หุ้นวิชั่น – จับตานโยบายดอกเบี้ยรอบนี้ ที่ส่วนใหญ่ทุกสำนักคาดการณ์จะมีการปรับลด ทำให้หุ้นกลุ่มแบงก์ถูกกระทบอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ล่าสุดบทวิเคราะห์ บล. ดาโอ มีมุมมอง KTB ว่า จะเริ่มปรับลดวันที่ 30 เม.ย. 25 และวันที่ 25 มิ.ย. 25 ประกอบกับเป้าหมายทางการเงินที่ KTB ให้ไว้ที่ NIM อยู่ที่ 2.9-3.2% (คาด 3.2%) ลดลงจากปีก่อนที่ 3.36% รวมถึงการเติบโตของสินเชื่อปี 2025E ที่จะทำได้เพียงทรงตัว YoY (คาด +3%) ทำให้มี downside ต่อประมาณการกำไรสุทธิ
จะมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E/2026E ลดลง -5%/-8% จากการปรับ NIM และการเติบโตของสินเชื่อลดลง ขณะที่ปรับการเติบโตของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ได้กำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท ทรงตัว YoY จาก NIM ที่ลดลง
ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY/QoQ จากสำรองฯที่จะลดลง ส่วนภาพรวมของ NPL มีแนวโน้มที่ดีกว่ากลุ่มเพราะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้ภาครัฐเป็นหลักราคาหุ้นลดลง -13% เมื่อเทียบกับ SET ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เพราะมี XD ที่ 1.545 บาทต่อหุ้นเมื่อวันที่ 16 เม.ย. 25 ขณะที่มี Asset Quality ที่แข็งแกร่งจากการเน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้
คงคำแนะนำ “ซื้อ” KTB แต่ปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 25.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.75x (-0.50SD below 10-yr average PBV) จากเดิมที่ 27.50 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.82x (-0.25SD below 10-yr average PBV) จากการปรับกำไรและ PBV ลง โดยจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะมีการปรับลดลงอีก 2 ครั้ง
ขณะที่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BBL แต่ปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 168.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.55x (-1.25SD below 10-yr average PBV) จากเดิมที่ 186.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.60x (-1.00SD below 10-yr average PBV) จากการปรับกำไรและ PBV ลง
โดยมีมุมมองเป็นลบจากเป้าหมายที่มีความท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะ NIM เพราะคาด กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ขณะที่เป้าหมาย NIM ที่ให้ 2.8-2.9% รวมการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกแค่ 1 ครั้ง ขณะที่ยังคงเป้า Credit cost ที่ 0.9-1.0% (เราคาด 1.15%, 1Q25 = 1.36%) โดยเป็นการตั้งสำรองฯแบบ Front load
แต่คาดว่ามีความเสี่ยงที่ทั้งปีจะมากกว่าที่คาดได้ มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E/2026E ลดลง -4%/-5% จากการปรับ NIM ลดลงและปรับ Credit cost เพิ่มขึ้น ทำให้ได้กำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท ลดลง -1% YoY จาก NIM ที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิ 2Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง แต่จะลดลง QoQ เพราะฐานกำไรจากเงินลงทุนที่สูง
ขณะที่ BBL ยังคงมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่มที่ 300% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุดในกลุ่มเพียง 0.47x หรือที่ระดับ -1.50SD ย้อนหลัง 10 ปี ถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.63x
มาที่บล.บัวหลวงชี้ว่า ตลาดน่าจะให้น้ำหนักไปที่หุ้นที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี มากกว่าเรื่องของการเติบโตในปีนี้ จึงเลือกหุ้นที่แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์น่าจะยังดี แนะนำ ซื้อ BBL และ KTB เนื่องจากโครงสร้างสินเชื่อเป็นรายใหญ่และรัฐบาลเป็นหลัก จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่าสินเชื่อในกลุ่ม SME และรายย่อย และแนะนำถือ SCB เนื่องจากคาดว่ายังจ่ายปันผลสูงในระดับ 8% ในปีนี้
ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคารลงจาก “เท่าตลาด” เป็น “น้อยกว่าตลาด” ประเมินว่าจะยังเผชิญ 2 ความท้าทาย คือ 1. ด้านคุณภาพสินทรัพย์ และ2. NIM ในช่วงที่เหลือของปีต่อไป
ระวัง! KBANK-KKP
KBANK คุณภาพสินทรัพย์ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน แนวโน้วกำไรสุทธิ 2Q25 จะลดลง YoY และ QoQ กดดันจาก NIM และกำไรจากเครื่องมือทางการเงินลดลง ประเมินว่าความเสี่ยงจากสงครามการค้า จะส่งผลกระทบลูกค้าในกลุ่ม SME ทำให้ แนะนำ ขาย
SCB แนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q25 จะปรับลดลง YoY และ QoQ กดดันจาก NIM และกำไรจากเครื่องมือทางการเงินลดลง ประเมินว่า SCB มีจุดเด่นที่ dividend yield อยู่ในระดับสูงที่ราว 8% แนะนำ ถือ เพื่อรับปันผล
KKP แนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q25 จะเพิ่มขึ้น YoY (credit cost ลดลง) และทรงตัว QoQ โดยปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ลง 5% ทำให้ภายหลังปรับประมาณการ คาดกำไรปีนี้จะลดลง 4% YoY ทั้งนี้ ประเมินว่าธุรกิจตลาดทุนจะฟื้นตัวค่อนข้างช้าในปีนี้ อีกทั้ง valuations ของ KKP แพงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ แนะนำ ขาย
การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน
ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น