วมเสนอและให้ข้อคิดเห็นในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

7 สินค้า SME ในเซเว่นฯ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน

7 สินค้า SME ในเซเว่นฯ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน

          หุ้นวิชั่น - ปี 2567 ที่ผ่านมา SME หลายเจ้าปล่อยสินค้าของดีของเด็ดให้เลือกมากมาย และเช่นเคย เซเว่นฯ จะมารวบรวมลิสต์สินค้า SME สุดปัง ฮิตติด Best Seller ที่ขาช้อปตัวยงต้องซื้อติดบ้าน เซเว่น อีเลฟเว่น (7-11) ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ในทุกมิติ เปิด 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ที่สู้ไม่ถอยสามารถปั้นรายได้พุ่ง เติบโตต่อเนื่อง ก้าวสู่ SME ยุคใหม่ ที่โตไกลไปด้วยกันกับเซเว่นฯ 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ชุดรวมขนมทองมงคล จาก “ขนมไทยบ้านทองหยอด”           กลายเป็นสินค้าได้รับความนิยมในหมู่คนไทยสายบุญ สายมู โดยชุดรวมขนมทองมงคล ถูกรังสรรค์ ขนาดไซส์มินิ น้ำหนักเบา ราคาเพียง 27 บาท โดดเด่นด้วยแพ็คเกจที่ทันสมัยออกแบบเพื่อให้สะดวกในการรับประทาน เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรับประทานเอง หรือทำบุญในวาระต่างๆ พิธีไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อของคนไทย ซึ่งประกอบไปด้วย ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุน จุดเด่นของชุดรวมขนมทองมงคล  เป็นการรวมขนมไทย 4 อย่างไว้ใน 1 กล่อง และผลิตสดใหม่ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ผ่านการผลิตระดับมาตรฐาน GHP&HACPP ที่ควบคุมให้ขนมสดใหม่ อร่อย กลมกล่อม กลิ่นหอมตามสูตรที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น สามารถดันยอดขายให้ ขนมไทยบ้านทองหยอด ทะลุ 100 ล้าน ปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างมาก ยิ่งหาซื้อได้ง่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศได้ ก็ยิ่งการันตีความปัง ผักโขมอบชีส “รีโอส์ เดลิ” แบรนด์นี้คุณแม่ปลื้มทำให้เรื่องทานผักเป็นเรื่องง่าย           ขอต้อนรับเข้าสู่วงการอาหารอิตาเลียนที่เข้าถึงง่ายมากกับ ผักโขมอบชีส รีโอส์ เดลิ เมนูระดับภัตตาคารสู่เซเว่นฯ ที่รสชาติดี มีคุณประโยชน์ และราคาที่เข้าถึงง่าย บรรจุในถาดเยื่อพืชย่อยสลายได้ในไซส์ที่กำลังอิ่มพอดี ขนาด 100g โดยมีจุดเด่นที่ทำให้ยอดขายปัง 3 หลักการด้วยกัน 1.วัตถุดิบคุณภาพดีที่ผ่านการคัดเลือก  ผักโขมปลอดภัย ผสมกับชีสแท้ๆ เกรดนำเข้า 2.นวัตกรรมการผลิตและรสชาติที่ตอบโจทย์คนไทย ใช้กระบวนการ No-bake process ที่ทำให้หลังอุ่นไมโครเวฟชีสยืดเหมือนสินค้าที่ทำในบ้าน 3.แพ็คเกจจิ้งใช้งานง่าย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บรรจุภัณฑ์ถาดเยื่อพืชที่สามารถลดพลาสติกลงได้ 90% ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มแม่และเด็ก ที่คุณแม่ต้องการให้ลูกๆ ทานผัก ในขณะที่ลูกๆ กลับมองว่าเป็นการทานชีส จึงเกิดเป็นทางออกที่ win win ทั้งคู่ กิมจิผักกาดขาว “คิงเชฟ” เครื่องเคียงตัวดัง สูตรต้นตำรับ ที่สายเกาหลีเกาใจเลิฟมาก           ยังคงอยู่ในหมวดหมู่อาหารนานาชาติ โดนใจสายเกากับ กิมจิผักกาดขาว ในรูปแบบซองพรีเมียมโดดเด่นด้วยสีเขียวสะท้อนแสง ด้วยคอนเซ็ปต์ “ฉีกปากถุง วางตั้ง ตักได้เลย” สามารถทานได้ทุกที่ทุกเวลา แม้แต่ทานในรถก็ยังสะดวก โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการถนอมอาหารที่สามารถเก็บในบรรจุภัณฑ์ได้ถึง 90 วัน ซึ่งจุดเด่นของคิงเชฟ คือ รสชาติจากสูตรต้นตำรับของประเทศเกาหลี แต่นำมาพัฒนารสชาติให้จัดจ้านถูกปากคนไทย สามารถเลือกรับประทานได้หลายหลายโอกาส โดยลูกค้าเซเว่นส่วนใหญ่ซื้อติดบ้าน บ้างก็ทานเป็นเครื่องเคียงทาน ทานเล่นเป็นของว่าง หรือ นำไปปรุง เช่น คลุกหรือผัดกับข้าว ใส่ในอาหารจานด่วน ใส่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือ ทำเป็นซุปกิมจิ ก็ง่าย สะดวก กิมจินอกจากดีสุขภาพรสชาติดี ยังช่วยส่งเสริมด้านการขับถ่าย มีโพรไบโอติกอีกด้วย เกรนเน่ย์ กราโนล่าบาร์ สแน็กแบบแท่ง สุขภาพดีเอื้อมถึงได้           สแน็กเพื่อสุขภาพจากข้าวและธัญพืช ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเจ้าของแบรนด์เกรนเน่ย์ (Grainey)  เจิ้น-โสรัจ มหรรณพกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูลเกิ้ล จำกัด จากที่เคยน้ำหนักมากถึง 130 กิโลกรัม ตอนนั้นเรียนอยู่ที่อเมริกา เห็นว่าตัวเลือกในการลดน้ำหนักที่นั่นมีมากมาย ทั้งน้ำ โปรตีน และขนม เมื่อเลือกกินของเพื่อสุขภาพผสานกับการออกกำลังกาย สามารถลดน้ำหนักได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน พอกลับมาเมืองไทย จึงเห็นโอกาสในการทำขนมเพื่อสุขภาพ จุดเริ่มต้นมาจากข้าวป๊อป จากนั้นมาพัฒนาให้รสชาติเข้าถึงคนไทย จนมีโอกาสเข้ามาจำหน่ายในเซเว่นฯ ก็ได้รับคำแนะนำให้ผลิตแบบแท่งในราคาเบาๆ 10 บาท เพื่อควบคุมคุณภาพได้ และราคาที่จับต้องได้ ปัจจุบันพัฒนาสูตรตัวแบบแท่งจนเป็นสินค้าขายดีในเซเว่นฯ อย่าง เกรนเน่ย์ กราโนล่าบาร์ ช็อคโกแลตชิพ อัลมอนด์ 25 กรัม และ เกรนเนย์ กราโนล่าบาร์ ไวท์ช็อคแครนเบอร์รี่ 25 กรัม ราคา 15  บาท ตัวเด็ดอีกตัวมัดใจชาว Gen Z, Alpha, First Jobber สามารถทานทุกวันได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ชินเซน น้ำส้มคั้น 100% คั้นสดจากใจใคร ๆ ก็ดื่มได้           ตามมาตำเครื่องดื่มที่เพิ่มความสดชื่นกันบ้าง กับน้ำส้มแบรนด์ SME ไทย แต่ชื่อญี่ปุ่น โดย Shinsen (ชินเซน)  เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า สดชื่น ผลิตจากส้มหลากหลายสายพันธุ์ หลายเบอร์ เพื่อเบลนด์รสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น ด้วยเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ที่หลายคนต้องการเพิ่มความสดชื่น “น้ำส้ม” จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ลูกค้าคว้าติดมือ ที่สำคัญตอบโจทย์สายรักสุขภาพที่ต้องการวิตามินซี รสชาติสดเหมือนคั้นดื่มเองที่บ้าน อีกหนึ่งเทคนิคความอร่อย ยิ่งเก็บในตู้เย็นเพิ่มความสดชื่นและยังรักษาไว้ได้นาน เพราะมีอายุ Shelf Life นานถึง 2 สัปดาห์ ผลิตโดย บริษัท ยูชิ เอฟ แอนด์ บี จำกัด มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยนำผลไม้ไทยมาแปรรูปด้วยนวัตกรรมจากญี่ปุ่น ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต สะอาด ปลอดภัย ตรวจสอบคุณภาพก่อนถึงมือลูกค้า และยังคงพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคสายสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นไป พยัคฆ์ เครื่องดื่มรสชาไทยผสมนม อร่อยเข้มหอมชาหวานน้อยในรูปแบบขวด           ชมรมคนรัก “ชาไทย” ต้องติดใจ! กับแบรนด์คนไทย ชื่อไทยๆ ว่า “พยัคฆ์” มากับโลโก้หัวเสือ ดูมีมนต์ขลัง แต่ราคาน่ารัก 20 บาท ดื่มเย็นๆ จากขวดก็สดชื่น ได้รสชาติเข้มข้น กลิ่นชาเตะจมูก หรือจะเทใส่น้ำแข็งก็หวานหอมกลมกล่อม สินค้าเกิดจากเจ้าของแบรนด์คุณธิติ พัววรานุเคราะห์ CEO บริษัท เก้าหมิง กรุ๊ป จำกัด ที่ชื่นชอบการดื่มชาเป็นชีวิตจิตใจเห็นถึงปัญหาการรอต่อคิวชงทีละแก้ว และการคงรสชาติแบบหวานน้อยให้คงที่ทุกขวด รวมถึงแบบขวดสามารถซื้อเก็บไว้ได้ อยากดื่มตอนไหนก็สะดวก ทำให้ได้รับความนิยมเป็นกระแสบอกกันแบบปากต่อปากในโลกโซเชียล ส่งผลให้ชาไทยพยัคฆ์ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างรวดเร็ว โดยความสำเร็จเกิดจากความตั้งใจในมาตรฐานการคัดเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิต มีความสะอาด และทุกขวดรสชาติคงที่ ที่สำคัญมีลูกค้าประจำ จนเกิดการแนะนำ และกลายเป็น marketing tool ที่ดีที่ทำให้สินค้ามีความยั่งยืน ทรีทเมนต์กรีนไบโอ ซองสีน้ำเงิน จากตัวตึงร้านขายส่งและร้านเสริมสวย สู่ตัวจี๊ดในเซเว่นฯ ไอเทมสุดท้าย เอาใจสายบิวตี้กันบ้างกับทรีทเมนต์บำรุงผมแบบซอง ทรีทเมนต์ กรีนไบโอ ซองสีน้ำเงินโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ผลิตโดยบริษัท วีชมาร์ต จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้แบรนด์ถือเป็นขวัญใจช่างทำผม และร้านค้าส่ง ได้วางจำหน่ายรูปแบบซองในเซเว่นฯ เมื่อปี 2564 จากคำแนะนำจากผู้บริหารเซเว่นฯ ให้ผลิตกล่องบรรจุจำนวน 6 ซอง เพื่อวางขายบนเชลฟ์ง่ายขึ้น และหากลูกค้าซื้อยกกล่องก็พกง่ายดี ที่ได้รับความนิยมไม่เคยแผ่ว เนื่องจากคุณภาพสินค้าที่ได้รับการยอมรับ หลายคนใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรก สินค้าเหมาะสำหรับผมที่ผ่านการหนีบ ยืด ดัด ทำสีมาอย่างหนักหน่วง ทำให้ผมนุ่ม ลื่น ลดผมแตกปลาย ลดการชี้ฟู มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผู้ชายใช้ได้ ผู้ใหญิงใช้ดี ฐานลูกค้าตอนนี้ครอบคลุมไปต่างประเทศแล้ว อาทิ มาเลเซีย  อินโดนีเซีย สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ที่สำคัญ ทรีทเมนต์กรีนไบโอ เป็นสินค้า Best Seller ในเซเว่นฯ ที่นักท่องเที่ยวเลือกซื้อเป็นของฝากในอันดับต้นๆ โดย คุณศิรดา ศรีประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท วีชมาร์ต จำกัด เจเนอเรชันที่ 2 ฝากไว้ว่า “เราพยายามทำสินค้าให้ถูกและดี มีคุณภาพ ทุกคนเข้าถึงได้ และคงราคาให้ย่อมเยาอยู่เสมอ เพื่อคนไทยค่ะ” ทั้งหมดนี้คือ 7 สินค้า SME ดีจนต้องบอกต่อ ยอดขายปังทะลุ 100 ล้าน ที่สามารถปั้นแบรนด์จนเป็นที่รู้จักทั้งไทยและต่างชาติ สามารถนำแบรนด์ไปได้ไกลและยั่งยืน ที่สำคัญยังเข้าใจเข้าถึงผู้บริโภค ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ และรักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ สู่ความสำเร็จในระยะยาว สำหรับกุญแจสำคัญในความสำเร็จ คือ ทุกแบรนด์ให้ความสำคัญกับ คุณภาพ ราคา และนวัตกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตระดับสากล จนเป็นที่ยอมรับว่าแบรนด์ไทยสามารถแข่งขันและเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้

