KBS กำไรปี 67 เพิ่มขึ้น 9% ตามยอดขายน้ำตาล

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) (KBS) เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทมีผลกำไรสุทธิรวมสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เป็นจำนวนเงิน 1,040 ล้านบาท โดยมีกำไรเพิ่มขึ้น 85 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิรวมเป็นจำนวน เงิน 955 ล้านบาท และบริษัทมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงิน  ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เป็นจำนวนเงิน 2,404 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเป็นจำนวนเงิน 190 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 8.5 โดยมีปัจจัยหลักดังต่อไปนี้

1. บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ(ก่อนตัดรายการระหว่างกัน) เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เป็นจำนวนเงิน 4 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 1.9 (2566: กำไรขั้นต้น 2,265.1 ล้านบาท) โดยแสจงรายได้และทำไรขั้นตันตามส่วนงานของกลุ่มธุรกิจ

1.1 กำไรขั้นต้นจากส่วนงานผลิตจำหน่ายน้ำตาลทราย และบริการเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเป็น จำนวนเงิน 38.9 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 2.4 เนื่องจาก

– รายได้จากการขายน้ำตาลเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 1,171.7 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 12.0 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และจากราคาขายน้ำตาลเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 21.2 ในขณะที่ปริมาณขายน้ำตาลลดลงในอัตราร้อยละ 23.2

– รายได้จากการขายกากน้ำตาลเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 172 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 15.9 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากราคาขายกากน้ำตาลเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 13.6

– บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าทางการเกษตร น้ำมัน และค่าบริการจักรกลหนักทาง การเกษตรสุทธิ เพิ่มขึ้น 36.9 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 2.6 จากปริมาณผลผลิตของหีบอ้อยและการส่งเสริมการปลูกอ้อยแก่ชาวไรเพิ่มขึ้นขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

– ปริมาณอ้อยที่เข้าสู่กระบวนการผลิตสำหรับฤดูการผลิดปี 2566/67 มีทั้งสิ้น 3.56 ล้านดัน ซึ่งลดลงจากฤดูการผลิตปี 2565/66 เป็นจำนวน 0.39 ล้านตัน หรือลดลงในอัตราร้อยละ 9.8 ขณะที่ต้นทุนอ้อยและค่าขนส่งอ้อยที่นำเข้ากระบวนการผลิตปี 2566/67 โดยเฉลี่ยรวม เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาต้นทุนอ้อยได้ปรับสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่าน

– ราคาอ้อยในปีการผลิด 2566/67 อยู่ที่ 1,425.37 บาทต่อดันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10.0 ซี.ซี.เอส. เพิ่มจากปีการผลิต 2565/66 จำนวน 226.18 บาทต่อดันอ้อย หรือเพิ่มขึ้มขึ้น ในอัตราร้อยละ 18.9 ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบโดยรวมเพิ่มขึ้น

1.2 กำไรขั้นต้นจากส่วนงานซื้อมาขายไปน้ำตาลและกากน้ำตาลเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเป็น จำนวนเงิน 210 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 1,826 โดยมีสาเหตุหลักมาจาก

– บริษัทย่อยมีรายได้จากการขายน้ำตาลเพิ่มขึ้น 1,986.9 ล้านบาท ปีที่ผ่านมามีรายได้จากการขายน้ำตาลเพียง 1.6 ล้านบาท เนื่องจากมีการปรับให้บริษัทย่อย ดำเนินการบริหาร จัดการการขายน้ำตาลและให้บริการให้กับลูกค้าโดยตรง

– บริษัทย่อยมีรายได้จากการขายกากน้ำตาลเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 3 ล้านบาท คิดเป็นอัตรา ร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากราคาขายกากน้ำตาลเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในอัตรา ร้อยละ 16.4 ถึงแม้ว่าปริมาณการขายกากน้ำตาลลดลงในอัตราร้อยละ 15.3

1.3 กำไรขั้นต้นจากส่วนงานสาธารณูปโภคลดลงจากปีที่ผ่านมาเป็นจำนวนเงิน 206.5 ล้าน บาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 31.2

– บริษัทย่อยมีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับภาครัฐลดลงเป็นจำนวนเงิน 118.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 6.0 เนื่องจากอัตราราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงร้อยละ 21.4 และปริมาณจำนวนหน่วยในการขายไฟฟ้าที่ลดลง 13.0 ล้าน กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง หรือคิดเป็นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

2. กลุ่มบริษัทมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 15.2 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาจำนวน 48.7 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 76.2 และบริษัทมีผลขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสัญญาซื้อขายน้ำตาลล่วงหน้าเป็นจำนวนเงิน 13.9 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากปีที่ ผ่านมาเป็นจำนวนเงิน 120.6 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 89.7 (ปี 2566: 133.4 ล้านบาท) โดยมีผลมาจากการบริหารจัดการของฝ่ายบริหาร
3. กลุ่มบริษัทมีรายได้รับเงินปันผลจำนวนเงิน 40.9 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
4. กลุ่มบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายลดลงจากปีที่ผ่านมาเป็นจำนวนเงิน 73.6 ล้าน บาท คิดเป็นร้อยละ 14.6 ซึ่งลดลงจากค่าขนส่งน้ำตาล และค่าใช้จ่ายในการส่งออก รวมถึงค่าเช่าคลังสินค้า เนื่องจากปริมาณการขายและส่งออกที่ลดลง
5. กลุ่มบริษัทมีต้นทุนทางการเงินลดลงเป็นจำนวนเงิน 9.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.4 ซึ่งดันทุนทุน การเงินเป็นการดำเนินงานในธุรกิจปกติ