แนวโน้มหุ้นกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ [HoonVision x FynnCorp]

          หุ้นวิชั่น – รายได้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เติบโตขึ้นในปีที่ผ่านมาตามอัตราค่าขนส่งและมูลค่าการส่งออกและนำเข้า ขณะที่ไทยยังเผชิญกับการขาดดุลทางการค้ามูลค่ากว่า 6,200 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 11 เดือนแรกของปีก่อน โดย Freight forwarder เป็นอีกกลุ่มที่น่าจับตามองท่ามกลางสภาวะการแข่งขันรุนแรง รวมถึงความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยมีห้าผู้เล่นที่จดทะเบียนใน SET ได้แก่ ANI, III, WICE, SINO และ B

กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์แม้ชะลอตัวลง แต่แนวโน้มยังเติบโต

          รายได้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในปี 2567 เติบโตขึ้นตามอัตราค่าขนส่งและตามการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกและนำเข้าที่ขยายตัว 5.1% และ 5.7% YoY ในช่วง 11 เดือนแรกของปี ตามลำดับ (คิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ) ขณะเดียวกัน ไทยยังเผชิญกับการขาดดุลทางการค้ามูลค่า 6,270 ล้านเหรียญสหรัฐ (อ้างอิง TPSO) โดยการส่งออกของไทยเติบโตเป็นอันดับที่ 6 ในภูมิภาคเอเชีย ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ อเมริกา จีน และ ญี่ปุ่น

          ในปี 2568 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) คาดรายได้ของผู้ให้บริการจะเติบโตชะลออยู่ที่ 3.4% YoY มูลค่าประมาณ 9 แสนล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจมาพร้อมการกีดกันการค้าเพิ่มขึ้น รวมถึงการบริโภคภายในประเทศเติบโตช้าลง ขณะที่อัตราค่าขนส่งเฉลี่ยจะใกล้เคียงกับปี 2567 แต่จะมีโอกาสผันผวนมากขึ้น ซึ่งค่าขนส่งมีแนวโน้มทรงตัวยกเว้นค่าขนส่งทางเรือที่คาดว่าจะลดลง ส่วนต้นทุนจะลดลงตามราคาน้ำมันดิบโลก

          โดยสภาวะการแข่งขันในกลุ่มธุรกิจยังคงสูงต่อเนื่องทั้งในด้านราคาและคุณภาพ ซึ่งผู้ให้บริการ Freight forwarder จะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่อาจมีแนวโน้มขยายตัวและเป็นโอกาสที่ผู้ให้บริการเหล่านี้ เพิ่มคุณภาพการบริการ ลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน หรือผู้ให้บริการรายเล็กอาจเล็งเห็นโอกาสในการเน้นให้บริการเฉพาะทาง (Niche services) มากขึ้น เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน อย่างเช่น การขนส่งสินค้าแช่เย็น (Cold chain) ยา หรือสินค้าอันตราย เป็นต้น หรือแม้แต่การกระตุ้นให้มองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีการเติบโตอย่าง CLMV

เปรียบเทียบหุ้นกลุ่ม TRANS: ผู้ให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้า

          หุ้นขนส่งและโลจิสติกส์ (TRANS) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปัจจุบัน แบ่งเป็นกลุ่มได้หลากหลาย อย่างเช่น กลุ่มผู้ให้บริการขนส่งสินค้า (Freight transport) กลุ่มบริการขนส่งคน ทั้งทางบก ทางอากาศ และกลุ่มผู้ให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้า (Freight forwarder) เป็นต้น ในที่นี้ เราจะกล่าวถึงกลุ่มที่เป็น Freight forwarder ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ส่งสินค้า ทำหน้าที่แทนผู้ส่งออกและผู้นำเข้าในเรื่องจัดการขนส่ง เอกสาร พิธีการศุลกากร และไม่ได้มีเรือเดินทะเลหรือตู้คอนเทนเนอร์เป็นของตัวเอง แต่จะเป็นคนกลางประสานงานระหว่างผู้นำเข้า-ส่งออก และผู้ขนส่ง (สายเดินเรือ สายการบิน ผู้ให้บริการรถบรรทุก) โดยผู้เล่นกลุ่มนี้ที่จดทะเบียนใน SET ได้แก่ ANI, III, WICE, SINO และ B (อ้างอิงการวิเคราะห์การจัดกลุ่มจาก SCB EIC)

          ANI (Asia Network International) ถือว่าเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในกลุ่ม Freight forwarder ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) มากกว่า 6,200 ล้านบาท ตามมาด้วย III (Triple i Logistics) มูลค่ากว่า 4,038.8 ล้านบาท, WICE (2,333.8 ล้านบาท), SINO (842.4 ล้านบาท) และ B (565.2 ล้านบาท) ตามลำดับ (อิงข้อมูล ณ วันที่ 16 ม.ค. 68)

รายได้กลุ่ม Freight forwarder โตเฉลี่ย 44% ตามการขนส่งสินค้าทางทะเลและอากาศ

          ในปี 2567 รายได้ใน 9 เดือนแรกของกลุ่ม Freight forwarder นี้ โตขึ้นเฉลี่ย 44% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีสัดส่วนการโตมากกว่าผู้เล่นอื่นในกลุ่ม TRANS ด้วยกัน และเติบโตตามการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก

          หากดูเป็นรายบริษัท จะพบว่า ANI เติบโตขึ้นเกือบ 50% YoY จากการขยายสัญญาสายการบินเพิ่มขึ้น ปริมาณการขนส่งเพิ่ม 24.5% โดยเฉพาะจากประเทศฮ่องกง จีนและเวียดนาม ส่วน III (Triple) มีปัจจัยสนับสนุนหลักจากธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศที่เน้นการให้บริการ Multimodal Transportation (ใช้วิธีการขนส่งมากกว่าหนึ่งประเภท) เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศเพื่อนบ้านไปยังประเทศปลายทางด้วยการใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่ง ท่ามกล่างการเติบโตของ e-Commerce อีกทั้ง WICE เติบโตจากรายได้ของบริการ Sea Freight (ความต้องการขนส่งสินค้าทางทะเล) ที่ขยายตัวขึ้นจากปีก่อนกว่า 37% ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนและอเมริกา ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับ SINO ที่รายได้เพิ่มขึ้น 120% จากปริมาณความต้องการ Sea Freight สูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะเส้นทางสหรัฐอเมริกาและยุโรป

ผลการดำเนินงานได้รับผลจากอัตราแลกเปลี่ยนและการแข่งขันที่รุนแรง

          อย่างไรก็ตาม แม้รายได้จะโตขึ้น แต่ผู้เล่นเหล่านี้ได้เผชิญกับการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบกับ ต้นทุนการให้บริการที่สูงขึ้นตามค่าขนส่ง ราคาน้ำมัน การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโต โดยสรุปเป็นรายบริษัท ดังนี้

  • ANI: ต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น จากการขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตของสัญญาสายการบิน ประกอบกับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
  • III: กำไรขั้นต้นลดลงจากการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางการแข่งขันสูงขึ้นในธุรกิจการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล
  • WICE: ต้นทุนในการบริการเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวของราคาน้ำมันสูงขึ้นในไตรมาส 3
  • SINO: ต้นทุนการบริการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่า Freight ที่สูงขึ้นและการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น และการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้บริษัทต้องรับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน

          จากเหตุผลข้างต้น ส่งผลให้กำไรสุทธิใน 9 เดือนแรกปี 2567 ของผู้เล่นกลุ่มนี้ ลดลงเฉลี่ย 44% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

          หากดูจากอัตราส่วน ROE และ ROA ใน 9 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า III (Triple), WICE และ ANI มีอัตราส่วนเหล่านี้สูงเป็น 3 อันดับแรกของกลุ่ม แสดงถึงประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นและการใช้สินทรัพย์ของบริษัทในการสร้างกำไรที่ดี โดย III เป็นผู้นำทั้งด้าน ROE และ ROA สะท้อนถึงความได้เปรียบจากค่าบริการและสามารถเพิ่มรายได้จากบริการที่เน้น Multimodal Transport หรืออาจมีการควบคุมต้นทุนได้ดีเมื่อเทียบกับผู้เล่นในกลุ่ม ส่วน ANI เด่นเรื่องการใช้สินทรัพย์ได้มีประสิทธิภาพ ขณะที่ WICE มี ROE สูงกว่ารองลงมา

          จากกราฟแสดงให้เห็น III มี Dividend Yield สูงสุด (อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล) สะท้อนการจ่ายปันผลระดับสูงกว่าคู่แข่งและหากดูจาก P/E ราคาหุ้นไม่สูงเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาราคาหุ้นที่คุ้มค่าและเน้นผลตอบแทนจากปันผล ส่วน WICE มี Dividend yield สูงรองลงมา ขณะที่ P/E สูงเป็นอันดับสอง สะท้อนว่านักลงทุนอาจมองถึงการเติบโตดี พร้อมมีเงินปันผลสูง

อ่านรายละเอียดเพิ่ม ที่ https://app.visible.vc/shared-update/5b104f10-1620-4149-9f28-19612c68ebcc

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตลาดทุนพร้อมรับ Thai ESGX ตั้งเป้าเงินลงทุน ไม่ต่ำกว่า 20,000 ลบ.

ตลาดทุนพร้อมรับ Thai ESGX ตั้งเป้าเงินลงทุน ไม่ต่ำกว่า 20,000 ลบ.

จับตาศึกการค้าสหรัฐ-จีน กระทบส่งออกเกษตรไทยแค่ไหน?

จับตาศึกการค้าสหรัฐ-จีน กระทบส่งออกเกษตรไทยแค่ไหน?

Zero Knowledge Proof เทคโนโลยีใหม่ในการแก้บัญชีม้า [HoonVision x TokenX]

Zero Knowledge Proof เทคโนโลยีใหม่ในการแก้บัญชีม้า [HoonVision x TokenX]

กบน. ลดเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ 40 สตางค์ ตรึงราคาขายปลีกหน้าปั๊ม

กบน. ลดเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ 40 สตางค์ ตรึงราคาขายปลีกหน้าปั๊ม

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด