หุ้นวิชั่น-STECON แผนปี 2568 ตั้งเป้ากลับมามีกำไร หลังปี 2567 ขาดทุนสุทธิ 2,388.13 ล้านบาท จากต้นทุนโครงการก่อสร้างและค่าเผื่อขาดทุนเครดิต เดินหน้าประมูลงานใหม่ 50,000 ล้านบาท พร้อมขยายธุรกิจพลังงาน-สาธารณูปโภค หวังเพิ่มรายได้เสริม จ่อลงทุนใน Start-up 2-3 บริษัท ยังถือหุ้น GULF ที่ 1.88% โดยบริษัทฯ จะพิจารณาแนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นดังกล่าวต่อไป
นายภาคภูมิ ศรีชำหนิ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่ม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายกลับมามีกำไร หลังจากปี 2567 บริษัทฯ รายงานผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 2,388.13 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากต้นทุนงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากโครงการอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง รวมถึงการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของสินทรัพย์ทางการเงิน การรับรู้รายการปรับลดราคาทุนของอาคารชุดเพื่อขาย และส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม
นายภาคภูมิ ระบุว่า โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นเฉพาะกิจ (Unexpected/One-Time Items) ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการบันทึกต้นทุนลักษณะนี้อีกในอนาคต จึงขอยืนยันว่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว
นอกจากนี้ ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของสินทรัพย์ทางการเงิน จำนวน 1,012.59 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีสัญญากับผู้ว่าจ้างในงานก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด หรือ Clean Fuel Project (CFP) ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4/2567 ผู้ว่าจ้างได้ผิดนัดชำระ ทำให้บริษัทฯ ต้องพิจารณาสถานการณ์การค้างชำระหนี้และตัดสินใจตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตดังกล่าว
บริษัทฯ ได้ทำสัญญากับ UJV ซึ่งเป็นผู้รับเหมา EPC (EPC Contractor) มูลค่าสัญญาประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันงานก่อสร้างได้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 50% โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นผลงานที่ดำเนินการแล้วแต่ยังค้างชำระ ปัจจุบันบริษัทฯ กำลังดำเนินการตามขั้นตอนในสัญญา ด้วยการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ เพื่อเรียกร้องค่างานที่ยังไม่ได้รับชำระ และชะลอการดำเนินงานพร้อมลดค่าใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ UJV สามารถกล่าวหาว่าบริษัทฯ ผิดสัญญาได้
สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรับงานใหม่เพิ่ม 50,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีงานประมูลที่ติดตามอยู่ประมาณ 300,000-400,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มงานในมือให้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน คาดว่าการลงทุนภาครัฐจะเติบโตขึ้นตามนโยบายโครงการต่าง ๆ ที่ภาครัฐประกาศออกมา ส่วนภาคเอกชนคาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกับภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม นายภาคภูมิ ยอมรับว่าผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและรายเล็กประสบปัญหาสภาพคล่อง เนื่องจากการจ่ายเงินจากผู้ว่าจ้างทั้งภาครัฐและเอกชนค่อนข้างล่าช้า ซึ่งอาจเกิดจากงบประมาณที่จำกัดและขั้นตอนการจ่ายเงินที่ใช้เวลานาน ดังนั้น บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการภาพรวมทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในปี 2568 บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการขยายธุรกิจด้านสาธารณูปโภคและพลังงาน เพื่อสร้างรายได้เสริมจากธุรกิจหลัก โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุนในธุรกิจ Start-up โดยคาดว่าจะลงทุนในปีนี้ประมาณ 2-3 บริษัท
สำหรับการถือหุ้นในบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังคงถือหุ้นอยู่จำนวน 220 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 1.88% โดยบริษัทฯ จะพิจารณาแนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นดังกล่าวต่อไป
รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision