หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน 5 หุ้น mai ประกาศผลประกอบการปี 67 พลิกมีกำไรสูงสุด ได้แก่ ALPHAX เทิร์นอะราวน์แรง 411% รองลงมา JSP พลิกกำไร 363.20% KK พลิกกำไร 333.33% ADB พลิกกำไร 173.26% และ UBIS พลิกกำไร 128.69%
ผู้สื่อข่าว รายงาน จากตลาดหลักทรัพย์ พบ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ประกาศผลประกอบการปี 2567 และประกาศผลประกอบการปี 67 พลิกมีกำไรสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
บริษัท อัลฟ่า ดิวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALPHAX ปี 2567 พลิกมีกำไรที่ 331.11 ล้านบาท จากปี 2566 ขาดทุน 106.57 ล้านบาท หรือมีกำไร 437.68 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 411.00%
บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP ปี 2567 พลิกมีกำไรที่ 4.52 ล้านบาท จากปี 2566 ขาดทุน 1.71 ล้านบาท หรือมีกำไร 6.23 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 363.20%
บริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ KK ปี 2567 พลิกมีกำไร 10.43 ล้านบาท จากปี 2566 ขาดทุน 4.47 ล้านบาท หรือมีกำไร 14.9 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 333.33%
บริษัท แอ็พพลาย ดีบี จำกัด (มหาชน) หรือ ADB ปี 2567 พลิกมีกำไร 34.22 ล้านบาท จากปี 2566 ขาดทุน 46.71 ล้านบาท หรือมีกำไร 80.93 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 173.26%
บริษัท ยูบิส (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ UBIS ปี 2567 พลิกมีกำไร 21.23 ล้านบาท จากปี 2566 ขาดทุน 74 ล้านบาท หรือมีกำไร 95.23 ล้านบาท เทิร์นอะราวน์ 128.69%
โดย แสดงเป็นตาราง ดังนี้
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 2568 ไว้ที่ 900-1,000 ล้านบาท โดยการเติบโตจะมาจากทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งการรับจ้างผลิต (OEM) และการจำหน่ายสินค้าแบรนด์ของบริษัทเอง (Own Brand) เช่น งาดำรำข้าว ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าผลักดันสัดส่วนรายได้จาก OEM และ Own Brand ให้เท่ากันที่ 50:50 จากปัจจุบันที่ Own Brand มีสัดส่วน 42% และ OEM มีสัดส่วน 39% พร้อมมั่นใจว่าสินค้าอย่างงาดำรำข้าวจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ในปี 2568 จะเป็นปีที่สามารถวัดผลจากการขยายและติดตั้งตู้ยาทั่วประเทศ โดยบริษัทสามารถติดตั้งตู้ยาได้ตามเป้าหมายครบ 200 ตู้แล้ว ขณะเดียวกันในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำยาฟอกไต ซึ่งบริษัทผลิตและจำหน่ายเพื่อใช้ในศูนย์ฟอกไตในประเทศ สายการผลิตได้ดำเนินการตามปกติและเริ่มเดินเครื่องจักรชุดที่สองแล้ว ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 160,000 แกลลอนจากเดิม 120,000 แกลลอน คิดเป็นอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ 50% โดยหากสามารถเดินเครื่องจักรได้เต็มประสิทธิภาพ จะสามารถผลิตได้ถึง 240,000 แกลลอน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการนำบริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาด Livex และเตรียมยื่นไฟลิ่งในไตรมาส 2 หรือ 3 ของปี 2568 โดยคาดว่าเงินทุนที่ได้จากการจดทะเบียนจะช่วยเสริมศักยภาพการขายในอนาคต
รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision