หุ้นวิชั่น – แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่ายังมีแรงซื้อของนักลงทุนไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง (ตอบสนองต่อข่าวบวก มากกว่าข่าวลบ) ตลาดหุ้นจะค่อยๆฟื้น และเป้สั้นๆ ดัชนีฯหุ้นไทยยังให้ไว้ที่ 1,200 จุด หุ้นขนาดใหญ่ค่อนข้างได้เปรียบ โดย DELTA ยังเป็น leading หรือบ่งชี้ทิศทางตลาดได้ดี
กลยุทธ์ จึงยังถือต่อ หรือซื้อเพิ่มได้ แบบ Selective buy โดยเน้นไปที่หุ้นที่ราคาลงมาลึก บล. ดาโอ update list หุ้น ที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายของนักลงทุนที่จะซื้อหุ้นที่ราคาลงมาลึก(ต่ำ) 4 หลักทรัพย์ ดังนี้ SCGP, TOP, WHA* และ GLOBAL
หุ้นในพอร์ตวันนี้ นำ TOP, BDMS*, GULF เข้ามาในพอร์ตประกอบด้วย TOP(10%), BDMS*(10%), GULF(10%), GLOBAL(10%), CPF*(10%), KKP(10%) DELTA*(10%), SCB(10%) – (ที่มา-บล.ดาโอ)
ขณะที่ บล. ทัสโก้ มองว่า แรงซื้อที่เข้ามาสนับสนุนหุ้นไทยช่วงนี้ มาจากนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก โดยเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ด้วยมุมมองเชิงบวกต่อสภาพคล่องและแนวโน้มเศรษฐกิจ
ส่วนผลการประชุมกนง. ที่มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 1.75% ยังคงสร้าง Sentiment เชิงบวกในช่วงการซื้อขาย รวมถึงการปรับตัวขึ้นของหุ้น DELTA ที่ปรับขึ้นมาสองวันติด สำหรับราคาหุ้น DELTA ล่าสุดปิดที่ 98.00 บาท เพิ่มขึ้น +10.00 บาท หรือ +11.36% ซึ่งส่งผลต่อตลาดโดยรวม
ขณะที่ผลการลงมติของ กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนั้นมีความกังวลว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หรือกลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบในเชิงลบจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงเข้าซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าว เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง
ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ คือกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ เช่น KKP รวมถึงหุ้นในกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันศุกร์ (2 พ.ค.68) นี้ อยู่ในช่วงก่อนวันหยุดยาว คาดตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่ระยะพักฐานหลังจากปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวแนวต้านอยู่ที่ 1,200–1,210 จุด และแนวรับที่ 1,160–1,180 จุด
ส่วนกลยุทธ์การลงทุน หุ้นแนะนำสำหรับการถือครอง ได้แก่ CPALL และ GULF ซึ่งอยู่ในกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบาย THAI ESG ทั้งนี้ นักลงทุนควรติดตามการประกาศตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ หากตัวเลขออกมาต่ำหรือสูงกว่าคาดการณ์ อาจส่งผลต่อทิศทางตลาดโดยรวม
เช็กกลุ่มโรงพยาบาล
บล.บัวหลวง คาดกำไร 1Q25 ของกลุ่มโรงพยาบาลที่ให้คำแนะนำ จะเป็นไตรมาสที่แข็งแกร่งเกือบทุกแห่ง ยกเว้น BH (มีปัจจัยเฉพาะตัว และรายงานงบฯ แล้ว) โดยภาพรวมอยู่ที่ 6.6 พันลบ. เพิ่มขึ้น 1% YoY แต่ลดลง 3% QoQ จากปัจจัยฤดูกาล
แต่เมื่อย่อยลงไป พบ รพ. PR9 จะเติบโตแข็งแกร่ง YoY ที่สุด คาดที่ 195 ลบ. เพิ่มขึ้น 23% YoY และทรงตัว QoQ รองลงมา BDMS คาดกำไร 4.3 พันลบ. เพิ่มขึ้น 6% YoY และทรงตัว QoQ ตามมาด้วย BCH ที่ 324 ลบ. เพิ่มขึ้น 2% YoY แต่ลดลง 14% QoQ
แนวโน้ม 2Q25 มองว่าจะเห็นผู้ป่วยชาวไทยปรับตัวลดลง แต่ผู้ป่วยชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง (middle east) จะเป็นดาวรุ่งในรอบนี้ หลังผ่านรอมฎอน ใน 1Q25 ดังนั้น มองว่ากลุ่มผู้ป่วย middle east จะกลับมาอย่างก้าวกระโดดใน 2Q25 ซึ่งสัดส่วนรายได้ middle east BH สูงที่สุดที่ 25% ตามมาด้วย BCH 10% PR9 8% และ BDMS 5%
ดังนั้น มองว่าหลังจากงบ 1Q25 ออกแล้ว จะเป็นช่วงเวลาสะสมหุ้นกลุ่มนี้เพื่อดักแนวโน้ม 2Q25 ความกังวลเรื่องผู้ป่วยคูเวต มองว่า จะไม่ใช่ประเด็นกดดันอีกต่อไป จากฐานผู้ป่วยคูเวตปีที่แล้วเหลือน้อยกว่า 1% สำหรับทุกบริษัทแล้ว ทำให้ ชอบ BH มากที่สุด เนื่องจากมี catalyst ดังกล่าว และ PER ถูกที่สุดในกลุ่ม ตามมาด้วย PR9 ที่เติบโตโดดเด่นที่สุด และลำดับถัดมา BCH