ทั่วโลกเดือด! จีนสวนกลับภาษี 34% นักลงทุนผวา ตลาดหุ้นจ่อดิ่ง

             หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด คาดเตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรง เริ่มเข้าสู่ตลาดหมี (-20% จากจุดสูงสุดล่าสุด) โดยล่าสุด นานาประเทศเริ่มออกมาตรการตอบโต้ เช่น จีนประกาศจะเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มอีก 34% มีผลตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. ขณะที่นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ออสเตรเลีย และอิตาลี ก็หารือกันถึงวิธีตอบโต้มาตรการภาษีของทรัมป์ ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนถดถอยลงอีก โดย JP Morgan ปรับเพิ่มโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในสิ้นปี เป็น 60% จากเดิม 40%
อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้น รวมถึงดาวโจนส์ฟิวเจอร์ที่ปรับตัวขึ้นในเช้าวันนี้
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจ มีรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงกว่าคาดในเดือน มี.ค. โดยการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมวดการขนส่ง การก่อสร้าง และคลังสินค้า เป็นไปตามที่ทรัมป์ต้องการ ขณะที่อัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.2% สูงกว่าคาด ส่งผลต่อแนวนโยบายการเงินที่ในอนาคตจะมีความตึงตัวมากขึ้น เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดทำได้ยากขึ้น จากแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้น

  • สัปดาห์นี้ติดตาม

เงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน มี.ค.
การบังคับใช้ภาษีของทรัมป์
การตอบโต้มาตรการภาษีของแต่ละประเทศ

(0) ตลท. ออกมาตรการดูแลตลาด
(0) ติดตามการประชุม ครม.

ประเมินว่า SET Index มีแนวโน้มปรับตัวลง ลุ้นทดสอบแนวรับ 1,100 / 1,050 จุด ตามลำดับ แนะนำชะลอการลงทุน หลังตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาตรการเพื่อรองรับความผันผวนจากการบังคับใช้ภาษีของทรัมป์ใน SET & TFEX ช่วงวันที่ 8–11 เมษายน โดยมีรายละเอียดดังนี้:

SET ปรับ Ceiling/Floor ลดลงครึ่งหนึ่ง เช่น หุ้นสามัญ (Common Stock) จาก 30% เหลือ 15%
ปรับกรอบราคา Dynamic Price Band ลดลงครึ่งหนึ่ง จาก 10% เหลือ 5%
ไม่อนุญาตให้ Short Sell ยกเว้นกรณี Registered Market Maker (MM) ที่สามารถ Short Sell ได้ตามปกติ
TFEX ปรับ Ceiling/Floor ลดลงครึ่งหนึ่ง สำหรับผลิตภัณฑ์อ้างอิงหุ้น (Equity-based product) จาก 30% เหลือ 15%

ด้านความคืบหน้าในการเจรจานโยบายการค้ากับสหรัฐฯ นำโดยคุณศุภวุฒิ สายเชื้อ ระบุว่าไทยยังไม่เร่งรีบเจรจาแบบเวียดนาม เนื่องจากยังไม่สามารถทราบความต้องการที่แท้จริงของแนวทางการขึ้นภาษีของทรัมป์

แนวทางเบื้องต้น: มีแผนจะนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพด เพื่อนำมาแปรรูป เพิ่มนำเข้าสินค้ากลุ่มพลังงาน สนับสนุนการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ

เชิงกลยุทธ์ เราประเมินว่า การขึ้นภาษีในรอบนี้จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม:ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าหลักของไทย คิดเป็นราว 18% ของ GDP ขณะที่การส่งออกโดยรวมของไทยมีสัดส่วนประมาณ 60% ของ GDP

กลยุทธ์การลงทุน เน้น Domestic Play และ Defensive Stock ที่สามารถทยอยสะสมหรือถัวเฉลี่ยลงทุนได้ เช่น:

กลุ่มค้าปลีก: CPALL, CPAXT
กลุ่มสื่อสาร: TRUE, ADVANC
กลุ่มโรงพยาบาล: PR9, BDMS, BH

ติดตาม:
การประชุม ครม. ที่จะเร่งผลักดันโครงการ Entertainment Complex ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไป

  • Stock Pick: TIDLOR แนวโน้มผลประกอบการ 1Q25F คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 16.60 บาท

