หุ้น SET


บล.กรุงศรี แนะชะลอลงทุน 5 หุ้นมีธุรกิจในอินโดฯ หลังตลาดหุ้นร่วงแรง

บล.กรุงศรี แนะชะลอลงทุน 5 หุ้นมีธุรกิจในอินโดฯ หลังตลาดหุ้นร่วงแรง

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ ตลาดหุ้นอินโดนีเซียวันนี้ปรับลงแรงกระทบ SET Index จำกัด มองเป็นจิตวิทยาลบระยะสั้นต่อหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้ในอินโดนีเซีย SCGP, SCC, PTTGC, BBL, KBANK           ตลาดหุ้นอินโดนีเซียวันนี้ปรับลงแรง - 6.12% ทำให้ระหว่างวันต้องหยุดการซื้อขาย หุ้นกลุ่มที่ปรับลงหลักคือ Technology -11.7%, Basic Materials -7.3%, พลังงาน -4.5%, การเงิน -2.7% สาเหตุคาดเกิดจาก - ความกังวลปัญหาเศรษฐกิจ หลังเริ่มมีผู้ประกอบการผิดนัดชำระหนี้ คือ “PT Wijaya Karya” ผู้รับเหมาก่อสร้างอันดับ 2 ของอินโดนีเซีย ผิดนัดเงินกู้ 61 ล้านดอลลาร์ และพันธบัตร Sukuk mudharabah ที่ออกในปี 2565 - ธุรกิจในอินโดนีเซียเผชิญปัญหาการขู่กรรโชกจากกลุ่มอาชญากรรมที่แอบอ้างเป็นองค์กรพลเมือง ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมการลงทุน - การบริโภคที่ชะลอตัวลงก่อนวันหยุด Eid Holiday เทศกาลอีฎของชาวมุสลิม           สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย คาดจำกัด มองเป็นเพียงจิตวิทยาลบระยะสั้น โดยผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียน กระทบจิตวิทยาหุ้นไทยที่มีธุรกิจในอินโดนีเซีย ระยะสั้น แนะนำชะลอลงทุนไปก่อน อาทิ ▪️SCGP : 14% ของรายได้รวม ▪️SCC : 7%ของรายได้รวม ▪️PTTGC 3%ของรายได้รวม ▪️BBL : 12%ของสินเชื่อรวม ▪️KBANK < 5%ของสินเชื่อรวม

TKS ส่งซิก Q1/68 ผลงานสตรอง หนุนรายได้ปีนี้โต 9%

TKS ส่งซิก Q1/68 ผลงานสตรอง หนุนรายได้ปีนี้โต 9%

           TKS ส่งซิกแนวโน้มผลงานไตรมาสแรกปีนี้เติบโตแข็งแกร่ง หนุนเป้าหมายรายได้โต 9%  พร้อมรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับ 30-35%  ชี้กลุ่มบรรจุภัณฑ์และฉลาก และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเติบโตสูง พร้อมเดินหน้าขยายกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต (Growth Business) ได้แก่ ธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง พร้อมชูกลยุทธ์ Tech Ecosystem Builder เผยแนวโน้มธุรกิจของ PTECH ที่ TKS ถือหุ้นอยู่ราว 25% เชื่อว่าปี 2568 นี้ จะเป็นปีที่สดใส หลังเร่งแก้ปัญหาต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ประเมินการขาดทุนในการลงทุน PTECH ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปีที่ผ่านมา             นายจุติพันธุ์ มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ TKS ผู้ประกอบธุรกิจ Security Printing ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทปีนี้ คาดว่า มีการเติบโตที่ดี ยอดขายเริ่มกลับมาและทำได้ดีในสภาวะตลาดปัจจุบัน  สนับสนุนแผนธุรกิจของบริษัทในปี 2568 จะเห็นการเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา จากกลุ่มบรรจุภัณฑ์และฉลาก และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม โดยบริษัทยังคงเดินหน้าขยายกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต (Growth Business) ได้แก่ ธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 9% พร้อมรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับ 30-35%            พร้อมกลยุทธ์ Tech Ecosystem Builder โดยมุ่งเน้นการปรับแผนธุรกิจของบริษัทฯมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยการพัฒนานวัตกรรมด้านระบบสารสนเทศ และได้ปรับโครงสร้างองค์กรในกลุ่มบริษัทฯให้เกิดผลผนึกทั้งด้านการพัฒนาตลาดและผลิตภัณฑ์ และด้านการลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันโดยรวมสำหรับรักษาฐานธุรกิจเดิมควบคู่ไปกับการหาพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่            ขณะที่ผลประกอบการของ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เชื่อว่าจะเห็นผลประกอบการที่ดีในปีนี้ จากกลยุทธ์การบริหารงานที่มีศักยภาพและปัจจัยบวกที่เป็นโอกาสต่างๆ คาดว่า ในปี 2568 ซินเน็คฯ จะทำรายได้เติบโตกว่าปีที่ผ่านมา            ส่วนแนวโน้มธุรกิจของบริษัท พลัส เทค อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTECH ที่ TKS ถือหุ้นอยู่ราว 25% เชื่อว่าปี 2568 นี้ จะเป็นปีที่ดีขึ้นหลังจากบริษัทได้พยายามจัดการแก้ปัญหาต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง และประเมินว่าการขาดทุนในการลงทุน PTECH ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปีที่ผ่านมา ผลกระทบเชิงลบในอนาคตไม่น่าจะเกิดขึ้นแล้ว ประกอบกับในช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา มีกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ใน SABUY เข้ามาบริหาร PTECH  โดยกลับมาเน้นในธุรกิจบัตรพลาสติกที่เป็นธุรกิจหลักของ PTECH ให้มากขึ้น รวมถึงมีการปรับปรุงเรื่องต้นทุนราคาให้สามารถแข่งขันในตลาด พร้อมรักษาฐานลูกค้าเก่าและเพิ่มลูกค้าใหม่ สร้างความแตกต่างจากจุดแข็งเดิมที่มีมากกว่าคู่แข่งในท้องตลาด เพื่อให้ในปี 2568 นี้ บริษัทกลับมาสู่จุดที่สามารถแข่งขันได้ในตลาด            นายจุติพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี ของ TKS บริษัทได้เดินหน้าชูกลยุทธ์ Tech Ecosystem Builder โดยมุ่งเน้นการปรับแผนธุรกิจของบริษัทฯมาอย่างต่อเนื่อง และมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งเห็นได้จากการที่บริษัทได้รับการประเมิน CGR ระดับ "ดีเลิศ" (5 ดาว) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) รวมถึงติดอันดับ Top Quartile ในการสำรวจด้านการกำกับดูแลกิจการนอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืนในโครงการ SET ESG Ratings จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในระดับ A ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งสะท้อนถึงการปฏิบัติงานที่มุ่งเน้นความโปร่งใส ความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ [PR news]

SJWD วางกลยุทธ์ต่อยอด Synergy มุ่งขยายธุรกิจดาวรุ่ง

SJWD วางกลยุทธ์ต่อยอด Synergy มุ่งขยายธุรกิจดาวรุ่ง

          “บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์” หรือ SJWD มุ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากการต่อยอด Synergy ของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ และพาร์ทเนอร์ ให้ความมั่นใจฐานะการเงินแข็งแกร่ง อัตราหนี้สินต่อทุนต่ำ และมีฐานลูกค้าในเครือ SCG ช่วยเพิ่มความมั่นคงแก่รายได้และมีโอกาสขยายการให้บริการได้อีกในอนาคต ปี 2568 มุ่งขยายธุรกิจดาวรุ่งที่มีศักยภาพ โฟกัส “คลังสินค้าห้องเย็น รับฝากและบริหารยานยนต์ ตัวแทนขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจในต่างประเทศ” ขับเคลื่อนการเติบโต วางแผนเสนอขายคลังสินค้าทั่วไปภายใต้บริษัทร่วมทุนเข้ากองรีท           นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งสร้างการเติบโตอย่างเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายเพิ่มมาร์เก็ตแคปเป็น 1 แสนล้านบาท และเพิ่มสัดส่วนกำไรจากต่างประเทศเป็น 40% ภายในปี 2573 รวมถึงมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ผ่านการให้บริการ Green Logistics และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนใน Scope 1 Scope 2 และ Scope 3 โดยปัจจุบันบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจในอาเซียน 9 ประเทศ และจีนตอนใต้ มีพื้นที่คลังสินค้าทั่วไป คลังสินค้าอันตราย ลานจอดยานยนต์ สินค้าควบคุมอุณหภูมิ รวมทั้งสิ้นกว่า 2.3 ล้านตารางเมตร มีเครือข่ายรถขนส่งกว่า 14,000 คัน เครือข่ายเรือบรรทุกสินค้ากว่า 220 ลำ และฐานลูกค้ากว่า 2,400 ราย รวมถึงมีพาร์ทเนอร์ชั้นนำในธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชน           ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ อาทิ เข้าถือหุ้น 20.12% ใน บมจ.เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ ANI ผู้นำธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินหรือ GSA ในไทย, เข้าถือหุ้น 20.48% ใน Swift Haulage Berhad หรือ SWIFT (สวิฟท์) ผู้ดำเนินธุรกิจ Integrated Logistics ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย, จัดตั้งบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี เฟรท จำกัด เพื่อปรับโครงสร้างและเพิ่มศักยภาพให้บริการตัวแทนขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ได้ก่อสร้างคลังสินค้าห้องเย็นแห่งใหม่ที่เชียงใหม่แล้วเสร็จ มีพื้นที่ 2,700 ตารางเมตร เปิดบริการคลังสินค้าทั่วไป 2 แห่ง ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่รวมกว่า 54,000 ตารางเมตร ภายใต้บริษัท แอลฟา อินดัสเตรียล โซลูชั่นส์ จำกัด ที่ร่วมทุนกับ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI ฯลฯ และได้ขยายบริการแก่ลูกค้ารายใหญ่ บมจ. ปตท.น้ำมันและค้าปลีก หรือ OR โดยนำเสนอ Green Logistics Solution เพื่อให้บริการขนส่งอาหารและเบเกอรี่แก่ร้านคาเฟ่อเมซอน รวมถึงได้รับรางวัล Highly Commended Supply Chain Management Awards จาก SET Awards 2024 และการประเมิน SET ESG Rating 2024 ระดับ AAA           ขณะที่ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นปี 2567 มีอัตราหนี้สินต่อทุนที่มีภาระดอกเบี้ย 0.67 เท่า มีเงินสดคงเหลือ (Cashflow Surplus) ณ สิ้นปี 2567 กว่า 2,400 ล้านบาท และการเสนอขายหุ้นกู้เดือนกันยายนปีที่ผ่านมาวงเงินไม่เกิน 4,200 ล้านบาท มีนักลงทุนต้องการจองซื้อมากกว่ามูลค่าที่เสนอขาย นอกจากนี้ บริษัทฯ มีฐานลูกค้าในเครือ SCG ช่วยเพิ่มความมั่นคงแก่รายได้และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนประมาณ50% ของเครือ SCG เท่านั้น จึงมีโอกาสขยายฐานการให้บริการได้อีกในอนาคต ประกอบกับ SCG ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ตลอด จึงมั่นใจว่าปริมาณการขนส่งสินค้าแก่เครือ SCG จะไม่ลดลงในปีนี้           นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า ปี 2568 บริษัทฯ มุ่งสร้างเติบโตผ่านการต่อยอดการ Synergy ของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ และพันธมิตรธุรกิจ โดยมุ่งขยายธุรกิจดาวรุ่งที่มีศักยภาพ ได้แก่ “ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น” จะเปิดบริการห้องเย็นใหม่อีก 4 แห่งในปีนี้ พื้นที่รวมกว่า 37,000 ตารางเมตร ได้แก่ เชียงใหม่ (ก่อสร้างเสร็จปลายปีที่ผ่านมา) 2,700 ตารางเมตร, สระบุรี (เฟส 2) 3,400 ตารางเมตร, รังสิต 14,595 ตารางเมตร และห้องเย็น (เฟส 3) ของบริษัท เอสซีจี นิชิเร พื้นที่ 17,091 ตารางเมตร ที่จังหวัดปทุมธานี รวมถึงจะขยายบริการคลังสินค้าห้องเย็นแก่กลุ่มอุตสาหกรรมยาและเฮลท์แคร์ วางแผนร่วมทุนกับลูกค้าสร้างคลังสินค้าห้องเย็นแห่งใหม่ ศึกษาดีลกับพาร์ทเนอร์ ตลอดจนขยายเครือข่ายขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ           “ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์” บริษัทฯ ให้บริการแก่รถยนต์กว่า 5 แสนคันในปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนรถยนต์ที่ผลิตในประเทศรวมกว่า 1.46 ล้านคัน แผนงานปีนี้จะขยายการให้บริการแก่รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และขยายบริการนำเข้าและส่งออกวัตถุดิบและชิ้นส่วนยานยนต์ “ธุรกิจ Freight” หรือตัวแทนขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จะเพิ่มรายได้เป็น 2,500 ล้านบาทภายในปี 2572 จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 1,500 ล้านบาท ล่าสุด ได้จัดตั้งบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี เฟรท จำกัด เพื่อเพิ่มศักยภาพให้บริการ รวมถึงจะรุกสร้าง New S-Curve จากการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติสก์ครบวงจรรายแรกที่มีบริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม สำหรับเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ NSW Service Provider (NSP) ซึ่งเป็นระบบบริการจัดส่งข้อมูลที่เชื่อมต่อหน่วยงานภาครัฐ (กรมศุลกากร) และภาคธุรกิจ สำหรับการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์และจะผสานความร่วมมือกับ ANI และ บมจ.ไซไน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น หรือ SINO ในฐานะพาร์ทเนอร์ เชื่อมโครงข่ายบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ           ส่วน “ธุรกิจต่างประเทศ” จะโฟกัสการขยายธุรกิจในจีน เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยในจีนจะร่วมมือกับ JUSDA ให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดน คลังสินค้า และนำเข้า-ส่งออก จากจีนมาไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอกนิกส์ และเครื่องจักร เพื่อเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าระหว่างจีน เวียดนาม สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งมีมูลค่าตลาดถึง 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา และร่วมกับ Ruiyun Logistics ศึกษาโอกาสทางธุรกิจบริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิข้ามแดนระหว่างไทย เวียดนาม และจีน ส่วนในเวียดนามจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีจากการถือหุ้น 100% ใน SCGJWD Logistics (Vietnam) Co., Ltd. (เดิมชื่อ SCG International Vietnam) และปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ดังกล่าวได้รับงานจาก VIETNAM CONSTRUCTION MATERIALS JOINT STOCK COMPANY (VCM) ในเครือเอสซีจี ผู้ผลิตซีเมนต์ในเวียดนาม เพื่อให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรแบบ End-to-End Supply Chain Solution ขณะที่มาเลเซียได้ร่วมกับ SWIFT จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อรุกธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในมาเลเซีย 3 แห่ง พื้นที่รวมกันกว่า 31,000 ตารางเมตร คาดว่าจะทยอยเปิดบริการไตรมาส 1/2569 รวมถึงจะใช้ความเชี่ยวชาญขยายธุรกิจในธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ในอินโดนีเซีย และรุกขยายธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่มีศักยภาพเติบโตสูง           นอกจากนี้ ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปที่ดำเนินการก่อสร้างโดยบริษัทแอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด มีแผนเสนอขายสินทรัพย์บางส่วน มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท แก่กองรีทที่เป็นพาร์ทเนอร์เพื่อนำมาขยายการลงทุนต่อเนื่อง และในเดือนกันยายนนี้คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการเปิดดำเนินการและรับบริหารคลังสินค้าแห่งใหม่ในย่านนิคมอุตสาหกรรมบางกระดีแก่บริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงให้บริการด้านโลจิสติกส์และ Fulfillment  ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตและตอกย้ำศักยภาพธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ

KEX เดินหน้ายกระดับบริการขนส่ง เชื่อมทั่วโลกแบบไร้รอยต่อ

KEX เดินหน้ายกระดับบริการขนส่ง เชื่อมทั่วโลกแบบไร้รอยต่อ

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ, 17 มีนาคม 2568 - บริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนทั่วไทย ประกาศพร้อมเดินหน้าเต็มที่ ใช้ชื่อ และโลโก้ “KEX” ทั่วประเทศ  โดยขณะนี้ได้ดำเนินการเปลี่ยนป้ายชื่อที่หน้าร้าน และศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว ภายหลังจากที่เริ่มทยอยเปลี่ยนมาใช้ชื่อ และโลโก้ KEX ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ผ่านมา           ภายใต้เครื่องหมายการค้า KEX  ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น  อีกทั้งยังมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพบริการและสร้างความแข็งแกร่งในตลาด ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม จากการสนับสนุนของ SF Express เพื่อเสริมศักยภาพทางธุรกิจและความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางสภาพแวดล้อมปัจจุบัน           KEX ยังคงมุ่งมั่นเติบโตอย่างมั่นคงในประเทศไทย พร้อมเดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ของการจัดส่งพัสดุด่วน ตอกย้ำวิสัยทัศน์ใหม่ในการเชื่อมต่อโลกด้วยบริการจัดส่งที่รวดเร็ว เชื่อถือได้ และเต็มเปี่ยมด้วยนวัตกรรม ภายใต้แนวคิด "GLOBAL CONNECTIONS, LOCAL DELIVERIES" การเชื่อมต่อทั่วโลกแบบไร้รอยต่อ และจัดส่งถึงทุกคนในทุกพื้นที่มุ่งมั่นพัฒนาบริการอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยเครือข่ายจุดบริการและศูนย์กระจายสินค้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าอย่างดีที่สุด [PR News]    

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

EA ผนึก TMHWST  พัฒนาพลังงานสะอาด โลจิสติกส์ไทย

EA ผนึก TMHWST พัฒนาพลังงานสะอาด โลจิสติกส์ไทย

          หุ้นวิชั่น - 18 กุมภาพันธ์ 2568 - บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ส่งบริษัทย่อย “อมิตา” ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ร่วมกับ บริษัท โตโยต้า แมททีเรียล แฮนด์ลิ่ง แวร์เฮ้าส์ โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ TMHWST เปิดตัวผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนคุณภาพสูง ภายใต้แบรนด์ TerraXell สำหรับรถฟอร์คลิฟต์ไฟฟ้า ยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด           นายฉัตรพล ศรีประทุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ อมิตา ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ EA ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) กับ บริษัท โตโยต้า แมททีเรียล แฮนด์ลิ่ง แวร์เฮ้าส์ โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ TMHWST เพื่อร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Partner)           โดยอมิตาดำเนินการพัฒนาแบตเตอรี่ต้นแบบ (Battery Prototype) พร้อมกับการออกแบบ การประกอบ การทดสอบแบตเตอรี่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการศึกษาด้านเครื่องชาร์จประจุไฟฟ้า (Battery Charger) และระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS) สำหรับใช้งานกับรถฟอร์คลิฟต์ไฟฟ้า นำไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ทดแทนการใช้แบตเตอรี่ตะกั่วกรดแบบดั้งเดิม           TMHWST เป็นผู้พัฒนาตลาดสำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ภายใต้แบรนด์ TerraXell เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และคลังสินค้าที่ต้องการเพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุนการใช้พลังงาน และเพิ่มความปลอดภัยในกระบวนการขนย้ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีกำหนดส่งมอบ       ลอตแรกกว่า 100 ลูก ภายในเดือนมีนาคม 2568 พร้อมจำหน่าย-ให้เช่า และบริการหลังการขาย ด้วยแนวคิด "Lithium-ion Battery: The Key to More Productive Operations”           นายจามีกร เผือกสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โตโยต้า แมททีเรียล แฮนด์ลิ่ง แวร์เฮ้าส์ โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด (TMHWST) กล่าวว่า ปัจจุบัน พลังงานสะอาดไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นพันธกิจ           สำคัญที่บริษัทชั้นนำให้ความสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม TMHWST ในฐานะผู้นำด้านโซลูชันอินทราโลจิสติกส์และการจัดการคลังสินค้า ได้นำเสนอแบรนด์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน TerraXell เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมที่ต้องการทั้งประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าระยะยาว เสริมศักยภาพให้เครือข่ายธุรกิจเดินหน้าสู่อนาคตอย่างมั่นคง           นายฉัตรพล ศรีประทุม กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับบริษัทชั้นนำอย่าง บริษัท โตโยต้า แมททีเรียล แฮนด์ลิ่ง แวร์เฮ้าส์ โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด ความร่วมมือครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพที่มีมาตรฐานระดับโลกของแบตเตอรี่ Amita ที่สามารถตอบโจทย์สำคัญในการขับเคลื่อนการ    ใช้พลังงานสะอาดในอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ พร้อมความเป็นไปได้ในการรีไซเคิลแบตเตอรี่      และการเตรียมความพร้อมด้านคาร์บอนเครดิต” [PR news]

BGRIM เซ็น MOU ภูฏาน ชูหลักการ GNH ปรับใช้ในองค์กร

BGRIM เซ็น MOU ภูฏาน ชูหลักการ GNH ปรับใช้ในองค์กร

          เจ้าหญิงเคเซง โชเดน วังชุก แห่งศูนย์ความสุขมวลรวมประชาชาติ ประเทศภูฏาน (Gross National Happiness Centre Bhutan) ร่วมกับ ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม (BGRIM) และ คุณคาโรลีน ลิงค์ ประธานกรรมการ บริษัท บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ต่อยอดความร่วมมือเพื่อส่งเสริมและสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำหลักการของความสุขมวลรวมประชาชาติมาปรับใช้ในวัฒนธรรมองค์กร เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดี และสนับสนุนการมีส่วนร่วมที่มีคุณค่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568           ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม เปิดเผยว่า บี.กริม องค์กรที่รับใช้และเติบโตเคียงข้างประเทศไทย มายาวนานกว่า 147 ปี ภายใต้วิสัยทัศน์ การดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี มีความมุ่งมั่นในการนำแนวทาง“ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness - GNH) มาปรับใช้ในวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมด้านความโอบอ้อมอารี รวมถึง “หลักเศรษฐกิจพอเพียง” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงส่งเสริม โดยนำมาบูรณาการให้เข้ากับบริบททางธุรกิจ พร้อมมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจและพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน           ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งมีกำหนดระยะเวลา 2 ปี บี.กริม มุ่งมั่นในการแลกเปลี่ยนความรู้ พัฒนาโครงการที่สอดคล้องกับค่านิยมของ GNH พร้อมดำเนินโครงการที่ส่งเสริมการพัฒนาตนเองทั้งในด้านอาชีพและชีวิตส่วนตัว โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ สร้างผลกระทบเชิงบวกภายในองค์กร และขยายผลไปสู่สังคมในวงกว้าง ในการเป็นผู้นำด้วยความโอบอ้อมอารี และการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม           ตลอดเวลากว่า 147 ปี บี.กริม ยึดหลักการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี ความร่วมมือนี้เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นดังกล่าว เพื่อสร้างความตระหนักรู้คุณค่าและความสุขของพนักงาน และสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนให้แก่สังคม

BH บวก 3.16% กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์เก็บหุ้นเพิ่ม

BH บวก 3.16% กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์เก็บหุ้นเพิ่ม

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานการได้มาหุ้นของ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) (BH) โดย GIC PRIVATE LIMITED หรือ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 0.1216% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 5.0365% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา ของกลุ่มคิดเป็น 0.1216% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา ของกลุ่มคิดเป็น 5.0365% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

“โกลเบล็ก” ชี้หุ้นไทย Rebound  คัด 5 หุ้น อัตราปันผลสูง - เช็กเลย!

“โกลเบล็ก” ชี้หุ้นไทย Rebound คัด 5 หุ้น อัตราปันผลสูง - เช็กเลย!

                หุ้นวิชั่น - บล. โกลเบล็ก (GBS) ลุ้นหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีโอกาส Rebound ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ แนะจับตา ทรัมป์ เดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าต่อเนื่อง กระทบจิตวิทยานักลงทุน จึงคาดการณ์กรอบดัชนีที่ระดับ 1,150-1,200 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนใน 5 หุ้นเด่นได้ประโยชน์จาก ThaiESG Extra                 นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ Rebound ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ โดยมีแรงหนุนจากจีนเปิดเผยแผนงานพิเศษเพื่อกระตุ้นการบริโภค ประกอบกับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ เดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดันต่อดัชนีในระยะสั้นได้ จึงให้กรอบกรอบดัชนีในสัปดาห์นี้ที่ 1,150-1,200 จุด                 สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนที่จับตาในประเทศ อาทิ สัปดาห์ที่ 3 ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ วันที่ 24 มี.ค. ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ สศอ. แถลงดัชนีอุตสาหกรรม สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค, ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค วันที่ 31 มี.ค. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย และวันที่ 30 เม.ย. กำหนดประชุม กนง. ครั้งที่ 2/2568                 ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตา วันนี้ 18 มี.ค. อียู รายงานดุลการค้าเดือนม.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือนมี.ค. สหรัฐ รายงานตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.พ. ราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.พ. และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. วันที่ 19 มี.ค. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย ญี่ปุ่น รายงานยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนก.พ. ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรเดือนม.ค. และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค. วันที่ 18-19 มี.ค. ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ครั้งที่ 2/68 และช่วงเช้าวันที่ 20 มี.ค. เฟดแถลงมติอัตราดอกเบี้ย                 ดังนั้น นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก  แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก ThaiESG Extra ซึ่งเป็นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง ได้แก่ BBL, , PTT, TISCO และหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามากแล้ว ได้แก่ BEM, CPALL                 ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาทองคำ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ โดยได้แรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลสงครามการค้า  จากแคนาดาและสหภาพยุโรปส่งสัญญาณเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการจากสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่สหรัฐฯ ขู่จะเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์สุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จาก EU สูงถึง 200%                 นอกจากนี้ทองคำได้แรงหนุนเพิ่มเติม จากสหรัฐฯ เผยตัวเลขเงินเฟ้อ CPI และ PPI ปรับตัวขึ้นต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เป็น 3 ครั้ง จากเดิมคาดการณ์ 1 ครั้ง ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำ New High ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดอาจมีแรงขายทำกำไรเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ อย่างไรก็ตามสัปดาห์นี้แนะนำให้ติดตามผลการประชุมเฟด ครั้งที่ 2/68 มองกรอบทองคำสัปดาห์นี้  2,950- 3,030 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ออนซ์ แนะนำขายทำกำไรบางส่วนที่แนวต้าน

เอเซียพลัส คัด 3 หุ้นเด่น เช็ก!

เอเซียพลัส คัด 3 หุ้นเด่น เช็ก!

           ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล. เอเซียพลัส ระบุ วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวราว +0.3% ถึง +1.2% โดยตลาดฯ ให้น้ำหนักกับประเด็นเศรษฐกิจสหัฐฯ ส่งสัญญาณแข็งแกร่ง หลังสหรัฐเผย RETAIL CONTROL เดือน ก.พ. 68 ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 1.0% ซึ่งสูงกว่าตลาดคาดที่ 0.2%MOM อย่างไรก็ตาม หากมองถึงความกังวลในระยะข้างหน้า คงหนีไม่พ้นความเสี่ยง TRADE WAR หลัง ปธน. TRUMP เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ และอาจกดดันภาพรวมเศรษฐกิจตามมา พร้อมกับเงินเฟ้อมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ภาวะดังกล่าว อาจเพิ่มความเสี่ยง “STAGFLATION” ซึ่งสิ่งที่ต้องติดตามในระยะถัดไป อาจทำให้การคาดเดาทิศทางดอกเบี้ยยากขึ้น ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาแรง 11.87%YTD สาเหตุหนึ่งมาจากการโยกย้ายเม็ดเงินเข้าตลาดตราสารหนี้โดยปีล่าสุด MARKET CAP SET น้อยกว่ามูลค่าคงค้างตราสารหนี้ถึง 2.5 ล้านล้านบาท ฝ่ายวิจัยฯคาดว่าเม็ดเงินดังกล่าวมีโอกาสโยกย้ายเข้าฝั่ง            ตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป โดยมี 3 เหตุผลสนับสนุน 1.อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วงขาลงทั่วโลกรวมถึงไทย 2. การออกหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวน้อยลง โดยเฉพาะ RATING ต่ำกว่า BBB 3. ระดับ MARKET EARNING YIELD GAP ของไทยดูโดดเด่น TOP PICK เลือก BDMS, SPALI และ BJC

ฟินันเซีย ชู BA เด่น แนะ “ซื้อ” เป้า 30 บ.

ฟินันเซีย ชู BA เด่น แนะ “ซื้อ” เป้า 30 บ.

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index ยังมีโอกาส Rebound ระยะสั้นในกรอบ 1,165-1,180 จุด โดยยังคงมี Sentiment บวกจากฝั่งต่างประเทศนำโดยสหรัฐฯ หลังเม็ดเงินทยอยไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง โดยคาดหวังเชิงบวกต่อการยุติสงครามซึ่งสหรัฐฯ-รัสเซียจะมีการพูดคุยกันวันนี้ ขณะที่ตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือน ก.พ. แม้จะต่ำกว่าคาด แต่พลิกมาเป็นบวกได้เล็กน้อย +0.2% m-m จากเดือนก่อนที่ -1.2% m-m ส่วนสัปดาห์นี้โฟกัสยังคงอยู่ที่การประชุม FED คืนวันพุธ ซึ่งค่อนข้างแน่นอนว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.25-4.5% แต่ต้องติดตามถ้อยแถลงของประธาน FED ภายหลังการประชุมว่าจะมีมุมมองต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออย่างไร รวมถึงผลกระทบจากนโยบายเก็บภาษีสินค้าของทรัมป์               เราประเมินว่า SET Index ที่ปรับตัวร่วงแรงกว่า 20% จาก High ปลายปีก่อน ทำให้ Valuation ระยะกลาง-ยาวน่าสนใจ โดยเทรด PER และ PBV เพียง 12.4 เท่าและ 1.13 เท่าตามลำดับ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนโควิด ทำให้ยังมองเป็นจังหวะในการทยอยสะสม โดยยังคงชอบกลุ่ม Domestic และ Tourism-Related Play ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่ากลุ่ม Global-Related Play ที่อาจถูกกระทบจากความไม่แน่นอนของประเด็นการค้าและเศรษฐกิจโลก ส่วนระยะสั้นเน้น Selective หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว กลยุทธ์: ยังเน้น Selective Buy หุ้นที่มีแนวโน้ม 2025 แข็งแกร่งและ Valuation ตํ่ากว่าช่วงก่อนโควิด               หุ้นเด่นเดือนมี.ค.: BA, BTG, CPALL, MTC, PR9               FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR หุ้นเด่นวันนี้: BA แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท ตัวเลขผู้โดยสารของสมุยทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน ม.ค. และโต 14% YTD แข็งแกร่งกว่าภาพรวมตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยที่เดือน ม.ค.-ก.พ. +7% YTD ซึ่งเริ่มชะลอตัวจากนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป ทำให้คาดว่ากำไร 1Q25 ของ BA คาดว่าจะเติบโตโดดเด่นทำ Record High เราคาดกำไรปี 2025 ที่ 4.1 พันลบ. +6% y-y และอาจมี Upside รวมถึงมีจุดแข็งของความเป็น Monopoly ของสมุย ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Valuation ที่ถูก เทรด PER เพียง 10.4 เท่าและคาดให้ Dividend Yield สูงราว 6% ต่อปี แนวรับ 20-19.80 บาท แนวต้าน 21/21.40 บาท Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติผสมผสาน สุทธิแล้วไหลออกจากภูมิภาคบางๆ US$36 ล้าน เม็ดเงินยังคงไหลออกสูงสุดที่ไต้หวัน US$303 ล้าน แต่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$346 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลออกจากไทยและอินโดนีเซียประเทศละ US$39-54 ล้าน แต่ไหลเข้า ฟิลิปปินส์และเวียดนามบาง แนวโน้มกระแสเงินทุน: คาดว่ามีโอกาสพลิกมาไหลเข้า หลังเม็ดเงินยังทยอยไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตามโฟกัสหลักอยู่ที่การประชุม FED สัปดาห์นี้ ประเด็นสำคัญวันนี้: กลุ่มท่องเที่ยว: ตัวเลขนักท่องเที่ยวขาเข้าของไทยอ่อนแอในเดือน ก.พ. และ มี.ค. จากตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลงแรง Theme การลงทุนกลุ่มท่องเที่ยวที่สำคัญคือสมุย: ตัวเลขนักท่องเที่ยวโตต่อเนื่องในช่วงเดือน ก.พ. – มี.ค. 2025 สวนทางแนวโน้มของไทย, เวียดนาม: ตัวเลขนักท่องเที่ยวกระโดดเพิ่ม 30% y-y และ YTD ทำสถิติสูงสุดใหม่ คาดการท่องเที่ยวของไทยจะค่อย ๆ ฟื้นตัว อย่างไรก็ดีเราเลือกหุ้นที่มีลักษณะผูกขาดและอยู่ในตลาดที่กำลังเติบโตน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หุ้นเด่นในเชิงกลยุทธ์คือ BA ราคาเป้าหมาย 30 บาท และ SAV ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท เรายังให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวเป็น Overweight             WHA: แจ้งตลท. ชะลอแผน IPO WHAID และการปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน WHAUP เพราะภาวะตลาดทุนที่ผันผวน อาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นของบริษัท เราอาจต้องปรับกำไรและเป้าของ WHA กลับไปที่เดิมเพราะ WHA จะยังถือ WHAID ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ทำคิ้มฯ ทางตรงและอ้อม 99.9% ตามเดิม อิง EPS เดิมที่ 0.36 ของ WHA ก่อนถูกปรับลงมา ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น PE เพียง 9.8x vs. กำไรปีนี้ +18% y-y และมี PEG 0.54 ขณะที่ AMATA มี PE 8.9x vs. กำไรปีนี้ +12% y-y และมี PEG 0.77 WHA เริ่มจะถูกกว่า             SISB: แผนขยายโรงเรียนและเป้าจำนวนนักเรียนซึ่งไม่ต่างจากในบทวิเคราะห์ของเรา และมี hidden asset Expansion plan มี 2 แห่ง 1. ประชาอุทิศเฟส 3 ลงทุน 265 ลบ. เปิด 1Q26 2. โรงเรียนใหม่แห่งที่ 7 ที่รังสติคลอง 3 ลงทุนราว 300 ลบ. เปิด 4Q26 ผู้บริหารยังคงเป้าสิ้นปี 2025 ที่ 5,000 คน +380 คน จากสิ้นปี 2024 สำหรับนักเรียน 1Q25 ไม่ได้เพิ่มจาก 4Q24 แต่คาดว่าจะเพิ่ม 70-80 คนใน 2Q25 ส่วน 3Q25 ซึ่งเป็นปีการศึกษาใหม่ ต้องลุ้นอีกทีว่าเด็กจะเข้ามาตามเป้าหรือไม่ ถ้าพลาดเป้า รายได้ปี 2025 โต double digit กำไรน่าจะมากกว่า 900 ลบ. เพราะค่าเทอมเทอมที่แล้ว +5% ยังมีผลใน 7 เดือนแรก เราคาดกำไรปี 2025-26 โตปีละ 12% ราคาเป้าหมาย 39 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

ทรีนีตี้ คัด 10 หุ้นเด่น เช็กด่วน!

ทรีนีตี้ คัด 10 หุ้นเด่น เช็กด่วน!

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาด SET Index น่าจะยังแกว่งทรงตัวที่บริเวณดัชนี 1,170 จุด ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบาง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนักลงทุนชะลอดูผลการประชุม Fed และ BoJ ที่จะออกมาในวันพรุ่งนี้ ในเชิงกลยุทธ์ คงแนะนำถือครองหุ้นในส่วนเดิม ซึ่ง Top pick ของเราในเดือนนี้ยังคงได้แก่ CPALL, CPAXT, HMPRO, AP, SPALI, TIDLOR, VGI, BDMS, LHHOTEL, 3BBIF              Asia vs. U.S.: สำหรับปัจจัยตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าสนใจที่ออกมาเมื่อวานนี้ได้แก่ รายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกของจีนประจำเดือนก.พ. ซึ่งต่างออกมาขยายตัวดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ทั้งคู่ ส่งผลให้ล่าสุดดัชนี Economic surprise ของประเทศจีนปรับสูงขึ้นมายืนในแดนบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 1 เดือนครึ่ง สวนทางกับทิศทางของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังคงอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาดส่วนใหญ่ โดยเมื่อวานนี้ยอดค้าปลีกประจำเดือนก.พ.ขยายตัวเพียง 0.2% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 0.6% ส่งผลให้ดัชนี Economic surprise ของสหรัฐฯยังคงยืนในแดนลบต่อเนื่อง (รูปที่ 1) เรามองต่อจากเมื่อวานนี้เช่นเดิมว่า ตลาดหุ้นเอเชียจะสามารถปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ต่อไปอย่างไม่ยากเย็น              Residential: สำหรับปัจจัยวันนี้ แนะนำติดตามการประชุมครม.ซึ่งอาจมีวาระหารือเกี่ยวกับการพิจารณามาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะมาตรการการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท รวมไปถึงความเป็นไปได้ในการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เป็นการชั่วคราวและเพิ่มวงเงินซอฟต์โลนจากธนาคารอาคารสงเคราะห์              Our take: หากมีความคืบหน้ามาตรการดังกล่าวในวันนี้ ประเมินจะเป็น Sentiment ที่ดีต่อมายังกลุ่มที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นกลุ่ม Domestic ภายในที่เผชิญกับปัญหากำลังซื้อถดถอยในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากการคัดกรองของเราไปยังหุ้นในกลุ่มนี้ที่มีคุณลักษณะ Deep value (PBV ต่ำกว่า 1x / PBV ต่ำกว่า -1.5SD / Dividend เกินกว่า 3% / 2025E EPS growth เป็นบวก / มี ESG Rating) จะได้ว่าหุ้นที่น่าสนใจมากที่สุดในกลุ่มยังคงได้แก่ SPALI

ตลท. ขึ้น SP “GULF-INTUCH” วันที่ 21 มี.ค. - 2 เม.ย.68

ตลท. ขึ้น SP “GULF-INTUCH” วันที่ 21 มี.ค. - 2 เม.ย.68

               หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขึ้นเครื่องหมาย SP บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) วันที่ 21 มี.ค.2568 ถึงวันที่ 02 เม.ย.2568                ตามที่ GULF และ INTUCH ได้ขอให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ (SP) ของบริษัท ทั้ง 2 แห่ง เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. ถึง 2 เม.ย. 2568 รวมเป็นระยะเวลา 9 วันทำการ เพื่อเตรียมการจัดสรรหุ้นสามัญของบริษัทใหม่ ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ GULF และ INTUCH และการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการนำหุ้นสามัญของบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ                ทั้งนี้ เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ ของบริษัททั้งสองอาจจะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุน ของผู้ลงทุนจึงขอให้ผู้ลงทุนติดตามข่าวหรือข้อมูล ในเรื่องดังกล่าวที่ได้เปิดเผยผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูล ของตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างใกล้ชิดเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย

GULF ใช้ชื่อย่อเดิม หลังควบรวมฯเสร็จ

GULF ใช้ชื่อย่อเดิม หลังควบรวมฯเสร็จ

           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า ตามที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัทฯ ครั้งที่ 3/2568 ซึ่งอนุมัติการจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (“INTUCH”) ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 เวลา 15.30 น. เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการควบบริษัทระหว่างบริษัทฯ และ INTUCH ตามบทบัญญัติมาตรา 148 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“การประชุมผู้ถือหุ้นร่วม”) ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่อ้างถึงนั้น            ภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นร่วมและการจดทะเบียนการควบบริษัทแล้วเสร็จ บริษัทฯ และ INTUCH จะสิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทมหาชนจำกัดขึ้นใหม่ (“NewCo”) โดย NewCo จะยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้รับหุ้นของ NewCo เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนที่หุ้นของบริษัทฯ และ INTUCH ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดย NewCo จะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์คือ GULF ในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังกล่าว            ดังนั้น เพื่อให้ NewCo สามารถใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “GULF” ได้ บริษัทฯ จึงขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ในระหว่างหยุดพักการซื้อขายคือตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 – 2 เมษายน 2568 เป็น GULFI และ NewCo จะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “GULF” ในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

SCC ดีมานด์ใช้ปูนขยายตัว หยวนต้าให้ เป้า 185 บาท

SCC ดีมานด์ใช้ปูนขยายตัว หยวนต้าให้ เป้า 185 บาท

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง SCC ว่า ประชุมนักวิเคราะห์โทนค่อนไปทางบวก เหตุการณ์ สาระสำคัญจากงานประชุมนักวิเคราะห์วันที่ 17 มีนาคม มุมมองของเรา               ผู้บริหารให้มุมมองเกี่ยวกับอุตสาหกรรมปี 2025 โดยประเมินว่าอุปสงค์ใช้ปูนซีเมนต์ในตลาดประเทศหลัก ๆ เช่น ไทย ศรีลังกา เวียดนาม และกัมพูชา จะขยายตัว YoY               สำหรับประเทศไทย แม้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 (1H25) อุปสงค์ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างปลายน้ำ การจำหน่ายปูนถุงในตลาดค้าปลีก และตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีความท้าทายจากปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่ในภาพรวม อุปสงค์ปูนในประเทศจะเติบโต 2% YoY เป็น 31.4 ล้านตัน จากการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับแรงหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ อัตรากำไรยังได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มสัดส่วนเชื้อเพลิงทางเลือก การจำหน่าย Low Carbon Cement และอัตราการใช้ Clinker Factor ลดลง               แม้เวียดนามและศรีลังกาจะมีความท้าทายจากปัจจัยด้านราคา หลังจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากอุปทานใหม่ แต่ภาพรวมธุรกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น หนุนจากอุปสงค์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 17.5 ล้านตัน (+5% YoY) และ 4.9 ล้านตัน (+11% YoY) ตามลำดับ หนุนจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ การก่อสร้างภาคอุตสาหกรรม เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ การฟื้นตัวของภาคที่อยู่อาศัย และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง               สำหรับประเด็นการปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์ในประเทศ (โดยการลดส่วนลดทางการค้า Rebate) คาดว่าจะเริ่มทยอยเห็นผลในช่วงปลายไตรมาส 1 ปี 2025 ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการจำหน่ายปูนถุงก่อน ขณะที่การจำหน่ายปูน Bulk คาดว่าจะทยอยรับรู้อานิสงส์แบบค่อยเป็นค่อยไปเนื่องจากโครงสร้างราคาที่เป็นสัญญาระยะยาว ทำให้มี Lag-time เบื้องต้นคาดว่า จะมีผลบวกต่อกำไรในปี 2025 ประมาณ 400 – 800 ล้านบาท หรือ 10-20% (ยังไม่รวมในประมาณการ) โดยสมมติฐานคือ 1) ราคาปูนถุงเพิ่มขึ้น 20 บาท/ถุง 2) ปริมาณการจำหน่ายปูนในประเทศไทย 9.5 ล้านตัน/ปี 3) สัดส่วนการจำหน่ายปูนถุง 28% และ 4) การรับรู้การปรับขึ้นราคาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2025 เป็นต้นไป               บริษัทฯ มีแผนปิดซ่อมบำรุงเตาเผาปูนซีเมนต์ในเวียดนาม 1 แห่งในช่วงไตรมาส 1 ปี 2025 ขณะที่โรงงานในไทยจะหยุดซ่อมบำรุง 1 เตาในไตรมาส 2 ปี 2025, 2 เตาในไตรมาส 3 ปี 2025 และ 1 เตาในไตรมาส 4 ปี 2025               ภาพรวมเรามีมุมมองค่อนไปทางบวก แม้ยังมีความท้าทายจากการแข่งขันในเรื่องของกำลังผลิตใหม่และอุปสงค์จากภาคครัวเรือนในประเทศไทยที่ยังไม่เด่น แต่ภาพรวมความต้องการใช้ปูนในตลาดหลักทั้งไทยและภูมิภาคในปี 2025 จะขยายตัว YoY นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากทิศทางต้นทุนพลังงานที่ลดลง การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดการใช้ Clinker Factor (เหลือ 65% ในปี 2030 จาก 70% ในปัจจุบัน) การเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทางเลือก TSR (เป็น 40% ในปี 2030 จาก 29% ในปัจจุบัน) มาตรการควบคุมค่าใช้จ่าย และการรับรู้ผลการดำเนินงานของ LANNA ที่เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนถือหุ้น 61.44% ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 (จากเดิม 44.99%) รวมถึงอานิสงส์จากการปรับขึ้นราคาปูนในประเทศ (ยังไม่รวมในประมาณการ) ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานหลักในปี 2025 คาดจะเติบโต YoY               คาดกำไรปกติในไตรมาส 1 ปี 2025 จะปรับตัวขึ้น QoQ จากการเข้าสู่ High Season ของธุรกิจ               คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 185.00 บาท

SCC ทำสัญญาเช่าเรือขนส่งก๊าซอีเทนเพิ่ม 2 ลำ 

SCC ทำสัญญาเช่าเรือขนส่งก๊าซอีเทนเพิ่ม 2 ลำ 

              หุ้นวิชั่น - นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ ได้รายงานให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 เรื่องโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน Long Son Petrochemicals Company Limited ประเทศเวียดนาม (หรือ LSPE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) (SCGC) ที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด และรายงานให้ทราบความคืบหน้าที่สำคัญของโครงการในวันที่ 23 มกราคม 2568 และ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ตามลำดับนั้น               SCC ขอแจ้งความคืบหน้าเพิ่มเติมว่า SCGC ได้ทำสัญญาเช่าเหมาเรือขนส่งเพิ่มเติมอีก 2 ลำ สำหรับโรงงาน Long Son Petrochemicals Company Limited ประเทศเวียดนาม โดย SCGC และ Mitsui O.S.K. Lines, Ltd. (MOL) ได้ลงนามในสัญญาระยะยาวสำหรับเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทน (Very Large Ethane Carriers (VLECs)) ผ่านบริษัทย่อยของ MOL เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 ภายใต้สัญญาดังกล่าว กลุ่มบริษัท MOL จะให้บริการขนส่งก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศเวียดนามตลอดระยะเวลาสัญญา 15 ปี ดังนั้นกลุ่มบริษัท MOL จะเป็นผู้ให้บริการเรือขนส่งก๊าซอีเทนรวมทั้งหมด 5 ลำสำหรับโครงการ LSPE               โครงการ LSPE มีการลงทุนประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 18,000 ล้านบาท) ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นการก่อสร้างถังเก็บวัตถุดิบ ในขณะที่การจัดหาเรือ VLECs จำนวน 5 ลำ จะดำเนินการในรูปของสัญญาบริการระยะยาว โดย LSP จะพิจารณาใช้แหล่งเงินทุนภายในของ SCC และคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ได้ในปลายปี 2570               Mitsui O.S.K. Lines, Ltd. หรือ MOL เป็นบริษัทขนส่งชั้นนำที่มีการดำเนินงานระดับโลกด้วยเรือประมาณ 900 ลำ และ MOL ได้พัฒนาธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยมีธุรกิจหลัก ได้แก่ การขนส่งทางทะเล เทคโนโลยีและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ รวมถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม บริการเรือของ MOL ประกอบด้วยเรือบรรทุกสินค้าแห้ง เรือบรรทุกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เรือบรรทุกยานยนต์ และเรือบรรทุกน้ำมัน นอกจากธุรกิจขนส่งแบบดั้งเดิมแล้ว MOL ยังให้บริการทางธุรกิจด้านความเป็นอยู่และไลฟ์สไตล์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ การดำเนินงานท่าเรือ และบริการเรือเฟอร์รี่ รวมถึงธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โลจิสติกส์และพลังงานลมนอกชายฝั่ง โดยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MOL สามารถดูได้ที่ https://www.mol.co.jp/en/

VIH คาด Q1/68 รายได้โต ยกระดับให้บริการดึงลูกค้าใหม่

VIH คาด Q1/68 รายได้โต ยกระดับให้บริการดึงลูกค้าใหม่

                                                                                 หุ้นวิชั่น - บมจ.ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ หรือ VIH ในนามกลุ่มโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ประเมินแนวโน้มไตรมาส 1/68 เติบโตต่อเนื่อง เร่งยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ และบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ ดันจำนวนลูกค้าทั่วไปและลูกค้าโครงการภาครัฐเพิ่มหลังสำนักงานประกันสังคม (SSO) เพิ่มค่าบริการ ค่าบริการทางการแพทย์ผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง  (Adj RW>2) เป็น 12,000 บาทตามเดิม มั่นใจทั้งปีเติบโต 10% ตามแผน               นพ. มงคล วณิชภักดีเดชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) หรือ VIH เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะรักษาการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากแผนการดำเนินงานปีนี้ ที่ต้องการเร่งยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ในการดูแลรักษาโรคซับซ้อนด้วยความเชี่ยวชาญ โดยนำเทคโนโลยีทางการแพทย์เข้าให้บริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย พร้อมทั้งดึงดูดให้ผู้ป่วยทั่วไปเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น เช่น การเปิดให้บริการของศูนย์จักษุคลินิกของโรงพยาบาลวิชัยเวช แยกไฟฉาย ตั้งแต่ปีก่อน ส่งผลให้มีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น รวมถึงการให้บริการผ่าตัดต่อมลูกหมากโตด้วยเทคโนโลยีไอน้ำ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนสร้างการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นด้วย               ส่วนแผนการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ เนื้อที่รวม 19 ไร่ มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 36,000 ตารางเมตรภายใต้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 2,750 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2570 หรือช้ากว่ากำหนดการเดิมประมาณ 6 เดือน เนื่องจากต้องใช้เวลาในการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรือ EIA จากหน่วยงานภาครัฐ               สำหรับโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินระหว่างวันที่ 17 มีนาคม 2568 โดยมีระยะเวลา 6 เดือน หรือสิ้นสุดในวันที่ 16 กันยายนนี้ ภายใต้กรอบวงเงิน 200 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืนจำนวน 26,666,666 หุ้น หรือคิดเป็น 4.38% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้น VIH ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ทั้งที่บริษัททำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง และมีแผนขยายโรงพยาบาลแห่งใหม่ ซึ่งน่าจะทำให้บริษัทเติบโตได้อีกมาก ทั้งนี้กระบวนการซื้อหุ้นคืนได้คำนึงถึงประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ โดยเม็ดเงินมาจากเงินส่วนเกินไม่ใช่เงินจากการเพิ่มทุนแต่อย่างใด “แม้ปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจจะไม่ดีนัก แต่เรามั่นใจว่าจะรักษาอัตราการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง จากการพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์ใหม่ๆ รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง เพิ่มศักยภาพการเติบโตในปีนี้ให้ได้ 10% ตามแผนที่วางไว้” นพ.มงคลกล่าว               ด้านดร. ศักดา ตั้งจิตวัฒนากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน กล่าวถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการในกลุ่มลูกค้าโครงการภาครัฐให้ดีอย่างต่อเนื่อง หลังภาครัฐโดยสำนักงานประกันสังคมปรับเกณฑ์ค่าบริการทางแพทย์สำหรับผู้ป่วยในกลุ่มโรคซับซ้อน (Adj RW>2) อยู่ที่ 12,000 บาทตามเดิม ซึ่ง VIH ยังมีโควตาผู้ประกันตนจากประกันสังคม ณ สิ้นปี 2567 ได้อีกประมาณ 50,000 คน จากปัจจุบันที่ให้บริการผู้ป่วยประกันสังคมกว่า 217,055 คน ที่โรงพยาบาลวิชัยเวช อ้อมน้อยและที่สมุทรสาคร ทั้งนี้ในปี 2568 ยังเป็นปีที่ดีของ VIH โดยเติบโตได้ตามเป้าหมายและสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

abs

Hoonvision

เผยการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เดือนม.ค.68 เพิ่มขึ้น 2.8%

เผยการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เดือนม.ค.68 เพิ่มขึ้น 2.8%

             หุ้นวิชั่น - นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เผยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ 157.56 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและบริการ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยที่น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ สถานีบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 น้ำมันอากาศยาน เชิงพาณิชย์ (Jet A1) เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 และการใช้ LPG เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ขณะที่กลุ่มเบนซินลดลงร้อยละ 3.0 การใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 และ NGV ลดลงร้อยละ 15.3 รายละเอียดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดในเดือนมกราคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีดังนี้              การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยอยู่ที่ 31.25 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 3.0 ประกอบด้วยการใช้แก๊สโซฮอล์ 91 ลดลงมาอยู่ที่ 6.68 ล้านลิตร/วัน แก๊สโซฮอล์ อี20 ลดลงมาอยู่ที่ 5.05 ล้านลิตร/วัน เบนซิน ลดลงมาอยู่ที่ 0.38 ล้านลิตร/วัน และแก๊สโซฮอล์ อี85 ลดลงมาอยู่ที่ 0.06 ล้านลิตร/วัน ขณะที่น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.71 ล้านลิตร/วัน จะเห็นได้ว่าผู้บริโภคเลือกใช้แก๊สโซฮอล์ 95 มากที่สุด โดยสาเหตุมาจากปัจจัยด้านประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และราคา ซึ่งราคาแก๊สโซฮอล์ 95 สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 0.37 บาท/ลิตร ในเดือนมกราคม 2568 แต่ในช่วงเดียวกันของปีก่อนราคา แก๊สโซฮอล์ 95 สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 1.76 บาท/ลิตร จึงทำให้ประชาชนเลือกใช้แก๊สโซฮอล์ 95 มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเริ่มเห็นสัญญาณของการชะลอตัวลงโดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (BEV HEV และ PHEV) มีสัดส่วนร้อยละ 5.67 ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 คน1 รวมถึงการใช้งานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีการขยายตัวของผู้โดยสารอย่างต่อเนื่องคิดเป็นร้อยละ 15.262 เทียบกับปีก่อน              การใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ สถานีบริการ เฉลี่ยอยู่ที่ 68.16 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ประกอบด้วย ดีเซลหมุนเร็วธรรมดา เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 68.03 ล้านลิตร/วัน ขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆรวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้า ประกอบกับนโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน ในปัจจุบันกรมธุรกิจพลังงาน ปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลลงเป็น ดีเซลหมุนเร็ว บี5 มีผลตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เนื่องจากราคาผลปาล์มทะลายและน้ำมันปาล์มดิบปรับตัวสูงส่งผลต่อราคาไบโอดีเซล สำหรับการใช้ดีเซลพื้นฐาน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.85 ล้านลิตร/วัน ขณะที่ดีเซลหมุนเร็ว บี20 ลดลงมาอยู่ที่ 0.132 ล้านลิตร/วัน ทั้งนี้ ภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลอยู่ที่ 70.01 ล้านลิตร/วัน              การใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยอยู่ที่ 19.81 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 มีปัจจัย  มาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยวและการบริการผ่านมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่าจากสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคม 2568  มีจำนวนสะสม 3.709 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 เทียบกั เดือนเดียวกันของปีที่แล้ว รวมถึงการขยายตัวของการขนส่งสินค้าทางอากาศ ส่งผลให้ปริมาณการใช้ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน              การใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 16.66 ล้านกก./วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทุกรายสาขา ประกอบด้วยการใช้ในภาคครัวเรือน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.17 ล้านกก./วัน ภาคปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.10 ล้านกก./วัน ภาคขนส่ง เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.306 ล้านกก./วัน จากการขยายตัวของกลุ่มรถแท็กซี่เป็นสำคัญ และภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.09 ล้านกก./วัน การใช้ NGV เฉลี่ยอยู่ที่ 2.47 ล้านกก./วัน ลดลงร้อยละ 15.3 โดยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับจำนวนรถจดทะเบียน NGV สะสม และจำนวนสถานีบริการ NGV ที่มีแนวโน้มปิดตัวลง ทั้งนี้ ปตท. ยังคงช่วยเหลือโดยตรึงราคาให้กับ กลุ่มรถแท็กซี่และรถโดยสารสาธารณะที่ถือบัตรสิทธิประโยชน์ ปัจจุบันดำเนินการอยู่ในระยะที่ 2 (1 ก.ค. 2567 – 31 ธ.ค. 2568)              การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยอยู่ที่ 1,126,251 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้ารวม94,549 ล้านบาท/เดือน โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 1,095,257 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 92,565 ล้านบาท/เดือน สำหรับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันอากาศยาน และ LPG) อยู่ที่ 30,993 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 49.2 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 1,984 ล้านบาท/เดือน              การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เฉลี่ยอยู่ที่ 146,143 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 8.0 เป็นการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ LPG คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวม 13,819 ล้านบาท/เดือน

WHA นักวิเคราะห์ตัดสินแล้ว! เลื่อน IPO คลายกังวลแค่ไหน?

WHA นักวิเคราะห์ตัดสินแล้ว! เลื่อน IPO คลายกังวลแค่ไหน?

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง WHA ว่า เลื่อน IPO ธุรกิจนิคมฯ และการปรับโครงสร้าง              บริษัทฯ เลื่อนการเสนอขายหุ้น IPO ของกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม (WHAID) และการปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน WHAUP หลังจากประเมินสภาวะเศรษฐกิจ ความผันผวนของตลาดทุน และการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยคาดว่าจะไม่มีการกำหนดใหม่ในระยะ 2 ปีข้างหน้า เพื่อคลายความกังวลและเร่งพิสูจน์ศักยภาพการเติบโตของธุรกิจใหม่อย่าง Mobilix              แผนการลงทุนปี 2025 ยังคงเดิมที่มูลค่า 20,000 ล้านบาท รวมถึงแผนการขายสินทรัพย์ประจำปีที่ 70,000 ตร.ม. มูลค่า 1,500 ล้านบาท (ลดลงจากค่าเฉลี่ยย้อนหลังที่ 2,000-3,000 ล้านบาท/ปี) โดยยืนยันว่ามีแหล่งเงินทุนเพียงพอต่อการลงทุน และในปัจจุบันธุรกิจนิคมฯ มีการรับรู้รายได้ที่เร็วขึ้น (Cash Cycle สั้นลง) นอกจากนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าอัตราส่วน Net IBD/Equity ปี 2025 ที่ 1.2 เท่า (จาก 1.04 เท่าในปี 2024)              บริษัทฯ คาดยอดขายที่ดินในไตรมาส 1 ปี 2025 จะมากกว่า 700 ไร่ โดยอุปสงค์ที่ดินปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับสูงจากลูกค้ากลุ่ม Electronics, Data center และ ยานยนต์ นอกจากนี้ กำลังเจรจากับลูกค้า High Potential ขนาดที่ดินรวมมากกว่า 1,000 ไร่ หากสำเร็จ คาดว่าจะบันทึกในไตรมาส 2 ปี 2025 และมีโอกาสปรับเป้าขายที่ดินในปี 2025 ขึ้นเป็น 3,000 ไร่ (จากเป้าต้นปี 2025 ที่ 2,350 ไร่ / ปี 2024 ทำได้ 2,565 ไร่) ธุรกิจในเวียดนามเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยลูกค้าติดต่อเข้ามาเพิ่มขึ้น และกำลังเจรจากับลูกค้ากว่า 1,200 ไร่ มุมมองของเรา              การเลื่อน IPO ของกลุ่มธุรกิจนิคม (WHAID) เป็น Sentiment บวกต่อหุ้นจากการคลายความกังวลในตลาดก่อนหน้า เช่น 1) สัดส่วนการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจนิคมที่เป็นธุรกิจหลักลดลง กดดันแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2026 เป็นต้นไป และ 2) ค่าใช้จ่ายทางภาษีจากการปรับโครงสร้างการถือหุ้น WHAUP ที่เป็นรายการพิเศษกดดันการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2025 นอกจากนี้ หากบริษัทฯ สามารถสร้างความเชื่อมั่นในธุรกิจใหม่ Mobilix ได้ในระยะเวลา 2 ปี จะช่วยหนุนการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของ WHA ได้อย่างมีนัยสำคัญ              แนวโน้มในไตรมาส 1 ปี 2025 เราคาดว่ายอดขายที่ดินจะเติบโต QoQ และ YoY ตามความต้องการที่ดินจากลูกค้ากลุ่ม Electronics และ Data Center ขณะที่คาดผลประกอบการทรงตัว QoQ จาก GPM ที่สูงกว่าปกติ และทรงตัว YoY จากฐานสูงของการโอนที่ดิน              เราคงประมาณการปี 2025 คาดกำไรปกติที่ 4,908 ล้านบาท (+14% YoY) จาก 1) Backlog แข็งแกร่ง 1,535 ไร่ (+48% YoY) โอนส่งมอบทั้งหมดภายในปี 2) GPM ของธุรกิจนิคมฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงจากการปรับราคาขายที่ดินขึ้น 3) รายได้ธุรกิจสาธารณูปโภคเติบโตตามลูกค้านิคมที่เพิ่มขึ้น และ 3) แผนขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT มูลค่า 1,500 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจาก 1,100 ล้านบาทในปี 2024)              ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ราคาหุ้นปรับตัวลง 23% จากความกังวลเกี่ยวกับการเตรียม IPO ธุรกิจนิคมฯ (WHAID) เราจึงมองว่าราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวจากการคลายความกังวลนี้ คงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยตั้งราคาเป้าหมายที่ 5.65 บาท ส่วนระยะสั้นต้องติดตามความผันผวนจากมาตรการการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

บล.พาย คัด 10 หุ้นผู้นำอุตสาหกรรม อำนาจต่อรองสูง

บล.พาย คัด 10 หุ้นผู้นำอุตสาหกรรม อำนาจต่อรองสูง

              หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.พาย ประเมิน SET INDEX วันนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 1,160 - 1,180 จุด ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนการเลือกหุ้นมีความจำเป็นค่อนข้างมาก ท่ามกลางกระแสเงินทุนไหลออกและปัจจัยพื้นฐานไม่ได้โดดเด่น ชอบหุ้นที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม มีความสามารถในการแข่งขัน อำนาจต่อรองค่อนข้างสูงทั้งกับลูกค้าและผู้ป้อนวัตถุดิบ อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) โรงพยาบาล (BDMS) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT)               วานนี้ Bloomberg นำเสนอมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย โดย SET INDEX ปรับลง 16% (YTD) นับเป็นดัชนีที่ให้ผลตอบแทนย่ำแย่สุดในจาก 92 ดัชนีที่ Bloomberg พิจารณาอยู่และนักลงทุนต่างชาติก็ขายสุทธิราว 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (สูงสุดในอาเซียน อิงข้อมูลจาก Bloomberg) Bloomberg ตั้งข้อสังเกตุว่าเหตุผลหลักที่ต่างชาติขายมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงกดดันเศรษฐกิจ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมือง และคดีต่างๆของบริษัทจดทะเบียนไทย นอกจากนี้แล้วเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวมากเกินไป ก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ แม้หุ้นไทยจะไม่แพงแต่ก็ยากที่จะโน้มน้าวให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน ขณะที่กองทุนวายุภักษ์ก็ถือว่าล้มเหลวในการพยุงหุ้นไทยเพราะลงทุนไปแล้ว 50-60% แต่ดัชนียังคงปรับลงต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่จะเรียกความเชื่อมั่นได้เห็นทีจะอยู่ที่ภาครัฐบาล จากข้อความข้างต้นทั้งหมดมาจาก               Bloomberg ซึ่งหากมองสิ่งที่กล่าวมาก็ต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีความน่าสนใจที่น้อยลงจากปัจจัยพื้นฐาน การลงทุนจึงควรเน้นหาหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันที่สูง               ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 353 จุด (+0.85%) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ได้ปัจจัยหนุนจากนักลงทุนช้อนซื้อหุ้นหลังตลาดปรับฐานช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงความหวังว่ารัสเซียและยูเครนมีแนวโน้มสิ้นสุดลง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.7%               เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯได้รายงานยอดค้าปลีกขยายตัวเพียง 0.2%MoM ต่ำกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 0.6%MoM โดยสินค้าเกี่ยวข้องกับยานยนต์หดตัวลง (-0.4%MoM) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (-0.3%MoM) เสื้อผ้า (-0.6%MoM) สินค้าที่หดตัวสะท้อนถึงความมั่นใจการบริโภคที่ลดลง เพราะส่วนใหญ่เป็นสินค้าคงทนที่จะซื้อก็ต่อเมื่อมั่นใจต่อสภาพการเงินและอนาคตรายได้ที่สดใส การลดลงอาจเป็นเพราะความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงตามคาดการณ์รายได้และเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหลังจากรายงานพบว่า US Bond Yield ปรับขึ้นเล็กน้อย ส่วนนึงที่นักลงทุนไม่ได้กระทำใดมากเพราะอาจรอดูผลประชุม FED ในช่วงคืนวันพุธ

The White Lotus ปลุกกระแสเที่ยว หุ้นไหนรับอานิสงส์ - เช็กเลย!

The White Lotus ปลุกกระแสเที่ยว หุ้นไหนรับอานิสงส์ - เช็กเลย!

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า การท่องเที่ยวไทยมีภาพบวกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย นำโดยยอดผู้ใช้บริการสนามบิน AOT ในช่วงวันที่ 1-16 มี.ค. ซึ่งการเดินทางออกนอกประเทศลดลง -0.2% y-y ปรับตัวดีขึ้นจากช่วง 1-8 มี.ค. ที่ลดลง -1.6% y-y บ่งชี้ว่าระหว่างวันที่ 9-16 มี.ค. ยอดนักท่องเที่ยวอาจกลับมาขยายตัว y-y ได้               อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับระดับ Pre-COVID ในช่วง 1-16 มี.ค. ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปี 2019 ประมาณ -13.6% ทำให้มีแนวโน้มว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2025F อาจอยู่ในกรอบล่างของที่ตลาดคาดการณ์ไว้               แม้ตัวเลขโดยรวมยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ในบางจุดท่องเที่ยวกลับมีภาพบวก หลังจากที่ซีรีส์ The White Lotus Season 3 ออกอากาศ โดยข้อมูลจาก Expedia ระบุว่าความสนใจในการค้นหาเกี่ยวกับ โฟร์ซีซั่นส์ รีสอร์ท เกาะสมุย (Four Seasons Resort Samui) ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำหลักของซีรีส์ เพิ่มขึ้นถึง 370% ในตลาดฮ่องกงเมื่อเทียบกับปีก่อน               ขณะเดียวกัน การค้นหาการเดินทางไป เกาะสมุย โดยรวมเพิ่มขึ้น 115% ในสิงคโปร์, 95% ในสหรัฐอเมริกา และ 70% ในออสเตรเลีย ซึ่งโดยรวมแล้วเป็นปัจจัยบวกทางจิตวิทยาต่อหุ้นกลุ่ม ท่องเที่ยวและภาคบริการ ในระยะสั้น โดยเน้นกลุ่มที่ได้รับกระแสจาก The White Lotus เช่น BA และ MINT

ราคาน้ำมันดิบสูง กังวลซัพพลายลด

ราคาน้ำมันดิบสูง กังวลซัพพลายลด

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS)น้ำมันดิบ Brent ปรับตัวเพิ่มขึ้น +0.69% d-d ปิดที่ 71.07 USD/Barrel ขณะที่ น้ำมันดิบ West Texas เพิ่มขึ้น +0.60% d-d ปิดที่ 67.58 USD/Barrel แรงหนุนหลักมาจาก (1) ความกังวลเกี่ยวกับ Supply น้ำมันที่ลดลงในระยะสั้นจากสถานการณ์สงคราม หลังจากที่สหรัฐฯ ยืนยันว่าจะเดินหน้าโจมตีกลุ่ม ฮูตี และ (2) ข้อมูลเศรษฐกิจของจีนที่ออกมาดีเกินคาด ซึ่งช่วยหนุนความหวังว่า Demand การบริโภคน้ำมัน จะฟื้นตัวขึ้น

KSS คาด SET Sideways/Up ต้าน 1,195 จุด - คัด 3 หุ้นเด่น เช็ก!

KSS คาด SET Sideways/Up ต้าน 1,195 จุด - คัด 3 หุ้นเด่น เช็ก!

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาดว่า SET วันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways/Up โดยมีแนวต้านที่ 1,187/1,195 จุด และแนวรับที่ 1,160/1,156 จุด                ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในวันนี้ ได้แก่ เศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยยอดค้าปลีกเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ฟื้นตัวแต่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ +0.2% m-m เทียบกับครั้งก่อนที่ -1.2% m-m ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐรีบาวด์ได้ เนื่องจากนักลงทุนลดความกังวลด้านเศรษฐกิจและมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีโอกาส Soft Landing ซึ่งช่วยหนุนให้หุ้น Value Stocks ปรับตัวขึ้นนำตลาด ทั้งนี้ ตลาดกำลังรอผลการประชุม Fed ในช่วงกลางสัปดาห์                ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ย +0.6% ได้รับแรงหนุนจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ เศรษฐกิจจีนมีพัฒนาการเชิงบวกในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติมมากกว่า 0.3% ของ GDP ซึ่งช่วยหนุนให้เม็ดเงินลงทุนเริ่มไหลเข้าสู่ ตลาดจีนและเอเชีย                สำหรับปัจจัยภายในประเทศ เศรษฐกิจไทยมีพัฒนาการเชิงบวก โดย BOI อนุมัติโครงการ Data Center และโครงการอื่น ๆ เพิ่มเติม ส่งผลให้ปีนี้มีการอนุมัติโครงการรวม 3.7 แสนล้านบาท (เทียบกับปี 2567 ที่ 1.13 ล้านล้านบาท) นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดเสนอรัฐบาลให้แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยระดมทุนจากภาคเอกชนเพื่อซื้อหนี้จากธนาคาร ซึ่งถือเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อ หุ้น Domestic และหุ้นกลุ่ม BANK                วันนี้ต้องจับตาการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ                โดยรวมคาดว่า SET วันนี้จะสามารถรีบาวด์ได้ โดยหุ้นที่คาดว่าจะเป็นผู้นำตลาด ได้แก่ หุ้น Domestic Play โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หุ้น China Plays และหุ้น Deep Value 10 ตัว สำหรับหุ้นเด่นที่แนะนำวันนี้ ได้แก่ AP, IVL และ SCGP

BCH พ้นจุดต่ำสุด ถึงรอบกลับมาโต

BCH พ้นจุดต่ำสุด ถึงรอบกลับมาโต

                 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง BCH ว่า การดำเนินงานกลับมาเติบโต ผ่านจุดต่ำในปีก่อนไปแล้ว ผู้บริหารมองว่าปีนี้บริษัทจะเติบโตมากกว่า 10% จากรายได้ประกันสังคมในส่วนของ AdjRW ≥ 2 ซึ่งในปีนี้มีการการันตีจ่ายที่ 12,000 บาท/RW สูงกว่าปีก่อน นอกจากนี้ รายได้จากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง สนับสนุนให้ผลประกอบการโดยรวมปรับตัวดีขึ้น                  เบื้องต้นเราประเมินรายได้ปีนี้ที่ 12,855 ล้านบาท (+9.0%) โดยได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้ประกันสังคมและกลุ่มผู้ป่วย CLMV ขณะที่ผู้ป่วยเงินสดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและทรงตัว ด้านอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 30.0% และกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,413 ล้านบาท (+10.2%) ผลการดำเนินงานในปี 2567                  บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,282 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 124 ล้านบาท (-8.8%) โดยรายได้จากกิจการโรงพยาบาลรวมอยู่ที่ 11,725 ล้านบาท (-0.1%) แบ่งเป็นรายได้จากผู้ป่วยทั่วไป 7,929 ล้านบาท (-0.6% YoY) คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ 67.7% และรายได้จากผู้ป่วยประกันสังคม 3,888 ล้านบาท (+1.0% YoY) คิดเป็นสัดส่วน 33.2%                  อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27.3% ลดลงจากปีก่อนที่ 30.8% สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4/67 ซึ่ง GPM ปรับตัวลดลงเหลือ 22.8% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายธรรมเนียมแพทย์และพนักงานที่เพิ่มขึ้นจากการขยายเวลาการให้บริการในศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง แนวโน้มปีนี้ และ 1Q68                  แนวโน้มปีนี้คาดว่าบริษัทจะเติบโตมากกว่า 10% โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ประกันสังคม AdjRW ≥ 2 ที่ได้รับการการันตีจ่ายที่ 12,000 บาท/RW ซึ่งสูงกว่าปีก่อน นอกจากนี้ 3 โรงพยาบาลใหม่ ได้แก่ เกษมราษฎร์ อรัญประเทศ, เกษมราษฎร์ เวียงจันทน์ และ เกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี คาดว่าการดำเนินงานจะดีขึ้น โดยเฉพาะสองโรงพยาบาลแรกที่มีศักยภาพเติบโตสูง ส่วน เกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี อาจฟื้นตัวได้ช้ากว่า เนื่องจากจำนวนผู้ประกันตนยังไม่สูงมาก                  รายได้จากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์อื่นๆ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง หลังได้รับโควต้าเพิ่มขึ้น และจะสามารถรับรู้จำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้นเต็มปี อีกทั้งยังมีการ รีแบรนด์จาก "การุณเวช" เป็น "เกษมราษฎร์ ปทุมธานี" และ "เกษมราษฎร์ อารีย์" ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปีก่อน ซึ่งเริ่มมี EBITDA เป็นบวกเล็กน้อย และคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากการให้บริการรักษาผ่านประกันสังคมและสิทธิบัตรทอง                  สำหรับประมาณการรายได้ปีนี้ คาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 12,855 ล้านบาท (+9.0%) ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ประกันสังคมและกลุ่มผู้ป่วย CLMV ขณะที่รายได้จากผู้ป่วยเงินสดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและค่อนข้างทรงตัว ด้านอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 30.0% สูงกว่าปีก่อนที่ 27.7% ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,413 ล้านบาท (+10.2%)                  แนวโน้มไตรมาส 1/68 คาดว่าจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ยังคงเห็นแนวโน้มผู้ป่วยเงินสดเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ป่วยประกันสังคมยังคงทรงตัว ส่วนผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV ยังคงเติบโต แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากเดือนรอมฎอนในช่วงเดือนมีนาคม ปรับราคาเหมาะสมปี 68 ลงมาอยู่ที่ 21.70 บาท จาก 24.10 บาท                  เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" แม้ว่าจะมีการปรับราคาเหมาะสมลงมาอยู่ที่ 21.70 บาท จากเดิม 24.10 บาท โดยใช้วิธี Discounted Cash Flow (WACC = 7.8%, Terminal Growth = 3%)                  อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มปี 2568 เนื่องจากมีการการันตีการจ่ายค่า AdjRW ≥ 2 ที่ระดับ 12,000 บาท ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้ให้เติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ ฐานผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการดำเนินงานของ 3 โรงพยาบาลใหม่ ที่ปรับตัวดีขึ้น ก็เป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการ                  อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อรายได้จากผู้ป่วยเงินสด ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการเติบโตของบริษัทในระยะยาว

SISB เพิ่มที่นั่ง 1.6 พันที่นั่ง Valuation น่าสน - เช็กเลย!

SISB เพิ่มที่นั่ง 1.6 พันที่นั่ง Valuation น่าสน - เช็กเลย!

                  หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง SISB ว่า Valuation ปัจจุบันน่าสนใจ SISB วางแผนขยายการเติบโตระหว่างปี 2568-2569 ด้วยงบลงทุน 565 ล้านบาท โดยเพิ่มที่นั่งเรียนรวม 1,600 ที่นั่ง เพื่อรองรับนักเรียนที่เพิ่มขึ้น                   เราคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ที่ 956 ล้านบาท (+8% YoY) แม้จะทำ New High แต่การเติบโตของกำไรสุทธิที่ต่ำกว่าระดับ double digit เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยแนวโน้ม 1Q25F คาดทรงตัว QoQ จากฐานที่สูง แต่จะดีขึ้น YoY จากการปรับขึ้นค่าเทอม จำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้ม margin ที่ทรงตัวในระดับสูง                   เราแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 23.40 บาท ในเชิง valuation ถือว่ามีความน่าสนใจ เนื่องจากธุรกิจมีความเสถียรภาพ และยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องตามการให้ความสำคัญด้านการศึกษา ประกอบกับแผนการขยายโรงเรียน ซึ่งจะเป็น Key Driver ของการเติบโตในปี 2569 Earning Review                   ผลประกอบการปี 2567 SISB มีกำไรสุทธิที่ 885.2 ล้านบาท (+37% YoY) จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ +24.6% YoY ตามจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นทั้งนักเรียนไทย (+7.3%) และนักเรียนต่างชาติ (+17.5%) โดยสิ้นปีมีจำนวนนักเรียนรวม 4,620 คน (+423 คนจากปีก่อน) ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเปิดสาขาใหม่ นนทบุรี และระยอง ครบปี รวมถึงการปรับขึ้นค่าเทอม ด้าน GPM เท่ากับ 54.2% (+1.68% YoY) และ EBITDA Margin เท่ากับ 46.9% (+2.31% YoY) จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารส่วนใหญ่คงที่ และมีการรับรู้ค่าเสื่อมของโรงเรียนเปิดใหม่เพิ่มขึ้น Outlook                   SISB วางแผนขยายการเติบโตในช่วงปี 2568-2569 ด้วยงบลงทุน 565 ล้านบาท โดยเพิ่มที่นั่งเรียนรวม 1,600 ที่นั่ง ผ่านโครงการขยาย วิทยาเขต PU เฟส 3 ซึ่งจะเพิ่ม 600 ที่นั่ง ด้วยงบ 265 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จ 1Q26 และโครงการ โรงเรียนนานาชาติแห่งที่ 7 (ปทุมธานี) ที่เพิ่มอีก 1,000 ที่นั่ง ด้วยงบ 300 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จ 4Q26 ส่งผลให้เป้าจำนวนนักเรียนปี 2568-2569 อยู่ที่ 5,000 และ 5,600 คน ตามลำดับ                   บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโตในกรอบ 10-20% จากจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนต่างชาติ ซึ่งมีโปรแกรมปรับพื้นฐานทางภาษาช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าเรียนกับ SISB ในระยะยาว นอกจากนี้ ผู้บริหารคาดว่าสาขา ระยอง จะสามารถ Breakeven ได้ในปีนี้ (โดยมีเงื่อนไขว่าจำนวนนักเรียนต้องถึง 220 คน จากสิ้นปีก่อนที่ 159 คน) แนวโน้ม 1Q25F คาดทรงตัว QoQ จากฐานที่สูง แต่ดีขึ้น YoY จากการปรับขึ้นค่าเทอม จำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้ม margin ที่ทรงตัวในระดับสูง การเติบโตปีนี้ไม่น่าสนใจ แต่ Valuation ยังน่าซื้อ                   เราคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ที่ 956 ล้านบาท (+8% YoY) แม้จะทำ New High แต่การเติบโตของกำไรสุทธิจะต่ำกว่าระดับ double digit เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี เนื่องจากปีนี้ไม่มีการเปิดสาขาใหม่ แต่คาดหวังว่าการ Breakeven ของสาขา นนทบุรี และระยอง จะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 10% อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นค่าเทอมราว 3.3% น้อยกว่าค่าจ้างบุคลากรที่เพิ่มขึ้น 5% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ GPM และ EBITDA Margin ทำให้ลดลง                   เราแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 23.40 บาท โดยอิง PE 23 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี – 2 SD                   ในเชิง valuation ถือว่ามีความน่าสนใจ เนื่องจากธุรกิจมีความเสถียรภาพและยังเติบโตได้ต่อเนื่องตามแนวโน้มการให้ความสำคัญด้านการศึกษา นอกจากนี้ แผนการขยายโรงเรียนจะเป็น Key Driver ของการเติบโตในช่วงปี 2569 เป็นต้นไป รวมถึงการเกิด Economies of Scale ที่จะช่วยหนุน margin ให้สูงขึ้นในระยะยาว

ASL คาด SET Index แกว่งตัว Sideway กรอบ 1,160-1,185 จุด - ชู GULF เด่น

ASL คาด SET Index แกว่งตัว Sideway กรอบ 1,160-1,185 จุด - ชู GULF เด่น

                หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด คาดแนวโน้ม SET Index ประเมินแกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,160-1,185 จุด ขานรับความหวังที่ว่าสงครามระหว่าง รัสเซียและยูเครนมีแนวโน้มสิ้นสุดลง โดยวันนี้คาดว่าจะมีการสนทนากันระหว่างทรัมป์และปูติน โดยการสนทนาดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะยุติสงครามในยูเครน ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.พ.ปรับตัวขึ้น 0.2% MoM ต่ำกว่าที่ตลาดคาด สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากมาตรการภาษีศุลกากร และการเลิกจ้างพนักงานรัฐบาลกลางจำนวนมาก ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้สร้างบ้านลดลง 3 จุด สู่ระดับ 39 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2024 และต่ำกว่าที่คาด ได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างที่มีการนำเข้าจากต่างประเทศ อันเนื่องมาจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า เฟดสาขาแอตแลนตาได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะหดตัวลง 2.1% ใน 1Q25 ทั้งนี้จับตาผลการประชุมเฟดในวันพุธนี้ (19 มี.ค.) รวมทั้งจับตาถ้อยแถลงของพาวเวล และ Dotplot                 ด้านปัจจัยในประเทศ คาดหวังนักลงทุนสถาบันมีโอกาสที่จะเข้ามาทำ Window Dressing จาก performance ของ SET Index ที่ปรับตัวลงกว่า 16% YTD รวมถึงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสมหุ้นเพื่อรับปันผลในช่วงเม.ย.-พ.ค.                 ส่วนในเชิง valuation ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 1.12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง -2.5 SD และ EYG สูงกว่า 6% แนะนำทยอยสะสมหุ้นใน SET50 เราชอบ AOT, BEM, CPALL, CPAXT, CRC, PTT, OSP, WHA ขณะที่วันนี้จะมีประชุม ครม. คาดหวังอนุมัติมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เช่น ลดหย่อนค่าโอน-จดจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 7 ล้านบาท และการเริ่มผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เราชอบ SPALI, AP ติดตาม: การประชุมเฟด คาดส่งสัญญาณความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดคาดหวังว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ย และ BoJ คาดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย Stock pick: GULF เติบโตในระยะยาว เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 53.75 บาท                 GULF ยังคงพัฒนาโครงการใน pipeline ได้ตามแผน โดยคาดว่าในปีนี้จะมีโครงการ COD ราว 1 พัน MW ครอบคลุมทั้งโครงการ Renewable และ IPP (HKP Phase 2) นอกจากนี้บริษัทยังเน้นขยายไปยังธุรกิจพลังงานทดแทนและ Data Center โดยคาดว่าในปี 25F จะมีโครงการ Data Center เฟสแรกที่ 25 MW และขยายได้ถึง 50 MW ในอนาคต ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้ารายใหญ่ เช่น Microsoft สะท้อนถึงโอกาสการเติบโตของธุรกิจใหม่ในระยะยาว                 ทั้งนี้เราประเมินว่า GULF ยังมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวและมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับกลุ่มโรงไฟฟ้าด้วยกัน เนื่องจาก การ diversified พอร์ตรายได้ที่มีความหลากหลายมากกว่า เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในกลุ่ม Data Center, Cloud และ AI รับรู้ Synergy การควบรวมกับ INTUCH ที่คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จช่วง 2Q25F เกิดเป็น NewCo ซึ่งเรามองว่าจะสามารถเข้า SET50 ได้ทันที รวมถึงจะช่วยให้สถานะการเงินดีขึ้น โดยตลาดคาดหวัง Net IBD/E จะปรับลดลงมาต่ำกว่า 1 เท่า จากปัจจุบันที่ระดับ 1.7 เท่า ช่วยเสริมศักยภาพในการจัดหาแหล่งเงินทุน ส่วนในเชิง sentiment ขานรับบอร์ด BOI ส่งเสริมการลงทุนใน Data Center                 แนวโน้มปี 25-26F Bloomberg ประเมินกำไรสุทธิเท่ากับ 2.2 หมื่นล้านบาท (+21% YoY) และ 2.5 หมื่นล้านบาท (+17.7% YoY) ตามลำดับ มีแรงหนุนจากการ COD ของโรงไฟฟ้าหินกอง และแนวโน้มธุรกิจ Data Center ที่ขยายตัว ส่วนแนวโน้ม 1Q25F คาดว่าจะทำ นิวไฮ ขยายตัวทั้ง QoQ และ YoY ทั้งนี้มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 66.43 บาท ส่วนด้านความเสี่ยงนโยบายการปรับลดค่าไฟ มองว่ากระทบจำกัด เนื่องจากมีสัดส่วนลูกค้าที่อิงกับค่า Ft น้อยกว่า 10% ของรายได้ขายไฟโดยรวม แนวรับ 47.75/45.75 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา แนวต้าน 50.25/52/53.75

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.45-33.70 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.45-33.70 บ./ดอลลาร์

          หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.45-33.70 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทยังแข็งค่าจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลังเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ออกมาผสม โดยเลขตัวรวมอยู่ที่ 2%MOM ต่ำกว่าตลาดคาด แต่เลข control group ซึ่งถูกใช้คำนวณ PCE อยู่ที่ 1.0%MOM สูงกว่าตลาดคาด ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนเดือนกุมภาพันธ์ ออกมาสูงกว่าคาด แต่ตัวเลขอัตราว่างงานยังปรับสูงขึ้น องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะโตชะลอลงเหลือ 1% ในปีนี้ และ 3% ในปีหน้า จากอุปสรรคการค้าและความไม่แน่นอนสูงขึ้น

จ่อลดฟรีวีซ่าเหลือ 30 วัน ERW-CENTEL-MINTรับเต็ม

จ่อลดฟรีวีซ่าเหลือ 30 วัน ERW-CENTEL-MINTรับเต็ม

                 หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย เห็นพ้องกันในหลักการที่จะลดระยะเวลาการพำนักจาก 60 วันเป็น 30 วันสำหรับพลเมืองจากประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าภายใต้โครงการ อย่างไรก็ตาม จะมีการหารือรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนที่จะประกาศการปรับกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวแสดงความกังวลต่อระยะเวลาที่ขยายออกไป เนื่องจากนักท่องเที่ยวระยะไกลจะพักอยู่เพียง 14-21 วันโดยเฉลี่ย ในขณะที่นักท่องเที่ยวระยะสั้นใช้เวลาเดินทางต่อทริปไม่ถึง 2 สัปดาห์หรือเฉลี่ยประมาณ 7 วัน (ที่มา: Bangkok Post)                     มองเป็นบวกต่อการปรับลดวันพำนักลงเหลือ 30 วัน จากเดิมที่ 60 วัน เพราะจะช่วยลดเรื่องความไม่ปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาที่มีการให้วันพำนักสูงถึง 60 วัน ทำให้เป็นช่องทางในการทำธุรกิจที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีที่นักท่องเที่ยวบางกลุ่มอยู่ในประเทศไทยเกินระยะเวลาที่กำหนด หรือเข้ามาทำธุรกิจที่ไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว                     โดยหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากมาก-น้อยเรียงตามสัดส่วนรายได้ในประเทศไทยจากมาก-น้อยคือ ERW (88%), CENTEL (80%) และ MINT (15%)                     ให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” โดย Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวเรายังชอบ CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) และ MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท)

'ซื้อหนี้ประชาชน' เกิดยาก โฟกัส KTB-BBL-TTB

'ซื้อหนี้ประชาชน' เกิดยาก โฟกัส KTB-BBL-TTB

              หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ที่อาคารหอประชุมอนุสรณ์ 100 ปี มหาวิทยาลัยพิษณุโลก อ.เมือง จ.พิษณุโลก นายทักษิณพบกับคนเสื้อแดง โดยกล่าวว่า "ปัญหาหนี้สินครัวเรือนเยอะเหลือเกิน ทำอย่างไรจะให้หนี้คนไทยลดลงได้ ผมได้คิดดังๆ ย้ำว่าแค่คิดดังๆ ยังไม่ได้ทำ คิดว่าต่อไปเราจะซื้อหนี้ทั้งหมดของประชาชนออกจากระบบธนาคารดีไหม แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน แล้วไม่ต้องชำระเต็มจำนวน มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ ยกออกจากเครดิตบูโรให้หมด ให้เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำมาหากินใหม่ สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้เงินรัฐบาล เพราะผมสามารถให้เอกชนลงทุน" "วันนี้รัฐบาลเป็นหนี้เยอะ เราเข้ามาหนี้ก็บานตะไทแล้ว จะขยับอะไรทีก็เป็นหนี้ไปหมด เราต้องสร้างหนี้ให้น้อยที่สุด แล้วก็สร้างโอกาสให้คนไทยมากที่สุด พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ต้องทำ” (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์)               มองเป็นกลางต่อประเด็นดังกล่าว และคาดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไม่มีแหล่งที่มาของเงินลงทุนว่าใครจะเป็นคนลงทุนกับโครงการนี้ ขณะที่ถ้าจะซื้อแค่หนี้เสีย ปัจจุบันก็มี AMC (เช่น BAM, JMT) ที่คอยรับซื้ออยู่แล้ว แต่หากเกิดขึ้นจริงจะมีโอกาสที่จะทำให้สำรองฯและ NPL จะลดลงได้ อย่างไรก็ดีหากซื้อหนี้ดีออกไปจะทำให้ภาพรวมของสินเชื่อจะลดลง รวมถึงจะมีรายได้ดอกเบี้ยลดลงได้ ทั้งนี้เรายังคงต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมโดยเฉพาะเรื่องแหล่งที่มาของเงินลงทุน               โดยยังคงน้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” และชอบ KTB (ซื้อ/เป้า 27.50 บาท), BBL (ซื้อ/เป้า 186.00 บาท) และ TTB (ซื้อ/เป้า 2.22 บาท)

โบรกห่วงหุ้นโรงไฟฟ้า ค่าไฟต่ำกระทบเติบโต

โบรกห่วงหุ้นโรงไฟฟ้า ค่าไฟต่ำกระทบเติบโต

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มโรงไฟฟ้า กับการปรับลดค่าไฟฟ้าของไทยให้เหลือ 2.5 บาท/หน่วย ตามแนวคิดของ ทักษิณ ชินวัตร ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ ท้าทายและอาจไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น จากมุมมองนักวิเคราะห์ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคด้านต้นทุนและโครงสร้างพลังงาน ขณะที่หุ้นโรงไฟฟ้ายังคงเผชิญแรงกดดันจากนโยบายรัฐ ส่งผลกระทบต่อการเติบโตและเงินปันผล นักลงทุนแนะ Wait & See รอความชัดเจนของอุตสาหกรรม            อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เปิดวิสัยทัศน์ในเวที ร่วมงาน MFC’s 50th AnniversaryThe World’s Next Opportunities and Beyond เปิดโอกาสลงทุนแห่งอนาคตถึงประเด็นลดค่าไฟฟ้า หวังดึงต่างชาติลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย ปัจจุบันต้นทุนพลังงานทั่วโลกอยู่ที่ 0.67 บาท แต่ไทยสูงถึง 3.7 บาท จึงตั้งเป้าลดเหลือ 2.7 บาท (8 เซนต์) ในเบื้องต้น ขณะที่นักลงทุนต่างชาติให้ความเห็นว่าหากค่าไฟไทยอยู่ที่ 2.02-2.35 บาท (6-7 เซนต์) จะสามารถแข่งขันได้ระดับโลก นอกจากนี้ ทักษิณยังระบุว่าอยากเห็นค่าไฟภายในประเทศที่ 2.5 บาท            ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุ กรณีที่คุณทักษิณชงลดไฟเหลือ 2.5 บาท ดึง AI-ดาต้าเซ็นเตอร์ลงทุนไทย ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายเป็นอย่างมาก จากปัจจัยดังนี้ 1. ต้นทุนปัจจุบันสูงเกินเป้า โดยค่าไฟเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 4.15 บาท/หน่วย ด้าน ต้นทุนผลิตไฟฟ้า (จากก๊าซ) อยู่ที่ 2.4 บาท/หน่วย ส่วนค่าระบบและโครงสร้างพื้นฐาน 1.55 บาท/หน่วย รวมไปถึงค่า Ft อีก 0.20 บาท/หน่วยและ ต้นทุนผูกกับราคาก๊าซและ LNG ที่ผันผวน 2. ต้นทุนการผลิตส่วนใหญ่ยังผูกกับราคาก๊าซและ LNG ที่ผันผวน ซึ่งถ่านหิน: ต้นทุนต่ำ (2-3 บาท/หน่วย) แต่เผชิญข้อจำกัดทางสิ่งแวดล้อมและการเมือง ราคาก๊าซธรรมชาติ: ก๊าซราคาถูกจากอ่าวไทยมีจำกัด การนำมาใช้มากขึ้นอาจกระทบภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ สำหรับราคา LNG นั้นมีราคาผันผวนสูง ทำให้ควบคุมต้นทุนไฟฟ้ายาก 3. ข้อจำกัดของพลังงานแสงอาทิตย์ โดยต้นทุนผลิตต่ำสุดในประเทศ (2.1-2.2 บาท/หน่วย) แต่ผลิตไฟไม่ต่อเนื่อง และไม่ครอบคลุมช่วง Peak ช่วงกลางคืน อีกทั้งยังต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่และต้นทุนสูงมาก และต้องใช้เวลานานและพื้นที่มหาศาล สำหรับมุมมองต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า หุ้นโรงไฟฟ้าเคยปรับตัวลงแรงเมื่อมีเป้าหมายลดค่าไฟเหลือ 3.7 บาท/หน่วย            รอบนี้อาจไม่กระทบมาก เพราะราคาหุ้นบางส่วนสะท้อนความเสี่ยงไปแล้วข้อเสนอแนะต่อนโยบายค่าไฟถูกไม่ใช่คำตอบเดียวไทยควรเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และบริการเทคโนโลยีขั้นสูงควบคู่ เพื่อดึงดูดดาต้าเซ็นเตอร์และ AI ระดับโลกในระยะยาว            นายมงคล พ่วงเภตรา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากกำลังเผชิญกับปัจจัยลบหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อเนื่อง ซึ่งเดิมทีหุ้นโรงไฟฟ้ามักถูกมองว่าเป็น Defensive Stock หรือหุ้นที่มีเสถียรภาพสูง สามารถทนทานต่อภาวะตลาดที่ผันผวนได้ดี แต่ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นทำให้ความเป็น Growth Stock ของหุ้นกลุ่มนี้ลดลงไป ปัจจัยลบที่กระทบหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า 1. การเติบโตชะลอตัวและการลงทุนในต่างประเทศที่ไม่เป็นไปตามเป้า นักลงทุนเคยมองว่าหุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่เติบโตได้อย่างมั่นคง แต่ในช่วงที่ผ่านมา การขยายธุรกิจไปต่างประเทศของบางบริษัทอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่คาด ทำให้ศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนลดลง 2. นโยบายลดค่าไฟของภาครัฐ กดดันอัตราค่าไฟฟ้าโรงไฟฟ้าใหม่ รัฐบาลมีนโยบายปรับลดค่าไฟเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนในประเทศ ส่งผลให้โรงไฟฟ้าที่เข้าประมูลโครงการพลังงานทดแทนได้รับอัตราค่าไฟฟ้าที่ต่ำลง กระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของบริษัทที่เข้าร่วมประมูล 3. โรงไฟฟ้าที่พึ่งพารายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเผชิญความเสี่ยงสูง บริษัทที่มีธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นรายได้หลัก เช่น RATCH และ EGCO มีความเสี่ยงจากการขาดการกระจายแหล่งรายได้ เมื่อเทียบกับบริษัทที่มีธุรกิจอื่นเข้ามาเสริม ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง 4. การลดลงของเงินปันผลจากโรงไฟฟ้าเก่า โรงไฟฟ้าหลายแห่งมี สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ผ่านช่วงพีคของผลตอบแทนไปแล้ว ส่งผลให้การจ่ายเงินปันผลลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องพิจารณาในการเลือกหุ้นกลุ่มนี้ แนวโน้มและกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้า • การกระจายความเสี่ยง เป็นสิ่งจำเป็น บริษัทโรงไฟฟ้าจำเป็นต้องหา ธุรกิจเสริม ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น แต่การขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเลือกธุรกิจที่มี ROI สูง และมีความสอดคล้องกับศักยภาพของบริษัท • นักลงทุนควรมองหาหุ้นที่มี เงินปันผลสูงกว่า ถ้าหุ้นตัวนั้นมีการเติบโตเมหือนกัน แต่ปัจจุบันการเติบโตของหุ้นโรงไฟฟ้าอยู่ภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยลบหลายด้าน • จากความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ การลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้าช่วงนี้ยังอยู่ในโหมด Wait & See รอความชัดเจนของอุตสาหกรรมก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสรุป แม้ว่าหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ายังคงเป็นหุ้นที่มีความมั่นคงในระยะยาว แต่ด้วยปัจจัยลบที่เข้ามากระทบ ทั้งจากนโยบายภาครัฐและแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัว จึงต้องมีกลยุทธ์ในการลงทุนที่ดี ยังอยู่ในโหมด Wait & See รอความชัดเจน

[Vision Exclusive] ITEL แย้ม Q1/68 โต รอเข้าประมูลงานใหม่-โฟกัส Cloud จ่อเปิดศูนย์ CT scan สุราษฎร์ฯ แห่งแรก

[Vision Exclusive] ITEL แย้ม Q1/68 โต รอเข้าประมูลงานใหม่-โฟกัส Cloud จ่อเปิดศูนย์ CT scan สุราษฎร์ฯ แห่งแรก

           บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) (ITEL) คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 จะเติบโตตามเป้าหมาย จากงานปัจจุบัน มูลค่ารวม 400 ล้านบาท พร้อมปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นธุรกิจ Cloud Implementor รองรับ Hyperscaler คาดสร้างรายได้ 200-300 ล้านบาทในปีนี้ ส่วนธุรกิจ Health Tech เตรียมเปิดศูนย์ CT Scan แห่งแรกที่สุราษฎร์ธานีในเดือนพ.ค.นี้ หนุนเป้ารายได้ปี 2568 เติบโต 30% จากปีก่อน            นายณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) (ITEL) เปิดเผยกับ ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ว่า บริษัทฯ คาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 จะเติบโต เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จากปัจจุบันมีงานที่ได้เซ็นสัญญากับภาครัฐและเอกชน เช่น งานเดินสายไฟเบอร์ฯ, การจัดทำระบบคลาวด์, ให้บริการ USO เฟส 1 เป็นต้น มูลค่ารวมราว 400 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามา และอยู่ระหว่างรอเข้าประมูลงาน  USO Phase 3 มูลค่าโครงการรวม 5,800 ล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์ คาดจะสามารถเปิดประมูลได้ภายใน 1-2 เดือนนี้            ทั้งนี้บริษัทฯ จะหันมามุ่งเน้นการเป็น Cloud Implementor หรือตัวกลางเชื่อมต่อระหว่าง Data Center กับลูกค้า รองรับความต้องการของ Hyperscaler หรือผู้ให้บริการ Cloud และ Data management ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าจะสร้างรายได้ในปีนี้ราว 200-300 ล้านบาท            ขณะที่ธุรกิจ ดาต้าเซ็นเตอร์ ในปีที่ผ่านมา ITEL ได้มีการขายหุ้นสัดส่วน 33.33% ในบริษัท เอทิกซ์ ไอเทล แบงค็อก จำกัด (บริษัทร่วมค้า) เป็นผู้ดำเนินงานศูนย์ข้อมูล ETIX Bangkok#1 ให้กับพันธมิตร ETIX Everywhere เนื่องจากการแข่งขันสูง จึงหันมามุ่งเน้น Cloud Implementor แทน            ด้านธุรกิจ Health Tech ภายใต้บริษัทย่อย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เฮลธ์ เทคโนโลยี (IHT) ในปีนี้มีแผนเปิดศูนย์ CT Scan 3 แห่ง วางงบลงทุนไว้ราว 20-30 ล้านบาทต่อแห่ง โดยแห่งแรกจะอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จะใช้ชื่อว่า อินเตอร์ลิ้งค์ ซีที คลินิก สุราษฎร์ธานี (Interlink CT Clinic Suratthani)  คาดว่าจะสามารถ Soft Opening ได้ในสัปดาห์หน้า และ Grand Opening  ในเดือนพ.ค.นี้            ส่วนที่เหลืออีก 2 ศูนย์ อยู่ในช่วงของการพิจารณาพื้นที่ โดยกลุ่มลูกค้าจะมุ่งเน้นไปที่โรงพยาบาลจังหวัด พร้อมกันนี้บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายในปีครึ่ง วางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 15-20 ล้านบาทต่อศูนย์ต่อปี            นายณัฐนัย กล่าวว่า จากการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานดังกล่าว คาดในปี 2568 รายได้จะเติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,517.84 ล้านบาท และกำไรสุทธิจะเติบโตด้วย ซึ่งเป็นการเติบโตแบบ Organic หรือไม่มีการบันทึกกำไรพิเศษ เหมือนในปีก่อนที่มีกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์

[Vision Exclusive] IHL ย้ายฐานผลิตกลับไทย กดต้นทุนลด-หนุนมาร์จิ้นฟู

[Vision Exclusive] IHL ย้ายฐานผลิตกลับไทย กดต้นทุนลด-หนุนมาร์จิ้นฟู

           หุ้นวิชั่น - IHL ส่งซิกเดือนมีนาคม ออเดอร์รองเท้าแบรนด์ดังทะลัก 120 ล้านบาท ฟากผู้บริหาร "วศิน ดำรงสกุลวงษ์" ติดสปีดดันยอดผลิตภัณฑ์หนังวัว เร่งขยายฐานทำเงิน แย้มแผนย้ายการผลิตกลับไทยเดือน 7 ชี้ลดต้นทุนหนุนมาร์จิ้นครึ่งปีหลัง 68 ฟู ปักหมุดรายได้โต 10-15% ส่งซิกธุรกิจรองเท้า หรืออุตสาหกรรมแฟชั่นขยายตัวต่อ            นายวศิน ดำรงสกุลวงษ์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ทิศทางของบริษัทในไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะอยู่ในช่วงการประคองหรือทรงตัว เนื่องจากคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จะถูกบุ๊กกิ้งในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน ซึ่งคาดว่าจะมากกว่า 2 เดือนแรกของปี 2567 โดยในช่วงต้นปีมักจะมีวันหยุดปีใหม่และช่วงตรุษจีน ทำให้ออเดอร์บางส่วนถูกเลื่อนมาที่ปลายเดือนกุมภาพันธ์และต้นเดือนมีนาคม            ในเดือนมีนาคม บริษัทมีออเดอร์เข้ามาแล้ว 3-4 ล้านเหรียญดอลลาร์ หรือคิดเป็นมูลค่าเงินไทยประมาณ 120 ล้านบาท ซึ่งเป็นออเดอร์จากกลุ่มลูกค้ารองเท้าแบรนด์ดังระดับโลก เช่น New Balance, Nike, Adidas, Vans, Timberland และกลุ่มค่ายรถยนต์อย่าง Toyota และ Nissan นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการวางแผนขยายฐานลูกค้าและเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์หนังวัวให้กับกลุ่มลูกค้าหนังหมู โดยเริ่มเห็นการขยายตัวของลูกค้ากลุ่มนี้อย่างชัดเจน            ในด้านการดำเนินธุรกิจ บริษัทได้รับประโยชน์จากการที่ Wolverine Leather ผู้ผลิตหนังรองเท้าให้กับแบรนด์ระดับโลก เช่น Timberland, Nike, Adidas, New Balance ทำให้บริษัทเริ่มมีออเดอร์ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง            สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 โดยจะเน้นการจำหน่ายสินค้าให้กับกลุ่มลูกค้าที่ผลิตรองเท้ายี่ห้อดัง พร้อมทั้งพยายามผลักดันยอดขายผลิตภัณฑ์หนังวัวให้มากขึ้น โดยในปัจจุบันมีผู้ผลิตรองเท้าแบรนด์ดัง 2-3 รายที่อนุมัติการซื้อขายเรียบร้อยแล้ว            นอกจากนี้ บริษัทมีแผนสำคัญในการย้ายกระบวนการผลิตจากต่างประเทศกลับมาผลิตเองในโรงงานที่ประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งออกไปยังอเมริกา โดยคาดว่าการย้ายกระบวนการผลิตในครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนและส่งผลให้ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปี 2568 ดีขึ้น            เบื้องต้นคาดว่า กระบวนการย้ายการผลิตจะแล้วเสร็จและเริ่มเห็นการผลิตในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป ทำให้ภาพรวมของอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) จะเริ่มเห็นตัวเลขที่ชัดเจนในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2568            บริษัทคาดว่าในปี 2568 จะมีการเติบโตของรายได้ที่ 10-15% โดยมาจากการขยายตัวของธุรกิจรองเท้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมแฟชั่นที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านขนาดและสีที่หลากหลาย รวมถึงรองเท้าที่วางจำหน่ายทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการใช้หนังในการผลิตรองเท้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หนังวัวและหนังหมูสำหรับอุตสาหกรรมรองเท้าจะเติบโตในระดับ 5-10% ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์คาดว่าไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา            อนึ่ง ปี 2567 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 2,624.68 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 57.28 ล้านบาท

GULF ควบรวม INTUCH! เปลี่ยนชื่อย่อ GULFI มีผล 21 มี.ค.68

GULF ควบรวม INTUCH! เปลี่ยนชื่อย่อ GULFI มีผล 21 มี.ค.68

           นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ตามที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ได้แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 3/2568 ซึ่งอนุมัติการจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (“INTUCH”) ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 เวลา 15.30 น. เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการควบบริษัทระหว่างบริษัทฯ และ INTUCH ตามบทบัญญัติมาตรา 148 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ.2535 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“การประชุมผู้ถือหุ้นร่วม”) ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่อ้างถึงนั้น ภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นร่วมและการจดทะเบียนการควบบริษัทแล้วเสร็จ บริษัทฯ และ INTUCH จะสิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทมหาชนจำกัดขึ้นใหม่ (“NewCo”) โดย NewCo จะยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้รับหุ้นของ NewCo เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนที่หุ้นของบริษัทฯ และ INTUCH ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่ง NewCo จะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์เดียวกันกับ บริษัทฯ (กล่าวคือ GULF) ในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังกล่าว            ดังนั้น เพื่อให้ NewCo สามารถใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์เดียวกันกับบริษัทฯ ได้ บริษัทฯ จึงขอแจ้งการเปลี่ยนแปลง ชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทฯ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ชื่อย่อหลักทรัพย์เดิม: GULF ชื่อย่อหลักทรัพย์ใหม่: GULFI

PF ปีนี้จ่อคืนหุ้นกู้ 3.7 พันล. เป้ายอดขาย 1.1 หมื่นล.

PF ปีนี้จ่อคืนหุ้นกู้ 3.7 พันล. เป้ายอดขาย 1.1 หมื่นล.

          พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดแผนปี 2568 ตั้งเป้ายอดขาย 11,000 ล้านบาท รายได้ 10,000 ล้านบาท เปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่า 9,600 ล้านบาท ต่อยอดความสำเร็จจากโครงการเดิม เพิ่มเติมสินค้าและธุรกิจใหม่ เน้นกลุ่มลูกค้ารายได้ปานกลาง ทั้งบ้านที่สามารถปรับเปลี่ยนวัสดุได้ และรุกสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพและอีอีซี เตรียมเปิดบ้านริมทะเลสาบคอนเซ็ปท์ใหม่ ลงทุนโรงแรมหรูในโครงการเขาใหญ่ ร่วมมือโรงเรียนนานาชาติ ด้านการเงิน มุ่งปรับโครงสร้างการเงินให้แข็งแกร่ง วางเป้าลดหนี้หุ้นกู้ต่อเนื่องให้เหลือต่ำสุดในรอบ 5 ปี           นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ว่า บริษัทเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจและสร้างรายได้ให้เติบโต ด้วยความหลากหลายของสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทั้งในโครงการที่ดำเนินการอยู่ โครงการใหม่ ตลอดจนธุรกิจใหม่  ปีนี้ตั้งเป้ายอดขายที่ 11,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 7,500 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 1,500 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 2,000 ล้านบาท รายได้รวมปีนี้ประมาณการไว้ที่ 10,000 ล้านบาท แยกเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 7,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 1,500 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน 1,500 ล้านบาท โดยมีแผนเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 5 โครงการ รวมมูลค่า 7,200 ล้านบาท  ทาวน์โฮม 1 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท และ อาคารพาณิชย์ 1 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท           โครงการใหม่ในปีนี้ ไฮไลท์อยู่ที่การต่อยอดความสำเร็จพร้อมคอนเซ็ปท์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ “เพอร์เฟค เพลส” ที่ถือเป็นแฟล็กชิพทำรายได้หลักให้บริษัท ใน 3 ทำเล ราชพฤกษ์ 346, รามอินทรา และ กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า  เปิดโครงการ  “มาร์เก็ต อเวนิว แจ้งวัฒนะ 2” ตอบรับการเติบโตของถนนหอการค้าไทย ชุมชนขนาดใหญ่ที่รวมโครงการของ 8 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ มีมูลค่ารวมกันกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นคอมมูนิตี้ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโซนแจ้งวัฒนะ นอกจากนี้ยังมีโครงการ “เบลล่า เดล มอนเต้ เขาใหญ่ 2” ที่มีการลงทุนโรงแรมเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการ โดยจะนำประสบการณ์จากการพัฒนาโครงการในต่างประเทศมาใช้ เพื่อทำให้เขาใหญ่เป็นที่รู้จักของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากขึ้น รวมถึงการเปิดตัว “บ้านริมทะเลสาบ เลค เลเจ้นด์ บางนา” หลังประสบความสำเร็จทำยอดขายไปแล้วเกือบ 2,000 ล้านบาท ปีนี้จะมีการพัฒนารูปแบบใหม่ให้เป็นที่สุดของบ้านริมทะเลสาบ 100 ไร่ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดระดับพรีเมี่ยม           นอกเหนือจากสินค้าพร้อมเข้าอยู่ได้ทันทีทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม บริษัทยังจะเพิ่มสินค้าบ้านแบบพร้อมเข้าอยู่ใน 3-6 เดือน ที่สามารถปรับเปลี่ยนวัสดุบางอย่างได้ สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับรายได้ปานกลาง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ตรงตามไลฟ์สไตล์มากขึ้น  สำหรับกลุ่มสินค้าลักซ์ชัวรี่ จะมีความร่วมมือเพิ่มเติมกับโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง ทั้งในทำเลแจ้งวัฒนะ รามคำแหง กรุงเทพกรีฑา และบางนา เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าระดับบนที่ต้องการส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ ทั้งผู้ปกครองชาวไทย และ กลุ่ม EXPAT ที่เข้ามาประกอบธุรกิจและทำงานในตำแหน่งระดับสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการโยกย้ายเข้ามาพักอาศัยในระยะยาว           ในปีนี้ บริษัทยังจะขยายไปยังธุรกิจรับสร้างบ้านเพิ่มเติม  โดยจะจับกลุ่มที่บริษัทมีความชำนาญ  ได้แก่บ้านระดับ กลางตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง  มีแผนให้บริการในพื้นที่กรุงเทพ ปริมณฑล และเขตอีอีซี 3 จังหวัดซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีการเติบโตที่ดี โดยจะชูจุดเด่นในด้านประสบการณ์การก่อสร้างที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และรวดเร็วด้วยระบบการก่อสร้างแบบสำเร็จรูปที่ไว้วางใจได้ การรุกเข้าสู่ตลาดรับสร้างบ้าน นอกจากจะเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้จากตลาดรับสร้างบ้าน ซึ่งปีที่ผ่านมามีมูลค่าถึง 211,000 ล้านบาทแล้ว  ยังทำให้บริษัทมีสินค้าที่ครอบคลุมทั้งบ้านในโครงการและบ้านสั่งสร้างบนที่ดินของตนเอง           ด้านโครงสร้างการเงิน บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างฐานะการเงินให้แข็งแกร่ง และมีเป้าหมายจะลดภาระหนี้ลง เพื่อให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 1 เท่าภายในปีนี้  โดยเฉพาะการลดหนี้หุ้นกู้ ปีที่ผ่านมาบริษัทชำระคืนหุ้นกู้ไปแล้ว 6,600 ล้านบาท  เริ่มไตรมาสแรกของปีนี้มีการชำระคืน 2,650 ล้านบาท และยังมีแผนคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดภายในปีนี้อีก 3,700 ล้านบาท  ด้วยวงเงินสนับสนุนจากสถาบันการเงิน และการทะยอยปิดการขายโครงการต่างๆ  ทั้ง “ยู คิโรโระ” คอนโดมิเนียมในประเทศญี่ปุ่น ที่ปิดการขายเพนท์เฮ้าส์ 2 ห้องสุดท้าย มูลค่ารวม 1,150 ล้านเยนไปในไตรมาสแรก และยังคาดว่าจะสามารถปิดการขายคอนโดมิเนียมเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ได้แก่ อยู่รวยคอนโด และเมโทร สกาย วุฒากาศในไตรมาสที่ 2  เป้าหมายการลดหนี้หุ้นกู้ต่อเนื่อง จะเป็นผลให้บริษัทมีหนี้หุ้นกู้เหลืออยู่ประมาณ 6,000 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากที่เคยมีมูลค่าหุ้นกู้สูงสุดอยู่ที่ 20,000 ล้านบาทเมื่อปี 2563

HANA ยันฐานะการเงินแข็งแกร่ง มั่นใจรายได้ 68 โต-จับตาภาษีทรัมป์

HANA ยันฐานะการเงินแข็งแกร่ง มั่นใจรายได้ 68 โต-จับตาภาษีทรัมป์

           หุ้นวิชั่น - HANA ยันฐานการเงินยังแข็งแกร่ง ตลาดกัมพูชาช่วย ยอมรับปีนี้ท้าทาย จับตาภาษีทรัมป์ กระทบมากน้อยแค่ไหน ศึกษาขยายตลาด อินเดีย-ตุรกีต่อยอด เนื่องจากเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีศักยภาพสูง            นายริชาร์ด เดวิด ฮัน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA เปิดเผยว่า ปี 2568 เป็นปีที่บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญหลายด้าน แต่บริษัทก็ยังมีความมั่นใจในสถานะทางการเงิน และยังคงสามารถสร้างรายได้ต่อเนื่อง แต่ก็มีในเรื่องมาตรการภาษีที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด            อย่างไรก็ดี รายได้ในไตรมาส 1/2568 จะดีกว่าไตรมาส 4/2567 แม้ว่าจะยังคงได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯโดย ธุรกิจผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร (EMS) ยังคงสร้างรายได้ได้ดี นอกจากนี้ รายได้จากการผลิตแผงวงจรพิมพ์ประกอบ (PCBA) ในกัมพูชาจะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ แต่ในส่วนของความต้องการของผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบบูรณาการ (SI และ SIC) รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มีความต้องการลดลง ซึ่งยังคงประสบปัญหาทั่วโลก            สำหรับแผนการขยายตลาดต่างประเทศ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายตลาดสู่ประเทศอินเดีย เนื่องจากเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีศักยภาพสูง และได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐ นอกจากนี้ บริษัทกำลังพิจารณาโอกาสในการร่วมมือทางธุรกิจกับประเทศตุรกี ซึ่งต้องติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด            สำหรับตลาดเกาหลีใต้ (PMS) บริษัทคาดว่าสถานการณ์จะมีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงปลายปี 2568 ขณะที่ความร่วมมือกับประเทศจีนยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี แม้ว่าผลกระทบจากมาตรการภาษียังคงเป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณา            ทั้งนี้บริษัทให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดการณ์ว่าสถานการณ์ต่างๆ จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในปีนี้

GUNKUL พบนักวิเคราะห์  ตอกย้ำธุรกิจ - เป้าไกล 5 บ.

GUNKUL พบนักวิเคราะห์ ตอกย้ำธุรกิจ - เป้าไกล 5 บ.

             หุ้นวิชั่น - GUNKUL ประชุมนักวิเคราะห์เป็นบวก มองเป้ารายได้เติบโตปีละ 10-15% ครบวงจรด้าน พลังงานไฟฟ้า มี PPA เพิ่มรอจ่ายไฟจำนวนมาก มีศักยภาพการเติบโตระดับภูมิภาค และมีธุรกิจ EPC งานไฟฟ้า และธุรกิจโรงงาน ที่มีแบ็คล็อคร่วม 4,000 ล้านบาท และพร้อมเติบโตตามความ ต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะงานด้าน EPC หรืองานรับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้า มีโอกาส เข้าร่วมลงทุนและสร้างโรงไฟฟ้าสีเขียว ที่คาดว่าจะมีการลงทุนและก่อสร้างอีกเป็นจำนวนมาก ราคาเป้าหมายที่ 3.51 ถึง 5 บาท มีอัพไซด์มากกว่า 100%              บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ผู้นำด้านพลังงานสีเขียวแบบครบวงจรใหญ่ที่สุด อันดับ 2 ของไทย โดย นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทฯ จัดงานประชุม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Analyst Meeting) นำเสนอแผนงานธุรกิจประจำปี 2568 และแนะนำตัว ในฐานะซีอีโอคนใหม่อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ “พาร์ตเนอร์ด้านพลังงานสีเขียว และโครงสร้างพื้นฐานแห่งภูมิภาคเอเชีย ที่ได้รับการยอมรับสูงสุด” โดยมีคณะผู้บริหาร นำโดย นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร และนายฐิติพงศ์ เตชะรัตนยืนยง ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและบัญชี ร่วมให้ข้อมูลและให้การต้อนรับ โดยมีนักวิเคราะห์จากบริษัท หลักทรัพย์ชั้นนำ เข้าร่วมงานคับคั่ง จัดขึ้น ณ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ชั้น 44 อาคาร วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ (โอซีซี) เมื่อเร็วๆ นี้              ผู้บริหาร GUNKUL มั่นใจตั้งเป้ารายได้เติบโตต่อเนื่อง รวม 3 ปีกว่า 35,000 ล้านบาท เติบโต 10-15% สำหรับแผนธุรกิจปี 2568 นี้ GUNKUL เดินกลยุทธ์ ‘สมการความก้าวหน้า’ ที่สร้างการเติบโตอย่างเป็น ระบบและมีความมั่นคง มุ่งเน้นการเติบโตรายได้ของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก และต่อยอดสู่ธุรกิจในอุตสาหกรรม New S-Curve โดยปัจจุบัน GUNKUL มีโรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียวทั้งหมด 1,479 เมกะวัตต์ ซึ่ง 85% เป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นแบบค่าไฟคงที่ (FIT) จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนของค่าไฟแปรผันหรือ Ft โดยมี 832 เมกะวัตต์ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการรอรับรู้รายได้ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีมูลค่างาน รอรับรู้รายได้ (backlog) ร่วม 4,000 ล้านบาท อีกด้วย ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ที่เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหาร GUNKUL มีสรุปประเด็น มุมมองความคิดเห็น ดังนี้              บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าสีเขียวทั้งหมด 1,479 เมกะวัตต์ และ 832 เมกะวัตต์ ที่พึ่งได้รับคัดเลือกจากการประมูลล่าสุดกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ที่อยู่ระหว่างการรอพัฒนาโครงการ ซึ่งประเมินจากศักยภาพของ GUNKUL น่าจะสามารถหาพาร์ตเนอร์เข้าร่วมลงทุนในโครงการเหล่านี้ และเติบโตไปกับ พาร์ตเนอร์ที่มีศักยภาพการเติบโตในธุรกิจไฟฟ้าระดับภูมิภาค              ส่วนประเด็นโรงไฟฟ้า แสงอาทิตย์หมดสัญญา Adder (เงินส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า) ไปหมดแล้ว เหลือเพียงโรงไฟฟ้า พลังงานลม ที่ถือหุ้นรวมกับพาร์ตเนอร์คนละครึ่งในปี 2027 แต่ในช่วงปี 2027 จะมีโรงไฟฟ้าใหม่เข้ามา เพิ่มมากกว่าในส่วนที่ adder ที่หายไป นอกจากนี้บริษัทยังมีอีกสองธุรกิจ ที่พร้อมเติบโตตามความต้องการ ใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ งานด้าน EPC หรืองานรับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้า สถานีไฟฟ้า และวาง สายไฟฟ้า และโทรคมนาคมจากภาครัฐอีกมาก              อีกทั้งมีโอกาสเข้าร่วมลงทุนและสร้างโรงไฟฟ้าสีเขียว เพื่อขายไฟฟ้าให้กับ Data Center ที่คาดว่าจะมีการลงทุนและก่อสร้างอีกเป็นจำนวนมาก ภายใต้สัญญา private PPA (สัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตได้จากระบบโซลาร์เซลล์)

GULF ดีด 3.74% รับ BOI อนุมัติลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์-ลดค่าไฟกระทบจำกัด

GULF ดีด 3.74% รับ BOI อนุมัติลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์-ลดค่าไฟกระทบจำกัด

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า ระบุ ราคาหุ้นของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) ปรับตัวขึ้นมาในวันนี้ คาดได้อานิสงค์บวกจากข่าว คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) อนุมัติลงทุนโครงการ Data Center 3 โครงการจากประเทศไทย จีน และสิงคโปร์ ได้แก่ บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี บริษัท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 72,670 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง บริษัทในเครือ Empyrion Digital ประเทศสิงคโปร์ เงินลงทุน 4,720 ล้านบาท           ขณะที่ GULF ยังเป็นบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าไฟฟ้าจำกัด หลังนายทักษิณ ชินวัตร แนะให้ปรับลดค่าไฟเหลือ 2.50 บาท เพื่อดึงดูดการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากมีการขายไฟให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมน้อย  เมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าเจ้าอื่น           นอกจากนี้คาดว่านักลงทุนน่าจะเข้ามาสะสมหุ้น ก่อนเปลี่ยนเป็น New Co โดย GULF จะหยุดพักการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ เป็นระยะเวลา 9 วันทำการ ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 2 เมษายน 2568 เพื่อการเตรียมการเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้นของ NewCo ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของ GULF รวมถึงการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักทรัพย์ของ NewCo เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ           ด้านบล.กรุงศรี ประเมินบอร์ด BOI เคาะส่งเสริมลงทุน 4 โครงการใหญ่ 2 แสนล้านบาท ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีส้ม ตะวันตก 1.09 แสนล้านบาท และ Data Center รวม 3 โครงการ (GSA Data Center 1.3 หมื่นล้านบาท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 7.26 หมื่นล้านบาท และเครือ Empryion Digital 4.7 พันล้านบาท)           ช่วยหนุนเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้าไทยต่อเนื่อง โดยกลุ่มที่อนุมัติข้างต้นต่อเนื่องเป็นชุดที่ 3 ต่อจากการอนุมัติ Data Center ByteDance, ซันโวด้า 5 หมื่นล้าน ผลิตแบตเตอรี่ต้นน้ำแห่งแรกในไทย ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET ที่มีความหวังทางบวก New S Curve ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยให้น้ำหนักที่ Data Center จีนที่เริ่มเข้ามาต่อเนื่อง และเม็ดเงินที่ลงทุนโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงกว่าฝั่งสหรัฐฯ ที่เข้ามาก่อน ซึ่งน่าจะยังมีรายอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติม โดยเฉพะกลุ่มผู้ประกอบการเทคฯ อื่นๆ เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีม Infra Tech นิคม WHA, AMATA สื่อสาร ADVANC, TRUE โรงไฟฟ้า GULF, GPSC รับเหมางาน Data Center อาทิ STECON, INSET Digital อาทิ BE8, BBIK           เชิงกลยุทธ์ ประเมินพัฒนาการดังกล่าวน่าจะมีส่วนช่วยปรับมุมมองตลาดที่มีเศรษฐกิจไทย ขาด New S Curve ใหม่ๆ ได้บางส่วน ขณะที่หนุนชุดหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์ดังกล่าว โดยระยะสั้นเน้นหุ้นที่อยู่กลุ่ม Deep Value อาทิ WHA, AMATA, GPSC และหุ้นที่อุตสาหกรรมหลักธุรกิจยังอยู่ใน Upcycle อาทิ ADVANC

SET ปิดเช้า 1,172.42 จุด -0.11% จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ - สหรัฐฯสงครามการค้าดุ

SET ปิดเช้า 1,172.42 จุด -0.11% จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ - สหรัฐฯสงครามการค้าดุ

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุว่า SET Index ปิดเช้า 1,172.42 จุด (-1.34, -0.11%) จีนเปิดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่สหรัฐฯยังเดินหน้าสงครามการค้า             ดัชนีเช้านี้ปรับตัวออกข้าง ผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศที่มีทั้งบวกและลบ ด้านสหรัฐฯ ประเด็นของทรัมป์ล่าสุดได้สั่งการให้เปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีกลุ่มฮูตี รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง กระทบต่อราคาน้ำมันให้ผันผวนและอาจส่งผลต่อเส้นทางการเดินเรือ ส่วนด้านสงครามการค้าสหรัฐ-ยุโรปมีแนวโน้มเคลื่อนตัวสู่สงครามการค้าด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี             ด้านจีนเปิดตัว "แผนปฏิบัติการพิเศษ" เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ (เพิ่มรายได้แก่ประชาชน จัดตั้งระบบเงินอุดหนุนค่าดูแลเด็ก กระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น เปิด free visa มากขึ้น) ด้านข้อมูลเศรษฐกิจยอดค้าปลีกออกมาแข็งแกร่ง โต 4% การผลิตอุตสาหกรรมปรับขึ้น 5.9%             อย่างไรก็ดี ราคาบ้านและการลงทุนภาคอสังหาฯ ยังหดตัว ส่วนสัปดาห์หน้าติดตามการประชุมเฟด คาดส่งสัญญาณความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดคาดหวังเฟดปรับลดดอกเบี้ย และ BoJ คาดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้

โบรกฯ จ่อทบทวนเป้า SISB หลังจำนวนนร. Q1/68 ทรงตัว

โบรกฯ จ่อทบทวนเป้า SISB หลังจำนวนนร. Q1/68 ทรงตัว

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุ บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) (SISB) ได้มีการจัดประชุมนักวิเคราะห์ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1.แก้ไขข้อมูลการปรับขึ้นค่าเทอมใหม่ในปีนี้อยู่ที่ 3.3% จากข้อมูลที่ตลาดเข้าใจที่ 3.0% อย่างไรก็ตาม budget ในการปรับขึ้นค่าจ้างพนักงานตั้งไว้ในกรอบ +5% 2. จำนวนนักเรียนใน 1Q68 ทรงตัว QoQ มีนักเรียนเพิ่มขึ้นแต่ก็หักจากบางส่วนที่มีออกไปเช่นกัน ในขณะที่เทอม 3 เบื้องต้นจาก open house คาดมีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 80 คน ทั้งนี้บริษัทยังคงเป้าจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นในปี 68-69 ที่ 400 คน และ 600 คน ตามลำดับ (สิ้นปี 67 มี 4.6 พันคน) 3. การขยาย capacity ยังคงเดินหน้าตามแผน PU phase 3 +600 ที่ คาดแล้วเสร็จใน 1Q69 ในขณะที่โรงเรียนแห่งใหม่ +1,000 ที่ คาดแล้วเสร็จใน 4Q69 4. สาขาระยองได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น หลังมีโรงงานต่างประเทศเข้ามาเปิดเพิ่ม ผู้บริหารประเมินได้จำนวนนักเรียนในปี 68 ขึ้นมาที่ระดับ 200 คน (ปี 67 มี 160 คน) และทำให้ผลประกอบการของสาขานี้ไม่ขาดทุนแล้ว (ปี 67 ขาดทุนราว -28 ล้านบาท)           ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์ฯ มีมุมมองเป็นลบ แม้การปรับขึ้นค่าเทอมจากข้อมูลล่าสุดทำได้ดีขึ้น แต่จำนวนนักเรียนที่ทรงตัวใน 1Q68 ทำให้ความคาดหวังกับการเพิ่มขึ้นของนักเรียนในช่วงที่เหลือของปีมีมากขึ้น และเสียโอกาสในการเติบโตไป 1 ไตรมาส ทั้งนี้อยู่ระหว่างทบทวนประมาณการและราคาเป้าหมายใหม่ (เดิมประเมินกำไรปกติปี 68 ที่ 1.1 พันล้านบาท (+20% YoY) และคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 35.00 บาท อิง DCF)

ตลท. ร่วม IAA สร้างบุคลากรคุณภาพด้านการวิเคราะห์และจัดการการลงทุน

ตลท. ร่วม IAA สร้างบุคลากรคุณภาพด้านการวิเคราะห์และจัดการการลงทุน

           นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การพัฒนาบุคลากรตลาดทุนเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉพาะบุคลากรด้านการวิเคราะห์ที่มีบทบาทส่งเสริมการลงทุนอย่างมีข้อมูลความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งหลักสูตร CISA (Certified Investment and Securities Analyst) ถือเป็นหัวใจสำคัญในการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพด้านการวิเคราะห์ทางการเงินและจัดการลงทุนเพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพที่หลากหลาย อาทิ นักวิเคราะห์การลงทุน ผู้จัดการกองทุน วาณิชธนากร นักลงทุนสัมพันธ์ เป็นต้น            ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) จัดพิธีมอบวุฒิบัตร “CISA Certificate Awarding Ceremony 2025” เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ให้แก่ผู้สอบผ่านหลักสูตร CISA ทุกระดับในปี 2566-2567 ซึ่งมีจำนวนมากถึง 692 คน เพิ่มจากพิธีมอบครั้งที่ผ่านมา สะท้อนการเติบโตของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์การลงทุน            พร้อมกันนี้ได้จัดให้มีพิธีมอบรางวัล CISA Achievement Award เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ผู้ผ่านหลักสูตร CISA ในฐานะบุคคลผู้สร้างคุณูปการต่อตลาดทุนไทย โดยปีนี้มอบแก่ นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านงานวิเคราะห์หลักทรัพย์มากว่า 30 ปี มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ร่วมเป็นวิทยากรของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงอีกหลายหน่วยงานอย่างต่อเนื่องนับเป็นคุณูปการในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาตลาดทุนไทย            นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าวว่า สมาคมฯ ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดกรอบมาตรฐานการเรียนการสอนของหลักสูตร CISA ทั้งในด้านเนื้อหาการเรียนการสอนและการประเมินผลการทดสอบ เพื่อให้หลักสูตรนี้มีคุณภาพสูงและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยสร้างบุคลากรที่มีทักษะและความรู้ในระดับสูง ทั้งด้านการวิเคราะห์การลงทุน การจัดการความเสี่ยง และการบริหารกองทุน ทำให้มั่นใจว่าผู้ที่ผ่านการทดสอบหลักสูตร CISA จะเป็นบุคคลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับสากล            หลักสูตร CISA เป็นหลักสูตรความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางการเงินและการลงทุนที่ได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.ล.ต. ให้เป็นคุณวุฒิที่ใช้ขึ้นทะเบียนเป็นนักวิเคราะห์การลงทุนและผู้จัดการกองทุน ปัจจุบันมีผู้สอบผ่านหลักสูตร CISA รวมกว่า 3,000 คน ผู้สนใจพัฒนาทักษะด้านการวิเคราะห์ทางการเงินและการลงทุน สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับหลักสูตร CISA และเข้าทดสอบได้ที่ศูนย์สอบในกรุงเทพฯ และภูมิภาค ทั้งนี้ ผู้ที่สอบผ่านสามารถเข้าร่วมกลุ่ม CISA Professional Community เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์ ต่อยอดไปสู่การพัฒนาศักยภาพด้านการวิเคราะห์ทางการเงินและการจัดการลงทุนของสมาชิกต่อไป ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.set.or.th/cisa [PR news]

GPI รุกขยายธุรกิจใหม่ Lifestyle-Sport & Entertainment

GPI รุกขยายธุรกิจใหม่ Lifestyle-Sport & Entertainment

          “บมจ.กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือ GPI  เปิดวิชั่นซีอีโอและผู้บริหาร วางกลยุทธ์ปี 2025 รุกขยายธุรกิจใหม่ วางแผนจัดอีเวนต์และงานเอ็กซิบิชั่นเกี่ยวกับ Lifestyle, Sport & Entertainment เต็มตัว รวมประมาณ 10 งานในปีนี้ คาดสร้างรายได้ 100 ล้านบาท คิดเป็น 11% ของเป้าหมายรายได้รวม 900 ล้านบาทในปีนี้ ขณะที่การจัดงาน “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46” เตรียมเปิดฉากวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 คาดสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ยังมีแนวโน้มชะลอตัว           นายพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจปี 2025 นอกจากการจัดงานมอเตอร์โชว์ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯวางแผนรุกขยายธุรกิจใหม่ด้านการจัดอีเวนต์และเอ็กซิบิชั่นเกี่ยวกับ Lifestyle และ Sport & Entertainment เพื่อสร้างการเติบโตตามแผนงานที่วางไว้ โดยคาดการณ์รายได้จากธุรกิจใหม่ 100 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 11% ของเป้าหมายรายได้รวม 900 ล้านบาทในปีนี้ และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 16%  เนื่องจากเป็นธุรกิจที่น่าสนใจและมีโอกาสเติบโตในอนาคต สะท้อนจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้จัดลำดับให้งานคอนเสิร์ต มหกรรมจัดแสดงสินค้า และอีเวนต์ เป็นธุรกิจดาวรุ่งอันดับที่ 4 ในปี 2568           จากแผนงานขยายธุรกิจใหม่ คาดว่าจะจัดอีเวนต์และเอ็กซิบิชั่นรวมประมาณ 10 งานในปีนี้ โดยธุรกิจด้าน “Entertainment” วางแผนจัดคอนเสิร์ตของศิลปินในประเทศและการจัดงานแฟนมีตติ้งต่อเนื่อง หลังจากมีประสบการณ์จัดงานดังกล่าวร่วมกับพาร์ทเนอร์มาแล้ว 2 ปี ปัจจุบันได้ลงนามเอ็มโอยูกับผู้ประกอบการที่ดีลกับศิลปินดาราต่างประเทศไว้เป็นที่เรียบร้อย โดยมีศิลปินดารารวม 5-6 รายที่อยู่ในแผนการจัดงานปีนี้ คาดว่าจะเริ่มจัดงานแรกในเดือนเมษายนปีนี้           ส่วนธุรกิจด้าน “Sport” จะร่วมกับพาร์ทเนอร์จัดงานพัทยามาราธอน 2025 ซึ่งเป็นการแข่งขันวิ่งมาราธอนและส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก ภายใต้ บริษัท กรังด์ปรีซ์ ไตรลีก เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ซึ่งเกิดจากการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และบริษัท ไตรลีก (ประเทศไทย) จำกัด และมีแผนร่วมกับพาร์ทเนอร์จัดการแข่งขันมาราธอนระดับโลกในปลายปีนี้ 1 รายการ และเตรียมงาน Amazing Race Festival ที่จังหวัดเชียงราย เพื่อส่งเสริมการกีฬาและสนับสนุนการท่องเที่ยวในไตรมาส 1 ปี 2569 ขณะที่ธุรกิจด้าน “Lifestyle” มีแผนจัดงาน Thailand Diecast Expo ที่รวบรวมโมเดลรถจำลองจากผู้ค้าและผู้ผลิต เพื่อเจาะกลุ่มคนที่รักการสะสมโดยเฉพาะ คาดว่าจะจัดงานในเดือนกรกฎาคมนี้           นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ สายกิจกรรมพิเศษ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI กล่าวว่า บริษัทฯ คาดการณ์การจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3  ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 และเอ็กซิบิชั่น ฮอลล์  อิมแพค เมืองทองธานี  จัดเต็มบนพื้นที่กว่า 77,000 ตารางเมตร เชื่อมั่นว่าจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปีนี้ยังมีแนวโน้มชะลอตัว จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ล่าสุด  มีผู้ประกอบการยานยนต์จากยุโรปและเอเชียตอบรับเข้าร่วมออกบูธภายในงานฯ แล้ว 54 ราย แยกเป็นรถยนต์ 41 บริษัท และจักรยานยนต์ 13 บริษัท           สำหรับการจัดงานครั้งนี้ ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมออกงานอย่างเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังได้รับการตอบรับการเข้าร่วมออกงานฯ ของกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่เป็นแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า ที่เพิ่งเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย อาทิ ZEEKR, OMODA&JAECOO, CHERY, FARIZON, JUNEYAO, RIDDARA และ GEELY ฯลฯ รวมถึงเทคโนโลยีระบบนำทางภายในรถยนต์ HUAWEI นอกจากนี้ยังมีแบรนด์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า YADEA ที่มาเปิดตัวครั้งแรกภายในงานฯ โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการจากประเทศจีน บริษัท หนานจิง ฉ่วงยี่ เอ็กซิบิชั่น จากประเทศจีน ได้นำสินค้าอุปกรณ์อะไหล่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มาจัดแสดง นับได้ว่าเป็นครั้งแรกของการจัดงานแสดงรถยนต์เพื่อผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์โดยตรง เป็นการเชื่อมโยงทางธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการ บนพื้นที่กว่า 3,800 ตารางเมตรภายในฟอรั่ม ฮอลล์ 4 ระหว่างวันที่ 24 – 30 มีนาคม 2568 มั่นใจได้ว่าจะได้สินค้าที่ตรงตามคุณภาพในราคาจากผู้ประกอบการโดยตรง           นอกจากนี้ ยังมีการออกบูธจัดแสดง USED CAR หรือรถมือสองระดับลักชัวรี่ รวมถึงสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น การแข่งขันชิงรางวัล พร้อมกิจกรรมสนุกๆอีกมากมาย และอีก 1 งานที่แต่งเติมสีสันให้ล้อกันไปกับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งนี้ คือ MU-NIVERSE “เปิดจักรวาลมูเตลูไทย สู่คนรุ่นใหม่” เป็นอีเวนต์ที่รวบรวมเรื่องราวมูเตลูของเมืองไทยในแบบที่เข้าถึงง่าย เชื่อมโยง ความเชื่อม ศิลปะ เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน ระหว่างวันที่ 2-6 เมษายน 2568 ที่บริเวณฟอรั่ม ฮอลล์ 4 พบกับ อ.ลักษณ์ โหราธิบดี และแขกรับเชิญสายมูชื่อดังมากมาย พร้อมกิจกรรมดูดวง ปรึกษาฤกษ์ออกรถ ป้ายทะเบียนมงคล สินค้าเครื่องรางวัตถุมงคล กิจกรรมแลกเปลี่ยนข้อมูลของดีของสะสมสายมู คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนเข้าร่วมชมงานไม่แพ้ปีก่อนๆ           นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่สายการผลิต บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯ จะรุกขยายธุรกิจด้าน Sport สู่การจัดแข่งขันกีฬาสำหรับเด็กเล็กถึงเด็กโต เนื่องจากพบว่าปัจจุบันผู้ปกครองนิยมให้ลูกเล่นกีฬามากยิ่งขึ้นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาทางร่างกาย ล่าสุดได้ร่วมกับ Runbike Championship Series, Japan ซึ่งเป็นผู้จัดการแข่งขันกีฬา Balance Bike หรือจักรยานทรงตัว (จักรยานขาไถ) ชั้นนำในประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากเด็กญี่ปุ่นและต่างชาติเข้าร่วมการแข่งขันเป็นจำนวนมาก เตรียมจัดการแข่งขันในประเทศไทยภายใต้ชื่อ “Grandprix Runbike Championship 2025 Partnership with R.C.S” สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 2-12 ปี           ทั้งนี้ แม้เป็นการจัดงานดังกล่าวเป็นครั้งแรกของบริษัทฯ แต่ได้วางคอนเซ็ปต์เป็นงานใหญ่ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล ชิงถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระบรมราชินี คาดว่าจะมีเด็กไทยและต่างชาติสนใจเข้าร่วมการแข่งขัน 400 คน โดยกำหนดจัดแข่งขันแบบ Pre Race ประเภท Pro Rider วันที่ 29-30 มีนาคม 2568 และประเภท Beginner Rider วันที่ 5-6 เมษายน 2568 ภายในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 และกำหนดเริ่มการแข่งขันจริงรวม 4 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 วันที่ 12-13 เมษายน 2568 ณ สวนกีฬากมล ครั้งที่ 2 วันที่ 12-13 กรกฎาคม 2568 ณ เดอะมอลล์บางแค ครั้งที่ 3 วันที่ 27-28 กันยายน ณ เดอะมอลล์งามวงศ์วาน และครั้งที่ 4 วันที่ 8-9 พฤศจิกายน 2568 ณ สวนกีฬากมล เพื่อเก็บคะแนนหาผู้ชนะเลิศ           นอกจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าธุรกิจดิจิทัลมอเตอร์สปอร์ตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยวางแผนจัดการแข่งขันเกมแข่งรถเสมือนจริง Assetto Corsa Competizione ซึ่งเป็นหนึ่งในเกมแข่งรถที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก รูปแบบจะเป็นรายการแข่งขันแบบเก็บสะสมคะแนนตลอดทั้งปี เพื่อหาผู้ชนะเลิศในปีนี้ รวมถึงจะจัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการ Honda One Make Race ซึ่งเป็นการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตที่จัดติดต่อกันเป็นที่ 5  โดยในปีนี้จะแข่งขันชิงแชมป์ประจำปี 4 ครั้ง รวม 8 สนาม ซึ่งสนามสุดท้ายจะปิดถนนเพื่อแข่งขันที่สงขลา คาดว่าจะได้รับความสนใจที่ดีและสนับสนุนการท่องเที่ยว  รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เป็นไปตามเป้าหมาย [PR news]

เคาะ 15 หุ้น รับอานิสงส์ Data Center -AI

เคาะ 15 หุ้น รับอานิสงส์ Data Center -AI

              หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินในงานสัมมนาครบรอบ 50 ปีของ MFC ประเด็นหลักๆ เน้นไปที่โอกาสของอาเซียนและไทยในการต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในอนาคต ภาพใหญ่ทาง McKinsey ประเมิน 6 กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมีบทบาทสำคัญ ได้แก่ 1.) E-Commerce2.) Digital Advertising3.) Video Games4.) Modular Construction (เทคโนโลยีก่อสร้างที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และจำกัดผลกระทบสิ่งแวดล้อม)5.) Semi-conductor6.) EVs ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของ GDP โลก               โดยไทยดูมีโอกาสในส่วนการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนเรื่องอื่นๆ มีความจำเป็นที่อาเซียนและไทยต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้               ส่วนการปรับตัว อดีตนายกฯ ทักษิณฯ ได้แสดงวิสัยทัศน์เพิ่มเติม เน้น 2 ส่วน คือ โอกาสในการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี โดยชูจุดเด่นที่ ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องมีค่าไฟฟ้าที่ต่ำ เพื่อเป็นแรงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยขณะนี้ทั่วโลกมีต้นทุนพลังงานอยู่ที่ราว 2 เซนต์ (ดอลลาร์สหรัฐ) หรือ 0.67 บาท ในขณะที่ต้นทุนพลังงานของไทยอยู่ที่ 11 เซนต์ หรือราว 3.7 บาท ซึ่งในเบื้องต้นตั้งใจอยากให้ลดได้เหลือราว 8 เซนต์ หรือราว 2.7 บาท ซึ่งต่ำกว่าระดับที่นักลงทุนต่างชาติมองว่าเหมาะสมที่ 6-7 เซนต์               ทั้งนี้ เบื้องต้นตั้งเป้าหมายที่อยากเห็นค่าไฟฟ้าลดเหลือ 8 เซนต์ภายในปี 2569 นอกจากนี้ยังเน้นไปที่โอกาสในการนำ AI ต่อยอดในธุรกิจต่างๆ ที่เป็นจุดเด่นของไทย เช่น การแพทย์               อยากปรับไทยให้เป็นศูนย์กลางการเงิน “ศูนย์กลางทางคริปโต และบล็อกเชน” โดยคาดว่าใน 2-3 เดือนข้างหน้า จะเห็นการทำ Sandbox รับเงินคริปโตในจังหวัดภูเก็ต และการออก Stable Coin โดยมีพันธมิตร คือ รัฐบาลไทยเป็นหลักประกัน เชิงกลยุทธ์ เราประเมินโอกาสระยะกลาง-ยาวที่ไทยจะสามารถสร้าง S Curve ใหม่ๆ ยังมีอยู่ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาบ้าง ยานยนต์ต้องสร้างสมดุลการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปสู่ EVs ซึ่งในช่วงรอยต่อนี้อาจจะขาดตัวเลือกลงทุนที่น่าสนใจ และแนะนำให้ติดตามพัฒนาการต่อไป ก่อนที่จะเป็นศูนย์กลาง Financial Assets ใหม่ๆ ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักไปที่การเติมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจระยะสั้น แต่การต่อยอดให้เป็นอุตสาหกรรมใหม่ระยะยาว ต้องรอติดตามแผนการผลักดันอีกครั้ง Data Center เป็นจุดที่ฝ่ายวิจัยประเมินว่ามีโอกาสที่ดี โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าไทยสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในส่วนนี้ได้มากพอสมควร แม้การเปลี่ยนแปลงค่าไฟฟ้าจะค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังมีจุดเด่นอื่นๆ เช่น การมีพื้นที่ศูนย์กลางในอาเซียน และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม หากการปรับค่าไฟฟ้าสามารถทำได้ ก็จะมีการดึงเม็ดเงินต่างชาติอย่างต่อเนื่องอีกหลายปี นอกจากนี้การส่งสัญญาณนำ AI ต่อยอดธุรกิจ คาดว่าอุตสาหกรรม/บริษัทที่ปรับตัวได้เร็วในเรื่องนี้ จะได้รับการสนับสนุนจากตลาดในทางบวกมากขึ้น โดยจากการศึกษาของฝ่ายวิจัย พบว่า อุตสาหกรรมที่น่าจะปรับตัวได้เร็ว คือ ธนาคาร, การเงิน, ค้าปลีก, การแพทย์ และภาคผลิต ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าว เราประเมินจิตวิทยาบวกในกลุ่มต่างๆ ได้แก่               1.) กลุ่มที่อยู่ในธีม Infra Tech ได้แก่ สื่อสาร ADVANC, TRUE, นิคม WHA, AMATA, รับเหมางาน Data Center + Digital Tech เช่น INSET ซึ่งในระยะสั้นน่าสนใจขึ้นหลังจากเริ่มปรากฏชื่อการจ้างผู้รับเหมางาน Data Center หลักๆ ในประเทศที่ประกาศลงทุนตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งลำดับถัดไปน่าจะเป็นการเร่งจ้างผู้รับเหมาช่วง โดย INSET น่าจะอยู่ในกลุ่มดังกล่าว และ BBIK (ตั้งรับ) ส่วนโรงไฟฟ้าแม้ในระยะกลาง-ยาวจากโอกาสขยายกำลังผลิตรองรับ แต่ในระยะสั้นอาจต้องรอหุ้นตอบรับประเด็นลบจากแนวทางลดค่าไฟที่อาจกลับมากดดันหุ้นอีกครั้ง               2.) กลุ่มที่มีโอกาส AI Adoption ในอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ ธนาคาร เช่น KBANK, KTB, การเงิน เช่น MTC, ค้าปลีก เช่น CPALL, CPAXT, การแพทย์ เช่น BDMS, BCH และภาคผลิต เช่น SCC, SCGP

MEDEZE เป้ารายได้ชนพันล. พุ่งเป้าสู่ผู้นำตลาดเอเชีย

MEDEZE เป้ารายได้ชนพันล. พุ่งเป้าสู่ผู้นำตลาดเอเชีย

              หุ้นวิชั่น - MEDEZE ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 68 เติบโต 25-30% ทะลุ 1,000 ล้านบาท พร้อมทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เดินหน้าขยายธุรกิจธนาคารเซลล์รากผม รุกตลาดต่างประเทศทำเงิน ทุ่มงบลงทุน 552 ล้านบาท ซื้อที่ดินเตรียมสร้างธนาคารเซลล์แห่งใหม่ รองรับการขยายตัวในอนาคต เล็งสยายปีกธุรกิจ ขึ้นแท่นผู้นำสู่ตลาดเอเชีย               นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์รายได้ในปี 2568 จะเติบโตแตะระดับ 1,000 ล้านบาท หรือเติบโต 25-30% จากปี 2567 ที่มีรายได้รวม 897.22 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติรายได้สูงสุดของบริษัทอย่างต่อเนื่อง               ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตมาจากธุรกิจให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์ต้นกำเนิดในประเทศ ที่มีการขยายฐานลูกค้าผ่านการเพิ่มทีมขาย พันธมิตรทางการค้า (Dealer และ Agent) รวมถึงเครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์และสถานพยาบาลที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ธุรกิจใหม่ล่าสุดอย่าง MEDEZE Hair Renaissance ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมแห่งแรกในเอเชีย ก็เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยบริษัทตั้งเป้าให้บริการลูกค้า 500 รายภายในปี 2568 และเพิ่มเป็น 5,000 รายภายในปี 2573               ขณะเดียวกัน MEDEZE ยังเดินหน้าขยายธุรกิจไบโอเทคโนโลยีในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดตั้งธนาคารเซลล์ต้นกำเนิด (Cell Banking Biotechnology) ที่มีห้องปฏิบัติการประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับความต้องการที่คาดว่าจะเติบโตในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทยังรับรู้รายได้จากธุรกิจที่ปรึกษาในต่างประเทศ และค่าสิทธิในการใช้แบรนด์ “MEDEZE” จากตัวแทนให้บริการในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น               สำหรับการเติบโตในระยะยาว บริษัทได้วางแผนสร้างธนาคารเซลล์ต้นกำเนิดแห่งใหม่ โดยได้ลงทุน 552 ล้านบาท ซื้อที่ดินขนาด 30 ไร่ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและรองรับการขยายตัวของตลาด Stem Cell ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากการสนับสนุนของภาครัฐที่ผลักดันธุรกิจเซลล์ต้นกำเนิดให้เป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (ATMPs) และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ               นอกจากนี้ MEDEZE ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี โดยเตรียมลงทุน 12 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบ AI อัจฉริยะ "MEDEZE Plus Auto Matching Software" เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียและพฤติกรรมนักลงทุน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถทำการตลาดได้อย่างแม่นยำและเข้าถึงนักลงทุนที่มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น บริษัทยังมีแผนนำหุ่นยนต์มาใช้ในกระบวนการปฏิบัติงานต้นปี 2570 ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 3 เท่า               นายแพทย์วีรพล กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย โดยตั้งเป้าอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) ให้เติบโตเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งมุ่งเน้นการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อจดสิทธิบัตร และขยายโมเดลธุรกิจ Cell Banking Biotechnology และการขายองค์ความรู้ไปยังต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์ RMS (Revenue Multiplicative Strategy) ที่เน้นการเพิ่มรายได้แบบทวีคูณ ผ่านการขยายตลาดและบริการไปยังต่างประเทศ ปีละ 1 ประเทศ โดยจะรับรู้รายได้จากค่าที่ปรึกษาในช่วง 2 ปีแรก และรายได้จาก Brand Royalty Fee, Patent Fee และ Supply Fee ตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป และบริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาบริการธนาคารเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อนำมาใช้กับฝ่ายหญิงที่ต้องการเพิ่มความสมบูรณ์ในการทำเด็กหลอดแก้ว (In Vitro Fertillization , IVF) คาดดันรายได้ และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับภาครัฐในการทำวิจัยเพื่อเพิ่มข้อบ่งชี้ในการใช้ Stem Cell เพื่อการรักษาโรคต่างๆ กระตุ้นให้ผู้ป่วยกลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง               MEDEZE วางแผนที่จะรุกตลาดในประเทศที่มีศักยภาพในเอเชีย ทั้งในด้านอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และบุคลากรที่มีการศึกษาเพียงพอรองรับระบบของบริษัท โดยมีแนวทางการขยายธุรกิจ Bio Bank ทั้งในรูปแบบการร่วมถือหุ้นและการขายแฟรนไชส์ ซึ่งในเบื้องต้นจะให้น้ำหนักกับการขายแฟรนไชส์เนื่องจากใช้เงินลงทุนน้อยและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า อนึ่ง ปี 2567 บริษัทมีรายได้ที่ 897.22 ล้านาท และมีกำไรสุทธิ 338.74 ล้านบาท

KGI คัด 3 หุ้นเด่น  แนะเก็งกำไร STECON - SCGP - BCPG

KGI คัด 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร STECON - SCGP - BCPG

             หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน เก็งกำไร STECON, SCGP*, BCPG* STECON (เป้าพื้นฐาน 8.5 บาท) รูปแบบราคาพัก Sideway หลังฟื้นตัว หยุดแนวโน้มขาลง ประเมินแนวรับ 4.94 บาท / แนวต้าน 5.45 – 5.70 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 6.25 บาท (Stop loss 4.8 บาท) คาดแนวโน้มกำไร 1Q68 พลิก Turnaround จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ คาดแนวโน้มกำไร 1Q68 จะ Turnaround เป็นกำไรได้ จาก i) รายได้ปันผล GULF* +/- 220 ล้านบาท ii) คาดจะไม่มีการบันทึกผลขาดทุนทางบัญชีจำนวนมากเช่นใน 4Q67 และลุ้นบันทึกกำไรพิเศษจากเงินเคลมประกันโครงการฯ กำไรปีนี้ Turnaround Valuation ไม่แพง Forward PE +/-10 เท่า และ PBV ตํ่าเพียง 0.44 เท่า ใกล้ระดับตํ่าสุดในช่วงวิกฤตปี 2008 ... ล่าสุดประกาศซื้อคืนหุ้น วงเงิน 900 ล้านบาท จำนวนหุ้นไม่เกิน 150 ล้านหุ้น เริ่ม 18 มี.ค. SCGP (เป้าพื้นฐาน 19 บาท) รูปแบบราคาเริ่มฟื้นตัวจากแนวโน้มขาลง ประเมินแนวรับ 16.0 บาท / แนวต้าน 17.4 – 18.2 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 19 บาท (Stop loss 14.5 บาท) ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานผ่านจุดตํ่าสุดแล้ว จะเริ่มทยอยฟื้นตัว QoQ ฝ่ายวิจัยฯ คาดแนวโน้มผลการดำเนินงาน 1Q68 – 2Q68 จะเริ่มทยอยฟื้นตัวแบบ QoQ โดยผ่านจุดตํ่าสุดใน 4Q67 ไปแล้ว ขณะที่ได้รับ Sentiment บวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน (เน้นกระตุ้นการบริโภค) และแผนปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทลูก Fajar Valuation ถูก Forward PE +/- 19 เท่า (ใกล้เคียง -2 SD ที่ +/- 18 เท่า) ขณะที่ EV/EBITDA 7.6 เท่า หลุด -2 SD ที่ราว 8.6 เท่าแล้ว BCPG (เป้าพื้นฐาน 8 บาท) รูปแบบราคาเริ่มฟื้นตัว โดยมี Indicator MACD RSI สนับสนุน ประเมินแนวรับ 6.05 บาท / แนวต้าน 6.15 – 6.30 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 6.5 บาท (Stop loss 5.75 บาท) ประเมินแนวโน้มกำไรปกติปีนี้กลับมาโตแรงจากโรงไฟฟ้าที่ยุโรป ฝ่ายวิจัยฯ คาด Earnings momentum จะเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง คาดกำไรปกติโตเฉลี่ย +38% CAGR (2567 – 2569) จากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ (คาดได้อานิสงส์ต้นทุนพลังงานต่ำจากนโยบายรัฐบาลสหรัฐฯ ใหม่) และปี 2569 ได้แรงหนุนจากการ COD

WHA เลื่อน IPO WHAID  สบช่องเข้าตลาดหุ้นเวียดนาม

WHA เลื่อน IPO WHAID สบช่องเข้าตลาดหุ้นเวียดนาม

                 หุ้นวิชั่น - นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มีการประกาศเลื่อนแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก และการนำหุ้นสามัญของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (WHAID) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  โดยจะเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จากเดิมที่จะยื่นไฟลิ่ง หรือแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในช่วงเดือนเม.ย.นี้ และนำ WHAID เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายปีนี้ ซึ่งรวมไปถึงการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (WHAUP) ด้วย                  ทั้งนี้เนื่องด้วยสภาวการณ์ตลาดทุนที่มีความผันผวนมาก การตัดสินใจเดินหน้าธุรกรรมตามแผน IPO ในสถานการณ์เช่นนี้ อาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเชื่อมั่นในแผนการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน                  “เราได้มีการเลื่อนแผนการนำ WHAID เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกไปก่อน หลังสภาพตลาดไม่ดี โดยนับตั้งแต่ต้นปีจะเห็นได้ว่า SET ปรับตัวลงไปกว่า 240 จุดแล้ว และยังไม่เห็นมาตรการของตลาดที่จะเข้าช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยได้ ซึ่งก็มีการสอบถามกันมาอย่างมากว่า ถ้าตลาดไม่ดีเราจะยัง IPO อีกไหม และเราได้เรียนเสมอว่า ถ้าตลาดไม่ปกติเราไม่ IPO แน่นอน แต่เรายังยืนยันว่าการ Spin-Off เป็นผลดี แต่ด้วยตลาดไม่ดี ทำให้ต้องชะลอแผนดังกล่าวออกไปก่อน รวมถึงการยกเลิกการปรับโครงสร้าง WHAUP ด้วย อย่างไรก็ตาม เรายังบอกไม่ได้ว่าจะกลับมา IPO ได้เมื่อไหร่ แต่ภายใน 2 ปีนี้ คงไม่มีแน่นอน ขณะเดียวกันเราก็มองโอกาสนำ WHAID เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเราก็ยอมรับว่าตลาดหุ้นเวียดนามดี” นางสาวจรีพร กล่าว                  บริษัทฯ ยังคงวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้และส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 2.9 เท่าภายในปี 2573 จากการเติบโตของทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจโมบิลิตี้ ธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และธุรกิจดิจิทัล โดยยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้และส่วนแบ่งกำไรกว่า 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากปีก่อน และคงอัตรากำไร EBITDA Margin มากกว่า 45%                  ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะยังเติบโตดี จากปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) 1,535 ไร่ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ และได้เซ็นสัญญาขายที่ดินให้ลูกค้ารายใหญ่กว่า 1,000 ไร่ โดยรับรู้รายได้ไปแล้ว 600 ไร่ ในปี 2567 ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มอีกกว่า 1,000 ไร่ โดยกลุ่มลูกค้าหลักยังมีจากกลุ่มยานยนต์ คอนซูเมอร์ ไฮเทค เป็นต้น                  บริษัทฯ คงงบลงทุนรวมปีนี้ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.ธุรกิจโลจิสติกส์ 4,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจโมบิลิตี้ 1,500 ล้านบาท 3.ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 9,900 ล้านบาท 4.ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 4,500 ล้านบาท และ 5.ธุรกิจดิจิทัล จำนวน 450 ล้านบาท บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ และได้วางเป้าหมายของแต่ละธุรกิจ ดังนี้                  1)    ธุรกิจโลจิสติกส์ เตรียมขยายธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งในไทยและเวียดนาม โดยมุ่งเน้นพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น สมุทรปราการ EEC และเมืองรองของประเทศไทย รวมทั้งขยายคลังสินค้าขนาดใหญ่ในเวียดนาม เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและอุตสาหกรรมส่งออก ตั้งเป้าสร้างโครงการใหม่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร ภายในปี 2568 ซึ่งจะทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มเป็นประมาณ 3,309,000 ตารางเมตร และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4,297,000 ตารางเมตร ในอีก 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ สำหรับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ จีซี โลจิสติกส์ จำกัด (WGCL) มุ่งเป้าสู่การยกระดับจากการให้บริการการจัดการขนส่งและคลังสินค้า (3PL) ไปสู่การวางแผน ออกแบบ และบูรณาการระบบโลจิสติกส์อย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับบริษัทและลูกค้า (4PL) โดยอาศัยจุดแข็ง และความเชี่ยวชาญร่วมของ WHA และ PTTGC เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจโลจิสติกส์                  2)    ธุรกิจโมบิลิตี้ (ภายใต้แบรนด์ Mobilix) อีกหนึ่งธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งในปัจจุบันประกอบไปด้วย 3 บริการหลัก ได้แก่ บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service) บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution) และโมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) ซึ่งมุ่งเน้นการให้บริการกลุ่มลูกค้า B2B โดยตั้งเป้าจำนวนผู้ใช้บริการรถเช่าสะสมจำนวน 1,700 คันภายในปี 2568 และเป็น 20,000 คัน ภายในปี 2572                  3)  ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ยังเติบโตต่อในฐานะผู้นำในตลาดนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย และเร่งขยายการเติบโตในประเทศเวียดนาม เพื่อดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มดาต้าเซนเตอร์ และกลุ่มสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนนิคมอุตสาหกรรมและเขตประกอบการอุตสาหกรรมในประเทศไทยและประเทศเวียดนามจากทั้งหมด 15 แห่งเป็น 17 แห่งภายในปี 2568 นอกจากนี้ WHAID ตั้งเป้าที่จะพัฒนาที่ดินอุตสาหกรรมในอีก 5 ปีข้างหน้า เพิ่มอีก 12,700 ไร่ รวมเป็น 88,000 ไร่                  ล่าสุด WHAID ประกาศเดินหน้าโครงการนิคมอุตสาหกรรม WHA Eastern Seaboard Industrial Estate 5 (WHA ESIE 5) เฟสที่ 1 บนพื้นที่กว่า 4,000 ไร่ ในพื้นที่อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง พร้อมให้นักลงทุนเริ่มเข้าก่อสร้างได้ปลายปี 2568 โดยมุ่งเน้นรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งจะช่วยผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแห่งอนาคตระดับโลก                  4)  ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค มุ่งขยายธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม โดยจะเดินหน้าพัฒนา Smart Water Solutions เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ โดยตั้งเป้ายอดจำหน่ายน้ำและบำบัดน้ำเสียรวมประมาณ 173 ล้านลูกบาศก์เมตรภายในปี 2568 และเพิ่มเป็นประมาณ 280 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2572 สำหรับธุรกิจพลังงาน มุ่งขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ควบคู่ไปกับการเดินหน้าพัฒนาโซลูชันพลังงานใหม่ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเป็น 1,185 เมกะวัตต์ภายในปี 2568 และเพิ่มเป็นประมาณ 1,600 เมกะวัตต์ในปี 2572                  5)    ธุรกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นธุรกิจที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการนำเทคโนโลยีต่างๆ เช่น AI และ IoT  มาประยุกต์ใช้ในแต่ละธุรกิจภายในกลุ่มบริษัทฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน โดยตั้งเป้าหมายพัฒนา 5 แอปพลิเคชันใหม่ ภายในปี 2568                  บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างความเติบโตของธุรกิจ ตลอดจนการสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียในทุกส่วน สอดคล้องกับพันธกิจ “WHA: WE SHAPE THE FUTURE” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับผู้คน สังคม และประเทศไทยต่อไป ซึ่งบริษัทสามารถใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการจัดหาแหล่งเงินทุนต่างๆ มาลงทุนตามแผนธุรกิจและงบลงทุน โดยยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนในระดับต่ำกว่า 1.20 เท่า แม้จะชะลอแผน IPO ของ WHAID                  นางสาวจรีพร  กล่าวถึงราคาหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวลดลงนั้น เป็นผลจากสภาพของตลาด โดยยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด โดยบริษัทมองว่าหน่วยงานกำกับดูแล ควรพิจารณา ยกเลิกการ Short Sell  เนื่องจากเป็นตัวการที่ทำให้หุ้น WHA ร่วงในรอบนี้ ขณะเดียวกันอยากให้คำนึงถึงเรื่องธรรมาภิบาลด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับหลาย กองทุน และหลังจากนี้จะมีการพูดคุยเพิ่มเติม ภายหลังจากที่มีการเลื่อนแผนการ Spin Off WHAID ออกไป ส่วนการออกกองทุน THAI ESGX คาดว่าจะชะลอการขายได้บ้าง ขณะที่บริษัท จัดอยู่ในบริษัทที่เป็น ESG ซึ่งเป็นอีกบริษัทที่กองทุนจะซื้อได้

KBANK Top Pick หุ้นแบงก์ จ่ายปันผลพิเศษ 2.5 บาท

KBANK Top Pick หุ้นแบงก์ จ่ายปันผลพิเศษ 2.5 บาท

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า KBANK ประกาศจ่ายปันผลพิเศษ เรามีมุมมอง slightly positive ต่อการประกาศจ่ายปันผลพิเศษของ KBANK ที่ 2.5 บ./หุ้น คิดเป็น dividend yield ที่ 1.7% ขึ้น XD วันที่ 15/05/2025 และจ่ายวันที่ 06/06/2025 ทำให้เงินปันผลรวมปี 2024 อยู่ที่ 12 บ./หุ้น คิดเป็น dividend payout ratio ที่ 59% เทียบกับปี 2023 ที่ 36% การจ่ายปันผลพิเศษครั้งนี้ เป็นการตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น และเป็นวิธีหนึ่งในการบริหารเงินทุน (Capital Management) เพื่อเพิ่ม ROE ให้ถึงเป้าที่ KBANK ตั้งไว้ในปี 2026F ที่ double digit              เราคงคำแนะนำ BUY และคง TP25F ที่ 178 บ. และยังคงเป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคารคู่กับ KTB (BUY, TP 27 บ.) เนื่องจาก i) เราคาดว่ามีโอกาสเห็นค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) กลับสู่ระดับปกติในปี 2025F ที่ 140-160 bps ii) กำไรสุทธิ 2025F คาดเติบโต +9% YoY มากกว่ากลุ่มที่ +4% YoY iii) มีโอกาสเห็นการปรับเพิ่ม dividend payout ratio และ ROE ได้ในอนาคต

ดาโอ ปรับเป้า KLINIQ 37 บาท - คาดงบทุบสถิติ

ดาโอ ปรับเป้า KLINIQ 37 บาท - คาดงบทุบสถิติ

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง KLINIQ (ซื้อ / ปรับเป้าขึ้นเป็น 37.00 บาท) กำไร 1Q25E โต YoY จากการขยายสาขาและ GPM ขยายตัว               เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 37.00 บาท (เดิม 34.00 บาท) โดยอิง 2025E PER 20x เรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มของ KLINIQ จากปัจจัยสำคัญดังนี้               สำหรับปี 2025E บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 3.5 พันล้านบาท (+17% YoY) และอัตรากำไรสุทธิ (NPM) ที่ 12% (เพิ่มขึ้นจาก 10.8% ในปี 2024) โดยมีแผนขยายสาขา 10 สาขา ในปีนี้ แบ่งเป็น The Klinique 3 สาขา, L.A.B X 4 สาขา และ L’Clinic 3 สาขา               ยอดขายเงินสด (Cash sales) ในช่วงเดือน ม.ค. - ก.พ. เติบโตดีมาก ส่งผลให้รายได้ 1Q25E มีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่ตลอดกาล (All Time High) จากการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 73 สาขา (จาก 65 สาขา ใน 1Q24 และ 72 สาขา ใน 4Q24) นอกจากนี้ SSSG ยังเติบโตแข็งแกร่ง และอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ทรงตัวเมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)               เบื้องต้น เราประเมินกำไร 1Q25E อยู่ในกรอบ 102 – 110 ล้านบาท จากรายได้ที่เติบโต YoY, QoQ คาดว่า SSSG จะเติบโตระดับ double digits YoY และ GPM ปรับตัวเพิ่มขึ้น เราจึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ขึ้น +8% สะท้อนแนวโน้มที่ดีกว่าคาด โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2025E ที่ 405 ล้านบาท (+26% YoY)               ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น KLINIQ ปรับตัวเพิ่มขึ้น +24% outperform SET ปัจจุบัน KLINIQ เทรดอยู่ที่ PER 16.6x เราชอบ KLINIQ เนื่องจากจำนวนสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ               Valuation น่าสนใจ และราคาหุ้นยังไม่สะท้อนแนวโน้มกำไรปี 2025E - 2026E ที่คาดว่าจะทำจุดสูงสุดใหม่

KTC ลุ้นผลงานทำนิวไฮ ชี้ราคาเป้าหมาย 55 บ.

KTC ลุ้นผลงานทำนิวไฮ ชี้ราคาเป้าหมาย 55 บ.

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คงคำแนะนำ BUY "KTC" และคงราคาเป้าหมายปี 2025 (TP25F) ที่ 55 บาท โดยเราชอบ KTC เนื่องจากมีปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่ (i) คาดว่ามาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้ (ii) บริษัทได้รับประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง (iii) จุดแข็งของบริษัทอยู่ที่โครงสร้างงบดุลที่แข็งแกร่ง และ (iv) คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2025 จะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากปี 2024                สำหรับกำไรสุทธิไตรมาสที่ 1 ปี 2025 (1Q25F) เราคาดว่าจะอยู่ที่ 1,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% y-y และ 2% q-q ปัจจัยหนุนหลักมาจากรายได้รวมที่เติบโตขึ้นจาก ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM), รายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ และหนี้สูญรับคืน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายปรับตัวลดลง โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล และค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่บริหารได้ดี ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) คาดว่าจะอยู่ที่ 2.00% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า (4Q24)                เราคาดว่า KTC จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาสที่ 1 ปี 2025 (1Q25F) ที่ 1,920 ล้านบาท ในวันที่ 18 เมษายน 2025 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ (i) รายได้ดอกเบี้ย (NII) เพิ่มขึ้น 4% y-y และ 1% q-q เนื่องจาก NIM ปรับตัวขึ้นเป็น 13.6% จาก 13.2% ใน 1Q24 และ 13.5% ใน 4Q24 ซึ่งได้รับอานิสงส์จากสัดส่วนสินเชื่อบุคคลที่เพิ่มขึ้น (ii) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เพิ่มขึ้น 2% y-y จากการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการและหนี้สูญรับคืน (iii) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ลดลง 3% q-q ตามปัจจัยฤดูกาล และ (iv) ค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง 3% q-q จากคุณภาพสินทรัพย์ที่บริหารได้ดี ซึ่งส่งผลให้หนี้เสียขั้นต้น (Gross NPL) ลดลง 2% q-q และทำให้อัตราส่วน NPL Ratio อยู่ที่ 2.00% ใกล้เคียงกับ 1.95% ในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 (4Q24)                สำหรับสินเชื่อรวม คาดว่าจะลดลง 5% q-q และ 5% YTD โดยหลักมาจากสินเชื่อบัตรเครดิต เนื่องจากปัจจัยฤดูกาลที่ทำให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรในไตรมาสที่ 4 ของทุกปีอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นรูปแบบปกติของธุรกิจ                สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2025 (2Q25F) เราคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปี (y-y) แต่จะทรงตัวเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (q-q) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของรายได้รวม ทั้งจากสินเชื่อรวม, NIM, รายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ และหนี้สูญรับคืน รวมถึงค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ที่ลดลง                เรายังคงคำแนะนำ BUY และคงเป้าหมายราคา (TP25F) ที่ 55 บาท โดยเรามองว่า KTC มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ประกอบกับมาตรการของ ธปท. และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่คาดว่าจะช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้ อีกทั้งบริษัทยังได้รับประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง และมีโครงสร้างงบดุลที่แข็งแกร่ง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้กำไรสุทธิในปี 2025 สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ต่อจากปี 2024 ได้

พาย คัด 11 หุ้นเด่น ราคาไม่แรง เช็ก!

พาย คัด 11 หุ้นเด่น ราคาไม่แรง เช็ก!

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า Pi Daily กลุ่มปิโตรเคมีฟื้นตัวเด่น อาจเพราะราคาหุ้นถูกแต่ผลประกอบการยังไม่โดดเด่น สัปดาห์นี้รอติดตาม FED            ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดบวก 674 จุด (+1.65%) หลังจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นเพราะการปรับฐานก่อนหน้าของตลาดหุ้น ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1% ไร้ปัจจัยที่มีนัยยะ โดยรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบแทบไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มที่ลดลงของสงคราม            คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาฝั่งสหรัฐฯได้รายงานดัชนีความเชื่อมั่นจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่ระดับ 57.9 ต่ำกว่า Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 63.1 ในรายละเอียดพบว่าการลดลงของดัชนีเป็นการลดลงต่อเนื่องในทุกกลุ่ม ทั้งด้านอายุ , การศึกษา รายได้และความมั่งคั่ง แม้สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจะยังมิได้ย่ำแย่มากนักแต่ความคาดหวังต่ออนาคตในหลายมิติแย่ลง ทั้งการเงินส่วนบุคคล ตลาดแรงงาน เงินเฟ้อ สภาพธุรกิจ ผู้บริโภคจำนวนมากระบุถึงความไม่แน่นอนจากนโยบายและปัจจัยเศรษฐกิจที่ส่งผลให้วางแผนอนาคตได้ยาก โดยผู้บริโภคประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯแย่ลงตั้งแต่เดือน ก.พ. แม้รัฐบาลจะเชื่อมั่นมากขึ้นก็ตาม ความคาดหวังเงินเฟ้อปรับขึ้นเป็น 4.9% จากก่อนหน้าที่ 4.3% โดยรวมสะท้อนถึงสิ่งที่ Trump ทำลงไปนั้น            ในมุมมองผู้บริโภคสหรัฐฯค่อนข้างเป็นลบ สอดคล้องกับ US Bond Yield ที่ก่อนหน้าปรับลงมาต่อเนื่อง (ระยะสั้นเริ่มดีดตัวขึ้นเล็กน้อย) โดยสัปดาห์นี้ปัจจัยรอติดตามได้แก่ (1) ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯในคืนวันจันทร์ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 0.6%MoM (2) ปัจจัยสำคัญได้แก่ประชุม FED รอบไตรมาสที่จะทราบผลทางการช่วง 01.00 ของวันพฤหัสบดี ข้อมูลจาก CME FED Watch ประเมินว่าที่ประชุมจะคงดอกเบี้ยด้วยน้ำหนัก 98% แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยด้านดอกเบี้ยอาจมีผลไม่มากนักเชื่อว่าสิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญได้แก่ ถ้อยแถลงของประธาน FED ทิศทางดอกเบี้ยจากนี้ เพราะในประชุมครั้งนี้สิ่งที่จะเปิดเผยเพิ่มเติมก็คือคาดการณ์ เศรษฐกิจ ดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ หากส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยประเมินว่าจะเป็นบวกกับตลาดหุ้นทั่วโลก ทองคำ และค่าเงิน แต่หากส่งสัญญาณเข้มงวดก็จะสร้างแรงกดดันต่อทุกๆสินทรัพย์            อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่ามีโอกาสจะส่งสัญญาณผ่อนคลายเพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯช่วงหลังๆที่ผ่านมามีสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง ด้านปัจจัยในประเทศวันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวมาได้ดี (+1.2%) แรงหนุนโดดเด่นมาจากปิโตรเคมี (SCC PTTGC) อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวอาจเป็นเพราะราคาหุ้นที่ไม่แพง (ส่วนใหญ่ PBV < 1) แต่ผลประกอบการยังมิได้เห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ การปรับขึ้นจึงเน้นระมัดระวัง            สัปดาห์นี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1155 – 1200 เชิงกลยุทธ์การลงทุนเน้นเลือกเป็นรายตัวในหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันที่สูง ราคาหุ้นไม่แพง อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) การเงิน (MTC TIDLOR) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT) โรงพยาบาล (BDMS) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA)

ทรีนีตี้ ชูหุ้น 10 หุ้น Top pick เช็กเลย!

ทรีนีตี้ ชูหุ้น 10 หุ้น Top pick เช็กเลย!

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาด SET Index ปรับตัวบวกแรงเมื่อวันศุกร์ นำโดยกลุ่มหุ้น Deep value เช่น PTT, SCC, PTTGC เป็นต้น ประเมินโมเมนตัมเชิงบวกมีโอกาสส่งต่อมายังต้นสัปดาห์นี้ ส่วนหนึ่งจากแรงหนุนในกลุ่ม Oil & Gas ภายหลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวกระโดดขึ้นเช้าวันนี้ จากการที่ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางการทหารครั้งใหญ่ต่อกลุ่มฮูตีในเยเมน                นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยคาดหวังที่รออยู่ ได้แก่ การประชุมของธนาคารกลางที่สำคัญหลายแห่ง ในเชิงกลยุทธ์ คงแนะนำถือครองหุ้นในส่วนเดิม ซึ่ง Top pick ของเราในเดือนนี้ยังคงได้แก่ CPALL, CPAXT, HMPRO, AP, SPALI, TIDLOR, VGI, BDMS, LHHOTEL, 3BBIF                ทั้งนี้ เราคาดหวังการปรับตัว Outperform ของตลาดหุ้นเอเชียเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่อไป โดยปัจจัยที่สนับสนุนความเห็นดังกล่าวของเรายังคงได้แก่                โมเมนตัมทางด้านตัวเลขเศรษฐกิจ ที่แข็งแกร่งกว่าอย่างชัดเจนในช่วงหลัง โมเมนตัมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มักปรับตัวอ่อนแอกว่าในอดีตหลังผ่านพ้นวันพิธีสาบานตนของปธน.คนใหม่ Relative valuation ที่ยังคงอยู่ต่ำกว่า ความคาดหวังเชิงบวกทางด้านการผ่อนคลายนโยบาย ทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน                – ล่าสุดเมื่อวานนี้ สำนักข่าว Xinhua รายงานว่าทางการจีนเตรียมที่จะออกมาตรการกระตุ้นรายได้และการบริโภคเพิ่มเติมรวมถึงมาตรการดูแลเสถียรภาพของตลาดหุ้นและภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่นับรวมกับการให้แรงจูงใจสำหรับการมีบุตรใหม่ท่าทีของผู้กำหนดนโยบาย (Policymakers)ที่ดูเหมือนจะมีความมุ่งมั่นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นมากกว่า                – ล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา นาย Scott Bessent รมว.คลังของสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขามองการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นเรื่องปกติและยังกล่าวว่าไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่ภาวถดถอย สะท้อนภาพว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันต้องการกำหนดนโยบายพุ่งเป้าไปที่เศรษฐกิจระยะยาวมากกว่าระยะสั้น                สำหรับปัจจัยที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ในวันที่ 18-19 มี.ค.ซึ่งคาดว่า BoJ จะมีมติคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.50% ไปก่อน หลังจากเพิ่งปรับขึ้นไปในครั้งก่อนการประชุม FOMC ในวันที่ 18-19 มี.ค.ซึ่งคาดว่า Fed จะมีมติคงดอกเบี้ยแน่นอนแล้วที่ระดับเดิม 4.25-4.50% ดังนั้น ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่โทนของ Statement, คำพูดของนาย Jerome Powell, ประมาณการเศรษฐกิจรอบใหม่ และค่ากลาง Dot plots ล่าสุด                ทั้งนี้ เราประเมินว่า หาก Fed ไม่ได้มีการ Downgrade ประมาณการ GDP ลงอย่างสำคัญไม่ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อมากขึ้นยังคงค่ากลาง Dot plots ที่ Imply การลดดอกเบี้ยปีนี้ 2 ครั้งเท่าเดิมเชื่อว่าพอจะสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายทั่วโลกได้บ้างการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันที่ 20 มี.ค.ซึ่งล่าสุดตลาดคาดว่าจะมีมติคงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.50% ไปก่อน หลังจากเพิ่งปรับลดไปในครั้งก่อน การซื้อขายวันสุดท้ายของหุ้น GULF และ INTUCH ในวันที่ 20 มี.ค. และจะขึ้นเครื่องหมาย SP หยุดพักการซื้อขายในวันที่ 21 มี.ค. – 2 เม.ย.                ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลของเราล่าสุด ยังคงพบว่าVGI เป็น Candidate สำคัญที่จะถูกบรรจุเข้าสู่ดัชนี SET50 MOSHI เป็น Candidate สำหรับหุ้นที่ถูกบรรจุเข้าสู่ดัชนี SET100 แทนตำแหน่งที่ว่างไป

ฟินันเซีย ลุ้น SET วันนี้ Rebound เน้นหุ้นแกร่ง - เช็กพอร์ตลงทุนด่วน!

ฟินันเซีย ลุ้น SET วันนี้ Rebound เน้นหุ้นแกร่ง - เช็กพอร์ตลงทุนด่วน!

                หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทย (SET Index) วันนี้ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ (Rebound) โดยมีแนวต้านที่ 1,180-1,185 จุด ซึ่งยังได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน หลังจากที่เริ่มเปิดเผยรายงานพิเศษเมื่อวานนี้เกี่ยวกับการผลักดันอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวได้ในระยะสั้น ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุน (Sentiment) เป็นบวก แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะออกมาไม่ดีนัก โดย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมิชิแกน (Consumer Sentiment - March) ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันอยู่ที่ 57.9 จุด ขณะที่มุมมองเงินเฟ้อคาดการณ์ 1 ปี และ 5 ปีข้างหน้า ปรับตัวขึ้นเป็น 4.9% และ 3.9% ตามลำดับ                 ปัจจัยที่ต้องจับตาคือ ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าโลก และการประชุม ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% แต่ต้องติดตามแถลงการณ์ของประธาน FED ว่าจะมีแนวโน้มต่อเศรษฐกิจและนโยบายการเงินอย่างไร                 SET Index ปรับตัวลดลงแรงกว่า 20% จากระดับสูงสุดปลายปีก่อน ทำให้ Valuation ระยะกลาง-ยาวน่าสนใจ โดย P/E และ P/BV อยู่ที่ 12.4 เท่า และ 1.13 เท่า ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนโควิดอย่างมีนัยสำคัญ เรามองว่าเป็นจังหวะในการทยอยสะสม โดยยังคงชอบหุ้น กลุ่ม Domestic และ Tourism-Related Play ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจโลก (Global-Related Play) กลยุทธ์การลงทุน:                 ยังเน้น Selective Buy หุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่งในปี 2025 และมี Valuation ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด หุ้นเด่นเดือนมีนาคม:                 BA, BTG, CPALL, MTC, PR9 พอร์ตการลงทุน FSSIA:                 BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR หุ้นเด่นวันนี้: NSL                 แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 43 บาท                 ตั้งเป้ารายได้ปี 2025 เติบโต 16-17% YoY โดย ไตรมาส 1/2025 (QTD) ยังเติบโตตามแผนจากสินค้ากลุ่มใหม่และฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นคาดว่าจะเห็น การเติบโตชัดเจนขึ้นในธุรกิจผลิตชีส ซึ่งเริ่มดำเนินงานใน ไตรมาส 4/2024 กลุ่ม น้ำมะพร้าว/น้ำผลไม้ส่งออก จะรวมเข้ามาเป็นรายได้เต็มปี คาดกำไรไตรมาส 1/2025 แข็งแกร่ง มี Catalyst บวกจากแซนด์วิชใหม่ ที่ร่วมมือกับแบรนด์เนื้อแท้ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดี ประเมินรายได้ปี 2025 เติบโต +14% YoY และกำไรสุทธิ 600 ล้านบาท ถือเป็นตัวเลขประมาณการที่อนุรักษ์นิยม (Conservative) และยังมี Upside ปัจจุบันเทรด P/E เพียง 14 เท่า ซึ่งถือว่าไม่แพง แนวรับ: 27.75-27.50 / 26.50 บาท แนวต้าน: 29-29.25 / 30 บาท                 กระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow)เมื่อวันศุกร์ กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่อง แต่มีแนวโน้มลดลง โดยมียอดไหลออกสุทธิ 460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย ไต้หวัน มียอดไหลออกสูงสุด 285 ล้านดอลลาร์ อินโดนีเซีย ไหลออก 108 ล้านดอลลาร์ ไทยและเวียดนาม มีแรงขายต่อเนื่อง แต่ไม่มากนัก ฟิลิปปินส์ เป็นตลาดเดียวที่มีกระแสเงินทุนไหลเข้าเล็กน้อย แนวโน้มกระแสเงินทุนมีโอกาสพลิกกลับมาไหลเข้าอีกครั้ง หลังจากสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้า และยังได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ประเด็นสำคัญวันนี้: (+) SISB                 ธุรกิจการศึกษาในโรงเรียนนานาชาติยังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง แม้อัตราการเกิดของคนไทยจะลดลงช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนโรงเรียนนานาชาติเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.9% CAGRแม้ว่าค่าธรรมเนียมการศึกษาอาจปรับเพิ่มขึ้นเพียง 3% (จากเดิม 5%) เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ยังมีโอกาสเติบโตระยะยาวปรับลดประมาณการกำไร ปี 2025-2026 ลง 6.4% และ 8.7% ตามลำดับ ราคาเป้าหมายใหม่ 39 บาท ปัจจุบันเทรด P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ยังคงแนะนำ "ซื้อ" (+) GUNKUL                 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด 1,479 MW และมี 832 MW ที่ได้รับ PPA จากการประมูลล่าสุด มีโอกาสหา Partner เข้าร่วมลงทุนในโครงการใหม่ ยังมีธุรกิจ รับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้า, สถานีไฟฟ้า, Data Center และเทรดดิ้งอุปกรณ์ไฟฟ้า  IAA Consensus คาดกำไรสุทธิปี 2025 อยู่ที่ 1,600 ล้านบาท ราคาเป้าหมาย 3.50 บาท (+) STECON                 ได้งานก่อสร้าง Data Center 2 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท ได้แก่โครงการ CHN-1A และ CHN-2A จากบริษัท ควอตซ์คอมพิวติ้งเริ่มงานวันที่ 1 เม.ย. 2025 ใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปีดัน Backlog ขึ้นเป็น 130,000 ล้านบาท เทียบเท่ารายได้ 3-4 ปี ราคาเป้าหมาย 8 บาท แนะนำ "ซื้อ" สรุป:                 SET Index มีแนวโน้ม Rebound ต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน และ Sentiment บวกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลยุทธ์การลงทุน: ยังเน้น Selective Buy หุ้นที่มีพื้นฐานดีและมี Valuation ต่ำ หุ้นเด่นวันนี้: NSL                 Fund Flow ต่างชาติยังไหลออก แต่แนวโน้มอาจกลับมาไหลเข้าในระยะสั้น

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.55-33.75 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.55-33.75 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.55-33.75 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทแข็งค่าขึ้นจากภาวะ Risk on ของนักลงทุน หลังวุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านแผนการใช้จ่ายของพรรครีพับลิกัน ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ รอดพ้นจากภาวะชัตดาวน์ ส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง เงินดอลลาร์อ่อนค่า เงินยูโรยังแข็งค่าต่อหลังผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมของเยอรมนีบรรลุข้อตกลงกับพรรคกรีนเกี่ยวกับแผนการใช้จ่ายด้านกลาโหมและโครงสร้างพื้นฐาน โดยจะลงมติชี้ขาดสัปดาห์นี้ นักลงทุนนอกเตรียมลงทุน Data Center และ ระบบคลาวด์ในไทยมากขึ้น

KSS ลุ้น SET “Rebound ต่อ” คัด 3 หุ้น เก็งกำไรช่วงสั้น เช็กเลย!

KSS ลุ้น SET “Rebound ต่อ” คัด 3 หุ้น เก็งกำไรช่วงสั้น เช็กเลย!

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด ว่า SET วันนี้มีแนวโน้ม “Rebound ต่อ” โดยมีแนวต้านที่ 1184/1189 จุด และแนวรับที่ 1160/1156 จุด แม้ว่าจะมีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีเยเมน เพื่อตอบโต้การโจมตีเรือสหรัฐฯ ในทะเลแดงโดยกลุ่มฮูตี ซึ่งส่งผลให้ Futures สหรัฐฯ ปรับตัวลง -0.6% หลังจากที่ดีดตัวแรงในวันศุกร์ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้อาจช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้              ในด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดย ดัชนีชี้นำภาคบริการและความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan) ประจำเดือนมีนาคม 2025 รายงานครั้งแรกที่ 57.9 จุด ซึ่งลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามและอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 นอกจากนี้ มุมมองความคาดหวังเงินเฟ้อในอีก 1 ปีข้างหน้าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.9% จากเดิม 4.3% ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่กดดันตลาด              อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในภูมิภาคเอเชียและภายในประเทศยังเป็นบวก โดยจีนเตรียมประกาศมาตรการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งนักลงทุนยังคงติดตามรายงานเศรษฐกิจของจีนเพื่อลุ้นสัญญาณเชิงบวกเพิ่มเติม อีกทั้งในระยะกลางถึงยาว ตลาดภายในประเทศยังคงให้ความสำคัญกับ โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการลดต้นทุนค่าไฟฟ้า (แม้ว่าจะเป็นปัจจัยลบต่อหุ้นกลุ่มไฟฟ้าในระยะสั้น แต่เป็นบวกในระยะยาว) นอกจากนี้ การนำ AI ไปต่อยอดอุตสาหกรรมต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าจับตามอง              ขณะนี้ SET ยังอยู่ในโซน Deep Value โดยมี Current ERP ที่ 4.79% ซึ่งสูงกว่า Average +1.5 S.D. คาดว่า SET จะสามารถรีบาวน์ต่อได้ โดยหุ้นที่น่าสนใจในวันนี้ ได้แก่ 10 หุ้น Deep Value, หุ้นกลุ่ม China Plays และหุ้นเทคโนโลยีที่อยู่ในกลุ่ม New S Curve ในระยะกลางถึงยาว สำหรับหุ้นแนะนำในวันนี้ ได้แก่ BDMS, SCGP และ PTTEP ซึ่งเหมาะสำหรับการเก็งกำไรในระยะสั้น

หยวนต้า คาด CCET กำไรโตต่อ 11% ปันผล Yield 2% - XD 19 มี.ค.นี้

หยวนต้า คาด CCET กำไรโตต่อ 11% ปันผล Yield 2% - XD 19 มี.ค.นี้

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง CCET ว่า สาระสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์ Event             ► ผลประกอบการ 4Q24 ที่ต่ำกว่าตลาดคาด แต่เป็นปัจจัยชั่วคราวดังนี้ GPM ที่ลดลงใน 4Q24 เกิดจาก product mix ระหว่างไตรมาส และการสนับสนุนการขายให้ลูกค้าในช่วงหาลูกค้าสำหรับปี 2025 การให้โบนัสพนักงานใน 4Q24 ที่สูงกว่าอดีต             ► ความเสี่ยงสงครามการค้า และกลยุทธ์รับมือสำคัญของบริษัทฯ มีดังนี้ การขึ้นภาษีระหว่างกันทั่วโลก หากรุนแรงเกินระดับ 10-20% CCET พร้อมที่จะไปขึ้นโรงงานให้ลูกค้าในตลาด USA หากเป็นความต้องการของลูกค้า ในกรณีที่อัตราภาษีถูกปรับเพิ่มขึ้นระดับ +/-10% CCET คาดว่าจะสามารถผลักภาษีไปที่ราคาขายให้กับลูกค้าได้             ► ในกรณีที่การเก็บภาษีกระทบมาถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตสำคัญของกลุ่ม ผู้บริหารประเมินว่าโอกาสเกิดขึ้นต่ำ และน่าจะกระทบหลังประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดหลักที่ลูกค้าเลือกย้ายมาโรงงานใหม่ของ CCET อย่างไรก็ดีหากโรงงานในไทยได้รับผลกระทบ CCET สามารถย้ายการผลิตได้ราว 30% ไปผลิตที่โรงงานในเครือที่ฟิลิปปินส์เพื่อลดผลกระทบ             ► โรงงานใหม่                         โรง 16 ที่มหาชัย เริ่มผลิตตั้งแต่ 4Q24 เน้นการผลิต SSD แต่ในปี 2025 CCET จะพยายามเพิ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ Data Center เช่น Server ในโรงงานแห่งนี้                         โรงงานใหม่ที่เพชรบุรี 3 โรง                         โรง 15 อยู่ในขั้นตอนการติดตั้งเครื่องจักร คาดว่าจะเริ่มทำการผลิตได้อย่างเป็นทางการในเดือน พ.ค. 25 – มิ.ย. 25 บริษัทฯ คาดว่า โรง 15 จะผลิตเต็มศักยภาพในปี 2026                         โรง 13 และโรง 14 อยู่ระหว่างพูดคุยเพื่อหาลูกค้าหลักที่จะใช้งานระยะยาว ทำให้ต้องใช้เวลาอีกระยะ             ► Guidance 1Q25             GPM ฟื้นตัว QoQ ขณะที่ยอดขายสองเดือนแรกเติบโตระดับ Double Digit สะท้องแนวโน้มงบ 1Q25 ที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง หากสามารถเติมลูกค้าในโรงงานใหม่ได้สำเร็จ บริษัทฯ คาดว่ายอดขายจะเติบโตระดับ 10% ได้อย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีจากนี้ Our Take             ► เรายังไม่มีประมาณการและคำแนะนำอย่างเป็นทางการสำหรับ CCET เบื้องต้นเราคาดการณ์กำไรปกติปี 2025 ที่ +/-3.5 พันล้านบาท หรือกำไรโต 11% YoY คิดเป็น EPS25 ที่ราว 0.33 บาทต่อหุ้น             ► ราคาหุ้นปัจจุบันที่ +/-6.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น PER25 ที่ 19.4x ไม่แพงเหมือนช่วงก่อนหน้าที่ขึ้นไปซื้อขายถึงระดับ PER 20-25x แต่ก็ไม่ใช่ระดับที่ถูกสำหรับหุ้นกลุ่ม Consumer Electronic ที่ปกติจะซื้อ                     ขายในช่วง 15-20x             ► อย่างไรก็ดี หากการเติบโตทำได้ดีกว่า 3.5 พันล้านบาท เช่น             CCET ทำกำไรได้ 4.0 พันล้านบาท (+27% YoY) EPS25 จะอยู่ที่ 0.38 บาทต่อหุ้น สมมติให้หุ้นซื้อขาย PER 20x ราคาหุ้นในกรณีที่ดีอาจไปได้ถึง 7.65 บาทต่อหุ้น เป็นกรอบบนในการเก็งกำไรในปี 2025             ► อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้าที่สูง โดยเฉพาะใน 2Q25 เราประเมินว่าเร็วเกินไปที่จะมองกรณีดังกล่าว             ► CCET ประกาศจ่ายปันผลสำหรับผลประกอบการ 2H24 ที่ 0.13 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Yield 2.0% XD วันที่ 19 มี.ค. 25

STECONจัด900ล.ซื้อหุ้นคืน ผลงานฟื้น-ปันผลGULFค้ำ

STECONจัด900ล.ซื้อหุ้นคืน ผลงานฟื้น-ปันผลGULFค้ำ

            หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ STECON มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 900 ล้านบาท และจำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.87% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.-17 ก.ย. 2025 (ที่มา: SET)             มีมุมมองเป็นบวก โดยแผนซื้อหุ้นคืนดังกล่าว imply ราคาซื้อคืนเฉลี่ย 6 บาท/หุ้น สูงกว่าราคาปัจจุบันราว +19% ทำให้เรามองว่าจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นได้ สำหรับ 1Q25E เบื้องต้นประเมินผลการดำเนินงานปกติจะปรับตัวดีขึ้น YoY, QoQ หนุนโดย GPM ฟื้นตัวหลังบริษัทรับรู้ต้นทุนส่วนเพิ่มงานบึงหนองบอนทั้งหมดแล้วใน 4Q24 รายได้ก่อสร้างสูงขึ้นตามทิศทาง backlog และมีเงินปันผลจาก GULF             ทั้งนี้เราคงกำไรปกติปี 2025E ที่ 535 ล้านบาท พลิกฟื้นจากขาดทุนปกติปี 2024 ที่ -1.3 พันล้านบาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.00 บาท อิง 2025E PER 20x (-1SD below 5-yr average PER)

จีนจ่อกระตุ้นเศรษฐกิจ PTTGC-SCC-SCGP รับโชค

จีนจ่อกระตุ้นเศรษฐกิจ PTTGC-SCC-SCGP รับโชค

             หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า จีนวางแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเพิ่มรายได้ สำนักงานข่าว Xinhua News Agency รายงานเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยอ้างถึงคำแถลงของคณะมนตรีรัฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีน(Statement Council) ว่ารัฐบาลจีนวางแผนที่จะฟื้นฟูการบริโภคโดยการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน โดยจะผลักดันให้ค่าจ้างมีการเติบโตอย่างสมเหตุสมผลและสร้างกลไกที่เหมาะสมสำหรับการปรับค่าแรงขั้นต่ำ              นอกจากนี้ ยังจะพิจารณาถึงการจัดตั้งระบบเงินอุดหนุนการดูแลเด็ก (childcare) รวมถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งว่าการลงทุนจะสามารถสนับสนุนการบริโภคได้ ทั้งนี้ ที่การประชุมสภาประจำปีที่ผ่านมา ผู้นำของจีนให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการบริโภคเป็นอันดับแรกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ขึ้นครองอำนาจเหนือทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้สูงสุดในรอบ 2 เดือนหลังจากที่ State Council ได้ประกาศว่าเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการคลัง ธนาคารกลาง และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆมีแผนจะจัดงานแถลงข่าวในวันจันทร์นี้ เพื่อพูดถึงมาตรการกระตุ้นการบริโภค              Spread กำลังฟื้นตัวจากจุดต่ำในเดือน ม.ค. ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) และ petrochemical price spread กลับมาอยู่ในทิศทางที่ดีหลังจากแตะระดับที่ต่ำในเดือน มี.ค.2025 โดย diesel cracks เฉลี่ย MTD อยู่ที่ USD15.7/bbl เทียบกับ USD15.0/bbl ในเดือน ม.ค.2025 ขณะที่ gasoline cracks เฉลี่ยอยู่ที่ USD9.0/bbl สูงขึ้นจาก USD6.3/bbl สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี PX-nahptha spread เฉลี่ยอยู่ที่ USD250/ton ดีขึ้นจาก USD188/ton ในเดือน ม.ค. ส่วน PE-naphtha spread เฉลี่ยอยู่ที่ USD365/ton เพิ่มขึ้นจาก USD289/ton (ที่มา: Bloomberg)              มีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้นที่มีรายได้เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจของจีน โดยเรามองว่าหากรายได้และการบริโภคของจีนดีขึ้นจะส่งผลให้อุปสงค์การใช้พลังงานและการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสูงขึ้นซึ่งจะส่งผลบวกต่อราคาและส่วนต่างราคา (spread) พลังงานและปิโตรเคมีในท้ายที่สุด              ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยเชื่อว่าการประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนอย่างต่อเนื่องจากส่งผลบวกต่อหุ้นพลังงานและปิโตรเคมีที่มีรายได้ผูกกับเศรษฐกิจของจีน              เชื่อว่าหุ้นที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากข่าวนี้ คือ PTTGC (ซื้อ/เป้า 21.00 บาท), SCC (ถือ/เป้า 175.00 บาท) และ SCGP (ถือ/เป้า 18.00 บาท)

NAM โตแบบ Organic หยวนต้าชี้เป้าสูงสุด 8.25 บ.

NAM โตแบบ Organic หยวนต้าชี้เป้าสูงสุด 8.25 บ.

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง NAM ดังนี้ Event              เรามีมุมมองเป็นบวกหลังมีโอกาสเข้าสอบถามข้อมูลกับผู้บริหาร สรุปสาระสำคัญดังนี้ Our Take              ► NAM เป็นผู้นำในการพัฒนาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และให้บริการทำความสะอาดและฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ระดับปราศจากเชื้อ (Sterilization) มีสินค้ามากกว่า 320 SKUs ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีในทุกโรงพยาบาล โดยบริษัทมีนวัตกรรมของตนเองภายใต้แบรนด์ของบริษัทเอง และสามารถแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก ด้วยราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า จึงเป็นหนึ่งในจุดแข็งของบริษัทในการชนะงานประมูลโรงพยาบาลรัฐฯ (สัดส่วนรายได้ราว 90%) โดยเรามองว่าบริษัทยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมากทั้งจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ              ► ในปี 2024 บริษัทเผชิญปัญหาการเบิกงบประมาณที่ล่าช้าของภาครัฐฯ ในช่วง 1H24 ทำให้ยอดการสั่งซื้อสินค้าของโรงพยาบาลรัฐฯ ชะลอลง และส่งผลต่อเนื่องต่อ Product mix ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวได้สิ้นสุดลง และปัจจุบันบริษัทมี Backlog เครื่องจักรสำหรับรอส่งมอบใน 1Q25 อยู่ที่ราว 150 – 200 ลบ. ไม่รวมรายได้จากคำสั่งซื้อเพิ่มเติม, รายได้ธุรกิจสินค้าสิ้นเปลือง (CS) และงานบริการอื่นๆ ทำให้เราคาดว่ารายได้ 1Q25 จะไม่น้อยไปกว่า 4Q24              ► บริษัทเข้าซื้อ Reintech Sdn. Bhd. สัดส่วน 60% ในมาเลเซียในเดือน ส.ค. 2024 เพื่อดำเนินธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ในประเทศมาเลเซีย กลุ่มการล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เช่นเดียวกับ NAM เป็นกลยุทธ์ในการบุกตลาดต่างประเทศ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 ที่ 120 ลบ.              ► บริษัทเข้าซื้อ Innovative Imaging System (IIS) สัดส่วน 60% ในเดือน ม.ค. 2025 ประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือแพทย์กลุ่มเครื่อง X-ray และอุปกรณ์ภายในห้องผ่าตัด เรามองว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในกลยุทธ์การเติบโตของ NAM เพราะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มขอบเขตสินค้า จากเดิมเป็นกลุ่มกลางน้ำ (Sterilization) มาจำหน่ายสินค้ากลุ่มปลายน้ำ อาทิ อุปกรณ์ต่างๆ ในห้องผ่าตัด ที่มีความต้องการสูงได้มากขึ้น และเราคาดว่าจะเกิด Synergy ทั้งในด้านขาของรายได้ (การ Cross sell, การเพิ่มฐานลูกค้า, และการเสนอผลิตภัณฑ์ในห้องผ่าตัดใหม่ๆ เพิ่มเติม) รวมถึงขาของอัตรากำไรสุทธิ เนื่องจากปัจจุบัน NPM ของ IIS ยังต่ำกว่า NAM พอสมควร และมีดอกเบี้ยจ่ายที่สูง โดยในปี 2024 IIS มีรายได้ราว 700 ลบ. ซึ่งจะหนุนรายได้ของ NAM ใน 1Q25 เป็นไตรมาสแรก และรับรู้เต็มปีในปี 2025 โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 800 ลบ.              ► เรามีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตระยะยาวของ NAM ทั้งจากการเติบโตแบบ Organic จากการพัฒนาและจำหน่ายเครื่องและอุปกรณ์ Sterilization ที่จะเติบโตตามความต้องการด้านการแพทย์ที่สูงขึ้นจากสังคมสูงอายุของไทย ประกอบกับนโยบาย Medical Hub และ Medical Tourism ของภาครัฐฯ และการเติบโตแบบ In-organic ผ่านการเข้าซื้อธุรกิจอื่นๆ ที่จะช่วยหนุนการเติบโตมากขึ้น เพิ่มเติมนอกเหนือจาก Reintech และ IIS รวมถึงการขยายธุรกิจในต่างประเทศ และการร่วมมือกับพันธมิตร อาทิ PTT และ WHA เป็น Upside              ► บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 แบบ Conservative ที่ 1,700 ลบ. (+50% YoY) จากการเบิกใช้งบภาครัฐฯ ที่กลับสู่ภาวะปกติ, รับรู้รายได้สินค้าใหม่ และการรับรู้รายได้จาก Reintech และ IIS              ► ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 ต่ำเพียงราว 10-14 เท่า และราคายังต่ำกว่าราคา IPO ที่ 7.70 บาทค่อนข้างมาก เรายังไม่มีคำแนะนำสำหรับ NAM แต่เราประเมินมูลค่าเหมาะสมเบื้องต้นอิงสมมติฐาน Scenario Analysis อิง PER ที่กรอบ 16–20 เท่า ได้ราคาเหมาะสมในกรอบ 5.05 – 8.25 บาท/หุ้น โดยกรณีปกติที่เป็นไปได้มากที่สุดอยู่ที่ 6.50 บาท ไม่รวม Upside จากการร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตร และการทำ M&A เพิ่มเติม

ASL คาด SET วันนี้แกว่งตัว Sideway จัด TCAP เด่น

ASL คาด SET วันนี้แกว่งตัว Sideway จัด TCAP เด่น

             หุ้นวิชั่น - บล.เอเอสแอล ประเมินแนวโน้ม SET Index ประเมินแกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,160-1,182 จุด ขานรับรัฐบาลจีนเปิดตัว "แผนปฏิบัติการพิเศษ" เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ (เพิ่มรายได้แก่ประชาชน, จัดตั้งระบบเงินอุดหนุนค่าดูแลเด็ก, กระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น เปิด free visa มากขึ้น) และมีการกล่าวถึงมาตรการรักษาเสถียรภาพของตลาดหุ้น แต่ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับระยะเวลาหรือแนวทางดำเนินการที่ชัดเจน เป็นบวกต่อกลุ่ม China play เช่น SCC, SCGP, PTTGC, TOP.              ประเด็นของทรัมป์ล่าสุดได้สั่งการให้เปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีกลุ่มฮูตี รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปะทุขึ้นอีกครั้ง กระทบต่อราคาน้ำมันให้ผันผวน และอาจส่งผลต่อเส้นทางการเดินเรือ ส่วนด้านสงครามการค้าสหรัฐ-ยุโรป ที่ได้ตอบโต้กันด้วยกำแพงภาษีนำเข้าในสัปดาห์ที่แล้ว มีแนวโน้มเคลื่อนตัวสู่สงครามการค้าด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) รวมทั้งมาตรการทางเทคนิค (Technical Barriers to Trade) และเป็นมาตรการเลือกปฏิบัติมากขึ้น (Discriminatory) ส่งผลต่อราคาสินค้าที่จะถูกบิดเบือนโดยภาษี จะทำให้เกิดการปรับตัวด้านราคา อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นสูงในหลายประเทศ เกิดการปรับตัวของปริมาณการผลิต การค้า การบริโภค การลงทุน และสวัสดิการโดยรวมของระบบเศรษฐกิจ.              ด้านปัจจัยในประเทศ, กบข. ได้ให้มุมมองเชิงบวกต่อหุ้นไทย โดยมีการเพิ่มน้ำหนักในหุ้นรายตัวตั้งแต่ปลายปี 24 ขณะที่ตั้งเป้าพอร์ตการลงทุนปีนี้ turnaround ชนะเงินเฟ้อ หลัง SET ปรับตัวลงมากว่า 17% YTD และ PE ที่ 12 เท่า แนะนำทยอยซื้อหุ้น Big cap ที่แนวโน้มผลงานเติบโต เช่น ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, PTT, TRUE.              นอกจากนี้อาจได้ Sentiment บวกจากวิสัยทัศน์ของคุณทักษิณ ที่จะผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาค ลดค่าไฟฟ้าเพื่อดึงดูดการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด. ติดตาม: ตัวเลขเศรษฐกิจจีน (ดัชนีราคาบ้าน, การผลิตภาคอุตสาหกรรม, ยอดค้าปลีก), การประชุมเฟด โดยเฉพาะ dot plot และ BoJ คาดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย. Stock pick: TCAP ได้แรงหนุนจาก OPEX และ Credit Cost ที่ลดลง เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 51 บาท.

WHA ยอมถอยแล้ว ชะลอแผน WHAID เข้าตลาดหุ้น

WHA ยอมถอยแล้ว ชะลอแผน WHAID เข้าตลาดหุ้น

                หุ้นวิชั่น – WHA มีมติอนุมัติการชะลอแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ WHAID สาเหตุมาจาก สถานการณ์สภาวะเศรษฐกิจและตลาดทุนของประเทศไทยที่มีความผันผวนมากในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ และจากการรับฟังข้อคิดเห็นที่บริษัทฯ ได้รับจากนักวิเคราะห์ นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง ทำให้เห็นว่า  อาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท WHAID และผู้ถือหุ้นของบริษัท  หากบริษัทพิจารณาจะดำเนินการตามแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และการปรับโครงสร้าง WHAUP ในอนาคต บริษัทจะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบต่อไป                 นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม WHA ระบุว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัท) ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติอนุมัติแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และการนำหุ้นสามัญของบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (WHAID) เข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) และการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ WHAID ให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือ พนักงานของ WHAID และบริษัทย่อยของ WHAID (แผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ) รวมถึงอนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (WHAUP) (การปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน WHAUP)                 บริษัทขอเรียนว่า ในการพิจารณาแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทและฝ่ายจัดการได้พิจารณารายละเอียดของธุรกรรมอย่างรอบคอบ และเชื่อมั่นว่าธุรกรรมดังกล่าวจะสามารถสร้างโอกาสในการเติบโตของกลุ่ม WHA อย่างยั่งยืน ตลอดจนสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้นในระยะยาวได้                 อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงสถานการณ์สภาวะเศรษฐกิจและตลาดทุนของประเทศไทยที่มีความผันผวนมากในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ และจากการรับฟังข้อคิดเห็นที่บริษัทฯ ได้รับจากนักวิเคราะห์ นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการบริษัทและฝ่ายจัดการเห็นว่า การดำเนินการตามแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในสภาวะตลาดท่ามกลางความผันผวนนี้ อาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท WHAID และผู้ถือหุ้นของบริษัท                 ในการนี้ เพื่อให้การดำเนินธุรกรรมดังกล่าวเกิดประโยชน์สูงสุดและมีความชัดเจนต่อผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติการชะลอแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ WHAID  และให้ถอนวาระการพิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ WHAID ให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือ พนักงานของ WHAID และบริษัทย่อยของ WHAID (ESOP) ออกจากระเบียบวาระการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ของบริษัท ตลอดจนให้ชะลอแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน WHAUP โดยสัดส่วนการถือหุ้นใน WHAUP ของกลุ่มบริษัท รวมร้อยละ 71.59 จะยังคงเป็นการถือหุ้นผ่านทาง WHAID และ WHA Industrial Development International (SG) Pte. Ltd. (WHA IDISG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ในสัดส่วนร้อยละ 70.45 และร้อยละ 1.14 ตามลำดับ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง                 บริษัทยังคงเชื่อมั่นในแผนการเติบโตธุรกิจและผลประกอบการของบริษัท และความสามารถในการดำเนินการตามแผนการลงทุนจากกระแสเงินสดจากผลการดำเนินธุรกิจ และความสามารถในการจัดหาแหล่งเงินทุนต่างๆ ของบริษัทโดยยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง                 ทั้งนี้ บริษัทจะประเมินปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ในอนาคตอย่างรอบด้าน ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง สภาวะเศรษฐกิจและตลาดทุน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศต่อตลาดเงินและตลาดทุน ผลการดำเนินงานและโอกาสการเติบโตของแต่ละกลุ่มธุรกิจของบริษัท โดยจะคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทและผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ                 โดยหากบริษัทพิจารณาจะดำเนินการตามแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และการปรับโครงสร้าง WHAUP ในอนาคต บริษัทจะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบต่อไป

เวอร์ชวลแบงก์มาแน่  ถอดชนวนหุ้นได้-เสีย

เวอร์ชวลแบงก์มาแน่ ถอดชนวนหุ้นได้-เสีย

            หุ้นวิชั่น – นับถอยหลังการประกาศรายชื่อผู้ชนะ(วิน)  เวอร์ชวลแบงก์ ( Virtual Bank)   หรือธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่า สามารถประกาศรายชื่อ ผู้ที่สมควรได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้ง  Virtual Bank ได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2568 จับตาแกนนำ 5 กลุ่ม SCBX – GULF-ADVANC-OR-BBL-BTS-VGI-กลุ่มCP- Lightnet Group ฟินเทคไทย ใครจะเข้าเส้นชัย รวมถึงผลกระทบอุตสาหกรรมการเงิน ทั้งกลุ่มหุ้นแบงก์ และหุ้นสินเชื่อ นักลงทุนต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด               ในปีที่ผ่านมา (ธปท.) ได้เปิดให้ผู้ที่สนใจ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี การให้บริการดิจิทัล และการใช้ข้อมูลที่หลากหลาย เข้ามาให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ผ่านช่องทางดิจิทัล ยื่นขอรับใบอนุญาตฯ ตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.-19 ก.ย.2567 ทั้งนี้ มีผู้ยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Virtual Bank รวมทั้งหมด 5 ราย ได้แก่   บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) ร่วมกับ Kakao Bank ผู้ให้บริการธนาคารดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ และ WeBank ธนาคารดิจิทัลชั้นนำในจีน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB), บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) (OR) บริษัท Sea Group บริษัทแม่ Shopee จากสิงคโปร์ ร่วมกับ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (BTS) บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) (VGI) เครือสหพัฒน์ และไปรษณีย์ไทย เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (CP) โดยบริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด (ผู้ให้บริการ TrueMoney) ร่วมกับ Ant Financial Services Group ในเครือ Alibaba Lightnet Group ฟินเทคไทย จับมือกับ WeLab จากฮ่องกง สำหรับผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจะต้องเตรียมความพร้อม เพื่อให้สามารถเปิดดำเนินธุรกิจได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ หรือเริ่มให้บริการได้จริงภายในเดือนมิ.ย.2569 *การดำเนินกิจการในช่วงแรกของ Virtual Bank ธปท. ได้กำหนดให้ การดำเนินกิจการของ Virtual Bank ในช่วงระยะเวลา 3 - 5 ปีแรก (phasing) อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด โดย ธปท.จะสื่อสารและติดตามการดำเนินธุรกิจของ Virtual Bank อย่างใกล้ชิด ซึ่งในกรณีที่ Virtual Bank ผ่านการประเมิน จะสามารถออกจาก phasing เพื่อเข้าสู่การดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ (full-functioning) ได้ แต่ในกรณีที่ Virtual Bank ไม่ผ่านการประเมินในช่วง phasing ธปท. อาจพิจารณาให้ Virtual Bank เลิกกิจการและเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว. คลัง) พิจารณาเพิกถอน ใบอนุญาต Virtual Bank ได้ Virtual Bank ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วอย่างน้อย 5,000 ล้านบาท ณ วันเปิดดำเนินการ และทยอยเพิ่มทุนให้มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วอย่างน้อย 10,000 ล้านบาท ก่อนออกจาก phasing เพื่อเข้าสู่การดำเนินธุรกิจแบบ full-functioning ทั้งนี้เพื่อให้ Virtual Bank มีเงินทุนเพียงพอรองรับการขยายกิจการและการดำเนินงาน ที่อาจมีผลขาดทุนในช่วงเริ่มต้น ผู้ขอจัดตั้ง Virtual Bank จะต้องจัดทำ exit plan เพื่อรองรับกรณีที่ต้องเลิกกิจการ ในช่วง phasing โดยจะต้องมีกระบวนการดูแลผู้มีส่วนได้เสียของ Virtual Bank โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝากเงินได้อย่างเหมาะสมและทันการณ์ *Virtual Bankกระทบหุ้นแบงก์               นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.พาย เปิดเผยว่า เดิมทีธปท. จะให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Virtual Bank จำนวน 3 ราย แต่ด้วยมีผู้ยื่นขอรับใบอนุญาตดังกล่าวถึง 5 ราย ซึ่งถือว่ามีศักยภาพ มีความเชี่ยวชาญค่อนข้างมาก ก็คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ธปท. อาจเปลี่ยนเงื่อนไข หรือให้ใบอนุญาตฯ มากกว่าที่เคยระบุเอาไว้ ทั้งนี้ เบื้องต้นมองว่า การมาของ Virtual Bank อาจเกิด Sentiment ลบกับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น โดยเฉพาะด้านเงินฝาก ต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำกว่า เนื่องจากไม่มีสาขาและพนักงานสาขา อาจเสนออัตราดอกเบี้ยที่ดีขึ้น หรือค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าให้กับลูกค้า             ขณะที่กลุ่มสินเชื่อ เช่น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC), บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) (AEONTS) คาดกระทบจำกัด เนื่องจาก Virtual Bank น่ายังทำในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อได้ยาก โดยเฉพาะสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เป็นต้น ส่วนกลุ่ม Non-Bank คาดว่า ไม่โดนผลกระทบ เนื่องจากเป็นการปล่อยสินเชื่อทะเบียนรถเป็นหลัก อย่างไรก็ตามผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ยังต้องดูในระยะยาว 3-5 ปี ว่าผู้ประกอบธุรกิจ Virtual Bank จะอยู่รอดได้หรือไม่ เนื่องด้วยจุดแข็ง คือ ไม่ใช้พนักงาน ซึ่งมองเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงลูกค้า

แจงแล้ว! สาเหตุ KBANK จ่ายปันผลพิเศษ  เชอร์ไพร์ นักวิเคราะห์แค่ไหน? เช็กด่วน!

แจงแล้ว! สาเหตุ KBANK จ่ายปันผลพิเศษ เชอร์ไพร์ นักวิเคราะห์แค่ไหน? เช็กด่วน!

          หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล . ดาโอ ระบุว่า KBANK อนุมัติจ่ายเงินปันผลพิเศษอีก 2.50 บาทต่อหุ้น โดยจะ XD วันที่ 15 พ.ค. 25 (งวด 1H24 จ่ายไปแล้ว 1.50 บาทต่อหุ้น, 2H24=8.00 บาทต่อหุ้น XD 17 เม.ย. 25) (ที่มา: SET)            บล. ดาโอ มีมุมมองเป็นบวกต่อการเซอร์ไพร์จ่ายเงินปันผลพิเศษที่้เหนือความคาดหมาย ทำให้งวดปี 2024 จ่ายทั้งหมดที่ 12.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็น dividend yield ทั้งปี 2024 ที่ระดับ 8.1% (ใกล้เคียงกับ SCB ที่ 8.5%) และคิดเป็น Dividend payout ที่ 59% (มากกว่าเดิมที่ 46%)           โดยจากการสอบถาม IR พบว่า การจ่ายปันผลพิเศษที่ 2.50 บาทต่อหุ้นจะไม่ sustain เพราะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนอยู่แต่ KBANK พยายามที่จะบริหาร capital เพื่อที่จะทำให้เป็น double digit ROE (2025E คาด ROE ที่ 9%)            โดยยังคงคําแนะนํา “ซื้อ” KBANK และราคาเป้าหมายที่ 176.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (-1.00SD below 10-yr average PBV)

INET วางเป้าปี 68 รายได้แตะ 3.2 พันลบ. มุ่งสู่ Digital Life

INET วางเป้าปี 68 รายได้แตะ 3.2 พันลบ. มุ่งสู่ Digital Life

          หุ้นวิชั่น - บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย หรือ INET ตอกย้ำวิสัยทัศน์ผู้นำด้านนวัตกรรมและส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันเพื่อสร้างธุรกิจอย่างยั่งยืน เปิดแผนปี 2568 เดินหน้า สู่ Digital Life มุ่งยกระดับการให้บริการเพื่อให้วิถีชีวิตคนไทยดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย รับบริบทของโลกยุคใหม่ Digital Era พร้อมลงทุนวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องครอบคลุมระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง แพลตฟอร์ม และเครื่องมือดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสูงสุด วางเป้าหมายปี 2568 คาดการณ์รายได้ 3,200 ล้านบาท เติบโต 27% จากปีก่อน           นายวัลล์ชัย เวชชีวะดำรงค์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET  ผู้ให้บริการ Local Cloud Service และ Digital Platform Service เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “ผู้นำด้านนวัตกรรมและส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันเพื่อสร้างธุรกิจอย่างยั่งยืน” เพื่อพึ่งพาต่างประเทศให้น้อยลง โดยมีพันธกิจมุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เชื่อมโยงการวิจัยและพัฒนา โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุค 4.0 และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีแห่งนวัตกรรมภายในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เติบโตอย่างยั่งยืน           แผนธุรกิจปี 2568 บริษัทฯ เดินหน้าภายใต้กรอบ “Digital Life” มุ่งยกระดับการให้บริการเพื่อทำให้วิถีชีวิตของคนไทยดีขึ้นด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย สอดรับกับยุค Digital Era ซึ่งเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และเทคโนโลยีจะส่งผลกระทบการดำเนินชีวิตของคนในสังคม โดยจะให้บริการ 4 ด้าน ได้แก่ 1) การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อวัดคุณภาพชีวิตหรือศักยภาพของบุคคล (Life Scoring) 2) โปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือระบบที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI Assistant) เพื่อช่วยให้ทำงานสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น 3) การเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นอยู่ของบุคคล (Open Life Data) เพื่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง และ 4) การเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานต่างๆ (Domain Expert)           ทั้งนี้บริษัทฯ จะลงทุนวิจัยและพัฒนา 3 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เพื่อลดต้นทุนและลดการนำเข้าเทคโนโลยีทั้งจากซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์จากต่างประเทศ 2) การพัฒนาแพลตฟอร์มภายใต้ข้อมูลพื้นฐานที่อยู่บนคลาวด์ (Competing Platform Market) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน อาทิ การให้บริการ e-tax invoice, CA (Certificate Authority) และการสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติไทย (Nex Gen Commerce) 3) การพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลภายในบริษัทฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียรภาพของระบบภายในและลดกระบวนการทำงานด้วยตนเอง ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์รายได้ปี 2568 อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท เติบโต 27% จากปีก่อน จากการมีลูกค้าใช้บริการ 10,000 ราย และมีจำนวน VMIs 120,000 VMIs เติบโตกว่า 86%

ก.ล.ต. กล่าวโทษ

ก.ล.ต. กล่าวโทษ"จักรชัย สกุลเอกไพศาล" ต่อบก.ปอศ. กรณีปั่นหุ้น PK-TKT-PROS

              หุ้นวิชั่น - ก.ล.ต. กล่าวโทษนายจักรชัย สกุลเอกไพศาล ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กรณีสร้างราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายหุ้นของบริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) (PK) หุ้นของบริษัท ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (TKT) และหุ้นของบริษัทพรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (PROS) และแจ้งการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)               สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย ในเดือนกันยายน 2567 และดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม พบพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า นายจักรชัย ได้สร้างราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายหุ้น PK ในระหว่างวันที่ 10 – 11 เมษายน 2567 หุ้น TKT ในระหว่างวันที่ 24 – 25 เมษายน 2567 และหุ้น PROS ในระหว่างวันที่ 10 – 13 พฤษภาคม 2567 โดยมีพฤติกรรม เช่น ส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะผลักดันราคาให้ปรับตัวสูงขึ้น ส่งคำสั่งเสนอซื้อครองไว้หลายระดับราคาในลักษณะที่เป็นการขัดขวางการส่งคำสั่งเสนอซื้อของบุคคลอื่น รวมถึงส่งคำสั่งเสนอซื้อในช่วงก่อนเปิดหรือปิดตลาด โดยมุ่งหมายให้ราคาเปิดหรือราคาปิดของหลักทรัพย์ดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้น เป็นต้น ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาและ/หรือปริมาณการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ และมุ่งหมายให้ราคาและ/หรือปริมาณการซื้อหรือขายหุ้น PK TKT และ PROS ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด               การกระทำของนายจักรชัย เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 244/3 (1) และ (2) ประกอบบทสันนิษฐาน 244/5 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) ซึ่งมีระวางโทษตามมาตรา 296 มาตรา 296/1 และมาตรา 296/2 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษนายจักรชัย ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป               พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้แจ้งการดำเนินการตามข้างต้นต่อ ปปง. เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำอัน ไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน               ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว

EAยันปีนี้ไม่มีแผนออกหุ้นกู้ อนาคตเปลี่ยนแปลงจะแจ้ง

EAยันปีนี้ไม่มีแผนออกหุ้นกู้ อนาคตเปลี่ยนแปลงจะแจ้ง

           หุ้นวิชั่น -  EA ยันไม่มีแผนการออกหุ้นกู้ใด ๆ ในปี 2568 ตามที่มีการเผยแพร่ในข่าวสาร หากมีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการใด ๆ ในอนาคต จะดำเนินการแจ้งให้ผู้ถือหุ้นและผู้เกี่ยวข้องทราบโดยเร็วที่สุด            นาย วสุ กลมเกลี้ยง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ได้ออกหนังสือ ประกาศชี้แจงเกี่ยวกับกระแสข่าวการออกหุ้นกู้ของบริษัทว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวสารผ่านทางสื่อมวลชนและสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการที่คณะกรรมการของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ได้อนุมัติให้นำวาระการขอกรอบวงเงินจำนวน 10,000 ล้านบาท เข้าสู่ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นนั้น ทางบริษัทขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติมดังนี้            ทางบริษัทมีการนำเสนอวาระการขออนุมัติกรอบวงเงินจำนวน 10,000 ล้านบาท ต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นจริง อย่างไรก็ตาม วงเงินดังกล่าวเป็น กรอบวงเงินทั่วไป ที่บริษัทขออนุมัติเป็นประจำทุกปีเพื่อความสะดวกในการบริหารทางการเงิน ไม่ได้หมายความว่า ทางบริษัทจะดำเนินการออกหุ้นกู้ในจำนวนดังกล่าว ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2567) บริษัทเคยได้รับอนุมัติกรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท แต่ไม่ได้มีการออกหุ้นกู้หรือขอสินเชื่อใด ๆ ในปีดังกล่าวเช่นเดียวกัน ดังนั้น การขออนุมัติกรอบวงเงินจึงเป็นแนวปฏิบัติปกติของบริษัท เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัวหากมีความจำเป็นในอนาคต โดยไม่ต้องขออนุมัติใหม่ระหว่างปี และไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะออกหุ้นกู้ตามจำนวนเงินที่ขออนุมัติอย่างแน่นอน            ทางบริษัทขอยืนยันว่า ณ ขณะนี้ ยังไม่มีแผนการออกหุ้นกู้ใด ๆ ในปี 2568 ตามที่มีการเผยแพร่ในข่าวสาร หากมีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการใด ๆ ในอนาคต บริษัทจะดำเนินการแจ้งให้ผู้ถือหุ้นและผู้เกี่ยวข้องทราบโดยเร็วที่สุด

MEDEZE เป้ารายได้ New High ทะลุพันล. ทุ่ม 552 ลบ. ซื้อที่ดิน

MEDEZE เป้ารายได้ New High ทะลุพันล. ทุ่ม 552 ลบ. ซื้อที่ดิน

           หุ้นวิชั่น - “เมดีซ กรุ๊ป” ตั้งเป้ารายได้ปี 68 ทะลุ 1,000 ลบ. ทำ New High ต่อเนื่อง เดินหน้าขยายธนาคารเซลล์รากผม รุกต่างประเทศ ซื้อที่ดินเตรียมแผนระยะยาวสร้างธนาคารเซลล์แห่งใหม่ รองรับความต้องการขยายตัว หลังภาครัฐผลักดัน Stem Cell สู่ ATMPs            นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2568 โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตที่ระดับ 25-30% ทะลุ 1,000 ล้านบาท จากปี 2567 ที่มีรายได้รวม 897.22 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นรายได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องของบริษัท            โดยการเติบโตหลักๆของบริษัทจะมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์ต้นกำเนิดในประเทศ จากการเพิ่มขนาดทีมขาย เพิ่มพันธมิตรทางการค้าที่เป็นตัวแทนให้บริการ หรือ Dealer และตัวแทนจำหน่าย หรือ Agent ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการมาจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Stem Cell ได้มากขึ้น และกลุ่มบริษัทมีเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นบุคคลากรทางการแพทย์ รวมถึงสถานพยาบาลที่เพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจใหม่ MEDEZE Hair Renaissance ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมแห่งแรกในเอเชีย ที่ให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์รากผม ซึ่งเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายให้บริการลูกค้า 500 เคส ภายในปี 2568 และเพิ่มเป็น 5,000 เคส ภายในปี 2573            ในขณะเดียวกันบริษัทได้เดินหน้าในการขยายธุรกิจไบโอเทคโนโลยีในประเทศฟิลิปปินส์ ในการจัดตั้งธนาคารเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Cell Banking Biotechnology  ซึ่งประกอบไปด้วย ห้องปฏิบัติการด้านตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับความต้องการในการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดในฟิลิปปินส์ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ในอนาคต รวมถึงรายได้ธุรกิจที่ปรึกษาด้านธุรกิจจากต่างประเทศ และรายได้จากค่าสิทธิในการใช้แบรนด์สินค้า “MEDEZE” จากตัวแทนให้บริการในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง            สำหรับแผนในการขยายธุรกิจในระยะยาว บริษัทได้เครียมเตรียมสร้างธนาคารเซลล์ต้นกำเนิดแห่งใหม่ โดยได้ซื้อที่ดิน 30 ไร่ มูลค่า 552 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และรองรับการเติบโตในระยะยาว ตามความต้องการของตลาด Stem Cell ที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต ทั้งฐานลูกค้าชาวไทย และต่างชาติ ซึ่งได้รับปัจจัยเชิงบวกจากการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนธุรกิจเซลล์ต้นกำเนิดอย่างเต็มที่ และจัดให้อยู่ในกลุ่มนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือ ATMPs มีการประกาศแผนชัดเจนในการสนับสนุนธุรกิจเซลล์ต้นกำเนิดเป็นธุรกิจที่สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และบริษัทยังมุ่งเน้นในการพัฒนาระบบ AI อัจฉริยะ "MEDEZE Plus Auto Matching Software" เพื่อใช้ วิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียและพฤติกรรมของนักลงทุน ด้วยงบประมาณ 12 ล้านบาท โดยการพัฒนาระบบ AI นี้ จะช่วยให้ MEDEZE สามารถทำตลาดได้แม่นยำขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงนักลงทุนที่มีศักยภาพ [PR News]

ก.ล.ต.เปิดเฮียริ่งร่างประกาศข้อกำหนดผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์-สัญญาซื้อขายล่วงหน้าฯ

ก.ล.ต.เปิดเฮียริ่งร่างประกาศข้อกำหนดผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์-สัญญาซื้อขายล่วงหน้าฯ

             หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศเกี่ยวกับข้อกำหนดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ) ที่ไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้* ซึ่งรวมถึงการดูแลรักษาทรัพย์สิน และการรวบรวมและประเมินข้อมูลของลูกค้า (KYC) เพื่อให้ทรัพย์สินของลูกค้ามีความปลอดภัยและสามารถใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง              ตามที่ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์ข้อกำหนดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ ที่ไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้ การดูแลรักษาทรัพย์สิน และการรวบรวมและประเมินข้อมูลของลูกค้า เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม – 14 สิงหาคม 2567 โดยได้รับความเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ ก.ล.ต. จึงได้ทบทวนหลักการตามข้อเสนอแนะและนำหลักการดังกล่าวยกร่างประกาศพร้อมทั้งร่างเอกสารแนบท้ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทรัพย์สินของลูกค้ามีความปลอดภัยและสามารถใช้บริการธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่หลักเกณฑ์ไม่สร้างภาระเกินจำเป็นแก่ผู้ประกอบธุรกิจ ก.ล.ต. จึงเปิดรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศพร้อมทั้งร่างเอกสารแนบท้ายที่เกี่ยวข้อง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (1) ปรับปรุงข้อกำหนดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้ โดยมีลำดับการดำเนินการ เริ่มจากการระงับการให้บริการเฉพาะธุรกิจที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ การโอนทรัพย์สินและฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าไปยังผู้ประกอบธุรกิจรายใหม่ และการล้างฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (2) กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้โดยมีสาเหตุจากมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผู้ประกอบธุรกิจเก็บรักษาหรือปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่ารวดเร็ว สามารถขอผ่อนผันการจำกัดการประกอบธุรกิจเฉพาะส่วนของธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ โดยต้องแสดงได้ว่ายังมีสภาพคล่องเพียงพอให้สามารถประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ตามปกติ (3) เพิ่มข้อยกเว้นกรณีการโอนทรัพย์สินของลูกค้า โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้อง ขอความยินยอมจากลูกค้า สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถดำรงเงินกองทุนได้ การโอนตามคำสั่งที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายอื่น และการโอนที่เกิดจากผู้ประกอบธุรกิจประสงค์จะเลิกหรือโอนกิจการตามประเภทใบอนุญาต (4) เพิ่มข้อยกเว้นให้ผู้ประกอบธุรกิจที่รับโอนทรัพย์สินของลูกค้าสามารถให้บริการขายหลักทรัพย์และลดฐานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแก่ลูกค้าที่รับโอนมาดังกล่าวได้ ระหว่างที่ยังรวบรวมและประเมินข้อมูลของลูกค้า (KYC) ไม่แล้วเสร็จ ตามเงื่อนไขที่กำหนด              ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวบนเว็บไซต์ ก.ล.ต. https://www.sec.or.th/TH/Pages/PB_Detail.aspx?SECID=1063 และระบบกลางทางกฎหมาย http://law.go.th/listeningDetail?survey_id=NTA3OURHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ=  ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ หรือทาง e-mail: [email protected] และ [email protected] จนถึงวันที่ 16 เมษายน 2568

BRR ส่งซิกปี 68 โต ราคาน้ำตาลพุ่ง-ปริมาณอ้อยเข้าหีบเพิ่ม

BRR ส่งซิกปี 68 โต ราคาน้ำตาลพุ่ง-ปริมาณอ้อยเข้าหีบเพิ่ม

           หุ้นวิชั่น - บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์ หรือ BRR ชูธงธุรกิจน้ำตาลไปได้สวย จากราคาน้ำตาลที่ทรงตัวระดับสูง และค่าเงินบาทหนุน รวมถึงอินเดีย ตั้งรับสถานการณ์ภัยแล้ง คาดจำกัดการส่งออกน้ำตาล ดันราคาน้ำตาลโลกพุ่ง มั่นใจปี 68 เป็นปีที่ดีต่อเนื่องของ BRR จากปริมาณผลผลิตอ้อยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น หนุนปี 68 เป้ารายได้โตต่อเนื่อง คาดการณ์ปริมาณอ้อยเข้าหีบปีนี้อยู่ที่ 2.25-2.28 ล้านตัน            นายอดิศักดิ์  ตั้งตรงเวชกิจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR เปิดเผยว่า ในปีนี้คาดว่าปริมาณอ้อยเข้าหีบจะอยู่ที่ 2.25-2.28 ล้านตัน ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยแผนธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตต่อเนื่อง โดยราคาน้ำตาลทรายขาวทั้งในประเทศและในตลาดโลกยังคงทรงตัวระดับสูง และได้ปัจจัยหนุนจากประเทศผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ของโลกยังคงประกาศห้ามส่งออกน้ำตาล ส่งผลให้ปริมาณน้ำตาล (Supply) ยังมีแนวโน้มตึงตัว ส่งผลให้ดีมานด์ใช้น้ำตาล ยังทยอยเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่สอดคล้องกัน และอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทไทยที่ยังมีแนวโน้มทรงตัวอ่อนค่า ซึ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มสินค้าส่งออก            “ภาพรวมตลาดน้ำตาลโลกในช่วง 6 เดือน นับจากนี้จนถึงเดือนกันยายน คาดการณ์ว่าราคาเฉลี่ยน้ำตาลจะอยู่ที่ราว 18.50-20.00 เซนต์/ปอนด์ โดยมีปัจจัยบวกจากดีมานด์ในตลาดโลกที่มีมากกว่าซัพพลาย จากสภาวะอากาศของประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น บราซิล อินเดีย ไทย ที่แห้งแล้ง ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อผลผลิตอ้อย เป็นปัจจัยบวกที่มีผลต่อตลาด ส่วนปัจจัยลบก็มีเช่นกัน เช่น ประเทศบราซิล แม้จะมีความแห้งแล้ง แต่ผลผลิตต่อตันอ้อยเพิ่มขึ้น อาจทำให้อ้อยลดลง แต่ปริมาณน้ำตาลไม่ได้ลดลงตาม รวมถึงประเทศผู้ผลิตรายใหญ่หลายๆ ประเทศ มีการป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำตาลล่วงหน้าในราคาที่สูง อาจเป็นปัจจัยลบที่มีผลต่อตลาด แต่โดยภาพรวมมองว่ามีปัจจัยบวกมากกว่าปัจจัยลบ ทำให้ภาพรวมของราคาน้ำตาลในปีนี้ยังอยู่ในระดับที่ดี ส่งผลดีต่อ BRR” นายอดิศักดิ์ กล่าว             ทั้งนี้ บริษัทได้วางแผนการปลูกอ้อยปี 2567/2568 เพื่อรักษาค่าความหวานไว้ไม่ให้ต่ำกว่า 10 ซีซีเอส (CCS Commercial Cane Sugar) อีกทั้ง บริษัทได้กำหนดเป้าหมายการรับซื้ออ้อยสดให้เข้าสู่กระบวนการผลิตไม่ต่ำกว่า 90% ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการผลิตน้ำตาลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และช่วยลดต้นทุนการผลิตให้ลดต่ำลง นอกจากนั้น ยังช่วยลดการเกิดมลพิษทางอากาศและฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาอ้อยได้อีกด้วย

SQ พุ่ง 9% รับกฟผ. จ่อเซ็นงานเหมืองแม่เมาะ 7 พันลบ.

SQ พุ่ง 9% รับกฟผ. จ่อเซ็นงานเหมืองแม่เมาะ 7 พันลบ.

            หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (SQ) ปรับตัวขึ้น 9.09% หลัง นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ. อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนลงนามสัญญาจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะ สัญญาที่ 8/1 หลังคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ. ที่แต่งตั้งโดยกระทรวงพลังงานไม่พบการทุจริต และให้ กฟผ. พิจารณาดำเนินการตามความถูกต้องเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ รวมถึงรับความเห็นและข้อเสนอแนะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมาปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น             งานจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะ สัญญาที่ 8/1 นี้ ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนแม้สถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานจะคลี่คลาย แต่สถานการณ์สงครามยังมีความไม่แน่นอน ทำให้การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินของโรงไฟฟ้าแม่เมาะซึ่งมีต้นทุนต่ำที่สุดยังคงมีความจำเป็นเพื่อช่วยพยุงราคาค่าไฟฟ้าของประเทศ             โดยที่ผ่านมา กฟผ. ต้องนำถ่านหินภายใต้สัญญาเดิม (สัญญา 8 และ 9) มาใช้ก่อนกำหนดจนปริมาณถ่านหินครบก่อนสิ้นสุดสัญญา เพื่อรองรับการเลื่อนแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 8-11 และการนำโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4 กลับมาผลิตไฟฟ้าจนถึงปี 2568 เพื่อกระจายสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ และลดผลกระทบต้นทุนค่าไฟฟ้าของประเทศ เพราะหากปริมาณถ่านหินสำรองที่เตรียมไว้ใช้ในฤดูฝนหมดลงมีความเสี่ยงที่ต้องลดกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าแม่เมาะลง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการจ้างขุด-ขนดินและถ่านหินใหม่เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอสำหรับผลิตไฟฟ้าเต็มกำลังผลิตได้อย่างต่อเนื่อง             สำหรับ SQ ทาง กฟผ. ได้ประกาศให้เป็นผู้ชนะประมูลงานเหมา-ขุดดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะ สัญญาที่ 8/1 วงเงิน 7,170 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่ปี 2567-2571

RCL ลุยซื้อเรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ 4 ลำ มูลค่ารวม 1.2 หมื่นลบ.

RCL ลุยซื้อเรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ 4 ลำ มูลค่ารวม 1.2 หมื่นลบ.

           หุ้นวิชั่น - บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) (RCL) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ คร้ังที่2/2568 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 มีมติอนุมัติให้บริษัท ริจิแนล คอนเทนเนอร์ ไลน์ พีทีอี แอลทีดี (RCS) บริษัทย่อยในประเทศสิงคโปร์ที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 100 ซื้อเรือขนาด 11,000 ทีอียู จำนวน 2 ลำ และขนาด 4,400 ทีอียู เพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ลำ การสั่งต่อเรือขนาด 11,000 ทีอียู และ 4,400 ทีอียูเพิ่มเติมดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการพัฒนา กองเรือ ขยายการดำเนินงานสู่ตลาดใหม่ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายปัจจุบันของบริษัทฯ ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ แต่ยังรองรับความต้องการของตลาดเช่าเรือระยะยาว (Time Charter-Out) ซึ่งคาดว่าจะยังคงมีความต้องการในระดับสูง ทั้งนี้การลงทุนดังกล่าวถือเป็นการวางรากฐานที่มั่นคง เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ในอนาคต            ทั้งนี้เรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ขนาดบรรทุก 11,000 ทีอียู จำนวน 2 ลำ คาดว่าจะส่งมอบภายในปลายปี 2570 และเรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ขนาดบรรทุก 4,400 ทีอียู จำนวน 2 ลำ คาดว่าจะส่งมอบภายใน ปลายปี 2570 และต้นปี 2571 ตามลำดับ            สำหรับราคาเรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ขนาดบรรทุก 11,000 ทีอียู ลำละไม่เกิน 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4,259 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐฯ เท่ากับ 34.07 บาท) และเรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ขนาดบรรทุก 4,400 ทีอียู ราคาลำละ 59.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2,034 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐฯ เท่ากับ 34.07 บาท)

GRAND เป้ารายได้ 5,000 ล้าน เร่งกระจายการถือหุ้นของ ROH

GRAND เป้ารายได้ 5,000 ล้าน เร่งกระจายการถือหุ้นของ ROH

                 หุ้นวิชั่น –  แกรนด์ แอสเสทฯ เผยแผนปี 2568 ตั้งเป้ารายได้ 5,000 ล้านบาท จากธุรกิจโรงแรม 2,500 ล้านบาท และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2,500 ล้านบาท เร่งกระจายการถือหุ้นใน บมจ.โรงแรมรอยัล ออคิด (ROH) โดยผู้ร่วมลงทุน 6 รายใหม่ทั้งไทยและต่างชาติ สรุปผลภายในปลายเดือนนี้ พร้อมปรับแผนใหม่ พัฒนาคอนโดมิเนียมแบบไฮบริด ทั้งขายและให้เช่านาน 30 ปี ให้กับนักลงทุนต่างชาติ เป็นครั้งแรกของวงการ                  นายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 ว่า แกรนด์ แอสเสทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมของปีนี้ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากธุรกิจโรงแรม 2,500 ล้านบาท  และจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2,500 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจโรงแรม จะมีรายได้จากโรงแรม 4 แห่ง ได้แก่ เช่น รอยัล ออคิด เชอราตัน ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ, เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท, เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา และ เชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลล่า หลังจากได้ขายโรงแรมไฮแอท   รีเจนซี่ สุขุมวิท ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา  ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รายได้มาจาก 4 โครงการ ได้แก่ ไฮด์ สุขุมวิท 11, ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ, อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง และ ริเวอร์ เบย์ เจริญนคร คอนโดริมแม่น้ำเจ้าพระยา                  ธุรกิจโรงแรมปีนี้ รายได้หลักจะมาจากโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในปีที่ผ่านมา มีรายได้ 1,034 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ โดยปีนี้วางเป้ารายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท เฉพาะไตรมาสแรกปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้ 360 ล้านบาท เกินกว่าเป้าที่วางไว้ หรือเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อน  เป็นผลมาจากการปรับปรุงพื้นที่ห้องประชุมสัมมนา ให้เป็นพื้นที่จัดงานที่ครบครันด้วยเทคโนโลยีทันสมัยในบรรยากาศวิวแม่น้ำเจ้าพระยา  สามารถรองรับความต้องการของกลุ่ม MICE จากต่างประเทศ รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนโฉมร้านอาหารและบาร์ “สยามยอชท์คลับ” ทำให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นถึงกว่า 30% ในช่วงไตรมาสแรกของปี  ทั้งสองส่วนบริการนี้ จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเพิ่มรายได้ให้กับโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ อย่างต่อเนื่องในปีนี้                  “นอกจากนี้ บริษัท โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยังจะเร่งดำเนินการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยให้ครบถ้วน จากที่แกรนด์ แอสเสทฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 97% โดยขณะนี้มีผู้สนใจเข้ามาร่วมลงทุนรวม 6 ราย เป็นนักลงทุนต่างชาติ 3 ราย และบริษัทไทยอีก 3 ราย ซึ่งจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาในปลายเดือนนี้”                  ในส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทจะมีการปรับแผนพัฒนาคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ เป็นอสังหาริมทรัพย์รูปแบบไฮบริด คือจะมีทั้งห้องชุดเพื่อขาย และห้องชุดให้เช่าเป็นระยะเวลา 30 ปีขึ้นไป ในโครงการ ไฮด์ สุขุมวิท 11 คอนโดมิเนียมใกล้สถานีบีทีเอส นานา และ ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ คอนโดมิเนียมหรูใกล้สถานีบีทีเอส ทองหล่อ  โครงการร่วมทุนกับ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของวงการ ที่มีการพัฒนาคอนโดมิเนียมในรูปแบบไฮบริดดังกล่าวให้กับนักลงทุนต่างชาติ                  “บริษัทยังมีแนวทางในการลดภาระหนี้ต่อเนื่อง  โดยเฉพาะการชำระคืนหุ้นกู้ครบกำหนด ซึ่งปีที่ผ่านมา มีการคืนหุ้นกู้ไปแล้ว 4,800 ล้านบาท  และปีนี้มีแผนคืนหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดรวม 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการดำเนินธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งกระแสเงินสดจากการดำเนินกิจการ และจากเงินร่วมลงทุนในโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ”

BCH ยอดประกันสังคมเด้ง ทุ่ม 840 ล.ปรับโฉมโรงพยาบาล

BCH ยอดประกันสังคมเด้ง ทุ่ม 840 ล.ปรับโฉมโรงพยาบาล

             หุ้นวิชั่น – BCH ตั้งเป้ารายได้ปี 68 เติบโต 10% จับตาประกันสังคมฟื้น เล็งเพิ่มจำนวนผู้ประกันตนอีก 1.7% ทุ่มงบลงทุน 840 ล้านบาท ลุยปรับปรุงโรงพยาบาล-ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ เชื่อโรงพยาบาลใหม่ 3 แห่ง หนุนผลงานดีด เดินหน้ารับผู้ป่วยมัลดีฟส์เข้ารักษาเมษายนนี้              นางสาววิมลมาลย์ กฤษณะกลิน รองผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 11,832 ล้านบาท โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของยอดผู้ประกันสังคม หลังจากที่บริษัทเคยได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงค่าบริการกลุ่มผู้ป่วยโรคซับซ้อน (RW>2) ซึ่งปัจจุบันไม่เป็นปัญหาแล้ว ส่งผลให้รายได้จากกลุ่มผู้ประกันตนกลับสู่ภาวะปกติ พร้อมตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ประกันตนอีก 1.7% และคาดจะได้รับแรงหนุนจากโรงพยาบาลใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ คาดว่ารายได้หลักมาจากผู้ป่วยชาวกัมพูชา, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี รองรับกลุ่มผู้ป่วยประกันสังคมท้องถิ่นเพิ่มขึ้น และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์              สำหรับแผนขยายผู้ป่วยต่างชาตินั้นได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับมัลดีฟส์ โดยมีสถานทูตเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการส่งตัวผู้ป่วยเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล คาดว่าจะเข้ามาช่วงแรกเดือนเมษายนนี้ โดยที่ปี 2567 บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ 14%              บริษัทวางงบลงทุนปี 2568 จำนวน 840 ล้านบาท แบ่งเป็น ปรับปรุงโรงพยาบาล 360 ล้านบาท และการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์และบำรุงรักษา 480 ล้านบาท พร้อมกันนี้เตรียมเพิ่มจำนวนรถให้บริการผู้ป่วยเคลื่อนที่จาก 6 คัน เป็น 8 คัน เพื่อขยายการให้บริการไปยังต่างจังหวัด คาดว่าจะเริ่มให้บริการภายในเดือนมีนาคม 2568              นอกจากนี้บริษัทเตรียมขยายโรงพยาบาลเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สุวรรณภูมิ และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ระยอง คาดเปิดให้บริการในปี 2570 และปี 2571 ตามลำดับ บริษัทยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนเพื่อรองรับความต้องการด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น

เจาะกลยุทธ์หุ้นบ่าย คัด SCGP - PTTGC - IVL เด่น

เจาะกลยุทธ์หุ้นบ่าย คัด SCGP - PTTGC - IVL เด่น

             หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี เปิดกลยุทธ์การลงทุนภาคบ่าย คาด SET Index บ่ายนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,165 -1,180 จุด ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์เป็นบวก หุ้นจีนและฮ่องกงขึ้นแรงจะยังเป็นจิตวิทยาบวกต่อการลงทุนในภาค บ่ายผสานกับ Valuation ของตลาดหุ้นบ้านเราค่อนข้างถูก (deep value) จึงเป็นไปได้ที่ดัชนีจะปรับขึ้นต่อ กลยุทธ์เก็งกําไรหุ้น China play + Deep Value ที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก Top Pick บ่ายนี้ คือ SCGP, PTTGC และ IVL              ส่วนภาวะตลาดช่วงเช้า SET Index ปิดตลาดภาคเช้าเพิ่มขึ้น 12 จุด มี Technical rebound จากที่ร่วงแรงใน 2 วันก่อนหน้า ได้แรงซื้อหุ้นกลุ่ม China play คาดการจีนแถลงมาตรการ กระตุ้นการบริโภคในวันจันทร์นี้หนุนตลาดหุ้นจีนและฮั่งเส็งบวกแรงเป็นจิตวิทยาบวกหนุนหุ้น China play บวกแรงยกกลุ่ม นําขึ้นโดย PTT, SCC, PTTGC, IVL และ SCGP

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า Best Brand Performance on Social Media

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า Best Brand Performance on Social Media

             หุ้นวิชั่น - นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  ขึ้นรับรางวัล “Best Brand Performance on Social Media” สาขา Insurance & Assurance แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขากลุ่มธุรกิจประกันภัย (ประกันวินาศภัยและประกันชีวิต) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากงานประกาศรางวัลโซเชียลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย Thailand Social Awards ครั้งที่ 13  จัดขึ้นโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลตลาด เพื่อส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์  และให้ความสำคัญกับวงการโซเชียลที่เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวม ของประเทศ โดยมีนายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมแสดงความยินดี โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น  ณ ทรูไอคอน ฮอลล์  ไอคอนสยาม              โดยการมอบรางวัลในครั้งนี้เป็นการมอบให้กับแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย จากเกณฑ์การวัดผลตามมาตรฐาน WISESIGHT METRIC พัฒนาโดยไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) ซึ่งพิจารณา Social Metric for Brand ที่เป็นเกณฑ์การวัดประสิทธิภาพการสื่อสารของแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย โดยเก็บรวบรวมข้อมูลทางสถิติกว่า 2,500 แบรนด์ จากโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มหลัก และวัดประสิทธิภาพโดยใช้ปัจจัยสำคัญกว่า 70 ปัจจัย ทั้งในเชิงปริมาณ (Quantity) และเชิงคุณภาพ (Quality) เพื่อให้ได้ค่าชี้วัดประสิทธิภาพการสื่อสารของแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย (Social Metric Score) โดยคำนวณมาจากโซเชียลมีเดีย 2 ส่วนหลัก คือ ช่องทางหลัก Official Account ของแบรนด์ (Owned Media) และช่องทางโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ที่กล่าวถึงแบรนด์ เช่น สื่อ อินฟลูเอนเซอร์ หรือบุคคลทั่วไป (Earned Media) ซึ่งเก็บข้อมูลด้วยเครื่องมือ Zocial Eye โดยใช้คีย์เวิร์ดที่กล่าวถึงชื่อแบรนด์มากกว่า 15,000 คีย์เวิร์ด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนมากที่สุด

[ภาพข่าว] DTCENT ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 15-20% นิวไฮต่อ

[ภาพข่าว] DTCENT ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 15-20% นิวไฮต่อ

                  หุ้นวิชั่น - คุณอภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร ประธานกรรมการบริษัท, คุณทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่, คุณจิราพร ลายลักษณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานบัญชีและการเงิน และคุณสิทธิเดช ไผ่ตระกูลพงศ์ ระธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานเทคโนโลยีและบริษัทในเครือ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) ผู้นำ GPS Tracking อันดับ 1 ในไทยและระบบ IoT Solutions ร่วมนำเสนอผลการดำเนินงานประจำปี 2567 และแผนการดำเนินธุรกิจปี 2568 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน “Opportunity Day” ผ่านระบบ Video Conference โดยระบุว่า ในปี 2568 ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% นิวไฮต่อเนื่อง จากธุรกิจ GPS Tracking โดยมุ่งพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ส่วนงาน IoT Solutions และระบบ AI ยังเดินหน้าเข้าประมูลงานโครงการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

KSS ชูพิกัด GUNKUL 2.6 บ. ล็อกเป้าผลิตไฟ 2,000 MW

KSS ชูพิกัด GUNKUL 2.6 บ. ล็อกเป้าผลิตไฟ 2,000 MW

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า จากประชุมนักวิเคราะห์ เรามองมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อ GUNKUL โดยบริษัทฯ คงเป้าหมายการเติบโตรายได้ปี 25F ที่ 10-15% จากเป้าหมายกำลังการผลิตในระยะยาวที่ 2,000 MW (ปัจจุบัน 1,464 MW) อย่างไรก็ตามในระยะสั้น ทิศทาง Gross Margin ของงาน EPC ในปี 25F คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 18-20% ซึ่งต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 21% เนื่องจากมีสัดส่วนของงานที่มี Margin ต่ำกว่าเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันค่าใช้จ่าย SG&A คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าประมาณการเดิมของบริษัทฯ ทำให้เรามีการปรับลดประมาณการกำไรในปี 25-26F ลงเฉลี่ย 12% จากต้นทุนที่สูงกว่าคาดในระยะสั้น แม้ว่าราคาหุ้นจะลดลง -25% YTD และอยู่ในโซนราคาที่ค่อนข้างถูก (Value zone) ด้วย PER 25F ที่ 9x (-1SD) ซึ่งสะท้อนปัจจัยกดดันไปมากแล้ว แต่ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องติดตามความชัดเจนในบางประเด็น ได้แก่ 1) นโยบายการลดค่าไฟสำหรับโครงการที่ COD แล้ว แม้ว่าความเป็นไปได้จะยาก 2) การชะลอการเซ็น PPA สำหรับพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 ที่ยังไม่รวมในประมาณการของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" (Buy) ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 2.60 บาท/หุ้น. ประเด็นสำคัญ : เป้าหมายการผลิตในระยะยาว บริษัทตั้งเป้าหมายก าลังการผลิตในระยะยาวที่ 2,000 MW ภายในปี 2027F (ปัจจุบัน 1,464 MW) โดยมาจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศ การทำ Direct PPA ร่วมกับเอกชน และการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งในขณะนี้บริษัทกำลังศึกษาโอกาสเติบโตในตลาดโซล่าร์ในฟิลิปปินส์ เนื่องจากมีโอกาสการเติบโตสูง โดยมีความต้องการในตลาดกว่า 80 GW. การเติบโตรายได้ บริษัทคงเป้าหมายการเติบโตรายได้ในปี 25F ที่ 10-15% (ในขณะที่เราคาดการณ์ที่ 8%) โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การเติบโตจากธุรกิจ EPC & Trading ผ่าน Backlog ปัจจุบันที่ 3,800 ล้านบาท ซึ่งรวมทั้งงานสายส่งและโรงไฟฟ้าที่ได้รับคัดเลือกทั้งหมด 5,203 MW ที่จะเริ่ม COD ในปี 26F นอกจากนี้ยังจะมีการเพิ่มโซล่าร์พร้อมแบตเตอรี่ (Solar+BESS) ในกลุ่มลูกค้า Private PPA เพื่อเพิ่มรายได้จากฐานลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ประมาณ 15-20% ทิศทาง Gross Margin บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะรักษาระดับ Gross Margin ใกล้เคียงเดิมในปี 25F อย่างไรก็ตาม มาร์จิ้นจากกลุ่มธุรกิจ EPC อาจลดลงอยู่ในกรอบ 18-20% (จาก 22% ในปี 2024) เนื่องจากมีการเพิ่มสัดส่วนงานที่มี Margin ต่ำจากการทำโครงการขนาดใหญ่   แนวโน้ม SG&A คาดว่า SG&A ในปี 25F จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการลดต้นทุนบุคลากร โดยการวางระบบในกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนในการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 40 ล้านบาท แต่ SG&A โดยรวมยังคงสูงกว่าประมาณการเดิม   การ Roll-over หุ้นกู้และ LT-Loan : บริษัทวางแผนที่จะ Roll-over หุ้นกู้และ LT-Loan ในปี 25F รวมมูลค่า 1,842 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถลด Finance cost ได้ประมาณ 1%. ปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (IBD/E) ที่ 1.04 เท่า ซึ่งยังคงมีพื้นที่ในการก่อหนี้สำหรับ CAPEX ในปี 25-27F ที่ 12,000 ล้านบาท เพื่อการลงทุนโครงการเพิ่มเติม โดยยังคงอยู่ภายใต้ข้อตกลงที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 3 เท่า           ความเห็นและคำแนะนำ           เรามองสถานการณ์เป็นกลาง (Neutral) โดยบริษัทฯ คงเป้าหมายการเติบโตรายได้ในปี 25F ที่ 10-15% โดยอิงจากเป้าหมายการผลิตในระยะยาวที่ 2,000 MW (ปัจจุบัน 1,464 MW) ถึงแม้ว่าจะมีต้นทุนที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลให้เราปรับลดประมาณการรายได้ปี 25-26F ลงเฉลี่ย 12% โดยลด Gross margin ปี 25-26F ลง 70 bps และ 150 bps จากการปรับฐานของอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจากปี 24 เนื่องจากการรับงานโครงการขนาดใหญ่ที่มีมาร์จิ้นต่ำกว่าปกติจากธุรกิจ EPC                     ปรับเพิ่มค่าใช้จ่าย SG&A ปี 25-26F ขึ้น 15% เพื่อสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้นจากบุคลากร แม้ว่าบริษัทฯ จะตั้งเป้าหมายลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในปี 25F ประมาณ 40 ล้านบาท แต่ก็ยังคงมีสัดส่วนที่สูงกว่าประมาณการเดิมของเรา คาดว่ากำไรในไตรมาส 1 ปี 25F จะเติบโตเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (y-y) และทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (q-q) เนื่องจากบริษัทฯ จะยังคงได้รับประโยชน์จากธุรกิจ EPC & Trading ต่อเนื่อง รวมถึงคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าปีก่อน           เรายังคงคำแนะนำ "Buy" บนราคาเป้าหมายใหม่ (TP25F) ที่ 2.60 บาท โดยใช้วิธีการประเมินมูลค่าทั้งกลุ่ม (SOTP) ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจปัจจุบัน (โรงไฟฟ้า COD) มูลค่า 1.60 บาท ธุรกิจ EPC & Trading มูลค่า 0.43 บาท โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ มูลค่า 0.57 บาท เนื่องจากเรามีการปรับเพิ่มสมมติฐาน WACC สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็น 8.5% (จากเดิม 7.0%) และปรับลด PER สำหรับกลุ่มธุรกิจก่อสร้างลงเป็น 10 เท่า (จากเดิม 15 เท่า) โดยประมาณการและราคาเป้าหมายในปัจจุบันยังไม่รวม Upside จากการคัดเลือกพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างชะลอการเซ็น PPA เชิงกลยุทธ์ แม้ว่า GUNKUL จะยังคงเป็นบริษัทที่มีการเติบโตจากงาน EPC ในปี 25F (คาดกำไรปกติเติบโต 4%) และการเพิ่ม Capacity พลังงานหมุนเวียนในปี 26F (คาดกำไรปกติเติบโต 17%) แต่เราขอแนะนำให้ติดตามปัจจัยความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่อาจกระทบการลงทุน ได้แก่ นโยบายการลดค่าไฟ สำหรับโครงการที่ COD แล้ว ซึ่งโอกาสในการเกิดเป็นไปได้น้อย การชะลอการเซ็น PPA สำหรับพลังงานหมุนเวียนเฟส 2

RT เป้ารายได้ปี 68 โต 20% เดินหน้าประมูลงานอุโมงค์ทั่วไทย

RT เป้ารายได้ปี 68 โต 20% เดินหน้าประมูลงานอุโมงค์ทั่วไทย

                หุ้นวิชั่น - RT ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 20% รักษาอัตรากำไรขั้นต้นระดับ 12 – 15% มุ่งเน้นรับงานหลากหลาย งานระยะสั้น รับรู้รายได้เร็ว ควบคุมต้นทุนก่อสร้างเข้มงวด เพิ่มสภาพคล่องและความสามารถการทำกำไร ตุน Backlog 5,796 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าประมูลงานอุโมงค์ทั่วไทยมูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาท ด้านผลประกอบการปี 67 รายได้รวม 3,636 ล้านบาท กำไรสุทธิโต 78%                  นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านขุดเจาะอุโมงค์ วิศวกรรมโยธา และ ธรณีเทคนิคครบวงจร เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2568 คาดว่าจะเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20% รักษาอัตรากำไรขั้นต้นระดับ 12 – 15%                 บริษัทวางแผนเข้าประมูลงานโครงการก่อสร้างหลากหลาย รวมถึงการรับงานระยะสั้น รับรู้รายได้เร็ว ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และบริหารจัดการกระแสเงินสดได้ดีขึ้น ประกอบกับการวางแผนบริหารจัดการโครงการก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะต้นทุนวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงาน รวมถึงการวางแผนจัดซื้อวัสดุในปริมาณมาก เช่น การจัดซื้อโดยตรงกับผู้ผลิตในต่างประเทศ การทำสัญญาซื้อขายระยะยาวกับผู้ผลิตคอนกรีต เพื่อควบคุมต้นทุน ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ และเพิ่มความสามารถการทำกำไร                 ปัจจุบันบริษัทมีโครงการก่อสร้างในมือจำนวน 22 โครงการ และมีมูลค่างานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 5,796 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2571 ซึ่งการดำเนินงานก่อสร้างมีความคืบหน้าตามแผนที่วางไว้ และในบางโครงการสามารถดำเนินการได้เร็วกว่าแผนที่กำหนด โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการและชุมชนเป็นอย่างดี ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบโครงการได้ตรงตามเป้าหมาย                 นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเข้าร่วมประมูลโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ มูลค่ารวมประมาณ 13,000 ล้านบาท อาทิ งานก่อสร้างอุโมงค์ถนน กะทู้-ป่าตอง จ.ภูเก็ต (ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง), งานก่อสร้างอุโมงค์รถไฟทางคู่ ปากน้ำโพ-เด่นชัย, งานก่อสร้างอุโมงค์รถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงใหม่ และงานอุโมงค์นำสายไฟฟ้าลงใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญในการขยายสัดส่วนงานและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทต่อไป                 ทั้งนี้ ผลประกอบการปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 3,636 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,151 ล้านบาท จำนวน 485 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% และ มีกำไรสุทธิ 71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 40 ล้านบาท จำนวน 31 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 78% ส่วนผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 970 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 818 ล้านบาท จำนวน 152 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19% และมีกำไรสุทธิ 12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.42  ล้านบาท จำนวน 11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 745% ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากรับรู้รายได้งานก่อสร้างตามความคืบหน้าของงานในมือ รวมถึงสามารถบริหารต้นทุนงานโครงการอย่างมีประสิทธิภาพตามแผนที่วางไว้

PR News / WICE มั่นใจรายได้โต 15% ชู 5 กลยุทธ์สู่ผู้นำโลจิสติกส์

PR News / WICE มั่นใจรายได้โต 15% ชู 5 กลยุทธ์สู่ผู้นำโลจิสติกส์

              หุ้นวิชั่น - ไวส์ โลจิสติกส์ หรือ WICE เดินหน้าธุรกิจสร้างการเติบโตของรายได้ปี 2568 ไม่ต่ำกว่า 15% ชู 5 กลยุทธ์การดำเนินงานสู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรระดับภูมิภาค ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาความร่วมมือพันธมิตร เสริมแกร่งเครือข่ายการขนส่ง มั่นใจภาพรวมอุตสาหกรรมแนวโน้มดี เพิ่มโอกาสขยายธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ ตั้งเป้าหมายขนส่งสินค้าตลาดสหรัฐฯโต 27%               นายชูเดช คงสุนทร  กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ พร้อมด้วยนางสาวบุศรินทร์ ต่วนชะเอม ผู้อำนวยการกลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานช่วงไตรมาส 1/2568 โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร พร้อมเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายการเติบโตของรายได้ทั้งปี 2568 ไม่น้อยกว่า 15%               ทั้งนี้ บริษัทได้เดินหน้าการดำเนินงานตามกลยุทธ์สำคัญทั้งหมด 5 ประการ ได้แก่ “Green Logistics Services” หรือ การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินงานที่ใช้เทคโนโลยีและลดการใช้พลังงานในขั้นตอนการขนส่ง ทั้งการบริหารงานภายในบริษัทและบริษัทในเครือ รวมไปถึงซัพพลายเออร์และพันธมิตรทางธุรกิจ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายในการลดใช้คาร์บอนได้ 42% ภายในปี 2570               ประการที่สอง บริษัทให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงานและการให้บริการลูกค้า เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารงาน ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน และ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัท รวมไปถึงการยกมาตรฐานบริการให้มีความเป็นสากล และ สามารถตรวจสอบได้อย่างเรียลไทม์               “WICE มุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างบริษัทในเครือทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้ข้อมูลในการบริหารงานและพัฒนาประสิทธิภาพร่วมกัน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าบริษัทข้ามชาติ หรือ Multinational Company (MNCs) ในประเทศที่มีศักยภาพด้านความต้องการขนส่ง อาทิ สาธารณรัฐประชาชนจีน, ประเทศสิงคโปร์ และ ประเทศไทย อีกทั้งการพัฒนาความร่วมมือระหว่างบริษัท และ บริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETL ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน  เพื่อขยายเครือข่ายการให้บริการและเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในทุกกลุ่มประเทศที่อยู่ในพื้นที่บริการ” นายชูเดช กล่าว               นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายอย่างแข็งแกร่ง สู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการขนส่ง อาทิ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และ กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อสอดรับกับอัตราการเติบโตของตลาดอุตสาหกรรมทั่วโลกจากความต้องการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน WICE ยังคงมุ่งพัฒนาทรัพยากรบุคคล โดยจัดโครงการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะให้กับพนักงาน เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และ การขับเคลื่อนองค์กรด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง การจัดเก็บสินค้า และ พัฒนาโซลูชั่นการให้บริการลูกค้าในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นของบริษัท               “สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทต่อจากนี้ จะมุ่งเน้นการทำตลาดในภูมิภาคตะวันออกของทวีปเอเชีย และ สหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่าจะสถานการณ์โดยรวมจะมีความผันผวนในด้านภูมิรัฐศาสตร์ จากปัจจัยนโยบายทางการเมืองของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาที่มีการกีดกันทางการค้ากับประเทศจีน แต่เนื่องจากการเป็นประเทศขนาดใหญ่ และ มีความต้องการขนส่งอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าจะเป็นโอกาสที่ดีกับกลุ่มผู้ให้บริการขนส่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกฉียงใต้ สะท้อนได้จากตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ WICE ที่มีเครือข่ายการขนส่งที่แข็งแกร่งในระดับภูมิภาค คาดว่าจะสามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศดังกล่าวเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 27%” นายชูเดช กล่าวเพิ่มเติม               ขณะที่ ผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทมีรายได้ 4,099 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากปีก่อน และ มีกำไรสุทธิ 98 ล้านบาท ลดลง 40.5 % จากปีก่อน จากผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้บริษัทมีการขาดทุนในช่วงไตรมาส 4/2567 ประกอบการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายในการให้กู้ยืมเงินของบริษัท เอ็น-สแควร์ อีคอมเมิร์ซ จำกัด ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจบ (One-Time Expenses) อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อมั่นว่าจะมีแนวโน้มการดำเนินงานที่ดีขึ้น จากการปรับโครงสร้างภายในบริษัทย่อย รวมถึงการเตรียมแผนป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ การผันผวนของค่าเงินบาท [PR News]

