หุ้นไทยไปต่อ หรือ พอแค่นี้! ศึกภาษีสหรัฐฯปะทุ คาดฉุด GDP ทรุด

                 หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index จะอ่อนตัวลงทดสอบระดับต่ำสุดที่ 1,155–1,157 จุด และมีความเสี่ยงที่จะหลุดต่ำกว่านั้น โดยยังคงถูกกดดันจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบจากความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสชะลอหรือถดถอยจากผลของมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่มีอัตราสูงกว่าคาด ส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหนัก และไหลเข้าสู่พันธบัตรอย่างชัดเจน สะท้อนผ่าน Bond Yield 2 ปี และ 10 ปีของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงแรงแตะระดับ 3.68% และ 4.04% ตามลำดับ ต่ำสุดในรอบเกือบ 6 เดือน

                 ในขณะเดียวกัน กลุ่มพลังงานต้นน้ำและกลางน้ำวันนี้คาดว่าจะถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงแรงถึง 7% หลังจากที่ 8 ประเทศ OPEC+ ตกลงเพิ่มกำลังการผลิต 411,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้เพียง 140,000 บาร์เรลต่อวัน

ปัจจัยในประเทศ:

                 เรามองว่ามีโอกาสที่ กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps จากระดับ 2% ในการประชุมปลายเดือนนี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจและลดผลกระทบเชิงลบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทั้งนี้ ต้องติดตามว่าคณะรัฐมนตรีจะสามารถเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดอัตราภาษีที่ประกาศไว้ได้มากน้อยเพียงใด

                 เรายังแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มส่งออกระยะสั้น เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารส่งออกปลายน้ำ ยาง เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มที่คาดว่าจะปรับตัวได้แข็งแรงกว่า คือกลุ่ม Defensive และ Consumer Staple เช่น สื่อสาร การแพทย์ โรงไฟฟ้า IPP ค้าปลีก เป็นต้น

                 กลยุทธ์: ยังเน้น Selective Buy หุ้น Domestic ที่มีแนวโน้มกำไร 1Q25–2025 แข็งแกร่ง และได้รับผลกระทบจำกัดจากความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว

หุ้นเด่นประจำเดือนเมษายน: BA, BBL, CPF, HMPRO, OSP
FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR

หุ้นเด่นวันนี้: BDMS – แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36.50 บาท

                 แนวโน้มผลการดำเนินงาน 1Q25 คาดว่ายังคงเติบโตในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง มีลุ้นเติบโตทั้งแบบ QoQ และ YoY โดยเฉพาะในประเทศที่เริ่มมีโรคระบาด และกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติที่คาดว่ายังเติบโตได้ โดยเราคาดกำไรปี 2025 ที่ 17.6 พันล้านบาท (+10% YoY) จากสถานะเป็นหุ้น Defensive ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง และแนวโน้มตลาดที่อยู่ในโหมด Risk-Off
แนวรับอยู่ที่ 22.20 บาท แนวต้าน 23.50 / 24.50 บาท

Fund Flow:
                 วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากภูมิภาคอย่างหนาแน่นรวมมูลค่า US$1,198 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ (US$992 ล้าน) ขณะที่ไต้หวันปิดทำการ ส่วนอาเซียนมีเม็ดเงินไหลออกสูงสุดที่เวียดนาม (US$143 ล้าน) ตามด้วยไทย (US$62 ล้าน)

แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลว่ามาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย และอาจนำไปสู่สงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเม็ดเงินจะไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตร

ประเด็นสำคัญวันนี้:
                 (-) กลยุทธ์ลงทุนหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ไทยที่ 37% สูงกว่าตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 10–20% โดยรวมเราเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยมี downside มากขึ้น โดยก่อนสหรัฐฯ ประกาศ กระทรวงพาณิชย์ไทยคาดการณ์ไว้ว่าการขึ้นภาษีจะอยู่ที่ระดับเดียวกับไทยคือ 10% ซึ่งจะกระทบต่อ GDP growth ประมาณ 0.2–0.6% แต่การปรับขึ้นภาษีจริงเกินคาดค่อนข้างมาก เราคาดว่าทุกๆ 1% ที่การส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง จะกระทบต่อ GDP growth ประมาณ 0.1% ดังนั้นจึงคาดว่าตลาดอาจมีการปรับลดประมาณการ GDP growth ลงต่ำกว่า 2% ใน 2Q25

กลยุทธ์การลงทุน:
ยังคงเน้นลงทุนในหุ้น Domestic play โดย Top picks ได้แก่ BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO และ SHR

(0) กลุ่มธนาคาร: คาดกำไรสุทธิรวม 1Q25 ของ 7 ธนาคาร อยู่ที่ 54.6 พันล้านบาท (-0.6% YoY) จาก NIM ที่ลดลงตามการปรับลดดอกเบี้ยของ กนง. ตั้งแต่ ต.ค. 2024 แต่ +6.5% QoQ จากค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ลดลงหลังช่วง High Season ใน 4Q24 ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดย NPL 1Q25 คาดอยู่ที่ 3.59% ต่ำกว่า 3.61% ใน 1Q24 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีที่ 4%

ยังคงน้ำหนักลงทุนกลุ่มธนาคารเท่ากับตลาด โดย Top picks คือ BBL (ราคาเป้าหมาย 194 บาท) และ KBANK (ราคาเป้าหมาย 186 บาท)

(+) PR9: คาดกำไรปกติ 1Q25 อยู่ที่ 191 ล้านบาท (+20% YoY) หนุนจากรายได้ผู้ป่วยตะวันออกกลางที่แข็งแกร่ง โดยคาดสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นเป็น 28–30% ของรายได้ผู้ป่วยต่างชาติรวมในปี 2025 จาก 8% ในปี 2024 ทำให้รายได้ผู้ป่วยต่างชาติรวมแตะระดับสูงสุดใหม่ใน 1Q25 ทั้งปีคาดรายได้เติบโต 9% YoY และกำไรปกติเติบโต 15% YoY ราคาเป้าหมาย 30 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(-) ASW: ยอด Presales 1Q25 ทำได้ 8.3 พันล้านบาท (+75% QoQ, +33% YoY) จากความสำเร็จในการเปิดโครงการใหม่ที่ภูเก็ต ซึ่งมี Take-up rate 50–75% โครงการของบริษัทไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และยังคงแผนเปิดโครงการใหม่และการเริ่มโอนคอนโด คาดกำไร 1Q25 ทรงตัว QoQ แต่หดตัว YoY จาก GPM ที่ลดลง คาดการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นใน 3Q25 จากการเริ่มโอนโครงการคอนโดใหญ่ที่ภูเก็ต คาดกำไรปกติปี 2025 ลดลง -23% YoY ราคาเป้าหมาย 8 บาท แนะนำ “ถือ”

(-) กลุ่มอาหาร/เครื่องดื่ม/เกษตร/อิเล็กทรอนิกส์: สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มเกษตรและอาหารมากที่สุด โดยบริษัทที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง เช่น ITC (50%), TU (30%), ASIAN (50%), AAI (67%) ส่วน RBF อาจถูกกระทบทางอ้อมจากเวียดนามที่ถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ที่ 46%

กลุ่มเครื่องดื่ม เช่น PLUS (44%), COCOCO (24%), SAPPE (13%) ก็อาจได้รับผลกระทบ สำหรับกลุ่มเกษตร STA มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ 13% (จากธุรกิจยาง 7% และถุงมือยาง STGT 18%) กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แม้ข่าวระบุว่า Semiconductor ได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งใกล้เคียงกับสินค้าของ HANA (ขายไป US 26%) แต่ยังมีรายได้จาก PCBA ที่ไม่ได้รับการยกเว้น ขณะที่ DELTA (26%) และ KCE (21%) ไม่จัดอยู่ในกลุ่ม Semiconductor

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

BIZ ผ่านฉลุยปันผลเป็นเงินสด 0.35 บ./หุ้น

BIZ ผ่านฉลุยปันผลเป็นเงินสด 0.35 บ./หุ้น

SCGP กำไร Q1/68 วูบ 48% ยอดขายหด-ต้นทุนพุ่ง  

SCGP กำไร Q1/68 วูบ 48% ยอดขายหด-ต้นทุนพุ่ง  

BJC คาดกำไรโตแรง ราคาหุ้น Laggard เล็งเป้า 28.50 บ.

BJC คาดกำไรโตแรง ราคาหุ้น Laggard เล็งเป้า 28.50 บ.

MINT ไม่สะเทือน! ไฟดับใหญ่ในยุโรป เคาะเป้า 37 บ.

MINT ไม่สะเทือน! ไฟดับใหญ่ในยุโรป เคาะเป้า 37 บ.

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด