#ตลาดหุ้นไทย


CREDIT กำไรทะลุ 900 ลบ. โตเท่าตัว! ขาดทุนด้านเครดิตลด-พอร์ตสินเชื่อโต

CREDIT กำไรทะลุ 900 ลบ. โตเท่าตัว! ขาดทุนด้านเครดิตลด-พอร์ตสินเชื่อโต

           หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT ในไตรมาส 1 ปี 2568 ธนาคารมีกำไรสุทธิเท่ากับ 903.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 453.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 100.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการบริหารการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังของธนาคาร นอกจากนี้ ในปี 2568 ธนาคารยังมีการออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องจากปี 2567 เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ก่อนที่จะเข้าสู่ Stage 2 และ Stage 3 ส่งผลให้การตกชั้นของลูกหนี้ลดลง อีกทั้งธนาคารยังมีการเพิ่มจำนวนพนักงานเก็บเงินและเร่งรัดหนี้สิน (Collection) อย่างต่อเนื่องจากปี 2567 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการติดตามหนี้ ส่งผลให้คุณภาพของหนี้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การขยายตัวของเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ร้อยละ 12.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวร้อยละ 1.7 จากสิ้นเดือนธันวาคม 2567 ในไตรมาส 1 ปี 2568 ธนาคารบันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตสำหรับเงินให้สินเชื่อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้อยละ 42.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน NPL Coverage Ratio ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 150.7 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 148.6 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินงานที่ยังคงมุ่งเน้นความระมัดระวัง ทั้งนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin) อยู่ที่ร้อยละ 7.9 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ รวมถึงโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิต่อส่วนของเจ้าของในไตรมาส 1 ปี 2568 ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 15.38 เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม

ก.ล.ต.เตือนผถห. TPOLY26NA ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 24 เม.ย.68

ก.ล.ต.เตือนผถห. TPOLY26NA ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 24 เม.ย.68

              หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ TPOLY26NA  ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 24 เมษายน 2568  ตามที่บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) (TPOLY) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ TPOLY26NA จะจัดให้มีการประชุม ผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 24 เมษายน 2568 เวลา 10.00 น. ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์   (E-meeting) โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้ (1) ผ่อนผันให้การที่บริษัทไม่สามารถดำเนินการให้นายทะเบียนหุ้นกู้แจ้งแก่สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นกู้วันแรก ไม่ให้ถือเป็นกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ไม่ปฏิบัติ ตามข้อกำหนดสิทธิ (2) เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการดำรงมูลค่าของทรัพย์สินที่เป็นประกัน ประเภทหุ้นสามัญของบริษัททีพีซี เพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) และประเภทอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง) ต่อมูลค่าของหุ้นกู้ที่ยังไม่ได้ไถ่ถอนทั้งหมด จากเดิม ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1.4 เท่า ตลอดอายุหุ้นกู้ เป็น ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1 เท่า ตั้งแต่ 15 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2569 และไม่น้อยกว่า 1.2 เท่า ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2569 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2569 และดำรงในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1.4 เท่า ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2569 จนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้และปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ จากเดิม ร้อยละ 6.25 ต่อปี เป็น ร้อยละ 6.50 ต่อปี สำหรับช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการดำรงมูลค่าของทรัพย์สินที่เป็นประกัน (ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2569) ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับ จากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทน   ผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย

ตลท. รับจดทะเบียน 5 DR ใหม่ อ้างอิงหุ้นเทคของจีน

ตลท. รับจดทะเบียน 5 DR ใหม่ อ้างอิงหุ้นเทคของจีน

           หุ้นวิชั่น  - ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับจดทะเบียนหลักทรัพย์ใหม่ 5 DR อ้างอิงหุ้นเทคโนโลยีของจีน ได้แก่ China Mobile, Haier, Meituan, Tencent และ Xiaomi ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 22 เมษายน 2568 นี้ DR จำนวน 5 หลักทรัพย์ใหม่ อ้างอิงหุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ได้แก่ “CHMOBILE19” อ้างอิงหุ้น China Mobile Limited ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของจีน ครอบคลุมบริการมือถือ อินเทอร์เน็ต และโครงข่าย 5G “HAIERS19” อ้างอิงหุ้น Haier Smart Home Co., Ltd. ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านครบวงจรภายใต้แบรนด์ Haier เน้นการพัฒนาโซลูชันบ้านอัจฉริยะและระบบเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT “MEITUAN19” อ้างอิงหุ้น Meituan แพลตฟอร์ม E-Commerce ไลฟ์สไตล์ของจีน มีบริการที่หลากหลาย ได้แก่ การจัดส่งอาหาร บริการจองร้านอาหาร ที่พัก และท่องเที่ยว ครอบคลุมบริการในชีวิตประจำวัน “TENCENT19” อ้างอิงหุ้น Tencent Holdings Limited บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทำธุรกิจในกลุ่มบริการดิจิทัล ได้แก่ เกม โซเชียลมีเดีย การชำระเงินดิจิทัล โฆษณาออนไลน์ และบริการคลาวด์ “XIAOMI19” อ้างอิงหุ้น Xiaomi Corporation Co., Ltd. บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำผู้ผลิตสมาร์ทโฟและอุปกรณ์อัจฉริยะ ได้แก่ สมาร์ทโฟน Xiaomi Series และอุปกรณ์ Mi Smart Home ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) เป็นตราสารที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินบาท ผู้สนใจศึกษารายละเอียด 5 DR ใหม่ดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์คือ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด https://dr.yuanta.co.th หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DR เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com/dr

NETBAY ยันระบบนิ่ง! เชื่อมพันธมิตรรายใหม่ไม่กระทบ

NETBAY ยันระบบนิ่ง! เชื่อมพันธมิตรรายใหม่ไม่กระทบ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ว่า นางกอบกาญจนา วีระพงษ์ประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NETBAY แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") มีความประสงค์ที่จะรายงานความคืบหน้าให้ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน รับทราบข้อมูลในภาพรวมเกี่ยวกับการให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ National Single Window (NSW) โดยบริษัทฯ มีการดำเนินการ ดังนี้ ด้านการให้บริการต่อลูกค้า/ผู้ใช้บริการนั้น บริษัทฯ เริ่มดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านผู้ให้บริการเชื่อมโยงข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ (NSW Service Provider : NSP) รายใหม่ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน ตั้งแต่ในวันที่ 1 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยบัดนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันว่าสามารถรองรับการเชื่อมโยงรับ-ส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของลูกค้า/ผู้ใช้บริการทุกรายได้ดังนั้นลูกค้า/ผู้ใช้บริการของบริษัทฯ สามารถใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้นจากการหมดอายุของ Collaborations Protocol Agreement (CPA) บริษัทฯ ขอยืนยันเสถียรภาพและความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ เพื่อส่งมอบบริการที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าและผู้มีอุปการะคุณทุกท่านอย่างดีที่สุดต่อไป

abs

มั่นใจ เต็มลิตร ทุกปั๊ม

AUCT คว้างานประมูลทรัพย์สิน ปตท.

AUCT คว้างานประมูลทรัพย์สิน ปตท.

             หุ้นวิชั่น - นายสุธี สมาธิ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.ให้เป็นผู้ดำเนินการประมูลขายทรัพย์สินประเภทลิฟต์โดยสาร ยี่ห้อ MITSUBISHI  ที่รื้อเป็นชิ้นส่วนแล้ว ซึ่งแต่ละตัวสามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 1,600 กิโลกรัม สามารถรองรับการโดยสารได้จำนวน 26 คน เป็นลิฟต์โดยสารมอเตอร์ไฟฟ้าใช้งาน 8 ชั้น ถูกใช้งานมา 15 ปี น้ำหนักรวมชิ้นส่วนตัวละ 10 ตัน จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาลิฟต์โดยสารที่มีคุณภาพและพร้อมใช้งาน           ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมทรัพย์สินได้ในระหว่างวันที่ 21-22 เมษายน 2568 ณ โกดังบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และจะประมูลโดยวิธียื่นซองในวันที่  23 เมษายน 2568 12.00 น. ที่สำนักงานใหญ่ ปตท. ผู้ที่ประมูลได้รับทรัพย์สินได้ในระหว่างวันที่ 26-30 เมษายน 2568 เวลา 9.00-16.00 น. สนใจติดต่อโทรศัพท์ 02-0336555, 081-5656059

MOSHI ลุยออกสินค้าใหม่-ขยายสาขา ดัน Q1/68 SSSG พุ่ง

MOSHI ลุยออกสินค้าใหม่-ขยายสาขา ดัน Q1/68 SSSG พุ่ง

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น ‘บมจ. โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น’ หรือ MOSHI เดินเกมรุกตลาดค้าปลีกในไตรมาส 1/68 อย่างต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มชะลอตัว เดินหน้าออกสินค้าใหม่กว่า 1,000 รายการต่อเดือน ผลักดันทั้งกลุ่มสินค้า License และสินค้าทั่วไป จัดเต็มสินค้าคอลเลกชันใหม่ พร้อมขยายสาขาใหม่แล้ว 8 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ชี้กระแสตอบรับดี ดัน SSSG ในไตรมาส 1/68 อยู่ในระดับ high single digit ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ได้อย่างชัดเจน           นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ MOSHI ผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่บริษัทฯ ยังคงมองเห็นศักยภาพในการจับจ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่แข็งแกร่งในสาขาท่องเที่ยว ทั้งนี้ แม้ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจะมีการชะลอตัวเล็กน้อย จากผลกระทบของเทศกาลเดือนรอมฎอนที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่มมุสลิม โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง (Middle east) ลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังสามารถรักษาระดับการเติบโตของยอดขายในทุกภูมิภาคได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ รวมถึงการออกสินค้าใหม่กว่า 1,000 รายการต่อเดือน โดยผลักดันทั้งกลุ่มสินค้า License และสินค้าทั่วไป โดยไตรมาสแรกของปี บริษัทฯ ได้เปิดตัวสินค้าคอลเลกชันใหม่ อาทิ Moshi Moshi x Moodeng, Moshi Moshi x Monsty Planet, กลุ่มสินค้า License เช่น Disney: Toy Story, Chip ‘n’ Dale และ We Bare Bears ส่งผลทำให้อัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 1/2568 อยู่ในระดับ high single digit           ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทฯ ได้เดินหน้าเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องไปแล้วจำนวน 8 สาขา ในทำเลที่มีศักยภาพ ได้แก่ Robinson จ.ร้อยเอ็ด, Lotus จ.ราชบุรี, Big C บางปะกอก, The Fourth สาย 4, UD Town จ.อุดรธานี และ Big C จ.เพชรบุรี รวมถึงมีการเปิดสาขา Standalone ในรูปแบบ Big Size ณ ตลาดโอชอ วัดเทียนดัด จ.นครปฐม และสาขาวังสะพุง จ. เลย ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า และสามารถสร้างยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายทุกสาขาที่เปิดใหม่ ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสาขาค้าปลีกและค้าส่งที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 172 สาขา ครอบคลุม 63 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็น ร้านค้าปลีกแบรนด์ Moshi Moshi จำนวน 165 สาขา โดยเป็นรูปแบบ Standalone จำนวน 7 สาขา, ร้านค้าส่งแบรนด์ Moshi Moshi จำนวน 2 สาขา, ร้าน Garlic 3 สาขา, ร้านค้าส่ง Giant 1 สาขา และร้านค้าส่ง The OK Station 1 สาขา           อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการเลือกทำเลที่ตั้งสาขาเพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญต่างๆ อาทิ ความหนาแน่นของประชากร กลุ่มเป้าหมาย กำลังซื้อ ใกล้แหล่งชุมชน ปริมาณการสัญจรของลูกค้า (Traffic) และสภาพการแข่งขันในพื้นที่ เป็นต้น เพื่อให้การขยายสาขา 40 แห่งในปี 2568 เป็นไปเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทฯ ได้คัดเลือกพื้นที่สำหรับเปิดสาขาใหม่แล้วกว่า 20-30 สาขา โดยจะเน้นการเปิดทั้งในห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น รวมถึงสาขาที่แบบ Standalone นอกศูนย์การค้า ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเสริมความแข็งแกร่ง และตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ได้อย่างชัดเจน

UAC พลิกเกม สู่พลังงานสะอาด l Hoon Vision Talk

UAC พลิกเกม สู่พลังงานสะอาด l Hoon Vision Talk

https://youtu.be/eIqihaseo9Q?si=uWWNCJzatLQqs2bH

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

SET วันนี้แกว่ง Sideway แนะ BEM โดดเด่นกำไรโต

SET วันนี้แกว่ง Sideway แนะ BEM โดดเด่นกำไรโต

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น  รายงานว่า นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (21 เมษายน 2568) คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ลักษณะ Sideway ออกข้าง โดยปัจจัยหนุนยังคงมาจากภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ออกมาค่อนข้างแข็งแกร่ง            อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องติดตามความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดการในวันที่ 23 เมษายนนี้ โดยจะมีผู้แทนรัฐบาลนำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะ เดินทางไปเจรจาเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการปรับขึ้นภาษีกับทางรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตาคือการประกาศคาดการณ์เศรษฐกิจโลกจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลก            สำหรับแนวรับของดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,130 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ระดับ 1,155-1,160 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ “ถือ” หุ้นบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดยคาดว่ากำไรในปีนี้ 2568 จะเติบโตทำสถิติใหม่ และได้รับแรงสนับสนุนจากสัญญาณบวกของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

ลุ้นเจรจาสหรัฐฯ ส่องหุ้นรับอานิสงส์รัฐเดินเกมรุก

ลุ้นเจรจาสหรัฐฯ ส่องหุ้นรับอานิสงส์รัฐเดินเกมรุก

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. เอเอสแอล ระบุ ภาพรวมการรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ยังคงสดใส โดย KTB รายงานกำไรสุทธิที่ 1.17 หมื่นล้านบาท ดีกว่าที่ตลาดคาดราว 5% จากกำไรจากเงินลงทุนที่ดีกว่าคาด ส่วนเช้าวันนี้มีรายงานผลประกอบการของ KBANK-SCB และมี Analyst Meeting หากกำไรสุทธิออกมาดีกว่าคาด หรือมี outlook ในเชิงบวก อาจ outperform ตลาดในวันนี้            ขณะที่รัฐบาลจะส่งผู้แทนการเจรจาการค้า (นำโดยคุณพิชัย) กับสหรัฐฯ วันที่ 23 เม.ย. นี้ โดยเป็นการพูดคุยกับระดับรัฐมนตรีของสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวทางการเจรจาคือ นำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานมากขึ้น หรือขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น รวมถึงจะปรับเกณฑ์ FDI ให้ลดการสวมสิทธิ์ให้มากขึ้น ซึ่งคาดหวังว่าจะมีทิศทางในเชิงบวกเหมือนญี่ปุ่น            ในระยะสั้นอาจกระทบต่อภาคการส่งออก และเม็ดเงิน FDI ส่วนระยะกลาง-ยาวน่าจะได้รับการชดเชยจากแผนลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศของรัฐได้ เช่น โครงการ EEC, ท่าเรือ และรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น            ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำ Selective Buy หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการรับมือเชิงรุกของรัฐต่อ Trade Tariff เช่น PTTGC, PTTEP, GULF, GPSC, CPF            ประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway ในกรอบ 1,130-1,160 จุด

บล.กรุงศรี คาด SET แกว่งในกรอบ ชูหุ้นอิงเจรจา Trade Tariff

บล.กรุงศรี คาด SET แกว่งในกรอบ ชูหุ้นอิงเจรจา Trade Tariff

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้ “แกว่งในกรอบ” ต้าน 1160/1165จุด รับ 1143/1138 จุด ตลาดแกว่งรอปัจจัยใหม่ นำโดย 1.) พัฒนาการ Trade Tariff คงมุมมองเดิมว่าน่าจะมีโอกาสเห็นพัฒนาการด้านบวกเรื่อยๆ สัปดาห์นี้ จับตารองประธานาธิบดีสหรัฐ Vance เข้าพบนายกอินเดีย และ 23 เม.ย. ไทยเข้าพบผู้แทนการค้าสหรัฐฯ 2.) รายงาน Flash PMI ภาคผลิตและบริการ เม.ย. 25 ซึ่งเป็นเดือนแรกที่เริ่มมีผลกระทบภาษีการค้า 3.) ภายในรัฐฯเริ่มหาแนวทางหนุนเศรษฐกิจ ในส่วนการก่อหนี้เพิ่มเพื่อเร่งลงทุน เพื่อชดเชยความเสี่ยงภายนอก หนุนตลาดที่กำลังเล่นกับ Recovery Plays จากภาวะ Deep Value คือ Current Equity Risk Premium ที่ 5.15% > Avg. +2 S.D. 4.) วันนี้ติดตามผลประชุมธนาคารกลางจีน (PBOC) แม้ตลาดคาดคงดอกเบี้ย แต่อาจส่งสัญญาณพร้อมปรับลดเพื่อหนุนเศรษฐกิจ จากผลกระทบ Trade Tariff ประเมิน SET วันนี้แกว่งในกรอบรอฟื้นตัว หุ้นนำ คือ หุ้นอิงการเจรจา Trade Tariff (CPF, PTTGC, GULF, GPSC), กลุ่มอิงรัฐฯเตรียมเร่งลงทุน (ธนาคาร, รับเหมา) กลุ่มสื่อสาร (คาดมีความชัดเจนเกณฑ์ประมูลคลื่นวันนี้)           วันนี้แนะนำ CPF, GULF, TASCO

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

หุ้นที่ราคาลงลึก

หุ้นที่ราคาลงลึก

           หุ้นวิชั่น - บรรยากาศการลงทุนตลาลหุ้นไทยสัปดาห์นี้ คาดดัชนีจะอิงกับการเจรจาการค้าของประเทศต่างๆ และรายงานการส่งงบของหุ้นธนาคาร ปัจจัยต่างประเทศต้องติดตาม คือ การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ – จีน ทรัมป์เผยอาจเปิดใจยอมลดภาษีจีนลงก็ได้ แม้ก่อนหน้าจะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าจีนเพิ่มสูงถึง 145% และสินค้าบางรายการ เช่น เข็มฉีดยา อาจถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 245%            ขณะที่ประเทศอื่นๆ ทยอยเข้ามาเจรจาบ้างแล้วในสัปดาห์ก่อน อาทิ ญี่ปุ่น อิตาลี(ยุโรป) อินโดนีเซีย เป็นต้น ซึ่งต่างก็เป็นลักณะของการรอมชอม ....สถานการณ์ช่วงนี้จะเป็นเรื่องของการเจรจา 90 วัน จะไม่ได้รุนแรงเท่าก่อนหน้านี้แล้ว แต่ควรระมัดระวังการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ ทอง หรือ น้ำมัน ซึ่งมีความผันผวนสูงในช่วงนี้ จับตา 3 งบแบงก์            หุ้นกลุ่มธนาคารจะประกาศงบไตรมาส 1/68 เสร็จสิ้นคาดไม่เกินวันนี้(21 เม.ย.68) โดยธนาคารที่ประกาศงบไปแล้ว คือ TISCO, BBL และ TTB ซึ่งวันนี้คาดว่า จะประกาศครบทุกตัว คือ KBANK คาดกำไรสุทธิ 1.30 หมื่นล้านบาท, KKP คาดกำไรสุทธิ 1.28 พันล้านบาท, SCB คาดกำไรสุทธิ 1.14 หมื่นล้านบาท .... คาดมีแรงซื้อกลับซื้อกลับ เนื่องจากส่วนใหญ่ราคาปรับตัวลงจากการประกาศขึ้น “XD” ไปบ้างแล้ว ไทยเจรจาสหรัฐฯ            ทีมไทยแลนด์เตรียมเข้าพบผู้แทนการค้าสหรัฐฯ 23 เม.ย.นี้ เพื่อเจรจาหาทางออกจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่ไทยถูกจัดเก็บสูงถึง 36% โดยคาดว่ารัฐบาลจะเสนอข้อแลกเปลี่ยน นำเข้า ก๊าซ LNG เพิ่มอีกกว่า 1 ล้านตันใน 5 ปี พร้อมพิจารณานำเข้าก๊าซอีเทน 4 แสนตันภายใน 4 ปี ส่วนภาคเกษตรจะเน้นนำเข้าที่ไม่กระทบกับเกษตรกรไทย สำหรับผลิตอาหารสัตว์ส่งออก            บอร์ดคัดเลือกผู้ว่าการธปท. เล็งเปิดประชุมภายในเดือนเม.ย.นี้ เพื่อสรรหาผู้ว่าการธปท.คนใหม่แทนนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ที่จะหมดวาระเดือนก.ย. 68 โดยจะต้องเริ่มคัดเลือกภายใน 90 วันก่อนผู้ว่าคนก่อนครบวาระ .... นักลงทุนยังให้ความสนใจในประเด็นนี้ มีความกังวลว่ารัฐบาลอาจมีอิทธิพลต่อความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ ระวัง! 17หุ้นXD            สัปดาหนี้ มีหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย “XD” ทั้งหมด 17 หลักทรัพย์ อาทิ KGI, HMPRO, SAPPE, BAM, BBL, TISCO, TTB เป็นต้น ควรระวังแรงขายหุ้นทั้งก่อนและหลัง “XD” …. หากราคาหุ้นเหล่านี้ ปรับตัวลงเท่ากับเงินปันผลที่จ่ายออกมารอบนี้ จะมีผลต่อ SET Index ราว -2.0 จุด            ตลาดหุ้นไทย น่าจะตอบรับกับการผ่อนคลายในเรื่องมาตรการภาษีของ Trump กลยุทธ์ลงทุน ยังเป็นจังหวะซื้อต่อ ควรเลือกหุ้นตัวหลักๆของตลาด หรือหุ้นที่ราคาลงมามาก(จริงๆ)และมีสัญญาณไปต่อ เป้าดัชนีฯ รอบนี้จะไปอยู่ในโซน 1150-1200 จุด คัดหุ้นราคาลงลึก            หุ้นกลุ่มที่อิงกับหรือกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง แม้กลุ่มนิคมฯ + ชิ้นส่วนรถยนต์ จะเป็น 2 กลุ่มที่ได้ข่าวบวก แต่กลุ่มอื่นๆ ที่เหลือ ยังต้องรอคอยกันต่อไป ได้แก่ กลุ่มยางพารา และ กลุ่มสินค้าส่งออก บางตัว อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อีเล็คทรอนิคส์ ปิโตรเคมี เดินเรือ ท่องเที่ยว             หุ้น ที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายของนักลงทุนที่จะซื้อหุ้นที่ราคาลงมาลึก ประกอบด้วย WHA*, SCGP, PTTEP, BGRIM, HANA* (ที่มา-บล.ดาโอ) การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น

[Vision Exclusive] กลุ่มแบงก์โชว์ฟอร์มดี ลุ้น SCB กำไร 1.1 หมื่นล.

[Vision Exclusive] กลุ่มแบงก์โชว์ฟอร์มดี ลุ้น SCB กำไร 1.1 หมื่นล.

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทยอยประกาศงบไตรมาส 1/68 หลายแห่งกำไรออกมาดี หนุนจากต้นทุนสำรองฯ ลดลง แม้เผชิญแรงกดดันจากดอกเบี้ยขาลง-หนี้เสียขยับขึ้น ด้าน SCB, KBANK และ KKP เตรียมเผยผลประกอบการวันจันทร์นี้ ดังนั้นคาดการณ์กำไรสุทธิรวมของธนาคารในไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 59,500 ล้านบาท ชู TTB-KTB-BBL เป็น Top picks จากกำไรเด่น-ปันผลสูง-ราคายังไม่แพง            ความเคลื่อนไหวของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ทยอยประประกาศงบไตรมาส 1/2568 กันมาต่อเนื่อง อาทิ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TISCO), ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL), ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMBT), ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ได้ประกาศผลการดำเนินงานออกมาแล้ว            และยังมีธนาคารพาณิชย์ที่จะทยอยประกาศผลประกอบการมาอีก ในจันทร์ที่ 21 เมษายน 2568 คาดว่าจะมี 3 ธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK), บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) และ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKP) ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา            นายธนเดช รังษีธนานนท์ Director of Research บล.พาย กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ที่ได้มีการรายงานงบออกมาแล้ว โดยรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี อย่าง BBL ออกมาดีกว่าคาด, TISCO ใกล้เคียงคาด ขณะที่ TTB ต่ำกว่าคาด แต่สิ่งที่พบคือ Margin ของธนาคารดูอ่อนแอ จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อให้สอดรับกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ประกอบกับการลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้เปราะบางที่เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และการปรับโครงสร้างหนี้ในอดีต รวมถึงภาพหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวขึ้นทุกธนาคาร            ส่วน 3 ธนาคารพาณิชย์ที่เหลือ ที่จะรายงานงบในวันจันทร์นี้ ก็คาดว่าจะออกมาดี โดย SCB คาดว่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 11,974 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ 2.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ), KBANK คาดอยู่ที่ 12,860 ล้านบาท ลดลง -4.6% YoY และ เพิ่มขึ้น 27.9% QoQ ด้าน KKP คาดไว้ที่ 1,233 ล้านบาท ลดลง -18.1% YoY และลดลง -12.3% QoQ            ทั้งนี้คาดการณ์กำไรสุทธิรวมของธนาคารในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 59,500 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.1% YoY, 11.5% QoQ) หนุนจากสำรองหนี้ฯ ลดลงเป็นหลัก อย่างไรก็ดีการที่สหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้ากว่า 180 ประเทศ รวมทั้งสินค้าไทยจะถูกปรับขึ้นถึง 36% อาจกดดันเศรษฐกิจไทยชะลอตัวมากกว่าคาด ซึ่งส่งผลต่อการอ่อนแอในหลายด้านในอนาคต เช่น การขยายสินเชื่อใหม่ลดลง NIM ลดลง และหนี้เสียสูงขึ้น แต่เชื่อว่าธนาคารมีระดับสำรองหนี้ฯ สูง และเงินกองทุนสูงสามารถรับมือความไม่แน่นอนได้            สำหรับทั้งปี 2568 บล.พาย เตรียมทบทวนเป้าหมายกำไรสุทธิรวมของกลุ่มธนาคารอีกครั้ง หลังทุกธนาคารรายงานงบออกมากันครบแล้ว จากคาดการณ์เดิม กำไรสุทธิรวมน่าจะเติบโต 3.4% มาที่ 232,000 ล้านบาท เนื่องด้วยอัตราภาษีใหม่ของสหรัฐทำให้เศรษฐกิจมีความท้าทายสูงขึ้นอาจกดดันการเติบโตของธนาคารอ่อนแอกว่าคาดได้ และกดดันให้ราคาหุ้นธนาคารมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้น นอกจากนี้ยังคาดว่าจะเห็นคณะกรรมการโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ทำให้กดดันมาร์จิ้นของธนาคาร อีกทั้งภาพสินเชื่อ อาจไม่ได้โตตามคาด จากเดิมคาดว่าจะโตราว 1% และผลกระทบรายได้จากตลาดทุนที่ลดลง            บล.ดาโอ คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ของ KBANK จะอยู่ที่ 13,028 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 (QoQ) จากค่าใช้จ่าย (OPEX) ลดลงตามฤดูกาล และการตั้งสำรองฯ ลดลง แต่ลดลง -3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน (YoY) เนื่องจากมีฐานกำไรจากเงินลงทุนสูงในปีก่อน,            คาด SCB จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,387 ล้านบาท ทรงตัว เมื่อทียบกับ QoQ จากรายได้ค่าธรรมเนียมลดลงตามฤดูกาล และเพิ่มขึ้น 0.9% YoY จากการตั้งสำรองฯ ลดลง ส่วน            KKP คาดมีกำไรสุทธิที่ 1,282 ล้านบาท ลดลง -11.6% QoQ จากรายได้ค่าธรรมเนียมลดลงตามฤดูกาล และลดลง -14.8% YoY จากตั้งสำรองฯ ยังคงเพิ่มขึ้น จากลูกหนี้เช่าซื้อที่ปล่อยมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19            ทั้งนี้ยังคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” โดยคาดกำไรสุทธิรวมไตรมาส 1/2568 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท (+1% YoY, +8% QoQ) โดยเพิ่มขึ้น YoY , QoQ จากสำรองฯ และ OPEX ที่ลดลงเป็นหลัก โดยธนาคารที่เติบโตได้ดี YoY, QoQ คือ BBL (+5% YoY, +6% QoQ), KTB (+4% YoY, +10% QoQ) และ TTB (+1% YoY, +5% QoQ) จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก            ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ลดลง YoY, QoQ คือ KKP (-15% YoY, -12% QoQ), TISCO (-7% YoY, -5% QoQ) เพราะสำรองฯที่เพิ่มขึ้นตามการปล่อยสินเชื่อผลตอบแทนสูง อย่างจำนำทะเบียนที่เพิ่มขึ้น ด้านสินเชื่อไตรมาส 1/2568 ลดลงเล็กน้อย (-0.5% YoY, -0.3% QoQ) จากสินเชื่อภาครัฐ แต่สินเชื่อรายใหญ่ยังโตได้ดี ส่วน NPL จะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ส่วน NPL รวมทยอยเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 3.08% จากไตรมาส 4/2567 ที่ 3.05% แต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้            ยังคงประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารปี 2568-2569 อยู่ที่ 2.24 แสนล้านบาท และ 2.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น +4% YoY, +5% YoY ตามลำดับ จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก โดยคาดว่าจะมีการปรับตัวลดลง -9% YoY จากปี 2567 ที่ลดลง -7% YoY เพราะมีการตั้งเผื่อมาเยอะแล้ว ขณะที่ DAOL คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง ที่ 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% ในปี 2568            กลุ่มธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้น +6%/+21%% ในช่วง 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET เพราะตลาดหุ้นมีความผันผวนทำให้มีการโยกเงินเข้ามาในหุ้นที่มีมีอัตราเงินปันผลสูง โดยอัตราเงินปันผลเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 7% สูงกว่าอัตราปันผลเฉลี่ยของตลาดหุ้นที่ 3% ขณะที่ valuation ยังน่าสนใจ เทรดที่ระดับเพียง 0.68x 2025E PBV (-1.00SD below 10-yr average PBV) โดย Top picks เลือก TTB, KTB และ BBL - TTB (แนะนำซื้อ/ให้ราคาเป้า 2.22 บาท) เพราะมีโครงการซื้อหุ้นคืนช่วยหนุนราคาหุ้น ประกอบกับมี Dividend yield สูงราว 7% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ PBV ที่ 0.80x ที่ระดับเพียง -0.50SD และราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือ 5 พันล้านบาทได้อย่างต่อเนื่อง - KTB (แนะนำซื้อ/ให้ราคาเป้า 27.50 บาท) เพราะกำไรปี 2568 อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท โต +6% YoY ขณะที่ valuation ซื้อขายที่ PBV เพียง 0.76x (-0.50SD) ด้านราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือ 1 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่องมา 5 ไตรมาสติดกัน ส่วน NPL จะดีกว่ากลุ่มเพราะเน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐ - BBL (แนะนำซื้อ/ให้ราคาเป้า 186.00 บาท) เพราะมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดที่ 334% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุด ในกลุ่มเพียง 0.51x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x รายงานโดย : พชรธร ภูมิคำ รองบรรณาธิการข่าว Hoonvision

เช็กด่วน! สัปดาห์นี้เจรจาภาษี US ชี้ชะตาหุ้นไทย มี 6 หุ้นได้ประโยชน์

เช็กด่วน! สัปดาห์นี้เจรจาภาษี US ชี้ชะตาหุ้นไทย มี 6 หุ้นได้ประโยชน์

           หุ้นวิชั่น - จับตาวันที่ 23 เม.ย. “ไทยเจรจาภาษีสหรัฐ” ลุ้นระทึกผลจะออกมาหมู่หรือจ่า ชี้ชะตาหุ้นไทยสัปดาห์นี้ เปิด 6 หุ้นที่ได้ประโยชน์หรือมี Upside จากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ รวมถึง 8 หุ้นแกร่งเก็งรับอานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง            ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน- บล.กรุงศรี ระบุว่า สัปดาห์นี้ (21-25 เม.ย.68) ปัจจัยต่างประเทศ ติดตามความคืบหน้าการเจรจาภาษีการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะการเปิดช่องเล็ก ๆ ในการเจรจากับคู่กรณีหลักอย่าง จีน ว่าจะมีความคืบหน้าเพิ่มเติมหรือไม่ นอกจากนี้ ยังควรติดตามการเจรจากับประเทศคู่ค้ารายใหญ่ เช่น สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น และอินเดีย เป็นหลัก ทั้งนี้ ประเทศไทยมีกำหนดเข้าสู่กระบวนการเจรจากับเจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย.            ปัจจัยภายในประเทศ ติดตามการรายงานผลประกอบการงวด 1Q25 ของกลุ่มธนาคารที่เหลือ อาทิ SCB, KBANK, KKP โดยเราประเมินภาพรวมในเชิงกลาง ๆ โดยคาดว่าผลประกอบการจะไม่โดดเด่นมากนัก และน่าจะอยู่ในกรอบที่ตลาดประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว กลยุทธ์การลงทุน:            ประเมินแนวโน้มตลาดสัปดาห์หน้าเป็นลักษณะ “Sideways/Up” โดยแรงหนุนหลักมาจากพัฒนาการการเจรจาต่อรองมาตรการ Trade Tariffs ระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ ซึ่งล่าสุด สหรัฐฯ เริ่มเปิดช่องเจรจากับจีน ขณะที่ไทยมีกำหนดการเจรจาในวันที่ 23 เม.ย. นอกจากนี้ยังต้องจับตามาตรการประคองเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ            ในสัปดาห์นี้ ให้ติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนด้วย โดยประเมินว่าหุ้นที่น่าสนใจจะอยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับตัวลดลง เช่น • กลุ่มเช่าซื้อ: MTC, JMT • กลุ่มโรงไฟฟ้า: GULF, GPSC • กลุ่มที่มีหนี้สูง: BJC, MINT, TRUE • กลุ่ม High Yield: ADVANC            ผสมผสานกับ 6 หุ้น ที่ได้ประโยชน์หรือมี Upside จากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่าง ๆ เช่น • CPF, PTTGC, PTTEP • กลุ่ม China Plays: IVL, SCGP, SCC หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: SCC, PTTGC, BJC กำหนดการรายงานเศรษฐกิจหลักแต่ละประเทศ: สหรัฐฯ • 23 เม.ย. o Flash PMI เม.ย. 25 ภาคการผลิต: คาด 50.0 จุด (เทียบกับครั้งก่อน 50.2 จุด) o Flash PMI เม.ย. 25 ภาคบริการ: คาด 52.0 จุด (เทียบกับครั้งก่อน 54.4 จุด) o ยอดขายบ้านใหม่ มี.ค.: คาด 683,000 หลัง (เทียบกับครั้งก่อน 676,000 หลัง) • 24 เม.ย. o ยอดขายบ้านมือสอง มี.ค.: คาด 4.13 ล้านหลัง (เทียบกับครั้งก่อน 4.26 ล้านหลัง) o คำสั่งซื้อสินค้าคงทน มี.ค.: คาด +1.5% m-m (เทียบกับครั้งก่อน +1.0% m-m) • 25 เม.ย. o ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.มิชิแกน เม.ย. (ครั้งแรก): ไม่มีการคาดการณ์ (เดือนก่อน 50.8 จุด) • 21–25 เม.ย. o ติดตามความคืบหน้านโยบายภาษีการค้า และการเจรจากับประเทศคู่ค้า ไทย • 22 เม.ย. o ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย. 25: คาด -15.0 (เทียบกับเดือนก่อน -14.5) • 23 เม.ย. o Flash PMI เม.ย. 25 ภาคการผลิต: คาด 47.1 จุด (เทียบกับเดือนก่อน 48.6 จุด) o Flash PMI ภาคบริการ: คาด 50.5 จุด (เทียบกับเดือนก่อน 51.0 จุด) o การเจรจา Trade Tariffs ไทย-สหรัฐฯ • 21 เม.ย. o ติดตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) อายุ 1 ปี และ 5 ปี: คาดคงที่ที่ 3.1% และ 3.6% ตามลำดับ • 21–25 เม.ย. o รายงานผลประกอบการ 1Q25 กลุ่มธนาคารที่เหลือ: SCB, KBANK, KTB, KKP • 21–26 เม.ย. o รายงานยอดส่งออก-นำเข้า มี.ค. 25: คาด +10.7% y-y และ +3.6% y-y (เทียบกับเดือนก่อน +14% และ +4.0%)

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

3 โบรกส่องอนาคต BBL

3 โบรกส่องอนาคต BBL "เงินปันผล" VS "หนี้ NPL" ใครชนะ

          บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” BBL และราคาเป้าหมายที่ 186.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.60x (-1.00SD below 10-yr average PBV) โดย BBL ประกาศกำไรสุทธิ 1Q25 อยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +20% YoY และ +21% QoQ ดีกว่าที่ตลาดคาด +11%และคาด +14% เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุนถึง 2.9 พันล้านบาท (คาด 500 ล้านบาท) แต่มีการตั้งสำรองฯที่สูงกว่าคาดมาอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท (คาด 7.9 พันล้านบาท)           ► ด้าน NIM ต่ำกว่าคาดมาอยู่ที่ 2.91% (คาด 3.10%) จากไตรมาสก่อนที่ 3.12% เพราะมี Loan yield ลดลงจากการชำระคืนของ Working capital ส่วน NPL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.00% จากไตรมาสก่อนที่ 2.70% ส่วนใหญ่เกิดจาก Relapse NPL ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตและกลุ่มการค้า           ► ทั้งนี้จากความกังวลเรื่องนโยบายใหม่ของรัฐบาลอินโดฯ ทาง BBL ไม่ได้กังวลต่อธนาคาร Permata มากนักเพราะมี Coverage ratio ในระดับสูงราว 350% ซึ่งสามารถรองรับความเสี่ยงได้อีกมาก กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 27% ของประมาณการทั้งปี เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุน แต่เป็นรายการที่คาดการณ์ได้ยาก ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +3% YoY จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก           ► ขณะที่คาดว่า กำไรสุทธิ 2Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง แต่จะลดลง QoQ เพราะฐานกำไรจากเงินลงทุนที่สูง           ► ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +3% และ +12% ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET จากกำไรที่ดีกว่าคาด และใกล้ประกาศจ่ายเงินปันผล โดยจะ XD วันที่ 23 เม.ย. 25 ที่ 6.50 บาท ประกอบกับ BBL ยังคงมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่มที่ 300% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุดในกลุ่มเพียง 0.53x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x           บล.เอเซีย พลัส ประเมินหุ้น BBL โดยกำไรสุทธิ 1Q68 ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท (+21% QoQ เพราะ Non-NII เพิ่ม และ OPEXลดตามฤดูกาล, +20% YoY จาก Non-NII) ดีกว่าฝ่ายวิจัยและ BB Consensus คาดราว 11% จาก Non-NII ในส่วนของกำไรจากเงินลงทุนผ่านการขายตราสารหนี้ ► NIM ที่ 2.8% อ่อนตัวจาก 3.0% งวด 1Q67 และ 4Q67 ตามการลดดอกเบี้ยนโยบาย ► NPL / Loan ที่ 3.6% เพิ่มจาก 3.2% ณ สิ้นงวดก่อน จากกลุ่มที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่ Coverage ratio ลงมาที่ 300% เทียบกับ 334% ณ สิ้นงวดก่อน ► ฝ่ายวิจัยมองกลางต่องบ 1Q68 แม้กำไรดีกว่าคาด แต่ NPL ปรับขึ้น โดยการปรับขึ้น ของระดับ NPL ยังไม่ได้ยากเกินบริหารจัดการ (3Q67 เคยสูงถึง 3.9%) และเป็นไปในรูปแบบเดียวกับปีก่อน (ขึ้น 1Q-3Q และกลับมาลง 4Q) ซึ่งกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ทาง BBL ไม่ได้มีการกลับสำรอง ทำให้ความจำเป็นในการตั้ง ECL ไม่ได้ เพิ่มมากนัก แม้ NPL จะปรับขึ้นก็ตาม ► คงประมาณการ หลังกำไรสุทธิ 1Q68 คิดเป็นสัดส่วน 28% ของประมาณการฝ่ายวิจัย(1Q67 คิดเป็นสัดส่วน 23% ของกำไรสุทธิปี 2567) และ BB Consensus น่าจะพอรองรับแนวโน้ม NII ระยะถัดไป ซึ่งมีแรงกดดันจากโอกาสในการลดดอกเบี้ยของ กนง. ► การปรับขึ้นของ NPL อาจส่งผลลบต่อราคาหุ้น แต่ในเชิง PBV ไม่แพงที่ 0.48 เท่า และคาด Div Yield ราว 5.8% ต่อปี ในมุม Valuation น่าสนใจ ประกอบกับมองว่าเงินปันผล ต่อหุ้นประคองตัวได้ แม้กำลังเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงก็ตาม คงแนะนำ Outperform เคาะราคาเป้าหมาย 180.00 บาท บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า BBL รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 จำนวน 12,618 ลบ. โตเด่น 19.9% YoY และ 21.3% QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 12.6% และ 11% ตามลำดับ ► ปัจจัยที่ทำให้กำไรสุทธิดีกว่าคาดมาจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่โต 27.4% QoQ (ดีกว่าที่เราคาด 42.4%) หลังมีกำไรจากเงินลงทุนที่บริษัทได้ขายทำกำไรจำนวนกว่า 2,897 ลบ. เพิ่มขึ้นมากจากเพียง 133 ลบ. ใน 4Q24 บวกกับรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิโต 8.3% QoQ โดยเฉพาะธุรกิจนายหน้าประกันที่ขยายตัวได้ดี จากอานิสงส์ของการเร่งซื้อประกันก่อนเริ่มบังคับใช้เงื่อนไข Co-payment ► Cost to Income Ratio ลดลงเหลือ 45.5% จาก 53.0% ใน 4Q24 เพราะมีการโอนกลับค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่ได้มีการเบิกใช้จริง ► ทั้งนี้ผลบวกดังกล่าวบางส่วนถูกหักล้างด้วยรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง 6.1% QoQ หลัง NIM ลดลงเหลือ 2.8% จาก 3.1% ใน 4Q24 สอดรับกับดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารที่ลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังปรับลงได้ไม่ทันกับรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง ► NPL ปรับขึ้นเป็น 3.6% จาก 3.2% ใน 4Q24 ทำให้การตั้งสำรองสูงขึ้น 18.8% QoQ แต่ส่วนใหญ่เป็น Relapsed NPL ที่เกิดจากลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้มีการชำระเงินล่าช้าในบางช่วง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ BBL ตั้งสำรองไว้มากแล้วและไม่ได้โอนกลับสำรองออกมาเวลาที่ลูกหนี้ดังกล่าวกลับมาชำระเงิน ทำให้การตั้งสำรองใน 1Q25 ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับ NPL ที่สูงขึ้น Our Take ► กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 27.4% ของประมาณการทั้งปี โดยเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดแนวโน้มกำไรสุทธิใน 2Q25 จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากกำไรจากเงินลงทุนที่ต่ำลงจากฐานสูงใน 1Q25 รวมถึง NIM ที่คาดจะลดลงต่อ จากการรับรู้ผลกระทบของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเต็มไตรมาส บวกกับรับรู้ต้นทุนดอกเบี้ยจาก Subordinated Note (ตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2) จำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์ฯ ส่วนทั้งปี 2025 เราคาด BBL จะมีกำไรสุทธิ 45,987 ลบ. โต 1.7% YoY ► มองแนวโน้มกำไรสุทธิใน 2Q25 จะชะลอตัวลง แต่ BBL ถือเป็นธนาคารที่ยัง Laggard จากกลุ่ม ซื้อขายด้วย PBV ปี 2025 ต่ำเพียง 0.5x ขณะที่ธนาคารใหญ่รายอื่นซื้อขายด้วย PBV ที่ 0.6-0.8x อีกทั้งปัจจุบันราคาหุ้นมี Upside ราว 29.7% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2025 เดิมที่ 190 บาท และคาดจะให้ Div. Yield อีก 5.8% ส่วนช่วงสั้นคาดตลาดจะตอบรับเชิงบวกจากกำไรสุทธิที่ดีกว่าที่ตลาดคาด จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

KTC กำไร Q1 ดีด 3.2% เป้าปี 68 พอร์ตโต 5%

KTC กำไร Q1 ดีด 3.2% เป้าปี 68 พอร์ตโต 5%

           หุ้นวิชั่น - KTC รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 1,861 ล้านบาทพอร์ตเพิ่มเล็กน้อย 3.2% และยังคงคุณภาพสินทรัพย์ที่น่าพอใจ ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสมขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรขยายตัวได้ดีกว่าอุตสาหกรรม พร้อมคาดปี 2568 พอร์ตลูกหนี้รวมโต 4-5% พร้อมคุมNPL ไม่เกิน 2%            บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (“กลุ่มบริษัท”) หรือ KTC มีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 เท่ากับ 1,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มีจำนวน 1,803 ล้านบาท ขณะที่งบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (“เคทีซี” หรือ “บริษัท”) มีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 เท่ากับ 1,877 ล้านบาท ลดลง 0.9% (YoY) เนื่องจากในปี 2567 บริษัทมีการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม 82 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว เคทีซีจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 2.7%            ในไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 6,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% (YoY) มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ รายได้ค่าธรรมเนียมด้านร้านค้า รายได้จากการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า และรายได้ค่าธรรมเนียม Interchange ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยและหนี้สูญได้รับคืนลดลงเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายรวม 4,433 ล้านบาท ลดลง 1.6% (YoY) จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารรวมสูงขึ้นหลัก ๆ จากค่าธรรมเนียมจ่ายเพิ่มขึ้นตามปริมาณธุรกรรม และค่าใช้จ่ายด้านการตลาด ทั้งนี้ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมอยู่ที่ 35.1%            ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มบริษัทมีพอร์ตสินเชื่อรวม 107,093 ล้านบาท ขยายตัวที่ 1.7% (YoY) แบ่งเป็น พอร์ตบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 1.5% (YoY) โดยมีอัตราการขยายตัวของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ 6.7% (YoY) และพอร์ตสินเชื่อบุคคลรวมเติบโตที่ 5.2% (YoY)            เคทีซียังสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี มี NPL Coverage Ratio ของงบการเงินเฉพาะกิจการอยู่ในระดับสูงที่ 449.5% ขณะที่อัตราส่วน NPL (%NPL) อยู่ที่ 1.58% ลดจาก ณ สิ้นปี ที่ 1.64% สำหรับกลุ่มบริษัทมี NPL Coverage Ratio อยู่ในระดับสูงเช่นกันที่ 384.5% และ %NPL ของกลุ่มบริษัท 1.97% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปี ซึ่งอยู่ที่ 1.95% สำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 Credit Cost ของกลุ่มบริษัทลดลงเป็น 6.0% จาก 6.4% ในช่วงเดียวกันของปี 2567            นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังมีอัตราส่วนทางการเงินที่แข็งแกร่ง อาทิ อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นเป็น 27.2% อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับสูงที่ 18.3% และอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 1.58 เท่า และด้วยความสามารถในการรักษาเสถียรภาพในทุกช่วงวงจรธุรกิจ สะท้อนได้จากความสามารถในการสร้างผลกำไร มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี และการรักษาตำแหน่งทางการตลาด บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงได้เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันเป็น “AA” จาก “AA-” ในวันที่ 9 เมษายน 2568            ทั้งนี้ เคทีซียังคงให้ความสำคัญในการขยายพอร์ตสินเชื่อรวมไปพร้อม ๆ กับการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ เพื่อให้กลุ่มบริษัทบรรลุเป้าหมายตามแผนธุรกิจที่ตั้งไว้ ภายใต้กรอบการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม

SET วิ่งแรงท้ายสัปดาห์ ปิด 1,150.95 จุด บวก 9.67 จุด

SET วิ่งแรงท้ายสัปดาห์ ปิด 1,150.95 จุด บวก 9.67 จุด

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (18 เม.ย. 68) ปิดที่ระดับ 1,150.95 จุด เพิ่มขึ้น 9.67 จุด หรือคิดเป็น 0.85 % แผนเจรจาการค้าสหรัฐฯหนุน แถมหุ้น DELTA ดีดแรง 4.55% คาด SET สัปดาห์หน้าแกว่งตัวในกรอบ ไร้ปัจจัยใหม่หนุน           นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ปิดที่ระดับ 1,150.95 จุด เพิ่มขึ้น 9.67 จุด หรือคิดเป็น 0.85 % จากแรงซื้อหนุนจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น และราคาหุ้นของบริษัท เดลต้า อิเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่ปรับตัวขึ้น โดยราคาปิดอยู่ที่ 69 บาท +3.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น +4.55% ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดโดยรวม ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการในวันนี้ เนื่องในวัน Good Friday           สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า (21-25 เม.ย. 68) คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบทรงตัว เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนตลาด โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่แนวรับ 1,100 จุด และแนวต้าน 1,180 จุด           กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้นักลงทุนเน้นถือหุ้นในกลุ่มค้าปลีกภายในประเทศ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจโลก           ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า และผลประกอบการของกลุ่มธนาคารที่กำลังจะประกาศออกมา ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในระยะต่อไป รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

MASTER เสิร์ฟความสวย สูตรลับโตไว...ไม่ธรรมดา! l Vision Inside

MASTER เสิร์ฟความสวย สูตรลับโตไว...ไม่ธรรมดา! l Vision Inside

https://youtu.be/TI0RHGlUNAU?si=pS1La7W_BOLNPFnI

หุ้นไทยบ่าย Sideway ต่อ แรงขายแบงก์ฉุดตลาดฯ

หุ้นไทยบ่าย Sideway ต่อ แรงขายแบงก์ฉุดตลาดฯ

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตลาดหุ้นไทย ปิดตลาดเช้าวันนี้ (18 เม.ย. 68) ที่ 1,145.16 จุด เพิ่มขึ้น 3.88 จุด หรือคิดเป็น 0.34% คาดช่วงบ่าย Sideway ออกข้าง            นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ดัชนีหุ้นไทยช่วงเช้า ปิดตลาดที่ 1,145.16 จุด +3.88 จุด (+0.34%) มูลค่าการซื้อขาย 13,773.12 ล้านบาท โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีแรงซื้อหนุน นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันดิบดับบลิวทีไอ WTI ปรับตัวขึ้น ประกอบกับมีแรงซื้อเพิ่มเติมในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และไอซีที            อย่างไรก็ตาม มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร เป็นปัจจัยกดดันทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้อย่างจำกัด สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่าย คาดดัชนียังแกว่งตัวในลักษณะ Sideway ต่อเนื่องจากช่วงเช้า โดยมีแรงขายหลักในหุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะที่มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังน้ำมันดิบดับบลิวทีไอ (WTI) ปรับตัวขึ้นแรง            โดยวางกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงบ่าย ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,135 จุด และแนวต้านที่ 1,150 จุด            พร้อมแนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นลักษณะเก็งกำไร IP และ NSL รายงานโดย : นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

BBL ลงนำกลุ่มแบงก์ รับ NPL ขึ้น-ตั้งสำรองฯ สูง

BBL ลงนำกลุ่มแบงก์ รับ NPL ขึ้น-ตั้งสำรองฯ สูง

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้นของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ปรับตัวลงนำกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังรายงานงบไตรมาส 1/2568 ออกมาพบ NPL ขยับขึ้น-ตั้งสำรองฯ สูง           นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของ BBL ที่ปรับตัวลงมา คาดมาจาตัวเลข NPL ในไตรมาส 1/2568 ปรับตัวขึ้นมาที่ 3.6% จากไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 3.2% ประกอบกับยังคงตั้งสำรองฯ ไว้ในระดับสูงอยู่ และแม้ BBL จะมีกำไรสุทธิเติบโตดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ แต่ส่วนใหญ่มาจากเงินลงทุน ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน ขณะเดียวกันส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ต่ำกว่าคาดด้วย ทั้งนี้ด้วยปัจจัยดังกล่าว ทำให้กระทบต่อภาพรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ตัวอื่นๆ อีกทั้งมอง BBL ไม่น่าสนใจ เทียบกับตัวอื่นๆ ที่ให้ปันผลดีกว่า

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

สงครามการค้าลดดีกรี คัด 3 หุ้น ปัจจัยหนุนเด่น

สงครามการค้าลดดีกรี คัด 3 หุ้น ปัจจัยหนุนเด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ทรีนีตี้ คาด SET Index จะปรับตัวขึ้นได้จากแรงหนุนของหุ้นในกลุ่ม Oil & Gas จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นกว่า 3% และแรงเก็งกำไรในกลุ่ม Bank ในช่วงประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส ซึ่งล่าสุด BBL ประกาศกำไรดีกว่าตลาดคาดไว้           รวมถึงปัจจัยสงครามการค้าเริ่มมีสัญญาณที่ลดความตึงเครียดลง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวแสดงความลังเลใจในการเพิ่มภาษีต่อจีนมากขึ้น เนื่องจากเกรงว่าอาจส่งผลให้การค้าระหว่างสองประเทศชะลอตัวลง พร้อมยืนยันว่าทางการจีนได้ติดต่อมาอย่างต่อเนื่องเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน           และท่าทีของทางจีนที่พร้อมเปิดโต๊ะเจรจา หากสหรัฐฯ ปฏิบัติตามเงื่อนไข 4 ข้อ ได้แก่ แสดงความเคารพและลดถ้อยคำเสียดสีจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มีจุดยืนที่แน่วแน่และสม่ำเสมอ ให้ความสำคัญกับข้อกังวลด้านความมั่นคงของจีน โดยเฉพาะประเด็นไต้หวัน แต่งตั้งตัวแทนเจรจาที่มีอำนาจเต็มจากประธานาธิบดี Top Pick Daily (Fundamental): BBL, HMPRO, KCG Stock S R Comment BBL 140.00 148.00 กำไร 1Q68 เติบโต 20%YoY HMPRO 8.70 9.20 คาด Margin เติบโตจากสัดส่วนยอดขายสินค้า Low Margin ลดลง KCG 7.90 8.20 KCG Logistic park ช่วยลดค่าใช้จ่าย

MOSHI ยอดขายสาขาเดิม Q1 โต 7-8% จ่อเปิดสาขาใหม่แตะ 40 แห่ง เป้า 56.10 บ.

MOSHI ยอดขายสาขาเดิม Q1 โต 7-8% จ่อเปิดสาขาใหม่แตะ 40 แห่ง เป้า 56.10 บ.

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย คงมุมมองเชิงบวกต่อ MOSHI จาก SSSG ใน 1Q68 เป็นบวก 7-8% จาก feedback ที่ดีจาก merchandise กลุ่ม cartoon characters ใหม่ๆ ที่พัฒนาจากทีม R&D ของบริษัท และได้ประโยชน์จากการร่วม E-receipt เป็นปีแรก ซึ่งผู้บริหารคงเป้าการเติบโตของยอดขายที่ 15-20%               ขณะที่มอง GPM ที่ไม่รวม impact ของ exhibition ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 54.2% ซึ่งหมายถึงจะเห็นการเพิ่มขึ้นโดยรวม ทั้งนี้บริษัทไม่มีแผนการทำธุรกิจ exhibition เพิ่มเติมจากนี้ ประกอบกับแผนการขยายสาขาในปี 2568 ยังคงแผนที่ 40 สาขา โดยแบ่งเป็น สาขาในศูนย์การค้าราว 30 สาขา และอีก 13 สาขาเป็นสาขารูปแบบ Standalone นอกจากนี้เราคาด Moshi มีโอกาสได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงจากสงครามทางการค้า เนื่องจาก Moshi มีการนำเข้าสินค้าจากจีนราว 60-65% โดยปัจจุบันค่าเงิน CNYTHB อ่อนตัวลงราว 2% ตั้งแต่ต้นปี MOSHI: ราคาพื้นฐาน 56.10 บาท

ADVANC หุ้นปลอดภัย จ่ายปันผล4%-เป้า315บ.

ADVANC หุ้นปลอดภัย จ่ายปันผล4%-เป้า315บ.

               หุ้นวิชั่น - บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึงคำแนะนำหุ้นพื้นฐานแนะนำลงทุน : ADVANC – เป็นหุ้น Defensive…คาดกำไรสุทธิปี 68 ยังเติบโตได้ 5-6% แม้ว่าปี 67 จะเป็นฐานสูง จากรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และ FBB ที่ขยายตัว ARPU คาดว่าดีและมีเสถียรภาพ บริษัทเล็งหารายได้จากธุรกิจอื่นและสร้าง synergy ในกลุ่ม ระยะกลาง-ยาวมีปัจจัยหนุนจากธุรกิจบริการคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ ฐานะการเงินมั่นคง คาด DY ที่ 4% ต่อปีแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 315 บาท

abs

Hoonvision

UREKA ใจป๋า! เพิ่มทุน RO แจก W3 ฟรี ลุยธุรกิจน้ำ-รีไซเคิล ดันโต

UREKA ใจป๋า! เพิ่มทุน RO แจก W3 ฟรี ลุยธุรกิจน้ำ-รีไซเคิล ดันโต

                  หุ้นวิชั่น - ผู้ถือหุ้น บมจ.ยูเรกา ดีไซน์ (UREKA) พร้อมใจโหวตรับมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวนไม่เกิน 545.68 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ในอัตราจัดสรร 10 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 0.85 บาท พร้อมจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ UREKA-W3 ฟรี โดยราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 2 บาทต่อหุ้น อายุ  2 ปี เปิดจองซื้อวันที่ 28 เม.ย. - 8 พ.ค.68 นี้ ฟากซีอีโอ "รินทร์ณฐา เอกอัศวภิรมย์" ระบุ รุกขยายธุรกิจผลิตน้ำประปา -ขายน้ำดิบ ผ่านบริษัทย่อย "บริษัท โมเดิร์น ซินเนอร์ยี่ จำกัด" สร้างรายได้เพิ่ม เร่งเจรจาปิดดีลธุรกิจสาธารณูปโภคต่อยอดธุรกิจเดิม ผลักดันการเติบโตปีนี้ก้าวกระโดด                   นางสาวรินทร์ณฐา เอกอัศวภิรมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) (UREKA) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 วันที่ 17 เมษายน 2568 มีมติอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 272,828,543 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 454,714,238.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 727,542,781.50 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,091,314,172 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.25 บาทต่อหุ้น เพื่อรองรับ (1) การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO) จำนวนไม่เกิน 545,657,086 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ในอัตราจัดสรร 10 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 0.85 บาท                   (2) การใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ รุ่นที่ 3 (UREKA-W3) เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO) จำนวนไม่เกิน 545,657,086 หุ้นโดยไม่คิดมูลค่า ในอัตรา 3 หุ้นเพิ่มทุน ต่อ 3ใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 2 บาทต่อหุ้น มีระยะเวลาการใช้สิทธิ 2 ปี โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (XR) วันที่ 13 มีนาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (Record date) วันที่ 14 มีนาคม 2568 ส่วนวันจองซื้อคือวันที่ 28 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2568 “สำหรับการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะช่วยผลักดันแผนการลงทุนขยายธุรกิจทั้งสาธารณูปโภคและธุรกิจใหม่ที่จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด” นางสาวรินทร์ณฐา กล่าว                   สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่นทุกธุรกิจ ทั้งธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล และธุรกิจผลิตน้ำประปาที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากความต้องการใช้น้ำประปาที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งมั่นใจว่าปริมาณน้ำกักเก็บไว้ในบ่อน้ำดิบพื้นที่กว่า 400 ไร่ เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าแน่นอน และด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มี จึงมุ่งหมายสร้างความมั่นคงในการบริหารจัดการน้ำ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อผนึกกำลังในการรักษาเสถียรภาพและส่งเสริมความยั่งยืนในการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งจะสนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ เสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว                   ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร UREKA กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ตั้งเป้าเป็นปีแห่งก้าวสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน จะเน้นการลงทุนในธุรกิจผลิตน้ำประปา ขายน้ำดิบ ซึ่งมีลูกค้าให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพิ่มการรับรู้รายได้ประจำของกิจการจำหน่ายน้ำประปา ผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท โมเดิร์น ซินเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งได้รับสัมปทานประกอบกิจการประปา และได้รับอนุญาตให้จำหน่ายน้ำประปาระยะเวลาสูงสุด 10 ปี ขณะเดียวกันธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งดำเนินธุรกิจโดย บริษัท เอ.พี.ดับเบิลยู. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (A.P.W.) มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 28,000 ตันต่อปี จะเน้นกลยุทธ์การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับสูง รวมถึงรักษากำลังการผลิตไว้ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรองรับออเดอร์ทั้งในและต่างประเทศ สร้างฐานรายได้ให้มากขึ้น                   ปัจจุบัน บริษัทฯ มีลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ กีฬา และเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งยังคงมีสัญญาณดีต่อเนื่อง รวมทั้งมีแผนขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม คาดว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีโดยเฉพาะลูกค้าในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่ และมีความต้องการเม็ดพลาสติกในปริมาณสูงจะทำให้บริษัทฯ อาจต้องขยายกำลังการผลิตในอนาคต เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มากขึ้น และถือเป็นสัญญาณที่ดีสนับสนุนให้ยอดขายเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด                   นอกจากนี้ บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเข้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม โดยเฉพาะธุรกิจสาธารณูปโภค เนื่องจากมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง รองรับการขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเห็นความชัดเจนโครงการต่างๆ ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ รวมถึงมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 2568 ผลดำเนินงานจะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมมุ่งมั่นผลักดันให้บริษัทฯ สามารถย้ายจากการเป็นบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า

เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร เช็กเลย!

เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร เช็กเลย!

              หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร ได้แก่ SAWAD* (เป้าพื้นฐาน 39 บาท) ประเมินราคาหุ้นเริ่มสร้างฐานลุ้นฟื้นตัว โดย MACD และ RSI เริ่มฟื้นก่อนราคา ประเมินแนวรับ 28.5 บาท / แนวต้าน 29.5 – 30.25 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 32 บาท (Stop loss 26.5 บาท) ประเมิน Sentiment บวกจากทั้งดอกเบี้ยขาลงและราคารถมือสองฟื้นตัวแรง ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะเป็นขาลงต่อเนื่องในปีนี้ (คาดมีโอกาส ธปท. ลดดอกเบี้ยราว 3 - 4 ครั้ง) และล่าสุดราคารถมือสองในประเทศฟื้นตัวแรง ดัชนีราคารถมือสองเดือน ก.พ. พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 66 (คาดผลขาดทุนรถยึดผ่านจุดที่แย่สุดไปแล้ว) Valuation ถูก Forward PE 8.8 เท่า (-2 SD) PBV 1.3 เท่า (ใกล้ -2 SD ที่ 1.2 เท่า) GULF* (เป้าพื้นฐาน 63 บาท) ประเมินราคาหุ้น Sideway up ลุ้นทำจุดสูงใหม่ (กราฟ 60 นาที) ประเมินแนวรับ 46.25 บาท / แนวต้าน 47.5 – 48.25 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 50.5 บาท (Stop loss 45 บาท) ประเมิน Sentiment บวกทั้งจากธุรกิจโรงไฟฟ้าและธุรกิจ New S-curvei) ธุรกิจโรงไฟฟ้าคาดได้ Sentiment บวกจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า / โอกาสการนำเข้า LNG ลดต้นทุนii) ธุรกิจ New S-curve อย่าง Virtual Bank ที่มีกระแสข่าวกลุ่มร่วมทุน KTB* GULF* ADVANC* และ OR* ผ่านเกณฑ์ (รอผลทางการเดือน มิ.ย.นี้) ซึ่งเราประเมินว่ากลุ่มร่วมทุนฯ จะได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าจำนวนมากทั้งจาก ADVANC* OR* และ KTB* สำหรับการทำธุรกิจ Virtual Bank BTG* (เป้าพื้นฐาน 23.9 บาท) ประเมินราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวหลังพักฐาน แนวรับ 19.5 บาท / แนวต้าน 20.1 – 20.6 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 21.3 บาท (Stop loss 18.6 บาท) ประเมินแนวโน้มกำไร 1Q68 โตเด่น และลุ้นโตต่อเนื่อง จากราคาเนื้อหมูที่ยังสูงต่อเนื่อง สวนทางกับราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ (ถั่วเหลือง ข้าวโพด) รวมทั้งมีโอกาสที่ภาครัฐจะเปิดทางนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากสหรัฐฯ (คาดว่ารัฐบาลจะมีมาตรการสนับสนุน) Valuation ไม่แพง และราคายัง Laggard กลุ่มฯ Forward PE 9.6 เท่า ขณะที่คาดกำไรปีนี้โตเด่น +60% YoY

CPN ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน เปิดโครงการใหม่หนุนโต 10%

CPN ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน เปิดโครงการใหม่หนุนโต 10%

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย ระบุ ราคาหุ้น CPN ขณะนี้ซื้อขายที่ระดับ -2SD หรือ 12.5 เท่าของกำไรปี 2568 เราชอบ CPN ที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ สำหรับค้าปลีก รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยพอร์ตธุรกิจที่กระจายความเสี่ยงได้ดี ซึ่งส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและปรับเพิ่มค่าเช่าได้ตลอด CPN ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดอิสระได้ดี จะช่วยในการลดหนี้สินลงได้ในอนาคต อีกทั้งแผนธุรกิจสำหรับปี 2568 มีแนวโน้มการเติบโตราว 10% จะมาจากส่วนของการปรับเพิ่มพื้นที่เช่าราว 4-5% โดยรายละเอียดโครงการใหม่ในปีนี้ เช่น โครงการดุสิต ทั้งห้างและออฟฟิศ และ Central Krabi ที่จะเปิดตัวครึ่งปีหลังจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตได้ต่อเนื่องในปี 2569 CPN: ราคาพื้นฐาน 78.00 บาท

JPARK บุ๊กยอดที่จอด Q1 แนะ “ซื้อ” เป้า 5.85 บ.

JPARK บุ๊กยอดที่จอด Q1 แนะ “ซื้อ” เป้า 5.85 บ.

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง JPARK ว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 25 เท่ากับ 5.85 บาท Investment Highlight                กำไร 4Q24 เท่ากับ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +47% QoQ และ +7% YoY ผลประกอบการ 4Q24 มีรายได้รวมเท่ากับ 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +15% QoQ จากธุรกิจการให้บริการที่จอดรถ (PS) ที่เป็นสัดส่วน 70% ของรายได้ เติบโตตามพื้นที่ให้บริการที่จอดรถเพิ่มขึ้น และมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากลานจอดรถในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น บริเวณถนนบรรทัดทอง ตลาดสวนหลวง-สามย่าน แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนรายได้ยังลดลง -7% YoY โดยมีผลมาจากรายได้จากธุรกิจให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (CIPS) เนื่องจากงานโครงการรถไฟฟ้า Smart Parking Management System และ Guidance System ที่บริษัทได้รับสัญญาจ้างมาในช่วงกลางปี 23 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตาม Percentage of Completion (ส่วนท้ายของ S-Curve) สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29% ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 22% และ 23% ใน 4Q23 จาก Margin ของงาน PS ที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีกำไร 4Q24 เท่ากับ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +47% QoQ และ +7% YoY โดยกำไรปกติทั้งปี 24 อยู่ที่ 89 ล้านบาท +11% YoY ใกล้เคียงประมาณการของเรา คาดผลประกอบการปี 25 ยังเติบโตต่อเนื่อง                คาดผลประกอบการ 1Q25 มีโอกาสเติบโต QoQ และ YoY เนื่องจากจะเริ่มมีการรับรู้รายได้โครงการอาคารที่จอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์อีกกว่า 1 พันตารางเมตร ประกอบกับธุรกิจ PS เริ่มเห็น U-Rate ที่ฟื้นตัวดีขึ้น เราประมาณการรายได้ปี 25 ราว 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +23% YoY โดยมีแรงหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการพระนั่งเกล้าเต็มปีเป็นครั้งแรก และธุรกิจ PS มี 1 โครงการใหม่ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วง 1H25 ทั้งนี้เราคาดกำไรปกติปี 25 เท่ากับ 98 ล้านบาท เติบโต +9.9% YoY คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 25 เท่ากับ 5.85 บาท                ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี P/E Ratio โดยอิงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของหุ้นที่ทำธุรกิจผู้ให้บริการที่จอดรถที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นและตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ ได้ PER เฉลี่ยที่ 23.4 เท่า ใช้สมมุติฐานกำไรต่อหุ้นปี 25 ที่ 0.25 บาท ได้ราคาเหมาะสมที่ 5.85 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

จับตาเม็ดเงินไหลเข้า คัด 9 หุ้นเด่น มี ESG RATING

จับตาเม็ดเงินไหลเข้า คัด 9 หุ้นเด่น มี ESG RATING

             หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้นไทย มองช่วงเดือน ก.พ. – ปัจจุบัน เม็ดเงินต่างชาติมีการกระจุกตัวอยู่ในตลาดการเงินไทยพอสมควร อาทิ มียอดสะสมTFEX สูงถึง1.06 แสนสัญญา สะสมตราสารหนี้ 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการสะสมก่อนมีกองทุน THAIESGX เข้ามา คล้ายกับช่วงก่อนมีเม็ดเงินวายุภักษ์ไหลเข้ามา ในเดือน ก.ค. - ส.ค. 67 ที่มียอด TFEX สะสมสูงถึง2.46 แสนสัญญา สะสมตลาดตราสารหนี้สูงถึง 4.8 หมื่นล้านบาท และหนุน SET ขึ้นแรง 6% ในเดือนถัดมา • หวังว่าเม็ดเงินต่างชาติที่หลบความผันผวนไหลเข้าตลาดการเงินไทยช่วงนี้ น่าจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยมีโอกาส ผันผวนน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานดีมี ESG RATING เด่น อย่าง WHA, KCE, SCGP, SCC, TOP, PTTGC, BBL, CPALL, BDMS

KLINIQ โค้งแรกสุดปัง! โกลเบล็กส่องเป้า 36 บ.

KLINIQ โค้งแรกสุดปัง! โกลเบล็กส่องเป้า 36 บ.

                 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง KLINIQ ว่า "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 36.00 บาท คาดการณ์กำไรงวด 1Q68 เติบโต QoQ , YoY                  คาดการณ์รายได้งวด 1Q68 เติบโต YoY แต่ปรับตัวลงเล็กน้อย QoQ โดยรายได้เติบโต YoY จากการเติบโตของสาขาเดิมและยอดขายสาขาใหม่ ในงวด 1Q68 บริษัทเปิดสาขาใหม่ 1 สาขา แบรนด์ L’Clinic ที่ซีคอน ศรีนครินทร์ ขณะที่คาดรายได้ลดลงเล็กน้อย QoQ เนื่องจากฐานรายได้สูงในงวด 4Q67 จากพฤติกรรมลูกค้าที่ใช้บริการมากในช่วงไตรมาส 4 คาดสมมติฐาน %GPM ใกล้เคียงกับในงวด 4Q67 ที่ระดับ 54.0% เนื่องจากมีการเปิดสาขาใหม่เพียง 1 สาขาทำให้ไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่ออัตรากำไรขั้นต้นมากนัก                  • คงประมาณการณ์กำไรปี 2568 ที่ 418 ลบ. +30% YoY, มาจากคาดรายได้ที่ 3,490 ลบ. +17% YoY จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมและรายได้ของสาขาใหม่ ปี 68 ตั้งเป้าเปิด 10 สาขา จากจำนวน 72 สาขาเมื่อสิ้นปี 67 เพิ่มเป็น 82 สาขาในปี 68 ขณะที่สมมติฐาน %GPM ที่ระดับ 53.4% ปรับตัวขึ้นจากระดับ 51.7% ในปี 67 เนื่องจากปี 67 บริษัทมีการเปิดสาขาใหม่จำนวน 20 สาขา ปิด 3 สาขา การเปิดสาขาจำนวนมากระดับ 20 สาขาทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเตรียมเปิดสาขาเข้ามาก่อนในช่วงแรก ทั้งค่าเช่าที่ ค่าเครื่องมืออุปกรณ์ รวมถึงค่าบุคลากร เป็นต้น                  • เราประเมินราคาเหมาะสมโดยใช้ Prospective PER ที่ 19x เป็นระดับ -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 68 เท่ากับ 1.90 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 68 เท่ากับ 36.00 บาท โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 15% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 5.5% ต่อปี เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

CV แจงผิดนัดชำระหุ้นกู้ “CV257A” เร่งแก้นำเงินชำระดอกเบี้ย

CV แจงผิดนัดชำระหุ้นกู้ “CV257A” เร่งแก้นำเงินชำระดอกเบี้ย

                หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท โคลเวอร์เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CV) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ “หุ้นกู้ของ บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน” หรือ หุ้นกู้รุ่น CV257A มีกำหนดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้งวดที่ 9 ภายในวันที่ 17 เมษายน 2568 ซึ่งบริษัท ฯ ยังไม่ได้ชำระดอกเบี้ย ภายในกำหนด ทำให้สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ขึ้นเครื่องหมาย Failed to Pay (FP) เนื่องจากเหตุดังกล่าว                 สืบเนื่องจากปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินการด้านเอกสารในการรับเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม เพื่อนำมา ชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้รุ่นดังกล่าว ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานภายนอกและเอกสารประกอบสำคัญจาก ต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องขอเลื่อนกำหนดการจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้งวดที่ 9 ออกไป จากกำหนดเดิม วันที่ 17 เมษายน 2568 ทั้งนี้ บริษัท ฯ ขอยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด และจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือ หุ้นกู้รุ่น CV257A ทันทีเมื่อกระบวนการดังกล่าวแล้วเสร็จ                 อย่างไรก็ตามบริษัทอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบ พร้อมทั้งดำเนินการกำหนดแนวทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ดังกล่าว ซึ่งหากมีความคืบหน้าทางบริษัทจะรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป

โกลเบล็ก คาด SET Sideway จัดกลยุทธ์ลงทุนเด็ด - เช็ก!

โกลเบล็ก คาด SET Sideway จัดกลยุทธ์ลงทุนเด็ด - เช็ก!

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหว Sideway ออกข้าง โดยช่วงเช้าดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นหลัก มีแรงกดดันจากประธานเฟดชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนแอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มไอซีทีและพลังงาน ขณะที่ช่วงบ่ายดัชนีกลับมาเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยมีแรงซื้อหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคาร ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,141.28 จุด +2.38 จุด +0.21% มูลค่าการซื้อขาย 29,646 ล้านบาท Program Trading -1,105 ล้านบาท ต่างชาติ -223 ล้านบาท TFEX -16,469 สัญญา ตราสารหนี้ +18,579 ล้านบาท               คาดดัชนีในวันนี้ยังแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway ออกข้าง โดยยังขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นช่วยพยุงหุ้นกลุ่มพลังงาน มองกรอบดัชนีในวันนี้ 1,135-1,150 จุด กลยุทธ์การลงทุน • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA : CPALL SCB TISCO EGCO BDMS TU ADVANC • หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก ThaiESG Extra : BBL BEM CPALL PTT TISCO • หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : ANAN ORI NOBLE ITD TIPH TVH • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : HMPRO GLOBAL DOHOME SCGD TEAMG • หุ้นที่ธปท.กำลังพิจารณาอนุมัติให้ประกอบธุรกิจ Virtual Bank : KTB ADVANC GULF OR SCB

BBL อย่าลืมเช็ก!วันXD ซื้อวันนี้มีปันผล6.50บ.

BBL อย่าลืมเช็ก!วันXD ซื้อวันนี้มีปันผล6.50บ.

           หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” BBL และราคาเป้าหมายที่ 186.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.60x (-1.00SD below 10-yr average PBV) โดย BBL ประกาศกำไรสุทธิ 1Q25 อยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +20% YoY และ +21% QoQ ดีกว่าที่ตลาดคาด +11%และเราคาด +14% เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุนถึง 2.9 พันล้านบาท (คาด 500 ล้านบาท) แต่มีการตั้งสำรองฯที่สูงกว่าคาดมาอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท (คาด 7.9 พันล้านบาท)            ด้าน NIM ต่ำกว่าคาดมาอยู่ที่ 2.91% (เราคาด 3.10%) จากไตรมาสก่อนที่ 3.12% เพราะมี Loan yield ลดลงจากการชำระคืนของ Working capital ส่วน NPL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.00% จากไตรมาสก่อนที่ 2.70% ส่วนใหญ่เกิดจาก Relapse NPL ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตและกลุ่มการค้า ทั้งนี้จากความกังวลเรื่องนโยบายใหม่ของรัฐบาลอินโดฯ ทาง BBL ไม่ได้กังวลต่อธนาคาร Permata มากนักเพราะมี Coverage ratio ในระดับสูงราว 350% ซึ่งสามารถรองรับความเสี่ยงได้อีกมาก กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 27% ของประมาณการทั้งปี เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุน แต่เป็นรายการที่คาดการณ์ได้ยาก ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +3% YoY จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่เราคาดว่ากำไรสุทธิ 2Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง แต่จะลดลง QoQ เพราะฐานกำไรจากเงินลงทุนที่สูง             ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +3% และ +12% ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET จากกำไรที่ดีกว่าคาด และใกล้ประกาศจ่ายเงินปันผล โดยจะ XD วันที่ 23 เม.ย. 25 ที่ 6.50 บาท ประกอบกับ BBL ยังคงมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่มที่ 300% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุดในกลุ่มเพียง 0.53x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x

ASL คาด SET Sideway ชู MASTER เด่น -เป้า 21 บ.

ASL คาด SET Sideway ชู MASTER เด่น -เป้า 21 บ.

                   หุ้นวิชั่น - - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ประเมิน SET Index แกว่งตัว Sideway แนะนำ Trading ในกรอบ 1,130-1,150 จุด พร้อม Stock Pick: MASTER เป้า 21.00 บาท                    คาด SET Index มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ Trading ในกรอบ 1,130 – 1,150 จุด พร้อมแนะนำหุ้นเด่นประจำวัน ได้แก่ MASTER ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท ปัจจัยต่างประเทศ: ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงินของสหรัฐฯ หลังอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ออกมาเรียกร้องให้ Jerome Powell ประธาน Fed เร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย และขู่จะปลดออกจากตำแหน่งหากไม่ดำเนินการตามคำเรียกร้อง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดเงิน สอดคล้องกับผลสำรวจที่พบว่า นักลงทุนจำนวน 56.9% ไม่มีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นและกลุ่ม EU หลัง Trump ให้สัมภาษณ์ว่ามีความคืบหน้าครั้งใหญ่ในการเจรจา                    ด้านยุโรป: ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ในรอบ 1 ปี สู่ระดับ 2.25% เพื่อลดแรงกดดันและฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางจากผลกระทบของภาษีการค้าระหว่างประเทศ และความไม่แน่นอนที่ฉุดการบริโภคและการลงทุน                    นอกจากนี้: ตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่ในช่วงของการรายงานผลประกอบการ (Earnings Season) โดยเฉพาะในกลุ่มส่งออก เทคโนโลยี และ AI ซึ่งมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของ Trump ต่อจีน ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ: ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 215,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านในเดือนมีนาคม ลดลง 11.4% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มชะลอตัวจากต้นทุนก่อสร้างที่สูงขึ้น สัปดาห์หน้าติดตาม: ตัวเลขภาคอสังหาฯ ของสหรัฐฯ และเงินเฟ้อในญี่ปุ่น ปัจจัยในประเทศ: (+) Update ผลประกอบการกลุ่มธนาคาร (+) ธปท. ประเมินผลกระทบจากภาษีทรัมป์ กดดัน GDP (+) สรุปจากงานเสวนา “ตลาดทุนพบภาครัฐ” ของ FETCO เริ่มเข้าสู่การรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคาร 1Q25 โดยกำไรสุทธิของ TISCO ใกล้เคียงกับคาดการณ์ ซึ่งผู้บริหารให้มุมมองแนวโน้มที่เป็นกลาง ในขณะที่ BBL มีผลงานที่สูงกว่าคาดการณ์กว่า 10% จากรายได้ NII และค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าคาดการณ์ รวมถึงคุณภาพลูกหนี้ที่ดีขึ้น คาดว่าจะมีโอกาส outperform ตลาด                    ธปท. ประเมินว่า GDP ปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่า +2.5% (เดิมคาด +2.5%) โดยเริ่มเห็นการผลิต การค้า และการลงทุนบางส่วนชะลอตัวเพื่อรอความชัดเจน ขณะที่คาดว่าจะเห็นผลของมาตรการภาษีต่อภาพรวมการส่งออกมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ในการประชุม กนง. ในวันที่ 30 เมษายนนี้ จะพิจารณาปรับประมาณการ GDP ในปีนี้อีกครั้ง สำหรับงานเสวนา "ตลาดทุนพบภาครัฐ" โดยมีคุณพิชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองเชิงบวกอ่อนๆ ต่อการปรับตัวของนโยบายภายใต้การขึ้นภาษีของทรัมป์ โดยมีแผนการนำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานเพื่อแก้ไขปัญหาดุลการค้า แต่ก็จะไม่ให้เสียเปรียบในการแข่งขัน รวมถึงการพัฒนาโครงการที่เป็น New S-Curve มากขึ้น ผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐานเดิม (EEC, SEC) และโครงการใหม่อย่าง Land Bridge เพื่อเชื่อมต่อเศรษฐกิจไทยกับ supply chain ทั่วโลก รวมถึงการปรับเกณฑ์ FDI ที่ต้องเข้ามาสร้างมูลค่ามากกว่าโรงงานประกอบ                    เชิงกลยุทธ์: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการรับมือมาตรการภาษีของทรัมป์ เช่น PTTGC, PTTEP, GPSC, CPF และกลุ่ม Domestic Play เช่น BBL, KBANK, SCB, MTC, CPALL, BJC เราประเมิน: SET Index จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway ระหว่าง 1,130 – 1,150 จุด แนะนำ selective buy หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ติดตาม: ตัวเลขการส่งออกไทย Stock Pick: MASTER แนวโน้ม 1Q25 ยังเติบโต ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 6.00 บาท แนวโน้ม 1Q25 ยังเติบโต                    ผู้บริหารตั้งเป้าการเติบโตของรายได้จากกิจการโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นราว 20% โดยมี key driver มาจากรายได้ลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น ทั้งอินโดนีเซีย จีน เมียนมา ลาว เป็นต้น ขณะที่ OR Operation ยังมี capacity เพียงพอ ส่งผลให้ GPM โดยเฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้นต่อจากปีก่อน ด้านรายได้จาก Partner สูงขึ้นหลังปีก่อน จากปีที่แล้วรับรู้ PPA ไปแล้วหลายบริษัท แต่เบื้องต้นเราคาดการณ์รายได้และกำไรสุทธิทั้งปีเท่ากับ 2,475 ล้านบาท และ 624 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 16.1% และ 20.3% ตามลำดับ เนื่องจากความกังวลจากผลของภาวะเศรษฐกิจมีโอกาสชะลอลง                    ขณะที่แนวโน้ม 1Q68 ด้านรายได้โรงพยาบาลยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ YoY ซึ่งยังคงมีการเติบโตสูงในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ แต่ด้านรายได้จากชาวไทยอาจเห็นการเติบโตน้อยลงกว่าปีก่อน ขณะที่คาดว่าในงวดนี้จะมีการรับรู้ค่าใช้จ่าย PPA สำหรับดีล Korawin และ V Square เข้ามากดดัน แต่ทั้งนี้ดีลดังกล่าวมีขนาดใหญ่ และเป็นช่วงของ low season ส่งผลให้คาดว่า 1Q68 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี                    ด้านราคาปรับตัวลงกว่า 55.2% YTD คาดว่าได้รับรู้ปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว ทั้งข่าวการที่ผู้บริหารขายหุ้นให้กองทุนต่างประเทศ ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและค่าเงินที่อ่อนค่าของอินโดนีเซีย แม้ว่าในช่วง 1Q68 จะยังไม่ได้รับผลกระทบ และจาก สบส. มีการควบคุมการโฆษณา ห้ามแพทย์ LIVE ใน OR มีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นทำให้กระทบการตลาดในระยะสั้น แนวรับ: 19.30 / 18.60 แนวต้าน: 20.50 / 21.00

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.25-33.45 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.25-33.45 บ./ดอลลาร์

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.25-33.45 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าวานนี้ตามราคาทองที่ลดลงและดัชนีเงินดอลลาร์ที่ทรงตัวในระดับต่ำ ด้านธนาคารกลางยุโรปลดดอกเบี้ย 25 bps มาอยู่ที่ 25% ตามคาด ส่งผลให้ Government Bond yields ของยุโรปลดลง เงินยูโรอ่อนค่าเล็กน้อย นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าไม่อยากขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติม เพราะกลัวการจับจ่ายใช้สอยจะหยุดชะงัก ด้านเงินเฟ้อญี่ปุ่นเร่งตัวมาอยู่ที่ 2% ธปท. มองว่านโยบาย Tariffs ทำให้การลงทุนและการผลิตชะลอลง นโยบายการเงินช่วยได้บ้างแต่ไม่ตรงจุด

BBL กำไร Q1/68 ดีกว่าคาด - Valuation น่าสน เคาะเป้า 180 บ.

BBL กำไร Q1/68 ดีกว่าคาด - Valuation น่าสน เคาะเป้า 180 บ.

               หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้น BBL  โดยกำไรสุทธิ 1Q68 ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท (+21% QoQ เพราะ Non-NII เพิ่ม และ OPEXลดตามฤดูกาล, +20% YoY จาก Non-NII) ดีกว่าฝ่ายวิจัยและ BB Consensus คาดราว 11% จาก Non-NII ในส่วนของกำไรจากเงินลงทุนผ่านการขายตราสารหนี้ • NIM ที่ 2.8% อ่อนตัวจาก 3.0% งวด 1Q67 และ 4Q67 ตามการลดดอกเบี้ยนโยบาย • NPL / Loan ที่ 3.6% เพิ่มจาก 3.2% ณ สิ้นงวดก่อน จากกลุ่มที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่ Coverage ratio ลงมาที่ 300% เทียบกับ 334% ณ สิ้นงวดก่อน • ฝ่ายวิจัยมองกลางต่องบ 1Q68 แม้กำไรดีกว่าคาด แต่ NPL ปรับขึ้น โดยการปรับขึ้น ของระดับ NPL ยังไม่ได้ยากเกินบริหารจัดการ (3Q67 เคยสูงถึง 3.9%) และเป็นไปในรูปแบบเดียวกับปีก่อน (ขึ้น 1Q-3Q และกลับมาลง 4Q) ซึ่งกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ทาง BBL ไม่ได้มีการกลับสำรอง ทำให้ความจำเป็นในการตั้ง ECL ไม่ได้ เพิ่มมากนัก แม้ NPL จะปรับขึ้นก็ตาม • คงประมาณการ หลังกำไรสุทธิ 1Q68 คิดเป็นสัดส่วน 28% ของประมาณการฝ่ายวิจัย(1Q67 คิดเป็นสัดส่วน 23% ของกำไรสุทธิปี 2567) และ BB Consensus น่าจะพอรองรับแนวโน้ม NII ระยะถัดไป ซึ่งมีแรงกดดันจากโอกาสในการลดดอกเบี้ยของ กนง. • การปรับขึ้นของ NPL อาจส่งผลลบต่อราคาหุ้น แต่ในเชิง PBV ไม่แพงที่ 0.48 เท่า และคาด Div Yield ราว 5.8% ต่อปี ในมุม Valuation น่าสนใจ ประกอบกับมองว่าเงินปันผล ต่อหุ้นประคองตัวได้ แม้กำลังเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงก็ตาม คงแนะนำ Outperform ให้ราคาเป้าหมาย 180.00 บ. 

น้ำมันดีด! คว่ำบาตรอิหร่าน-จีน หนุนราคาพลังงานทะยาน

น้ำมันดีด! คว่ำบาตรอิหร่าน-จีน หนุนราคาพลังงานทะยาน

            หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดที่ 67.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.20% d-d ขณะที่น้ำมันดิบ West Texas ปิดที่ 64.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.54% d-d ได้แรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานตึงตัวในระยะสั้น (Supply Shortage) โดยมีสาเหตุหลักจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน รวมถึงการคว่ำบาตรโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็ก (Teapot) ในจีน นอกจากนี้ ประเทศสมาชิก OPEC อย่างอิรัก คาซัคสถาน และประเทศอื่น ๆ ยังมีแนวโน้มที่จะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมเพื่อชดเชยการผลิตเกินโควตาในช่วงก่อนหน้า            จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มน้ำมันต้นน้ำ เช่น PTT และ PTTEP รวมถึงหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ซึ่ง SPRC ถูกประเมินให้เป็นหุ้นเด่น (Top Pick) ของกลุ่ม โดยมีราคาเป้าหมายที่ 8.00 บาท

ส่งออกสิงคโปร์โตแรง 15.7% อิเล็กทรอนิกส์นำทีม

ส่งออกสิงคโปร์โตแรง 15.7% อิเล็กทรอนิกส์นำทีม

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า สิงคโปร์รายงานยอดส่งออกรวม (ไม่รวมน้ำมัน) เดือนมีนาคม 2568 ขยายตัว +5.4%y-y เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +15.7%y-y ขณะที่ยอดส่งออกในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวโดดเด่นที่ +11.9%y-y จากเดิม +6.9%y-y              KSS ประเมินว่า ยอดส่งออกของสิงคโปร์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับยอดส่งออกของไทยจากสถิติในอดีต จึงคาดการณ์ในเชิงบวกว่า ยอดส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม ซึ่งจะประกาศระหว่างวันที่ 21 – 26 เมษายนนี้ มีโอกาสขยายตัวต่อเนื่องตามที่ Consensus คาดไว้ที่ +10.7% ยอดส่งออกในกลุ่มชิ้นส่วนของไทยมีแนวโน้มออกมาดี ตามการเติบโตของฝั่งสิงคโปร์ที่โดดเด่น มุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทย โดยประเมินว่ากลุ่มนี้ได้ตอบรับข่าวลบจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ไปแล้วในช่วงก่อนหน้า อีกทั้งราคาหุ้นหลายบริษัทในกลุ่มนี้เริ่มตั้งฐานได้และมีแรงซื้อกลับตลอดสัปดาห์ เช่น HANA +13.4%wtd, KCE +7%wtd              กลยุทธ์การลงทุน: แนะนำเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ DELTA, KCE และ HANA

KSS คาด SET วันนี้ Sideways - Up รับแรงหนุน ECB ลดดอกเบี้ย

KSS คาด SET วันนี้ Sideways - Up รับแรงหนุน ECB ลดดอกเบี้ย

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาดว่า SET วันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ “Sideways/Up” โดยมีแนวต้านที่ 1,147 และ 1,155 จุด ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 1,137 และ 1,132 จุด ปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยหนุนตลาดได้แก่ ความคืบหน้าในการประคองเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก Trade Tariff โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ที่ประกาศลดดอกเบี้ย Deposit Facility Rate ลง 25bps สู่ระดับ 2.5% ส่วนในไทย นักลงทุนเริ่มเก็งภาพการผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการเร่งซื้อพันธบัตรเพิ่มเติม 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 9 พฤษภาคม 2566                   นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากความคาดหวังเชิงบวกต่อพัฒนาการด้าน Trade Tariff ระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เปิดช่องสำหรับการเจรจา รวมถึงกำหนดการเจรจาระหว่างไทยและผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เมษายนนี้ ซึ่งมีโอกาสช่วยลดผลกระทบด้านภาษีต่อภาคการส่งออกของไทย และอาจนำไปสู่การผลักดันแผนลงทุนใน New S-Curve เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว                   อีกหนึ่งปัจจัยบวกคือ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 3.35% จากการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ในปี 2026F เพื่อชดเชยปริมาณการผลิตเกินโควต้าก่อนหน้า ร่วมกับสหรัฐฯ ที่กลับมากดดันการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ                   ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าจะมีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ, หุ้นที่ได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง, หุ้นกลุ่ม China Plays และหุ้นกลุ่มสื่อสารที่เก็งความคืบหน้าเรื่องเกณฑ์ประมูลคลื่นความถี่ สำหรับหุ้นเด่นที่แนะนำในวันนี้ ได้แก่ ADVANC, CPF และ IVL                   US Stock: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง โดยดัชนี Dow Jones -1.33% d-d หลัก ๆ ถูกกดดันจากการปรับตัวลงแรงของหุ้นบางตัว เช่น UnitedHealth ที่ร่วง -22.38% ขณะที่ดัชนี Nasdaq -0.13% d-d และ S&P 500 ปรับขึ้นเล็กน้อย +0.13% โดยกลุ่ม Sector หลักที่หนุนดัชนี S&P 500 ได้แก่ Energy, Consumer Staples, Real Estate และ Utilities ขณะที่กลุ่มที่ถ่วงตลาดคือ IT, Health Care และ ICT                   หุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ โดย UnitedHealth ร่วงแรง -22.38% หลังเปิดเผยผลประกอบการ 1Q25 ที่ต่ำกว่าคาด พร้อมปรับลดคาดการณ์กำไรปี 2025 เนื่องจากคาดว่าต้นทุนทางการแพทย์จะปรับตัวสูงขึ้น หุ้นอื่นในกลุ่มเดียวกันอย่าง Humana -7.4% และ CVS Health -1.84% ก็ปรับตัวลงเช่นกัน ขณะที่ Nvidia ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงต่อเนื่อง -2.9% จากประเด็นรัฐบาลสหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI รุ่น H20 ไปยังจีน ส่งผลให้บริษัทต้องบันทึกค่าใช้จ่ายสูงถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์                   ในทางตรงข้าม กลุ่มที่ปรับขึ้นได้แก่ Eli Lilly +14.36% หลังเปิดเผยผลการทดลองยาที่แสดงให้เห็นว่าสามารถลดน้ำหนักและระดับน้ำตาลในเลือดได้เทียบเท่ากับยา Ozempic ซึ่งเป็นยารักษาเบาหวานที่มียอดขายสูง ขณะที่หุ้นค้าปลีกอย่าง KSS ประเมินว่าการปรับลงของ Dow Jones จะมีผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นเอเชียและ SET Index ในกรอบจำกัด                   US Econ: ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดชี้ให้เห็นถึงสัญญาณชะลอตัว โดยยอดการเริ่มต้นสร้างบ้านในเดือนมีนาคมลดลง -11.4% m-m เหลือ 1.324 ล้านหลัง ต่ำกว่าคาดที่ 1.420 ล้านหลัง โดยมีสาเหตุหลักจากราคาวัสดุก่อสร้างที่แพงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจเริ่มได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง 9,000 ราย เหลือ 215,000 ราย ดีกว่าคาดที่ 225,000 ราย ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 220,000 ราย สะท้อนภาพภาคแรงงานยังประคองตัวได้แบบ Soft Landing โดยหากตัวเลขดังกล่าวพุ่งขึ้นเกิน 400,000 ราย จะเริ่มสะท้อนความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Hard Landing                   ECB Meeting: การประชุม ECB ล่าสุดเป็นไปตามคาด โดยมีมติเอกฉันท์ปรับลด Deposit Facility Rate ลง 25bps สู่ระดับ 2.25% ซึ่ง KSS มองว่าเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อของกลุ่มประเทศยุโรป และถือเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีธุรกิจในยุโรป เช่น XO, MINT, SHR และ IVL

CIMBTกำไร Q1โต33.9%แตะ 838 ลบ. คุมค่าใช้จ่ายลดลง– รายได้โตดี

CIMBTกำไร Q1โต33.9%แตะ 838 ลบ. คุมค่าใช้จ่ายลดลง– รายได้โตดี

               หุ้นวิชั่น - ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้รายได้ดอกเบี้ยลดลง แต่ชดเชยด้วยรายได้ค่าธรรมเนียม-การบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น ด้าน NPL เพิ่มเล็กน้อยจาก 2.6% เป็น 2.8% แต่ยังคงสำรองเกินเกณฑ์แบงก์ชาติ พร้อมโชว์ฐานเงินกองทุนแข็งแกร่งที่ระดับ 21.4%                ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT รายงานผลประกอบการ การดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีกำไรสุทธิจำนวน 838.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 212.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 33.9 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2567 สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 22.1 ในขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.2                รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวดสามเดือนปี 2568 มีจำนวน 3,583.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 77.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2567 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานอื่นเพิ่มขึ้นจำนวน 134.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.1 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและกำไรสุทธิจากการขายเงินลงทุนสุทธิกับการลดลงของกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 62.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.7เกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมและบริการ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 118.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.1 เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน                ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนปี 2568 เปรียบเทียบกบงวดเดี๋ยวกันปี 2567 ลดลงจำนวน 485.3 ล้านบาทหรือร้อยละ 22.1 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ทำให้อัตราส่วน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 47.6ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 62.5                อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net lInterest Margin - NIM) สำหรับงวดสามเดือนปี 2568อยู่ที่ร้อยละ 2.0 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.2 เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน                วันที่ 31 มีนาคม 2568 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่น และเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 246.3 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับเงินให้ สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 310.5 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.2 จากสิ้นปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 324.0 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อ ต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 79.3 จากร้อยละ 77.6 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ ร้อยละ 2.8 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.6 เป็นผลจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยยังคงมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อ และนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมขึ้น ตลอดจนได้มีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามหนี้ การดำเนินการดูแลและการแก้ไขลูกหนี้ที่ถูกผลกระทบ ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด                อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 134.3 ลดลงจากสิ้นปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 137.9 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 9.1 พ้นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีจำนวน 59.7 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วน เงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 21.4 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 16.7

7 หุ้นพระกาฬ สู้ศึกการค้า

7 หุ้นพระกาฬ สู้ศึกการค้า

          หุ้นวิชั่น- สงครามการค้าในเวทีโลก มีการปรับเปลี่ยนผันแปรในรายวัน ยังหาจุดที่ชัดเจนไม่ได้ และคาดว่าสถานการณ์คงยืดเยื้อกันต่อไป ตลาดหุ้นจึงเป็นของนักลงทุนที่กล้ารับความเสี่ยงสูงเท่านั้น              หลังจากที่ นักลงทุนมีการกระจายเงินลงทุนออกจากสหรัฐฯ มาในตลาดการเงินภูมิภาค รวมถึงตลาดการเงินไทยมากขึ้นสะท้อนได้จากวันที่ทรัมป์ประกาศตอบโต้ภาษี 185 ประเทศถึงปัจจุบัน (9 – 16 เม.ย. 68) กลับมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย 3 ใน 4 วันทำการสูงถึง 1.46 หมื่นล้านบาท, เข้าตลาดหุ้น 3 ใน 4 วันทำการ 883 ล้านบาท  และเข้าตลาด TFEX 3 ใน 4 วันทำการ 30,854 สัญญา           กลยุทธ์การลงทุน เก็งกำไรหุ้นพื้นฐานดีที่มีเม็ดเงินต่างชาติซื้อหนุนต่อเนื่องตั้งแต่วันที่มีประเด็นทรัมป์ตอบโต้ ภาษี (9 –16 เม.ย. 68) อย่างเช่น 10 หลักทรัพย์ดังนี้  CPF- PTTGC -CPALL -STA -DELTA -TTB, TIDLOR – CRC – MINT - BGRIM (ที่มา บล.เอเซียพลัส)           ขณะที่ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า หุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC- MINT- BJC- CPF           ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำ หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย            ได้แก่ 7 หุ้นดังต่อไปนี้  BCH- CPALL- CPAXT- GULF- MTC- OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร           ส่วนบล.กรุงศรี ระบุว่า ความคืบหน้าเรื่องแนวทางรับมือมาตรการกีดกันการค้าที่มี เพิ่มเติมในส่วนของไทย นั่นคือ การหารือระหว่างกระทรวงการคลังกับ BOT ต่อความเสี่ยง  เน้นไปที่หากผลกระทบมาตรการภาษีเริ่มเกิดขึ้น และกระทบหลายฝ่ายต้องหยุดชะงักชั่วคราว สถานการณ์การปล่อยสินเชื่อมีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้นได้อย่างไร แต่ในส่วนการนำเงินสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ไม่มีอยู่ในแนวทาง           คาดว่าน่าจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ – การผ่อนคลายนโยบายการเงิน หากผลกระทบ Trade Tariff สูง ประเมินจิตวิทยา บวกต่อ SET และหุ้นได้ประโยชน์ TH Bond Yield ลดลงต่อเนื่อง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF เช่าซื้อ เน้น MTC - JMT High Yield เน้น ADVANC หนี้สูง เน้น MINT TRUE           หัวข้อที่ กระทรวงการคลังหารือผู้ประกอบการในประเทศถึงแนวทางนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม อาทิ ก๊าซธรรมชาติ (PTT) ข้าวโพด อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป และอาหารสัตว์ ก่อนเดินทางไปสหรัฐฯ ประเมินแนวทางดังกล่าวจิตวิทยาบวก โดยหากใช้ก๊าซแทน Spot LNG เดิมใน Pool gas จะบวกต่อ กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF GPSC กลุ่มปิโตรเคมี PTTGC และเกษตร ฝั่ง CPF           มาที่ บล. ดาโอ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” CBG คง ราคาเป้าหมายที่ 95 บาท คาดกำไรสุทธิ ไตรมาศแรก ปี2568  ที่ 792 ล้านบาท (+26% YoY, +1% QoQ) สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์เดิม กำไรขยายตัว YoY จาก รายได้รวมขยายตัว +9% YoY จาก Domestic branded own ปรับตัวเพิ่มขึ้น +32% YoY, Distribution business +13% YoY ช่วยชดเชยรายได้ต่างประเทศที่ลดลง -12% YoY, 2) GPM ขยายตัวเป็น 28.1% จาก 26.8% จากต้นทุนน้ำตาล,เศษแก้ว และอลูมิเนียมที่ปรับตัวลดลง ด้านกำไรขยายตัว QoQ จาก GPM ขยายตัว และ SG&A expenses ลดลง เนื่องจาก 4Q24 มีค่าใช้จ่ายโบนัสพิเศษ แม้รายได้ที่ลดลง -10% QoQ           คาดกำไรปี 2528  ที่ 3,525 ล้านบาท (+24% YoY กำไร 2Q25E จะขยายตัวต่อ YoY, QoQ จากรายได้ทั้งไทยและต่างประเทศขยายตัว YoY, QoQ, GPM ขยายตัว จากการรับรู้น้ำตาลที่ลดลงเต็มไตรมาส เริ่มรับรู้ขวดแก้ว และกระป๋องที่บางลงตามแผน cost saving ของบริษัท           วกมาที่ บล.พาย ระบุ CPALL มี แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+8%YoY, -6%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดเติบโต 2% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +0.5% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks  เคาะ CPALL ราคาเป้าหมาย 80 บาท           CPF ปัจจัยบวกจากผลประกอบการงวด 1Q25 ที่คาดว่าจะสูงถึงระดับ 7,078 ล้านบาท (+514%YoY,+70%QoQ) จากผลดีของราคาเนื้อสุกรที่ไทยและเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดที่เกิดขึ้น ซึ่งผลดีดังกล่าวยังคงเห็นต่อเนื่องมาถึงช่วง 2Q25 นี้ ขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เบื้องต้นทาง CPF มีการขายไปยังสหรัฐฯ ไม่มากนัก มีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของรายได้รวม  เคาะราคาพื้นฐาน CPF ที่ 30.50 บาท การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น  

TASCO คาดกำไร Q1 ดีด หลังรัฐเบิกจ่ายงบคล่อง ปักเป้า 21 บ.

TASCO คาดกำไร Q1 ดีด หลังรัฐเบิกจ่ายงบคล่อง ปักเป้า 21 บ.

                  หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส จับตาหุ้น TASCO โดยคาด 1Q68 กำไรสุทธิ 456 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดเทียบกับ 1Q67 ที่มีกำไรเพียง 8 ล้านบาท หลังการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเข้าสู่วงรอบปกติ โดยสภาพคล่องของผู้รับเหมาที่ดีขึ้น น่าจะทำให้ TASCO โอนกลับค่าเผื่อหนี้สูญคืนมาได้ 60 ล้านบาท • งวด 1Q68 TASCO นำเข้า Crude 1 Cargo เพียงพอใช้เป็นวัตถุดิบกลั่นยางมะตอยเกรดพรีเมียมอย่างน้อยถึง 3Q68 โดยสถานการณ์ปัจจุบันที่ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงมาก น่าจะทำให้การจัดหา Feedstock ในปีนี้ของ TASCO ทำได้ดีกว่าปีก่อน • ตลาดยางมะตอยในประเทศปีนี้ได้แรงหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่มีความราบรื่นมากกว่าปีก่อน โดยมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับยางมะตอยเพิ่มขึ้น 5% YoY ทำให้ธุรกิจยางมะตอยกลับสู่วงจรปกติ เริ่มไฮซีซั่นตั้งแต่ไตรมาส 1 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 • แม้ยังไม่เห็นจุดเปลี่ยนที่มีนัยฯ ตราบที่ TASCO ยังไม่สามารถซื้อ Crude จากเวเนซุเอลาได้ แต่พื้นฐานธุรกิจโดยรวมถือว่าแข็งแกร่งมากขึ้นจากการเพิ่มขีดความสามารถของโรงกลั่นยางมะตอยที่มาเลเซียให้สามารถรองรับ Feedstock ที่หลากหลายได้ • มีมุมมองธุรกิจเป็นบวกในปี 2568 คาดกำไรจะเติบโต 13% YoY ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 21.00 บาท อิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง -0.5 SD

หุ้นไทยบ่าย Sideway แนะเก็งหุ้นพลังงาน ชู TOP-PTTEP

หุ้นไทยบ่าย Sideway แนะเก็งหุ้นพลังงาน ชู TOP-PTTEP

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน SET Index ปิดตลาดเช้าวันนี้ (17 เม.ย. 68) ที่ 1,137.81 จุด ลดลง 1.09 จุด หรือคิดเป็น 0.10% คาดช่วงบ่าย Sideway            นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายวันนี้ (17 เม.ย. 68) คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway ต่อเนื่องจากช่วงเช้า หลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยภาคเช้าปิดที่ระดับ 1,137.81 จุด ลดลง 1.09 จุด หรือคิดเป็น 0.10% โดยช่วงเช้าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามการค้า            สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงบ่าย ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,130 จุด และแนวต้านที่ 1,142 จุด โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในลักษณะเก็งกำไร โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน เช่น TOP และ PTTEP ซึ่งมีสัญญาณทางเทคนิคที่ดีในขณะนี้            ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตาม คือการเจรจาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

TISCO กำไร Q1/68 ลดลงเหลือ 1.64 พันลบ.

TISCO กำไร Q1/68 ลดลงเหลือ 1.64 พันลบ.

                หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TISCO) เปิดเผยว่า กำไรสุทธิสำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 1 ปี 2568 ของบริษัทมีจำนวน 1,643.38 ล้านบาท ลดลงจำนวน 89.64 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2567 สาเหตุจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงร้อยละ 2.0 ผลจากการปรับลด ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางใน โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประกอบกับสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 0.7 ของยอดสินเชื่อ เฉลี่ย เพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 จากการเติบโตของ รายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ร้อยละ 10.3 รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 จากการ เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ บล.ทิสโก้ และกำไรจากเงินลงทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ที่ เพิ่มขึ้น                 อย่างไรก็ตาม ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากตลาดรถยนต์ในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ ส่งผลให้รายได้ ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัยยังไม่ฟื้นตัว ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 0.9 จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมี ประสิทธิภาพ                 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 กำไรสุทธิของบริษัทลดลงจำนวน 58.43 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4 เป็นผลมาจาก รายได้รวมที่อ่อนตัวลงร้อยละ 2.5 และค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.6 มาเป็น ร้อยละ 0.7 ของสินเชื่อเฉลี่ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงร้อยละ 2.1 จากไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นโยบาย และการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยชะลอตัวลงร้อยละ 3.3จาก ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยอ่อนตัวลงตามฤดูกาลและผลจากยอดขายรถยนต์ที่ยังคงอ่อนแออีกทั้ง บริษัทมีการรับรู้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการของธุรกิจจัดการกองทุน (Performance Fee) ไปในไตรมาสก่อนหน้า อย่างไร ก็ดี ธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น ทั้งธรุกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน                 กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (Basic earnings per share) สำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2568เท่ากับ 2.05 บาทต่อหุ้น ลดลงจาก 2.13 บาทต่อหุ้นในไตรมาสก่อนหน้า และจาก 2.16 บาทต่อหุ้นในไตรมาส 1 ปี 2567 ส่วนอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) อยู่ที่ร้อยละ 15.0 รายละเอียดผลประกอบการงวดไตรมาส 1 ปี 2568                 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ในไตรมาส 1 ปี 2568 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 3,328.45 ล้านบาท ลดลงจำนวน 67.01 ล้านบาท (ร้อยละ 2.0) เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยรายได้ดอกเบี้ยมีจำนวน 4,589.07 ล้านบาท ลดลง 184.70 ล้านบาท (ร้อยละ 3.9) จากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบกับการลดภาระดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ด้านค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยมี จำนวน 1,260.62 ล้านบาท ลดลง 117.69 ล้านบาท (ร้อยละ 8.5) เป็นไปตามต้นทุนเงินฝากที่ชะลอตัวลงในทิศทางภาวะ ดอกเบี้ยขาลง                 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 73.09 ล้านบาท (ร้อยละ 2.1) สาเหตุจากรายได้ ดอกเบี้ยที่ชะลอตัวลงจำนวน 157.14 ล้านบาท (ร้อยละ 3.3) ตามการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว และการลดภาระ ดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่วนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง 84.05 ล้านบาท (ร้อยละ 6.3) จาก ต้นทุนทางการเงินที่ทยอยปรับลดลง                 ในไตรมาสนี้ บริษัทมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทเพื่อสอดรับกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่อลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.63 เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว รวมถึงการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางบางส่วนในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ในขณะที่ต้นทุนเงินทุนลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.30 จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ทั้งนี้ ส่วนต่างอัตรา ดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 5.33และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin)อยู่ที่ร้อยละ 4.88 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย                 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 1,351.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 จากไตรมาส 1 ของปีก่อนหน้า สาเหตุมาจาก การขยายตัวของรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 มาอยู่ที่จำนวน 455.50 ล้านบาท จากการออก กองทุนรวมใหม่ในระหว่างไตรมาส รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 มาที่จำนวน 128.37 ล้าน บาท จากส่วนแบ่งตลาดของ บล.ทิสโก้ที่ปรับตัวดีขึ้น และผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่าน กำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่จำนวน 67.31 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์มี จำนวน 762.18 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.4 จากผลกระทบของยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งส่งผลให้รายได้ ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัยปรับตัวลงร้อยละ 4.0                 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 ลดลงร้อยละ 3.3 จากรายได้ธุรกิจหลักที่อ่อนตัวลงร้อยละ 4.7 โดยค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ลดลงร้อยละ 11.2จากธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่อ่อนตัวลงกว่าร้อยละ 15.5 ส่วนหนึ่ง มาจากการลดลงของรายได้ตามฤดูกาล รวมถึงตลาดรถยนต์ในประเทศที่ยังซบเซา อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนฟื้นตัวดี ขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 จากส่วนแบ่งตลาดของ บล.ทิสโก้ที่ ปรับตัวดีขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐานธุรกิจจัดการกองทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 จากการออกกองทุนรวมใหม่ในระหว่างไตร มาส ด้านกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน หน้า ชดเชยกับรายได้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการของธุรกิจจัดการกองทุน (Performance Fee) ที่รับรู้ไปในไตรมาสก่อน ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน                 ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 2,241.87 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.4 จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลงร้อยละ 0.9 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการลดลงของ ค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามการอ่อนตัวลงของผลกำไร ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมอยู่ที่ร้อยละ 47.9                 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) มีจำนวน 385.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ของปีก่อน หน้าและจากไตรมาสก่อนหน้า โดยค่าใช้จ่ายสำรองคิดเป็นอัตราร้อยละ 0.7 ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทดำเนิน นโยบายการขยายสินเชื่ออย่างระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามทวงถามหนี้ส่งผลให้ คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) อยู่ในระดับที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.42 ทั้งนี้ การตั้งสำรองในระดับนี้เพียงพอรองรับต่อความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตตามนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม และยังคงรักษาอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) ที่ ร้อยละ 153.8

MCA รายได้ติดจรวด ปักธงแตะพันล้าน!

MCA รายได้ติดจรวด ปักธงแตะพันล้าน!

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้น MCA ช่วงเช้าวันที่ 17 เม.ย.68 ปิดที่ 1.10 บาท +0.13 บาท หรือเพิ่มขึ้น +13.40% ชูธงรายได้แตะพันล้าน ในปี 69 จากปีนี้คาดโตขั้นต่ำ 30%                ขณะที่แผนการเติบโตของ MCA ปี 2568 บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตทางรายได้ขั้นตํ่า 30% เปรียบเทียบกับปี 2567 ที่ 658.85 ล้านบาท และจะผลักดันรายได้แตะ 1,000 ล้านภายในปี 2569 MCA ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยในระยะสั้นบริษัทได้ขยายทีมงานเพื่อรองรับธุรกิจใหม่ควบคู่ไปกับการเปิดศูนย์กระจายสินค้าในระดับภูมิภาค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดจําหน่ายสินค้าและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ โดยมีแผนเปิดศูนย์กระจายสินค้าเชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช ภายในไตรมาสที่ 1/2568 และขอนแก่นภายใน                ไตรมาสที่ 3/2568 ในระยะยาว บริษัทได้ขยายทีมพัฒนา ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและโปรแกรมเมอร์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบปฏิบัติการหลังบ้าน หรือการเตรียมความพร้อมสําหรับการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อีกทั้ง บริษัทได้ให้ความสําคัญกับห่วงโซ่กิจกรรมทางธุรกิจในทุกมิติไม่ว่าจะเป็น ซัพพลายเออร์ เวนเดอร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัท Carbon Neutral ภายในปี2576 เพื่อให้เป็นองค์กรที่เติบโตแบบยั่งยืน                อนึ่ง MCA เป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดพร้อมการให้บริการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแบบครบวงจร ทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์บริษัทฯดําเนินงานมากว่า 10 ปี โดยมีบริการหลัก 5 ประเภท ได้แก่ บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล, บริการบรรจุและจัดส่งสินค้า, บริการพนักงานแนะนําสินค้า และบริการจัดเรียงสินค้า, ผู้จัดจําหน่ายสินค้า                ขณะที่โครงสร้างของบริษัท ประกอบไปด้วย บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล : 23.28% บริการบรรจุและจัดส่งสินค้า : 1.79% บริการพนักงานแนะนําสินค้า : 24.77% บริการจัดเรียงสินค้า : 39.10% ผู้จัดจําหน่ายสินค้า : 10.86% รายได้อื่นๆ : 0.20%

หุ้นไทยที่หลบภัย Q2 ?!!!  คัด 3 หุ้นฟอร์มเด่น

หุ้นไทยที่หลบภัย Q2 ?!!! คัด 3 หุ้นฟอร์มเด่น

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.ทรีนีตี้ ระบุ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีนที่ออกมาเติบโตแข็งแกร่งเกินคาดที่ 5.4%  ช่วยตอกย้ำมุมมองในไตรมาสที่ 2 ที่จะเห็นการปรับตัวที่แข็งแกร่งกว่าของตลาดหุ้นเกิดใหม่ประเมินตลาดหุ้นไทยจะเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกเป็นแหล่งหลบภัยในไตรมาสที่ 2 นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่การลงทุนในระดับโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น            Powell Flags Tariff Risks: Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แสดงความกังวลอย่างชัดเจนว่า นโยบายภาษีนำเข้าที่ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสร้างความท้าทายต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed โดยเฉพาะภารกิจในการควบคุมเงินเฟ้อควบคู่ไปกับการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ พาวเวลล์ระบุว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในปัจจุบันส่วนหนึ่งเกิดจากผลของภาษีนำเข้า ขณะเดียวกันกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัว โดยเฉพาะดัชนี GDP ในไตรมาสแรกซึ่งคาดว่าจะโตในอัตราต่ำ ทั้งที่มียอดขายรถยนต์และการนำเข้าเร่งตัวเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีในอนาคต            ท่าทีของ Fed ยังคงระมัดระวัง โดยยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย พร้อมเน้นว่าการตัดสินใจใด ๆ จะต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะ "stagflation" ซึ่งเป็นภาวะที่เงินเฟ้อเร่งตัวในขณะที่การเติบโตชะลอลงและอัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้น            China’s GDP: ในขณะที่เมื่อวานนี้ (16 เม.ย.) จีนประกาศ GDP ประจำไตรมาส 1 ปี 2025 เติบโตแข็งแกร่งเกินคาดที่ 5.4% จากแรงสนับสนุนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และการเร่งส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ โดยยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมขยายตัวถึง 5.9% และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 7.7%            EM vs. DM: โดยจากถ้อยแถลงของนาย Jerome Powell และตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีนที่ออกมา ช่วยตอกย้ำมุมมองในไตรมาสที่ 2 ของเรา ที่จะเห็นการปรับตัวที่แข็งแกร่งกว่าของตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (DM) โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประเมินตลาดหุ้นไทยจะเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกเป็นแหล่งหลบภัยในไตรมาสที่ 2 นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่การลงทุนในระดับโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น            SET: คาด SET Index เปิดตลาดปรับตัวลงเล็กน้อยตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ แต่ระดับการลงคงไม่รุนแรงเท่า และดัชนีอาจมีการเด้งระหว่างวัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นช่วยพยุงกลุ่ม Oil & Gas ไว้ อีกส่วนอาจเป็นท่าทีของนักลงทุนต่างชาติที่ระยะสั้นอาจยังคงมีแรงซื้อสุทธิไปตามโมเมนตัมของเงินบาท ที่ปรับตัวแข็งค่าตามราคาทองคำที่ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หุ้น Top Picks : ADVANC, CPN, MAGURO

กลุ่มแบงก์บวกยกแผง รับ Sentiment ช่วงสั้น ตั้ง Virtual Bank

กลุ่มแบงก์บวกยกแผง รับ Sentiment ช่วงสั้น ตั้ง Virtual Bank

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้รับ sentiment เชิงบวก จากข่าวการพิจารณาคุณสมบัติผู้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ซึ่งมีผู้ผ่านการคัดลือกแล้วจำนวน 3 ราย จากทั้งหมด 5 ราย แต่มองเป็นเพียงในระยะสั้นเท่านั้น           สำหรับ KTB และ SCB เนื่องจากการจัดตั้ง Virtual Bank คงใช้เวลาอีกราว 1 ปี ถึงจะสามารถเปิดดำเนินการได้จริง และถ้าดู Virtual Bank ในต่างประเทศ ในช่วงแรกต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง และจะไม่สามารถทำกำไรในช่วง 1-2 ปีแรก ขณะที่ไม่ใช่ทุกรายที่จะประสบความสำเร็จ จากกรณีศึกษาในต่างประเทศ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีฐานลูกค้าที่ใหญ่มาก และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และหลายแห่งใช้เวลากว่าจะมีกำไรราว 5-8 ปีนับจากจัดตั้ง ดังนั้นยังไม่เห็นผลบวกในระยะสั้น สำหรับผู้ประกอบการที่จะได้ไล่เซ่นส์ Virtual bank ยังให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารระดับปานกลาง (neutral)           Top Pick ยังคงเป็น BBL (TP: 184.-), KTB (TP: 27.30) และ KBANK (TP:180.-) ที่คาดว่าจะมีกำไร 1Q68 และกำไรทั้งปี 68 ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง และเก็งกำไร SCB (TP:132.-) สำหรับข่าวดังกล่าว เนื่องจากพันธมิตร Kakao Bank ถือเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำ virtual bank ในเกาหลีที่ประสบความสำเร็จ มีผลประกอบการที่มีกำไรค่อนข้างดีเทียบกับรายอื่น           บล.กรุงศรี ระบุกลุ่มธนาคาร ยังคงมุมมองเดิมต่อ virtual bank ว่าไม่กระทบต่อกลุ่มธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ เพราะปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ได้พัฒนาระบบการเงินดิจิทัลอยู่แล้ว และฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงธนาคารได้

TISCO คาดกำไรลดแต่ปันผลเด่น โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 104 บาท

TISCO คาดกำไรลดแต่ปันผลเด่น โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 104 บาท

                          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ทรีนีตี้ TISCO คาดจะประกาศงบวันนี้ (17 เม.ย.): เราคาดว่า TISCO จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ 1.6 พันล้านบาท ลดลง 6% QoQ และ 8% YoY จากแรงกดดันหลักด้านค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงคุณภาพหนี้ที่อ่อนแอลงภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย และการขยายพอร์ตสินเชื่อไปยังกลุ่ม High Yield มากขึ้น ขณะที่สินเชื่อโดยรวมมีแนวโน้มทรงตัวจากความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีแนวโน้มอ่อนตัวตามฤดูกาล             โดยเรายังคงประมาณการกำไรปี 2568 ว่าจะชะลอตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จุดเด่นสำคัญยังอยู่ที่อัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง โดยเราคงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 104 บาท อิง PBV 1.82 เท่า แม้ Upside จะค่อนข้างจำกัดจากแนวโน้มผลประกอบการในระยะสั้น แต่คาดว่า TISCO จะยังคงจ่ายปันผลปีนี้อยู่ที่ 7.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ราว 7.8% ต่อปี โดยในครึ่งปีหลังของปี 2567 จะมีการจ่ายปันผลอีก 5.75 บาท (XD 28 เม.ย. 68) คิดเป็น Residual Dividend Yield ประมาณ 5.8% เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากจุดเด่นด้านผลตอบแทนปันผลที่น่าสนใจ.

MAJOR หวังผลงาน Q2 ฟื้น โบรกขยับเป้า 17 บ.

MAJOR หวังผลงาน Q2 ฟื้น โบรกขยับเป้า 17 บ.

        หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส จับตาหุ้น MAJOR  โดยคาด 1Q68 กำไรสุทธิ 15 ล้านบาท ลดลง 89%YoY เหตุเพราะภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ฮอลลีวูดหลายเรื่องทำรายได้ต่ำกว่าเป้ามาก ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงรายได้ป๊อปคอร์น และธุรกิจโฆษณา แต่ยังมีตัวช่วยจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนในอดีต • ธุรกิจโรงภาพยนตร์กำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นอีกครั้งในไตรมาส 2 โดยมีภาพยนตร์น่าสนใจ หลายเรื่องที่คาดจะทำรายได้ดี อย่างไรก็ตามรายได้ 1Q68 ที่ต่ำกว่าคาดมาก ทำให้เป้า ปริมาณจำหน่ายตั๋วภาพยนตร์ปีนี้ของ MAJOR ที่ตั้งไว้ 40 ล้านใบ เริ่มดูเลือนลาง • แนวโน้มกำไร 1Q68 ที่น่าผิดหวัง ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 2568 ลง 21%บนมุมมองเชิงอนุรักษ์นิยมมากขึ้น แต่เชื่อว่าผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วใน1Q68 พิจารณาจากรายชื่อภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่เตรียมเข้าฉายถึงสิ้นปี • การคาดการณ์รายได้ภาพยนตร์ในอนาคตทำได้ค่อนข้างลำบากเพราะขึ้นกับกระแสของคนดูเป็นหลัก แต่สิ่งที่ MAJOR ทำได้ดีคือการควบคุมต้นทุนอย่างจริงจัง พร้อมมองหาโอกาสในการสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ๆ นอกเหนือจากธุรกิจโรงภาพยนตร์ • หลังปรับประมาณการ ทำให้ราคาเหมาะสมลดลงจาก 20.00 บาท เหลือ 17.00 บาท แต่ราคาเหมาะสมจะขยับขึ้นเป็น 18.50 บาทได้ หาก MAJOR ลดทุนหุ้นซื้อคืนหลังครบกำหนดขายคืนตลาดสิ้นเดือน เม.ย. นี้ โดยแนวโน้มกำไร 1Q68 ที่ไม่สดใส ทำให้ราคาหุ้น ไม่น่าจะสร้างผลตอบแทนชนะตลาด จึงปรับคำแนะนำลงจาก Outperform เป็น Neutral

TISCO กำไร Q1 หดตัว เศรษฐกิจฉุดผลงานร่วง

TISCO กำไร Q1 หดตัว เศรษฐกิจฉุดผลงานร่วง

              หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง TISCO ว่า Consensus คาดกำไรในงวด 1Q68 เฉลี่ย 1,609 ล้านบาท (-7% YoY, -5% QoQ) จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า, ยอดขายรถยนต์ในประเทศหดตัว และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 68 อาจเหลือ 5.3 แสนคัน หดตัว 7.5% YoY จากปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อที่มีอยู่เดิม รวมถึงปัญหาใหม่ทั้งแผ่นดินไหวและการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบรายได้หลักของไทย ปลายเดือน ก.พ. 68 TISCO มีสินเชื่อสุทธิคงค้าง 2.26 แสนล้านบาท (+0.18% YTD) พลิกจากหดตัว 1.1% YoY ณ ปลายปี 67 จากการเติบโตของสินเชื่อในทุกกลุ่มธุรกิจต่อเนื่องจาก 4Q67 โดยสินเชื่อสุทธิ +0.5% MoM, -0.6% YoY             ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลางต่อผลการดำเนินงานในปีนี้ที่มีโอกาสหดตัวเล็กน้อย จาก Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 68 เฉลี่ย 6.6 พันล้านบาท (-5% YoY) ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายที่ระดับ PBV 1.84x สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 0.64x นอกจากนี้ IAA consensus คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 8% ต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับสูงและน่าสนใจถือลงทุนระยะยาวเพื่อรอรับเงินปันผล โดยบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปี 67 หุ้นละ 5.75 บาท yield 5.8% XD 25 เม.ย. วันจ่าย 16 พ.ค. แนะนำ “ถือ”

CPALL คาดกำไร Q1 ที่ 6.5 พันล. โบรกชี้ SSSG แกร่ง เป้า 80 บ.

CPALL คาดกำไร Q1 ที่ 6.5 พันล. โบรกชี้ SSSG แกร่ง เป้า 80 บ.

 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.พาย ระบุ แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+8%YoY, -6%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดเติบโต 2% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +0.5% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)

หุ้นไทยผันผวนแรง! ให้กรอบ 1,122-1,150 จุด

หุ้นไทยผันผวนแรง! ให้กรอบ 1,122-1,150 จุด

            หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายธวัชชัย อัศวพรไชย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (17 เม.ย.68) คาดว่าจะมีความผันผวน โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index วันนี้ไว้ที่แนวรับ 1,122 จุด และแนวต้านที่ 1,150 จุด และต้องจับตา ปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ปิดลบ ทั้งนี้ หุ้นอินวิเดียปรับตัวลง 6.8% หลังบริษัทเปิดเผยผลกระทบจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปไปยังประเทศจีน ซึ่งได้ฉุดหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงตามกัน             นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าของจีน ที่ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% ขณะที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีต่อสินค้าจากจีนเป็น 145% ส่งผลเชิงลบต่อกลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์             ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ควรติดตามความคืบหน้าการออกใบอนุญาต Virtual Banking ในเชิงกลยุทธ์เป็นบวกต่อกลุ่ม Tech consult เช่น BBIK BE8 และกลุ่มที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกิจโดยตรงทั้งกลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร เป็นต้น             และผลการหารือระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการนำเข้าก๊าซจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งได้เสนอแผนนำเข้าก๊าซ LNG 15 ล้านตัน ทำสัญญายาว 15 ปี กับสหรัฐฯ ปัจจัยดังกล่าวมองเป็นบวกที่ช่วยให้ราคา Pool Gas ลดลง และสนับสนุนให้ PTTGC นำเข้าอีเทน 4 แสนตัน หนุนให้กลุ่ม PTT กลายเป็นผู้ส่งออก LNG รายใหญ่ในภูมิภาค หากเจรจาสำเร็จ สหรัฐฯ เกินดุลการค้าไทยเพิ่ม 600 ล้านเหรียญฯ รวมถึงการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นกลุ่มธนาคาร ได้แก่ KBANK และ KTC รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

CPF จับตางบ Q1 คาดแตะ 7พันล. ย้ำขายไปสหรัฐฯ ไม่ถึง 2%

CPF จับตางบ Q1 คาดแตะ 7พันล. ย้ำขายไปสหรัฐฯ ไม่ถึง 2%

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.พาย ระบุ ปัจจัยบวกจากผลประกอบการงวด 1Q25 ที่คาดว่าจะสูงถึงระดับ 7,078 ล้านบาท (+514%YoY,+70%QoQ) จากผลดีของราคาเนื้อสุกรที่ไทยและเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดที่เกิดขึ้น ซึ่งผลดีดังกล่าวยังคงเห็นต่อเนื่องมาถึงช่วง 2Q25 นี้ ขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เบื้องต้นทาง CPF มีการขายไปยังสหรัฐฯ ไม่มากนัก มีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของรายได้รวม CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท)

AOT ขานรับท่องเที่ยว กำไร Q2 ฟื้นแรง! 5.94 พันล.

AOT ขานรับท่องเที่ยว กำไร Q2 ฟื้นแรง! 5.94 พันล.

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดการณ์กำไรสุทธิ AOT ในไตรมาส 2 ปี 2568 (มกราคม-มีนาคม 2568) ที่ 5.94 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (YoY) และเพิ่มขึ้น 11.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งคิดเป็น 28.5% ของประมาณการกำไรเต็มปีที่ 2.08 หมื่นล้านบาท (+8.5% YoY) โดยคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็น 34.79 ล้านคน (+7.6% YoY, +3.5% QoQ) แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 21.48 ล้านคน และผู้โดยสารในประเทศ 13.31 ล้านคน ขณะที่จำนวนเที่ยวบินคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 11.1% YoY และ 2.6% QoQ              รายได้ในไตรมาสนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1.88 หมื่นล้านบาท (+2.8% YoY, +6.2% QoQ) โดยอัตรากำไร EBIT คาดว่าจะอยู่ที่ 43.0% ลดลงเล็กน้อยจาก 44.0% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ดี สัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบินและไม่เกี่ยวข้องกับการบินคาดว่าจะอยู่ที่ 50.4:49.6 ทั้งนี้คาดว่าผลการดำเนินงานของ AOT จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรจากการประหยัดต่อขนาด              นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณที่ดีในเรื่องการชำระค่าสัมปทานจากกลุ่ม King Power ซึ่งแม้จะเกิดปัญหาสภาพคล่องในช่วงที่ผ่านมา แต่ AOT ยังสามารถรับรู้รายได้จาก King Power เป็นลูกหนี้ค้างรับและได้รับการผ่อนผันให้เลื่อนการชำระจากเดือนกันยายน 2567 ถึงเมษายน 2568 โดยคาดว่า King Power จะกลับมาชำระตามกำหนดในเดือนพฤษภาคม 2568 จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการเติบโตที่ยั่งยืนของธุรกิจ AOT นักวิเคราะห์จึงปรับคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” พร้อมคงราคาเป้าหมายที่ 50.00 บาท อิงจากการประเมิน DCF (WACC 9%, TG 1%) โดยราคาหุ้น AOT ปัจจุบันมีค่า PE ที่ 26.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2562 และ 2567 อย่างมีนัยสำคัญ

TIDLOR ราคารถมือสองฟื้น รับปัจจัยบวกไม่ยั้ง เป้า 19.75 บาท

TIDLOR ราคารถมือสองฟื้น รับปัจจัยบวกไม่ยั้ง เป้า 19.75 บาท

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ TIDLOR สำหรับปี 2568 โดยเป็นบริษัทจำนำทะเบียนขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด พร้อมทั้งธุรกิจนายหน้าประกันที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ นอกจากนี้เราคาดว่าคุณภาพสินทรัพย์อาจมีโอกาสปรับตัวได้ดีกว่าที่คาดจากการปรับกระบวนการติดตามหนี้ และการจัดสรรทรัพยากรในการเก็บหนี้ พร้อมทั้งทำการตัดหนี้สูญเชิงรุกในช่วงปี 2566-2567 ที่ผ่านมา ทำให้ลูกหนี้กลุ่มใหม่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น นอกจากนี้เราคาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะลดลงมากกว่าที่ตลาดคาด จากราคารถมือสองที่หยุดปรับตัวลดลงและมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในครึ่งแรกของปี 2568 โดยราคารถมือสองปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เป็นปัจจัยเชิงบวกสนับสนุนได้ในช่วงนี้           TIDLOR: ราคาพื้นฐาน 19.75 บาท

AMARC ทะยานสู่นิวไฮ โบรกเคาะกำไรโตแรง 188%

AMARC ทะยานสู่นิวไฮ โบรกเคาะกำไรโตแรง 188%

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุถึง AMARC ว่า คาดกำไรสุทธิ 1Q25F ทำ All-Time High เราแนะนำ "Buy" สำหรับหุ้น AMARC เนื่องจากมองว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในช่วงการเติบโตของกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) +11% ในช่วงปี 2025F-2027F และคาดว่านโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อบริษัทในระดับจำกัด              แนวโน้ม 1Q25F คาดกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น (+188% y-y, +80% q-q) เราคาดว่า AMARC จะมีกำไรสุทธิใน 1Q25F ที่ 18 ล้านบาท (+188% y-y, +80% q-q) เติบโตสูงตามรายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก ปริมาณงานตรวจวิเคราะห์สินค้า (Testing) ที่เพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร การให้บริการตรวจสาร BY2 สำหรับทุเรียนส่งออกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น              ขณะเดียวกัน คาดว่า Gross margin และ EBITDA margin จะดีขึ้นทั้ง y-y และ q-q อยู่ที่ 44.5% และ 28.8% ตามลำดับ จากผลของ Economies of scale และการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับบริการ Testing ซึ่งเป็นบริการที่มีอัตรากำไรสูงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น              แนวโน้ม 2Q25F และภาพรวมปี 2025F หากกำไรสุทธิ 1Q25F เป็นไปตามที่คาดไว้ จะคิดเป็น 42% ของประมาณการกำไรทั้งปีที่ 42 ล้านบาท (+6% y-y) ซึ่งมีโอกาสที่ประมาณการกำไรทั้งปีจะมี Upsideแนวโน้ม 2Q25F คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทั้ง y-y (2Q24 กำไรสุทธิ 8 ลบ.) และ q-q คาดว่ารายได้ให้บริการยังคงเติบโต จากปริมาณงานในบริการ Testing และการตรวจสาร BY2 สำหรับทุเรียนส่งออกที่เพิ่มขึ้นทำให้ Gross margin และ EBITDA margin มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง              คำแนะนำ เราคงคำแนะนำ "Buy" สำหรับ AMARC ให้ราคาเป้าหมายที่ 2.00 บาท (ประเมินด้วยวิธี DCF โดยใช้ WACC 8.1% และ L-T growth 3%) ด้วยเหตุผลสำคัญ: แนวโน้มกำไรไตรมาสอยู่ในช่วงขาขึ้น และมีโอกาสเกิด Upside ในประมาณการปี 2025F มีโอกาสเติบโตตามการบริโภคภายในประเทศ และการส่งออกสินค้าเกษตร + อาหารแปรรูป= มีฐานรายได้หลักในประเทศ ทำให้ได้รับผลกระทบจำกัดจากนโยบายภาษีของสหรัฐ ราคาหุ้นซื้อขายที่ Forward PE ต่ำกว่า -2.0 SD และ 0.9 เท่าของมูลค่าทางบัญชี มองเป็นโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ

GPSC ราคา pool gas ลด หนุนกำไร โบรกเคาะพื้นฐาน 41.50 บ.

GPSC ราคา pool gas ลด หนุนกำไร โบรกเคาะพื้นฐาน 41.50 บ.

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อ GPSC โดยมีปัจจัยหนุนจากต้นทุน JKM LNG ที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ 11.37 ดอลลาร์/mmbtu ลดลง 21% ตั้งแต่ต้นปี และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ ส่งผลให้ราคา pool gas โดยรวมมีโอกาสปรับตัวลดลง ซึ่งทุกๆ 10 บาท/mmBTU ที่ลดลงจะส่งผลดีต่อกำไร GPSC ประมาณ 5% นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 2.01% จาก 2.3% ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลเป็น sentiment เชิงบวกต่อเนื่องสำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ปรับตัวลงมามากในปีนี้ ปัจจุบัน GPSC ซื้อขายอยู่ที่ระดับ P/E ปี 2025 ประมาณ 16.x เท่า พร้อมกำไรในปี 2568 ที่มีโอกาสเติบโตประมาณ 17% GPSC: ราคาพื้นฐาน 41.50 บาท

ตลาดหุ้นสั่นคลอน! FED ฉุดความเชื่อมั่น

ตลาดหุ้นสั่นคลอน! FED ฉุดความเชื่อมั่น

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,125-1,150 จุด โดยมี Sentiment ลบกดดันจากฝั่งสหรัฐฯ แม้ว่ายอดค้าปลีกเดือนมีนาคมจะออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย แต่ถ้อยแถลงของประธาน FED สร้างความกังวล โดยระบุว่าการเก็บภาษีที่สูงกว่าคาดจะกดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ชะลอลง ขณะที่เงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ภารกิจของ FED ในการทำให้อัตราการจ้างงานเต็มศักยภาพและเงินเฟ้อลดลงสู่เป้าหมาย 2% เป็นไปได้ยากขึ้น ส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงและกลับเข้าสู่พันธบัตรรวมถึงทองคำอย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดยังคาดการณ์ว่าการปรับลดดอกเบี้ยของ FED จะเกิดขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม วันนี้นักลงทุนควรติดตามผลการประชุม ECB โดยตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 25 bps สู่ระดับ 2.25%                ปัจจัยในประเทศ: โฟกัสอยู่ที่การเริ่มประกาศผลประกอบการ 1Q25 ของกลุ่มธนาคาร โดยเริ่มต้นที่ TISCO หากผลออกมาไม่แย่กว่าคาด จะช่วยลดความกังวลต่อแนวโน้มกำไรของฝั่ง Real Sector ได้บ้าง อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามการทยอยปรับลดประมาณการ EPS ของ SET ตามแนวโน้ม GDP ที่มีโอกาสเติบโตต่ำกว่า 2% จากผลกระทบของภาษีการค้าสหรัฐฯ ทั้งนี้ เรายังมองว่าหุ้นกลุ่ม Domestic และ Consumer Staple จะยังปรับตัวได้แข็งแกร่งกว่าตลาด                กลยุทธ์การลงทุน: ยังคงเน้น Selective Buy หุ้น Domestic ที่มีแนวโน้มกำไร 1Q25-2025 แข็งแกร่ง และได้รับผลกระทบจำกัดจากความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว หุ้นเด่นเดือนเมษายน: BA, BBL, CPF, HMPRO, OSP FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR                 หุ้นเด่นวันนี้: NSL แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 43 บาท ระยะสั้นคาดกำไร 1Q25 แข็งแกร่ง มีโอกาสเติบโตทั้ง q-q และ y-y ได้แรงหนุนจากสินค้าใหม่ที่ได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 โต 16-17% y-y จากการเติบโตของโรงงานผลิตชีส รวมถึงสินค้ากลุ่มน้ำมะพร้าว/น้ำผลไม้ส่งออกที่จะรวมรายได้เข้ามาเต็มปี เราตั้งสมมติฐานรายได้ปี 2025 โต +14% และกำไรสุทธิที่ 600 ลบ. ถือว่า conservative และยังมี Upside โดยปัจจุบันราคาเทรด PER อยู่ที่ 14 เท่า แนวรับ 28 // 27-26.50 บาท แนวต้าน 30-30.50 // 32 บาท                Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากภูมิภาคอย่างหนาแน่นรวมสุทธิ US$1.6 พันล้าน นำโดยไต้หวัน US$707 ล้าน รองลงมาคืออินโดนีเซียและเกาหลีใต้ ประเทศละ US$413-488 ล้าน ส่วนอาเซียนอื่นมีเม็ดเงินผสมผสาน โดยไหลเข้าไทยแต่ไหลออกจากเวียดนาม แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะยังอยู่ในทิศทางไหลออก หลังจากประธาน FED ระบุว่ามาตรการภาษีของทรัมป์ทำให้เศรษฐกิจชะลอและเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ FED ดำเนินนโยบายได้ยากขึ้น และยังไม่มีการออกมาตรการพยุงตลาดเพิ่มเติม                ประเด็นสำคัญวันนี้: (+) กลุ่มเนื้อสัตว์ คาดกำไร 1Q25 โต 47% q-q และ 466% y-y จากราคาสุกรที่ปรับขึ้นมากกว่าคาด โดยราคาหมูไทยเฉลี่ย YTD อยู่ที่ 80-82 บาท/กก. +19% y-y และหมูเวียดนาม +22% y-y จาก Supply ที่ลดลงจากโรคระบาดและน้ำท่วมใน 4Q24 เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2025 ขึ้น +45% เป็นโต +16% y-y นำโดย BTG +62%, TFG +33%, CPF +12% ขณะที่ GFPT คงเดิมที่ -24% (+) BTG คาดกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 1.25 พันลบ. +26% q-q และพลิกจากขาดทุนปีก่อน ได้แรงหนุนจากราคาหมูที่สูงขึ้น ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบยังอยู่ในระดับต่ำ เราปรับประมาณการกำไรปี 2025 ขึ้น +44-47% และตั้งเป้ากำไรใหม่โต 62% y-y ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 27 บาท แนะนำ “ซื้อ” (+) TFG คาดกำไรสุทธิ 1Q25 +45% q-q, +612% y-y จากราคาหมูที่สูงขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบลดลง ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2025 โต 10-15% y-y เราปรับประมาณการกำไรปี 2025-27 ขึ้น +17-24% ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 5.30 บาท แนะนำ “ซื้อ” (+) BDMS คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 4.4 พันลบ. +7% y-y แตะระดับสูงสุดใหม่ หนุนจากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่โต +10% y-y โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง +15-20% y-y ขณะที่ผู้ป่วยไทยโต +4-5% y-y คาด EBITDA margin ยังคงแข็งแกร่งที่ 25% และโมเมนตัมกำไรจะต่อเนื่องใน 2Q25 แนะนำ “ซื้อ” (+) กลุ่มไฟฟ้า ราคาหุ้นปรับขึ้นแรงวานนี้ โดยเฉพาะ GPSC และ BGRIM คาดได้ Sentiment บวกจากข่าวที่รัฐบาลหารือการนำเข้า LNG เพิ่มจากสหรัฐอีก 1 ล้านตัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงและหนุน Margin ของโรงไฟฟ้า SPP อย่างไรก็ตามต้องระวังการคาดหวังต่อราคาก๊าซที่อาจลดลงมากเกินไป ขณะที่ภาครัฐยังมีนโยบายลดค่าไฟอย่างต่อเนื่อง แนะนำ “ซื้อ” GULF เป้าหมาย 57.7 บาท และ RATCH เป้าหมาย 34.8 บาท

น้ำมันรีบาวด์แรง! พลังงานคึก - PTTEP–PTT เด่น

น้ำมันรีบาวด์แรง! พลังงานคึก - PTTEP–PTT เด่น

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น (Rebound) โดยน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น +1.82% d-d ปิดที่ระดับ 65.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ West Texas ปรับขึ้น +1.86% d-d ปิดที่ 62.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นที่ลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แม้ว่าสต็อกน้ำมันดิบจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำในวันนี้ แนะนำเก็งกำไรหุ้นเด่นในกลุ่ม อาทิ PTTEP แนวต้าน 107.5 / 115 และ PTT แนวต้าน 32.25 / 33.0

AOT รอบนี้ทำใจลำบาก ผู้โดยสารชะลอ-ลดเป้า

AOT รอบนี้ทำใจลำบาก ผู้โดยสารชะลอ-ลดเป้า

           หุ้นวิชั่น- บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ” AOT และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 52.00 บาท (เดิม 58.00 บาท) ยังอิง DCF (WACC 7.4% และ terminal growth 3.5%)            ประเมินกำไรสุทธิ 2QFY25E ที่ 5.7 พันล้านบาท -1% YoY, +7% QoQ จะเติบโตช้าลงกว่าเดิมที่ประเมินโตได้ทั้ง YoY และ QoQ ปัจจัยหลักๆ มาจากผู้โดยสารระหว่างประเทศเติบโตน้อยกว่าคาดเป็น 21.7 ล้านคน +9% YoY, +4% QoQ โดยในเดือน มี.ค.25 กลับมาลดลง -0.6% YoY จากผู้โดยสารจีนที่ลดลงเป็นหลัก ส่วนผู้โดยสารในประเทศจะยังเติบโตได้ตามเดิมที่ 13.5 ล้านคน +8% YoY, +5% QoQ เราปรับประมาณการกำไรสุทธิ FY25E ลง 10% เป็น 2.0 หมื่นล้านบาท +2% YoY เนื่องจากเราปรับลดผู้โดยสารรวมเป็น 127 ล้านคน +6% YoY (เดิม 132 ล้านคน +11% YoY, 1HFY25E = 69 ล้านคน +12% YoY) โดยปรับลดจากผู้โดยสารระหว่างประเทศเป็น 77 ล้านคน +6% YoY (เดิม 82 ล้านคน +13% YoY, 1HFY25E = 43 ล้านคน +16% YoY) จากนักท่องเที่ยวจีนที่เติบโตช้าลง และผลกระทบจากสงครามการค้าทำให้นักท่องเที่ยวประเทศหลักๆ ทั่วโลกระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น โดยประเมินผู้โดยสารระหว่างประเทศ 2HFY25E จะลดลง -3%-4% YoY ส่วนผู้โดยสารในประเทศยังประเมินที่ 50 ล้านคน +7% YoY ราคาหุ้น underperform SET -17% ในช่วง 3 เดือน จากความกังวลที่ KPD เลื่อนการชำระผลตอบแทน            ทั้งนี้ ปรับคำแนะนำลงเป็น ถือ จากแนวโน้มผู้โดยสารที่ฟื้นตัวช้าลง นอกจากนั้น ยังคงมีปัจจัยกดดัน จากความกังวลว่า AOT ต้องมีการออกมาตราช่วยเหลือ KPD เพิ่มเติม โดยเราได้ทำ sensitivity analysis (Fig 2: case 3-5) กรณีที่ AOT จะต้องปรับสัญญาใหม่ เช่น ลด minimum guarantee เพื่อช่วยเหลือ KPD โดยรายได้จาก KPD ที่ลดลงทุก 10% จะทำให้กำไรของ AOT ลดลงราวอีก 7% เทียบกับกำไรในประมาณการใหม่ของเรา (case 2: new base case)

ASL คาด SET แกว่งในกรอบ 1,122–1,150 จุด แนะซื้อ BEM เป้า 6 บ.

ASL คาด SET แกว่งในกรอบ 1,122–1,150 จุด แนะซื้อ BEM เป้า 6 บ.

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยวันนี้ แกว่งตัว Sideway แนะนำ Trading ในกรอบ 1,122-1,150 จุด ปัจจัยต่างประเทศ : (+) จีนแสดงเจตจำนงในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ (-) ถ้อยแถลงพาวเวลให้มุมมองเชิงลบ (-) หุ้นอินวิเดียปรับตัวลงกดดันกลุ่ม semiconductor               รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ทางการจีนได้เปิดเงื่อนไขก่อนที่รัฐบาลจีนจะเห็นชอบเจรจาการค้ากับสหรัฐ กล่าวคือ รัฐบาลทรัมป์ต้องแสดงให้เห็นว่าเคารพรัฐบาลจีน ด้วยการดูแลไม่ให้รัฐมนตรีแสดงความคิดเห็นดูหมิ่น สหรัฐต้องมีจุดยืนอยู่ในร่องในรอยมากขึ้น และเต็มใจแก้ไขข้อกังวลของจีนเรื่องการคว่ำบาตรของสหรัฐและเรื่องไต้หวัน ขณะที่นายกฯ จีนได้ให้มุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะยังขยายตัวผ่านการบริโภคภายในประเทศ และการพัฒนาตลาดอสังหาฯ มองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นจีน พาวเวลแสดงความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง เนื่องจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร และจะกระทบต่อภารกิจหลักสองประการของเฟด คือ การรักษาเสถียรภาพของราคา และการทำให้การจ้างงานเต็มศักยภาพ ทั้งนี้ พาวเวลประเมินว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น และ GDP อาจลดลง ซึ่งประมาณการจาก GDP Now ประเมินว่า US GDP 1Q25 จะหดตัว 2.2%               ทั้งนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเฟดจะให้ความสำคัญต่อเป้าหมายในด้านใดมากกว่า รวมถึงพาวเวลยังไม่ได้ส่งสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย และจะขอดูข้อมูลเศรษฐกิจก่อนการประชุมเฟดครั้งถัดไป               หุ้นอินวิเดียร่วงลง 6.8% หลังบริษัทเปิดเผยผลกระทบจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปไปยังประเทศจีน และได้ฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงตามกัน หลังได้รับผลกระทบจากจีนประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% ส่วนสหรัฐฯ ขึ้นภาษีจีนที่ 145% เป็น sentiment เชิงลบต่อกลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กฯ ปัจจัยในประเทศ : (+) อัปเดตความคืบหน้า Virtual Banking (+) ผลการหารือ ก.คลัง-ธปท. จะนำเข้าก๊าซจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น (0) KBANK, KTC ขึ้น XD ธปท. ประกาศผู้ผ่านการคัดเลือกได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Virtual Banking ได้แก่ KTB-AIS-GULF-OR SCBX-KakaoBank-WeBank Ascend Money-กลุ่ม CP ในเชิงกลยุทธ์เป็นบวกต่อกลุ่ม Tech Consult เช่น BBIK, BE8 และกลุ่มที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกิจโดยตรง ทั้งกลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร เป็นต้น               ด้านผลการหารือระหว่าง ก.คลัง และ ธปท. ได้เสนอแผนนำเข้าก๊าซ LNG 15 ล้านตัน ทำสัญญายาว 15 ปี กับสหรัฐฯ มองเป็นบวกที่ช่วยให้ราคา Pool Gas ลดลง และสนับสนุนให้ PTTGC นำเข้าอีเทน 4 แสนตัน หนุนให้กลุ่ม PTT กลายเป็นผู้ส่งออก LNG รายใหญ่ในภูมิภาค หากเจรจาสำเร็จ สหรัฐฯ เกินดุลการค้าไทยเพิ่ม 600 ล้านเหรียญฯ เราประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway ในกรอบ 1,122-1,150 แนะนำ selective buy หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ติดตาม: ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม / การรายงานงบธนาคาร               Stock pick: BEM ขานรับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 6.00 บาท

PR9 แนวโน้มสดใส จังหวะน่าสะสม ปักเป้า 27 บ.

PR9 แนวโน้มสดใส จังหวะน่าสะสม ปักเป้า 27 บ.

                หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ประเมินหุ้น PR9 โดยคาดกำไร 1Q25 เติบโตดี YoY จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เราคาดกำไรสุทธิใน 1Q25 ที่ 184 ล้านบาท -11%QoQ, +16%YoY กำไรชะลอตัว QoQ เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล ซึ่งปกติในไตรมาส 4 จะเป็น High Season ของธุรกิจตรวจสุขภาพ นอกจากนี้ใน 4Q24 ยังมีบันทึกรายการลดหย่อนทางภาษีจากเงินบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้ภาษีจ่ายต่ำกว่าปกติ เทียบ YoY เติบโตเด่นมีปัจจัยหนุนดังนี้ คาดรายได้จากการให้บริการเติบโต 15%YoY ปัจจัยหลักจากการเติบโตของรายได้จากลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง และกลุ่ม CLMV เป็นไปตามกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าต่างชาติ ส่วนคนไข้ไทยเติบโตในระดับ single digit นโยบายการควบคุมต้นทุนทำได้ดี และสัดส่วนการรักษาโรคเฉพาะทางที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ EBITDA margin ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1Q24 ที่ 23.3% เป็น 23.6% ใน 2Q25-3Q25 ลูกค้าตะวันออกกลางเติบโตมากขึ้น และมีผลบวกจากการลดหย่อนภาษีสำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง บริษัทให้ข้อมูลประเด็นเรื่องการปรับนโยบายการรักษาของรัฐบาลคูเวตเรื่องส่งคนไข้มารักษาในประเทศไทยยังไม่คืบหน้า ส่วนประเด็นผลกระทบแผ่นดินไหวที่ประเทศพม่าไม่กระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นการเพียงเลื่อนนัดการรักษาเท่านั้น ขณะที่กลุ่มลูกค้าตะวันออกกลางจะเติบโตมากขึ้น QoQ และ YoY หลังผ่านช่วงเทศกาลถือศีลอดสิ้นสุด 30 มี.ค. ที่ผ่านมา รวมถึงผลจากกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าตะวันออกกลางมากขึ้น และใน 2Q25-3Q25 บริษัทให้ข้อมูลว่ามีโอกาสใช้รายการลดหย่อนทางภาษีจากเงินบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์เหมือนกับงวด 4Q24 ที่ผ่านมา ทำให้ภาษีจ่ายลดลง ปี 2025 แนวโน้มสดใสภาพรวมปี 2025 เราคงประมาณการกำไรเติบโตต่อเนื่อง 13%YoY เป็น 808 ล้านบาทผลบวกจาก การขยาย Capacity มากขึ้น โดยตึก B มีการปรับปรุงศูนย์เลสิค ย้ายออกมา ขยายห้องผ่าตัดได้ 3 ห้อง และขยายศูนย์เช็กอัปเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ในการเพิ่มรายได้จากศูนย์เฉพาะทาง อาทิ ศูนย์โรคไต โรคหัวใจ ศูนย์มะเร็งและข้อเข่าสำหรับผู้สูงอายุ และศูนย์ IVF ผลบวกจากกลยุทธ์ในการเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง ที่มีการเซ็นสัญญากับทางเอเจนซีในการส่งต่อผู้ป่วยมารักษา และจากรายได้ลูกค้าต่างชาติที่เติบโตโดดเด่นตั้งแต่ต้นปี มีโอกาสที่สัดส่วนรายได้จากต่างชาติจะขึ้นมามากกว่าเป้าที่บริษัทตั้งไว้ที่ 20% ของรายได้รวม เพิ่มจากปีก่อนที่ 17% ของรายได้รวม คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 27.00 บาทเรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2025 ที่เติบโตเด่นกว่าอุตสาหกรรม ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงตามตลาดสวนทางผลประกอบการ เรามองเป็นจังหวะเข้าลงทุน เราคงมูลค่าพื้นฐานปี 2025 ที่ 27.00 บาท อิงวิธี DCF โดยใช้ WACC ที่ 7.6% และ Terminal Growth 3%

เปิดวาร์ป 10 หุ้นพื้นฐาน ต่างชาติแอบสะสม

เปิดวาร์ป 10 หุ้นพื้นฐาน ต่างชาติแอบสะสม

            หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้นไทย หลังจากที่ นักลงทุนมีการกระจายเงินลงทุนออกจากสหรัฐฯ มาในตลาดการเงินภูมิภาค รวมถึงตลาดการเงินไทยมากขึ้นสะท้อนได้จากวันที่ทรัมป์ประกาศตอบโต้ภาษี 185 ประเทศถึงปัจจุบัน (9 – 16 เม.ย. 68) กลับมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย 3 ใน 4 วันทำการสูงถึง 1.46 หมื่นล้านบาท, เข้าตลาดหุ้น 3 ใน 4 วันทำการ 883 ล้านบาท  และเข้าตลาด TFEX 3 ใน 4 วันทำการ 30,854 สัญญา กลยุทธ์การลงทุนแนะนำเก็งกำไรหุ้นพื้นฐานดีที่มีเม็ดเงินต่างชาติซื้อหนุนต่อเนื่องตั้งแต่วันที่มีประเด็นทรัมป์ตอบโต้ ภาษี (9 –16 เม.ย. 68) อย่าง CPF, PTTGC, CPALL, STA, DELTA, TTB, TIDLOR, CRC, MINT, BGRIM

จับตาไลเซ่น Virtual Bank ชำแหละหุ้นได้เสีย เช็กเลย!

จับตาไลเซ่น Virtual Bank ชำแหละหุ้นได้เสีย เช็กเลย!

                 หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์บล. ดาโอ ระบุว่า แหล่งข่าวเผย 3 กลุ่มทุนใหญ่ คว้าไลเซ่น Virtual Bank แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธปท. ได้พิจารณาคุณสมบัติ ศักยภาพ และความสามารถที่จะประกอบธุรกิจ Virtual Bank เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ได้สัมภาษณ์กลุ่มที่ยื่นขอใบอนุญาตทั้ง 5 ราย ยาวนานถึงรายละ 4 ชั่วโมง จึงได้คัดเลือก 3 ราย ประกอบด้วย 1. กลุ่มของธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ กลุ่มพันธมิตร ได้แก่ AIS และกลุ่ม พีทีที (PTT) ผ่าน OR 2. กลุ่มของ SCBX ที่มีพันธมิตรใหญ่ 2 ราย คือ "WeBank" ธนาคารดิจิทัลชั้นนำในจีน และ KakaoBank ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ 3. กลุ่มแอสเซนด์ มันนี่ ผู้ให้บริการ อีวอลเล็ต ภายใต้ชื่อ "ทรูมันนี่" ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในเครือของ "เครือเจริญโภคภัณฑ์" (ซีพี) จับมือ "Ant International"  ซึ่งเป็นผู้นำในฟินเทค เป็นบริษัทลูกของอาลีบาบา (Albaba) จากจีน                  โดย ธปท. ได้ส่งรายชื่อทั้ง 3 รายให้กระทรวงการคลังแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือการรอความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้จัดตั้ง Virtual Bank ภายในกลางปี 2025 จากนั้นผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดดำเนินธุรกิจภายใน 1 ปี นับจากวันที่รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ (ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ, กรุงเทพธุรกิจ) บล.ดาโอ มีมุมมองเป็นกลางต่อประเด็นดังกล่าว โดย 3 กลุ่มที่จะได้ คือ 1) กลุ่ม KTB, AIS, OR ฐานลูกค้ารวมราว 100 ล้านคน 2) กลุ่ม SCBX, KakaoBank, WeBank ฐานลูกค้ารวมราว 400 ล้านคน 3) กลุ่ม TRUE โดยมี Ascend money (Truemoney), Ant group ฐานลูกค้ารวมราวกว่าพันล้านคน (จากทั้งหมด 5 กลุ่มที่สนใจ โดยมีเพิ่มเติมคือ กลุ่ม Sea Group, BTS, BBL, สหพัฒน์, ไปรษณีย์ไทย และกลุ่ม ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ โดยมี Lightnet group, WeLab ฐานลูกค้ารวมราว 46 ล้านคน) ทั้งนี้หากดังกล่างเป็นจริง กลุ่มที่ได้ใกล้เคียงกับที่เราคาดเพราะมีฐานลูกค้าที่กระจายไปยังรายย่อยได้เยอะ และมีกลุ่มธุรกิจการเงิน รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญในการทำ digital bank อยู่แล้ว ขณะที่เรายังคงต้องรอกระทรวงการคลังประกาศรายชื่อผู้ที่ได้ใบอนุญาตในเดือน มิ.ย. 25 และจะเปิดให้บริการได้ภายในเดือน มิ.ย. 26                  สำหรับกลุ่มธนาคารเรายังคงน้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดยเลือก TTB (ซื้อ/เป้า 2.22 บาท), KTB (ซื้อ/เป้า 27.50 บาท) และ BBL (ซื้อ/เป้า 186.00 บาท) เป็น Top pick ขณะที่จะเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มที่จะได้รับงานทางด้าน IT เช่น BBIK (ซื้อ/เป้า 52.00 บาท) ที่มีโอกาสได้รับงานเกี่ยวกับการขายผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับการวางระบบ Virtual Bank ตั้งแต่การให้คำปรึกษา, การดำเนินด้าน Digital Excellence, ระบบ ERP, ระบบ CRM รวมถึงระบบ AI เป็นต้น นอกจากนั้น จะยังส่งผลบวกต่อภาพรวมการลงทุนด้าน IT เพราะจะเป็นการดูดซัพพลายผู้วางระบบ digital transformation ทำให้มีโอกาสได้รับงานใหม่ๆ

CBG คาดQ1กำไรเกินต้าน สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส

CBG คาดQ1กำไรเกินต้าน สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส

             หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” CBG และคงราคาเป้าหมายที่ 95.00 อิง 2025E PER 27.0x (ใกล้เคียง -1SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เราประเมินกำไรสุทธิ 1Q25E ที่ 792 ล้านบาท (+26% YoY, +1% QoQ) สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส ใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์เดิม กำไรขยายตัว YoY จาก 1) รายได้รวมขยายตัว +9% YoY จาก Domestic branded own ปรับตัวเพิ่มขึ้น +32% YoY, Distribution business +13% YoY ช่วยชดเชยรายได้ต่างประเทศที่ลดลง -12% YoY, 2) GPM ขยายตัวเป็น 28.1% จาก 26.8% จากต้นทุนน้ำตาล,เศษแก้ว และอลูมิเนียมที่ปรับตัวลดลง ด้านกำไรขยายตัว QoQ จาก GPM ขยายตัว และ SG&A expenses ลดลง เนื่องจาก 4Q24 มีค่าใช้จ่ายโบนัสพิเศษ แม้รายได้ที่ลดลง -10% QoQ คงประมาณการกำไรปี 2025E ที่ 3,525 ล้านบาท (+24% YoY กำไร 2Q25E จะขยายตัวต่อ YoY, QoQ จากรายได้ทั้งไทยและต่างประเทศขยายตัว YoY, QoQ, GPM ขยายตัว จากการรับรู้น้ำตาลที่ลดลงเต็มไตรมาส เริ่มรับรู้ขวดแก้ว และกระป๋องที่บางลงตามแผน cost saving ของบริษัท ราคาหุ้นทรงตัวเมื่อเทียบกับ SET ใน 1 เดือนที่ผ่าน มองว่า valuation น่าสนใจ โดยเทรดอยู่ที่ 2025E PER 17.2x             มองว่าผลประกอบการเดินหน้าสู่วัฎจักรขาขึ้นรอบใหม่

9 หุ้นได้ประโยชน์ รับมือสงครามการค้า

9 หุ้นได้ประโยชน์ รับมือสงครามการค้า

             หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ความคืบหน้าเรื่องแนวทางรับมือมาตรการกีดกันการค้าที่มี เพิ่มเติมวานนี้ในส่วนของไทย ได้แก่ 1.) การหารือระหว่างกระทรวงการคลังกับ BOT ต่อความเสี่ยงดังกล่าว เน้นไปที่หากผลกระทบมาตรการภาษีเริ่มเกิดขึ้น และกระทบหลายฝ่ายต้องหยุดชะงักชั่วคราว สถานการณ์การปล่อยสินเชื่อมีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้นได้อย่างไร แต่ในส่วนการนำเงินสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ไม่มีอยู่ในแนวทาง ฝ่ายวิจัยประเมินสัญญาณดังกล่าวเบื้องต้นน่าจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ – การผ่อนคลายนโยบายการเงิน หากผลกระทบ Trade Tariff สูง ประเมินจิตวิทยา บวกต่อ SET และหุ้นได้ประโยชน์ TH Bond Yield ลดลงต่อเนื่อง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF เช่าซื้อ เน้น MTC JMT High Yield เน้น ADVANC หนี้สูง เน้น MINT TRUE 2.) กระทรวงการคลังหารือผู้ประกอบการในประเทศถึงแนวทางนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม อาทิ ก๊าซธรรมชาติ (PTT) ข้าวโพด อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป และอาหารสัตว์ ก่อนเดินทางไปสหรัฐฯ ประเมินแนวทางดังกล่าวจิตวิทยาบวก โดยหากใช้ก๊าซแทน Spot LNG เดิมใน Pool gas จะบวกต่อ กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF GPSC กลุ่มปิโตรเคมี PTTGC และเกษตร ฝั่ง CPF

KSS คาด SET วันนี้ Sideways/Up ชู PTT-PTTEP-CPALL เด่น

KSS คาด SET วันนี้ Sideways/Up ชู PTT-PTTEP-CPALL เด่น

                หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1,147/1,155 จุด รับ 1,128/1,120 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ คือ 1.) จีนเปิดช่องเจรจามาตรการการค้ากับสหรัฐ ผสานการทยอยเข้าเจรจาชาติอื่น อาทิ ญี่ปุ่น (วานนี้), ไทย (ต้นสัปดาห์หน้า) บ่งชี้ Risk Sentiment การกีดกันการค้าผ่านจุดเลวร้าย ที่เหลือขึ้นกับข้อเสนอที่แต่ละชาติจะได้รับ 2.) ราคาน้ำมันดิบขึ้นเฉลี่ย 1.8% จากภาพบวก Trade Tariffs และความกังวลซัพพลาย หลังสหรัฐออกมาตรการใหม่ควบคุมการส่งออกน้ำมันอิหร่าน 3.) กระแสเงินทุนเข้าไทยเป็นบวก วานนี้ต่างชาติซื้อพันธบัตร 1.3 หมื่นล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ 6 ส.ค. 24 + เช้านี้ซื้ออีก 3.3 พันล้านบาท พร้อมซื้อหุ้น, Long Tfex เช้านี้เงินบาทแข็งค่า 33 +/- บาท จิตวิทยาบวกต่อ SET 4.) ความคืบหน้า Virtual Bank เป็นบวกต่อการเป็นหนึ่งในการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ของไทย ระยะแรกๆ บวกต่อหุ้น Digital Tech, ธุรกิจในกลุ่มที่ผ่านคัดเลือกและมีฐานข้อมูลต่อยอดธุรกิจได้ (ADVANC, TRUE, OR, CPALL) ระยะกลาง เพิ่มการเข้าถึงเงินกู้กลุ่ม Untapped                 ประเมินหุ้นนำ คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าไว อาทิ โรงไฟฟ้า, พลังงาน (น้ำมันเด่น), กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากตลาดเก็งโอกาสลดดอกเบี้ยจากการเร่งซื้อพันธบัตรไทย อาทิ เช่าซื้อ, หนี้สูง High Yield, และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Virtual Bank วันนี้แนะนำ: PTT, PTTEP, CPALL

หุ้นตัวเบา! รอดชอร์ตเซล

หุ้นตัวเบา! รอดชอร์ตเซล

           หุ้นวิชั่น - การลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังตลท. ยกเลิกมาตรการห้าม Short Sell และปรับ Ceiling/Floor มาใช้ตามปกติคือ +/-30 แต่อนุญาตให้ Short Sell ได้เฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 ซึ่งยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ uptick คือให้ใช้ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย            ขณะที่การซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุนกลุ่ม HFT จำกัดอยู่เพียงเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 เช่นกัน เพื่อลดความผันผวนของหุ้นขนาดกลางและเล็ก แต่จะเริ่มใช้ในเดือน พ.ค.            นอกจากนี้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้เห็นชอบให้คงมาตรการ Minimum Resting Time (MRT) เพื่อป้องกันการใส่/ถอนคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็วเกินไปด้วย            ในมุมมองของ บล.หยวนต้า คาดว่า จะช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่ม Non-SET100(หุ้นตัวเบา)  ที่เคยถูก Short ได้แล้ว ไม่สามารถ Short ได้เพิ่มเติม กลับมาฟื้นตัวขึ้นจากแรง Short Covering เช่น 6 หุ้น ดังต่อไปนี้  MBK, THCOM, THANI, MASTER, TTA, PSL เป็นต้น              ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมีโอกาสฟื้นตัว หลังทรัมป์ชะลอการเก็บภาษี สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ออกไป ส่งผลให้ความเสี่ยงในการย้ายฐานการผลิตออกจากไทยลดลงในช่วงสั้น ส่งผลให้หุ้นมีโอกาสรีบาวน์ อย่างไรก็ตามระยะกลาง-ยาว ยังคงต้องติดตามการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ในกรอบ 90 วัน ว่าจะลดภาษี ให้ไทยจาก 37% ลดลงเหลือเท่าใด            จับตา  AMATA คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2568 ทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นได้ YoY จากยอดโอนที่คาดว่าจะเติบโตได้ YoY ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯต่อทุกประเทศ ทั่วโลกส่งผลให้ Valuation ลดลงเหลือ PER2025 เพียง 5.8 เท่ำ และให้ Yield 6%            วกมาที่ บล.ธนชาต มองว่า การที่ทรัมป์ได้ประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าจากจีนในสินค้ากลุ่ม Smartphone, Computer, Semiconductor และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชั่วคราว โดยจะกำหนดอัตราภาษีแยกในกลุ่มดังกล่าวอีกครั้งในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า โดยคาดว่าจะต่ำกว่า 125% มองเป็น “บวก” ต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องดังนี้ กลุ่มค้าปลีก IT อย่าง COM7 และ ADVICE ที่มียอดขาย iPhone คิดเป็น 50% และ 10% ตามลำดับ โดยช่วยลดความเสี่ยงที่ราคาสินค้า Apple พุ่งสูงขึ้นจนกระทบต่อ demand กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง DELTA KCE HANA ซึ่งคาดว่าอาจจะได้รับการยกเว้นบางส่วน อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงจากนโยบายทรัมป์ยังเป็นปัจจัยกดดันต่อภาพรวมของตลาด จึงยังคงคำแนะนำเป็น Underweight ในกลุ่มนี้            ส่วน บล.เอเซียพลัส ประเมินตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังผันผวนมาก กลยุทธ์การลงทุนแนะนำถือเงินสดบางส่วน แนะนำเก็งกำไรสั้นๆ กับ หุ้นได้กระแสจากการยกเว้นภาษีชั่วคราวจาก สหรัฐฯ อาทิ DELTA CCET KCE COM7 JMART ส่วนหุ้นเด่น เลือก ADVANC, CPALL, ICHI            ด้านบล.กรุงศรี แนะนำ “ซื้อ” ทั้ง BEM และ BTS โดยมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมด้วยสองเหตุผล โครงการค่าโดยสารคงที่ 20 บาทสำหรับระบบขนส่งมวลชน จะมาจากเงินอุดหนุน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้ง BEM และ BTS เนื่องด้วยงบประมาณอุดหนุน 8 พันล้านบาทต่อปีบ่งชี้ว่าทั้งสองบริษัทจะได้รับประโยชน์จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจากการลดราคาค่าโดยสาร โดยไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล หุ้นทั้งสองขณะนี้ซื้อขายด้วยส่วนลดที่มากเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง            ทำให้ แนะนำ “ซื้อ” ทั้ง BEM (ราคาเป้าหมาย 9.1 บาท) และ BTS (ราคาเป้าหมาย 6.49 บาท) เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายค่าโดยสารคงที่ 20 บาทนี้ นอกจากนี้ BEM และ BTS จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากบริการของพวกเขาถือเป็นรูปแบบการเดินทางที่ถูกกว่าในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาค่าโดยสารลดลงเหลือ 20 บาท อย่างไรก็ตาม ชอบ BTS มากกว่า BEM เนื่องจากได้รับประโยชน์จากนโยบายเงินอุดหนุนต่อกำไรมากกว่าและมีราคาประเมินที่ถูกกว่า การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น

SET ปิดบวก 10.24 จุด ตอบรับจีนพร้อมคุยสหรัฐ-ผ่อนคลายเก็บภาษี

SET ปิดบวก 10.24 จุด ตอบรับจีนพร้อมคุยสหรัฐ-ผ่อนคลายเก็บภาษี

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (16 เมษายน 2568) ปิดที่ระดับ 1,138.90 จุด เพิ่มขึ้น 10.24 จุด หรือคิดเป็น 0.91% โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในช่วงบ่าย หลังมีรายงานว่าจีนแสดงความพร้อมที่จะเจรจากับสหรัฐอเมริกา            นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้น คาดได้รับแรงหนุนจากข่าวจีนเตรียมเจรจาการค้ากับสหรัฐ และเป็นไปตามตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงท่าทีผ่อนคลายในการจัดเก็บภาษี โดยชะลอการเก็บภาษีสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์            สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้ (17 เมษายน 2568) คาดว่าจะมีการพักตัว เนื่องจากนักลงทุนยังคงต้องติดตามสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนสูง และยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนตลาด            ให้แนวรับไว้ที่ 1,120 จุด และแนวต้านที่ 1,150 จุด โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ถือหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจโลก อาทิ CPN, CPALL รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

ผ่ากลยุทธ์ หุ้นไทย เอาไงต่อ?  จับตางบQ1 กลุ่มแบงก์

ผ่ากลยุทธ์ หุ้นไทย เอาไงต่อ? จับตางบQ1 กลุ่มแบงก์

          หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินตลาดหุ้นไทย สัปดาห์นี้ มีจากปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่   16 – 17 เม.ย. กระทรวงการคลังเตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) เพื่อประเมินนโยบายของสหรัฐฯ 17 เม.ย. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะผู้เจรจา จะเดินทางล่วงหน้าไปยัง นครซีแอตเทิล สหรัฐฯ โดยจะพบกับนักธุรกิจจากกลุ่มต่าง ๆ ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนด้านอื่น ๆ 17 – 18 เม.ย. กลุ่มธนาคารเริ่มทยอยรายงานกำไรงวด 1Q25 นำโดย TISCO และ TTB ตามลำดับ 18 เม.ย. สำนักงาน กสทช. กำหนดราคาตั้งต้นในการประมูลคลื่นมือถือ หลังจากการทำ Public Hearing รอบที่ 2 20 เม.ย. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะร่วมเดินทางกับคณะของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเตรียมเข้าพบกับผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ 21 เม.ย. คาดว่าจะเป็นวันที่คณะไทย เข้าพบกับผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับประเด็นการค้าระหว่างประเทศ ปัจจัยเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่ต้องติดตาม แนวโน้ม เงินบาทแข็งค่า อาจกดดันให้ Fund Flow ไหลออก ติดตาม แนวทางการเจรจาต่อรองมาตรการกีดกันทางการค้า กับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ตลาดหุ้นไทยเริ่มสร้างฐาน – คำแนะนำสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว ตลาดหุ้นไทยมีส่วนลดค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น และอยู่ในระดับที่ถือว่า “ถูก” (Deep Value) โดย Current Equity Risk Premium (ERP) อยู่ในระดับ สูงกว่าเฉลี่ย +2 S.D. เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ เราจึงมองว่าสามารถเน้น “ซื้อลงทุน” ได้ในบริเวณนี้ และให้น้ำหนักตลาดหุ้นไทยในพอร์ตการลงทุนของเราที่ระดับ “Slightly Overweight” อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นคาดว่าตลาดจะเริ่ม สร้างฐาน โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามหลัก ๆ ได้แก่: สถานการณ์การเมืองภายในประเทศหลังเทศกาลสงกรานต์ กลุ่มธนาคารที่เริ่มทยอยรายงานผลประกอบการ 1Q25→ นำโดย TISCO และ TTB ตามลำดับ ปัจจัยเหล่านี้อาจเป็น จังหวะในการทยอยสะสมกองทุนหุ้นไทย สำหรับนักลงทุนที่มองระยะกลางถึงยาว

CHOW เปิดแผนลับ! ปูทางโตอย่างยั่งยืน l Hoon Vision Talk Online

CHOW เปิดแผนลับ! ปูทางโตอย่างยั่งยืน l Hoon Vision Talk Online

https://youtu.be/qkVL5X1IwcA?si=2xHJRLe1i8gUQal0

หุ้นไทยบ่ายนี้ยังนิ่ง เก็งพลังงาน-อิเล็กฯ

หุ้นไทยบ่ายนี้ยังนิ่ง เก็งพลังงาน-อิเล็กฯ

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยช่วงบ่าย คาดแกว่งตัวออกด้านข้าง ซึมซับประเด็นปัจจัยภายนอก ได้แก่ 1. ทรัมป์ ชะลอการเก็บภาษีกลุ่มสินค้า สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชั่วคราว หนุนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กฯ ของไทยปรับตัวขึ้น 2. ข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ออกมาแข็งแกร่งทั้ง GDP 1Q25 +5.4%, การส่งออก มี.ค. +12.4% YoY รวมถึงยอดค้าปลีก และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมโตเกินคาดในเดือนมี.ค. 3. ติดตามถ้อยแถลงของพาวเวลเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากร           ประเด็นปัจจัยภายใน มีแรงกดดันจากการขึ้น XD ของกลุ่มธนาคาร รวมถึงติดตามการหารือระหว่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย และ กระทรวงการคลัง โดยคาดหวังว่าจะมีการผ่อนปรนด้านนโยบายการเงิน และผ่อนปรน กฎระเบียบสำหรับธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ยังติดตามการเจรจาเรื่องภาษีกับผู้แทนของสหรัฐฯ ในวันที่ 21 เม.ย.นี้           สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงบ่ายวันนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่แนวรับ 1,110 จุด และแนวต้าน 1,148 จุด พร้อมแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในลักษณะเก็งกำไร GULF และ BAM           ด้านบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) รายงานสรุปภาวะตลาดช่วงเช้าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวลงในแดนลบ จากความกังวลในความไม่แน่นอน ของสงครามการค้า โดยมีแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคาร ส่วนนึงเกิดจากการขึ้น XD มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่างโรงไฟฟ้า เป็นต้น ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิด ขาย 21,580 ลบ. ตลาดที่ 1,128.14 จุด -0.52 จุด -0.05% มูลค่าการซื้อ           สำหรับแนวโน้มภาคบ่ายคาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากยังขาดปัจจัยใหม่เข้ามากระทบ อีกทั้งตลาดยังกังวลเรื่องการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่แนวรับ 1,120 จุด และแนวต้าน 1,137จุด พร้อมแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในลักษณะเก็งกำไร IVL และ SCC

PTTEP ทุ่ม 35 ล้านเหรียญฯ เข้าซื้อหุ้นแหล่งสินภูฮ่อมเพิ่มเป็น 90%

PTTEP ทุ่ม 35 ล้านเหรียญฯ เข้าซื้อหุ้นแหล่งสินภูฮ่อมเพิ่มเป็น 90%

            หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) แจ้งว่า เมื่อวันที่16 เมษายน 2568 บริษัท PTTEP HK Holding Limited ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนาม ในสัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement: SPA) เพื่อเข้าซื้อสัดส่วนเพิ่มเติมร้อยละ 27.18 ในบริษัท APICO LLC จากบริษัท Jadestone Energy Pte. Ltd. ผ่านการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท Jadestone Energy (Thailand) Pte. Ltd. บริษัท Jadestone Energy (PHT GP) Limited และบริษัท PHT Partners LP ด้วยมูลค่า 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา โดยมูลค่าดังกล่าวจะมีการปรับเงินทุน หมุนเวียนและรายการอื่น ๆ ตามสัญญาฯและอาจมีการรับรู้มูลค่าซื้อเพิ่มเติมจำนวน 3.5 ล้านดอลลาร์ สหรัฐอเมริกา หากบรรลุเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญาฯ             ทั้งนี้ บริษัท APICO LLC ถือสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 35 ในโครงการสินภูฮ่อม (แปลง EU1 และ E5N) และถือสัดส่วนการลงทุนทางอ้อมร้อยละ 100 ในแปลง L27/43 ผ่านบริษัท APICO Khorat (Holdings) LLC และบริษัท APICO (Khorat) Limited การเข้าซื้อสัดส่วนดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ในวันที่ 16 เมษายน 2568 และส่งผลให้ ปตท.สผ. มี สัดส่วนการลงทุนในโครงการสินภูฮ่อมเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 80.487 เป็นร้อยละ 90 โดยโครงการสินภูฮ่อม เป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติบนบก ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในปี 2567 โครงการมีปริมาณการผลิตเฉลี่ยของก๊าซธรรมชาติ 105 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (17,226 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน) และคอนเดนเสท 222 บาร์เรลต่อวัน             การเข้าลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับพันธกิจของ ปตท.สผ. ในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน อีกทั้งยังสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตและปริมาณสำรองปิโตรเลียมเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ในการเติบโตของบริษัทต่อไป

กลุ่มโรงไฟฟ้าบวกยกแผง เงินบาทแข็งค่า-ราคาก๊าซฯ หนุน

กลุ่มโรงไฟฟ้าบวกยกแผง เงินบาทแข็งค่า-ราคาก๊าซฯ หนุน

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี ระบุ วันนี้หุ้นโรงไฟฟ้าเคลื่อนไหวเด่น ประเมินมาจาก 1. เงินบาทแข็งค่าเร่งสู่ 33.3 +/- บาท vs prev. ที่ 33.8 +/- บาท ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าจะบวกต่อกำไร FX จากการแปลงค่าหนี้สินต่างประเทศเป็นสกุลบาทแล้วลดลง 2. ราคาก๊าซธรรมชาติ JKM LNG ปรับตัว -9%d-d สู่ 11.37 เหรียญฯ ดีกว่าสมมติฐานที่เราใช้ในประมาณการ Pool gas (LNG 30%) ที่ระดับ 13-14 เหรียญฯ           Strategy: 2 ปัจจัยดังกล่าวถือเป็น Upside ต่อประมาณการโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ช่วยลดผลกระทบแนวทางลดค่าไฟฟ้าของรัฐฯ ซึ่งคาดว่ามีโอกาสปรับตัวลงต่อเนื่อง จากมุมมองเศรษฐกิจโลกที่อ่อนลง จากผลกระทบการใช้มาตรการ Trade Tariff ของสหรัฐฯ โดยในกลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำลงทุน GULF (TP25F-56.5)           ส่วน GPSC , BGRIM ทางพื้นฐานเราอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ ระยะสั้น แนะนำ เก็งกำไร GPSC วางแนวรับ (26.5/25.5) แนวต้าน (29/30.25) Stop Loss 25.0 BGRIM วางแนวรับ (10.1/9.9) แนวต้าน (10.9/11.3) Stop Loss 9.75

ชู 3 ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทย คาด SET กรอบดัชนี 1,120–1,140 จุด

ชู 3 ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทย คาด SET กรอบดัชนี 1,120–1,140 จุด

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล. ฟิลลิป คาด SET Index วันนี้แกว่งตัว Sideways to Sideways up ในกรอบ 1,120 จุด –1,140 จุด : โดยได้ Sentiment หนุนระยะสั้นจากการที่สหรัฐฯ ผ่อนปรนภาษีในบางสินค้า หากแต่มองทางขึ้นจำกัด ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง 2 เศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ยังมีอยู่ ประกอบกับวันนี้หุ้นใน SET100 จะอนุญาตให้ขายชอร์ตได้ อีกทั้งจะมีการขึ้น XD ของหุ้นขนาดใหญ่           ผ่อนปรนบางสินค้าอย่างไม่คาดคิด: คาด Sentiment หนุนมาจากการที่สหรัฐฯ เผยเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 68 ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งยกเว้นภาษีศุลกากรตอบโต้ชั่วคราวสำหรับสมาร์ตโฟน คอมฯ และอุปกรณ์อิเล็กฯ อื่น ๆ ที่นำเข้าส่วนใหญ่จากจีน ซึ่งสำหรับสินค้าข้างต้นจากจีนจะยกเว้นภาษี 125% และโดนภาษี 20% ที่เชื่อมโยงกับเฟนทานิล ซึ่งช่วยคลายความกังวลในระยะสั้นต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจขนาดใหญ่ของโลก ประกอบกับในวันที่ 14 เม.ย. 68 ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะพิจารณายกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ชั่วคราว เพื่อให้ผู้ผลิตรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีได้มีเวลาปรับตัวและปรับระบบซัพพลายเชน           จีนไม่แคร์สหรัฐฯ อีกต่อไป: อย่างไรก็ดี คาดนักลงทุนมีแนวโน้มเปิดรับความเสี่ยงอย่างจำกัด ท่ามกลางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในระยะต่อไปที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยในวันที่ 14 เม.ย. 68 สหรัฐฯ เผยว่าได้เริ่มกระบวนการสอบสวนการนำเข้ายาและเซมิคอนฯ แล้ว เพื่อหาทางใช้มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าทั้ง 2 ประเภท อีกทั้งยังมี Sentiment กดดันจากความกังวลสงครามการค้าระหว่าง 2 เศรษฐกิจขนาดใหญ่ หลังจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% มีผลตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. 68 พร้อมเผยว่าจะไม่ขึ้นภาษีต่อสหรัฐฯ อีก เนื่องจากไม่มีความเป็นไปได้ที่สินค้าสหรัฐฯ ที่ส่งออกไปจีนภายใต้ภาษีปัจจุบันจะได้รับการยอมรับจากตลาด ดังนั้น หากสหรัฐฯ ยังคงเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ต่อไป จีนจะไม่สนใจเรื่องนี้           นอกจากนี้ สงครามการค้าข้างต้นยังหนุนความกังวลว่าสินค้าจีนจะถล่มเข้าสู่ไทย สอดรับกับ FTI CEO Poll ครั้งที่ 44 ของ ส.อ.ท. ซึ่งพบว่า 70.9% ได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าจากจีนที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด และ 45% เผยสินค้านำเข้าจากจีนมีราคาต่ำกว่า 20-40% เมื่อเทียบกับสินค้าไทย           อนุญาตขายชอร์ตหุ้นใน SET100 + หุ้นใหญ่ขึ้น XD: ตั้งแต่วันนี้ ตลท. อนุญาตให้ขายชอร์ตหุ้นใน SET100 ได้ (ยกเว้น Market Maker ที่ทำได้อยู่แล้ว) ส่งผลให้คาดว่าหุ้นใน SET100 โดยเฉพาะหุ้นที่มีพื้นฐานไม่ดี มีโอกาสถูกขายชอร์ต ซึ่งจะเป็นอีกแรงกดดันทางขาลงของ SET Index ประกอบกับการขึ้น XD ของ KTB และ SCB คาดเป็นแรงกดดันต่อ SET Index รวมกัน ≈ 4 จุด           ขณะที่เช้านี้ติดตามการเผยตัวเลขเศรษฐกิจจีน อาทิ ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตฯ เดือน มี.ค. 68 รวมถึง GDP ไตรมาส 1 ปี 68

ทองคำพุ่งนิวไฮ หุ้นไทยยังเสี่ยง โบรกคัด 9 หุ้นน่าสะสม

ทองคำพุ่งนิวไฮ หุ้นไทยยังเสี่ยง โบรกคัด 9 หุ้นน่าสะสม

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.พาย ระบุ ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 155 จุด (-0.38%) ถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของภาษีศุลกาการ Trump ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.3% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนมาตรการภาษี              ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาจีนได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯเป็น 125% จากเดิมที่ระดับ 84% แต่อย่างไรก็ตามในช่วงวันหยุดสงกรานต์สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักได้ออกมารายงานว่าสหรัฐฯชะลอการเก็บภาษีสินค้าจำพวกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ Smart Phone แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นทรัมป์ก็ได้ออกมาระบุว่าการยกเว้นภาษีข้างต้นเป็นเพียงชั่วคราว พร้อมกับสร้างความสับสนให้กับตลาด ทำให้ท้ายที่สุดแล้ววันจันทร์ตลาดหุ้น Dow Jones ราคาเปิดใกล้เคียงกับราคาปิด สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุน              โดยพบว่าเงินยังคงไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ Bond , ทองคำ โดยที่ค่าเงิน Dollar สหรัฐฯยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สะท้อนมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับสหรัฐฯ ด้วยปัจจัยทั้งหมดทั้งปวงแล้วน่าจะทำให้ตลาดหุ้นยังมี Upside จำกัด โดย SET INDEX อาจได้จิตวิทยาเชิงบวกจากการปรับขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงวันหยุดสงกรานต์ แต่ก็อาจยังไปได้ไม่ไกลมากนักเพราะยังต้องรอความชัดเจนจากนโยบายภาษีและผลประกอบการ 1Q25 ที่จะทยอยรายงานออกมาหลังจากนี้ สัปดาห์นี้ปัจจัยติดตามได้แก่ (1) ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯในคืนวันพุธตามเวลาประเทศไทย Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 1.4%MoM (2) การแถลงของประธาน FED ในคืนวันพฤหัสบดี (12.30 AM) และสุดท้ายผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯในช่วง 19.30 วันพฤหัสบดี ตามเวลาประเทศไทย Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 2.25 แสนราย โดยปัจจัยด้านดอกเบี้ยพบว่า CME FED Watch ประเมินว่า FED จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ หากส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่อเนื่องประเมินเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาด แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยที่สำคัญกว่าทิศทางดอกเบี้ยก็คือการค้าสหรัฐฯกับนานาประเทศ ตราบใดที่สงครามการค้ายังดำเนินต่อไปจะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลกและกำไรบริษัทจดทะเบียนหรืออาจถึงขั้นเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะหดตัวก็เป็นไปได้ ด้านปัจจัยในประเทศกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเผยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติช่วง 7 – 13 เม.ย. ที่ 6.6 แสนคน (+10.7%WoW)              อย่างไรก็ตามหากพิจารณาตั้งแต่ YTD อยู่ที่ 10.7 ล้านราย (+0.9%YoY) ค่อนข้างต่ำและเสี่ยงจะต่ำกว่าเป้าที่คาดการณ์กันที่ 38 – 39 ล้านคน สร้างแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว สัปดาห์นี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1090 – 1150 ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังไม่เร่งร้อนเข้าลงทุนในระยะสั้นเพราะยังเผชิญกับความเสี่ยงที่มิอาจคาดเดาได้ สะท้อนผ่านราคาทองคำวิ่งขึ้นทำ ATH เช้านี้ ขณะที่ปัจจัยด้านภาษีก็กลับไปกลับมาและอาจเห็นการตอบโต้ไปมาระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ เพิ่มความเสี่ยงกับเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามนักลงทุนระยะกลาง - ยาว อาจเลือกสะสมบางส่วนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) โรงพยาบาล (BDMS)

ตลท.เตือนผถห. MORE ศึกษาข้อมูลเพิ่มทุน-เข้าร่วมประชุมสามัญฯ 18 เม.ย.นี้

ตลท.เตือนผถห. MORE ศึกษาข้อมูลเพิ่มทุน-เข้าร่วมประชุมสามัญฯ 18 เม.ย.นี้

            หุ้นวิชั่น - ตามที่คณะกรรมการบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) (MORE) ได้มีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญ ผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ในวันที่ 18 เมษายน 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวน 2,153 ล้านหุ้น (30% ของทุนชำระแล้ว) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนรองรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต ซึ่งหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวอาจถูกจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) หรือโดยวิธีเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) หรือต่อประชาชนทั่วไป (Public Offering) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ให้ MORE ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับแผนการเพิ่มทุนและแนวทางคุ้มครองสิทธิของผู้ถือหุ้นเพิ่มเติม เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ถือหุ้นประกอบการพิจารณาอนุมัติวาระการเพิ่มทุนดังกล่าว โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากข่าวของ MORE ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 และ 20 กุมภาพันธ์ 2568 และเมื่อวันที่ 21 และ 28 มีนาคม 2568 ตามลำดับ             ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอเรียนให้ผู้ถือหุ้น MORE ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มทุน พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่จะได้รับจากการอนุมัติการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ตลอดจนพิจารณาใช้สิทธิเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นดังกล่าวในการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากคณะกรรมการและผู้บริหารของ MORE เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนก่อนการตัดสินใจออกเสียงลงคะแนน

MEB E-Book มาแรง! กำไร Q1 ตามนัด- เป้า 30 บ.

MEB E-Book มาแรง! กำไร Q1 ตามนัด- เป้า 30 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมอง “Neutral” ต่อผลประกอบการของ MEB โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 (1Q25F) อยู่ที่ 113 ล้านบาท เติบโต +7% YoY แต่ลดลงเล็กน้อย -1% QoQ จากปัจจัยฤดูกาล แม้รายได้ยังคงเติบโต +9% YoY ตามจำนวนผู้ใช้งานรายเดือน (MAUs) ที่ขยายตัวต่อเนื่องในทั้งแพลตฟอร์ม Meb และ ReadAwrite อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและพนักงานยังอยู่ในระดับสูง กดดัน SG&A ให้อยู่ในทิศทางทรงตัวสูง           สำหรับ 2Q25F คาดว่ากำไรจะทรงตัวทั้ง YoY และ QoQ แม้รายได้มีแนวโน้มโต Double-digit และ Gross margin ยังทรงตัว เนื่องจากต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากแพลตฟอร์ม Pinto (ในเครือ Ookbee) และร้านหนังสือดั้งเดิมที่หันมาเน้นตลาด E-book มากขึ้น พร้อมกลยุทธ์ส่วนลดที่ดึงดูดผู้บริโภค ในระยะยาว เรายังคาดว่ากำไรปี 2568–2570 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% ตามอุตสาหกรรม E-book และคงคำแนะนำ “ซื้อ” (Buy) บนราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 30.00 บาท อิง PER 18 เท่า โดยที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ PER -2.0 SD

จับตา 6 หุ้น Non-SET100 ฟื้นแรง หลัง ตลท. ยกเลิกห้าม Short Sell

จับตา 6 หุ้น Non-SET100 ฟื้นแรง หลัง ตลท. ยกเลิกห้าม Short Sell

              หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า ประเมินหุ้นไทยหลัง ตลท. ยกเลิกมาตรการห้าม Short Sell และปรับ Ceiling/Floor มาใช้ตามปกติคือ +/-30 แต่อนุญาตให้ Short Sell ได้เฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 ซึ่งยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ uptick คือให้ใช้ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย ขณะที่การซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุนกลุ่ม HFT จำกัดอยู่เพียงเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 เช่นกัน เพื่อลดความผันผวนของหุ้นขนาดกลางและเล็ก แต่จะเริ่มใช้ในเดือน พ.ค. นอกจากนี้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้เห็นชอบให้คงมาตรการ Minimum Resting Time (MRT) เพื่อป้องกันการใส่/ถอนคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็วเกินไปด้วย              ในมุมมองของเรา คาดว่าจะช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่ม Non-SET100 ที่เคยถูก Short ได้แล้ว ไม่สามารถ Short ได้เพิ่มเติม กลับมาฟื้นตัวขึ้นจากแรง Short Covering เช่น MBK, THCOM, THANI, MASTER, TTA, PSL เป็นต้น

โพย 10 หุ้น Top pick ไตรมาส 2 แนะสะสม เช็กด่วน!

โพย 10 หุ้น Top pick ไตรมาส 2 แนะสะสม เช็กด่วน!

          หุ้นวิชั่น - บล.ทรีนีตี้ คาด SET Index เปิดตลาดปรับตัวขึ้นเล็กน้อย นำโดยกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA, HANA, CCET, KCE) หลังจากเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ นำโดย ปธน. ทรัมป์ ประกาศยกเว้นภาษีนำเข้ากับกลุ่มสินค้าสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เช่น ฮาร์ดไดรฟ์ ชิปประมวลผล และหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ก็อาจได้ Sentiment บวกจากกระแสข่าวที่ ปธน. ทรัมป์เอง กำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนภาษี 25% ที่เรียกเก็บกับการนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์จากเม็กซิโก แคนาดา และประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มส่งผลกระทบทำให้ราคารถยนต์เพิ่มขึ้นจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ในเชิงกลยุทธ์แนะนำถือครองหุ้นที่ได้สะสมทั้งบริเวณดัชนี 1150 และ 1100 จุด โดยมี Top pick ประจำไตรมาส 2 ได้แก่ AMATA, VGI, WHA, ROJNA, SPRC, JMART, SJWD, AAV, PTTEP, CCET

JPARK พระนั่งเกล้าหนุนปัง! โกลเบล็กเคาะ “ซื้อ” เป้า 5.85 บ.

JPARK พระนั่งเกล้าหนุนปัง! โกลเบล็กเคาะ “ซื้อ” เป้า 5.85 บ.

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง JPARK ว่า ผลประกอบการ 4Q24 มีรายได้รวมเท่ากับ 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +15% QoQ จากธุรกิจการให้บริการที่จอดรถ (PS) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของรายได้ เติบโตตามพื้นที่ให้บริการที่จอดรถที่เพิ่มขึ้น และมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากลานจอดรถในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น บริเวณถนนบรรทัดทอง และตลาดสวนหลวง-สามย่าน              อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ยังลดลง -7% YoY เนื่องจากรายได้จากธุรกิจให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (CIPS) ลดลง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า Smart Parking Management System และ Guidance System ที่บริษัทได้รับสัญญาจ้างมาในช่วงกลางปี 2566 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตามสัดส่วนความสำเร็จของโครงการ (Percentage of Completion) ซึ่งอยู่ในช่วงปลายของ S-Curve              สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29% ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 22% และจาก 23% ใน 4Q66 จาก Margin ของธุรกิจ PS ที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/24 เท่ากับ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +47% QoQ และ +7% YoY โดยมีกำไรปกติทั้งปี 2567 อยู่ที่ 89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +11% YoY ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการของเรา              คาดว่าผลประกอบการใน 1Q25 มีแนวโน้มเติบโตทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากเริ่มมีการรับรู้รายได้จากโครงการอาคารที่จอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 ตารางเมตร ประกอบกับธุรกิจ PS เริ่มเห็นอัตราการใช้บริการ (U-Rate) ที่ฟื้นตัวดีขึ้น              เราประมาณการรายได้ปี 2568 (ปี 25) อยู่ที่ 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +23% YoY โดยได้รับแรงหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการพระนั่งเกล้าเต็มปีเป็นครั้งแรก และธุรกิจ PS มี 1 โครงการใหม่ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ทั้งนี้ คาดว่ากำไรปกติปี 2568 จะอยู่ที่ 98 ล้านบาท เติบโต +9.9% YoY คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2568 เท่ากับ 5.85 บาท

WHA-AMATA เด้ง ผ่อนคลายย้ายฐานผลิตออกไทยช่วงสั้น

WHA-AMATA เด้ง ผ่อนคลายย้ายฐานผลิตออกไทยช่วงสั้น

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า ระบุ คาดว่าหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมีโอกาสฟื้นตัว หลังทรัมป์ชะลอการเก็บภาษี สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ออกไป ส่งผลให้ความเสี่ยงในการย้ายฐานการผลิตออกจากไทยลดลงในช่วงสั้น ส่งผลให้หุ้นมีโอกาสรีบาวน์ อย่างไรก็ตามระยะกลาง-ยาว ยังคงต้องติดตามการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ในกรอบ 90 วัน ว่าจะลดภาษี ให้ไทยจาก 37% ลดลงเหลือเท่าใด แนะนำสะสม AMATA คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2568 ทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นได้ YoY จากยอดโอนที่คาดว่าจะเติบโตได้ YoY ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯต่อทุกประเทศ ทั่วโลกส่งผลให้ Valuation ลดลงเหลือ PER2025 เพียง 5.8 เท่ำ และให้ Yield 6%

กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กฯ-ค้าปลีก IT บวก รับทรัมป์ยกเว้นภาษีนำเข้าจากจีน

กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กฯ-ค้าปลีก IT บวก รับทรัมป์ยกเว้นภาษีนำเข้าจากจีน

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ธนชาต ระบุ ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมาทรัมป์ได้ประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าจากจีนในสินค้ากลุ่ม Smartphone, Computer, Semiconductor และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชั่วคราว โดยจะกำหนดอัตราภาษีแยกในกลุ่มดังกล่าวอีกครั้งในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า โดยคาดว่าจะต่ำกว่า 125% มองเป็น “บวก” ต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1. กลุ่มค้าปลีก IT อย่าง COM7 และ ADVICE ที่มียอดขาย iPhone คิดเป็น 50% และ 10% ตามลำดับ โดยช่วยลดความเสี่ยงที่ราคาสินค้า Apple พุ่งสูงขึ้นจนกระทบต่อ demand 2. กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง DELTA KCE HANA ซึ่งคาดว่าอาจจะได้รับการยกเว้นบางส่วน อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงจากนโยบายทรัมป์ยังเป็นปัจจัยกดดันต่อภาพรวมของตลาด จึงยังคงคำแนะนำเป็น Underweight ในกลุ่มนี้

THCOM ไม่มีคู่ค้าสหรัฐ หุ้นปรับลงมาก เป้า 13.50 บ.

THCOM ไม่มีคู่ค้าสหรัฐ หุ้นปรับลงมาก เป้า 13.50 บ.

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุว่า สรุปสาระสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์ THCOM จัดประชุมนักวิเคราะห์ในวันศุกร์ที่ผ่านมา สรุปสาระสำคัญดังนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด ผู้บริหารประเมินว่า บริษัทฯ จะได้รับผลกระทบจำกัดจากสงครามการค้าเนื่องจากสัญญากับลูกค้าส่วนใหญ่เป็นสัญญาระยะยาวกับหน่วยงานภาครัฐและลูกค้าเอกชนขนาดใหญ่               ขณะที่บริการของบริษัทฯ เป็นบริการพื้นฐานด้านอินเตอร์เน็ตและโทรทัศน์ นอกจากนี้บริษัทฯ ไม่ได้มีการค้ากับสหรัฐฯ การเซ็นสัญญาบริหาร THCOM4 และ THCOM6 กับ National Telecom (NT) THCOM ประกาศชนะงานกับ NT มูลค่า 118 ล้านบาท โดยเป็นการได้สัญญาจ้างบริหารดาวเทียม THCOM4 และ THCOM6 ในช่วงปี 2025-2026 ดาวเทียมทั้งสองเป็นดาวเทียมที่หมดสัมปทานแล้ว THCOM ส่งมอบให้กับ NT โดย THCOM ช่วยบริหารมาโดยตลอด สัญญาที่เซ็นเป็นสัญญาจ้างบริหารนับจากปัจจุบันจนหมดอายุการใช้งานของดาวเทียมอีกราว 1.5 ปี ค่าบริการส่วนใหญ่จะไม่ได้มีต้นทุนเพราะบริษัทฯ ทำอยู่แล้ว ดังนั้นรายได้ส่วนเพิ่มส่วนใหญ่จึงเป็นส่วนเพิ่มกำไรโดยตรง               นอกจากนี้ THCOM อยู่ระหว่างเจรจากับ NT เพื่อแก้ไขข้อพิพาทที่ THCOM ฟ้อง NT สำหรับค่าบริหารจัดการดาวเทียมสองดวงดังกล่าวตั้งแต่หมดสัมปทานย้อนหลังตลอด 3 ปี บริษัทฯ คาดว่าการเจรจาจะแล้วเสร็จในช่วง 1-2 ไตรมาสจากนี้ อิงสัญญาบริหาร 1.5 ปีล่าสุดที่ราว 118 ล้านบาท เราคาดว่า THCOM มีโอกาสได้รายได้ย้อนหลังสำหรับ 3 ปี ในกรอบ 2-3 ร้อยล้านบาท หากเกิดขึ้น รายการดังกล่าวเป็นรายการ One-time แต่เป็นรายการเงินสดจริงที่เป็นประโยชน์กับบริษัทฯ               โครงการ USO ประเทศไทยเฟส2-3 USO เฟส2 สัญญากับ กสทช. หมดไปในช่วงกลางปี 2024 และเป็นส่วนสำคัญที่กดดันให้รายได้และกำไรปกติของ THCOM อ่อนแอลงใน 4Q24 บริษัทฯ Guidance ว่าใน 1Q25 บริษัทฯ จะได้รับยอดส่วนที่หายไปกลับมาให้บริการราว 20% นอกจากนี้บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาเพิ่มเติมกับผู้ให้บริการรายเดิมในช่วงต้นเดือนเม.ย.25 ทำให้บริษัทฯ คาดจะได้ยอดขายที่หายไปกลับมาบริการราว 50-70% ภายใน 2Q25 USO เฟส3 โครงการมีขนาดประมาณ 5.8 พันล้านบาท ภายใต้สัญญา 5 ปี อยู่ภายใต้งบของ กสทช. ที่อนุมัติแล้ว แบ่งเป็นส่วนของงานดาวเทียมราว 600 ล้านบาทและส่วนงาน System Integrators (SI) ราว 5.2 พันล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์ บริษัทฯ คาดว่าจะเปิดประมูลในช่วง 2H25 THCOM คาดหวังงานส่วนของงานดาวเทียม 100% และส่วนของงาน SI คาดหวังที่ 40% ของยอดทั้งหมด 5.2 พันล้านบาท พัฒนาการในตลาดอินเดีย การประมูลใหญ่ยังล่าช้า แต่ Hughes จะเริ่มเข้าตั้งแต่ 1 เม.ย. 25 1. THCOM จะเริ่มให้บริการลูกค้า HUGHES Communications ในเดือน เม.ย.25 ช้ากว่า Guidance ในเดือนมี.ค.25 เป็นปัจจัยให้การฟื้นตัวของรายได้หลักล่าช้าไปเป็น 2Q25 2. โครงการเปิดประมูล 4G ขนาดใหญ่ของภาครัฐ อยู่ระหว่างเปลี่ยนแปลง TOR คาดว่าจะแล้วเสร็จ และเปิดประมูลใน 2Q25 แต่เป็นการล่าช้าอีกครั้ง โครงการนี้เป็นโครงการสำคัญและเป็นโครงการที่ THCOM มีโอกาสชนะสูงในมุมมองของเรา การล่าช้าจะทำให้หุ้นยังขาด Catalyst หนุนการฟื้นตัวที่มีนัยสำคัญ 3. โครงการ Bharat net หรือ USO ประเทศอินเดีย คาดว่าจะเปิดประมูลปลายปี 2025 แต่การประมูลต้องแข่งขันโอกาส 50/50 ตลาดฟิลิปปินส์ บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อขาย capacity ของ THCOM10 ล่วงหน้า ยังไม่ได้มีพัฒนาการเพิ่มเติม               คาดผลประกอบการ 1Q25 ไม่เด่น ขาดทุนบางๆ คาดผลประกอบการ 1Q25 ขาดทุนปกติ 19 ล้านบาท ทรงตัว QoQ เทียบกับขาดทุนปกติ 19 ล้านบาทใน 4Q24 แต่อ่อนแอลงเทียบกับกำไรปกติ 10 ล้านบาทใน 1Q24 รายได้หลักใน 1Q25 คาดที่ 554 ล้านบาท (+0.4% QoQ, -9% YoY) การกลับมาของรายได้ USO เฟส2 บางส่วนยังไม่ได้มีนัยสำคัญมากเพียงพอ คาดว่ารายได้จะฟื้นตัวใน 2Q25 ที่รับรู้ลูกค้า Hughes และ USO เฟส2 เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นคาดที่ 29.0% (+266 bps QoQ, -1239 bps YoY) ขณะที่ SG&A คาดที่ 210 ล้านบาท (-5% QoQ, -7% YoY) ส่วนแบ่งจากบริษัทฯร่วมคาดขาดทุน 10 ล้านบาท ลดลงเนื่องจาก 4Q24 มีรายการพิเศษจากการปรับมาตรฐานภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในตลาดลาว ทำให้ฐานสูงผิดปกติที่ 87 ล้านบาท แต่ดีขึ้นเทียบกับขาดทุน 50 ล้านบาทใน 1Q24 เพราะการได้ปรับขึ้นราคาขายปลีกในตลาดลาว THCOM จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 7 พ.ค. 25               ปรับลดประมาณการและสมมติฐานระยะยาว แม้บริษัทฯ ประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงทำให้กำลังซื้อและการลงทุนด้านนวัตกรรมลดลง เป็นปัจจัยเชิงลบต่อโอกาสขาย Capacity ในอนาคตของ THCOM นอกจากนี้การเข้ามารุกตลาดมากขึ้นของดาวเทียม Low Earth Orbit กดดันให้บริษัทฯ มีคู่แข่งขันที่มากขึ้นในระยะยาว แม้การจับมือกับ LEO ในบางตลาดจะลดแรงกดดัน แต่เป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตา ในระยะยาวเรายังคาดว่าเทคโนโลยี GEO LEO รวมถึง Mobile Operators จะถูกใช้ร่วมกัน โดยดาวเทียมแบบ GEO ยังได้เปรียบในงานด้านความมั่นคงที่ต้องการเสถียรภาพและสายสัมพันธ์เฉพาะ อย่างไรก็ดีเพื่อให้สะท้อนการปิดดีลที่ล่าช้าในช่วงต้นปี 2025               เราปรับปรุงประมาณการระยะสั้น โดยปรับลดประมาณการปี 2025-2026 ลง 40% และ 38% เป็น 148 ล้านบาท (+35% YoY) และ 199 ล้านบาท (+35% YoY) ตามลำดับ หลักๆ จากปรับลดประมาณการรายได้ลงจาก 12% YoY เป็น 4% YoY เราคาดกำไรจะดีขึ้นใน 2H25 จากงานรับเหมาและบริการที่จะเข้ามาช่วยกลุ่ม ขณะที่ธุรกิจดาวเทียมยังไม่มีปัจจัยเด่นเฉพาะตัวเพิ่มเติม ต้องรอการยิงดาวเทียมดวงใหม่ ประมาณการของเรายังไม่รวมผลบวกที่อาจเกิดขึ้นกับ USO เฟส3 และการได้รับค่าบริหาร THCOM4/6 ย้อนหลัง               นอกจากนี้ เราปรับลดสมมติฐานดาวเทียมดวงใหญ่ที่จะยิงใน 3Q27 โดยยังคง Utilization Rate ที่ 70% ในปี 2028 แต่สมมติให้ราคาขายปีแรกต่ำกว่า IPSTAR 20% และปรับลดราคาขายลงทุกปีปีละ 5% ตลอดอายุดาวเทียม สมมติฐานดังกล่าวเพื่อให้สะท้อนความเสี่ยงของการเข้ามาแย่งตลาดของดาวเทียมแบบ LEO มากขึ้นในระยะยาว สมมติฐานด้านราคาเป็นสมมติฐานสำคัญต่อประมาณการกำไร เนื่องจากค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลง กำไรของดาวเทียมลดลงโดยตรงจากราคาขายที่ลดลง อย่างไรก็ดีบนสมมติฐานใหม่ เรายังคาดหวังว่า THCOM จะทำกำไรระดับ +/- 1.7 พันล้านบาทในปี 2028 ซึ่งเป็นปีแรกที่ดาวเทียมดวงใหญ่ยิงเต็มปีเป็นปีแรก               คงคำแนะนำ “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสมใหม่ที่ 13.50 บาทต่อหุ้น อิงสมมติฐานใหม่ เราประเมินมูลค่าเหมาะสมใหม่ของ THCOM ณ สิ้นปี 2025 ที่ 13.50 บาทต่อหุ้น DCF WACC 9.0% และ Terminal growth ที่ 0% ในปีที่ดาวเทียมดวงใหม่ยิงเต็มปีเป็นปีแรกในปี 2028 ราคาเหมาะสมของเราที่ 13.50 บาทต่อหุ้น จะคิดเป็น PER ที่ 9x และ EV/EBITDA ที่ราว 6x เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" ระยะสั้นงบไม่เด่น แต่หุ้นปรับลดลงมามากเกินไป ราคาหุ้นปัจจุบันบนซื้อขาย P/BV ที่ 0.8x สะท้อนว่าบริษัทฯ เอาเงินสดไปเปลี่ยนเป็นดาวเทียมดวงใหม่ผ่านการลงทุนรอบนี้ไม่เกิดประโยชน์เพิ่มเติมเลย ซึ่งเป็นสมมติฐานที่เราเชื่อว่าอนุรักษ์นิยมเกินไป นอกจากนี้ราคาหุ้นยังต่ำกว่าราคาที่ GULF Tender หุ้น 41.13% จาก INTUCH ที่ 9.92 บาทต่อหุ้นในปี 2023 และการ Tender ล่าสุดในปี 2025 ที่เกิดจากการทำ Amalgamation ของ GULF และ INTUCH ที่ 11.00 บาทต่อหุ้น ความเสี่ยงสำคัญ: Presale ดาวเทียมดวงใหม่ล่าช้า ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี

เจาะราคาเนื้อสัตว์ คาดฟื้นตัว ชู CPF ฟอร์มเด่น

เจาะราคาเนื้อสัตว์ คาดฟื้นตัว ชู CPF ฟอร์มเด่น

              หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินราคาเนื้อสัตว์และสินค้าเกษตร จากสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคายางพารา ลดลง -12.8%w-w จากอุปสงค์ชะลอเพราะสงครามการค้า นโยบายการค้าไม่แน่นอนของสหรัฐฯ ประกอบกับอุปทานในตลาดเริ่มเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันปาล์มดิบ ลดลง -5.8%w-w จากผลผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำตาล ลดลง -4.9%w-w จากอุปทานเพิ่มขึ้นเพราะฝนตกในบราซิลทำให้ผลผลิตดี ขณะที่ความต้องการอาจลดลงจากสงครามการค้า ราคาถั่วเหลือง ลดลง -0.8%w-w จากอุปทานเพิ่มขึ้น ขณะที่สงครามการค้ากระทบต่ออุปสงค์อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ ทรงตัว w-w อยู่ที่ 40.50 บาท (ต้นทุน 36-37 บาท) ราคาสุกรไทย เพิ่มขึ้น +1.9%w-w ที่ 87.70 บาท (ต้นทุน 64-65 บาท) จากอุปทานลดลง ผลจากนโยบายการลดปริมาณแม่สุกรและการตัดวงจรลูกหมูในช่วงกลางปี 24 ประกอบกับผู้เลี้ยงรายย่อยเผชิญโรคท้องถิ่นหลังน้ำท่วมปลายปี ราคาสุกรจีน ทรงตัว w-w ที่ 14.62 หยวน หรือ 66.62 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 14-15 หยวน) ราคาสุกรเวียดนาม เพิ่มขึ้น +1.2%w-w ที่ 70,167 ดอง หรือ 91.26 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 43,000 ดอง) จากด้านอุปทานที่กระทบจากโรคอหิวาต์แอฟริกา (ASF)               ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL ยังคงเลือก CPF (TP25F 27.40) เป็น Top pick คาดกำไร 1Q25F เพิ่มขึ้น y-y ทรงตัว q-q ดีกว่าที่เราและตลาดเคยคาดไว้ จากราคาเนื้อสัตว์มีแนวโน้มฟื้นตัว ราคาเฉลี่ยสูงกว่าปี 24 โดยเฉพาะราคาหมูไทยและเวียดนามอยู่ในระดับสูง ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังอยู่ในระดับต่ำ

IVL ขายโรงงานผลิต PTA ในโปรตุเกส

IVL ขายโรงงานผลิต PTA ในโปรตุเกส

             หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) (IVL) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารของบริษัท Indorama Netherlands B.V. (INBV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัท ได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2568 ให้ดำเนินการขาย บริษัทย่อยของ INBV คือ บริษัท Indorama Ventures Portugal PTA - Unipessoal, LDA. (IVPPTA) ในประเทศโปรตุเกส โดยจะเป็นการขายหุ้นทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นใน IVPPTA ที่ถือโดย INBV (ธุรกรรม) IVPPTA ดำเนินกิจการโรงงานผลิต PTA ตั้งอยู่ที่เมือง Sines ประเทศโปรตุเกส ซึ่งหลังจากที่บริษัทได้ประเมินถึงสภาวการณ์ ตลาดและแรงกดดันทางเศรษฐกิจอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว รวมถึงต้นทุนด้านวัตถุดิบและด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนผลกระทบ จากสภาวะเงินเฟ้อ และการแข่งขันจากการนำเข้า PTA ด้วยต้นทุนที่ต่ำแล้ว บริษัทจึงตัดสินใจที่จะดำเนินการตามกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์โดยการขายกิจการในบริษัท IVPPTA การขายกิจการในบริษัท IVPPTA ในครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือฐานะทางการเงินของบริษัท เนื่องจาก สินทรัพย์ของ IVPPTA ได้มีการบันทึกการด้อยค่าทางบัญชีไว้แล้วในปี 2567 ธุรกรรมดังกล่าวดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วในวันที่ 11 เมษายน 2568 และในวันดังกล่าว IVPPTA จะไม่ถือเป็นบริษัทย่อยทางอ้อม ของบริษัทอีกต่อไป

EGCO ร่วม Chandra Asri Group เพิ่มทุน 185 ล้านเหรียญฯ ลุยธุรกิจพลังงานอินโดฯ

EGCO ร่วม Chandra Asri Group เพิ่มทุน 185 ล้านเหรียญฯ ลุยธุรกิจพลังงานอินโดฯ

               หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จํากัด (มหาชน) (EGCO) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 Phoenix Power B.V. (PP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ EGCO ถือหุ้น ทั้งหมดและจดทะเบียนในประเทศเนเธอร์แลนด์และถือหุ้นใน PT Chandra Daya Investasi (CDI) ได้ดําเนินการเพิ่มทุน จํานวน 95 ล้านเหรียญสหรัฐ ใน CDI เสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ บริษัท ในการประชุมครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568                PT Chandra Asri Pacific Tbk Group (Chandra Asri Group) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนําด้านพลังงาน เคมีภัณฑ์ และโครงสร้างพื้นฐานในอินโดนีเซีย ได้ร่วมให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ CDI จํานวน 90 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมเป็นเงินลงทุนเพิ่มเติมทั้งหมด จํานวน 185 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะนําไปสนับสนุนการพัฒนาและขยายธุรกิจโครงสร้าง พื้นฐานและสาธารณูปโภค CDI เป็นแพลตฟอร์มการลงทุนในธุรกิจพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีจุดยืนที่แข็งแกร่งในการก้าวขึ้น เป็นผู้นําในอุตสาหกรรมพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานในอินโดนีเซียและภูมิภาคอาเซียน ธุรกิจและการลงทุนของ CDI ครอบคลุมภาคพลังงาน นํ้า ท่าเรือและคลังสินค้า และการขนส่ง ตั้งอยู่ในเมือง Cilegon และเมือง Serang จังหวัด Banten บนเกาะชวาตะวันตก ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมหลักและใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซียที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสําคัญ CDI ประกอบด้วยธุรกิจ 1) โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ซึ่งเดินเครื่องแล้ว จํานวน 2 แห่ง มีกําลังผลิตรวมขนาด 147 เมกะวัตต์ และมีสิทธิการส่งจ่ายไฟฟ้าแต่เพียงผู้เดียวภายในเขตนิคมอุตสาหกรรม Krakatau เมือง Cilegon 2) ธุรกิจ ด้านการผลิตและบําบัดนํ้าครบวงจรในเมือง Cilegon และมีสัญญาระยะยาวกับลูกค้าอุตสาหกรรมที่หลากหลายซึ่งเป็น บริษัทที่มีชื่อเสียงทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ 3) ธุรกิจบริการคลังเก็บผลิตภัณฑ์เคมีและท่าเทียบเรือแบบ ครบวงจร 4) การดําเนินงานและการบริหารจัดการเรือขนส่งสินค้า ซึ่งเชี่ยวชาญในการขนส่งนํ้ามัน เคมีภัณฑ์ และ ก๊าซธรรมชาติ                การลงทุนใน CDI สามารถสร้างผลกําไรอย่างยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ EGCO โดยการรับรู้กระแสเงินสดที่ มั่นคงจากการลงทุนในธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคในเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของอินโดนีเซีย นอกจากนี้ การลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ “Triple P” ของ EGCO ที่มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานและธุรกิจที่ เกี่ยวเนื่อง รวมถึงการขยายการเติบโตโดยการลงทุนในโครงการก่อสร้างใหม่ (Greenfield projects) และการควบรวม กิจการ (Mergers & acquisitions) ซึ่งเป็นการกระจายการลงทุนและเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตการลงทุนด้าน พลังงาน เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น อีกทั้ง การลงทุนดังกล่าวยังตอกยํ้าความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ระหว่าง EGCO และ Chandra Asri Group สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของ EGCO ต่อศักยภาพการเติบโตระยะยาวของ CDI และความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ EGCO ในการขยายแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพสูง เป็นมิตรและ ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เอเซียพลัส คัด 3 หุ้นเด่น หลบตลาดสหรัฐฯผันผวน

เอเซียพลัส คัด 3 หุ้นเด่น หลบตลาดสหรัฐฯผันผวน

             หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินตลาดการเงินสหรัฐฯ ผันผวนมาก ดอลลาร์อ่อน, ตลาดหุ้นลดลงเกิน -15% ตลาดตราสารหนี้ลดลงหนัก สะท้อนจาก BOND YIELD 10 ปีสหรัฐ พุ่งขึ้น 50 –60 BPS. ในช่วงเวลาสั้น ซึ่ง 62% ของประชากรสหรัฐ ลงทุนในหุ้น และกองทุนสหรัฐมีสัดส่วนถือครองพันธบัตรรัฐบาลกว่า 10% ความเสียหายที่เกิดขึ้น อาจทำให้ ACTION ของ ปธน. ทรัมป์ ต่อจากนี้เบาลงก็เป็นไปได้ กลยุทธ์การลงทุนแนะนำถือเงินสดบางส่วน แนะนำเก็งกำไรสั้นๆ กับ หุ้นได้กระแสจากการยกเว้นภาษีชั่วคราวจาก สหรัฐฯ อาทิ DELTA CCET KCE COM7 JMART ส่วนหุ้น TOPPICK เลือก ADVANC, CPALL, ICHI

ASL คาด SETแกว่งตัว sideway กรอบ 1,120-1,140 จุด

ASL คาด SETแกว่งตัว sideway กรอบ 1,120-1,140 จุด

หุ้นวิชั่น - บล.เอเอสแอล ประเมินตลาดหุ้นไทย โดยมองจากปัจจัยในประเทศ :(+) การพูดคุยระหว่าง ก.คลัง และ ธปท.(0) ตัวเลขนักท่องเที่ยวสะสม +0.94%YoY(-) ตลท. กลับมาให้ทำชอร์ตเซลเฉพาะหุ้น SET100              การหารือระหว่าง ก.คลัง และ ธปท. จะเน้นไปที่แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อค่าเงินบาท เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ตลาดเงิน และตลาดทุนของไทย เรามองเป็นบวกต่อโอกาสที่อาจเห็นนโยบายที่ผ่อนคลายทางการเงินจาก ธปท. มากขึ้น ด้านตัวเลขนักท่องเที่ยวสะสม 1 ม.ค.-13 เม.ย. อยู่ที่ 10.7 ล้านคน +0.94%YoY แต่หากพิจารณารายสัปดาห์ +10.7%WoW จากการเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ทั้งกลุ่มตลาดระยะใกล้ เช่น จีนและอินเดีย และตลาดระยะไกล ที่ขยายเพิ่มขึ้นในยุโรป ทั้งนี้ ตลท. อนุญาตให้ทำชอร์ตเซลเฉพาะหุ้น SET100 ตาม uptick rule ได้ตั้งแต่ 16 เม.ย. และเตรียมออกมาตรการห้าม HFT หุ้นนอก SET100 เพื่อลดความผันผวนของราคาในหุ้น Mid & Small              เราประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway ในกรอบ 1120-1140 แนะนำ selective buy ในเชิงกลยุทธ์ยังคงแนะนำทยอยสะสมกลุ่ม Domestic play เช่น กลุ่มค้าปลีก สื่อสาร และกลุ่ม Defensive เช่นกลุ่มโรงพยาบาล              ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เช่น PTTGC ที่จะมีการนำเข้าอีเทนช่วยลดต้นทุนการผลิต BANPU ที่จะมีการนำเข้าก๊าซหนุนบริษัทในกลุ่ม คือ BKV ที่อยู่ในสหรัฐ และ CPF จากการนำเข้าข้าวโพดช่วยลดต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ ด้านกลุ่มส่งออก รับ sentiment บวก ที่เร่งส่งออกก่อนครบกำหนด 90 วัน เช่น DELTA HANA TU CPF RCL PSL ติดตาม : ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม Stock pick :MINT รายได้เติบโตต่อเนื่อง เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 29.50 บาท

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.30-33.60 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.30-33.60 บ./ดอลลาร์

         หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.30-33.60 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นมาใกล้โซนแนวรับ 40-33.50 ปัจจัยหลักจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาทองที่ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ฝั่งตลาดหุ้น นักลงทุนแสดงความกังวลจากผลกระทบของสงครามการค้า และยังจับตาใกล้ชิดกับการตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ และจีน สัปดาห์นี้จับตาการประชุมธนาคารกลางยุโรปในคืนวันพรุ่งนี้ ซึ่งตลาดคาดว่าธนาคารกลางยุโรปจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25% สู่ระดับ 2.25% ท่ามกลางความกังวลจากสงครามการค้า

KSS คาด SET วันนี้ Sideways/Up ชู AOT-DELTA-IVL

KSS คาด SET วันนี้ Sideways/Up ชู AOT-DELTA-IVL

              หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้ “Sideways/Up” ต้าน 1137/1155 จุด รับ 1123/1118 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ 1.) สหรัฐฯ ยกเว้นสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากมาตรการภาษีตอบโต้ชั่วคราว (10% ของยอดนำเข้าสหรัฐฯ) ขณะที่การพิจารณามาตรการภาษีนำเข้าเฉพาะร่วมกับสินค้ายาและชิประยะถัดไป สะท้อนภาพ Risk Sentiment ในส่วน Trade Tariff ผ่านจุดเลวร้าย หนุนกลุ่มเทคโนโลยี (ชิ้นส่วน + สื่อสารฯ = 15-16% ของมูลค่าตลาด) 2.) ราคาน้ำมันดิบ BRENT ฟื้นรับภาพบวก Trade Tariff จากช่วงก่อนหยุดยาวสู่ 65 +/- เทียบกับก่อนหน้า 63 +/- เหรียญฯ บวกเล็กๆ ต่อกลุ่มพลังงานต้นน้ำ (10% ของมูลค่าตลาด) 3.) วันนี้ติดตามรายงานเศรษฐกิจจีน มี.ค. 25 และ GDP 1Q25F ตลาดคาด +5.2%y-y > เป้าทั้งปีที่ 5.0% จากการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง จิตวิทยาบวกต่อเอเชีย ตามด้วยติดตามยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ช่วงค่ำ เพื่อประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ - จีน รองรับความเสี่ยง Trade Tariff เพียงใด 4.) ภายในช่วงสงกรานต์คึกคัก หนุนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อวัน MTD เม.ย. 25 กลับมาฟื้นตัว +4.3%m-m หนุนหุ้นอิงภายใน โดยรวมคาดวันนี้ SET แกว่งขึ้น หุ้นนำคือ กลุ่มเทคโนโลยี ผสานหุ้นอิงภาคท่องเที่ยว – บริการ ผสานเก็งกำไรหุ้น China Plays วันนี้แนะนำ AOT, DELTA, IVL แม้สหรัฐ-จีนยังเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างกัน แต่ประเด็นในหมวดสินค้ากลุ่มเทคโนโลยียังมีสัญญาณบวก ฝ่ายวิจัย KSS ประเมินว่า แม้การเก็บภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐและจีนจะยังดำเนินอยู่ แต่ในหมวดสินค้าบางประเภท เช่น มือถือ ชิป หน้าจอแบน แฟลชไดรฟ์ และเมมโมรีการ์ด เริ่มมีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น โดย 1) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ระบุว่า สินค้าเทคโนโลยีบางกลุ่มจะได้รับ การยกเว้นภาษีชั่วคราว 2) ขณะที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมายืนยันผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางรายการยังคงต้องเสียภาษีในอัตรา 20% ภายใต้กฎ "Fentanyl Tariff" ที่มีอยู่เดิม อย่างไรก็ตาม KSS มองว่า สหรัฐมีแนวโน้มเลือกผ่อนคลายมากกว่าที่จะเข้มงวดในกลุ่มสินค้าที่กระทบต่อประเทศโดยตรง ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มเทคฯ สหรัฐ ที่ฟื้นตัวขึ้นในช่วงวันหยุดต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ประเมินว่าจะเป็นแรงหนุนเชิงจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์: DELTA, KCE, HANA เทคโนโลยีและโทรคมนาคม: ICT, ADVANC, TRUE ค้าปลีกมือถือ: COM7, SPVI, JMART

DELTA คลายปม-ส่องมูลค่า? 