SCC เทรดคึกคัก พุ่ง 6.82% ราคายัง Laggard-ลุ้นงบ Q1/68 ฟื้น

SCC เทรดคึกคัก พุ่ง 6.82% ราคายัง Laggard-ลุ้นงบ Q1/68 ฟื้น

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้นของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) (SCC) ปรับตัวขึ้นโดดเด่น หรือ บวก 6.82% มาอยู่ที่ 164.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 778,976 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.34 น.           นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) (UOBKHST) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของ SCC ที่ปรับตัวขึ้นมา คาดเป็นไปตาม Sentiments ตลาด และเป็นหุ้นที่ยัง Laggard อยู่ ประกอบกับในแง่ปัจจัยพื้นฐาน คาดว่าผลการดำเนินงานจะเห็นการฟื้นตัวในไตรมาส 1/68 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/67 เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมี ปิโตร spread PE, PP ฟื้น 2-5% qoq และ ธุรกิจของSCGP, SCGD คาดฟื้นตัวจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจซีเมนต์ ก็คาดว่าจะฟื้นตัวตาม volume ที่เพิ่มขึ้น แต่ราคาปูนซีเมนต์ ที่ขยับขึ้นมาตั้งแต่เดือนก.พ.68 คาดมีผลในไตรมาส 2/68           ทั้งนี้ล่าสุด SCC ได้มีการเปิดเผยถึงกลยุทธ์ในระยะสั้น และกลยุทธ์ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้           - กลยุทธ์ระยะสั้น การเงินแข็งแกร่ง           1.มุ่งรักษากระแสเงินสดให้แข็งแกร่ง ลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน หยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เพื่อสร้างความคล่องตัว รับมือทุกสถานการณ์           2.เมื่อเงินสดแข็งแกร่ง สามารถนำไปลดหนี้ และจ่ายเงินปันผลเพื่อดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกู้เงินเพิ่ม รวมทั้งสามารถลงทุนเมื่อมีโอกาสดี ๆ เข้ามา           3.รัดเข็มขัดงบลงทุนปี 2568 อยู่ที่ 30,000-35,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในกิจกรรมที่ได้ผลตอบแทนไว           4.ปี 67 EBITDA ยังอยู่ในระดับแข่งขันได้ แม้กำไรลดลง เพราะ SCG เพิ่งขึ้นโรงงานใหม่ LSP เวียดนาม จึงรับรู้ค่าเสื่อมราคาและกระทบกำไร แต่หากมองที่ EBITDA จะมั่นใจได้ว่าธุรกิจสร้างรายได้ได้ต่อเนื่อง           - กลยุทธ์ระยะยาว แข่งขันได้ยั่งยืน           ธุรกิจเคมิคอลส์ 5.โรงงานเวียดนาม LSP จะมีศักยภาพการแข่งขันสูงยิ่งขึ้น - จากการนำก๊าซอีเทนมาใช้เป็นวัตถุดิบ ทำได้เร็ว - ได้เปรียบต้นทุนวัตถุดิบ - คืนทุนไว เตรียมรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอนาคต           6.โรงงานไทย HVA เด่น - โรงงานปิโตรเคมีในไทยมีศักยภาพทำกำไร แม้อยู่ท่ามกลางวัฏจักรปิโตรเคมีชะลอตัว เนื่องจากมีนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง HVA ที่มีอัตรากำไรดี ปีนี้ผลักดันต่อเนื่อง รวมทั้งเดินหน้านวัตกรรมพลาสติกรีไซเคิล           ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง           7.กลุ่มซีเมนต์ ผู้นำนวัตกรรมก่อสร้างคาร์บอนต่ำ - ปัจจุบันสร้างกำไรได้ แม้ตลาดซบเซา เพราะได้เปรียบจากนวัตกรรมปูนคาร์บอนต่ำ ส่งออกได้หลายประเทศ รวมทั้งการปรับตัวเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาดมาต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนพลังงานลดลง กำลังเร่งขยายผลต่อเนื่อง           8.กลุ่มสมาร์ทลีฟวิง โซลูชันหลากหลาย - เร่งพัฒนา System การอยู่อาศัยใหม่ ๆ แบบครบวงจร และแตกต่างจากสินค้าจากจีน เช่น โซลูชันหลังคา หรือโซลูชันผนัง           ทิศทางปี 68           9.ปี 68 มีโอกาส จากโครงการก่อสร้างภาครัฐในไทยและอาเซียนเพิ่มขึ้น วัฏจักรปิโตรเคมีเริ่มทรงตัว ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง           10.SCG เข้มแข็งและปรับตัวรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมรับทุกสถานการณ์

AEONTS กำไรกลับมาโต 16.2% PBV ต่ำสุดรอบ 15 ปี -โอกาสสะสม

AEONTS กำไรกลับมาโต 16.2% PBV ต่ำสุดรอบ 15 ปี -โอกาสสะสม

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง AEONTS ว่า คาดว่ากำไรปกติในไตรมาส 4 ปี 2024 (4Q24) ของ AEONTS จะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แม้จะไม่มีการรับรู้กำไรจากการขายหนี้เสีย ซึ่งโดยปกติจะเกิดขึ้นใน 4Q24 และทำให้บริษัทบันทึกกำไรประมาณ 150-200 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเราประเมินกำไรปกติใน 4Q24 จะอยู่ที่ 714 ล้านบาท ลดลง 34.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY) จากฐานที่สูงใน 4Q23 ซึ่งมีการโอนกลับสำรองจำนวนมาก หลังจากปรับเกณฑ์การคำนวณวันค้างชำระหนี้ของลูกหนี้ ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนการตั้งสำรอง (PPOP) คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY) แม้ว่าจะไม่มีการขายหนี้เสีย และคาดว่าจะโตขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เนื่องจากบริษัทมีการตั้งสำรองที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่บริษัทเร่งการตั้งสำรองเป็น Management Overlay และเริ่มพิจารณาการโอนกลับสำรอง การเติบโตของสินเชื่อคาดว่าจะกลับมาขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) โดยในช่วงนี้มีความต้องการสินเชื่อเพื่อการบริโภคสูงกว่าปกติ ส่วนอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (NIM) คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10 bps จากไตรมาส 3 ปี 2024 (3Q24) หลังจากที่ต้นทุนทางการเงินเริ่มทรงตัว และสัดส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าสินเชื่อบัตรเครดิต                เรามีการปรับประมาณการกำไรปี 2024 ลงเล็กน้อยที่ 4.6% หลังจากที่บริษัทได้เลื่อนการขายหนี้เสียให้กับ AMC ไปเป็นไตรมาส 1 ปี 2025 เนื่องจากราคาประมูลขายไม่ดึงดูดนัก ส่วนปี 2025 เราปรับประมาณการลง 1% เพื่อสะท้อนถึงแนวโน้มอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (NIM) ที่จะลดลงเล็กน้อย และการประมูลขายหนี้เสียที่อาจจะได้ราคาที่ต่ำลง ทำให้ภายใต้ประมาณการใหม่ของเราคาดว่า AEONTS จะมีกำไรปกติในปี 2024 ที่ 2,755 ล้านบาท ลดลง 15.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY) ก่อนที่กำไรจะกลับมาเติบโต 16.2% ในปี 2025 ปัจจัยที่หนุนการเติบโตในปี 2025 ได้แก่: 1) การขยายสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ NIM ปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะยังคงใกล้เคียงเดิมที่ 5% YoY (เรา คาดเติบโต 3.9% YoY) 2) การตั้งสำรองที่คาดจะปรับลงต่อเนื่อง เนื่องจากลูกหนี้มีความสามารถในการชำระหนี้สูงขึ้น จากทั้งมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ รวมถึงการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่จะดีขึ้นจากผลของมาตรการดังกล่าวในเฟสถัดๆ ไป                นอกจากนี้ยังได้รับผลบวกจากมาตรการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ ทำให้คาดว่า Credit Cost ของ AEONTS จะลดลง 30 bps เมื่อเทียบกับปี 2024. ราคาหุ้น AEONTS ปัจจุบันซื้อขายที่ PBV ปี 2025 เพียง 0.9 เท่า ซึ่งต่ำที่สุดในรอบกว่า 15 ปี ขณะที่ ROE คาดว่าจะทยอยปรับตัวดีขึ้น ซึ่งสะท้อนว่า AEONTS กำลังซื้อขายด้วย Valuation ที่ต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต นอกจากนี้ แนวโน้มกำไรสุทธิของบริษัทคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี                อีกทั้ง AEONTS ยังได้เข้าร่วมโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ซึ่งเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลุ่มเสี่ยงมีโอกาสกลับมาชำระหนี้ แม้จะลดดอกเบี้ยให้ 10% แต่บริษัทจะได้รับการชดเชยจาก Soft Loan ซึ่งช่วยลดดอกเบี้ยจ่ายและทำให้การตั้งสำรองลดลงมากกว่าคาด ในช่วงสั้นยังมีประเด็นเก็งกำไรหาก ธปท. มีมติเลื่อนการปรับขึ้นอัตราการชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตไปอีก 1 ปี (จากเดิมจะเพิ่มจาก 8% เป็น 10% ในปี 2026) ดังนั้น เราจึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยราคาหุ้นมี Upside 34.4% จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2025 ที่ 137 บาท และคาดว่าจะจ่ายปันผลในครึ่งหลังปี 2024/2025 หุ้นละ 2.55/5.12 บาท คิดเป็น Div. Yield 2.5%/5% ตามลำดับ.

AGE มุ่งธุรกิจสู่ Green Business หนุนเป้ารายได้ปี 68 แตะ 1.7 หมื่นลบ.

AGE มุ่งธุรกิจสู่ Green Business หนุนเป้ารายได้ปี 68 แตะ 1.7 หมื่นลบ.

              หุ้นวิชั่น - นางสาวปณิตา ควรสถาพรรองกรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วย นายลิขิต เลาบวรเศรษฐี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน และนางสาวพิมญาดา ควรสถาพร ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด  บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี “AGE” ร่วมนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ ภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัทฯ ประกาศเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Green Business ตอบโจทย์การสร้างอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน หลังจัดโครงสร้างธุรกิจดึง ABM มาเป็น flagship ใหม่ของกลุ่มบริษัทฯ พร้อมรุกธุรกิจ EV สร้างมูลค่าเพิ่ม เล็งเปิดให้บริการโชว์รูมรถไฟฟ้า 5 แห่ง และแท็กซี่ EV ปล่อยเช่า 150 คันภายในปีนี้ หนุนเป้ารายได้ปี 2568 แตะ 17,000 ล้านบาท

MASTER ผนึก กรวิน เปิด “KRM Plastic Surgery Hospital”

MASTER ผนึก กรวิน เปิด “KRM Plastic Surgery Hospital”

                              หุ้นวิชั่น - นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) MASTER นายแพทย์กรวิน ศิริโรจนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรวิน โฮลดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด, นายมานิต โทแสง (ซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรวิน โฮลดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ถ่ายภาพร่วมกันภายหลังเสร็จสิ้นพิธีการเปิดโรงพยาบาล “KRM Plastic Surgery Hospital” โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งเคอาร์เอ็ม ขอนแก่น ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรใหญ่สุดแห่งแรกในภาคอีสานตอนกลาง ทั้งนี้ งานจัดขึ้น ณ โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งเคอาร์เอ็ม จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

MOSHI เปิดตัวคอลเลกชั่น 4 ลายลิขสิทธิ์สุดคิวท์ ดันยอดขายพุ่ง

MOSHI เปิดตัวคอลเลกชั่น 4 ลายลิขสิทธิ์สุดคิวท์ ดันยอดขายพุ่ง

             หุ้นวิชั่น - ‘บมจ. โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น’ หรือ MOSHI ผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ 4 ลายลิขสิทธิ์สุดคิวท์ ‘Toy Story’, ‘Chip n Dale’ ภายใต้ลิขสิทธิ์ Disney และ ‘Capybara’, ‘Sloth’ ที่ร่วมคอลแลปส์กับ Monsty Planet ศิลปินครีเอเตอร์ชาวไทย ชูคอนเซ็ปต์สินค้าไลฟ์สไตล์ในราคาเข้าถึงได้ ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมจัดเต็มสินค้า หวังผลักดันยอดขายในไตรมาส 1/2568              นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจค้าปลีกที่มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบเป็นเลิศ โดดเด่นด้วยความน่ารัก ประณีต คุณภาพดี ในราคาที่ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ เพื่อส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าในทุกๆ วัน ภายใต้การนำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายครอบคลุมทั้งของใช้ในบ้าน ตุ๊กตา เครื่องเขียน เครื่องแต่งกาย กระเป๋า แฟชั่น อุปกรณ์เสริมความงาม เครื่องสำอาง อุปกรณ์ IT ของเล่น ขนม อุปกรณ์สัตว์เลี้ยง และหมวดอื่นๆ ที่นำเสนอสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยมตามความต้องการของผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายหลักอายุ 18-25 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาและคนทำงาน รวมถึงกลุ่มเป้าหมายรองอายุ 13-17 ปี และวัยทำงานอายุ 26-34 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีแนวทางการทำธุรกิจที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric Based) โดยได้ศึกษาความต้องการของลูกค้า แล้วนำมาปรับปรุงพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ทำให้ MOSHI โดดเด่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของตลาด มีความคล่องตัวในการปรับตัวตามเทรนด์ พร้อมด้วยศักยภาพทางการตลาดที่โดดเด่นส่งผลให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม              ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ผ่าน 4 คาแรคเตอร์ ได้แก่ “Toy Story” (ทอย สตอรี่) “Chip n Dale” (ชิป กับ เดล) ภายใต้ลิขสิทธิ์ Disney คาแรคเตอร์ยอดนิยมในการ์ตูน Disney ซึ่งตัวละครทุกตัวมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่าง มีเอกลักษณ์ชัดเจน ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนทุกเพศทุกวัย และ “Capybara”(คาปิบารา) “Sloth” (สลอธ) ภายใต้แบรนด์ Monsty Planet (มอนสตี้ แพลนเน็ท) ซึ่งเป็นการกลับมาร่วมกับศิลปินครีเอเตอร์ชาวไทย 'คุณนัท-ณัชณิชา แก้วมังกร' นักวาดภาพประกอบสาวเจ้าของลายเส้นสุดน่ารัก พร้อมพัฒนาสินค้าออกมาวางจำหน่ายแบบหลากหลาย ครอบคลุมความเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ ดีไซน์สวย คุณภาพดี ราคาย่อมเยา เข้าถึงได้ง่าย              สำหรับคอลเลกชันใหม่ 4 คาแรคเตอร์ มีสินค้าจัดเต็มมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Home Furnishing, Bags, Stationery, Plush Toys เป็นต้น โดยวางเป้าขยายฐานลูกค้าทุกช่วงวัย เริ่มจัดจำหน่ายที่ร้าน Moshi Moshi ทุกสาขาทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ของ Moshi Moshi: Shopee Lazada TikTok ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สามารถติดตามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Moshi Moshi: https://www.facebook.com/moshimoshi.jp อย่างไรก็ตาม คาดว่าคอลเลกชันดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนยอดขายในไตรมาส 1/2568 อย่างมีนัยสำคัญ              นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จัดโปรโมชันพิเศษ เพียงซื้อสินค้าครบ 399 บาทขึ้นไป รับสิทธิ์แลกซื้อกระเป๋าเดินทางพับได้ (Travel Buddy Foldable Bag) ในราคา 49 บาท สินค้ามีจำนวนจำกัด เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 - 21 มีนาคมนี้ หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

'เอเซียพลัส'คัด 3 หุ้นเด่น เลี่ยงส่งออก - เช็กเลย!

'เอเซียพลัส'คัด 3 หุ้นเด่น เลี่ยงส่งออก - เช็กเลย!

                หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล. เอเซียพลัส คาดตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงราว 1.3%-2.0% จากหลายปัจจัยกดดัน เช่น สงคราม การค้ามีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น, ความเสี่ยง GOVERNMENT SHUTDOWN สหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้น, สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนส่อแววยืดเยื้อ เป็นต้น ซึ่งน่าจะเป็น แรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ตัวเลข PPI สหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำคาด และต่ำกว่าเดือนก่อนหน้า ทำให้ FED WATCH TOOL คาด FED จะเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรก ในการประชุมรอบวันที่ 18 มิ.ย. 68 ด้วย ความน่าจะเป็น 71%(เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า) และอาจเกิดขึ้น 2-3 ครั้งในปีนี้ (เดิม คาด 1 ครั้ง) นับถอยหลัง 19 วัน ก่อนสหรัฐฯ สหรัฐฯ จะมีการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ (RECIPROCAL TARIFFS) จากทุกประเทศ ในวันที่ 2 เม.ย. 68 สภาหอการค้าไทยฯ คาดว่า สหรัฐฯ จะพิจารณาเป็นรายประเทศที่มีการเกิด ดุลการค้าสหรัฐฯ พร้อมประเมินว่าจะมีราว 50 ประเทศ และอาจมีบ้านเราติดอยู่ด้วย และเนื่องด้วยไทยพึ่งส่งออกสูงทำให้ “เศรษฐกิจไทย” มีความเสี่ยงมากขึ้น ในการหลีกเลี่ยงแรงกระแทกของ TRADE WAR 2 ด้าน ม.หอการค้าไทย คาดว่าจะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยลดลงราว -0.30% ของ GDP TOP PICK เลือก BDMS, ADVANC และ CPAXT

BCH พ้นจุดต่ำสุด เช็กเป้า - คลิกเลย!

BCH พ้นจุดต่ำสุด เช็กเป้า - คลิกเลย!

                             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ ถึง BCH ว่า แนวโน้มเป็นบวกหลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน ไตรมาส 4 ปี 2567 หลังจากที่บริษัทประกาศผลประกอบการ ไตรมาส 4 ปี 2567 ออกมาแล้ว เรามั่นใจว่ากำไรของบริษัทผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วจากปัจจัยลบต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ ได้แก่ 1.รัฐบาลคูเวตไม่ส่งผู้ป่วยมาใช้บริการ 2.ผลกระทบจากการที่สำนักงานประกันสังคม (SSO) ลดค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อน และ 3.ปัจจัยฤดูกาล โดยประเด็นสำคัญที่น่าสนใจของ BCH มีดังนี้ ประเด็นการรักษาที่มีต้นทุนสูง เราคิดว่าความเสี่ยงจากการที่ SSO อาจจะลดอัตราการจ่ายค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อนจบไปแล้ว เพราะคณะกรรมการด้านการแพทย์ของ SSO มีมติให้การันตีอัตราการจ่ายที่ 12,000 บาทตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 ทั้งนี้ ผลกระทบจากการลดอัตรา ค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อนลง (จาก 12,000/RW เหลือ 8,000 บาท) กระทบกับรายได้จากกลุ่ม SSO อย่างมีนัยสำคัญถึง 245 ล้านบาท แต่หากตัดรายการนี้ออกไป รายได้จาก SSO จะเพิ่มขึ้น 7.1% YoY จากที่เพิ่มขึ้นเพียง 1% YoY ในปี 2567 สำหรับแนวโน้มในปี 2568F รายได้จาก SSO ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากประเด็นค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อนอีก และคาดว่าจะคิดเป็น 33% ของรายได้รวม ประเด็นคูเวต หลังจากที่ขอรายการราคาค่ารักษาจาก WMC มาหลายเดือนรัฐบาลคูเวตยังไม่ส่งผู้ป่วยชาวคูเวตกลับมาใช้บริการของ WMC ยกเว้นผู้ป่วยที่ชำระค่ารักษาเองอย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้จะกลับมาหรือไม่หลังเทศกาลรอมฎอน เรามองว่าหากผู้ป่วยชาวคูเวตกลับมาใช้บริการจะทำให้ประมาณการกำไรของเรามี upside เพราะเราไม่ได้คาดว่าจะมีรายได้จากส่วนนี้ ผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลที่เปิดใหม่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง BCH เปิดโรงพยาบาลใหม่สามแห่ง (เกษมราษฏร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ, เกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี และเกษมราษฏร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันท์) ตั้งแต่ช่วงปี 2563-2564 ซึ่งคาดว่าทั้งสามแห่งน่าจะถึงจุดคุ้มทุน หรือเริ่มทำกำไรได้ในปี 2568 เพราะมีเพียงเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรีที่มีผลขาดทุนในระดับ EBITDA 29.3 ล้านบาทในปี 2567 คงประมาณการโดยคาดว่ากำไรปี 2568F จะโต 23.2% YoY และปี 2569F จะโต 19.5% YoY เรามองบวกกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอีกสองสามปีข้างหน้า โดยจะได้แรงหนุนจาก 1.รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากทั้งผู้ป่วยที่ชำระเงินสดและผู้ป่วยประกันสังคม และ 2.ผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของโรงพยาบาลใหม่สามแห่ง นอกจากนี้เรายังไม่คิดว่าจะมีปัจจัยลบ (การจ่ายค่า ค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อน) มากระทบกับประมาณการของเรา ดังนั้นเราจึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568F เอาไว้ที่ 1.58 พันล้านบาท (+23.2% YoY) และปี2569F ที่ 1.89 พันล้านบาท (+19.5% YoY)                Valuation &amp; Action ถึงแม้ว่าราคาหุ้น BCH จะเพิ่มขึ้น 16% จากที่เราแนะนำไว้ก่อนหน้านี้ เรายังคงมองบวกกับประเด็นการพลิกฟื้นของบริษัทในปี 2568F ดังนั้น เรายังคงคำแนะนำซื้อโดยประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2568 ที่ 21.50 บาท (WACC ที่ 7.5% และ TG ที่ 3.0%) นอกจากนี้                เรายังเลือก BCH เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มนี้

ฟินันเซีย ชู ERW หุ้นเด่น นทท.หนุน - เป้า 6.2 บ.

ฟินันเซีย ชู ERW หุ้นเด่น นทท.หนุน - เป้า 6.2 บ.

                   หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดแนวโน้มตลาดวันนี้ SET Index จะแกว่งตัวในลักษณะ Sideways to Sideways Down ผันผวนในกรอบ 1,150-1,170 จุด โดยบรรยากาศการลงทุนยังไม่สดใสนัก แม้ตัวเลขเงินเฟ้อ PPI สหรัฐฯ เดือนกุมภาพันธ์จะออกมาต่ำกว่าคาด (Flat m-m) แต่ยังคงถูกกดดันจากประเด็นการค้าระหว่างประเทศ โดยทรัมป์ขู่เก็บภาษีแอลกอฮอล์จากยุโรป 200% หากอียูไม่ยกเลิกการเก็บภาษีวิสกี้ของสหรัฐฯ ทำให้ตลาดตอบรับเชิงลบต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่อาจเพิ่มขึ้นจากการตอบโต้ดังกล่าว รวมถึงในอนาคตหากสหรัฐฯ เริ่มเก็บ Reciprocal Tariff กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ส่งผลให้ยังมีแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงสูง และไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงต่ำและปลอดภัย เช่น พันธบัตร และโดยเฉพาะทองคำที่พุ่งขึ้นเฉียด US$3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้านสงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้จะยังไม่บรรลุข้อตกลงหยุดยิง แต่คาดว่ายังมีโอกาสเห็นพัฒนาการจากการพูดคุยกันในอนาคต                    โดยรวม ดัชนียังฟื้นตัวได้จำกัด แม้จะปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าการฟื้นตัวอาจยังไม่กว้างนัก แม้จะปรับตัวลงถึง 17% YTD แต่คาดว่าหุ้นในกลุ่ม Domestic Defensive และ Tourism-Related Play น่าจะยังมีแนวโน้มปรับตัวดีกว่า Global-Related Play ที่ถูกกระทบจากความเสี่ยงของต่างประเทศ ส่วนการมาของกองทุน Thai ESG Extra คาดว่าจะช่วยลดแรงขาย LTF ที่ค้างอยู่ได้บางส่วน กลยุทธ์การลงทุน ยังเน้น Selective Buy ในหุ้นที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งในปี 2025 และมี Valuation ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นเด่นเดือนมีนาคม BA, BTG, CPALL, MTC, PR9 FSSIA Portfolio BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR หุ้นเด่นวันนี้: ERW                    แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% ในปี 2025 โดยการดำเนินงานล่าสุด 1Q25TD ยังแข็งแกร่งจากทั้ง Occupancy Rate และ ADR โดยคาดว่ารายได้จะเติบโต 10% y-y สอดคล้องกับเป้าหมายทั้งปี เราคาดการณ์ว่ากำไรปี 2025 จะเติบโตต่อเนื่องเป็น 940 ล้านบาท โดยปัจจุบันมี Upside ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้าน Valuation ยังคงน่าสนใจมาก โดย Market Cap ปัจจุบันต่ำกว่าช่วงปี 2019 ขณะที่กำไรสูงกว่าปี 2019 ถึง 80-90% แนวรับ 3.10//3.00 บาท แนวต้าน 3.30//3.38 บาท Fund Flow                    วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่องอีก US$1,208 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$751 ล้าน ตามด้วยเกาหลีใต้ US$389 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนมีเม็ดเงินไหลออกสูงสุดที่อินโดนีเซียและไทย US$55 ล้าน และ US$28 ล้าน ตามลำดับ แต่ไหลเข้า ฟิลิปปินส์และเวียดนามเล็กน้อย แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะมีโอกาสไหลออกต่อเนื่อง โดยยังคงถูกกดดันจากการตอบโต้ทางภาษีการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ กดดันให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ประเด็นสำคัญวันนี้                    กลุ่ม Contractor ราคาหุ้น CK, STEC ที่ปรับลงวันนี้คาดว่ามาจากข่าวร้านค้าวัสดุก่อสร้างประกาศปรับเพิ่มราคาปูนซีเมนต์ 20% จากการสอบถามทางบริษัทพบว่าสัดส่วนของการใช้คอนกรีตของ CK คิดเป็น 3-4% และ STEC คิดเป็น 2% ของต้นทุนรวม ขณะที่งานในมือส่วนใหญ่สามารถล็อกราคาได้ล่วงหน้าถึง 2-3 ปี จึงมองว่าไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนผู้รับเหมาฐานราก เช่น SEAFCO, PYLON ไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากเป็นงานระยะสั้น และมีการล็อกราคาทั้งโครงการตั้งแต่วันทำสัญญา                    SEAFCO มี Backlog ปัจจุบันที่แข็งแกร่งแตะ 2.6 พันล้านบาท และหากรวมอีก 1 โครงการที่ได้รับและอยู่ระหว่างรอ EIA ราว 300 ล้านบาท จะช่วยหนุนให้ Backlog อยู่ที่ระดับ 2.9 พันล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุด  ในรอบ 6 ปี นอกจากนี้ ผู้บริหารตั้งเป้ารับงานใหม่ในระหว่างปีอีกราว 500-600 ล้านบาท สำหรับประเด็นราคาปูนซีเมนต์ที่ปรับสูงขึ้น มองว่าไม่กระทบ คงคาดการณ์กำไรปี 2025 ที่ 148 ล้านบาท ฟื้นตัวเด่นจาก 1 ล้านบาทในปี 2024 คงราคาเป้าหมาย 2.80 บาท แนะนำ "ซื้อ"                    TTB คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2025-26 ทรงตัว y-y แม้บริษัทจะใช้ประโยชน์ทางภาษี แต่สินเชื่อที่หดตัวกว่า 10-16% ในช่วงปี 2024-25 จะทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2025-26 ลง 6-15% จากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงตามสินเชื่อที่หดตัว และค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่สูงขึ้น หลังการปรับประมาณการ ทำให้ ROE ลดลง เราจึงลดราคาเป้าหมายเป็น 2.05 บาท และปรับลดคำแนะนำเป็น "ถือ"                    CBG ส่วนแบ่งตลาดเดือนมกราคมลดลง เนื่องจากไม่ได้ทำโปรโมชั่น แต่จะกลับมาขึ้นอีกครั้งในเดือนมีนาคมหลังจากเริ่มทำโปรโมชั่นใหม่ ส่วนรายได้ที่เกี่ยวข้องกับสุราขาวหอมยังคงเติบโตต่อเนื่อง แต่รายได้ส่งออกอาจอ่อนตัวลง 5% q-q จากกัมพูชาเป็นหลัก ส่งผลให้รายได้รวม 1Q25 อาจอ่อนตัว q-q แต่ยังเติบโต y-y อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรสุทธิ 1Q25 จะเติบโตทั้ง q-q และ y-y เบื้องต้นเราคาดการณ์ไว้ที่ราว 900 ล้านบาท โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นจากต้นทุนน้ำตาลและต้นทุนเศษแก้วที่ลดลง แนวโน้มกำไร 1Q25 ยังคงดี และต้องติดตามการแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดต่อไป รวมถึงการฟื้นตัวของตลาดต่างประเทศที่คาดหวังจะกลับมาเติบโตใน 2Q25 คงประมาณการกำไรปี 2025 +12.5% y-y ราคาเป้าหมาย 88 บาท แนะนำ "เก็งกำไร"                    RBF ตั้งเป้ารายได้ปี 2025 เติบโต 10-15% y-y มาจากตลาดในประเทศ 8-10% y-y และต่างประเทศเติบโตมากกว่า 20% โดยรายได้ที่เติบโตจะมาจากกลุ่ม Food Coating เป็นหลัก สมมติฐานรายได้ปี 2025 ของเราคาดว่า +8.9% y-y ต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัท โดยคาดว่ากำไร 1Q25 จะโตต่อเนื่อง q-q และเริ่มกลับมาเติบโต y-y ได้ใน 2Q25 เป็นต้นไป คงคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2025 เติบโต 16% y-y ราคาเป้าหมาย 6.70 บาท แนะนำ "ซื้อ"

ASL คาด SET 'Sideway Down' ชู Stock Pick - MINT เด่น

ASL คาด SET 'Sideway Down' ชู Stock Pick - MINT เด่น

                  หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด คาดแนวโน้ม SET Index ประเมินแกว่งตัว Sideway Down ในกรอบ 1,140-1,178 จุด ขานรับการปรับฐานของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดมีความวิตกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า ล่าสุด สหภาพยุโรป ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าวิสกี้จากสหรัฐฯ ในอัตรา 50% เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ที่เรียกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากยุโรป ซึ่งส่งผลให้ ทรัมป์ขู่ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่าจะเรียกเก็บภาษผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์และไวน์นำเข้าจาก EU สูงถึง 200%                   นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อเสนอการหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง ซึ่งบดบังปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่รายงาน ได้แก่ • ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ ลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 220,000 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าคาดการณ์ • PPI เดือน ก.พ. ต่ำกว่าคาด โดย o Headline +3.2%YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่ +3.7%YoY o Core +3.4%YoY ลดลงจากเดือนก่อนที่ +3.8%YoY                   ตลาดประเมินว่า เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ซึ่งครั้งแรกคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง มิ.ย. หลังข้อมูลเงินเฟ้อชะลอตัว และข้อมูลภาคแรงงานเริ่มแข็งแกร่งขึ้น ปัจจัยในประเทศ ยังไม่มีปัจจัยใหม่หนุน แม้ว่า Valuation ตลาดน่าสนใจสำหรับการซื้อสะสมในระยะกลาง-ยาว แต่ด้วย Sentiment ภายนอกที่เป็นเชิงลบ แนะนำ Wait & See ปัจจัยที่ต้องติดตาม • ตัวเลขเศรษฐกิจจีน (ดัชนีราคาบ้าน, การผลิตภาคอุตสาหกรรม, ยอดค้าปลีก) • การประชุมเฟด คาดส่งสัญญาณความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดคาดหวังว่า เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ย • การประชุม BoJ คาดส่งสัญญาณ ขึ้นดอกเบี้ย Stock Pick • MINT ตั้งเป้าปี 2025-2029F รายได้เติบโตปีละ High Single Digit เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 30 บาท ตั้งเป้าปี 2025-2029F รายได้โตปีละ High Single Digit ตั้งเป้าปี 2025-2029F รายได้โตปีละ High Single Digit และกำไรเติบโตปีละ 15-20% • ปัจจัยการเติบโตมาจาก: 1. ความต้องการด้านการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรป ซึ่งคาดว่าจะกลับมาเติบโตได้ หาก โดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนยุติสงคราม ส่งผลให้การท่องเที่ยวในยุโรปฟื้นตัว ส่วน Asia Pacific จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้า Premium 2. แนวโน้ม Wellness Travel ซึ่ง MINT มีโรงแรมเด่นในเครือ เช่น Layan Life by Anantara 3. กลยุทธ์ขยายไปธุรกิจที่มีการเติบโตสูงผ่าน Partnership, JV และแฟรนไชส์ 4. ธุรกิจอาหาร คาดเติบโตตาม GDP โดยมีเป้าหมายหลัก: ไทย ผ่านแบรนด์ Bonchon และ GAGA ชานม CLMV ผ่าน Dairy Queen และ GAGA อินโดนีเซีย & อินเดีย ผ่าน Sanook Kitchen 5. เพิ่มประสิทธิภาพบริหาร ลดหนี้สินต่อเนื่อง ตั้งเป้า NET IBD/Equity 0.75 เท่า และ NET IBD/EBITDA 4.00 เท่า แผนขยายธุรกิจ  ตั้งเป้า เพิ่มโรงแรมอีก 280 แห่ง โดยปี 2027 คาดมีโรงแรมทั้งหมด 850 แห่ง และปี 2029 มีโรงแรมในเครือ 1,000 แห่ง ร้านอาหาร ตั้งเป้าเปิดเพิ่ม 1,500 สาขาใน 3 ปี (ปี 2025 คาดเปิดเพิ่ม 200 สาขา การลงทุนเน้นรูปแบบ Asset-Light และตั้งงบ CAPEX ปีละ 10,000-12,000 ล้านบาท ฃ ประมาณการทางการเงิน • อิงสมมติฐานบริษัท คาด รายได้ปี 2025-2026 เติบโตปีละ 8% o ปี 2025 คาดรายได้ 175,636 ล้านบาท o ปี 2026 คาดรายได้ 189,687 ล้านบาท • ประเมินกำไรสุทธิ o ปี 2025F คาดกำไรสุทธิ 9.63 พันล้านบาท (+24.3%YoY) o ปี 2026F คาดกำไรสุทธิ 10.4 พันล้านบาท (+8.5%YoY) คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ • แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 35.25 บาท อิง PE เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีที่ 26 เท่า • แนวรับ 27.50-27 บาท (ไม่ควรต่ำกว่านี้) • แนวต้าน 28.50 / 29.50 / 30 บาท

STECON คว้างานก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ 2 แห่ง มูลค่า 1.6 หมื่นล.

STECON คว้างานก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ 2 แห่ง มูลค่า 1.6 หมื่นล.

          หุ้นวิชั่น - หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (STECON) เปิดเผยว่า บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน) (STEC) บริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-1A และ โครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-2A โดยมีรายละเอียดดังนี้            1. ชื่อโครงการ: โครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-1A (สัญญาลงวันที่ 11 มีนาคม 2568)            เจ้าของโครงการ: บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด            ผู้ว่าจ้าง : บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด           ผู้รับจ้าง : บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น           มูลค่าโครงการ : 7,575,113,346 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)           ลักษณะงานก่อสร้าง : งานก่อสร้าง โครงสร้าง สถาปัตย์ และงานระบบ           ระยะเวลาการก่อสร้าง : 1 เมษายน 2568 ถึง 8 เมษายน 2570 2. ชื่อโครงการ: โครงการ ดาต้าเซ็นเตอร์ CHN-2A (สัญญาลงวันที่ 11 มีนาคม 2568)            เจ้าของโครงการ: บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด           ผู้ว่าจ้าง : บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด           ผู้รับจ้าง : บมจ.ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น            มูลค่าโครงการ : 8,376,164,306 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)           ลักษณะงานก่อสร้าง : งานก่อสร้าง โครงสร้าง สถาปัตย์ และงานระบบ           ระยะเวลาการก่อสร้าง : 1 เมษายน 2568 ถึง 11 กรกฎาคม 2570

MGC ไฟเขียวทุ่มงบ 100 ล.  ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 30 ล้านหุ้น

MGC ไฟเขียวทุ่มงบ 100 ล. ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 30 ล้านหุ้น

                 หุ้นวิชั่น - บอร์ด บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ MGC-ASIA ไฟเขียว ทุ่มเงิน 100 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 30 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 2.7 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน หลังราคาหุ้นต่ำกว่าระดับมูลค่าที่แท้จริงและไม่สะท้อนการเติบโตในอนาคต โดยกำหนดกรอบระยะเวลาเริ่มซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 17 กันยายน 2568 ด้าน CEO “ดร.สัณหวุฒิ  ธรรมชวนวิริยะ” ย้ำปีนี้รายได้โต 10% จากการขับเคลื่อนการเติบโตใน 4 กลุ่มธุรกิจ                  ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA เปิดเผยว่า จากกรณีที่ราคาหุ้นของบริษัทฯ ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ส่งผลให้ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลับคืน ผ่านโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) โดยจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนสูงสุดไม่เกิน 30 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.7 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ภายในวงเงินซื้อคืนสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท ตามกรอบกำหนดระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม ถึงวันที่ 17 กันยายน 2568 โดยการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน และเพื่อบริหารสภาพคล่องส่วนเกินให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) และกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจสู่การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนถึงราคาหุ้นที่แท้จริง รวมทั้งเป็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและ  นักลงทุนในอนาคต จากการซื้อหุ้นคืนและขายกลับในจังหวะเวลาที่เหมาะสมซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับส่วนของผู้ถือหุ้น                  “สาเหตุการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี จึงได้ตัดสินใจดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนบริหารโครงสร้างเงินทุน (Capital Management) เพื่อเสริมสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ทั้งนี้บริษัทฯ มีศักยภาพและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีกำไรสะสมและสภาพคล่องส่วนเกินเพียงพอ โดยมีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เท่ากับ 828.54 ล้านบาท และมีความสามารถในการชำระหนี้ที่ครบกำหนดภายในระยะเวลา 6 เดือน ดังนั้นการซื้อหุ้นคืนจะส่งผลให้มูลค่าทางบัญชีในส่วนของผู้ถือหุ้น และจำนวนหุ้นที่ถือโดยผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ลดลง  ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของ ผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) สูงขึ้น และที่สำคัญจะสร้างโอกาสที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ในระดับที่ P/E เท่าเดิม”                  นอกจากนี้ ดร.สัณหวุฒิ ได้ตอกย้ำถึงภาพรวมการเติบโตของบริษัทฯ ว่า ในปี 2568 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2567 ที่มีรายได้รวม 20,334 ล้านบาท จาก กลยุทธ์การขับเคลื่อนใน 4 กลุ่มธุรกิจ 1. กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) 2. กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) 3. กลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่าและพนักงานขับ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว (Car Rental and Driver Services) และ 4. กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Other Services) ได้แก่ บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ผู้ให้บริการทางการเงินให้กับกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง มีความชำนาญในด้านสินทรัพย์ที่เป็นยานพาหนะหรู ทั้งรถยนต์ เรือยอทซ์ และเครื่องบิน ตลอดจน อสังหาริมทรัพย์ โดยในปีนี้มุ่งเน้นการขยายตลาดสินเชื่อ Wealth Lending ในอัตราที่สูงขึ้น พร้อมตั้งเป้าการขยายพอร์ตสินเชื่อเพิ่มขึ้นแตะระดับ 12,500 ล้านบาท รวมถึง บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจให้บริการประกันภัยชั้นแนวหน้า โดยในปีนี้มีแผนขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่หลากหลาย รวมทั้งประกันที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนตามแนวทาง ESG เช่น ในกลุ่มพลังงาน พลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก และเมกะเทรนด์ต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการ และรักษาการเป็นโบรกเกอร์ระดับชั้นนำ                  “จากมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯดังกล่าว เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน หลังราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ประกอบกับแผนการขับเคลื่อนทางธุรกิจ สู่การต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ในอนาคต ซึ่งเป็นการตอกย้ำที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลผู้ถือหุ้นและนักลงทุน สู่การสร้างเสถียรภาพด้านราคาเพื่อให้สะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริง” [PR News]

จับตาหวยเกษียณเข้าสภา มี.ค.นี้ หนุนเงินออมในระบบ 1.3 หมื่นล.

จับตาหวยเกษียณเข้าสภา มี.ค.นี้ หนุนเงินออมในระบบ 1.3 หมื่นล.

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) รมช. คลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันร่างแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ (หวยเกษียณ) ได้ผ่านความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างเสร็จแล้ว และจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาภายในเดือน มี.ค. 25 ทั้งนี้ จุดน่าสนใจอยู่ที่การเปิดกว้างผู้ซื้อโดยไม่จำกัดขอบเขต คือ ให้สิทธิ์สำหรับคนไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปสามารถเข้าร่วมโครงการได้ทั้งหมด ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ยังใกล้เคียงเดิม ได้แก่ - เปิดขายทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 5.0 ล้านใบ ใบละ 50 บาท สามารถซื้อสลากวันใดก็ได้ โดยรางวัลจะออกทุกวันศุกร์เวลา 17:00 น. - กำหนดการซื้อต่องวดต่อคนไม่เกิน 3,000 บาท - เม็ดเงินที่ซื้อ หากไม่ถูกรางวัล จะถูกนำเข้าบัญชีเงินออมรายบุคคลกับ กอช. และเมื่อผู้ออมอายุครบ 60 ปี จะได้รับเงินคืนทั้งหมด - นอกจากนี้ ประชาชนที่มีอายุเกิน 60 ปีสามารถเข้าร่วมโครงการได้เช่นกัน แต่ต้องออมเงินไว้ 5 ปีหลังจากวันที่ซื้อครั้งแรก และสามารถซื้อได้ไม่จำกัดรอบ แต่ทุกรอบต้องออมไว้ 5 ปี              ทีมกลยุทธ์ประเมินว่า หากมีการออมเต็มจำนวนรอบละ 5 ล้านใบ จะมีเงินออมในระบบกว่าปีละ 1.3 หมื่นล้านบาท หากอ้างอิงนโยบายการลงทุนของ กอช. ที่กำหนดให้ลงทุนในสินทรัพย์มั่นคงสูงไม่น้อยกว่า 80% และในสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้นและกองทุน ไม่เกิน 20% แม้เม็ดเงินต่อปีระยะแรกที่มีโอกาสเข้าสู่ตลาดหุ้นจะยังไม่มากนัก (ราวปีละ 2.6 พันล้านบาท) แต่เราประเมินว่าอาจเป็นบวกต่อตลาดหุ้นในแง่ของความคาดหวังต่อเม็ดเงินลงทุนระยะยาวก้อนใหม่ หากกองทุนดังกล่าวมีการขายต่อเนื่องในระยะยาว หรือได้รับผลตอบรับที่ดีและมีการขยายโควตาการขายเพิ่มเติมในอนาคต

KSS คาด SET วันนี้ “Sideways/Down” กังวล 'ทรัมป์' กีดกันภาษีกระทบเศรษฐกิจ

KSS คาด SET วันนี้ “Sideways/Down” กังวล 'ทรัมป์' กีดกันภาษีกระทบเศรษฐกิจ

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาด SET วันนี้ “Sideways/Down” ต้าน 1,173/1,180 จุด รับ 1,156/1,150 จุด ประเด็นกำหนดทิศทางตลาดวันนี้ค่อนข้างไปทางลบ 1.) ตลาดยังคงอยู่ในภาวะ Risk-Off จาก a.) ความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากมาตรการกีดกันการค้าของคุณ Trump ที่จะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าไวน์และแชมเปญจากยุโรปอีก 200% หลังยุโรปขู่เพิ่มภาษีนำเข้า 50% สำหรับวิสกี้สหรัฐ b.) เงินเฟ้อ PPI ก.พ. 25 แม้ต่ำกว่าคาด แต่มีองค์ประกอบค่ารักษาพยาบาลที่บ่งชี้ว่า PCE มีโอกาสปรับขึ้น m-m อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตถึงความผันผวนของตลาดหุ้นที่มี Valuation ตึงตัวมากกว่าตลาดหุ้นอื่น ภายในประเทศ: 2.) แผนกระทรวงการคลังย้ำการขาย 19 หุ้นที่ไม่อยู่ในยุทธศาสตร์ แม้จะเน้นแผนการขายหุ้นขนาดเล็ก แต่เราประเมินว่าสร้างจิตวิทยาลบต่อภาพการลงทุน ด้านบวก: 3.) รัสเซียเห็นด้วยกับแผนหยุดยิงยูเครน 4.) โครงการหวยเกษียณที่อาจนำมาสู่เม็ดเงินลงทุนระยะยาวใหม่ แม้ระยะแรกมีโอกาสเข้าสู่ตลาดหุ้นไม่มาก (ปีละ 2.6 พันล้านบาท) แต่เม็ดเงินที่ถูกเก็บไว้ระยะยาวสำหรับประชาชนจะช่วยให้ฐานใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ                อย่างไรก็ดี SET อยู่ในโซน Deep Value โดยมี ERP > AVG +1.5 S.D. คาดว่าจะช่วยจำกัดความผันผวน หุ้นแนะนำเน้น 10 หุ้น Deep Value ที่ KSS แนะนำ หุ้น Defensive และเก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว (BDI +5.8% หนุนกลุ่มเรือเทกอง) วันนี้แนะนำ BDMS, BCH, CBG

GUNKUL เป้าพลังงาน 2 GW ดาโอ แนะ “ซื้อ” เป้า 5 บ.

GUNKUL เป้าพลังงาน 2 GW ดาโอ แนะ “ซื้อ” เป้า 5 บ.

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ GUNKUL (ซื้อ/เป้า 5.00 บาท)ธุรกิจมีพัฒนาการที่ดีและอยู่ในภาวะอุตสาหกรรมเอื้อให้เติบโตเราคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 5.00 บาท อิง SOTP (ในส่วนของโครงการพลังงานทดแทนเราประเมินมูล ค่า 3.50 บาท เฉพาะโครงการที่ COD แล้วประเมินมูลค่า 1.50 บาท) ทั้งนี้เรามีมุมมองเป็นบวกจากงาน Analyst Meeting เมื่อ 13 มี.ค. 2025 หลังธุรกิจมีพัฒนาการที่ดีและภาวะอุตสาหกรรมเอิ้อให้ธุรกิจหลักเติบโตได้ โดยสรุปประเด็นดังนี้ 1)ธุรกิจพลังงานทดแทนตั้งเป้ากำลังการผลิต 2.0GWภายในปี 2027E จากปัจจุบันที่ราว 1.5GWเน้นโครงการในประเทศเป็นหลัก 2) ธุรกิจ EPCและ Trading ตลาดสดใสโดยในช่วง 2 ปีนี้คาดมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6.6 หมื่นล้านบาทในส่วนงานของภาครัฐงานเอกชนยังมีแนวโน้มได้เพิ่มเติมเช่นกันจากการทยอยสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน คาดได้งานเติมbacklog ต่อเนื่องจากระดับปัจจุบันที่ราว 4.0 พันล้านบาท 3) เตรียมขยายขอบข่ายบริการยังคงเน้นพลังงานสีเขียว ปัจจุบันอยู่ระหว่างพูดคุย partner ทำ Data Center หากมีความชัดเจนจะแจ้งให้ทราบต่อไป 4)ตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยต่อปีในกรอบ 10-15%CAGR2024-27E ในขณะที่ CAPEX 3ปีคาดใช้อยู่ราว 1.2 หมื่นล้านบาท 5) ปัจจุบันได้SET ESG rating AA ตั้งเป้าในปี 2025Eขยับขึ้นเป็นAAAราคาหุ้นกลับมาเคลื่อนไหวใกล้เคียง SETมากขึ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ประเมินตลาด pricein ประเด็นการแทรกแซงค่าไฟฟ้าไปพอสมควรโดยกรณีการปรับสัญญา Adder ทางรมว.กระทรวงพลังงานออกมาชี้แจงแล้วว่าเป็นไปได้ยาก แม้ยังเป็นปัจจัย overhangแต่หากตลาดกลับมาให้น้ำหนักโอกาสในการได้งานEPCโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมหลังโครงการพลังงานทดแทน5.2GW จะเริ่มทยอย COD ในปี 2024 เป็นต้นไป                นอกจากนี้ผลประกอบการกลับเข้าสู่ภาวะขาขึ้นจากการทยอยรับรู้รายได้โครงการพลังงานทดแทนใหม่ซึ่งจะทยอย COD ในปี 2026E ถึง2030Eหนุนกำลังการผลิตจากปี 2024 ที่ 0.6GW สู่ระดับ 1.5GW คาดว่าหุ้นจะกลับไป outperform ได้

CBG ต้นทุนลด-รายได้โต บล.ดาโอ ชูพิกัด 95 บาท

CBG ต้นทุนลด-รายได้โต บล.ดาโอ ชูพิกัด 95 บาท

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง CBG (ซื้อ/เป้า 95.00 บาท) 1Q25 รายได้ในประเทศโต, 2Q25 ราคาน้ำตาลและต้นทุน packaging ลด เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 95.00 อิง 2025E PER 27.0x (ใกล้เคียง -1SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)               เรามีมุมมองเป็นบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (13 Mar 2025) มีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1) Market share ม.ค. อยู่ที่ 25.4 (+240 bps YoY, -60 bps MoM) บริษัทคาดว่า market share เดือน ก.พ. จะทรงตัว MoM เนื่องจาก CBG เลือกที่จะไม่ทำโปรใน 2 เดือนนี้ จาก low season               ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะจัดโปรโมชั่นในเดือน มี.ค.ในตลาด modern trade คาด market share จะปรับตัวดีขึ้น , 2) ผู้บริหารคาดกำไรสุทธิ 1Q25E จะโต YoY, QoQ และสูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส หนุนโดย i) รายได้รวมขยายตัว YoY ลดลง QoQ ตามฤดูกาล โดยรายได้ domestic branded own +40% YoY, -10% QoQ               ด้านต่างประเทศรายได้ลดลง -13% YoY, -5%QoQ เนื่องจากรายได้กัมพูชาลดลงและรายได้พม่าปรับตัวลงเล็กน้อย คาดรายได้distribution ทำ All Time High ต่อ, ii) GPM ขยายตัว +2% คาดอยู่ที่ 28% -29%, 3)บริษัทคาดกำไร 2Q25E ทำ All Time Highจากรายได้ขยายตัว, GPMขยายตัวจากต้นทุนน้ำตาลลดลงเต็มไตรมาสเริ่มรับรู้ขวดแก้วและกระป๋องที่บางลงเราคงประมาณการกำไรปี 2025E ที่ 3,525 ล้านบาท (+24%YoY) จากรายได้ +18% YoY และ GPM ขยายตัว               เบื้องต้น เราคาดกำไรสุทธิ 1Q25E จะอยู่ในกรอบ800-820 ล้านบาท ขยายตัว YoY, QoQ จาก GPMขยายตัว และค่าใช้จ่ายปรับตัวลดลงเนื่องจาก4Q24 มีโบนัสพิเศษราคาหุ้น underperform SET -4% ใน 1 เดือนที่ผ่าน เรามองว่า valuationน่าสนใจ โดยเทรดอยู่ที่ 2025E PER 17.4xเรามองว่าผลประกอบการเดินหน้าสู่วัฎจักรขาขึ้นรอ บใหม่

PLANB แจงสัญญาสมาคมฟุตบอล ดาโอ แนะ “ซื้อ” PLANB เป้า 8.8 บ.

PLANB แจงสัญญาสมาคมฟุตบอล ดาโอ แนะ “ซื้อ” PLANB เป้า 8.8 บ.

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง PLANB (ซื้อ/เป้า 8.80 บาท)บริษัทยืนยันเซ็นต์สัญญาฉบับใหม่กับผู้บริหารสมาคมฟุตบอลชุดใหม่แล้วPLANB มีการชี้แจงเรื่องสัญญากับสมาคมฟุตบอล ประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1)บริษัทยืนยันสัญญาการบริหารสิทธิประโยชน์สมาคมฟุตบอลที่ผ่านมาได้มาจากการประมูลอย่างถูกต้อง 2) หลังจากนายกสมาคมคนปัจจุบัน มาดามแป้งเริ่มรับตำแหน่งกลางปี 2024ได้มีการเจรจาเรื่องสิทธิประโยชน์ของสมาคมฯกับPLANB ได้แก่ i) การปรับ minimum guaranteeเพิ่มขึ้นเป็น 450 ล้านบาท (จากเดิม 400 ล้านบาท),ii) ปรับสเต๊ปส่วนแบ่งรายได้สิทธิประโยชน์ของPLANB เป็นขั้นบันไดที่ 15-25% จาก 20-25%แต่ส่วนแบ่งของ PLANB ยังอยู่ระดับมากกว่า 20%เนื่องจากหารายได้สิทธิประโยชน์ให้สมาคมได้สูง,iii) ขอคืนสิทธิ์ ticketing และสิทธิ์ broadcastในต่างประเทศให้กับทางสมาคมฯไปบริหาร(โดยรายได้ส่วนนี้อยู่ระดับหลักสิบล้านบาท) ทั้งนี้ PLANB ได้เซ็นต์สัญญากับผู้บริหารสมาคมฯชุดใหม่เรียบร้อย โดยสัญญาดังกล่าวเริ่ตั้งแต่ 2H24 – 2028 3) PLANB หารายได้ให้สมาคมฯปีละ 500-600ล้านบาท โดย PLANB รับรู้ส่วนแบ่งรายได้ที่ 135ล้านบาท และ NPM single digit             DAOL: เรามีมุมมองเป็นกลางจากประเด็นข้างต้น ทั้งนี้ เรามองว่าหากสิทธิประโยชน์ดังกล่าวถูกยกเลิกไป จะกระทบPLANB จำกัด โดยจะกระทบกำไรปี 2025E อยู่ที่1% ซึ่งสิทธิประโยชน์ของ PLANBจากสมาคมฟุตบอลจะอยู่ในรูปแบบการหาsponsorship ให้สมาคม PLANB ได้รับส่วนแบ่ง15-25%เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่1,146 ล้านบาท (+9% YoY)             ทั้งนี้ เรายังไม่ได้รวมกำไรที่เพิ่มขึ้นจากดีล Hello LEDและ VGI ในประมาณการ เบื้องต้น เราคงคำแนะนำ“ซื้อ” PLANB ที่ราคาเป้าหมายที่ 8.80 บาท อิง 2025E 33.0x

ดาโอ อัพเป้า SEAFCO เป็น 2.5 บ. สายสีส้มหนุน Backlog สูง - แนะ

ดาโอ อัพเป้า SEAFCO เป็น 2.5 บ. สายสีส้มหนุน Backlog สูง - แนะ "ซื้อ"

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SEAFCO ว่าปรับขึ้นเป็นซื้อ/ปรับเป้าขึ้นเป็น 2.50 บาท Backlogปรับตัวขึ้นสูงจากสายสีส้ม, 2Q25Eฟื้นตัวโดดเด่น              เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” (เดิม “ถือ”)และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 2.50 บาท (เดิม 2.00บาท) อิง 2025E PER 16x (-0.5SD below 5-yraverage PERโดยคำนวณไม่รวมช่วงปีที่ผลการดำเนินงานขาดทุน) เรามีมุมมองเป็นบวกจากการประชุม SET Opportunity Day เมื่อวานนี้ (13 มี.ค.)จากทิศทางรายได้และ backlog กลับมาฟื้นตัวสูงโดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ 1) บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี2025E ที่ 2 พันล้านบาท ปรับตัวขึ้นราว +57%YoY หลัง backlog ปัจจุบันฟื้นตัวอยู่ที่ 2.6พันล้านบาท จากสิ้นปี 2024 ที่ราว 400 ล้านบาทหนุนโดยโครงการใหญ่รถไฟฟ้าสายสีส้ม              ขณะที่มีโอกาสได้งานใหม่อื่นๆเพิ่มเติมอีกอย่างน้อยราว 300 ล้านบาท, 2)บริษัทเตรียมรับแรงงานเพิ่มเติมเพื่อรองรับ backlogที่สูงขึ้น โดยเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาแรงงานขาดแคลน,และ 3) สำหรับต้นทุนวัสดุก่อสร้างบางตัวที่สูงขึ้นบริษัทมองว่ากระทบจำกัดและบริหารจัดการได้เนื่องจากงานใหญ่สายสีส้มเป็นงานไม่รวมค่าวัสดุ              ขณะที่งานอื่นๆมีการล็อกต้นทุนไว้แล้วเราปรับกำไรสุทธิปี 2025Eขึ้น +25% เป็น 131 ล้านบาท ฟื้นจากกำไรสุทธิปี 2024 ที่ 1 ล้านบาทจากการปรับสมมติฐานรายได้ก่อสร้างขึ้นเพื่อสะท้อน backlog กลับมาฟื้นตัวสูงจากงานสายสีส้ม              สำหรับ 1Q25Eเบื้องต้นประเมินผลการดำเนินงานจะยังอ่อนตัว YoYและปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย QoQ หนุนโดยการทยอยเริ่มงานสายสีส้มตั้งแต่ มี.ค.2025ราคาหุ้น outperform SET +17% ใน 3 เดือน อานิสงส์แผนซื้อหุ้นคืนในช่วง 20 ส.ค. 2024-20ก.พ. 2025 ทั้งนี้เรามีมุมมองเป็นบวกมากขึ้น จากbacklog ปัจจุบันฟื้นตัวสูงในระดับ 2.6 พันล้านบาทซึ่งจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นโดดเด่นตั้งแต่ 2Q25E ขณะที่เรามองว่าบริษัทยังมีโอกาสได้งานอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น Double Deck ในช่วง 2H25E

พาย คัด 13 หุ้นเด่น ราคาไม่แพง คาด SET อยู่ในกรอบ 1145 – 1165 จุด

พาย คัด 13 หุ้นเด่น ราคาไม่แพง คาด SET อยู่ในกรอบ 1145 – 1165 จุด

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หุ้นไทยถูกแล้วแต่อาจจะยังถูกต่อไป ท่ามกลางปัจจัยกดดันต่างประเทศ ล่าสุด Trump เริ่มมองถึงโอกาส Tariff กับ EU ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 537 จุด (-1.3%) ขณะที่ S&P500 เข้าสู่ช่วงปรับฐานแล้วเพราะนักลงทุนกังวลว่าสงครามการค้าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.5% นักลงทุนกังวลกับอุปสงค์ที่อาจจะหายไปจากภาวะสงครามการค้า                เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อภาคผู้ผลิต (PPI) ขยายตัวเพียง 3.2%YoY ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 3.3%YoY และ PPI ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานขยายตัว 3.4%YoY ต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 3.5%YoY พร้อมกับผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.2 แสนราย ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ 2.25 แสนที่ แต่อย่างไรก็ตามด้วยตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกสะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางดอกเบี้ยที่มีโอกาสผ่อนคลาย แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับไม่สนใจประเด็นข้างต้นและกังวลกับภาษีของ Trump                ล่าสุดได้เผยถึงแนวทางในการเรียกเก็บภาษีสุราและแอลกอฮอล์จาก EU มากถึง 200% เพื่อตอบโต้ที่ EU เรียกเก็บภาษี 50% ต่อวิสกี้จากสหรัฐฯ โดยรวมทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ลงทุนและเงินไหลเข้าไปยังทองคำจนเมื่อคืนที่ผ่านมาทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เรามองปรากฎการณ์ดังกล่าวเข้าสู่ภาวะ TENA (There is no alternative) เมื่อพิจารณาตลาดหุ้นทั่วโลกถูกปกคลุมไปด้วยความเสี่ยงจากสงครามการค้า                และตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ดีต่อเนื่องมายาวนานก็เริ่มมีระดับ Valuation ที่แพง โดยที่สงครามการค้าจะสร้างแรงปั่นป่วนต่อเศรษฐกิจโลกให้เกิด Downside ประกอบกับ Technology ในสหรัฐฯอาจมีคำถามเกิดขึ้นว่าภายใต้การมา AI ของจีนที่ผลิตด้วยต้นทุนที่ต่ำ Big Company ในสหรัฐฯจะยังต้องจ่ายในราคาที่แพงต่อไปหรือไม่ และที่สำคัญการเติบโตของ Tech สหรัฐฯจะดำเนินต่อไปได้อย่างไรท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้ไม่มีทางเลือกใดดีไปกว่าการถือทองคำและภาวะเช่นนี้จะยังดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีจุดเปลี่ยน                ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงไร้ความหวังด้วยการเติบโตไม่ชัดเจนทั้ง Sector , เศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายต่อเนื่องสะสม YTD แล้วกว่า 3.06 หมื่นล้านบาท แม้จะถูกแล้วก็ตาม เมื่อประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวนก็เชื่อว่าหุ้นไทยยังยากจะปรับขึ้นและอาจปรับลงตาม Sentiment เชิงลบจากต่างประเทศ                ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมิชิแกน Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 63.1 หากต่ำกว่าคาดการณ์จะยิ่งซ้ำเติมตลาดหุ้นสหรัฐฯ                วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1145 – 1165 จุด ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนไม่เน้นพิจารณาดัชนีเพราะยังเต็มไปด้วยความผันผวน แต่นักลงทุนควรพิจารณาบริษัทที่มีความสามารถแข่งขัน ราคาหุ้นไม่แพง หรือมีปันผลที่น่าสนใจ ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC TIDLOR) โรงพยาบาล (BDMS) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) อาหาร (CPF TU)

[Vision Exclusive] PLANB จ่อบุ๊กงาน VGI ไร้ปมสมาคมฟุตบอล

[Vision Exclusive] PLANB จ่อบุ๊กงาน VGI ไร้ปมสมาคมฟุตบอล

          หุ้นวิชั่น - PLANB ยืนยันไม่ได้รับผลกระทบ หรือมีการเจรจาขอปรับส่วนแบ่งผลตอบแทนเพิ่มเติม จากกรณีสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย แพ้คดีให้กับ "สยามสปอร์ต" จากกรณีละเมิดสัญญาลิขสิทธิ์           “PLANB จะรับรู้ความสามารถในการผลิตสื่อโฆษณาจาก VGI ประมาณ 3,200 ล้านบาท (ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม -31 ธันวาคม 2568) โดยรับรู้รายได้เป็น Net Revenue ที่ 5% จากสิทธิ์ในการเป็นผู้แทนขายสื่อโฆษณา บริหารการตลาด และจัดการสื่อทั้งหมดในเครือ VGI”              นายพินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ กรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) (PLANB) เปิดเผยกับ หุ้นวิชั่น ว่า บริษัทฯ ยืนยันไม่ได้รับผลกระทบ หรือมีการเจรจาขอปรับส่วนแบ่งผลตอบแทนเพิ่มเติม จากกรณีสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย แพ้คดีให้กับ "สยามสปอร์ต" จากกรณีละเมิดสัญญาลิขสิทธิ์ จนทำให้สมาคมฯ ต้องจ่ายเงินพร้อมดอกเบี้ยกว่า 360 ล้านบาท และนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ก็ออกมาแถลงว่าจะเจรจาเพื่อขอเพิ่มส่วนแบ่งรายได้ของ PLANB           ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทและสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ได้มีการเจรจาปรับส่วนแบ่งผลตอบแทนและข้อกำหนดสัญญาไปตั้งแต่ช่วงกลางปี หลังมีการเปลี่ยนผู้บริหารสมาคมชุดใหม่ และผลกระทบได้บันทึกในงบการเงินในปีก่อนแล้ว           สำหรับ PLANB ได้รับสิทธิในการบริหารสิทธิประโยชน์ของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ฉบับปัจจุบันจนถึงปี 2571 โดยได้ส่วนแบ่งรายได้สิทธิประโยชน์จากสมาคมกีฬาฟุตบอล รวมอยู่ที่ 250-300 ล้านบาท/ปี เป้ารายได้ปีนี้โต6%           นายพินิจสรณ์ กล่าวว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ยังตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-6% จากปีก่อนที่ทำได้ 9,237.92 ล้านบาท โดยจะมาจากการเติบโตของ 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย (Out-Of-Home) โดยคาดการณ์อัตราการใช้สื่อโฆษณามากกว่า 70% พร้อมกับความสามารถในการผลิตสื่อ ((Media Capacity) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการขยายสื่อใหม่ การปรับราคาขาย           และล่าสุด PLANB ได้รับสิทธิเป็นผู้แทนขายสื่อโฆษณา บริหารการตลาด และจัดการสื่อทั้งหมดในเครือ VGI ในประเทศไทย เป็นระยะเวลา 5 ปี ครอบคลุมสื่อบนรถไฟฟ้า 84 สถานี และสื่อในสำนักงานและอาคารคอนโด 210 แห่ง ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพในการขยายเครือข่ายสื่อโฆษณาและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัท           บริษัทคาดว่าจะรับรู้ความสามารถในการผลิตสื่อโฆษณาจาก VGI ประมาณ 3,200 ล้านบาท (ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม -31 ธันวาคม 2568) โดยรับรู้รายได้เป็น Net Revenue ที่ 5% จากสิทธิ์ในการเป็นผู้แทนขายสื่อโฆษณา บริหารการตลาด และจัดการสื่อทั้งหมดในเครือ VGI ในประเทศไทย           นอกจากนี้บริษัทได้มีการเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ บริษัท ฮัลโล บางกอก แอล อี ดี จำกัด (HelloLED) เพื่อเสริมศักยภาพเครือข่ายป้ายบิลบอร์ด ขนาดใหญ่และจอ LED ที่ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 178 ป้าย ก็คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ           รวมถึงสิทธิการขายตอม่อ 2 (BTS Column) บริษัทคาดว่าจะรับรู้ความสามารถในการผลิตสื่อโฆษณาดังกล่าว ประมาณ 466 ล้านบาท (ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม - 31 ธันวาคม 2568) โดยรับรู้เป็นส่วนแบ่งรายได้ที่ 15% ครอบคลุม 132 จอดิจิทัล, ป้ายกล่องไฟ 137 ป้าย, ป้ายภาพนิ่ง 220 ป้าย และ Skywalk ช่องนนทรี 23 ป้าย จาก บริษัท ร็อคเทค โกลบอล จ ากัด (มหาชน)           ขณะเดียวกันธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม (Engagement Marketing) ยังมีแนวโน้มที่ดี จากกีฬามวย ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในปีนี้บริษัทจะไม่มีรายได้จากการบริหารสิทธิทางการตลาดมหกรรมกีฬาระดับโลก (Global Rights) หรือ โอลิมปิก ปารีส 2024           งบลงทุนปีนี้วางไว้ที่ 4,700-4,900 ล้านบาท แบ่งเป็น การซื้อกิจการ HelloLED มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 700-900 ล้านบาท จะใช้รองรับการขยายสื่อใหม่ทุกประเภท เคาะพื้นฐาน 8.80 บาท           บล.ดาโอ (ประเทศไทย) มองว่าหากสิทธิประโยชน์ดังกล่าวถูกยกเลิกไป จะกระทบ PLANB จำกัด โดยจะกระทบกำไรปี 2568 อยู่ที่ 2-3% ซึ่งสิทธิประโยชน์ของ PLANB จากสมาคมกีฬาฟุตบอลจะอยู่ในรูปแบบการหา sponsorship ให้สมาคม และจ่ายคืนให้สมาคม 80% และ PLANB ได้รับส่วนแบ่ง 20%           ทั้งนี้ PLANB ได้รับรายได้ส่วนแบ่งสิทธิประโยชน์จากสมาคมฟุตบอลอยู่ที่ 250-300 ล้านบาท/ปี โดยสัญญาการดูแลสิทธิประโยชน์ให้สมาคมฯ ฉบับปัจจุบันถึงปี 2571 ด้านสิทธิถ่ายทอดสดในประเทศ เป็นส่วนที่ PLANB ไม่เคยได้ส่วนแบ่งหรืออยู่ในสิทธิ์สิทธิประโยชนข์อง PLANB อยู่แล้ว การคืนสิทธิให้ช่องอื่นๆ จึงไม่กระทบต่อ PLANB           คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 1,146 ล้านบาท (+9% YoY) ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมกำไรที่เพิ่มขึ้นจากดีล Hello LED และ VGI ในประมาณการเบื้องต้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” PLANB ที่ราคาเป้าหมายที่ 8.80 บาท อิง 2025E 33.0x รายงานโดย : พชรธร ภูมิคำ รองบรรณาธิการข่าว สำนักข่าว HOONVISION

BA เป้าผู้โดยสาร 4.7 ล้านคน บินเส้นทางฮอต - มาร์จิ้นสูง

BA เป้าผู้โดยสาร 4.7 ล้านคน บินเส้นทางฮอต - มาร์จิ้นสูง

          หุ้นวิชั่น – BA ตั้งเป้าผู้โดยสารปี 68 โต 9% แตะ 4.7 ล้านคน จากปีก่อน 4.3 ล้านคน ชูธงรายได้โต 5-7% คงราคาตั๋วเฉลี่ย 4.2 พันบาทต่อเที่ยว เน้นบินเส้นทางฮอต กวาดมาร์จิ้นสูงทำเงิน วางงบลงทุน 2.3 พันล้านบาท เล็งเพิ่มฝูงบินรับผู้โดยสารล้น แถมขยายทางวิ่งสนามบินตราด นายอนวัช ลีละวัฒน์วัฒนา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายงานการเงินและบัญชี บริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าจำนวนผู้โดยสารในปี 2568 ไว้ที่ 4.7 ล้านคน เติบโต 9% จากปีก่อนมีจำนวนผู้โดยสาร 4.3 ล้านคน คาดการณ์อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Load Factor) อยู่ที่ 82% ส่วนราคาบัตรโดยสารเฉลี่ยคงอยู่ที่ระดับใกล้เคียงปีก่อนที่ 4,200 บาทต่อเที่ยวบิน พร้อมรักษาระดับ EBITDA Margin ให้อยู่ที่ 25% เพื่อคงความสามารถในการทำกำไร ขณะที่แนวโน้มรายได้ปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-7% จากปีก่อน 26,456.14 ล้านบาท โดยเน้นเส้นทางที่สามารถทำกำไรได้ดี พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการบรรทุกผู้โดยสาร ขณะที่แนวโน้มรายได้ของไตรมาสแรกของปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนและยังสามารถทำกำไรได้ดี ด้านแผนการลงทุนปีนี้ คาดว่าจะมี 2-3 โครงการ โดยมี 2 โครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ ได้แก่ โครงการปรับปรุงสนามบินสมุย มูลค่า 1,500 ล้านบาท เริ่มดำเนินการครึ่งหลังปีนี้ ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 2-3 ปี ซึ่งเป็นการทยอยใช้วงเงิน เพื่อรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และโครงการขยายทางวิ่งที่สนามบินตราด ดำเนินการไม่เกิน 2 ปี งบประมาณ 700-800 ล้านบาท สำหรับแผนการขยายฝูงบิน ปัจจุบันบริษัทมีเครื่องบินให้บริการทั้งหมด 25 ลำ โดยบริษัทได้ลงนามในจดหมายแสดงความจำนงเพื่อเปลี่ยนฝูงบินใบพัดจาก 10 ลำ เป็น 12 ลำ ภายในไตรมาส 3/2569 และเตรียมจัดหาเครื่องบินเพิ่มอีก 2 ลำ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้โดยสารในช่วงไตรมาส 3/2568 นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโรงซ่อมเครื่องบินที่สนามบินอู่ตะเภาที่ดำเนินการร่วมกับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน สำหรับภาพรวมในปี 2567 บริษัทมีเส้นทางบินให้บริการทั้งหมด 25 เส้นทาง แบ่งเป็นเส้นทางภายในประเทศ 17 เส้นทาง และเส้นทางระหว่างประเทศ 8 เส้นทาง โดยมีจุดหมายปลายทางรวม 19 จุด แบ่งเป็น 11 จุดภายในประเทศ และ 8 จุดในต่างประเทศ อนึ่ง ปี 2567 บริษัทมีรายได้ 26,456.14 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,787.66 ล้านบาท

ORI จัด 2,965 ลบ. จ่ายหุ้นกู้ครบ  Q1 คอนโดรอโอน 5,600 ลบ.

ORI จัด 2,965 ลบ. จ่ายหุ้นกู้ครบ Q1 คอนโดรอโอน 5,600 ลบ.

           ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมเงินฝากครบพร้อมชำระหุ้นครบรอบเม.ย.นี้เต็มจำนวนกว่า 2,965 ล้านบาทเสริมความมั่นใจนักลงทุน ปลื้มกระแสลูกค้าตอบรับ Sold out ปิดโครงการกว่า 13 โครงการมูลค่ารวม 19,453 ล้านบาท พร้อมโชว์ไฮไลท์คอนโด 3 โครงการคุณภาพยอดขายกว่า 86% สร้างเสร็จทยอยโอนเริ่มไตรมาส 1/2568 จำนวนรวมกว่า 5,615 ล้านบาท มั่นใจ Backlog ในมือกว่า 44,562 ล้านบาท หนุนรายได้ต่อเนื่อง 4 ปี            นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมสำหรับการชำระหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนเมษายน 2568 นี้เรียบร้อยแล้วจำนวน 2,965 ล้านบาท สะท้อนความมั่นใจในการขับเคลื่อนธุรกิจ ขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความมั่นใจในกลุ่มบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) สำหรับในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายและสามารถขายปิดโครงการ (Sold out) คอนโดมิเนียม            13 โครงการคุณภาพ มูลค่าทั้งสิ้น 19,453 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการในแบรนด์ ไนท์บริดจ์ จำนวน 5 โครงการ, โครงการในแบรนด์ ดิออริจิ้น จำนวน 3 โครงการ, โครงการในแบรนด์ เคนซิงตัน จำนวน 2 โครงการ และแบรนด์อื่น ๆ อีกจำนวน 3 โครงการ และ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมี Backlog ในมือกว่า 44,562 ล้านบาทที่จะสร้างรายได้ต่อเนื่องภายใน 4 ปีนี้            นอกจากนี้ยังมีคอนโดฯที่จะสร้างเสร็จและจะทยอยส่งมอบโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าภายในไตรมาส 1/2568 มียอดขายไปแล้วกว่า 5,615 ล้านบาท หรือคิดเป็น 86% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งเป็นลูกค้าเกรด A ถึง A+ (ผ่อนดาวน์ตามกำหนด) กว่า 90% ของมูลค่าแบ็คล็อค ประกอบด้วยโครงการ โครงการ ออริจิ้น ปลั๊ก&เพลย์ สิรินธร สเตชั่น คอนโดฯพร้อมอยู่ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในย่านสิรินธร ด้วยห้องเพดานสูง 4.2 เมตร* แห่งแรก แห่งเดียว ในย่านฝั่งธนฯ ติดถนนใหญ่สิรินธร ใกล้ MRT สถานี สิรินธร และCentral ปิ่นเกล้า ราคาเริ่ม 3.39 ล้านบาท* มูลค่าโครงการรวม 3,160ล้านบาท โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น คอนโดฯเลี้ยงสัตว์ได้ติดBTS สายลวด 0 เมตร ราคาเริ่ม 1.69 ล้าน บาท*มูลค่าโครงการรวม 2,580 ล้านบาท โครงการดิ ออริจิ้น แคมปัส ขอนแก่น คอนโดฯ Low Rise 8 ชั้น ดีไซน์แบบ MINIMAL JAPANESE STYLE ใกล้ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ราคาเริ่ม 1.59 ล้านบาท* มูลค่าโครงการรวม 800 ล้านบาท [PR News]

ทรีนีตี้ ปี 67 พลิกกำไร เดินหน้าปรับโครงสร้างทุนเสริมแกร่ง

ทรีนีตี้ ปี 67 พลิกกำไร เดินหน้าปรับโครงสร้างทุนเสริมแกร่ง

           หุ้นวิชั่น - บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา ประกาศผลประกอบการปี 2567 พลิกกำไร 0.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 100.15 จากปี 2566 ที่ขาดทุน 353.40 ล้านบาท รายได้รวมโตร้อยละ 112.16 โดยทำได้ 645.08  ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 304.05 ล้านบาท รายได้ธุรกิจซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเติบโตโดดเด่น ร้อยละ 146.61 ค่าธรรมเนียมและบริการโตร้อยละ 60.50 พร้อมเดินหน้าปรับโครงสร้างทุนนำเงินสำรองมาล้างขาดทุนสะสม บอร์ดอนุมัติเพิ่มทุนรองรับแจกวอร์แรนต์ให้ผู้ถือหุ้นเดิมและขายนักลงทุนเฉพาะเจาะจงนำเงินลุยธุรกิจสร้างการเติบโต                                                                                     ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY)  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยปี 2567 สามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ จำนวน 0.51 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 100.15 จากปี 2566 ที่ขาดทุนสุทธิ 353.40 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 645.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 112.16 จากปีก่อนที่ทำได้ 304.05 ล้านบาท                                                                                          “การที่บริษัทเป็นโฮลดิ้งคัมพานี มีการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ทำให้โครงสร้างรายได้ ของบริษัทไม่ได้พึ่งพารายได้จากนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว ซึ่งในปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นผันผวนสูง มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงร้อยละ 12.71 มาอยู่ที่ 46,551 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ที่ 53,331 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้จากนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงร้อยละ 5.32 โดยทำได้ 120.29 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 127.05 ล้านบาท” ดร.วิศิษฐ์ กล่าว                                           ขณะที่รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้น ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เป็นที่ปรึกษาในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมในการปรับโครงสร้างของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) รวมถึงเป็นที่ปรึกษาในการขายตราสารหนี้ ทำให้มีรายได้จากส่วนนี้เพิ่มขึ้นจาก55.70 ล้านบาท เป็น 89.40 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.50                                              นอกจากนี้ยังมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของรายได้จากตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เพิ่มขึ้นร้อยละ 146.61 โดยทำได้ 35.61 ล้านบาท จาก 14.44 ล้านบาท ในปี 2566 จากการเพิ่มบุคลากร ที่ให้บริการลูกค้าด้านแนะนำการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งสวนทางกับปริมาณการซื้อขาย ของ TFEX ที่ในปี 2567 อยู่ที่ 118.04 ล้านสัญญา ลดลงร้อยละ 20 จากปีก่อนอยู่ที่ 129.49 ล้านสัญญา            ในส่วนของกําไร และผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินปี 2567 มีกำไรรวม 2.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน 237.08 ล้านบาท โดยเป็นกำไรจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 48.35 ล้านบาท และเงินปันผล 16.39  ล้านบาท ส่วนการซื้อขายหลักทรัพย์ยังขาดทุน 62.27 ล้านบาท   ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการบันทึกมูลค่าตามตลาดหุ้นที่ลดลง แต่ถือว่าดีขึ้นจากปีก่อน            ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างผลตอบแทนที่ดี และให้บริการกับนักลงทุนแบบครบวงจร และเพื่อเตรียมพร้อมในการทำธุรกิจในปี 2568 คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด)  ได้มีมติอนุมัติปรับโครงสร้างทุนเพื่อความแข็งแกร่ง โดยมีมติให้โอนเงินสำรองตามกฎหมายที่มีอยู่ 100.59 ล้านบาท มาชดเชยการขาดทุนสะสมของบริษัทจำนวน 86.58 ล้านบาททำให้มีเงินสำรองคงเหลือจำนวน 14.01 ล้านบาท เพื่อเตรียมตัวสำหรับการจ่ายเงินปันผลในอนาคตและได้อนุมัติให้ลดทุน จดทะเบียน โดยตัดหุ้นส่วนที่ยังไม่เรียกชำระจำนวน 111.83 ล้านหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 559.19 ล้านบาท หรือลดจากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 1,631.21 ล้านบาท เหลือ 1,072.02 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 214.40 ล้านหุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท            นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1,072.02 ล้านบาท เป็น 1,447.23 ล้านบาท หรือเพิ่มทุนจำนวน 375.20 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 75.04 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท เพื่อรองรับการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ์ (วอร์แรนต์) TNITY-W2 เป็นหุ้นสามัญ โดยบริษัทจะออกให้ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท จำนวน 53.60 ล้านหน่วย อายุ 2 ปีในอัตราจัดสรร 4 หุ้นสามัญต่อ 1 TNITY-W2 อัตราการแปลง 1 ต่อ 1 ราคาแปลงสภาพ 5 บาทต่อหุ้น                 นอกจากนี้ หุ้นเพิ่มทุนจำนวน 21.44 ล้านหุ้น หรือ 107 ล้านบาท จะเสนอขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) เพื่อที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านฐานทุน รวมไปถึงการหาพันธมิตรที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งการเสนอขายขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบริษัทในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยแผนการปรับโครงสร้างทุนครั้งนี้ จะนำเสนอเพื่อขอมติอนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 25 เมษายน 2568 นี้            “เงินทุนที่ได้รับทั้งจากการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทตามใบสําคัญแสดงสิทธิฯ TNITY-W2 และเงินจากการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนบุคคลในวงจํากัด จะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทและบริษัทย่อย และเป็นเงินลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและมีรายได้จากการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยจะส่งผลดีต่อผลการดําเนินงานและการดําเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคต” ดร.วิศิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย

COCOCO บุกตลาดอินเดีย! ร่วมงาน AAHAR 2025 หวังออเดอร์ใหม่ทะลัก

COCOCO บุกตลาดอินเดีย! ร่วมงาน AAHAR 2025 หวังออเดอร์ใหม่ทะลัก

           ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO นำผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวคุณภาพระดับโลก ร่วมงานแสดงสินค้า AAHAR - International & Hospitality Fair 2025 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้านานาชาติด้านอาหารและบริการในรูปแบบ B2B ที่ใหญ่ที่สุดของกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของประเทศอินเดีย เพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการตลาด นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศอินเดีย ร่วมถ่ายภาพที่บูธแสดงสินค้า และร่วมลิ้มลอง รสชาติของ น้ำมะพร้าว 100% Thai Coco – สดชื่นจากธรรมชาติ และ COOS แบรนด์น้องใหม่ – พร้อมเจาะตลาดผู้บริโภคอินเดีย ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของการนำโชว์แสดงสินค้าครั้งนี้            นอกจากนี้ ยังมีชาไทยมะพร้าว – ผสานรสชาติชาไทยต้นตำรับเข้ากับความละมุนของมะพร้าว ให้สัมผัสกลมกล่อมที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่าง พร้อมตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการนำเสนอสินค้าจากธรรมชาติที่ทั้ง อร่อย มีคุณภาพ และดีต่อสุขภาพ ซึ่งผู้เข้าชมให้ความสนใจล้นหลาม ทำให้คาดว่าจะขยายตลาดรับออเดอร์ใหม่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน การปรับตัวของ ราคามะพร้าว ที่เริ่มคลี่คลาย จะช่วยสนับสนุนการทำกำไรของบริษัทให้เติบโตยิ่งขึ้นกระแสตอบรับที่ดีจากผู้เข้าชมงานล้นหลาม สะท้อนถึงโอกาสทางธุรกิจที่เติบโตขึ้น ซึ่งคาดว่าความต้องการในสินค้าและปริมาณคำสั่งซื้อจะยังคงเพิ่มขึ้นทั้งจากกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและลูกค้ารายใหม่ โดยบริษัทฯ ได้มีการวางแผนการขายและเพิ่มกลยุทธ์การตลาด มีการออกงานแสดงสินค้าและสำรวจตลาดเครื่องดื่มในต่างประเทศ เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและขยายฐานลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิม เพื่อสร้างยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต            ทั้งนี้ งานจัดขึ้น ณ Bharat Mandapam Hall 1 กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 4-8 มีนาคม 2568 [PR News]

SELIC เดินหน้า 3 ธุรกิจหลัก หนุนรายได้ปี 68 เติบโต 2.4 พันลบ.

SELIC เดินหน้า 3 ธุรกิจหลัก หนุนรายได้ปี 68 เติบโต 2.4 พันลบ.

          หุ้นวิชั่น - SELIC เดินหน้า 3 ธุรกิจหลัก กาวอุตสาหกรรม - สติ๊กเกอร์ - ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ หนุนรายได้ปี 68 เติบโต 2,400 ลบ. หรือ Double Digit             บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ผู้นำด้านการประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายกาวอุตสาหกรรม (Specialty and High Performance Adhesive) เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ร่วมกิจกรรมบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) นำเสนอผลการดำเนินงานประจำปี 2567 รวมถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 โดยมี นายเก่ง สุวัฒนพิมพ์ กรรมการบริหาร และOperation Director พร้อมด้วย น.ส.กนกกานต์ เพียรเสมอ เลขานุการผู้บริหาร ร่วมฉายภาพกลยุทธ์การเติบโตผ่าน 3 ธุรกิจเรือธงของบริษัท คือ 1.ธุรกิจกาวอุตสาหกรรม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์กาว Solvent, ผลิตภัณฑ์กาว Hot Melt, ผลิตภัณฑ์กาว Water Based ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 27% ของยอดขายในปี 67 รวมทั้ง  2.ธุรกิจสติ๊กเกอร์ หรือฉลากที่มีกาวในตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์กระดาษ, ผลิตภัณฑ์ฟิล์ม, ผลิตภัณฑ์ฉลาก (พิเศษ) มีสัดส่วนอยู่ที่ 40% และ 3.ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บรรเทาปวด, ผลิตภัณฑ์ปฐมพยาบาล มีสัดส่วนอยู่ที่ 33% สามารถเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ หนุนรายได้ไตรมาสแรกของปีเติบโตต่อเนื่อง พร้อมชูธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (HEALTHCARE) เป็นดาวรุ่ง เร่งขยายธุรกิจเพิ่มจำนวนช่องทางการขายให้ครอบคลุมจาก 2,800 ร้านค้า เพิ่มเป็น 3,000 ร้านค้า           อีกทั้ง ผลักดันกลุ่มผลิตภัณฑ์ Consumer Healthcare ภายใต้ Neo Products ให้เข้าถึงช่องทางการขายผ่าน Modern trade หวังเพิ่มยอดขายในทุกๆ สายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อีกทั้งยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ “มวย” หวังโกยรายได้ต่อเนื่อง ดันเป้า HEALTHCARE ทะลุ 1,000 ล้านบาทในปีนี้           ขณะที่ผลการดำเนินงานของ SELIC ในปี 2567 บริษัทฯ สามารถทำรายได้ New High อยู่ที่จำนวน 2,147.2 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 12.7% จากปีก่อน และกำไรสุทธิอยู่ที่ 127.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 59.2% โดย SELIC ได้วางเป้าหมายรวม สำหรับรายได้ปี 2568 อยู่ที่ 2,400 ล้านบาท หรือเติบโตในระดับ Double Digit [PR News]