KH Academy ชู ‘Prep for Financial Advisor’ ปิดหลักสูตร รุ่น 3 พร้อมมอบทุน

KH Academy ชู ‘Prep for Financial Advisor’ ปิดหลักสูตร รุ่น 3 พร้อมมอบทุน

          สถาบัน KH Academy จัดพิธีปิดหลักสูตร Prep for Financial Advisor เตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพที่ปรึกษาทางการเงิน รุ่นที่ 3 พร้อมมอบทุนการศึกษา 50,000 บาท แก่ทีมผู้ชนะกิจกรรมเวิร์คช้อปนำเสนอแผนการลงทุน  และมอบประกาศนียบัตรสำหรับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรเกือบ 60 ชีวิต ตอกย้ำความเป็นสถาบันบ่มเพาะเยาวชนสู่เส้นทางวิชาวิชาชีพการเงินการลงทุนมืออาชีพ ฟากพันธมิตรองค์กรที่ปรึกษาทางการเงินร่วมเป็นสักขีพยานความสำเร็จก้าวแรกของเยาวชนคนรุ่นใหม่อย่างคับคั่ง           วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 KH Academy สถาบันการเรียนรู้ชั้นนำด้านการพัฒนาทักษะวิชาชีพการเงินการลงทุนสำหรับนิสิตนักศึกษา จัดพิธีปิดหลักสูตร Prep for Financial Advisor เตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพที่ปรึกษาทางการเงิน รุ่นที่ 3 ณ KH Academy Ratchathewi Campus โดยได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินชั้นนำของประเทศหลากหลายองค์กร  ร่วมเป็นสักขีพยานความสำเร็จของนิสิตนักศึกษาและบุคลากรจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรฯ ครั้งนี้กันอย่างคับคั่ง อาทิ ดร.สมภพ  ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปรแมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) คุณสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ. แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) คุณธีมนัส เกียรติเดชปัญญา Associate Director บริษัท ไพร์มสตรีท แอดไวเซอรี่ (ประเทศไทย)  จำกัด คุณดาริน  กาญจนะ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด โดยมีคุณบูรพา สงวนวงศ์ ผู้บริหารสถาบัน KH Academy ให้การต้อนรับ           บรรยากาศในงานเริ่มต้นด้วยคุณชาญชัย สงวนวงศ์ ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวขอบคุณพันธมิตรภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนสถาบัน KH Academy ประกอบด้วย บริษัท บี.กริม พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM)  บริษัท ไพร์มสตรีท แอดไวเซอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด  ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB)  บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) (MGC)  บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE)  บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน)  บริษัท ฟู้ดโมเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) (GABLE) และบริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) รวมถึงผู้สนับสนุนหลักสูตรเตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพฯ อย่าง กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน Thailand Capital Market Development Fund หรือ CMDF ( https://www.facebook.com/cmdf.or.th/ )           ตลอดจนบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ได้แก่ บริษัท.แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) , บริษัท ไพร์มสตรีท แอดไวเซอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด ,บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นเนล (ประเทศไทย) จำกัด (CGSI) และบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KGI)  ที่ส่งทีมวิทยากรร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์การทำงานจริงที่หาไม่ได้ในตำราเรียน เพื่อบ่มเพาะและผลักดันเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีความพร้อมก่อนก้าวสู่การประกอบวิชาชีพสายการเงินการลงทุนในอนาคต           ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาไฮไลท์ของการประกาศผลทีมผู้ชนะจากกิจกรรมเวิร์คช้อป การนำเสนอแผนการลงทุนโดยจัดโครงสร้างกลุ่มบริษัทและประเมินมูลค่ากิจการ ชิงทุนการศึกษา มูลค่า 50,000 บาท ซึ่งได้แก่ ทีม B สมาชิกในทีมประกอบด้วย นายนนทพัทธ์ สีมาเงิน คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายศุภฤกษ์ อัศวไพบูลย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  นายศุภวิชญ์ กฤษณยรรยง คณะเศรษฐศาสตร์ ปี 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายวิสุทธิ์ เกิดลาภผล คณะบริหารธุรกิจ ปี 3 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายวงศธร จันทร์ฟัก คณะบริหารธุรกิจ ปี 2 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายลาภวัต เชาวนะ คณะวิศวะกรรมศาสตร์ ปี 2 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  และนางสาวชนาณุพิพิศ ปกรณ์เกียรติ คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม ปี 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ           นอกจากนี้ ยังมีการมอบรางวัลในอีกหนึ่งกิจกรรมพิเศษประเภททีม FA Influencer Competition (KH Academy x Partners) อีกหนึ่งรางวัล มูลค่า 5,000 บาท โดยกิจกรรมนี้สถาบัน KH Academy จัดขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์ในการมุ่งมั่นส่งเสริมและสนับสนุนให้นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาสสร้างมิตรภาพ คอนเนคชั่นใหม่ ๆ ตลอดจนได้ความรู้รอบตัว รวมถึงอัพสกิลในสายวิชาชีพ ซึ่งจะสามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในชีวิตการเรียนและการทำงานในอนาคต           โอกาสนี้ ดร.สมภพ  ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปรแมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ให้เกียรติขึ้นกล่าวให้โอวาทแก่ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรฯ พร้อมแนะเคล็ดลับเส้นทางสู่ความสำเร็จในสายวิชาชีพที่ปรึกษาทางการเงินว่า  “หากอยากเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีองค์ประกอบ 3 สิ่ง คือ กินอย่างหมู นอนอย่างหมา ทำงานอย่างควาย” ซึ่งถือเป็นคำแนะนำที่โดนใจเหล่าว่าที่ที่ปรึกษาทางการเงินรุ่นใหม่อย่างมาก           ปิดท้ายด้วยพิธีมอบประกาศนียบัตร ให้กับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรฯ จำนวนทั้งสิ้น 57 คน จาก 6 มหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มหาวิทยาลัยรามคำแหง  และบุคลากรจากบริษัทหลักทรัพย์ ได้แก่           บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด โดยคุณสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ให้เกียรติเป็นผู้มอบ           สำหรับสถาบัน KH Academy เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสานต่อพันธกิจของ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ในการเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณชนทั่วไป โดย KH Academy เป็นผู้รับบทบาทในการทำงานร่วมกับองค์กรเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และสถาบันศึกษา เพื่อสร้างหลักสูตรสำหรับการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ในการเตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพการเงินการลงทุนสำหรับนิสิตนักศึกษาโดยไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น [PR News]

นิด้าโพลชี้ คนไทย 60.92% เชื่อ! ตัดท่อน้ำเลี้ยงแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์

นิด้าโพลชี้ คนไทย 60.92% เชื่อ! ตัดท่อน้ำเลี้ยงแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์

         หุ้นวิชั่น - ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “War on Scam Gang” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลในการจัดการกับปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ที่มีฐานในเมียนมา การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0          จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อมาตรการของรัฐบาลในการตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งออกน้ำมัน เพื่อจัดการปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 70.54 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 21.07 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 5.34 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 3.05 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย          ด้านมาตรการของรัฐบาลในการตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งออกน้ำมันกับการช่วยแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.92 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง รองลงมา ร้อยละ 17.71 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก ร้อยละ 15.95 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก และร้อยละ 5.42 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรเลย          สำหรับการมีส่วนเกี่ยวข้องหรือการสนับสนุนแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมาจากเจ้าหน้าที่รัฐของไทยบางคนพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 69.85 ระบุว่า มีแน่นอน รองลงมา ร้อยละ 26.87 ระบุว่า ไม่แน่ใจ และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มี          ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผู้ที่ทำงานในแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมียนมาถูกหลอก หรือสมัครใจมากกว่ากัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 49.77 ระบุว่า น่าจะมีจำนวนพอ ๆ กันทั้งคนที่ถูกหลอกและเต็มใจไปทำงาน รองลงมา ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ส่วนใหญ่ไปทำงานด้วยความเต็มใจ ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ส่วนใหญ่ถูกหลอกไปทำงาน และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่แน่ใจ รายละเอียดเพิ่ม คลิก https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=740

Blockchain โปร่งใส-ตรวจสอบได้สำหรับ Supply Chain [HoonVision x TokenX]

Blockchain โปร่งใส-ตรวจสอบได้สำหรับ Supply Chain [HoonVision x TokenX]

บันไดแห่งความโปร่งใส : ทำบัญชีอย่างไรให้ถูกใจสาย Supply Chain Supply Chain Management and Blockchain Technology Series: Episode 2           ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และ ซับซ้อน การที่เราจะอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่นั้นๆ ก็ไม่ต่างจากการปีนบันไดแห่งความโกลาหลที่มองไม่เห็น เหมือนกับที่ Petyr Baelish หรือ Littlefinger เจ้านิ้วก้อยผู้เจ้าเล่ห์จากซีรีย์เรื่อง Game of Thrones ได้กล่าวไว้ว่า “Chaos is a ladder” ความโกลาหลนั้นไม่ได้เป็นเพียงความวุ่นวายที่ไม่มีจุดหมาย แต่มันคือบันไดสำหรับผู้ที่ฉลาดพอที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้ Lord Baelish มองความไม่แน่นอนของโลกใบนี้เป็นโอกาสที่ซุกซ่อนอยู่ ซึ่งผู้ที่มองเห็นโอกาสในโครงสร้าง และ เส้นทางในความยุ่งเหยิงนั้นจะสามารถไต่ขึ้นไปยังจุดสูงสุดได้           อย่างในโลกของการเงิน ความโกลาหลเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในระบบ แม้จะมีการกำกับดูแล และ มาตรการควบคุมจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ความซับซ้อนของกฎระเบียบ ธุรกรรมที่ไม่โปร่งใส และ การพึ่งพาคนกลาง ทำให้เกิดจุดบอด และ มีช่องว่างอยู่เสมอ           แต่ด้วยการกำเนิดของสิ่งที่ Satoshi Nakamoto ได้คิดค้นขึ้นมาสิ่งที่เรียกว่า Blockchain และ Bitcoin มาเพื่อช่วยให้ความยุ่งเหยิงนี้สามารถถูกแปรเปลี่ยนเป็นความโปร่งใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน           ความเจ๋งของ Satoshi คือ การนำเสนอระบบที่ทำให้ทุกธุรกรรมถูกบันทึก และ ยืนยันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนกลาง ทำให้เส้นทางการเงินถูกติดตามได้อย่างแม่นยำ และ ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เหมือนกับการควบคุมความโกลาหลให้อยู่ในมือ และ ได้สร้างรากฐานใหม่ ที่ทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมั่นในระบบที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของทุกคน           ในเกมแห่งอำนาจ ความโกลาหล เป็นได้ทั้งอุปสรรค และ โอกาส เช่นเดียวกันกับโลกของ Supply Chain ที่มีความโกลาหลอยู่มากมายโดยเฉพาะเรื่องการสร้าง Traceability และ จัดการข้อมูลที่ซับซ้อน และ แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือนการปีนบันไดแห่งความโกลาหลนี้ ถ้าเราสามารถใช้ความไม่แน่นอน และ ความวุ่นวายให้เกิดประโยชน์ มันจะพาเราไปสู่จุดที่กลายเป็นผู้ไม่พร้อมจะตกจากบันไดแห่งเกมนี้           ใน Episode ที่ 2 นี้ผู้เขียนจะพาทุกท่านไปดูกันว่าการสร้าง Traceability ในโลกของ Supply Chain ด้วยกันกับคู่หูอย่าง Blockchain จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ด้วยการประยุกต์ใช้หลักการทำบัญชีของ Bitcoin           จากที่ได้เกริ่นไปเบื้องต้นถึงต้นกำเนิดของเทคโนโลยี Blockchain และ Bitcoin ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะมาช่วยเปลี่ยนความโกลาหล ยุ่งยากในการทำ Traceability ให้กลายเป็น Solution ที่มีคุณค่า และ มีประสิทธิภาพ           โดยการนำหลักการทำบัญชีของ Bitcoin มาเป็นสารตั้งต้น หรือที่เรียกกันว่า UTXO ด้วยการบันทึกข้อมูลที่โปร่งใส และ เชื่อถือได้ ในทุกขั้นตอนของ Supply Chain จะถูกติดตามและยืนยันได้อย่างแม่นยำ ยิ่งในปัจจุบันที่ทุกคนมีสิทธิที่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างเสรี เราจะเห็นว่าการสร้าง Traceability จะไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Supply Chain เท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และ สังคมในวงกว้างอีกด้วย UTXO (Unspent Transaction Output)           หลักการทำงานของการจดบัญชีแบบ UTXO อาจดูซับซ้อน แต่ถ้ามองดีๆ แล้วมันมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เราใช้กันเป็นปกติในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ซึ่งก็คือการใช้เงินที่เป็น เหรียญ หรือ ธนบัตร นั่นเอง           ลองนึกภาพการจดบัญชีแบบ UTXO เป็นการบันทึกการใช้เหรียญ หรือ ธนบัตรที่เหลือหลังจากที่เราใช้จ่ายเงินแต่ละครั้ง โดยจะบันทึกไว้ว่าเราได้รับเงินมาเท่าไหร่ และใช้จ่ายเท่าไหร่ โดยไม่สนใจว่าจำนวนเงินทั้งหมดในกระเป๋าของเรามีเท่าไหร่ ณ เวลานั้น เพื่อให้เห็นภาพง่าย ๆ ลองดูตัวอย่างนี้ครับ ตัวอย่างแบบง่ายๆ ครับ สมมติว่า คุณมีธนบัตร 100 บาท จำนวน 1 ใบ ในทางบัญชีจะมีการบันทึกว่า คุณมีธนบัตร 1 ใบที่ยังไม่ได้ใช้งาน ซึ่งมีมูลค่า 100 บาท ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) -> เจ้าของคือ คุณ ยอดคงเหลือของคุณคือ 100 บาท คุณต้องการซื้อของจากร้านอาหาร ราคา 70 บาท แต่ธนบัตรที่คุณมีนั้นเป็นธนบัตรที่มีมูลค่า 100 บาท จำนวน 1 ใบ ดังนั้นคุณต้องใช้ธนบัตรนี้เต็มมูลค่า ในการทำธุรกรรม โดยในทางบัญชี จะทำการบันทึกธุรกรรมในลักษณะนี้ บันทึกว่า ธนบัตร 100 บาท ถูกใช้งานไปแล้ว ซึ่งธนบัตรนั้นมีมูลค่า 100 บาท แต่ของที่ต้องการซื้อนั้น มีราคา 70 บาท ฉะนั้นมันจะมีส่วนต่างที่เป็นจำนวน 30 บาท ในทางบัญชีจะทำการสร้างธนบัตรใหม่ขึ้นมา 2 ใบให้สอดคล้องกับ usecase และ ยอดคงเหลือรวมดังนี้ ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ใช้งานไปแล้ว) ธนบัตร 70 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ธนบัตร 30 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ยอดคงเหลือของคุณคือ 100 บาท ยอดคงเหลือของร้านค้าคือ 0 บาท ซึ่งจะมีการบันทึกว่าทั้ง 2 ธนบัตรนี้เป็นธนบัตรที่ยังไม่ถูกใช้งาน และ ทำการบันทึกความเป็นเจ้าของของ ธนบัตรมูลค่า 70 บาท คือ ร้านอาหาร และ ความเป็นเจ้าของของ ธนบัตรมูลค่า 30 บาท คือ คุณ ธนบัตรมูลค่า 70 บาท จำนวน 1 ใบ ก็คือเงินที่คุณใช้จ่ายให้ร้านอาหารไป และ ธนบัตรมูลค่า 30 บาท จำนวน 1 ใบ คือ เงินที่เหลือ ธนบัตร 100 บาท 1 ใบ (ใช้งานไปแล้ว) ธนบัตร 30 บาท 1 ใบ (ยังไม่ได้ใช้งาน) ยอดคงเหลือของคุณคือ 30 บาท ยอดคงเหลือของร้านค้าคือ 70 บาท ดังนั้นหลังจากการซื้อของจากร้านอาหาร 70 บาท ทางบัญชีแสดงผลออกมาว่า คุณมี ธนบัตรมูลค่า 30 บาท 1 ใบที่ยังไม่ได้ใช้งาน และ มีธนบัตรมูลค่า 100 บาท 1 ใบ ที่ใช้งานไปแล้ว ซึ่งธนบัตรมูลค่า 30 บาท 1 ใบสามารถนำไปใช้ในการทำธุรกรรมครั้งถัดไปได้ แต่ ธนบัตรมูลค่า 100 บาท 1 ใบจะไม่สามารถใช้ทำธุรกรรมใดๆ ได้อีก           จะเห็นได้ว่าการจดบัญชีแบบ UTXO นั้นมีความซับซ้อน และ ยุ่งยากกว่าการจดบัญชีทั่วๆไป เนื่องจากในระบบ UTXO เราไม่สามารถ แบ่งเหรียญ ออกมาได้ตรงๆ เช่น การใช้ธนบัตร 100 บาทแค่บางส่วน จึงจำเป็นต้องใช้ทั้ง UTXO ที่มีมูลค่ารวมกันเพียงพอเพื่อครอบคลุมยอดชำระ หากมีเศษเหลือก็จะถูกสร้างเป็นเหรียญใหม่เหมือนเงินทอน ซึ่งทำให้การจดบัญชีแบบนี้บน Blockchain สามารถติดตามเหรียญแต่ละเหรียญได้อย่างแม่นยำ และในระบบบัญชีบน Blockchain ทุกธุรกรรมจะมีการบันทึกว่า UTXO ไหนถูกใช้แล้วบ้าง ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ และบันทึกการสร้าง UTXO ใหม่ ทำให้สามารถตรวจสอบการถือครอง และ ความถูกต้องของเหรียญได้อย่างแม่นยำ และเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการทั้งหมด           การนำหลักการของ UTXO มาใช้สร้าง Traceability ให้กับ Asset ใน Supply Chain สามารถช่วยให้แต่ละ สินทรัพย์ หรือ วัตถุดิบถูกติดตามได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยหลักการนี้สามารถทำให้เห็นได้ว่าในแต่ละช่วงเวลาใครเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นบ้าง และ สินทรัพย์นั้นถูกเปลี่ยนมือหรือตรวจสอบสถานะในแต่ละขั้นตอนอย่างไรบ้าง Asset Tracking & Traceability           ในระบบ UTXO ในแต่ละหน่วยที่ยังไม่ถูกใช้งานจะมีตัวตนเฉพาะตัว ดังนั้นสินทรัพย์ใน Supply Chain ก็สามารถบันทึกเป็นหน่วยในลักษณะแบบนี้ได้ ซึ่งมีประโยชน์ดังนี้:           การบันทึกความเป็นเจ้าของ เมื่อสินค้าถูกส่งต่อจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เช่น จากผู้ผลิตไปยังผู้จัดจำหน่าย จะต้องมีการจดบันทึกโดยอ้างอิงมาจากหลักการของ UTXO ที่แสดงถึงการโยกย้ายความเป็นเจ้าของของสินทรัพย์นั้นๆ           การติดตามสถานะ ทุกการเคลื่อนย้าย หรือ เปลี่ยนสถานะของสินค้าจะต้องมีการจดบันทึกข้อมูลสถานะของสินทรัพย์นั้นๆ ในลักษณะที่ทำให้ระบบสามารถติดตามได้ว่าสินค้าชิ้นนั้นผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้างและสถานะล่าสุดอยู่ที่ไหน รวมถึงใครเป็นเจ้าของ หรือ ดูแลในแต่ละช่วงเวลา           การป้องกันการใช้ซ้ำ เช่นเดียวกับการลงบัญชีแบบ UTXO การใช้สินทรัพย์หรือ UTXO หนึ่งไปแล้วจะไม่สามารถใช้อีกได้ เช่น สินค้าที่ถูกส่งออกแล้วจะไม่มีอยู่ในคลังเดิมอีก ทำให้ระบบสามารถป้องกันการใช้สินค้าซ้ำ หรือ สินค้าสูญหายได้           ความโปร่งใส และ การตรวจสอบ ในทุกๆ สินค้าจะมีบันทึกสถานะและเวลา ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องใน Supply Chain สามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าผ่านการตรวจสอบหรือขั้นตอนใดมาแล้วบ้าง และใครเป็นผู้รับผิดชอบในช่วงเวลานั้นๆ โดยอาจจะมีกระบวนการ Transaction History Tracing ที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกทั้งหมดใน Supply Chain เพิ่มเติมเข้ามาด้วย Transaction History Tracing เป็นกระบวนการตรวจสอบ และ ติดตามประวัติธุรกรรมย้อนหลังของสินทรัพย์บน Blockchain เพื่อหาว่าเงิน หรือ สินทรัพย์นั้นเคยถูกโอนผ่านใคร หรือ ใช้ในธุรกรรมใดบ้างตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง การทำงานนี้ใช้ได้กับระบบ Blockchain ที่มีการบันทึกข้อมูลธุรกรรมทั้งหมด และ ข้อมูลเหล่านั้นเชื่อมโยงกันในลักษณะเป็น Chain           จบกันไปแล้วครับกับ Episode 2 Accounting อย่างไรให้ถูกใจสาย Chain จากเนื้อหาทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า การใช้หลักการทำบัญชีของ Bitcoin หรือ UTXO ใน Supply Chain นั้นจะช่วยให้เรามี ระบบ Tracking & Traceability ที่โปร่งใสมากโดยทุกคนสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำได้ ลดปัญหาการปลอมแปลงข้อมูลใน Supply Chain และทำให้ทุกขั้นตอนของการเคลื่อนย้าย หรือ เปลี่ยนสถานะของสินค้าถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนทั้งหมด ผู้เขียน Tinnakorn Pornsontisakul รายละเอียดเพิ่ม คลิก

SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

SCB ค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.70-33.90 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าหลังเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือนมกราคม ออกมาที่ -9%MOM ต่ำกว่าตลาดคาดและต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี จากกลุ่มยานยนต์และอุปกรณ์กีฬา ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าต่อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มยานยนต์ในวันที่ 2 เมษายน ขณะที่นายกฯ เยอรมนีออกมาเตือนว่าพร้อมขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ หากสหรัฐฯเริ่มใช้ Tariffs ต่อ EU เศรษฐกิจยูโรโซนไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โต 1%QOQ สูงกว่าคาดการณ์

ราคาทองเช้าวันนี้ +50 ทองรูปพรรณ ขายออก 46,700 บ.

ราคาทองเช้าวันนี้ +50 ทองรูปพรรณ ขายออก 46,700 บ.

           หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  17 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาปรับขึ้น 50 บาท ” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 46,100.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,200.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 45,267.76 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 46,700.00 บาท

คัด 3 หุ้นผ่าทางตัน ท้าชน LTF รินขาย

คัด 3 หุ้นผ่าทางตัน ท้าชน LTF รินขาย

หุ้นวิชั่น - บล. กรุงศรี ประเมินทิศทางการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ฯสัปดาห์นี้ ว่า ดัชนีหุ้นไทย มีสัญญาณ “ฟื้นตัว” ต้าน 1286/1298 จุด รับ 1262/1252 จุด และต้องติดตามรายงาน GDP งวด 4Q24 คาดขึ้นทำจุดสูงสุดของปีที่ 3.8% y-y นอกจากนี้ ติดตามรายงานกำไร 4Q24F หุ้น Real Sector คาดหุ้นรายงานกำไรเด่นสัปดาห์นี้ อาทิ MTC, BBIK, BCPG หุ้นเด่น TRUE, MTC, BA • TRUE(TP25F-14.7): คาดกำไร 4Q24 จะเด่นในทิศทางเดียวกับ ADVANC + Yield ลดลง • MTC(TP25F-58.0): กำไร 4Q24 เด่น เติบโต y-y, q-q และปี 2025 ทำ New high ใหม่ • BA(TP25F-28.75): น้ำมันมีแนวโน้มขาลง + Valuation ถูกซื้อขายที่ P/E’25F ที่ 11.8x ใกล้เคียง -1SD ของค่าเฉลี่ย • LTF: สัปดาห์ที่ผ่านมา (จ. – พฤ.) กองทุน LTF ขายออกมาราว -2.4 พันล้านบาท ทำให้ยอด YTD ขายออกประมาณ -2.43 หมื่นล้านบาท ส่วนหุ้นใหญ่หลักๆในกลุ่มโรงกลั่นน่าจะฟื้นตัว y-y, q-q ขณะที่ต่างประเทศเน้นติดตาม Flash PMI ก.พ. 25 ฝั่งสหรัฐฯ ภาคบริการมีโอกาสทรงๆ m-m ตามองค์ประกอบเงินเฟ้อ PPI หนุน Yield สหรัฐฯ ยังซึมลงต่อ คาดหุ้นนำสัปดาห์นี้ หุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว) ผสาน หุ้น Yield ลดลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง High Growth) และหุ้นเกาะกระแส Domestic Long Term Fund มีสัญญาณบวก ฝั่ง 7 Value ICT, ชิ้นส่วน, โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield หนี้สูง High Growth

พีระพันธุ์ ดันค่าไฟต่ำ 4 บาท – โซลาร์ถูก 10,000 เครื่อง วางขายปีนี้!

พีระพันธุ์ ดันค่าไฟต่ำ 4 บาท – โซลาร์ถูก 10,000 เครื่อง วางขายปีนี้!

          หุ้นวิชั่น - พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แจงความคืบหน้าร่างกฎหมายกํากับกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ เผยวิธีลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่า 4 บาท เตรียมเร่งผลิตระบบโซลาร์ราคาถูกวางจำหน่ายในปีนี้ 10,000 เครื่อง           เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์พิเศษโดยเปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างกฎหมายกํากับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซว่า ภาพรวมเป็นไปด้วยดี แต่ก็มีข้อท้วงติงจากผู้เชี่ยวชาญว่าอาจมีช่องโหว่ในเรื่องของการกำหนดราคาก๊าซ เพราะกฎหมายฉบับนี้จะดูแลประชาชนไปถึงเรื่องของก๊าซด้วย นั่นคือ กรณีของก๊าซหุงต้ม LPG และก๊าซที่ใช้สำหรับรถยนต์ ตนจึงได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รวมทั้งผู้ชำนาญการช่วยกันทบทวนเพื่อปรับปรุงร่างกฎหมายในส่วนของก๊าซ เพื่อดูแลการกำหนดราคาให้ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งขณะนี้ก็ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว           ส่วนร่างกฎหมายเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการติดตั้งโซลาร์เซลล์นั้น นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า ทางพรรครวมไทยสร้างชาติได้ยื่นร่างกฎหมายนี้เข้าสภาฯไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่ทางรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานก็จะเสนอร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เข้าสู่สภาฯ ในเร็ว ๆ นี้ โดยขณะนี้กำลังรอให้ทางสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบร่างฯ ของกระทรวงพลังงานแล้วเสร็จ และจะเร่งนำเข้าสู่กระบวนการทำประชาพิจารณ์โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15-20 วัน ก่อนนำส่งเข้าสภาฯ เพื่อพิจารณาประกอบกับร่างฯ ที่เสนอจากพรรคการเมือง           ในส่วนของการปรับลดค่าไฟนั้น นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อหาแนวทางปรับลดค่าไฟมาตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2567 ที่ผ่านมา เพื่อหาทางปรับลดค่าไฟให้ได้ต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย และมีแนวโน้มว่าจะทำได้ แต่ต้องปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างและหลักเกณฑ์หลายอย่าง โดยเฉพาะการปรับระบบ Pool Gas แต่เผอิญว่าต้นปี 2568 มีประเด็นเพิ่มเติมเรื่องจะให้ลดค่าไฟลงมาเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย และสํานักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ซึ่งกำกับดูแลเรื่องค่าไฟ ก็ออกมาบอกว่าสามารถลดได้ ซึ่งสำหรับตนถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา ตนในฐานะรัฐมนตรีพลังงานต้องพยายามบริหารจัดการอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้มีการขึ้นค่าไฟทุก 4 เดือน จนสามารถตรึงค่าไฟไว้ได้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยไว้ได้ตลอดปี แต่อย่างไรก็ดี ข้อเสนอล่าสุดของ กกพ. ก็มีประเด็นที่อาจทำไม่ได้           “ทุก 4 เดือน ผมต้องพยายามบริหารจัดการเพื่อไม่ให้มีการขึ้นค่าไฟ เพราะถ้าลดยังไม่ได้ ก็อย่าขึ้น เพราะฉะนั้นปี 67 ทั้งปีเราได้ที่ 4 บาท 18 สตางค์มาตลอด ส่วนงวดปัจจุบันนี้ คือตั้งแต่ มกราคม-เมษายน 68 ผมก็ดําเนินการปรับลงมาที่ 4 บาท 15 สตางค์ แต่ก็ยังมีดราม่าบอกลดอะไร 3 สตางค์ ความจริงถ้าผมไม่ดําเนินการวันนั้น เขาบอกเขาจะขึ้นไป 5 บาทกว่า หรือไม่ก็ 4 บาทปลาย ๆ แต่อีกไม่กี่เดือนก็ต้องเหนื่อยต่อแล้ว เพราะค่าไฟงวดที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 68) จะมาแล้ว ทุกทีผมต้องเป็นคนไปขอให้ลด แต่อย่างน้อยคราวนี้ ทาง กกพ. บอกว่าลดได้ ผมก็ใจชื้น แต่ประเด็นคือ เขาบอกว่าการลดนี้ให้เป็นนโยบายรัฐบาล ให้ไปเลิกสัญญา Adder กับสัญญาที่เป็นปัญหา ที่เราเรียกว่า สัญญาชั่วนิรันดร์ คือสัญญาไม่มีวันหมด ผมในฐานะรัฐมนตรีพลังงานก็ได้พยายามศึกษาแก้ปัญหาเรื่องนี้ เพราะไปเซ็นสัญญากันไว้ตั้งแต่ยุคไหนว่า สัญญานี้ต่ออายุไปเรื่อย ๆ ทุกห้าปี ไม่มีวันหมด แล้วก็ราคาก็สูงเกินปกติ เพราะฉะนั้นมันทําไม่ได้ ที่บอกให้ไปลด 17 สตางค์ได้โดยวิธีเลิกสัญญา ถ้าเลิกก็โดนฟ้องนะครับ ตอนนี้เรากําลังศึกษาว่ามีวิธีการอะไรที่จะแก้ไขสัญญาทั้งสองแบบนี้อยู่เพราะประเด็นที่เสนอโดย กกพ.นั้น มันทําไม่ได้” นายพีระพันธุ์กล่าว           อย่างไรก็ดี นายพีระพันธุ์ได้มองเห็นทางออกในอีกมุมว่า การปรับลดค่าไฟสามารถทำได้จากการบริหารจัดการเชื้อเพลิง เพราะปัจจุบัน ประเทศไทยใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟอยู่ 3 แหล่งใหญ่ ๆ คือ อ่าวไทย เมียนมาร์ และจากต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันออกกลางที่นำเข้ามาเป็นก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ซึ่งมีราคาแพง และอิงราคาตลาดโลกที่ผันผวนตลอดเวลา แต่ถ้าหากสามารถปรับพอร์ต Pool Gas ให้เป็นสัดส่วนชัดเจน ระหว่างการนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าและการนำไปใช้ในอุตสาหกรรม ก็น่าจะทำให้ค่าไฟลดลงได้อีกถึงเกือบ 40 สตางค์ โดยตนจะเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้ทันค่าไฟงวดต่อไป           “ปัญหาเรื่องค่าไฟต่างกับปัญหาเรื่องน้ำมันเยอะมากและมีประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องเข้ามาแก้ไขเยอะมาก น้ำมันคือน้ำมัน แต่ค่าไฟ มันไม่ใช่แค่ค่าไฟ มันคือค่าแก๊ส ค่าถ่านหิน ค่าขนส่ง ค่าอะไรต่าง ๆ ที่บวกไว้ในสัญญา ค่าบริหารจัดการเงินกู้ของผู้ประกอบการ และที่สําคัญ ผมคิดว่าทํายังไงจะให้ กฟผ. กลับมาแข็งแรงแล้วก็เป็นหลักให้กับประชาชนในเรื่องของการผลิตไฟฟ้า แล้วกําหนดค่าไฟที่ถูกต้องเป็นธรรมมากขึ้น” นายพีระพันธุ์กล่าว           สำหรับกรณีที่มีกระแสว่าการทำงานของ รมว.พลังงาน จะไปขัดผลประโยชน์และสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มทุนนั้น นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ตนทำในสิ่งที่ต้องทำ ไม่ได้ทําเพื่อจะไปเป็นศัตรูกับใคร แต่ต้องทําในสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด.           “เราไม่ได้เจตนาไปทําอะไรใคร คนเขาพูดไปเอง สื่อก็พูดไปเรื่อยนะครับ จริงๆ ผมก็ทํางานในสิ่งที่ต้องทํา เมื่อมาเห็นอะไรต้องปรับปรุงก็ต้องทํา และที่สําคัญก็คือว่ามันไม่ใช่เราคนเดียว มันเป็นนโยบายรัฐบาล และถ้าหากจําได้นะครับ ท่านนายกรัฐมนตรีได้ไปประกาศที่ NBT เรื่องของการปรับลดค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน และท่านก็มอบหมายให้ผมเป็นคนทํา เพราะฉะนั้นมันก็เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทํา ทั้งนโยบายส่วนตัว ทั้งนโยบายของพรรคของผมรวมถึงนโยบายรัฐบาลมันตรงกันในเรื่องตรงนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาทํา เราก็ต้องทํานะครับ เราไม่ได้ทําเพราะว่า มันจะกระทบใคร หรือจะเกิดอะไร แต่ต้องทําในสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ ประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด และผมพูดเสมอว่านายทุนหลักคือประชาชน” นายพีระพันธุ์กล่าว           นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าของการพัฒนาเครื่อง Inverter สำหรับติดตั้งกับระบบโซลาร์เซลล์สิทธิบัตรของคนไทย ซึ่งกระทรวงพลังงานมีแผนจะนำออกจำหน่ายในราคาถูกให้กับประชาชนในปีนี้ว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในขั้นตอนที่ 2 และ 3 หลังจากผ่านการทดสอบขั้นตอนแรกของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) โดยทางผู้ออกแบบกำลังนำอุปกรณ์ต้นแบบไปทดสอบที่ห้องแล็บในประเทศจีนภายใต้การรับรองของ สวทช. ทั้งนี้เพื่อความรวดเร็วและความสะดวกในการปรับปรุงอุปกรณ์ และเมื่อผ่านการทดสอบแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการผลิต ซึ่งทางกระทรวงพลังงานจะร่วมกับบริษัทในเครือของ กฟผ. และ ปตท. ในการผลิตและจําหน่ายให้ประชาชนในราคาถูก โดยจะเตรียมการผลิตเบื้องต้นประมาณ 10,000 เครื่อง และคาดว่าจะทำให้ประชาชนสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ได้ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 60% อีกทั้งยังมีการจัดหาเงินทุนสนับสนุนในเรื่องของการติดตั้งและการลดหย่อนภาษีด้วย           “ ผมได้คุยกับท่านรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ท่านดูแลเอสเอ็มอีแบงค์ ก็จะให้ทางเอสเอ็มอีแบงค์มาช่วย สําหรับคนที่ไม่มีเงินทุนพอ ก็จะสามารถไปกู้ยืมเงินจากเอสเอ็มอี แล้วผมก็จะสนับสนุนอีกบางส่วนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานเพื่อช่วยเหลือเรื่องดอกเบี้ย และส่วนที่กระทรวงพลังงานเดินหน้าไปแล้วก็คือ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะให้กระทรวงการคลังช่วยหักลดหย่อนภาษีด้วย” นายพีระพันธุ์กล่าว

ททท. ชูวิวาห์ใต้สมุทร   กระตุ้นท่องเที่ยว จ.ตรัง 

ททท. ชูวิวาห์ใต้สมุทร  กระตุ้นท่องเที่ยว จ.ตรัง 

          หุ้นวิชั่น - การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชนจังหวัดตรัง จัดกิจกรรมงาน Amazing Thailand Love Wins Festival @ วิวาห์ใต้สมุทร เชิญชวนคู่รักทุกชาติ เข้าร่วมพิธีแต่งงานสมรสเท่าเทียม และจดทะเบียนสมรสใต้ท้องทะเลตรังในระหว่างวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568  ณ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม พร้อมกิจกรรมเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งขบวนพาเหรดความรักที่เท่าเทียม แต่งเติมสีสัน ความสนุกสนาน และดินเนอร์แสนโรแมนติกมอบให้คู่รัก เติมเต็มความรัก ใครก็รักกันได้ ความรักชนะทุกอย่างบนโลกนี้ให้สมบูรณ์แบบ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าร่วมงาน สร้างรายได้ให้จังหวัดตรัง           นางจิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและ ททท. เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลวันแห่งความรักนี้ ททท. ได้ร่วมมือกับภาครัฐ และภาคเอกชนจังหวัดตรัง จัดงาน Amazing Thailand Love Wins Festival @ วิวาห์ใต้สมุทร ขึ้นในวันที่ 13 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อให้คู่รักได้ร่วมพิธีจดทะเบียนสมรสใต้ท้องทะเลตรัง และร่วมเฉลิมฉลองให้กับความหลากหลายของความรักและการสมรสเท่าเทียม ให้ทุกคู่รักได้ร่วมเป็นหนึ่งในงานวิวาห์ใต้สมุทร ภายหลังจากที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมได้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา           ทั้งนี้ จังหวัดตรังเป็น 1 ใน 10 จังหวัดเมืองน่าเที่ยวที่มีศักยภาพและสามารถผลักดันสู่การพัฒนาเป็นเมืองหลัก มีหาด Sunset beach 1 ใน 10 ของจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด และได้รับการโหวตจาก Lonely Planet เป็น Best in Travel 2025 มีเกาะกระดาน ได้รับการจัดอันดับเป็นชายหาดที่ดีที่สุดในโลก จากเว็บไซต์ World Beach Guide จังหวัดตรังมีความหลากหลายทางด้านประเพณี ธรรมชาติ อาหาร เชื้อชาติ ซึ่งทุกอย่างรวมตัวกันอย่างสมดุล มีเอกลักษณ์ที่สามารถเป็นจุดหมายปลายทางสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้อย่างแน่นอน           โดยกิจกรรมในครั้งนี้ยังมุ่งประชาสัมพันธ์และกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวจังหวัดตรัง เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย นำไปสู่การส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่กระจายรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป           กิจกรรมงานวิวาห์ใต้สมุทรในปีนี้ มีกิจกรรมหลัก 3 ส่วน ได้แก่ การจัดขบวนพาเหรด Amazing Thailand Love Wins Carnival โดยมีคู่รักศิลปิน และ Influencer อาทิ สายป่าน-คุณวุฒิ พอร์ช-อาร์ม คู่รัก LGBTQIAN+ และกลุ่มแดร็ก พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และโรงเรียนร่วมขบวนสร้างสีสันของความรักที่มีความหลากหลาย มอบความสนุกสนาน ความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มจากทั่วโลก โดยขบวนพาเหรดมีเส้นทางจาก วงเวียนพะยูน-ตลาดเทศบาลนครตรัง-สี่แยกธรรมรินทร์-ถนนพระราม 6-หอนาฬิกาตรัง ประกอบด้วย 6 ขบวน ได้แก่ The World-Class Procession of Khan Mak: ขบวนขันหมากบันลือโลก, The Miracle Love of Under the Sea: ปาฏิหาริย์รักใต้ท้องทะเล, Save the World with Love: รักษ์โลกใบนี้ด้วยรัก, Treasures of Trang: ของดีเมืองตรัง, Love Wins: รักชนะทุกสิ่ง และ Love is Giving: เพราะรักคือการให้ การจดทะเบียนสมรสใต้ท้องทะเล รดทรายสังข์ ในกิจกรรม Wedding Moment On the Beach : Under the Sea อันเป็นไฮไลต์สำคัญของงาน พร้อมบันทึกภาพประทับใจ ท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยงามของเกาะกระดาน และ Sunset Beach สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม รวมถึงการจัดงานเลี้ยงฉลองวิวาห์คู่รัก Dinner Love wins Party สุดโรแมนติกจะจัดขึ้นที่หาดวิวาห์ใต้สมุทร ภายในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ซึ่งเชื่อว่าการจัดงานในปีนี้ จะเป็นการเติมเต็มให้คู่รักทุกคู่ ได้มีพิธีวิวาห์ที่สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน           โดยในปีนี้ พิธีวิวาห์ใต้สมุทรจะได้สร้างความฮือฮาให้กับโลกอีกครั้ง โดยการเปิดโอกาสให้คู่รัก สมรสเท่าเทียมทุกชาติ ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานวิวาห์ระดับโลกนี้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ในโอกาสที่ประเทศไทยประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเติมเต็มความรักที่สมบูรณ์แบบให้กับคู่รักทุกคู่บนโลกใบนี้ และยังเป็นการสร้างความรักตำนานใหม่ให้กับ “พิธีวิวาห์ใต้สมุทร” ณ จังหวัดตรัง ให้ยิ่งใหญ่สมบูรณ์เป็นที่ประทับใจไปทั่วโลกอีกด้วย [PR News]

The 1 Insight เผยเทรนด์วาเลนไทน์ 2025 ชี้ ‘Healthy Gifting’ มาแรง!

The 1 Insight เผยเทรนด์วาเลนไทน์ 2025 ชี้ ‘Healthy Gifting’ มาแรง!

          หุ้นวิชั่น - The 1 Insight เผยเทรนด์วาเลนไทน์ 2025 พบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค หันมานิยมเลือกซื้อ ของขวัญแนวสุขภาพ (Healthy Gifting) ให้กับคนรักมากขึ้น ในภาพรวม ของขวัญแนวสุขภาพมีการเติบโตสูงขนึ้ ถึง 2 เท่า           โดย 5 สินค้าขายดีสูงสุด ได้แก่ เครื่องออกกำลังกาย สมาร์ทวอทช์รองเท้ากีฬา ชุดออกกำลังกาย และอุปกรณ์กีฬา สะท้อนถึงไลฟ์ สไตล์ของคนในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญ กับสุขภาพมากขึ้น และมีแนวโน้มสูงขึ้น ตามช่วงวัย           โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y, Gen X และ Baby Boomer สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ “Health & Wellness” ที่กำลังมีอิทธิพลทั่วโลกภาพรวมในประเทศไทย การใช้จ่ายช่วงวาเลนไทน์ยังคงเติบโตอย่างตอ่ เนื่อง โดยในปีนี้ ยอดการใช้จ่ายภาพรวมเพิ่มขึ้นจากปี ก่อนกว่า 20% แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังคงให้ความสำคัญกับเทศกาลวาเลนไทน์และถือเป็นโอกาสที่จะแสดงความรักต่อคนรอบข้าง โดยมีกิจกรรมส าคัญคือการมอบของขวัญต่อกัน โดยเมื่อวิเคราะห์ตามช่วง วัย The 1 Insight พบว่า ทัศนคติของคนแต่ละกล่มอายุส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงวาเลนไทน์อย่างเห็นได้ชัด • Gen Z (13-28 ปี ) เน้นสนุกเต็มที่กับวันแห่งความรัก นิยมซื้อเครื่องสำอางและน้ำหอม โดยเฉพาะลิปสติกและ อายแชโดว์ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ • Gen Y (29-44 ปี ) เริ่มดูแลสุขภาพและความงามมากขึ้น มียอดการใช้จ่ายสูงขึ้นในกลุ่มสปอร์ตแวร์จิวเวลรี่ และแอ็กเซสเซอรี่แฟชั่น เนื่องจากมองว่าของขวัญเหล่านี้สามารถเสริมสุขภาพและบุคลิกภาพตามช่วงวัย • Gen X (45 –60 ปี) ไปจนถึง Baby Boomer (61-79 ปี) ยิ่งเน้นหนักการดูแลสุขภาพเพื่อเอาใจใส่กันอย่างลึกซึ้ง นิยมซื้ออุปกรณ์กีฬา สกินแคร์ รวมถึงจับจ่ายวัตถุดิบส าหรับท าอาหารฉลองที่บ้าน ซึ่งสะท้อนถึงการให้คุณค่ากับ การดูแลตัวเองและการใช้ชีวิตที่สมดุล           ข้อมูลจาก The 1 Insight ยังเผยลิสต์ 10 ของขวัญวาเลนไทน์มาแรงปี 2025 ที่มียอดขายเติบโตสูงสุด ได้แก่1. ดอกไม้2.เครื่องออกกำลังกาย 3. สมาร์ทวอทช์ 4. จิวเวลรี่ 5. ตุ๊กตา 6. สปอร์ตแวร์ 7. ช็อกโกแลต/คุกกี้8. นาฬิกา 9. น้ำหอม 10.รองเท้ากีฬา           ผลสำรวจความคิดเห็นในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ 2025 โดย CRC VoiceShare เผยว่า 80% คิดว่าวาเลนไทน์เป็น “วันสำหรับการแสดงออกความรักและความห่วงใย” มีเพียง 15% คิดว่าเป็น “เทศกาลหนึ่งสำหรับวัยรุ่น” และ 5% คิดว่าเป็น “การสร้างโอกาสทางธุรกิจ” กิจกรรมยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ ออกไปทานอาหารนอกบ้าน ช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า ชมภาพยนตร์ ทำอาหารทานที่บ้าน และออกกำลังกาย นอกจากนั้น ยังพบว่าคนไทยเลือกมอบของขวัญให้กับคนใน ครอบครัวเป็นอันดับหนึ่งที่ 45% รองลงมาคือคนรัก 40% เพื่อน 10% และตนเอง 5% โดยส่วนใหญ่มีงบประมาณอยู่ที่ 500 –2,000 บาทต่อชิ้น และซื้อล่วงหน้า 1 สัปดาห์ก่อนถึงวันวาเลนไทน์

รมว. คลัง ตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับตลาดทุน

รมว. คลัง ตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับตลาดทุน

        หุ้นวิชั่น - นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ กำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) จำนวน 2 ราย ได้แก่ นายชนันต์ ชาญชัยณรงค์ และนางวารุณี ปรีดานนท์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2568 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งแทนนางศรัณยา จินดาวณิค และนายเอกชัย จงวิศาล ที่ครบวาระ นายชนันต์ ชาญชัยณรงค์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมเคมี จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ จาก Seattle University ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย นางวารุณี ปรีดานนท์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (เกียรตินิยม) บัญชีบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ จาก Western Illinois University ประเทศสหรัฐอเมริกา  ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่สำคัญ เช่น กรรมการและประธานคณะกรรมการวิชาชีพบัญชีด้านการวางระบบบัญชี สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นต้น

คลังเล็งทบทวนแผนเก็บภาษี หวังเห็นโอกาสลงทุนไหลกลับ

คลังเล็งทบทวนแผนเก็บภาษี หวังเห็นโอกาสลงทุนไหลกลับ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า รมว. คลัง เปิดเผย กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาที่จะปรับปรุงกฎหมายการเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยนำเงินเข้าประเทศ ซึ่งตนกำลังพิจารณาทบทวนกฎหมายนี้เพื่อสนับสนุนให้คนไทยนำเงินเข้าประเทศ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET ที่มีโอกาสเห็นเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลกลับเข้ามาลงทุน และหุ้น Big Cap เน้นหุ้น 7 Value ที่เรา ประเมินทุกๆ 1 หมื่นล้านบาทที่กลับเข้ามาจะหนุน SET ได้ราว 20-25 จุด อย่างไรก็ตาม ในส่วนดังกล่าวยังต้องติดตามรายละเอียดมาตรการอีกครั้ง

ราคาทองเช้าวันนี้

ราคาทองเช้าวันนี้ "ราคาไม่เปลี่ยนแปลง" ทองรูปพรรณ ขายออก 47,200 บ.

  หุ้นวิชั่น – เช้าวันที่  14 กุมภาพันธ์ 2568 สมาคมค้าทองคำ ได้แจ้งราคาทองคำซึ่ง “ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง” โดยการซื้อขายครั้งที่ 1 ราคาทองแท่ง ปัจจุบันรับซื้ออยู่ที่ 46,600.00 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 46,700.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้ออยู่ที่ 45,768.04 บาท และราคาขายออกอยู่ที่ 47,200.00 บาท

ASW เปิดคอนโดติดรฟฟ. 0 ม.

ASW เปิดคอนโดติดรฟฟ. 0 ม. "Atmoz De Sol Thipphawan Station"

          “แอสเซทไวส์” เปิดคอนโดใหม่ “แอทโมซ เดอ โซล ทิพวัล สเตชั่น” (Atmoz De Sol Thipphawan Station) ติดรถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีทิพวัล 0 ม. เชื่อมสายสีเขียวสุขุมวิทใน 1 สถานี ติดถนนเทพารักษ์ ใกล้แหล่งงาน-สถานศึกษา-ไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและลงทุน Yield สูงสุด 6%* โชว์คอนเซ็ปต์ความสมดุลของชีวิตผ่านงานออกแบบ Asian Oriental Design ส่วนกลางสไตล์รีสอร์ท เยอะสุดในย่านกว่า 30 รายการ ชูไฮไลท์สระว่ายน้ำทุกอาคารรวม 3 สระ พร้อม Private Onsen แห่งเดียวในทำเลบางนา! เปิดชมห้องตัวอย่างครั้งแรก 22 ก.พ. นี้           นางสาวพชร ประพันธ์วัฒนะ กรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม “แอทโมซ เดอ โซล ทิพวัล สเตชั่น” (Atmoz De Sol Thipphawan Station) มูลค่าโครงการ 1,700  ล้านบาท โครงการที่อยู่อาศัยแห่งแรกของแอสเซทไวส์บนทำเลบางนา-เทพารักษ์ ซึ่งออกแบบภายใต้แนวคิด “Sense The Living Soul” สัมผัสสุนทรียะแห่งสมดุลผ่าน Asian Oriental Design ที่นำองค์ประกอบของพระอาทิตย์และพระจันทร์ มาผสานกับพื้นผิววัสดุ ลายผ้า และเส้นสายสไตล์ญี่ปุ่น สื่อถึงความสมบูรณ์และความสมดุลของการใช้ชีวิต บนทำเลศักยภาพใกล้แหล่งงาน สถานศึกษา และแหล่งไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์ทั้งซื้ออยู่อาศัยเองและลงทุนปล่อยเช่า โดยจะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรกวันที่ 22 ก.พ. 2568 นี้           “ทำเลบางนา-เทพารักษ์ ถือเป็นหนึ่งในแหล่งงานสำคัญของประเทศไทย เพราะเป็นที่ตั้งฐานการผลิตของบริษัทชั้นนำทั้งในไทยและต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจมายาวนาน รายล้อมด้วยสถานศึกษาเอกชนและโรงเรียนนานาชาติหลายแห่ง มีเส้นทางการคมนาคมที่ครอบคลุม ทั้งถนนสายหลัก ทางด่วน และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ทำให้ทำเลนี้มีดีมานด์ที่อยู่อาศัยค่อนข้างสูง โดยห้องชุดแต่งพร้อมอยู่ในย่านนี้สามารถปล่อยเช่าได้ตั้งแต่ 8,000-12,000 บาทต่อเดือน มีอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Yield) ประมาณ 5.5-6% ต่อปี* ด้วยศักยภาพของทำเล เราจึงเลือก Atmoz แบรนด์คอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทที่โดดเด่นด้วยส่วนกลางขนาดใหญ่ มาเป็นแบรนด์แรกในการเจาะตลาดนี้ เพื่อตอบโจทย์ทั้งผู้อยู่อาศัยและนักลงทุนที่มองหาความคุ้มค่าในระยะยาว” นางสาวพชร กล่าว           สำหรับโครงการแอทโมซ เดอ โซล ทิพวัล สเตชั่น (Atmoz De Sol Thipphawan Station) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 11 ชั้น จำนวน 1 อาคาร และอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร จำนวนห้องพัก 690 ยูนิต และพื้นที่เชิงพาณิชย์ 4 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ ติดถนนเทพารักษ์ หนึ่งในถนนสายหลักของจังหวัดสมุทรปราการ สามารถเชื่อมต่อกับถนนสุขุมวิท ถนนศรีนครินทร์ ใกล้ทางด่วนบางนาและวงแหวนอุตสาหกรรม จึงเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก หรือเดินทางออกนอกเมืองไปยังบางบ่อ บางพลี และบางปู ซึ่งเป็นแหล่งนิคมอุตสาหกรรมและแหล่งงานที่สำคัญได้เช่นกัน ทั้งยังติดรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีทิพวัล เพียง 0 ม. แค่ 2 สถานี ถึง Foodland ศรีนครินทร์ (เปิด 24 ชม.) และเพียง 7 สถานีถึง Seacon Square และ Paradise Park ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สามารถไปยังสถานีสำโรงได้ภายใน 1 สถานี จึงเข้าถึงย่านใจกลางเมือง เช่น เอกมัย ทองหล่อ และอโศกได้อย่างง่ายดาย           นอกจากนี้ ยังรายล้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ทั้งศูนย์การค้า สถานศึกษา และแหล่งงาน เช่น โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ, โรงเรียนนานาชาติ St.Andrews, โรงเรียนเซนต์โยเซฟทิพวัล, โรงงานขนาดใหญ่ เช่น ฮีโน่ มอเตอร์ส และเด็นโซ่ (ประเทศไทย), คอมมูนิตี้มอลล์ Palm Island, ห้าง Imperial Samrong และเมกะโปรเจกต์ในอนาคตอย่าง Bangkok Mall           ภายในโครงการมีห้องพักแบบ Fully Furnished ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที ทั้งรูปแบบ 1 Bedroom ขนาดตั้งแต่ 23-27 ตร.ม. และ 1 Bedroom Plus ขนาด 37 ตร.ม. ทั้งยังมอบบรรยากาศสไตล์รีสอร์ท ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันกว่า 30 ฟังก์ชัน อาทิ Sol Lounge ล็อบบี้แบบ Double Volume สูงโปร่ง Private Cafe พื้นที่ทำงานส่วนตัว Game Room & Creative workspace สำหรับพักผ่อนสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ทุกอาคารรวม 3 สระ และ Private Onsen แยกบ่อน้ำร้อน-น้ำเย็นแห่งเดียวในย่านบางนา รองรับทุกไลฟ์สไตล์การพักผ่อน ราคาเริ่มต้น 1 ล้านกว่าบาท โดยจะเปิดเผยราคาอย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรกวันที่ 22 ก.พ. 68 นี้           ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการ Atmoz De Sol Thipphawan Station และลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท ได้ที่ https://bit.ly/3COotVr  หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Add LINE @atmozdesol หรือ โทร 02-168-0000 [PR News]

ตลท. ยกระดับมาตรฐานบรรษัทภิบาล ตอกย้ำหน้าที่กรรมการตรวจสอบ ผู้บริหาร และผู้ลงทุน

ตลท. ยกระดับมาตรฐานบรรษัทภิบาล ตอกย้ำหน้าที่กรรมการตรวจสอบ ผู้บริหาร และผู้ลงทุน

            หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย จัด SET Sustainability Forum 1/2025 ภายใต้แนวคิด “Strengthening Market Confidence Through Audit Excellence” ในวันที่ 13 ก.พ. 2568 โดยเชิญ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์  สมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย ร่วมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านบรรษัทภิบาล ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน แสดงวิสัยทัศน์ และแลกเปลี่ยนมุมมองในการยกระดับการกำกับดูแลกิจการไทย สอดรับมาตรฐานการตรวจสอบภายในฉบับใหม่ พร้อมผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่าง AC-CEO-CAE             ศาสตราจารย์ ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวในปาฐกถาพิเศษ "Strengthening Market Confidence Through Audit Excellence" ว่า การเสริมสร้างธรรมาภิบาลและการเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่บริษัทจดทะเบียน ด้วยการให้ความสำคัญกับระบบควบคุมภายใน ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ต้องปฏิบัติหรือจัดให้มีเพื่อให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ (Compliance Issue) เท่านั้น แต่คณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบควรให้ความสำคัญ (Tone at the top) และกำหนดเป็นประเด็นเชิงกลยุทธ์ (Strategic Issue) เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินงานให้มีระบบควบคุมภายในที่มีความเพียงพอและเหมาะสมในบริษัทจดทะเบียน ดังนั้น Tone at the top จึงเป็นกลไกที่สำคัญมาก             ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายของตลาดทุนโลก ทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และวิกฤตความเชื่อมั่น การยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการและการตรวจสอบภายใน คือกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งการผสานความร่วมมือระหว่าง Audit Committee (AC), Chief Executive Officer (CEO) และ Chief Audit Executive (CAE) หรือที่เรียกว่า 'The Governance Trinity' จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้             นายพงศ์ศักดิ์ แสงสิงคี นายกสมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย ย้ำถึงมาตรฐานการตรวจสอบภายในฉบับใหม่ที่เริ่มบังคับใช้เมื่อปลายปี 2567 ซึ่งได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องมาตรฐานสากล คำนึงถึงบริบทของตลาดทุนไทย และมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่าง AC-CEO-CAE เพื่อมุ่งยกระดับการกำกับดูแลกิจการสู่การสร้างมูลค่าที่ยั่งยืน             นอกจากนี้ ภายในงานยังมี 2 หัวข้อเสวนาที่น่าสนใจ 1) “The Governance Trinity: AC, CEO, and CAE Partnership” ได้รับเกียรติจาก ดร. ศุภมิตร เตชะมนตรีกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย ร่วมด้วย นายอนุวัฒน์ จงยินดี กรรมการตรวจสอบ บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป และนางอมราภรณ์ ศิวเสน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Internal Audit ธนาคารยูโอบี จำกัด(มหาชน) แลกเปลี่ยนมุมมองความสำคัญของการบูรณาการการทำงานระหว่าง AC, CEO และ CAE และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบภายใน 2)  “From Governance to Growth: The Value Creation Journey” ได้รับเกียรติจากนางสาวสุวภา เจริญยิ่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์ฯ นายครรชิต บุนะจินดา กรรมการตรวจสอบ บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ. กสิกรไทย และ ดร. วราพงศ์ วงศ์วัชรา หัวหน้าสำนักงานความยั่งยืน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ร่วมแบ่งปันมุมมองการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมาตรฐานการกำกับดูแลในปัจจุบันต่อการสร้างมูลค่าและคุณค่าของธุรกิจในระยะยาว             ติดตามรายละเอียดงานสัมมนาและข่าวสารด้านความยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทาง www.SETSustainability.com และ LINE Official: @SETsustainability