หุ้นวิชั่น – ในเวทีโลก การทำสินทรัพย์ประเภท Commodity มา Tokenization ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีทั้ง น้ำมันดิบ , เงิน , แพลทตินัม (Platinum), พาลาเดียม (Palladium), เพชร หรือแม้แต่สินทรัพย์ทางการเกษตร เช่น กาแฟ และข้าวโพด โดยแต่ละสินทรัพย์มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันตามลักษณะของตลาดรองและมาตรฐานการเก็บรักษา
ทองคำ ซึ่งเป็นหนึ่งในทรัพย์สินจริง (Real World Asset) ที่มีการนำมาแปลงเป็นโทเคนมากที่สุด เนื่องจากทองคำมีบทบาทสำคัญในฐานะ Safe Haven Asset (สินทรัพย์ปลอดภัย) เป็นที่ยอมรับทั่วโลก และมีตลาดรองขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง ทองคำจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในการนำเข้าสู่โลกดิจิทัลผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โทเค็นทองคำเติบโตในต่างประเทศ ได้แก่ ความซับซ้อนในการซื้อทองจริงที่มักมาพร้อมกับต้นทุนการเก็บรักษาและประกันภัยที่สูง, การขาดความโปร่งใสในการตรวจสอบทองที่ถือครอง และข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ข้ามพรมแดน การทำโทเค็นทองจึงเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการนำเสนอการถือครองทองที่มีต้นทุนต่ำกว่า ตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ และสามารถซื้อขายหรือโอนข้ามประเทศได้สะดวกรวดเร็; นอกจากนี้ ตลาดการเงินของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และสิงคโปร์ ยังมีการสนับสนุนเทคโนโลยีดิจิทัลทางการเงิน ทำให้การสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีทองคำหนุนหลังได้รับการยอมรับและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
กระบวนการ Tokenization ของทองคำเริ่มจากการนำทองคำจริงที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน เช่น ทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% มาจัดเก็บโดย Custodian ที่ได้รับใบอนุญาต จากนั้นออกโทเค็นดิจิทัลบนบล็อกเชนโดยมีการอ้างอิงทองจริงหนึ่งต่อหนึ่งกับจำนวนโทเค็น เพื่อให้ผู้ถือโทเค็นสามารถแลกทองจริงได้ตามสัดส่วน โทเคนทองเหล่านี้สามารถนำไปซื้อขายในตลาดดิจิทัลที่ได้รับการอนุญาต หรือกระดานเทรดสกุลเงินดิจิทัลที่รองรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทนี้ เช่น Coinbase, Binance หรือแพลตฟอร์ม OTC ของสถาบันการเงินชั้นนำ
โดยโครงการโทเคนทองคำในตลาดโลกมีตัวอย่างที่น่าสนใจหลายโครงการ ได้แก่:
- PAXOS Gold (PAXG) โทเค็นทองคำที่พัฒนาโดย Paxos Trust Company ซึ่งได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแล NYDFS ของรัฐนิวยอร์ก PAXG นำทองคำจริงที่จัดเก็บโดย Paxos มาทำการออกโทเค็นแบบหนึ่งต่อหนึ่งบนเครือข่าย Ethereum ผู้ถือโทเค็นสามารถแลกเปลี่ยนเป็นทองแท่งจริงได้ทุกเมื่อ โทเค็น PAXG มีการซื้อขายในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีรายใหญ่ เช่น Coinbase และ Binance จุดแข็งของโครงการนี้คือความโปร่งใสและการตรวจสอบสินทรัพย์ที่รองรับทุกเดือน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงอยู่ในรูปแบบการพึ่งพาผู้ให้บริการรายเดียว (Centralized)
- Tether Gold (XAU₮) พัฒนาโดย TG Commodities บริษัทในเครือ Tether Holdings ผู้ทำการออกเหรียญ stablecoin USDT โดยมีการเก็บทองคำจริงในตู้นิรภัยที่สวิตเซอร์แลนด์ แม้จะไม่ได้รับใบอนุญาตจาก NYDFS แต่มีใบอนุญาตออกเหรียญ Stablecoin ในบางประเทศ โทเค็น Tether Gold มีจุดแข็งที่ชื่อเสียงแบรนด์และความสามารถในการรองรับหลายเครือข่ายบล็อกเชน เช่น Ethereum และ Tron ผู้ถือสามารถซื้อขายโทเค็นในแพลตฟอร์มชั้นนำได้
