หุ้นวิชั่น – สัญญาณการชะลอของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ดูเหมือนจะยิ่งเด่นชัดมากขึ้น ล่าสุดบทวิเคราะห์บล.ดาโอระบุว่า รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวสัปดาห์ที่ผ่านมา (14-20 เม.ย.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 533,955 คน (-20% WoW/-7% YoY) คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 76,279 คน
โดยประเทศที่ลดลงเรียงตามลำดับ คือ 1) จีน 53,863 คน (-35% WoW/-55% YoY) 2) มาเลเซีย 67,573 คน (-34% WoW/-11% YoY) 3) สหราชอาณาจักร 22,231 คน (-31% WoW) 4) อินเดีย 45,973 คน (-17% WoW/+14% YoY) และ 5) รัสเซีย 33,853 คน (-16% WoW/+7% YoY)
การลดลงมาจากนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) และนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ชะลอตัวด้านการเดินทางหลังสิ้นสุดการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นแนวโน้มปกติของการเดินทางและการท่องเที่ยวในช่วงปิดภาคเรียน สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-20 เม.ย. 25 ทั้งสิ้น 11,272,379 คน เพิ่มขึ้น +1% YoY (ที่มา: กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา)
เป็นลบต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวรวมที่ลดลงหลังเทศกาลสงกรานต์ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทำจุดต่ำสุดในรอบ 33 สัปดาห์ ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนทำจุดต่ำสุดในรอบ 85 สัปดาห์ ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวใน Top 5 ลดลงทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเข้าสู่ช่วง Low season อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวในสัปดาห์หน้า (21-27 เม.ย.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาลดลง ขณะที่เดือน พ.ค. 25 ที่มีวันแรงงานของจีน (1-5 พ.ค.) น่าจะช่วยหนุนให้นักท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มขึ้นได้บ้าง
หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวที่ลดลง มี 4 หลักทรัพย์ เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้ในประเทศ ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHR อยู่ระหว่างการปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมและนักท่องเที่ยวจีนปี 2025E ลง
ยังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2568 จะอยู่ที่ 37.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น +5% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 7 ล้านคน เพิ่มขึ้น +4% YoY แต่มีความเสี่ยงที่จะปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวลงเพราะนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาน้อยกว่าคาด รวมถึงมีผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของทรัมป์และแผ่นดินไหวเข้ามากดดัน
อย่างไรก็ตาม เลือก MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2025E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่ลุ้นไม่ขาดทุนใน 1Q25E แม้ว่าจะเป็น Low season ที่ยุโรป แต่ไทยยังโตได้ดี และมีการลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเข้ามาช่วยหนุน ส่วน 2Q-3Q25E จะเป็นช่วง High season ที่ยุโรป ขณะที่จะได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนน้อยกว่ากลุ่ม ประกอบกับที่ยุโรปเน้นนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก
วกมาที่ DELTA ราคายังขึ้นลงผันผวนตามกระแสดีกรีความร้อนแรงสงครามการค้า แต่มาดูพื้นฐานกันหน่อย โดย บล.กสิกรไทย คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% y-y และ 95% Q-Q จากยอดขายที่ดีขึ้นจากการลงทุนของดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่ EV ทรงตัว ทั้งนี้คาดอัตรากำไรขั้นต้นกลับมาเติบโตในระดับ 26% จากที่ไตรมาส 4/67 มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษไปราว 20 ล้านเหรียญฯ แต่ค่าใช้จ่าย SG&A ยังสูง จากค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย
ทั้งนี้ เริ่มมองภาพระยะยาวเป็นบวกมากขึ้น จากสหรัฐ มุ่งทำสงครามการค้ากับจีน ประเทศเดียวมากขึ้น ซึ่งจะคล้ายกับเทรดวอร์รอบแรก ทำให้ซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ หรือลูกค้า ที่เคยสั่งจากจีน ก็อาจจะมีการย้ายฐานการผลิตออกจีน มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูงขึ้น เป็นบวกต่อกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แต่ภาพระยะกลางยังมีความเสี่ยงจากเรื่องของสงครามการค้า และเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ขณะที่ บล.ฟินันเซีย คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 4.2 พันล้านบาท +97% q-q, -2% y-y แต่หากไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษในไตรมาส 4/67 จะมีกำไรปกติทรงตัว q-q แต่ +11.5% y-y หนุนจาก AI Segment ที่มีกำไรดีจากความต้องการที่แข็งแรงต่อเนื่อง โดยคาดรายได้รวม +3% q-q, +13% y-y แม้คำสั่งซื้อระยะสั้นจะเร่งขึ้น หลังทรัมป์เลื่อนการบังคับใช้การปรับขึ้นภาษีตอบโต้ 90 วัน
และยังคงประมาณการกำไรปีนี้ -2.7% y-y แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ อาทิ คดีฟ้องร้องที่ยังไม่ได้ข้อสรุป รายได้จาก EV ที่มีโอกาสต่ำกว่าคาด รวมถึงผลกระทบจากภาษีทรัมป์ หลัง 90 วันไปแล้ว ทำให้ปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 55 บาท โดย de-rate P/E target จาก 45 เท่า เป็น 35 เท่า ยังแนะนำ Reduce
การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน
ข่าวหัวม่วง BY ทีมงานหุ้นวิชั่น