หุ้นวิชั่น- ล่าสุด (30 เม.ย. 68) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 5.61% มาอยู่ที่ 160.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.50 บาท มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 1,591.44 ล้านบาท หลังกำไรไตรมาส 1/2568 ออกมาดีกว่าคาด
บล.กรุงศรี ระบุ มอง Positive ต่อกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ราว 1,099 ล้านบาท (-55% y-y, พลิกมีกำไร q-q) สูงกว่าคาด 482 ล้านบาท หรือ 78% (ฐานต่ำ) และ สูงกว่าตลาดคาด 58% โดยสูงกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯ คาด เพราะกำไรของธุรกิจเคมีสาย Butadinene สูงกว่าคาด และธุรกิจซีเมนต์อัตรากำไรดีกว่าคาด
รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ 1,099 ล้านบาท ลดลง y-y เพราะไม่มี stock gain หนุนและ ค่าเสื่อมฯ เพิ่มขึ้นหลังเริ่ม COD โรง LSP ซึ่งหากถอดทั้ง 2 ประเด็นนี้ออก core operation ฟื้นทั้งซีเมนต์ที่อัตรากำไรเพิ่มขึ้น และปิโตรเคมีไม่มีการลด run รวมถึง PVC ฟื้น ส่วนการพลิกกำไร q-q ฟื้นทุกธุรกิจ
- ซีเมนต์ราคาขายเพิ่มหนุนอัตรากำไร
2. ปิโตรเคมี ปริมาณขาย PVC ฟื้นหลังออกจากปิดซ่อม
3. ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ต้นทุนกระดาษลดลง, ไม่มีปิดซ่อมโรงเยื่อ และไม่มีปรับปรุงต้นทุนธุรกิจ recycle
ระยะสั้นมีปัจจัยบวกแนวโน้มการฟื้นในไตรมาส 2/2568 ต่อเนื่อง เพราะ
- ธุรกิจซีเมนต์อัตรากำไรเพิ่มตามการปรับเพิ่มราคาขาย
2. ธุรกิจปิโตรเคมี product spread ฟื้นจากการ re-stock ของจีน, โรงผลิตบางส่วนปิดซ่อม และราคา feedstock ลดลง
3. มีเงินปันผลโตโยต้ามาหนุน (seasonal)
คงคำแนะนำ Neutral ที่ TP 175 บาท
คงมุมมองจุดน่าสนใจกลับมาลงทุนคือ spread HDPE/PP ยืนเหนือ 400$/ton ได้ต่อเนื่อง ในช่วง 2H68 ซึ่งจะเป็นจุดที่โรง LSP กลับมาเปิดดำเนินงาน ความเสี่ยงสำคัญ ผลกระทบสงครามการค้าต่อ demand มากกว่าคาด แต่ต่อ supply น้อย (การ cut run น้อย) ส่งให้เผชิญ oversupply หนักขึ้นการฟื้นตัวของ product spread และการเปิด LSP ช้ากว่าคาด ส่งผลให้กำไรปี 2568 มี downside
บล.ดาโอ ระบุว่า SCC มีประเด็นสำคัญ ได้แก่
1) ภาพรวมธุรกิจใน 2Q25E SCC คาดว่าความไม่แน่นอนที่เกิดจากการบังคับใช้ภาษีนำเข้าตอบโต้ (reciprocal tariffs) ของสหรัฐอเมริกา (US) จะทำให้อุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์จะยังคงอ่อนแออยู่ แต่ก็จะทำให้ราคาน้ำมันและ naphtha ถูกลง ในขณะเดียวกัน ก็อาจจะส่งผลให้โรงแครกเกอร์ในจีนนำเข้า ethane/propane ได้ยากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้มีการผลิตออกมาน้อยลง อย่างไรก็ดี การสร้างโรงงานใหม่ของจีนสำหรับปี 2025-2026 น่าจะอยู่ในระหว่างก่อสร้างแล้ว
2) อัพเดตแผนธุรกิจ SCC ไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงแครกเกอร์ในปีนี้และกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณากลับมาดำเนินงาน (restart) โรงงาน LSP อีกครั้ง (หลังจากปิดซ่อมบำรุงไปตั้งแต่ ต.ค.2024) หากระดับส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ (olefins spread) สามารถยืนอยู่ในระดับปัจจุบันได้อย่างยั่งยืน (HDPE-naphtha spread เฉลี่ย MTD อยู่ที่ USD393/ton เทียบกับ USD354/ton ใน 1Q24) ทั้งนี้ SCC แจ้งว่าโรงงาน LSP นั้นพร้อมสำหรับการ restart แล้ว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือนในการนำเข้าวัตถุดิบ (ประเมินค่าใช้จ่ายในการ restart ที่ USD10mn)
3) สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (CBM) บริษัทแจ้งว่าเป็นไปได้ยากที่จะกลับไปดำเนินธุรกิจในเมียนมาอีกแต่บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มการส่งออกไปเมียนมาเพื่อสนองความต้องการการซ่อมแซมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว
บล .ดาโอ มีมุมมองว่า แนวโน้มธุรกิจในระยะสั้นของบริษัทยังคงมีความท้าทายอยู่จากผลกระทบเชิงลบที่เป็นไปได้ต่ออุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์ olefins จากสงครามการค้าที่ดำเนินอยู่ แม้ว่าบริษัทน่าจะได้ประโยชน์จาก olefins spread ที่ฟื้นตัวขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรปี 2025E ที่ 5.0 พันล้านบาท (-21% YoY) ยังคงคำแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2025E ที่ 140.00 บาท อิงวิธี SOTP