หุ้นวิชั่น – มีบทวิเคราะห์ชิ้นหนึ่ง ที่น่าสนใจ ของบล.บัวหลวง ที่เน้นการประเมินกำไรของ SET จากปัจจัย Trade war โดยมองผลกระทบของ Trade war จะขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลาการเจรจา” และ “อัตราภาษีที่เก็บจริง” และประเมินจากทั้งแนวคิดแบบ Top-down และ Bottom-up ประกอบกัน
จากการศึกษาการปรับประมาณการกำไร (Earnings revision) ในช่วงปี 2018-19 พบว่ามีการปรับลด กำไรลงถึง 27% เทียบปัจจุบันปรับลงไปแล้วเพียง 12% บวกกับความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประเมินว่ากำไรมีโอกาสที่จะถูกปรับลงต่อ (ตามมุมมอง Top-down) ซึ่งสอดคล้องกับประมานการณ์กำไรของนักวิเคราะห์ ปรับลงไปต่ำกว่าตลาดแล้ว 12% (การประเมินแบบ Bottom-up)
ทำให้ประเมินกำไร/เป้าหมายดัชนีใหม่ ดังนี้
- Base-case (โอกาสเกิด 50%) อัตราภาษีเก็บจริงอยู่ที่ 20% ใน 2H25 (เทียบ 10% ปัจจุบัน), มอง GDP ไทยเติบโต 1.4%, กำไรต่อหุ้น EPS ของ SET คาดเหลือเพียง 82 (จากเดิม 90 และต่ำกว่าที่ตลาดทำที่ 93), เติบโตจากปีก่อน 7%, SET index target ปลายปี 2025 อยู่ที่ 1280 (อิง PER 15.7x, -0.5SD)
- Bear-case (โอกาสเกิด 25%) อัตราภาษีเก็บจริงอยู่ที่ 36% เท่าที่ประกาศใน 2H25, มอง GDP ไทยโต 0.9%, EPS ของ SET คาดเหลือเพียง 73, หดตัวจากปีก่อน -5%, SET index target ปลายปี 2025 อยู่ที่ 1030 (อิง PER 14.2x, -1.0SD)
- Best-case (โอกาสเกิด 25%): อัตราภาษีเก็บจริงอยู่ที่ 10% ใน 2H25, มอง GDP ไทยเติบโต 1.6%, EPS ของ SET คาดที่ 87, เติบโตจากปีก่อน 13%, SET index target ปลายปี 2025 อยู่ที่ 1360
ถึงแม้ประเมินว่ากำไรของ SET กรณีเลวร้าย มี downside จากที่ตลาด (ที่ยังไม่ปรับลง) ทำถึง 21% แต่ประเมินว่า SET ปรับตัวลงมาสะท้อนไปมากแล้ว แม้ใช้กำไร SET กรณีเลวร้าย ยังได้ downside บริเวณ 1030 มองว่า downside จำกัดแล้ว จึง มองตลาดผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
แต่ระยะสั้น ตลาดยังผันผวนจากความไม่แน่นอนทั้ง Trade war ทั้งเศรษฐกิจโลก แต่หากดัชนีปรับฐานลงมา มองเป็นจังหวะสะสม แต่ยังเน้นกลุ่มที่ Risk/Reward คุ้มค่า Domestic&Defensive
ได้ค้นหาหุ้น Risk/Reward คุ้มค่าแม้สงครามการค้าเลวร้ายด้วย “Revision Adjusted Reward to Risk metric (RARR)” โดยทำ indicator สำหรับ screen หากลุ่มที่น่าลงทุน
1) มี Risk/Reward ที่คุ้มค่า ดูจากผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบความเสี่ยงและ
2) มีทิศทาง earnings revision เป็นบวกในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับ
3) มีความเสี่ยงกำไรต่ำ (ประมาณการณ์กำไร bear case ของ BLS เทียบ consensus)
โดยสรุป กลุ่มที่มี Risk/Reward คุ้มค่าที่สุด, ความเสี่ยงกำไรไม่สูง, ไม่โดน cut กำไรลงแรงช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า, กลุ่ม ICT, กลุ่มค้าปลีกของใช้จำเป็น (Consumer staples), กลุ่มโรงพยาบาล
หุ้นที่มี Risk/Reward สูงได้แก่ 6 หุ้นดังนี้ CPALL– CPF– MINT– GULF– ADVANC– BDMS
แบงก์กำไรถดถอย
จากการศึกษาข้อมูลในอดีต พบว่าในช่วงที่ NPLs/loans ratio ของธนาคารพาณิชย์ไทย ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2014-17, 2020 และ 2023-24 เห็นการปรับลดประมาณการของของกลุ่มธนาคารลงเช่นเดียวกัน โดยระยะเวลาในการปรับลดลงจะอยู่ในช่วงประมาณ 6-9 เดือน ส่วนการปรับลดลงก็จะอยู่ที่ราว 10-25%
ทั้งนี้ แม้จะยังไม่ได้เห็นการปรับลดประมาณการของตลาดมากนักในปีนี้ แต่หากมีการปรับลดประมาณการของตลาดรอบนี้ คาดว่าน่าจะจบเร็วขึ้น เพราะสภาพตลาดที่เปลี่ยนไปจากอดีต และธนาคารก็มีการระวังในการปล่อยสินเชื่อและตั้งสำรองเพิ่มเติมมาแล้วกว่า 2 ปี
นอกจากนี้ ได้ทำการวิเคราะห์กรณี bull-case และ bear-case เพื่อหาจังหวะในการเข้าลงทุน โดยปัจจุบันกรณี base-case คาดกำไรสุทธิกลุ่มธนาคารจะลดลง 7% YoY
แต่หากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาด ก็จะกดดันให้การชำระหนี้ของลุกค้าลดลง และธนาคารก็จะระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นด้วย ทำให้ในกรณี bear-case ภาพรวมกำไรกลุ่มธนาคารปีนี้ จะปรับลดลง 15% YoY (เห็นความเสี่ยงของประมาณการกำไรราว 9% จากกรณี base-case)
ส่วนในกรณี bull-case หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด เราประเมินว่าความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้จะดีขึ้นและสินเชื่อเติบโตได้บ้าง ทำให้เราคาดว่ากำไรปีนี้ของกลุ่มธนาคาร น่าจะทรงตัวใกล้เคียงปีที่แล้วได้ (upside จากประมาณการในกรณี base-case ราว 6%)
บล.บัวหลวงมองว่า ตลาดน่าจะให้น้ำหนักไปที่หุ้นที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี มากกว่าเรื่องของการเติบโตในปีนี้ จึงแนะนำเลือกหุ้นที่แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์น่าจะยังดี โดยแนะนำ ซื้อ BBL และ KTB เนื่องจากโครงสร้างสินเชื่อเป็นรายใหญ่และรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าสินเชื่อในกลุ่ม SME และรายย่อย นอกจากนี้ แนะนำถือ SCB เนื่องจากคาดว่าน่าจะยังจ่ายปันผลสูงในระดับ 8% ได้ในปีนี้
การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน
ข่าวหัวม่วง BY ทีมงานหุ้นวิชั่น