แนวโน้ม 1Q25F คาดว่าจะดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY
ผู้บริหารยังไม่ได้ให้เป้าหมายทางการเงินในปีนี้อย่างเป็นทางการ โดยคาดว่าจะรอการปรับโครงสร้างธุรกิจ และประเมินผลของมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” คาดว่าผู้บริหารยังคงคุมเข้มการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง โดยการเติบโตของสินเชื่อน่าจะใกล้เคียงกับปีก่อน (คาดกรอบ +7.5%) โดยยังคงโฟกัสที่ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ
ส่วน สินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง จะทยอยปรับลดสัดส่วนลงให้ต่ำกว่า 10% ของพอร์ตสินเชื่อรวม

  • มุมมองต่อเศรษฐกิจและโอกาสของธุรกิจ

แม้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังสูง (3Q24 = 89% ต่อ GDP) แต่ถือเป็นโอกาสสำหรับบริษัทในการรองรับความต้องการสินเชื่อในตลาดที่ยังมีช่องว่าง โดยอาศัยจุดแข็งด้านเงินทุนจาก BAY ซึ่งช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น

คุณภาพสินทรัพย์ ยังคงรักษาจุดเด่นในด้านตัวเลขหนี้เสียที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมจำนำทะเบียน ต้องจับตาความเสี่ยงในพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง คาดว่า NPLs มีโอกาสปรับลดลงต่ำกว่า 1.8% จากการขยายตัวของสินเชื่อ คุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นจากการคุมเข้มการปล่อยกู้ การพัฒนาระบบติดตามทวงหนี้ ผลจากมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย”

อัตรากำไรสุทธิ (NIM) และค่าใช้จ่าย
คาดว่า NIM จะชะลอตัวต่อเนื่องจาก 4Q24 จากแนวโน้ม Cost of Fund (CoF) ที่เร่งตัวขึ้น และจะพีคสุดใน 2Q25F

สาเหตุหลักจากการออกหุ้นกู้ต้นทุนสูงในปีที่ผ่านมา และผลกระทบจากมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย”
คาดว่า ค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (C/I) จะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 55.9% มาอยู่ที่ระดับ 56.5% จากการขยายสาขา (ราว 80–100 สาขา) และการลงทุนในระบบ IT รวมถึงธุรกิจนายหน้าประกันภัย

  • ประมาณการกำไรสุทธิ

ปี 2568F: 4.6 พันล้านบาท (+10% YoY)
ปี 2569F: 5.5 พันล้านบาท (+18% YoY)
แม้ NIM อาจชะลอลงจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือ แต่คุณภาพลูกหนี้ดีขึ้น และผลขาดทุนจากรถยึดเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น

ธุรกิจประกันภัย คาดว่าจะเติบโตทุกแบรนด์
Shield Insurance – ผ่านพนักงานสาขา
Areegator – แพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านตัวแทนนายหน้า
heygoody – แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ไม่มีการโทรขายประกัน

แนวโน้ม 1Q25F คาดว่าจะดีขึ้นจาก: การขยายตัวของสินเชื่อ ค่าใช้จ่ายสำรองลดลงจากคุณภาพลูกหนี้ที่ดีขึ้น OPEX ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล

  • คำแนะนำ: แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.60 บาท (อิง PBV 1.68 เท่า)

ปัจจุบัน TIDLOR อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างเป็น Holding Company โดยเปิดรับคำเสนอซื้อ/แลกหุ้น ระหว่างวันที่ 10 มี.ค. – 16 เม.ย. 2568 ในอัตรา 1:1 (ต้องดำเนินการด้วยตนเอง)
แนะนำให้นักลงทุนแลกหุ้น เพื่อคาดหวังการดำเนินธุรกิจที่คล่องตัวขึ้น และโอกาสในการจ่ายปันผลที่สูงขึ้นในอนาคต

แนวรับ – แนวต้าน
แนวรับ: 15.00 – 14.80 บาท (ไม่ควรหลุด)
แนวต้าน: 15.80 / 16.60 บาท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

[Vision Exclusive] ADVANC-TRUE รับอานิสงส์ประมูลคลื่น

[Vision Exclusive] ADVANC-TRUE รับอานิสงส์ประมูลคลื่น

[Vision Exclusive] A5 อสังหาฯ ไฮเอนด์คึก  ลูกค้าระดับบนแห่ Walk-in

[Vision Exclusive] A5 อสังหาฯ ไฮเอนด์คึก ลูกค้าระดับบนแห่ Walk-in

[Vision Exclusive] จับตาบอร์ด OR สรุปซื้อหุ้นคืน?

[Vision Exclusive] จับตาบอร์ด OR สรุปซื้อหุ้นคืน?

KBANK กำไรดีกว่าคาด หุ้นพื้นฐานดีปันผลเด่น

KBANK กำไรดีกว่าคาด หุ้นพื้นฐานดีปันผลเด่น

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด