หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน STECON มีแนวโน้มพลิกกลับมาทำกำไรปี 2568 หลังผ่านช่วงขาดทุนหนัก โดย บล.ดาโอ ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” พร้อมเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 7.00 บาท ในขณะที่ บล.เคจีไอ คงราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท โดยมี upside อยู่ราว 57% จากราคาปิดหุ้นล่าสุด ดังนั้นปรับเพิ่มคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ”
STECON ปลุกผลงานฟื้น ดาโอ อัพเป้าเป็น 7 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุุถึง STECON ปรับคำแนะนำหุ้น STECON ขึ้นเป็น “ซื้อ” (จากเดิม “ถือ”) และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 7.00 บาท (จากเดิม 4.00 บาท) โดยอิงจาก 2025E PER ที่ 20x (-1SD below 5-yr average PER). การปรับคำแนะนำนี้มาจากมุมมองบวกหลังการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 5 มี.ค. โดยประเด็นสำคัญคือ 1) การตั้งเป้ารายได้ปี 2025E อย่างน้อย 3.2 หมื่นล้านบาท โต +5-10% YoY ซึ่งใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของเราที่ +7% YoY, 2) ยืนยันว่าไม่มีต้นทุนเพิ่มจากงานอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอนแล้ว, 3) บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับ NBM (สายสีชมพู) และ EBM (สายสีเหลือง) เพื่อขอลาออกจากคณะกรรมการตามหลัก CG เนื่องจากบริษัทถือหุ้นเพียง 15% ซึ่งทำให้บริษัทไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุนจากโครงการดังกล่าว, 4) คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในงาน CFP ของไทยออยล์ใน 2-3 เดือนข้างหน้า.
เราปรับกำไรปกติปี 2025E ขึ้น +75% เป็น 535 ล้านบาท พลิกฟื้นจากขาดทุนปกติปี 2024 ที่ -1.3 พันล้านบาท เพื่อสะท้อนแนวโน้มที่บริษัทอาจหยุดรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากสายสีชมพูและสายสีเหลืองตั้งแต่ 2Q25E. สำหรับ 1Q25E เบื้องต้นคาดผลการดำเนินงานปกติจะดีขึ้น YoY และ QoQ เนื่องจาก GPM ฟื้นตัวหลังบริษัทรับรู้ต้นทุนส่วนเพิ่มจากงานบึงหนองบอนทั้งหมดแล้ว และยังได้ประโยชน์จากเงินปันผลจาก GULF. ราคาหุ้นกลับมา outperform SET เพิ่มขึ้น 11% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา
STECON คาดปี68 พลิกมีกำไร 765 ลบ. เคจีไอ แนะซื้อ เป้า 8.50 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า STECON ประสบผลขาดทุน 4Q67 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.25 พันลบ. และปี 2567 อยู่ที่ 2.36 พันลบ. จาก i) ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจากโครงการ Clean Fuel ของ Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)* ราว 1 พันลบ., ii) รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยวสายสีชมพูและสีเหลืองที่ 585 ลบ., iii) ปรับลดมูลค่าของอาคารชุดเพื่อขาย 170 ลบ., iv) ตั้งค่าเผื่อขาดทุนของการซ่อมโครงการป้องกันน้ำท่วมบึงหนองบอนที่ 480 ลบ. และ v) ผลขาดทุนจากดำเนินงานอื่น ๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยเชิงป้องกันสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู/สีเหลือง แม้ว่ารายได้ประมาณ 3 หมื่นลบ. จะเป็นไปตามที่เราคาด แต่อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิติดลบจากต้นทุนที่เกินกำหนด (overrun) และการตั้งสำรองต่าง ๆ ในเชิงบวก STECON ได้มีการลงนามสัญญาใหม่ ๆ มูลค่ารวมราว 4 หมื่นลบ. ในปี 2567
ธุรกิจจะพลิกฟื้นตั้งแต่ 1Q68F
เราคาดว่า STECON จะกลับมามีกำไรตั้งแต่ 1Q68F หนุนจากเงินปันผลรับราว 220 ลบ. จาก Gulf Holding (GULF.BK/GULF TB)* และ GPM พลิกกลับสู่ระดับปกติที่ 5-7% หากการเคลมประกันของการซ่อมโครงการหนองบอนมูลค่า 1 พันลบ. เสร็จสิ้น STECON จะบันทึกรายการนี้เป็นกำไรพิเศษภายในปีนี้ นอกจากนี้ เป็นไปได้ที่ STECON จะไม่ต้องบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู/สีเหลืองมูลค่า 500-600 ลบ. หากผู้บริหารบริษัทไม่มีตำแหน่งกรรมการในบริษัทดังกล่าว
อีกทั้ง STECON ยังหวังว่าโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภาของ UTA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนจะเดินหน้าต่อไป เพื่อจะเริ่มรับรู้รายได้ราว 2.7 หมื่นลบ. จากงานก่อสร้างในโครงการนี้
ปรับประมาณการกำไรให้สอดคล้องกับ guidance ของบริษัทปี 2568
STECON ให้ guidance รายได้จากงานรับเหมาก่อสร้างราว 3.2 หมื่นลบ. โดยมี GPM ราว 7% นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจใหม่ราว 1 พันลบ. ซึ่ง 200 ลบ. จะมาจากโครงการน้ำประปา Mars ที่บริษัทถือหุ้น 51% และส่วนที่เหลืออาจมาจากดีล M&A ใหม่ ๆ
ขณะที่บริษัทคาดว่าจะได้ backlog ใหม่มูลค่า 5 หมื่นลบ. ภายในปีนี้ ซึ่ง 4 หมื่นลบ. อาจมาจากโครงการเอกชน เช่น ศูนย์ข้อมูลสองแห่ง โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ โครงสร้างพื้นฐาน และอาคารพาณิชย์
ที่สำคัญ 5 โครงการของรัฐบาลที่อยู่ในลำดับต้น ๆ มูลค่ารวมราว 1.2 แสนลบ. มีกำหนดจะเปิดประมูลใน 3Q-4Q68
ทั้งนี้ เราคงประมาณการรายได้ไว้ที่ 3.2 หมื่นลบ. โดยมี GPM ที่ 5% นอกจากนี้เราไม่ได้รวมส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู/สีเหลืองไว้ในกำไรสุทธิ ดังนั้น เราประมาณการกำไรที่ 765 ลบ. ในปี 2568F และเติบโตต่ออีก 21% YoY ในปี 2569F
Valuation & Action
เราคงราคาเป้าหมาย SOTP ที่ 8.50 บาท โดยมี upside อยู่ราว 57% จากราคาปิดหุ้นล่าสุด ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” ขณะที่ ณ ราคาเป้าหมายของเรา STECON เทรดระดับ PE ที่ 17x หรือราว -1SD
ทั้งนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market cap.) ปัจจุบันของบริษัทที่ 8.2 พันลบ. ยังคงน้อยกว่ามูลค่าการถือหุ้นใน GULF ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.1 หมื่นลบ.
Risks
ความรวดเร็วในอัตราการเติบโตของ GDP ความล่าช้าจากการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีและการเริ่มดำเนินการโครงการใหม่ ๆ การแก้ไขสัญญาต่าง ๆ การปรับเปลี่ยนระเบียบต่าง ๆ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และการปรับเพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำขึ้น