- WisdomTree Gold Token เป็นโทเค็นทองคำที่เปิดตัวโดย WisdomTree บริษัทการเงินขนาดใหญ่จากสหรัฐฯ ซึ่งได้รับใบอนุญาตธนาคารจาก NYDFS ทองคำที่รองรับโทเค็นนี้เก็บรักษาโดย HSBC ในลอนดอน โครงการนี้เน้นเจาะกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ต้องการลงทุนทองคำผ่านดิจิทัลแอสเซ็ต ด้วยความมั่นคงและการกำกับดูแลที่เข้มงวด แม้ว่าปัจจุบันตลาดยังใหม่และมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ WisdomTree มีศักยภาพสูงในการขยายตลาดในอนาคต
- Matrixdock XAUm เป็นโครงการโทเค็นทองที่บริหารโดย Matrixport จากสิงคโปร์ ทองคำจริงถูกจัดเก็บโดย Brink’s ในสิงคโปร์และฮ่องกง โครงการนี้ผ่านโครงสร้างการกำกับดูแลของ MAS (Monetary Authority of Singapore) จุดเด่นของโครงการคือการเลือกทองคำบริสุทธิ์ 99% และโครงสร้างที่มุ่งเน้นนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก
ในส่วนของประเทศไทย ตลาดออมทองในไทยเติบโตอย่างรวดเร็วและมีขนาดใหญ่ โดยความต้องการจากในประเทศมีการซื้อทองคำแท่งและเหรียญเฉลี่ยปีละ 38-42 ตัน มูลค่าหลายแสนล้านบาท สะท้อนถึงความนิยมของประชาชนที่มองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและสามารถรักษามูลค่าในระยะยาวได้
ตลาดทองคำในประเทศไทยมีความคึกคักและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากผู้เล่นในภาคธนาคารพาณิชย์และจากร้านทองรายใหญ่ ธนาคารหลายแห่งได้พัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายทองคำออนไลน์ควบคู่กับพันธมิตรในธุรกิจทองคำ เช่น ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ MTS Gold, ธนาคารกรุงศรีฯ และธนาคารกรุงเทพร่วมกับฮั่วเซ่งเฮง และธนาคารไทยพาณิชย์ที่ทำงานร่วมกับ YLG Bullion ในขณะที่ร้านทองชื่อดังอย่าง YLG Bullion, ฮั่วเซ่งเฮง และ InterGOLD ก็มีการพัฒนาแอปพลิเคชันและระบบออนไลน์ของตนเอง
ประเทศไทยมีการพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายทองทั้งจากธนาคารและร้านทองอย่างครอบคลุม โดยแบ่งได้ดังนี้:
- ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB): ผ่านความร่วมมือกับ YLG Bullion เสนอบริการออมทองผ่านแอป Get Gold เริ่มต้นเพียงหลักร้อยบาท
- ธนาคารกสิกรไทย (KBank): ร่วมกับ MTS Gold ให้บริการซื้อขายทองคำแท่งผ่านแอป K PLUS แบบเรียลไทม์ สามารถออมทองได้ตั้งแต่ 1 บาททอง
- ธนาคารกรุงศรีฯ (Krungsri): ร่วมกับฮั่วเซ่งเฮง พัฒนาแอป GOLD NOW สำหรับซื้อขายทองแบบเรียลไทม์ และออมทองขั้นต่ำ 1,000 บาท
- ธนาคารกรุงเทพฯ (BBL): เชื่อมต่อระบบ GOLD NOW กับบริการ Mobile Banking สำหรับออมทองสะดวกขึ้น
ทางฝั่งห้างทอง ก็มีการให้บริการจากห้างทองชั้นนำเช่นกัน เช่น
- ฮั่วเซ่งเฮง: แพลตฟอร์ม GOLD NOW เทรดทองคำ 24 ชั่วโมง และรองรับการแลกเปลี่ยนทองคำแท่งจริง
- InterGOLD: พัฒนาแพลตฟอร์ม Gold2Go สำหรับการซื้อขายทองคำออนไลน์ พร้อมบริการรับทองแท่งจริง
- YLG Bullion: บริการออมทองผ่านแอป Get Gold, ซื้อขายทองแบบราคาตลาดโลก และส่งมอบทองคำแท่งจริงได้
ซึ่งธุรกิจทองคำในประเทศไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลหลายหน่วยงาน ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยเฉพาะเมื่อทองคำถูกนำไปเกี่ยวข้องกับการออกโทเค็นดิจิทัลหรือการระดมทุนในรูปแบบใหม่ การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และกฎระเบียบการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน
จุดขายของ Tokenization
แพลตฟอร์มออมทองแบบดั้งเดิม แม้จะอำนวยความสะดวกในการสะสมทองคำ แต่มีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ความโปร่งใสในการตรวจสอบการถือครองทอง, ความสามารถในการซื้อขายที่จำกัดตามเวลาทำการ และข้อจำกัดในการโอนสินทรัพย์ข้ามพรมแดน นอกจากนี้ ลูกค้ามักไม่สามารถนำทองที่ออมไว้ไปใช้เป็นหลักประกันหรือใช้สร้างสภาพคล่องในรูปแบบอื่นได้ ต้องขายออกหรือไถ่ถอนเป็นทองจริงเท่านั้น
ในทางตรงกันข้าม การทำ Tokenization เปลี่ยนทองคำให้กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถตรวจสอบการถือครองได้ทันทีผ่านบล็อกเชน ทำให้เกิดสภาพคล่องสูงกว่าการซื้อขายทองคำแบบดั้งเดิม ผู้ถือโทเค็นสามารถเทรดโทเค็นทองบนแพลตฟอร์มคริปโตชั้นนำได้ 24/7 ทั่วโลกโดยไม่ต้องพึ่งตลาดทองแบบดั้งเดิม
ที่สำคัญไปกว่านั้น โทเค็นทองยังสามารถนำไปสู่โอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มเติมในโลกการเงินดิจิทัล (ซึ่งต้องได้รับการยินยอมทางด้านกฏหมายต่างๆให้รองรับก่อน) เช่น:
- การใช้เป็นหลักประกันสินเชื่อ (Collateralized Lending): ผู้ถือโทเค็นสามารถนำทองดิจิทัลไปค้ำประกันกู้ยืม Stablecoin หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่นบนแพลตฟอร์ม DeFi เช่น Aave, Compound หรือ Venus ได้ทันที โดยไม่ต้องขายทองจริง เช่นเดียวกับการที่เหรียญ DGX เคยถูกใช้เป็นหลักประกันในโปรโตคอลต่างๆ
- การลงทุนใน RWA อื่น ๆ: โทเค็นทองสามารถถูกแปลงหรือใช้เป็นสภาพคล่องเบื้องต้นในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ได้รวดเร็วกว่า เช่น การแปลงโทเคนทองเป็นเงินบาท เพื่อลงทุนในโทเคนจากอสังหาริมทรัพย์ได้ทันที
- การวางสภาพคล่อง (Liquidity Providing): ในโลกของ Crypto Currency ผู้ถือโทเค็นทองสามารถนำโทเค็นไปวางในพูลสภาพคล่องของแพลตฟอร์ม DEX เช่น Uniswap, Curve เพื่อรับผลตอบแทนจากค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยน
- การสร้าง Stablecoin หนุนทอง: โทเค็นทองสามารถนำมาใช้หนุนหลังการสร้าง Stablecoin ทองคำใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนแบบเสถียรภาพและลดความผันผวนจากตลาดเงินทั่วไป
กล่าวได้ว่าการทำ Tokenization ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนรูปแบบการถือครอง แต่เป็นการสร้าง “โครงสร้างทางการเงินใหม่” ที่ทำให้ทองคำสามารถมีบทบาทที่เชื่อมโยงกับโลก สินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในฐานะสินทรัพย์เพื่อเก็บรักษามูลค่า การลงทุนสร้างผลตอบแทน และการเสริมสภาพคล่องในระบบการเงินใหม่
โอกาสในการนำทองคำเข้าสู่ระบบ Tokenization ในประเทศไทยมีความน่าสนใจไม่น้อย ด้วยพื้นฐานการถือครองทองคำที่สูงในภาคประชาชน ความนิยมในการลงทุนทองคำ และการเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาตลาดโทเค็นทองคำในระดับภูมิภาค
หากสามารถสร้างระบบที่มีความโปร่งใส น่าเชื่อถือ และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจน การทำ Tokenization ทองคำในไทยจะช่วยเพิ่มทางเลือกในการลงทุน สร้างสภาพคล่องในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล และเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงทองคำด้วยต้นทุนที่ต่ำลง นอกจากนี้ยังอาจส่งเสริมให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้เป็นหลักประกันสินเชื่อ หรือกลายเป็นรากฐานของการสร้างผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ เช่น stablecoin ที่หนุนด้วยทองคำ
ที่มา
- Paxos Gold
- Tether Gold
- WisdomTree Prime Launch
- World Economic Forum: The Future of Real World Asset Tokenization, 2024
- CoinGecko
ผู้เขียน
สุทธิรัตน์ หาญพานิชย์ Head of Business Development, Token X