หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุ SCGP รายงานผลขาดทุนสุทธิ 4Q24 ที่ 57 ล้านบาท (พลิกเป็นขาดทุน QoQ และ YoY) หากหักรายการพิเศษออก กำไรปกติอยู่ที่ 34 ล้านบาท ลดลง 95% QoQ และ 97% YoY และต่ำกว่าที่เราคาดไว้ที่ระดับ 79 ล้านบาทมาก โดยมีสาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรขั้นต้นรวมที่ต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ราว 110bps ส่งผลให้กำไรสุทธิและกำไรปกติปี 2024 อยู่ที่ 3,699 ล้านบาท (-30% YoY) และ 3,876 ล้านบาท (-25% YoY) ตามลำดับ
ด้านกำไรปกติลดลงอย่างมีนัยสำคัญทั้ง QoQ และ YoY แม้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจ Integrated Packaging (IPC) ฟื้นตัว QoQ ตามต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลง เพราะถูกกดดันจาก 1. การรับรู้ผลขาดทุนและต้นทุนทางการเงินจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย (Fajar) เป็น 100% แบบเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก (3Q24 รับรู้เพียง 1 เดือน) 2. อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจ Fibrous ที่ลดลงจากการปิดปรับปรุงโรงงานประจำปี 3. อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรีไซเคิลที่ลดลงหลังระดับการบริโภคในยุโรปที่อ่อนแอ ทำให้การจัดเก็บเศษกระดาษทำได้ยากมากขึ้น (ต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงขึ้น)
ด้าน SCGP ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H25 จำนวน 0.30 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield 1.8% โดยจะขึ้น XD วันที่ 1 เม.ย.
มุมมองฝ่ายวิจัย ด้านผู้บริหารได้มีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนในการลดผลขาดทุนของ Fajar โดยในระยะสั้น บริษัทฯ จะมีการปรับลดจำนวน SKUs ของโรงงานของ Fajar ลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและปรับโครงสร้างหนี้ของ Fajar ซึ่งจะส่งผลให้หนี้สินที่มีภาระทางการเงินของ Fajar ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (คาดมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วง 1H25)
ขณะที่ในระยะกลาง-ยาว บริษัทฯ จะเพิ่ม Integration Rate ของธุรกิจในอินโดนีเซียผ่านการทำ M&P เพิ่มเติม (เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ) ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการ Breakeven ของ Fajar ในระดับ EBITDA ในช่วง 2Q25 และในระดับกำไรสุทธิในช่วง 4Q25
ทั้งนี้ SCGP ได้มีการตั้งงบลงทุนจำนวน 1.3 หมื่นล้านบาท ในปี 2025 โดยแบ่งออกเป็น 1. งบลงทุนสำหรับการซ่อมบำรุงและการเพิ่มประสิทธิภาพจำนวน 3.0-5.0 พันล้านบาท 2. งบลงทุนสำหรับการเติบโตของธุรกิจราว 8.0 พันล้านบาท – 1.0 หมื่นล้านบาท (คาดใช้เงินลงทุนราว 3.0-5.0 พันล้านบาท/ดีล)
เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 4Q24 เป็นจุดต่ำสุดของรอบแล้ว และจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ 1Q25 เป็นต้นไป โดยคาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ระดับ 400-500 ล้านบาท ฟื้นตัว QoQ ตามปริมาณขายบรรจุภัณฑ์รวมที่เร่งตัวขึ้นตามระดับการบริโภคในไทย (ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ) และผลประกอบการของ Fajar ที่มีแนวโน้มขาดทุนลดลงต่อเนื่อง
ฝ่ายวิจัยคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ที่ 22.00 บาท/หุ้น และคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม ในช่วงสั้นการฟื้นตัวของราคาหุ้นอาจยังถูกจำกัดจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว เชิงกลยุทธ์จึงแนะนำทยอยสะสมแบบตั้งรับ