DELTA คลายปม-ส่องมูลค่า? 

            หุ้นวิชั่น - สัญญาณการผ่อนคลาย ภาษีตอบโต้ ของสหรัฐเริ่มมีภาพที่ชัดเจนขึ้น ถึงแม้จะยังมีประเด็นให้กังวลอยู่ก็ตาม             ตลาดหุ้นยังผันผวน แต่ออกในโทนบวกหลัง Trump ผ่อนคลายสินค้าบางกลุ่ม แต่กลยุทธ์ลงทุน ยังต้องคอยติดตามข่าวที่เกี่ยวข้อง เพราะแทบจะเปลี่ยนกันรายวันเลยทีเดียว             หุ้นที่เข้าซื้อ ควรเลือกหุ้นที่อิงดัชนีฯ (ขึ้นลงพร้อมตลาด หรือตัวหลักของตลาด) หรือหุ้นที่ราคาลงมามาก และมีสัญญาณไปต่อ             หุ้นที่คาดว่า จะปรับตัวขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่นๆ คือหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มาก่อนหน้านี้ ได้แก่ กลุ่มนิคมฯ กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มยางพารา และ กลุ่มสินค้าส่งออก บางตัว อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อีเล็คทรอนิคส์ ปิโตรเคมี เดินเรือ ท่องเที่ยว (ที่มา บล. ดาโอ)             ขณะที่ มุมมองของ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ได้คาดการณ์ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ของบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA)              คาดว่ารายได้ 1,200 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น y-y จากรายได้ส่วนของ Data Center & AI ที่เพิ่มมากขึ้น แต่ทรงตัว q-q เนื่องจากรายได้ลดลงจาก DC/DC conversion circuit ที่ถูกศาลสั่งให้หยุดขายในสหรัฐฯ แต่ทดแทนด้วยสินค้า AI ที่พัฒนาจากเยอรมันเพิ่มขึ้น             โดยมีค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 33.9 บาท/ดอลลาร์ รายได้ในรูปเงินบาท 41,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% y-y ลดลง 1.8% q-q             GPM 25.0% เพิ่มขึ้น y-y จากสินค้า AI มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน และช่วง 1Q67 มีการตั้งค่าเผื่อสินค้าและการรับลดมูลค่าวัตถุดิบ รวมถึงเพิ่มขึ้น q-q จากการรับ standard cost ทุกต้นไตรมาส ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง             SG&A to sale 13.8% เพิ่มขึ้น y-y จาก royalty fee ที่ถูกรับเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลง q-q เนื่องจากใน 4Q67 มีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายย้อนหลังและตั้ง Accrued R&D และภาษีที่เพิ่มขึ้น             กำไรสุทธิ 4,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% y-y และ 105.3% q-q มีแนวโน้มปรับราคาลง: ราคาพื้นฐาน 94.00 บาท คำแนะนำยังคง “ซื้อ” แต่ราคาพื้นฐานอาจถูกปรับลงจากผลกระทบของภาษีตอบโต้สหรัฐ ที่ล่าสุดเริ่มมีการผ่อนคลายบ้างแล้ว การลงทุน มีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ก่อนตัดสินใจ ข่าวหัวม่วง-ทีมงานหุ้นวิชั่น  

เช็กด่วน! ทุกปัจจัยหุ้นไทยพรุ่งนี้ ฟันธง 2 หุ้นได้เสียสู้ภาษี US

เช็กด่วน! ทุกปัจจัยหุ้นไทยพรุ่งนี้ ฟันธง 2 หุ้นได้เสียสู้ภาษี US

            หุ้นวิชั่น -บทวิเคราะห์ บล. ดาโอระบุว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทย • คาดดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น สหรัฐฯผ่อนนโยบายภาษี เป็นสัญญาณว่ามีทางออก • ตลาดหุ้นไทย สัปดาห์นี้ ผลกระทบมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ยังมีให้เห็น แต่โทนออกมาเป็นบวกมากกว่าเล็กน้อย ไทยกำลังรอเข้าไปเจรจากับสหรัฐฯ ตลาดหุ้นไทยหลังผ่านช่วงหลังสงกรานต์และหุ้นธนาคารขึ้น “XD” แต่จะเห็นแรงซื้อกลับมาได้ (ถ้าไม่มีข่าวลบเข้ามาเพิ่ม) .... ประเมินกรอบดัชนีฯ สัปดาห์นี้ ไว้ที่ 1094-1150 จุด • ข่าวเชิงบวกในเรื่องการค้า คือ Trump ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าประเภทโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และชิป ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่าง Apple และ Nvidia • ตลาดทั่วโลกคลายความกังวลลง หลังทรัมป์ประกาศระงับการก็บภาษีนำเข้า 90 วัน แต่ยังคงเก็บภาษีพื้นฐานที่ 10% ในขณะที่จีนถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 145% และจีนตอบโต้กลับ เป็น 125% …. เรามองจุด peak สุดของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ น่าจะผ่านไปแล้วในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ จากนี้ คาดว่า จะเป็นการเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีน เป็นหลัก ส่วนประเทศอื่นๆ น่าจะเป็นลักษณะของการรอมชอมกันมากกว่า สรุปคือ เมื่อผ่าน 90 วันไปแล้ว ไม่น่าจะกลับมารุนแรงแบบนี้อีก • ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ยังต้องจับตา Bond Yield ที่พุ่งรุนแรง สะท้อนความกังวลในเรื่องสภาพคล่องในตลาดเงิน เราประเมิน Fed อาจเข้ามาดูแล (ลดดอกเบี้ย+ซื้อพันธบัตร+ปล่อยกู้เพิ่ม) เพื่อลดแรงกระเพื่อมของตลาด • สี จิ้นผิง เตรียมเดินทางเยือน 3 ประเทศ SEA สัปดาห์นี้ ได้แก่ เวียดนาม (14-15) ต่อด้วย มาเลเซียและกัมพูชา (15-18) เร่งหารือกับพันธมิตร รองรับผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ .... โดยรวมแล้ว สี จิ้นผิงกำลังรักษา Supply chain ในภูมิภาค จีนกำลังสร้างแนวร่วมในการรับมือกับแรงกดดันทั้งทางการค้า และทางการเมือง • เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง (จาก 34.85 สู่ 33.59 บาท/ดอลลาร์) รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ทองคำ (ทองไทยแตะบาทละ 51,250 บาท) จึงทำให้ทองคำเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทในช่วงนี้ • "พิชัย ชุณหวชิร" เตรียมนำคณะผู้เจรจาเดินทางล่วงหน้าไปสหรัฐ พบปะกับนักธุรกิจ 17 เม.ย.68 "พิชัย นริพทะพันธุ์" นำทีมไทยแลนด์เดินทางสมทบ เตรียมเข้าพบกับผู้แทนรัฐบาลสหรัฐ เจรจาลดผลกระทบมาตรการภาษี 21 เม.ย.68 • ตลาดยกเลิกมาตรการคุมการซื้อขาย ที่ออกมาในช่วง 8-11 เม.ย. และออกมาตรการใหม่ คือ กำหนดหุ้นที่อนุญาตให้ขายชอร์ตได้ เป็นเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 ตามเกณฑ์ uptick ซึ่งจะมีผลใช้บังคับทันที ตั้งแต่ 16 เม.ย. และกำหนดให้การซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุนกลุ่ม HFT จำกัดอยู่เพียงเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 พร้อมคงมาตรการ Minimum Resting Time (MRT) ไว้ • สัปดาหนี้ มีหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย “XD” ทั้งหมด 20 หลักทรัพย์ อาทิ SCB, KTB, KBANK, KTC, STA, STGT เป็นต้น ควรระวังแรงขายหุ้นทั้งก่อนและหลัง “XD” …. หากราคาหุ้นเหล่านี้ ปรับตัวลงเท่ากับเงินปันผลที่จ่ายออกมารอบนี้ จะมีผลต่อ SET Index ราว -6.2 จุด • Event สัปดาห์นี้ : GDP 1Q/25 ของจีน(16), ดัชนียอดขายปลีกสหรัฐฯ(16), การประชุม ECB(17), ตัวเลขเคลมการว่างงานสหรัฐฯ(17), ยอดขายรถยนต์ของไทย(18) Strategy • ตลาดยังผันผวน แต่ออกในโทนบวกหลัง Trump ผ่อนคลายสินค้าบางกลุ่ม แต่กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ยังต้องคอยติดตามข่าวที่เกี่ยวข้อง เพราะแทบจะเปลี่ยนกันรายวันเลยทีเดียว หุ้นที่เข้าซื้อ ควรเลือกหุ้นที่อิงดัชนีฯ (ขึ้นลงพร้อมตลาด หรือตัวหลักของตลาด) หรือหุ้นที่ราคาลงมามาก และมีสัญญาณไปต่อ • หุ้นที่คาดว่า จะปรับตัวขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่นๆ คือหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มาก่อนหน้านี้ ได้แก่ กลุ่มนิคมฯ กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มยางพารา และ กลุ่มสินค้าส่งออก บางตัว อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อีเล็คทรอนิคส์ ปิโตรเคมี เดินเรือ ท่องเที่ยว • หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ SCB, KBANK ออก 2 หุ้นได้เสีย แนะนำ DELTA*, TOP เข้ามา หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย DELTA*(10%), TOP(10%), WHA(20%), CBG(10%)

เปิด 3 ปัจจัย  หุ้นไทยคึก หลังสงกรานต์  คัด 6 หุ้นเด็ด

เปิด 3 ปัจจัย หุ้นไทยคึก หลังสงกรานต์ คัด 6 หุ้นเด็ด

           หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินตลาดหุ้นไทย คาดหลังสงกรานต์ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับมาคึกคักมากขึ้นจาก 3 ปัจจัยหนุน คือ 1. แรงกดดันจากการตั้งกำแพงภาษีสหรัฐที่ไม่มีการตอบโต้กลับกว่า 75 ประเทศ ถูกเลื่อนออกไป 90 วัน โดยตลอด 5 เดือนหลังทรัมป์ได้รับเลือกเป็น ปธน. สหรัฐฯ สร้างความกังวลต่อการตั้งกำแพงภาษีประเทศต่างๆ ซึ่งไทยเองก็เสี่ยง เพราะ ติด 1 ในรายชื่อ Dirty 15 กดดันความเชื่อมั่นนักลงทุนลดลง และแห่เทขายหุ้นจน SET Index ลงเร็วและลึกเกินกว่า -25%ส่วนผลกระทบการขึ้นภาษี 10% เบื้องต้นประเมินอาจกดดัน GDP ไทยชะลอลง แต่ไม่ถึงขนาดติดลบ 2 ไตรมาสติด จนเกิดเป็น Technical Recession 2. มาตรการทางการคลัง-การคลังหนุนช่วง 2Q68 ทั้งการผ่อนปรน LTV และการลดค่าโอนจดจำนองเหลือ 0.01% ตั้งแต่ 1 พ.ค.68 ถึง 30 มิ.ย. 69, ต่อเนื่องกับเม็ดเงิน ThaiESGX ที่จะทยอยเข้ามาหนุนตลาดฯ ในเดือน พ.ค. 68 เช่นกัน 3. กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยจาก 2% เหลือ 1.75% ในการประชุม30 เม.ย. 68 นี้ หลังไทยเผชิญกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ตัวเลขนักท่องเที่ยวชะลอลง เงินเฟ้ออยู่ใยระดับที่ต่ำในมุม Valuation SET Index ถูกมาก มี PBV เพียง 1 เท่า ต้นๆ ซึ่งจากสถิติในอดีต ตลอด 25 ปี ที่ผ่านมา มีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 1%เท่านั้น และหากสะสมหุ้นช่วงที่ PBV <= 1 มีโอกาสได้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะ 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี เท่ากับ 16% 45% และ 68% ตามลำดับ  กลยุทธ์หลังสงกรานต์ แนะเก็งกำไรหุ้นพื้นฐาน ราคาลงลึก หวังดีด แรง ที่ผ่านเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้ ▪ เป็นหุ้น GLOBALIZATION ขนาดใหญ่ ▪ ลงแรงเกิน -35% ในช่วง 5 เดือน ▪ มี BETA > 1 เท่า หวังรีบาวน์แรง ▪ หวังมีแรง COVER SHORT เสริม ▪ มี ESG RATING สูง สถาบันฯ มีโอกาสสะสมเพิ่ม ▪ คาดหวังปันผลเกิน 5% ต่อปี ได้ผลลัพธ์ 6 หุ้น คือ WHA, KCE, SCGP, TOP, PTTGC, SCC

สงกรานต์คึกคัก  เที่ยวบินต่อวัน พุ่ง 14%

สงกรานต์คึกคัก เที่ยวบินต่อวัน พุ่ง 14%

                   หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี ประเมินตลาดหุ้นไทย ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มองว่า SET Index ผันผวนสูง แต่เป็นภาพฟื้นตัว w-w ได้เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป เรื่องหนุนหลักคือ ความกังวลผลกระทบ มาตรการกีดกันการค้าที่ลดลงชั่วคราว หลังคุณ Trump ประกาศเลื่อนใช้ภาษีเท่าเทียมกับประเทศไม่ตอบโต้ออกไป 90 วัน จากเดิมที่ประกาศ ปรับใช้ในระดับเลวร้ายกว่าตลาดคาด และจะใช้ฐานการเก็บภาษีระดับ 10% ไปก่อน นอกจากนี้ ปัจจัยในประเทศในส่วนท่องเที่ยวยังมีภาพบวก กระแสท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นบวก 1. บ.วิทยุการบินแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 11-17 เม.ย. 25 จะมีเที่ยวบินรวม 18,530 เที่ยวบิน เฉลี่ย 2,647 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น +14%y-y สะท้อนความคึกคักช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2. รัฐฯก าลังทบทวนโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง เปลี่ยนเงื่อนไขใหม่ รัฐจ่าย 50% เที่ยวได้10 วัน 10 คืน ใช้สิทธิเที่ยววันธรรมดา (จันทร์- ศุกร์) เชิงกลยุทธ์เรามองช่วยให้ประสิทธิภาพมาตรการที่ส่งผลบวกต่อกลุ่มโรงแรมเพิ่มขึ้น (เพิ่มอัตราเข้าพักช่วงวันธรรมดา) 3. Skytrax ได้ประกาศรายชื่อ 100 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกประจ าปี2025 จากท่าอากาศยานมากกว่า 570 แห่งที่เข้าท้าชิงทั่วโลก การจัดอันดับปีนี้“สนามบินชางงี” สิงคโปร์ กลับมาทวงแชมป์สำเร็จ คว้ารางวัลท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกประจ าปี2025 ส าหรับสนามบินสุวรรณภูมิประเทศไทย ในปีนี้ติดอันดับ 39 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก 2025 จาก Skytrax ดีขึ้นจากล าดับ 58 ในปี2024 ส่วน สนามบินดอนเมืองเป็นสนามบิน Low Cost ที่ดีสุดอันดับ 6 ของโลกในปีนี้

หุ้นไทย หลังสงกรานต์ รอด หรือ ร่วง?

หุ้นไทย หลังสงกรานต์ รอด หรือ ร่วง?

              หุ้นวิชั่น - บล.กรุงศรี จัดกลยุทธ์การลงทุน: ประเมินสัปดาห์หน้า “Sideways/Up” คาดตลาดยังมีโมเมนตัมแกว่งขึ้นได้จากผลบวกมาตรการภาษีเท่าเทียมที่ผ่อนคลาย และเข้าสู่ช่วงเวลาการทยอยเจรจารายประเทศ ขณะที่ความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สูงขึ้น มีโอกาสเม็ดเงินลงทุนสลับไปยังตลาดหุ้น อื่นๆ ที่ยังมีValuation ไม่แพง SET ปัจจุบัน Deep Value มี Current Equity Risk Premium (ERP) สูง > AVG + 2 S.D.           กลยุทธ์เน้น หุ้น 10 Deep Value (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT) ผสาน หุ้นอยู่ใน Upcycle สื่อสาร และ ได้ประโยชน์น้ำมันถูกลง ค้าปลีก โรงไฟฟ้าโดยมีหุ้นเด่นประจำสัปดาห์ คือ ADVANC, BJC, HMPRO

ตลท. ใช้ Ceiling & Floor (+/-30%) เริ่มมีผล 16 เม.ย.68

ตลท. ใช้ Ceiling & Floor (+/-30%) เริ่มมีผล 16 เม.ย.68

                หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดให้มีมาตรการใหม่เพิ่มเติมในการดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ หลังสิ้นสุดมาตรการชั่วคราว เพื่อสร้างเสถียรภาพตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง                 เนื่องด้วยเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ได้เริ่มคลี่คลายลงแล้ว ดังนั้น หลังจากสิ้นสุดมาตรการชั่วคราวซึ่งได้มีผลใช้บังคับในช่วงระหว่างวันที่ 8-11 เมษายน 2568 ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ บมจ. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) (TFEX) จะกลับไปใช้เกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2568 เป็นต้นไป  ทั้งนี้ หากมีความจำเป็น ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ TFEX ก็พร้อมที่จะพิจารณาทบทวนปรับใช้เกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์                 อย่างไรก็ดี แม้มาตรการชั่วคราวดังกล่าวข้างต้นจะสิ้นสุดลง แต่เพื่อให้การดูแลความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ และการสร้างเสถียรภาพตลาดหุ้นไทยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เห็นชอบให้มีมาตรการใหม่เพิ่มเติมอีก 2 มาตรการ ดังนี้ กำหนดหุ้นที่อนุญาตให้ขายชอร์ตได้ เป็นเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับทันที ตั้งแต่ 16 เมษายน 2568 เป็นต้นไป โดยได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. แล้ว ทั้งนี้ การขายชอร์ตหลักทรัพย์ดังกล่าว ยังคงต้องเป็นไปตามเกณฑ์ uptick คือให้ใช้ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย กำหนดให้การซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุนกลุ่ม HFT จำกัดอยู่เพียงเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 เพื่อลดความ ผันผวนของหุ้นขนาดกลางและเล็ก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อม  นอกจากนี้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้เห็นชอบให้คงมาตรการ Minimum Resting Time (MRT) ต่อไป เพื่อป้องกันการใส่ถอนคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็วเกินไปอีกด้วย

ก.ล.ต. กล่าวโทษ หมอบุญ วนาสิน เหตุเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ

ก.ล.ต. กล่าวโทษ หมอบุญ วนาสิน เหตุเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ

               หุ้นวิชั่น - ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 1 ราย ต่อ บก.ปอศ. กรณีเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความ อันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับ THG                ก.ล.ต. กล่าวโทษนายบุญ วนาสิน ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กรณีบอกกล่าว เผยแพร่ หรือให้คำรับรองข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความอันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวกับบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (THG) และรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)                สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2567 และดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม กรณีการให้สัมภาษณ์ของนายบุญ ผ่านสื่อมวลชนแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 ว่า ตนและครอบครัวไม่เคยนำหุ้น THG ที่ถือไปจำนำหรือกู้เพื่อขอสินเชื่อทั้งในและนอกตลาด ไม่กล้าทำ เพราะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ นั้น แต่จากการตรวจสอบพบพยานหลักฐานที่พิจารณาได้ว่า การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่พบว่านายบุญและบุคคลในกลุ่มวนาสินมีการจำนำหุ้น THG ไว้กับบุคคลหลายรายในจำนวนที่มีนัยสำคัญ และหุ้นดังกล่าวบางส่วนได้ถูกบังคับจำนำไปขายทอดตลาดแล้ว และส่วนที่เหลือมีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นของบุคคลอื่น                ดังนั้น โดยที่นายบุญและกลุ่มวนาสินเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของบริษัท THG การให้สัมภาษณ์ของนายบุญตามที่กล่าวข้างต้น ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของ THG จะยังคงมีนายบุญและกลุ่มวนาสินเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ THG อันดับ 2 ต่อไป จึงเข้าข่ายเป็นการบอกกล่าว เผยแพร่ หรือให้คำรับรองข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความอันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวกับบริษัท THG โดยประการที่น่าจะทำให้มีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ หรือต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 240 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) ซึ่งมีระวางโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษนายบุญ ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป                พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้รายงานการดำเนินการตามข้างต้นต่อ ปปง. เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน                ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับโดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว

กลต. ยกเลิกไม่ให้กลุ่ม NON SET100 เป็นหุ้นที่สามารถขายชอร์ตได้ เริ่ม 16 เม.ย.นี้

กลต. ยกเลิกไม่ให้กลุ่ม NON SET100 เป็นหุ้นที่สามารถขายชอร์ตได้ เริ่ม 16 เม.ย.นี้

            หุ้นวิชั่น - คณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นชอบการปรับปรุงเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสร้างเสถียรภาพของตลาดโดยรวม             ในการประชุมคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (คณะกรรมการ ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติเห็นชอบการปรับปรุงเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อยกระดับการกำกับดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการซื้อขายหลักทรัพย์ ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอ ในส่วนของมาตรการกำกับดูแลการขายชอร์ต โดยยกเลิกไม่ให้หุ้นกลุ่ม Non-SET100 เป็นหุ้นที่สามารถขายชอร์ตได้ ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2568 ทั้งนี้ การขายชอร์ตดังกล่าวยังต้องใช้มาตรการ Uptick หรือให้ขายชอร์ตได้ในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย จนกว่าจะมีการทบทวนมาตรการต่อไป             นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “การเห็นชอบการปรับปรุงเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้มีกลไกในการลดความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขายอย่างเพียงพอ รวมทั้งจะช่วยให้ตลาดมีเสถียรภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับตลาดทุนโดยรวม นอกจากนี้ ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมกันติดตามสถานการณ์และประเมินผลของการใช้มาตรการดังกล่าวต่อไป”

SET ปิดลบ 5.29 จุด นักลงทุนชะลอ ก่อนหยุดสงกรานต์

SET ปิดลบ 5.29 จุด นักลงทุนชะลอ ก่อนหยุดสงกรานต์

          หุ้นวิชั่น- ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตลาดหุ้นไทย วันนี้ (11 เม.ย.68) ปิดที่ 1,128.66 จุด ลดลง 5.29 จุด หรือ 0.47% โดยมีปัจจัยกดดันหลักจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามการค้า ตลอดจนการเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์           นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปิดตลาดในแดนลบ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงเช้า คาดว่ามีสาเหตุมาจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามการค้า ประกอบกับการที่นักลงทุนชะลอการลงทุนในช่วงก่อนเข้าสู่วันหยุดยาว เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น           สำหรับแนวโน้มการลงทุนสัปดาห์หน้า ภายหลังช่วงหยุดเทศกาลสงกรานต์ ยังคงต้องจับตาความคืบหน้าของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างใกล้ชิด ภายหลังจากที่ทางการจีนได้ประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 125% ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยได้           ทั้งนี้ ได้มีการประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยสำหรับสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าแนวรับอยู่ที่ระดับ 1,100 จุด และแนวต้านอยู่ที่ระดับ 1,140 จุด พร้อมแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาชะลอการลงทุน เพื่อรอความชัดเจนของปัจจัยภายนอกในระยะต่อไป

WHA-AMATA ร่วงต่อ โบรกฯ หั่นเป้ายอดขายที่ดิน

WHA-AMATA ร่วงต่อ โบรกฯ หั่นเป้ายอดขายที่ดิน

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้นของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) ยังคงปรับตัวลงต่อกว่า 9% และบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (AMATA) ลบ 5.67% จากความกังวลต่อผลกระทบความต้องการที่ดิน ทำให้โบรกฯ ปรับประมาณการยอดขายที่ดินใหม่           บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ระบุ เชื่อว่าการปรับขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อความต้องการที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรม ทำให้ปรับประมาณการยอดขายที่ดินใหม่ในปี 2568-2570 ลง 39.4-60% เชื่อว่ามาตรการภาษีตอบโต้รอบนี้น่าจะกระทบการไหลเข้าของ FDI และ ความต้องการที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมในปี 2568-2570 โดย ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า FDI และยอดขายที่ดินใหม่มีค่าสหสัมพันธ์ (correlation) สูงถึง 75.4%           จึงเปรียบเทียบมาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์ กับ ผลกระทบจากวิกฤตทางการเงินโลก (GFC) ในปี 2551-2552 (วิกฤตที่ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย) โดยพบว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ลดลง 30.6% yoy ในปี 2551 และ 59.5% yoy ในปี 2552 ช่วง GFC และเศรษฐกิจขาลง ซึ่งการชะลอการลงทุนทำให้ยอดขายที่ดินของ AMATA และ WHA ลดลง 58.7% CAGR ในปี 2551-2552           ปรับลดคำแนะนำของ WHA เป็น “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 2.88 บาท แต่ยังแนะนำ “ซื้อ” AMATA แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 17.60 บาท           ยังแนะนำ “ซื้อ” AMATA เพราะบริษัทมียอด backlog สูงถึง 2.12 หมื่นล้านบาท ซึ่งสามารถประกันรายได้จากการขายที่ดินได้มากกว่า 100% ของประมาณการในปี 2568-2569 และ งบดุลที่แข็งแกร่งด้วยอัตราส่วน D/E 0.63- 0.69x ในปี 2568-2569           ขณะที่ประมาณการยอดขายที่ดิน ของเราอาจมี upside จากโครงการ Amata Smart & Eco City Namor ใน สปป.ลาว           ปรับลดคำแนะนำของ WHA จาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” เนื่องจาก           1) ความชัดเจนในการทำรายได้ลดลง เนื่องจาก backlog น้อยลง และ           2) อัตราส่วนหนี้สินต่อ ทุน (D/E) ของ WHA ที่ 1.4-1.53x ในปี 2568-2569 สูงกว่า AMATA นอกจากนี้ยังกังวลกับการที่มูลค่าสินทรัพย์ที่ขายให้กับ REIT จะลดลงจาก 2.5-3.0 พันล้านบาท/ปี เป็น 900 ล้านบาทในปี 2567 และ 1.5 พันล้านบาทในปี 2568 เพราะนักลงทุนมองแผนขาย สินทรัพย์เป็นเหมือนช่องทางการระดมทุน

[Vision Exclusive] แนะสะสมไม้แรก ใกล้จุด Bottom แล้ว

[Vision Exclusive] แนะสะสมไม้แรก ใกล้จุด Bottom แล้ว

         หุ้นวิชั่น - ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ส่งผลให้ภาวะการลงทุนผันผวน นักลงทุนเริ่มตั้งคำถาม “จะรอก่อน หรือ ลุยเลย?”นักวิเคราะห์มองว่า ช่วงนี้อาจเป็นจังหวะดีสำหรับการทยอยสะสม “ไม้แรก” ในหุ้นพื้นฐานดี สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ และถือเพื่อลงทุนระยะกลางถึงยาว ขณะที่นักลงทุนสายระมัดระวัง ควรรอจังหวะตลาดนิ่ง แล้วค่อยเข้าซื้อเมื่อความชัดเจนกลับมา บล.ยูโอบีฯ มั่นใจ SET ไม่ต่ำ 1,000 จุด ชู BANPU รับประโยชน์รัฐเจรจาสหรัฐ          นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) (UOBKHST) แนะนำกลยุทธ์ลงทุน สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ให้พักการลงทุนไปก่อน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) แต่ขึ้นอยู่กับเกมภาษีโลก คาดว่าความไม่แน่นอนตรงนี้จะยังอยู่ไปอีกสักระยะหนึ่ง          ทั้งนี้หากถามว่าหุ้นลงมาเท่าไหร่ ถึงเรียกว่าปลอดภัย มองว่าด้วยกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดในปี 2568 น่าจะมีดาวน์ไซด์ 10% มาอยู่ที่ 85 บาท และ P/E ลงมาเหลือ 13 เท่า คาดว่าจุดต่ำสุด (Bottom) ของ SET จะอยู่ที่ 970 จุด อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไม่หลุดระดับ 1,000 จุด อย่างแน่นอน          สำหรับนักลงทุนที่กำลังหาจังหวะเข้าลงทุน ให้ไม้แรกที่ดัชนีฯ ระดับ 1,080 จุด และไม้สอง ที่ 1,020 จุด พร้อมแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการยืดระยะเวลาเก็บภาษี 90 วันของสหรัฐฯ ได้แก่          BANPU รับประโยชน์จากรัฐบาลเตรียมเจรจาผ่อนปรนภาษีกับสหรัฐ ซึ่งแนวทางการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องภาษี จะมุ่งนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเน้นสินค้าที่ไทยมีความต้องการใช้ในประเทศ เช่น สินค้าเกษตร เครื่องในสุกร รวมทั้งสินค้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ ที่มีต้นทุนต่ำในสหรัฐฯ โดย BANPU ถือว่ามีการดำเนินงาน หรือโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ และมี Valuation ที่ถูก          STGT รับประโยชน์จากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีจากจีนในอัตราสูง ส่งผลให้จะมีความต้องการซื้อสินค้า หรือผลิตภัณฑ์จากไทยและมาเลเซียมากขึ้น รวมถึงราคาหุ้นก็อยู่ในระดับต่ำด้วย บล.ลิเบอเรเตอร์ มอง SET ใกล้ Bottom พร้อมชู 5 หุ้นเด่น          นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กลาวว่า แม้ SET จะถอยลงมาเยอะ แต่ท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังไม่อ่อนข้อให้กับจีน ทำให้ดาวน์ไซด์ยังมีอยู่ แต่ใกล้ถึงจุด Bottom แล้ว แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในช่วงตลาดผันผวน เก็บเงินสดไว้ก่อน รอจังหวะเข้าไม้แรก (เช่น 30% ของเงินลงทุน 100 บาท) ที่โซน 1,050 จุด เน้นไปที่หุ้นพื้นฐานดี และราคาหุ้นไม่แพง เช่น CPF จากผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ต้นทุนการผลิตปรับลดลงมาค่อนข้างมาก BDMS ราคาหุ้นไม่แพง เป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีสหรัฐจำกัด และGULF รับขาขึ้นรอบใหม่ มองโซน 40 บาท เป็นจุดพอตั้งรับได้ อีกทั้งหุ้นได้ประโยชน์จากโอกาสคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ย ปลายเดือนเมษายนนี้ ได้แก่ MTC , CPALL เป็นต้น          ส่วนนักลงทุนเทรดดิ้ง แนะนำรอสถานการณ์ต่างๆ ชัดเจนกว่านี้ รวมถึงระวังแรงขายของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์หลายตัว ที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD ด้วย          อย่างไรก็ตามมองดัชนีฯ ต่ำสุดปีนี้ที่ 970 จุด เท่ากับช่วงโควิด-19 ซึ่งถือเป็นจังหวะที่จะเข้าได้อีกหนึ่งไม้ เชื่อว่าจุดนี้น่าจะมีแรงซื้อมหาศาลอย่างแน่นอน เนื่องจากหากหลุด 1,000 จุดลงมา ตลาดพร้อมที่จะตอบรับทั้งข่าวบวกและลบ ส่วนจะปรับขึ้นไปได้ถึงระดับไหน คาดว่ายังต้องรอเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับ (Fund Flow) และรอให้นักวิเคราะห์ออกมา downgrade ทั้งในเรื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) และ EPS Growth          ขณะที่บล.ลิเบอเรเตอร์ คาด GDP ของไทยน่าจะเติบโตได้ราว 1% และ EPS น่าจะอยู่ที่ประมาณ 88 บาท บล.หยวนต้า แนะแบ่ง 5 ไม้เข้าลงทุน แนะกลุ่มโรงไฟฟ้า          นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองเวลานี้ถึงจังหวะสะสมหุ้นแล้ว แต่ต้องทยอยแบ่งไม้เข้า และเลือกหุ้นที่พื้นฐานดี ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อย เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า มอง EGCO เด่นสุดในกลุ่ม จากเป็นโรงไฟฟ้า IPP และ GPSC, BGRIM จากราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ทั้งนี้กลุ่มโรงไฟฟ้ามีแรงหนุนจากต้นทุนพลังงานปรับตัวลง ทั้งราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงด้วย ทำให้ซึ่งช่วยชดเชยกับค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลดลงมาได้          นอกจากนี้ยังมองกลุ่มค้าปลีก, สื่อสาร, โรงพยาบาล และ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust)          กลยุทธ์ลงทุน แนะแบ่งไม้ลงทุน ทยอยเข้า 5 ไม้ ทีละ 20% ของเงินลงทุน ส่วนพอร์ตเทรดดิ้ง เน้นเล่นหุ้นที่ลงมาลึก ลุ้นเด้งกลับ ให้แนวรับ 1,000 จุด, 1,050 จุด, 1,080 จุด 1,085 จุด และ 1,100 จุด