หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าบริหาร บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (MST) เปิดเผยผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568
โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 131.69 ล้านบาท ลดลง 39.62 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23.13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 171.31 ล้านบาท โดยมีสาเหตุที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
- รายได้ค่านายหน้าลดลง 7.52 ล้านบาท จาก 248.95 ล้านบาท เหลือ 241.43 ล้านบาท หรือลดลง 3.02% เนื่องจาก 1.1 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 6.93 ล้านบาท จาก 214.89 ล้านบาท เหลือ 207.97 ล้านบาท หรือลดลง 3.22% ซึ่งเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันของนักลงทุนบุคคลของบริษัทลดลงจาก 6,194.11 ล้านบาท/วัน เหลือ 5,339.83 ล้านบาท/วัน หรือลดลง 13.79% สอดคล้องกับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันของตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลงจาก 45,716.92 ล้านบาท/วัน เหลือ 42,826.25 ล้านบาท/วัน หรือลดลง 6.32% โดยสัดส่วนของนักลงทุนบุคคลในตลาดลดลงจาก 32% เหลือ 30%
1.2 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 0.60 ล้านบาท จาก 34.06 ล้านบาท เหลือ 33.46 ล้านบาท หรือลดลง 1.76% - รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง 11.70 ล้านบาท จาก 42.85 ล้านบาท เหลือ 31.15 ล้านบาท หรือลดลง 27.31% เนื่องจาก
- ค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ลดลง 15.01 ล้านบาท
- ค่าธรรมเนียมการยืมและให้ยืมหุ้นลดลง 0.28 ล้านบาท
- ขณะที่ค่าธรรมเนียมจากการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น 1.13 ล้านบาท
- ค่าธรรมเนียมอื่นเพิ่มขึ้น 2.36 ล้านบาท
- รายได้ดอกเบี้ยลดลง 14.14 ล้านบาท จาก 277.01 ล้านบาท เหลือ 262.87 ล้านบาท หรือลดลง 5.10% เนื่องจาก
- รายได้ดอกเบี้ยจากเงินฝากในสถาบันการเงินและพันธบัตรรัฐบาลลดลง 15.70 ล้านบาท
- ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 1.93 ล้านบาท
- รายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้น 11.89 ล้านบาท จาก 144.88 ล้านบาท เป็น 156.77 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.20%
- สาเหตุหลักจากรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 24.47 ล้านบาท
- ขณะที่กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินลดลง 12.58 ล้านบาท
- ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 27.88 ล้านบาท จาก 499.83 ล้านบาท เป็น 527.71 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.58% เนื่องจาก
- ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 12.91 ล้านบาท
- ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้น 2.19 ล้านบาท
- ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 6.15 ล้านบาท
- ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น 5.41 ล้านบาท
- ค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มขึ้น 1.22 ล้านบาท
- ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 9.74 ล้านบาท จาก 42.55 ล้านบาท เป็น 32.81 ล้านบาท หรือลดลง 22.89% เนื่องจากกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ลดลง
ดังนั้น จึงมีผลทำให้ผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 ลดลงจากผลการดำเนินงานของปีก่อน 23.13%