หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ERW) เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯ บันทึกกำไรสุทธิ เมื่อรวมผลรายการพิเศษจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่ใช้วิธีส่วนได้เสีย กำไรจากผลต่างของสินทรัพย์สิทธิการใช้และหนี้สินตาม สัญญาเช่าจากการเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่า และการกลับรายการขาดทุนจากการด้อยค่าที่ดิน อาคาร และ อุปกรณ์ จำนวน 1,281 ล้านบาท หรือ เติบโตร้อยละ 72 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนผลประกอบการไม่รวมรายการพิเศษในปี 2567 บริษัทฯ บันทึกรายได้รวมเท่ากับ 7,917 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปี 2566 และบันทึกกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เท่ากับ 2,645 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปี 2566 ส่งผลให้สามารถบันทึกกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์จำนวน 906 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับปี 2566
ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าหลักของกลุ่มโรงแรมระดับ 5 ดาวจนถึงชั้นประหยัดกว่าร้อยละ 90 เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้ปัจจัยหลักที่สนับสนุน การดำเนินงานของโรงแรมกลุ่มนี้ คือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศ โดยในไตรมาส 4/2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จำนวน 9.5 ล้านคน เติบโตร้อยละ 18 จากไตรมาส 4/2566 และคิดเป็นการฟื้นตัวร้อยละ 84 ของไตรมาส 4/2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19โดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยว 3 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย และอินเดีย และสำหรับปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ 35.5 ล้านคน สูงกว่าเป้าหมายที่การท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทยตั้งไว้ที่จำนวน 35 ล้านคน เติบโตร้อยละ 27จากปี 2566 และคิดเป็นการฟื้นตัวร้อยละ 87 ของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลา ก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยว 3 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย และอินเดีย
จากกลยุทธ์ในการปรับเพิ่มราคาของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปี 2567 โรงแรมในกลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโต ร้อยละ 9 จากปี 2566 โดยยังคงรักษาอัตราการเข้าพักที่ระดับเดียวกับปีก่อน ในขณะที่กลุ่มโรงแรมชั้นประหยัดมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ด้วยเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักที่ร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับขึ้นของค่าห้องพักเฉลี่ยที่ร้อยละ 11 และอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4
ปี 2567 โรงแรมในกลุ่มนี้มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 6,039 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากอาหารและเครื่องดื่มเป็นจำนวน 1,401 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน และกำไรระดับ EBITDA 2,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
กลุ่มลูกค้าหลักของกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ท (ฮ็อป อินน์) ประเทศไทย เป็นลูกค้าคนไทยเกือบทั้งหมด ทั้งซึ่งมีวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่กว่าร้อย ละ 70 เป็นการเดินทางเพื่อธุรกิจ ส่งผลให้ปัจจัยหลักที่สนับสนุนการดำเนินงานโรงแรมกลุ่มนี้ คือ ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ซึ่งในไตรมาส 4/67 เติบโตร้อยละ 3.2และการเดินทางภายในประเทศ โดยในไตรมาส 4/67 มีนักเดินทางในประเทศจำนวน 71 ล้านคน เติบโตร้อยละ 5 จากไตรมาส 4/66 และตลอดทั้งปี 2567 มีนักเดินทางจำนวน 270 ล้านคน เติบโตร้อยละ 8 จากปี 2566
แนวโน้มธุรกิจของบริษัทฯ
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 คาดการณ์เติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2568 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 40 ล้านคน โดยใน ภาพรวมปี 2568 บริษัทฯประมาณการเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ร้อยละ 10 โดยแบ่งเป็นการเติบโตของกลุ่มโรงแรมระดับ 5 ดาว ถึงประหยัดที่ร้อยละ 5-7 และกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ทเติบโตที่ร้อยละ23 จากปี2567 และดำเนินการพัฒนาและขยายการลงทุนอย่าง ต่อเนื่องตามแผนระยะยาวที่วางไว้ โดยมุ่งเน้นการลงทุนทั้งในโรงแรมระดับกลางโดยการเข้าทำสัญญาเช่าที่ดินระยะยาวบริเวณ รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีพร้อมพงษ์ เพื่อเตรียมการเปิดโรงแรมในอนาคต และการปรับปรุงโรงแรมระดับ 5 ดาวถึงชั้นประหยัดที่มีอยู่เพื่อ เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังลงทุนใน โรงแรมระดับบัดเจ็ทเพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้และกำไรที่เกิดจากฐานลูกค้าผู้ใช้บริการทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างการเติบโตที่มี เสถียรภาพในระยะยาว โดย ณ สิ้นไตรมาส 4/67 บริษัทฯ มีโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาในประเทศไทย จำนวน 11 แห่ง และในปี 2568 บริษัทฯ มีแผนในการเปิดโรงแรมใหม่ในกลุ่มโรงแรมระดับบัดเจ็ท จำนวน 10 สาขา
อย่างไรก็ตาม ปี 2568 ยังคงมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เช่น การผันผวนของค่าเงิน สภาวะ เศรษฐกิจโลก สงครามระหว่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และนโยบายของรัฐบาล บริษัทฯ ได้ติดตามปัจจัย เหล่านี้อย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยคำนึงสถานการณ์และสภาพคล่องของ บริษัทฯ เป็นปัจจัยสำคัญ